แก่นแท้ในศาสนาพุทธ เขาสอนอย่างไร?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย datedoctor, 30 ธันวาคม 2009.

  1. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    1.เรื่องกรรมจริงๆในศาสนาพุทธ เขาสอนอย่างไร?


    เมื่อลองนึกดูเราจะพบว่าพุทธศาสนาเรามีเรื่องกรรม สอนเป็นพิเศษ ให้เชื่อเรื่องกรรม แต่ไม่ให้ยึดมั่นในเรื่องของกรรม

    ก็มีการตีความกันไปต่างๆนา ผิดบ้างถูกบ้าง สับสนไปหมด จากความหมายดังเดิมของพระพุทธเจ้า ไอ้ที่ไปสอนกันนั้นนะ สอนกันก็ไม่ครบ คือสอนแค่2แบบ กรรมดี กับ กรรมชั่ว นี่ไม่ใช่แนวคิดใหม่ของพุทธเจ้าท่าน นี่นะเป็นของพวกลัทธิที่มีมาก่อนหน้าไปหาดุเองเถอะว่าเรื่องกรรมมันสอนมาก่อนพระพุทธเจ้าท่านเกิดเสียอีก แต่ก็ไม่เหมือนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด
    แล้วพระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมอย่างไร?

    ก่อนที่จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมอย่างไร? ต้องรู้ก่อนว่ากรรมคืออะไร? ไม่ว่าจะไปเปิดตำราเล่มไหน มันก็เขียนเหมือนๆกันว่ากรรมคือการกระทำ แต่ก็ไม่ใช่เหมารวมกันไปซะหมดว่า กรรมคือการกระทำทุกอย่าง เพราะมันต้องมีเจตนาที่จะทำเข้ามาร่วมด้วย เช่น การเดิน ไม่ถือว่าเป็นกรรม แต่การลักขโมยถือว่าเป็นกรรม เพราะมีเจตนาว่าจะขโมย

    แต่สัตว์ไม่มีกรรมเพราะ พวกมันไม่มีทั้งกิเลสและปัญญาเหมือนมนุษย์ มันจึ่งไม่รู้สึกผิดชอบ ชั่วดี มันไม่รู้ทั้งวิชชาและอวิชชานั้นเอง นี่แหละความหมายของกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เพราะเราเป็นมนุษย์ ดังนั้นเราจึ่งมีสติพอที่จะรู้ว่าอะไรคือวิชชาและอวิชชา การกระทำบางอย่างของเราจึ่งถือเป็นกรรม เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากสัณชาติญาณไปซะทั้งหมด

    นี่แหละความหมายจริงๆไม่ใช่กรรมให้กำเนิดเราแบบที่เชื่อๆกัน

    เดี่ยวจะอธิบายให้ฟัง ให้รู้ไว้แต่ความหมายก่อน

    ประเภทของกรรม สอนกันมาแค่2อย่างเท่านั้น มันเลยรู้กันไม่ครบรู้กันผิดๆถูกๆ มันต้องเคาะให้รู้ว่าพระพุทธเจ้า ไม่ได้ตัดกรรมทิ้งหรืออยู่เหนือกรรมไอ้แบบที่สอนๆกัน เชื่อตามๆกันมา บางคนก็นำไปหากินตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิแก้กรรม ติดต่อเจ้ากรรมนายเวร นั้นแหละ

    พระองค์ทรงทำกรรม ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กรรมที่กระทำเพื่อให้ตัวเองอยู่เหนือกรรมทั้ง2คือกรรมดีและกรรมชั่ว
    เพราะไอ้ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วนั้นแหละมันทำให้เกิดทุกข์ทั้งคู่ มันยังเป็นแบบทางโลก มันยังเป็นกรรมที่อยู่ใต้ผลของกรรม ไม่ได้หลุดพ้นผลของกรรม บางคนแย้งว่ากรรมดีจะทำให้เกิดทุกข์ได้อย่างไร? คิดดูเถิดว่าคนดีก็มีความทุกข์อย่างแบบคนดี. เป็นคนดีในโลกนี้ ก็ยังมีความทุกข์อีกแบบหนึ่ง ตามแบบของคนดี; เช่นปัญหาที่เกิด
    เนื่องมาจากความดี เกี่ยวกับความดีนี้มันก็ยังมีอยู่อีกมากเหมือนกัน. มีคนเยอะแยะฆ่าตัวตาย ทั้งๆที่มีชื่อเสียง มีความดี มีความร่ำรวย ขนาดเทพเทวาถ้ามีจริงก็ยังไม่หลุดพ้นจากความทุกข์เลย


    อย่าพึ่งหาว่ามั่วมาล่ะเรื่องนี้นะมันมีอยู่ในพระไตรปิฏก อยู่แล้วไปหาอ่านเองเถอะว่า พวกพาวรีนั้นทรงถาม ปัณหาพระพุทธเจ้าไว้16ข้ออย่างไรบ้าง? และพระองค์ตอบว่าอย่างไร? ไปหาเอาที่โสฬสกรรม นั้นแหละว่ากรรมแบบที่ที่ไม่ค่อยสอนกันนะ มีอยู่จริงกรรมที่ทำให้หลุดพ้นจากกรรมทางโลก กรรมขั้นปรมัตถ์นั้นแหละ

    มาดูกัน เราจะแบ่งเป็น2กลุ่มใหญ่ก็ได้ว่า
    1.กรรมดีกรรมชั่ว เรียกง่ายๆว่ากรรมทางโลก จัดเป็นสมุทัยวาร เพราะเป็นต้นเหตุของการเกิดทุกข์ จริงไม่จริงไปคิดเอง
    2.กรรมแบบของ พระพุทธเจ้าสอน กรรมทางธรรมนั้นแหละ จัดเป็นนิโรธวาร เพราะเป็นการดับทุกข์ เหนือชั่ว เหนือดี คือไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวเรา
    หรือของเรา.

    ต่อมามาพิจารณาสาเหตุของการเกิดกรรมกันว่า มันเกิดมาจากไหน? และส่งผลอย่างไร บ้าง

    เอามันที่แบบเดิมก่อนไอ้ที่สอนๆกันว่ากรรมดีกรรมชั่วนั้นแหละ
    1. กรรมชั่วมาก่อน มันมีเหตุชั่ว คือกิเลส, แล้วผลก็คือ ความทุกข์หรืออบาย.บางตำราก็จะเรียกอกุศลบทกรรม

    2. กรรมดีก็มาจากเหตุที่ดีคือ ปัญญา ความรู้จักดี, แล้วก็ได้ผลเป็นความสุขสบายตามที่ตนพอใจ: แต่ก็ยังต้องเสวยผลกรรมอยู่จะเรียกกุศลบทกรรม
    มีการตีความกัน2แบบ
    1.แบบชาติภพ 2.แบบเกิดที่นี่เดี๋ยวนี้ที่จิตนั้นแหละ
    ก็จะไม่ขอยึดถือ ปฏิเสธหรือยอมรับทั้ง2แบบนี้แค่จะเปรียบเทียบให้ฟังว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าไง?

    ก็มีการกล่าวถึงเรื่องกรรมไว้มากในพระไตรปิฏก แต่ที่ละเอียดที่สุดนี่คือในวิสุทธิมรรค ว่าด้วยกรรม12ซึ่งไม่มีในพระไตรปิฏก ก็ไปหาอ่านเอง แต่เอามันที่แก่นนี่แหละ มันจะว่าด้วยเหตุและผลของกรรมแบ่งเป็น3แบบ

    มาดูก่อนว่าพวกตีความแบบชาติภพ สอนไง ก็แปลกันมาผิดๆถูกๆมันเลยกลายไปเป็น เหตุและผลของกรรม อันมาจากชาตินี้ ชาติหน้า ชาติถัดๆไป
    แบบที่สอนๆกันว่าชาติที่แล้วทำเช่นนี้ชาตินี้จึ่งเป็นแบบนี้ และยังจะส่งผลต่อชาติถัดๆไป จุดนี้เองก็เลยทำให้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับ เทพ เทวา นรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่ตรงกับประเด็นที่พระพุทธเจ้าท่านสอนขึ้นมาในความหมายของคนทั่วไป
    จุดนี้เองอีกนั้นแหละที่ทำให้เกิดมนุษย์กายสิทธิ์มากมาย ที่ดูกรรมได้ แต่ไม่ยักจะดูกรรมให้ตัวเอง
    บางคนหาว่ามั่วมารึเปล่า
    ก็ไม่ได้มั่วมาแต่อย่างใดและไม่ได้พูดสักคำว่า นรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีจริง แต่นรกสวรรค์ที่กำลังจะพูด นี้เป็นแบบที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าว ไปพิสูตรเองเถอะ ว่าจริงเท็จประการใด

    มาที่พวกขณะจิตบ้าง เขาสอนอย่างไรพวกนี้แปลถูก คือต้องลองไปเปิดดูและลองแปลดูว่าพระพุทธเจ้ากล่าวเป็นบาลีว่าไงดู และท่านจะพบว่าค่อนข้างจะเป็นวิทยาศาสตร์คือให้มองที่นี่และเดี๋ยวนี้ เหตุและผลของกรรมมันเกิดที่ตรงนี้แหละชาตินี่แหละแต่แล้วแต่ชนิดว่าจะให้ผล เดี๋ยวนี้เลย หรือต้องรอสักหน่อย หรือต้องรอนานๆ คิดดูเถิดว่าพวกแรกนั้นยังเป็นการตีความแบบมีตัวตนอยู่

    แล้วกรรมส่งผลอย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็นสี่แบบคือ
    1.ส่งผลในทางที่ดีและชั่วต่อท่าน มีอะไรบ้างไปคิดเอง
    2.ส่งผลยิ่งๆขึ้น คือนี่หมายความว่า มันจะไปผอกพูนของเดิมเพราะกรรมใหม่นั้นเอง
    3.ส่งผลให้ลดลงจากเดิม มาจุดนี้คนที่ชอบไปตีความแบบชาติภพ ชอบจริงให้ท่านไป สะเดาะห์เคาระห์ ทำบุญ ไถ่บาปติดสินบนกรรมเพื่อจะได้รับกรรมให้น้อยลง สื่อโทรทัศน์ก็ชอบออกจังนี่ ถ้าเจ้ากรรมนายเวรมีจริงท่านคิดว่าเขาจะเห็นแก่สินบนหรือ เป็นข้าพเจ้าน่าจะยิ่งเพิ่มโทษให้อีกด้วย เพราะท่านไม่ได้ทำด้วยจิตสำนึกนี่
    4.เลิกไป ได้ทั้งการตีความทั้ง2แบบนั้นแหละ บ้านเราเรียกการอโหสิกรรม ซึ่งก็เหมารวมไปถึงเมื่อกรรมส่งผลของมันเสร็จแล้วด้วย

    หรือจะแบ่งแบบนี้ก็ได้ 1.กรรมเดียวส่งผลหนัก 2. ผลจากกรรมเยอะๆ 3.ผลเมื่อใกล้ตาย 4.ผลเมื่อไม่เจตนา ก็ได้ไม่เสียหายที่จะตีความแบบนี้

    งั้นมาดูกับว่ากรรมดีและกรรมชั่วทำให้เกิดอะไร?
    คำตอบคือการเวียนว่ายตายเกิด
    มาดูมาดูก่อนว่าพวกตีความแบบชาติภพ สอนไง สอบแบบตรงๆเลยก็แบ่งเป็น5พวกใหญ่คือ สัตว์นรก สัตว์เดียรฉาน เปตร มนุษย์ เทวา(ทั้งกามมาวจร รูปพรหม อรูปพรหม) ไม่พูดกันละว่าแบ่งอย่างไร?ท่านรู้ดีกว่าข้าพเจ้าอีก ให้รู้ไว้ว่าผลจะส่งเมื่อเข้าโลงไป เมื่อข้ามภพข้ามชาติไป แต่ก็เป็นเพียงผลที่ส่งทางกายเท่านั้น นี่ไม่ได้หมายความว่ามันม่ดีนะแต่ต้องเข้าใจว่า
    เป้าหมายของคนสอนนะเขาก็ต้องการให้เราไม่ทำกรรมชั่วอย่างนั้นๆมันก็ได้ ประโยชน์นะ รวมถึงพวกที่อยู่ในรุปความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ด้วย แต่ให้รู้ไว้ว่ามันก็ยังมีตัวตนสวรรค์นรกให้ยึดมั่นถือมั่น
    ต่อมาพวกตีความแบบพวกขณะจิตบ้าง ถ้าถามข้าพเจ้านี่ข้าพเจ้าว่านี่น่ากลัวกว่าอีกคือทุกครั้งที่มีการปรุงแต่งจิตก็จะมี การเวียนว่ายตายเกิด เป็น สัตว์นรก สัตว์เดียรฉาน เปตร มนุษย์ เทวา(ทั้งกามมาวจร รูปพรหม อรูปพรหม) นับครั้งไม่ถ้วนในชาตินี้ ต้องสังเกตุว่าพวกนี้จะม่มีนรกสวรรค์แบบเป็นรูปร่างให้นึกถึงให้ยึดมั่น
    อันที่จริงข้าพเจ้าข้ามขั้นไปหน่อยว่ากรรมเกิดได้อย่างไร? คือเมื่อ ผัสสะ(ท่านจะเรียกอยาตนะ6 ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจก็ได้ไม่ว่ากัน ) กระทบกับรูปของสิ่งอื่น มันก็จะเกิดเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณขึ้นส่วนจะหมายความว่าไงไปหาอ่านเองได้ หลังจากนั้นถ้าไม่มีทั้งอวิชชาและวิชชาเข้ามาปรุงแต่งจิตให้เกิดกิเลส เกิดปัญญาทางโลก ก็จะไม่เกิดกรรมแต่จะเกิด กริยาเช่น มองเห็น ได้ยินเป็นต้น แต่ถ้ามีมันก็จะเหนี่ยวนำให้เกิดกรรม
    เช่นตาท่านเห็นสาวสวย แต่ท่านไม่คิดไม่สนนี่ก็เป็นเพียงกริยาเท่านั้นเพราะวิชชาและอวิชชาไม่ได้เข้ามาปรุงแต่งจิต แต่หากที่เข้ามาเช่นอวิชชามันจะทำให้ท่านเกิดกิเลสคืออยากได้อยากนอนกับหล่อนหรืออีกมากมายกับเธอ และท่านแสดงกริยาออกไปทั้ง3ทางนี่แหละคือกรรม เพราะกรรมแสดงออกได้3ทาง ทางวาจา ทางใจ ทางกาย
    ผลของมาตรฐานกรรมของท่านก็จะอยู่ใน5อย่างนี้คือ
    1. เมื่อท่านทำชั่ว ก็ร้อนเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นดังนั้นท่านจึ่งเป็นสัตว์นรก
    2. เมื่อท่านหลงมัวเมาในมันเพราะความโง่เพราะอวิชชา ท่านก็เป็นสัตว์เดียรฉานเพราะสัตว์เดียรฉานตามความหมายจริง คือความโง่ไปหาดูได้
    3. เมื่อท่านเกิดความอยากได้ อยากมี ท่านก็เป็นเปตร
    4. เมื่อท่านเกิดความอยากแต่ต้องให้ความเพียรหามาท่านก็เป็นมนุษย์
    5. หากท่านไม่ต้องทำอะไรเลยแต่บังเอิญได้มา ท่านก็เป็นเทวดา หากท่านยังยึดติดกับสิ่งที่ได้มาในความสุขนี้ท่านก็จะเป็นกามมาวจร หากท่านไม่ยึดติดแต่ยึดติดความสุขทางใจท่านก็จะเป็นรูปพรหม แต่หากท่านไม่ยึดติดอะไรเลยนึกเพียงว่าความสงบนี่แหละสุขท่านก็จะเป็นอรูปพรหม

    มาที่เรื่องเรากันบ้างเกี่ยวกับทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว นี่จริง แต่ทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วได้ไปนรกนี่ไม่จริงทั้งหมด ไปหาดูในพระไตรปิฏกได้
    ในสมัยพุทธกาลมีพราหญ์ ถามพระพุทธเจ้าว่าทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วได้ไปนรกนี่จริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าว่าจริง
    งั้นหากสรุปว่าคนทำดีได้ไปสวรรค์ คนทำชั่วได้ไปนรกทั้งหมด จริงไหม
    พระพุทธเจ้าว่า
    ทั้งนี้ขึ้นกับทิฐธิเมื่อจะดับจิตลงว่าเป็นสัมมาหรือมิจฉาด้วย แม้ทำดีมาชั่วชีวิตแต่หากก่อนตายจิตเป็นมิจฉาก็ไปนรกได้ แม้ทำชั่วมาชั่วชีวิตแต่หากก่อนตายจิตเป็นสัมมาก็ไปสวรรค์ได้
    พราหญ์ได้ยินก็ตกใจ งั้นไอ้ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว นรกสวรรค์นี่ไม่จริงนะสิ
    พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าดูกร ท่านหากท่านทำดีไม่ว่านรกสวรรค์มีหรือไม่ก็ไม่สำคัญเพราะหากมีท่านก็ไม่ต้องกลัวอะไร หากไม่มีท่านก็ได้กำไรตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่แล้ว ผลเองก็เช่นกันกรรมจะมีผลหรือไม่
    ไม่สำคัญหากท่านทำดี ท่านก็ไม่ต้องกลัวว่าก่อนตายจิตท่านจะเป็นทิฐธิไหน เพราะท่านก็จะได้ปัญญาที่เห็นชอบตามที่เป็นจริงอยู่แล้วจากการรักษาจิตรักษาใจ นี่ก็หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านจะไปปรุงแต่งมันจนเป็นมิจฉา

    เห็นไหมว่านรกสวรรค์ไม่สำคัญเลยหากท่านเป็นชาวพุทธ จะมีไม่มีก็ช่างมันเถอะ
    เอาพูดเรื่องกรรมมามากมาดูกรรมแบบพระพุทธเจ้าดีกว่า สรุปเลยกรรมแบบของ พระพุทธเจ้า กรรมทางธรรมนั้นแหละ จัดเป็นนิโรธวาร เพราะเป็นการดับทุกข์ เหนือชั่ว เหนือดี คือไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวเรา หรือของเรา.

    งั้นจะทำไงคำตอบคือต้องใช้อิทปปัจจยตา ว่าด้วยอัฏฐังมรรคนะแหละ หรือจะสรุปเป็นไตรสิกขาก็ได้ ทำไมจึ่งต้องใช้อิทปปัจจยตา หรืออริยสัจ4นั้นแหละ เพราะมันเป็นธรรมที่ชี้ให้เราเห็นว่าเหตุปัจจัยสร้างผลเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาได้อย่างไร? และจะแก้ไขได้อย่างไรไปอ่านดุเถอะว่ามรรค8มีอะไรบ้าง
    บางตำราก็เรียกปฎิจจสมุปบาท แต่ความหมายของคำอาจจะต่างกันไปบ้างก้ไม่ต้องเถียงเขาเพราะมันเป็นเรื่องเดียวกัน ที่แก่น
    ไปดูได้ในนิพเพธิกสูตร ที่ว่าด้วยเครื่องทำลายกรรม มันเขียนไว้ละเอียดมาแต่หัวใจมีนิดเดียวคือ เมื่อ ผัสสะ(ท่านจะเรียกอยาตนะ6 ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจก็ได้ไม่ว่ากัน ) กระทบกับรูปของสิ่งอื่น มันก็จะเกิดเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณขึ้นส่วนจะหมายความว่าไงไปหาอ่านเองได้ หลังจากนั้นถ้าไม่มีทั้งอวิชชาและวิชชาเข้ามาปรุงแต่งจิตให้เกิดกิเลส เกิดปัญญาทางโลก ก็จะไม่เกิดกรรมแต่จะเกิด กริยาเช่น มองเห็น ได้ยินเป็นต้น แต่ถ้ามีมันก็จะเหนี่ยวนำให้เกิดกรรม ไอ้ตอนเหนี่ยวนำนี่ก็แบ่งเป็น เดี๋ยวนั้นเลย สักพัก นานกว่าสักพัก เรียกง่ายอย่างนี้เลย ไม่ต้องไปจำบาลีเขาเพราะเราไม่ใช่นักการศาสานเราจำคำแปลพอ

    ดังนั้นถ้าจะดับต้องดับที่เหตุ พระพุทธเจ้าท่านเลยให้ดับที่ดับผัสสะ ประเภทที่เจือด้วยอวิชชา บางท่านตีความผิดว่าไปดับอวิชชา ที่เป็นตัวก่อให้เกิดตัณหานี่นะผิดไม่ใช่ให้ดับอวิชชาแต่ให้ดับที่ ผัสสะ เพราะอวิชชาเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งให้เกิด กิเลส(โลภ โกธร หลง) กรรมชั่ว เหมือนวิชชาที่เป็นสิ่งปรุงแต่ให้เกิดปัญญาทางโลก(ไม่โลภ ไม่โกธร ไม่หลง) จึ่งเกิดกรรมดี คือ ถ้าอวิชชามันจะมาปรุงแต่งเมื่อผัสสะกระทบรูปก็ให้เอาวิชชามาปรุงแต่งผัสสะแทนที่นี้ มีอวิชชามันมามันก็จะมาเจอวิชชามันก็จะหักล้างเหลือจิตแท้ๆ ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีการยึดมั่นถือมั้น ดังนั้นเมื่อไม่มีวิชชาและอวิชชาก็ไม่มีกรรมดีชั่ว นี่แหละการดับขันธ์5ที่ชอบพูดกันนักแต่สอนกันไม่ค่อยจะถูก ส่วนจะมั่วมาหรือเปล่าไปหาอ่านเองเถอะ

    ถ้าหาไม่เจอก็ไปหาในโพชฌงค์7นี่แหละ จุดนี้นั้นแหละที่จะทำให้เราเรารู้ว่าไอ้เรื่องกรรมเก่า กรรมใหม่ที่สอนๆกันนั้นนะเป็นไง กรรมเก่านะมีสอนอยู่จริงแต่ไม่ใช่แบบชาติภพ ไปอ่านในหนังสือท่านพุทธทาสบ้านเราก็ได้ ว่าท่านเขียนไว้ว่ากรรมเก่าก็คืออยาตนะคือรูป(กาย)ของตัวเราเองนั้นแหละ ส่วนไอ้ที่นาม(ใจ4)
    ของเราที่ถูกเจือแล้วทำให้เกิดการกระทำนั้นแหละคือกรรมใหม่
    ไปดูเถอะ
    เราไม่ได้บอกให้ท่านล่ะทิ้งปัญญาทางโลก หรือ กิเลสแต่ให้อยู่เหนือ นี่แหละทางสายกลางนี่แหละปัญญาแบบพระพุทธเจ้า ปัญญาทางธรรมจริงๆที่เข้าใจผิดกัน ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้ไม่เกิดโลภ โกธร หลง แต่มีไว้เพื่อให้อยู่เหนือจากโลภ โกรธ หลง คือไม่ว่ามันจะไม่มาก็ไม่สำคัญเพราะมันไม่ใช่จิตแท้ดังเดิมแห่งตน เดี๋ยวมันก็เจื่อจางไป

    กรรมจริงๆในศาสนาพุทธเป็นเช่นนี้เอง ให้มัน
    ว่างจากความรบกวนของความชั่ว-ความดี นี่แหละที่ว่า เป็นเรื่องของความว่าง เป็นเรื่องที่เป็นไปในทางนิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2010
  2. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    กรรมทางโลกมีอีกอย่างครับ คือสักแต่ทำ มันยังให้ผลอยู่
    .
    .
    .
    ใช่ครับ ท่านดร. เวียนว่ายตายเกิดมันมีทั้งชีวิตนี้ และชีวิตต่อๆไปเลย
    แต่ที่มันน่ากลัวที่สุด คือภูมิจิตในชาตินี้นี่แหละ
    เดี๋ยวเป็นสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวเป็นเทพ เดี๋ยวเป็นอสูรกาย เดี๋ยวเป็นพรหม
    อันนี้แหละ ที่ศากยบุตรควรมองดูมัน มิใช่มองไปอนาคต หรือย้อนไปอดีต
    มันมีประโยชน์ไม่เท่า ทำเหตุในปัจจุบัน
    กล่าวคือปัจจุบันสำคัญสุดนั่นเอง

    จิตแท้ๆ จิตประภัสสร คือจิตสากล แต่ยังไม่พ้นทุกข์แบบจริงๆ
    แต่จิตประภัสสรนี่แหละ ที่จะพัฒนาไปสู่การดับของจิตได้
    ไม่ใช่ดับสิ แยกให้ละเอียดจนไม่เหลือ เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกแล้ว เรียกว่าจิตไม่ได้อีกแล้ว
    ไม่มีจิต คือนิพพาน พ้นถาวรเพราะตัดเครื่องพันธนาการหมดแล้ว
    ทั้งกิเลส อวิชชา ดับให้หมดกระบวนการสร้าง
    ไม่เหลือภาชนะคือจิต ไว้รองรับกรรม หมดเชื้อที่จะนำไปเกิดแล้ว ขันธ์ดับลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2009
  3. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    กรรมทางโลกมีอีกอย่างครับ คือสักแต่ทำ มันยังให้ผลอยู่ ได้อธิบายไปแล้วครับ
    สักแต่ทำโดยไม่เจตนาแต่มีผล นี่ไม่ใช่ประเภทของกรรมแต่เป้นผลเวลาที่ส่ง ก็มีตำราเขียนไว้เขาแบ่งเป็น
    1.ผลหนักหรือมากจากกรรมเดียว

    2. ผลจากกรรมเยอะๆ คือกรรมนี้ส่งผลไม่มากแต่ดันทำเยอะมันเลยมารวมๆกันมันเลยส่งผลมาหลายอย่างหรืออย่างเดียวแต่หนัก

    3.ผลเมื่อใกล้ตาย

    4.ผลเมื่อไม่เจตนา

    ก็ได้ครับ จะแบ่งตามผลลัพธ์ก็ได้ ความจริงก็มีอีกวิธีที่เขาแบ่งกันนะครับก็แล้วแต่สำนักไป ก็ชอบแบบไหนก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น
    มาทีไอ้แบบเวียนว่ายตายเกิดบ้างอันี้ก็ได้รับการสอนใหม่แล้วเรื่องกรรมเก่านะครับคือ ที่ศากยบุตรควรมองดูมัน มิใช่มองไปอนาคต หรือย้อนไปอดีต แต่ที่ปัจจุบันนี้
    คือตีความคำคำนี้ก็ได้ เราลองนึกดูเถอะกรรมในอดีตชาติ ถ้าสมมุติว่ามีจริง เราก็แก้มันไม่ได้แล้วเพราะคนล่ะภพแล้ว แต่กรรมในชาตินี้เราแก้ไขมันให้ถุกต้องได้เพราะงั้นชีวิตจึ่งเปลี่ยนแปลงได้เพราะไม่มีอะไรมาบันดาลชีวิตนอกจากตัวเราเองที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่แหละที่พระพุทธเจ้าสอน แต่ตีความกันผิดมา1000ๆปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2009
  4. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ก็อยากจะเขียนเรื่องนิพพานเหมือนกัน แต่เดี๋ยวโดนปิดครับฮิฮิฮิ
    ขนาดเรื่องกรรมนี้ก็ยังสอนกันผิดๆเลยนะครับ เวลาหาอ่านนี่ต้องเลือกตำราหน่อยนะครับ
    ตอนแรกผมคิดว่าหนังสือวิทยาศาสตร์
    สำหรับเด็กมีน้อยแล้ว พอไปดุหนังสือพุทธเรายิ้มครับเยอะจริง แต่พอหาไปหามา ที่ดีจริงๆสอนถูกจริงคืออ่านแล้วมันไม่ขัดแย้งกันเอง นี่น้อยกว่าหนังสือวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก
    อีกครับส่วนใหญ่เป็นตำราแก้กรรมไปซะหมด

    พระสมณโคดม อาจารยน์ท่านปรินิพานไปแล้ว โห้ย...............

    พระศรีอาริยเมตไตยท่านผู้เฒ่าก็ยังไม่มา อีก............................

    แล้วท่านยังจะรอให้ใครช่วยท่านนอกจากพุทธในตัวท่านเอง............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2009
  5. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    อีกนานน๊านนานสำหรับพวกเรานะครับ
    ท่านจะมา แต่ก็ถูกนะ ต้องอาศัยพุทธภาวะในตัวเอง
    พระพุทธเจ้าท่านชี้ทางให้ ถ้าขาไม่ยอมเดินตามก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คืออันดับแรก
    อุปมาว่าพระองค์ชี้ทางไปดวงจันทร์แล้วบอกวิธีไว้ ถ้าไม่ยอมทำตามหรือทำไม่สัมฤทธิ์ผล
    สิ่งที่ทำได้ ก็คือเฝ้ามองดวงจันทร์ต่อไป ไม่ไปถึงฟากฝั่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2009
  6. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    2. เรื่องกฏธรรมชาติในแบบที่พระพุทธเจ้าทรงค้นหาบ้าง

    ครับคือต้องมาขออธิบายเพิ่มเติมก่อนนะครับพระยุคสมัยนี้มีพวกกูรูแต่รู้ไม่จริงมากมายครับ บางคนก็เป็นพวกมีชื่อเสียงมีหน้ามีตาทางสังคม ที่สำคัญมีทุนด้วย เลยเอาความเชื่อของตนไปปะปนแนวคิดของพระพุทธเจ้าท่านเสียหมด

    ก็เรื่องกฏของธรรมชาตินั้นแหละครับ บางคนบอกว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงพบกฏฟิสิกส์เคมีข้อนั้น ข้อนี้ ก่อนนักวิทยาศาสตร์ท่านนั้นท่านนี้ ท่านทรงตรัสว่าจักรวาลเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ก่อนนักวิทยาศาสตร์ใน พระสูตรนั้นพระสุตรนี้
    พวกนี้กำลังดูถูกพระพุทธเจ้านะครับถึงจะไม่รุ้ตัวก็เถอะ พวกนี้ไม่เข้าใจพระพุทธเจ้าเลยครับคือตอนแรกผมก็หาเหตุผลนี้ไม่ได้หรอกครับแต่พอไปเปิดพระไตรปฏิกดูก็พบว่าท่านแบ่งกฏทางธรรมชาติออกเป็น 5แบบครับ ในเรื่องนิยาม5 ที่คนไม่ค่อยจะพูดถึงกันเพราะนิยาม5ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่กฏศีลธรรม แต่เป็นเพียงแนวคิดในการจัดประเภทกฏของธรรมชาติ ซึ่งเป็นรากฐานแนวคิดทั้งหมดของพระองค์
    คือท่านแบ่งเป็น
    1.อุตุนิยม คือกฏธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งไม่มีชีวิต ก็เช่นวิชาฟิสิกส์ เคมีนั้นแหละครับ
    2.พีชนิยาม คือกฏธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต ก้เช่นวิชาชีววิทยาสาขาต่างๆ
    ดูให้ดีนะครับว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ค้หากฏธรรมชาติแบบนี้เลยท่านออกจะไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ เพราะท่านสนกฏที่ยิ่งใหญ่กว่านี้และเป็นพื้นฐานของกฏเหล่านี้ เห้นไหมครับท่านหัวก้าวหน้าแค่ไหน

    3.จิตนิยาม คือกฏธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของจิต เช่นวิชาจิตวิเคาระห์ ของตะวันตก แต่ก็มีข้อสังเกตุนะครับว่าตะวันออกของเราเริ่มวิจัยเรื่องนี้ก่อนตะวันตกเป็น1000ปีก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มีคนศึกษากันในสมัยพุทธกาล แต่นี้ก็ไม่ใช่กฏธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าท่านค้นหาอีก

    4.กรรมนิยาม อันนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าหมายความว่าอย่างไร?คือกฏธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งเราจะพบว่าตะวันตกเองก็ศึกษาเรื่องนี้ผ่านวิชาจิตวิทยาเชิงพฤติกรรม ปรัชญาประเภทมนุษยนิยม สัมคมศาสตร์ทุกชนิด หรืออาจจะรวมชีววิทยาเชิงสังคมผ่านกระบวณการคัดสรรทางธรรมชาติด้วย

    ศาสนาทุกศาสนา แต่ก็มีข้อสังเกตุนะครับว่าตะวันออกของเราเริ่มวิจัยเรื่องนี้ก่อนตะวันตกอีกเช่นกันนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มีคนศึกษากันในสมัยพุทธกาล แต่นี่ก็ไม่ใช่กฏธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าท่านค้นหาอีกเช่นกัน ถึงแม้ว่าท่านจะเน้นสอนเรื่องกรรมและการภาวนาในจิตนิยาม

    จุดหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะชี้คือเราจะพบว่าในบรรดากฏทั้งหมดทั้ง4ข้อนี้มีอุตุนิยม เป็นพื้นฐานสุด เพราะทุกสิ่งก็มาจากสสารและพลังงาน เราสามารถขยายความรุ้เหล่านี้นำมาเชื่อมโยงกันได้ แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสนใจ
    งั้นกฏอะไรเล่าที่พระพุทธเจ้าท่านค้นหา กฏนั้นมีชื่อว่า อิทัปปัจยตา ฟังให้ดีนะครับ นี่แหละครับพระเจ้าในศาสนาพุทธ พระเจ้าของทุกๆศาสนาเลยกฏข้อนี้ เพราะเป็นผู้บันดาลผลลัพท์ทุกๆกรณี
    กฏข้อนี้ถูกจัดไว้ในธรรมนิยามซึ่งเป็นพื้นฐานที่สุดยิ่งกว่าอุตุนิยามอีก
    เป็นพื้นฐานของกฏทุกข้อ ธรรมทุกข้อ ทฤษฏีทุกข้อ และไม่ใช่เรื่องทางโลกเหมือนกฏอีก4ข้อนั้น กฏนี้กล่าวถึงอะไร กฏนี้กล่าวว่า เมื่อมีปัจจัย ย่อมมีผล แน่นอนครับว่ามีคนรู้จักกฏข้อนี้ก่อนพระพุทธเจ้ามากมาย

    แต่ไม่มีใครเลยในชมพูทวีปสมัยนั้นที่ตระหนักถึงความสำคัญและขยายความมันได้เท่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพบกฏที่เป็นพื้นฐานที่สุด กฏแห่งความเป็นเหตุและผล ลองมองดุสิครับว่าทุกทฤษฏีในวิชาอะไรก็ตาม ล้วนเกิดมาจากคำเดียวคือทุกๆผลลัพธ์ย่อมมีสาเหตุของมันอยู่ จุดนี้แหละครับที่เป็นแรงผลักดันให้พระองค์ตรัสรู้ เพราะทุกสิ่งมีเหตุนี่เองจึ่งต้องค้นหาเหตุและแก้ปัณหาที่เหตุ นี่แหละหัวใจของศาสนาทุกศาสนา วิชา ศาสตร์ใดๆก็ตาม
    นี่แหละครับที่พระอัสสชิ ท่านกล่าวกับอุปติสสปริพาชกว่า ครูของฉันท่านสอนว่า ทุกสิ่งย่อมมีเหตุ ครุท่านทรงแสดงเหตุ และหนทางดับเหตุนั้น

    ดังนั้นผู้ที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงพบกฏฟิสิกส์เคมีข้อนั้น ข้อนี้ ก่อนนักวิทยาศาสตร์ท่านนั้นท่านนี้ แม้จะมีเจตนาดีที่จะส่งเสริมพระอัจฉริยะของท่าน แต่นั้นกับยิ่งนำท่านให้มาตกต่ำลง เพราะเจตนาที่ว่าแท้ๆ ไปคิดดูเถอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2010
  7. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ลักษณะเช่นนี้ สันดานเช่นนี้ ตัวตนเช่นนี้ พลังเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้ เหตุเช่นนี้ ปัจจัยสัมพันธ์เช่นนี้ ผลแฝงเช่นนี้ ผลสำแดงเช่นนี้ และต้นปลายสอดคล้องเข้ากันได้อย่างถี่ถ้วนเท่าเทียมกันเช่นนี้ของปรากฏการณ์ทั้งหลาย

    กฏต่างๆมันมีของมันอยู่อย่างนั้น ไม่มีความจำเป็นอะไรที่พระพุทธองค์จะต้องค้นหาเลย
    พระองค์แค่มองมันอย่างที่มันเป็น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น คือ ทางพ้นทุกข์ที่พระองค์ทรงสั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
    อีกอย่างคำว่า กรรมนิยาม เป็นนิยามที่ครอบคลุมพฤติกรรมมนุษย์ และกฏแห่งกรรมนั่นเอง
    เป็นความแน่นอน เป็นเหตุแห่งการลิขิต เหตุพื้นฐานของเหตุต่างๆ
    ส่วนธรรมนิยามจะลึกลงไปอีกที จนถึงระดับต้นธรรมธาตุ
     
  8. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    3.1วันก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้

    ที่เขียนมานี่ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากจะเล่าให้ฟังว่าก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

    ก็จะพูดมันถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์นี่แหละครับ ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ความจริงบางท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่รู้เรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงเลิกวิธีทรมานตัวเอง และการภาวนาแบบเกินจำเป็น และหันไปใช้ทางสายกลาง นี่ต้องคิดนะครับ

    คือข้าพเจ้ามักจะเห็นมีพระบางรูปในบ้านเราหรือต่างประเทศที่ใช้วิธีทรมานตนเพื่อให้รู้แจ้ง หรือไม่ก็ไม่ทำอะไรเลยวันๆเอาแต่ภาวนา ไม่กิน ไม่ดื่ม เอาแต่ภาวนา คือข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่าการภาวนาไม่ใช่เรื่องดี แต่ข้าพเจ้าจะบอกท่านว่ามีเพียงการภาวนาเท่านั้นที่จะทำให้เราเข้าถึงปัญญาที่แท้จริง เพราะการนี่ไม่ใช่ทางสายกลางเพราะมันไม่มีความพอดี ถ้าท่านทำเช่นนั้นท่านก็ไม่เข้าใจพระพุทธเจ้า

    ท่านลองนึกดูเถอะว่าการทรมาณตนหรือเอาแต่ภาวนา แต่ไม่เข้าใจว่าภาวนาไปเพื่ออะไร?นี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากจะทำให้ท่านหลงทาง และบดขยี้ท่านจนแหลกลาน หากท่านเข้าใจการภาวนาที่แท้จริงท่านจะรู้ว่าพุทธย่อมไม่ภาวนาอย่างไรประโยชน์
    แม้แต่การทำงานของท่าน การนอนหลับ ท่านก็สามารถทำให้มันเป็นการภาวนาได้ เพราะการภาวนาที่แท้จริงคือ การตระหนักรู้ในจิตแท้ของตน ตระหนักรู้กับปัจจุบันด้วยสติ

    ดังนั้นหากมีใครสอนท่านว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่า ปัณหาชีวิตต้องแก้ด้วยการบำเพ็ณทางจิต คนเหล่านั้นก็ไม่เข้าใจพระพุทธเจ้า แต่ถ้าเขาบอกกับท่านว่าปัณหาชีวิตแก้ไขได้โดยเริ่มจากการตระหนักรู้ถึงตัวเอง ในขณะปัจจุบันนี้ คนนี้แหละที่เข้าใจพระพุทธเจ้าจริงๆ

    มาที่เรื่องของเราเรื่อง1วันก่อนการตรัสรู้ ว่ากันว่าในวันนี้หลังจากระยะเวลา6ปีที่พระองค์ทรงค้นหา วันนั้จนเป็นวันขึ้น15ค่ำ เดือน6 และในขณะที่ประทับใต้ต้นไทร นางสุชาดาก็ได้ถวายข้าวมธุปายาสแก่พระองค์
    หลังจากทรงรับประทานเสร็จก็ได้ลอยถาดลงไปในแม่น้ำเนรัญชรา พระองค์ทรงจะทำการว่ายน้ำข้ามฝั่งต่อ จุดนี้เองที่ไม่มีอยู่ในพระไตรปิฏกแต่มีอยู่ในประวัติศาสตร์จริงๆ พระองค์ทรงจมน้ำและกำลังจะตาย ไม่ว่านี่จะเป็นเรื่องจริงหรือำไม่อยากให้มอดงที่หัวใจจริงๆของเรื่องนี้ก่อน

    แน่นอนว่าจะมีได้อย่างไร?ในพระไตรปฏิก ถ้าเรื่องราวเป็นไปในทำนองว่ามีเทวดา นางฟ้ามาช่วยย่อมต้องถูกเขียนไว้แน่ เพราะเรามักจะคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ดังนั้นพระองค์จะทรงจมน้ำตายได้อย่างไร? นี่คือความผิดพลาด เรารับ เฉพาะความเป็นอัจฉริยะของพระองค์(หรือแม้แต่ความเป็นสมมุติเทพ) แต่เราปฏิเสธความเป็นมนุษย์ของพระองค์ เพียงเพราะเรารู้ว่าเราไม่ใช่สิ่งสมบรูณ์ มนุษย์ไม่สมบรูณ์แบบไม่มีใครเลย
    เราทำสิ่งที่น่าขำเหมือนที่ชาวคริสต์และชายยิวกระทำต่อพระเยซู คือปฏิเสธความเป็นมนุษย์ (ชาวคริสต์)
    และพระเจ้าของพระองค์(ชาวยิว) ยอมรับเพียงด้านเดียวที่พระองค์เป็น

    แต่นี่ไม่มีใครมาช่วยพระองค์และทรงจะตาย ทันใดนั้นเองก็ทรงเกาะกิ่งไม้ได้และกลับเข้าฝั่งได้

    พระพุทธเจ้าทรงรอดชีวิต และทรงรู้แจ้งในระหว่างที่จะตาย คุณคงเคยได้ยินว่าบางคนเมื่อกำลังจะตาย ก็ได้รู้แจ้งในสิ่งที่ทั้งชีวิตเขาไม่รู้ พระพุทธเจ้าก็เช่นกันพระองค์ทรงรู้อะไร? ประวัติศาสตร์เล่าว่าพระพุทธเจ้าทรงหัวเราะเมื่อขึ้นฝั่งได้ หัวเราะ เป็นครังแรกในรอบ6ปี
    เพราะพระองค์ทรงรู้แล้วว่าที่ผ่านมา6ปีพระองค์ทรงทำสิ่งโง่ๆ ที่สูญเปล่า
    พระองค์ทรงตรัสว่า ฉันลองมาหมดทุกอย่างแล้วไม่ว่าจะเป็น วิธีใดๆก็ตามที่มีคนบอก

    ความสุขทางโลกทุกอย่างก็ลองมาหมดแล้วในตอนที่อยู่ในวัง แต่ฉันก็ยังไม่ค้นพบอะไร? ดังนั้นยังจะมีสิ่งใดอีกเล่าให้ค้นหา ความพยายามที่จะตรัสรู้ เพื่อให้ได้อะไรมา ล้วนสูญเปล่า มันก็เหมือนกับการข้ามแม่น้ำเนรัญชรา นี่แหละขนาดแม่น้ำเล็กๆ ฉันยังข้ามมันไม่ได้เลย แล้วมหาสมุทรแห่งความทุกข์เล่า จะเป็นไปได้อย่างไร?

    ทำไมจึ่งเป็นเช่นนั้น คุณคิดดู
    เถอะพระพุทธเจ้าท่านลองมาหมดทุกวิธี ที่มีคนบอกให้ท่านทำและทรงทำได้ดีอย่างไม่มีที่ติ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้อะไรเลย

    ความพยายามใดๆที่สุดโต่งล้วนนำมาซึ่งความสูญเปล่า เพราะเมื่อท่านมีเป้าหมายท่านจะไขว่คว้า คิดดูเถอะ เพราะท่านคิดว่าชีวิตนิรันดร์มีจริงท่านจึ่งพยายามที่จะไขว่คว้า พระเจ้า
    ทางที่จะไม่ตาย เมื่อท่านมีเป้าหมายที่เป็นอุดมคติท่านก็จะไขว่คว้ามันไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั้งความตายนำพาทุกอย่างไปจากท่าน ความจริงมันก็ไม่ได้เอาอะไรไปจากท่านเลยเพราะก่อนที่ท่านจะมา

    ท่านก็ไม่มีอะไรอยู่แล้วแม้แต่ตัวท่านเอง

    ที่โลกวุ่นวายก็เพราะสิ่งนี้ รัฐในอุคมคติ ความรักในอุดมคติ ฐานะในอุดมคติ ชีวิตในอุดมคติ
    การจะเป็นซึ่งบุคคลในอุดมคติ ทุกอุดมคติล้วนอันตราย ทุกปัญหาในโลกใบนี้

    ก็มีรากฐานมาจากการไขว่คว้าของคนนั้นแหละ คิดดูเถอะ เมื่อเลิกไขว่คว้าก็ไม่มีความทุกข์
    เมื่อพระองค์ทรงเลิกแสวงหาพระองค์ก็ทรงรู้แจ้ง ทรงรู้ถึงอิสรภาพที่แท้จริงจากตัวตนเข้าแล้ว นี่แหละพระนิพพาน การเป็นอิสระจากสิ่งปรุงแต่ง อุดมคติเองก็คือสิ่งปรุงแต่ง
    ว่ากันว่าทรงนอนหลับที่ดงสาละ นี่เป็นครั้งแรกที่ทรงหลับได้อย่างแท้จริง การผักผ่อนก็เป็นการภาวนาอย่างหนึ่งเช่นกัน หากท่านฝึกฝนอย่างถูกวิธี

    ว่ากันว่าหลังจากทรงรับหญ้าคา จากโสตถียะ ก็ทรงเดินต่อไปจนถึงต้นโพธิ และก็ทรงทบทวนสิ่งต่างที่ทรงค้นพบและได้เรียนมา ในรุ่งขึ้นก็ทรงตรัสรู้

    นี่เองคือเรื่องราวทั้งหมดในคืนนั้น

    มาที่เรื่องของพระอานนท์กันบ้างหลังจาก ท่านได้ออกบวชแต่ไม่มีความก้าวหน้าอะไรเลยทั้งที่เจ้าชายพระองค์อื่นทรงรู้แจ้งหมดแล้ว ได้แต่คอยรับใช้ไปเรื่อยๆ วันนั้นพระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า

    "อานนท์ฉันกระหายน้ำเธอช่วยไปนำมาให้ฉันหน่อย ที่ลำธารข้างหน้านั้นแหละ"

    พระอานนท์ก็ทรงไปแต่แล้วท่านก็พบว่า ลำธารได้ขุ่นเพราะมีรถม้าวิ่งผ่านเสียแล้ว ท่านจึ่งกลับมารายงานพระพุทธเจ้าว่า จะไปนำน้ำมาให้จากลำธารที่อยู่ถัดไป

    พระพุทธเจ้าจึ่งทรงกล่าวว่า "อานนท์ฉันต้องการน้ำที่ลำธารนั้น เธอจงกลับไปอีก"

    พระอานนท์กล่าวว่า " แต่ว่าน้ำนั้นสกปรกนี่"

    พระพุทธเจ้าจึ่งทรงกล่าวว่า "อานนท์ฉันต้องการน้ำที่ลำธารนั้น"

    แต่แล้วเมื่อท่านกลับไปก็พบว่าบัดนี้น้ำที่ว่าได้หายขุ่นแล้ว เพราะการตกตระกอน และแล้วพระอานนท์ก็รู้แจ้งในทันใด ใช่แล้ว สรรพสิ่งใดล้วนไม่เที่ยงมันเปลี่ยงไปตามเวลา

    จึ่งกลับไปหาพระพุทธเจ้า

    พระอานนท์กล่าวว่า" ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ว่าท่านต้องการบอกอะไรข้า ที่ผ่านมาข้าพเจ้าพยายามเป็นเงาของท่านโดยตลอด พยายามที่จะรู้แจ้งให้ได้เช่นพระองค์ แต่แล้วก็ไม่ได้อะไรเลย หน่ำซ้ำมันยิ่งทำให้ข้าพเจ้าท้อ และหลุดจากหนทาง เพราะตระกอนที่เกิดจากความคิดปรุงแต่งของข้าพเจ้า

    แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าการพยายามใดๆที่สุดโต่งล้วนสูญเปล่า ดูอย่างแม่น้ำนั้นสิข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องแสวงหา ใดๆเลย เพียงแต่รอเวลาให้มันตกตระกอนเท่านั้น เหมือนกับที่สิ่งปรุงแต่งใดๆในหัวใจของข้าพเจ้า เมื่อข้า พยายามที่จะทำอะไรอย่างสุดโต่ง มีเป้าหมายที่เป็นอุดมคติ ที่นำมาซึ่งอัตตา ข้าพเจ้าก็ยิ่งหลงทาง"

    พระพุทธเจ้าจึ่งทรงกล่าวว่า

    " ในที่สุดเธอก็เข้าใจ คนที่กระหายไม่ใช่ฉันหรอกแต่เป็นเธอต่างหาก แต่ตอนนี้เธอก็ได้รับคำตอบแล้ว ว่าเธอไม่จำเป็นต้องพยายามเพื่อที่จะบรรลุอะไรเลย หรือไขว่คว้าอะไรเลย ยิ่งเธอทำเช่นนั้นเธอก็จะหลงทาง
    สิ่งที่เธอต้องทำก็คือเฝ้าสังเกตุมัน
    รอมันอย่างมีสติและตระหนักรู้ จิตที่เธอเคยคิดว่าเป็นของเธอเพราะความยึดมั่น เมื่อเธอเฝ้าสังเกตุมันและโยนมันคืนไปในที่ที่มันมา เธอก็จะได้เข้าใจเสียที่ว่าปัญญาที่แท้จริง ธรรมที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร"

    คุณว่าจริงไหม?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2010
  9. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    4.เรื่องเล่าของพระเยซุ

    ก่อนอื่นขอให้ท่านล่ะวางทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านรู้ออกเสียมิเช่นนั้น จงอย่าอ่านต่อไป เพราะท่านจะไม่ได้อะไรเลย และมันจะทำให้ท่านเกิดความขัดแย้งมากมายขึ้น หากท่านยังยึดตึดกับตรรกะความถูกผิด
    จงอย่าอ่านต่อ
    แต่หากท่านล่ะวางได้แล้วจงอ่านและถามหัวใจของท่านเองว่า ข้าพเจ้าพูดผิดหรือไม่? ข้าพเจ้าเขียนขึ้นเพื่อให้ท่านลองเปรียบเทียบดูว่าพระเยซูทรงสอนสิ่งเดียวกันกับพระพุทธเจ้าหรือไม่
    สำหรับข้าพเจ้าพระเยซูทรงเป็นมากกว่าผู้รู้แจ้ง พระองค์ทรงเป็นครู ทรงเป็นแสงสว่างที่นำทาง เหนืออื่นใดทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ไถ่บาป พระผู้ช่วยให้รอด และการมาของพระองค์จะสร้างสันติสุขและความชื่นชมยินดีให้เกิดขึ้นในใจ และเหนือสิ่งอื่นใดพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ดังนั้นพระองค์จึ่งไม่สมบรูณ์แบบ
    สำหรับชาวยิวพระเยซูไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า คนบ้า คนโกง คนหลอกลวง ที่แอบอ้างความเป็นบุตรของพระเจ้า พวกเขาไม่แม้แต่จะต้อนรับพระองค์ไม่แม้แต่จะเปิดใจให้พระองค์ พวกเขาเพียงแค่เชื่อตามพระคัมภีร์ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ตกทอดมาจากการเขียนโดยพวกแร็บไป นักบวช แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีใครเคยเห็นพระผู้ไถ่บาปมาก่อนเลย ไม่เคย แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไรวว่าถ้าพระองค์มาจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขารู้ได้อย่างไร? ว่าถ้าพระองค์มาพวกเขาจะพบกับสันติสุขและความชื่นชมยินดีเหนือสิ่งอื่นใดพวกเขาจะพ้นจากการเป็นทาสของชนชาติอื่น แน่นอนว่าเป็นที่รู้กันว่าชนชาติยิว ในสมัยนั้นแทบจะไม่มีเอกราช อิสรภาพเป็นของตัวเองต้องอยู่ภายใต้ชนชาติอื่น พวกเขาไร้แม้แต่แผ่นดินที่จะยืน จึ่งทำได้แค่เพียงรอคอยใครสักคนที่จะมาช่วยพวกเขา พวกเขารอและรอ การเฝ้ารอนี้เองที่ฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของพวกเขาจนวาดภาพไปต่างๆนาๆว่าพระองค์จะต้องทรงเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ แต่เอาเข้าจริงพวกเขาก็ไม่รู้จักพระองค์ พวกเขาปฏิเสธพระองค์ในฐานะบุตรของพระเจ้าและยอมรับพระองค์ในฐานะบุตรมนุษย์ เพราะงั้นเมื่อพวกเขาเห็นพระเยซูพวกเขาจึ่งพูดว่าดูนั้นสิ นี่มันคนบ้าชัดๆ เจ้าคนชั่วเจ้าคนหลอกลวง เจ้าไม่ใช่บุตรของพระเจ้า
    เพราะถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง พวกเราก็จะต้องได้รับการปลดปล่อย นี่อะไรขนาดเจ้ามาพวกเราก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป นี่จึ่งเป็นสาเหตุให้ชาวยิวนับแสนล้มตายจากการแข็งข้อกับโรมัน เพราะเชื่อในพระผู้ไถ่บาปคนหนึ่งที่พวกเขาคิดว่าคนนี้แหละคือตัวจริง

    สำรับท่านเองผู้เรียกตัวเองว่าคริสต์ พวกท่านเองก็ทำเช่นเดียวกับชาวยิว พวกท่านปฏิเสธพระองค์ในฐานะบุตรมนุษย์ธรรมดาและยอมรับเพียงแค่ในฐานะบุตรพระเจ้า ดังนั้นพวกท่านจึ่งไม่ยอมแม้แต่จะให้พระองค์ เกิดจากมนุษย์ธรรมดา เกิดจากหญิงที่มีสามีแล้ว เพราะงั้นพวกท่านจึ่งเอาแต่ที่จะเชื่อ ว่าพระเยซูนั้นถือกำเนิดจากพระวิณญาณบริสุทธิ์ จากสาวที่เป็นพรหมจรรย์
    ข้าพเจ้ามิได้ลบหลู่พระองค์เลยกับการที่กล่าวเช่นนี้ ท่านเองกล้ายอมรับหรือไม่ว่าบ่อยครั้งที่พระเยซูทรงยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ ในขณะที่ในบางครั้งพระองค์เองก็ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านไม่สามารถที่จะแยกบุตรพระเจ้าออกจากบุตรมนุษย์ได้ ทั้ง2สถานะที่ดูเหมือนขัดแย้งกันนั้นความจริงแล้วไม่เคยขัดแย้งกัน ตัวท่านเองต่างหาก ความคิดปรุงแต่ของท่านเองต่างหากที่บอกว่ามันขัดแย้ง ท่านคิดเอาเองเหมือนที่ชาวยิวทำทั้งนั้น ดังนั้นภาพพระเยซูในใจท่านจึ่งเป็นบุรุษรูปงาม ที่ดูอมทุกข์ บุตรผุ้ซึ่งดูเศร้าและสงบเพราะพระองค์เป็นพระผู้ปล่อยบาปให้มวลมนุษย์พระองค์จะทรงมีอารมณ์แบบมนุษย์ไม่ได้ ถ้าท่านคิดเช่นนี้ท่านก็กำลังเข้าใจผิด อย่างรุนแรงท่านจะเห็นว่าบ่อยครั้งที่พระเยซุทรงแสดงความรู้สึกแบบมนุษย์ออกมา พระองค์ทรงโกรธพวกนักบวชที่ใช้การบูชาพระเจ้าบังหน้าหาผลประโยชน์ และต่อว่าเขา พระองค์ทรงหัวเราะ ชื่นชมยินดี ร่วมรับประทานอาหาร สั่งสอน ร่วมสุขทุกข์กับสาวก รักพวกเขา และนี่คือสิ่งที่มนุษย์เป็น
    ดังนั้นพระองคืจึ่งทรงเป็นมนุษย์ยิ่งกว่าใคร พระองค์ทรงแสดงสิ่งที่ควรแสดงออกมาโดยไม่บิดบังเพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะเก็บมันไว้เหนี่ยวรั้งท่าน ดังนั้นพระองค์จึ่งไม่สมบรูณ์ความไม่สมบรูณ์แบบไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีถ้าท่านสมบรุณ์แบบท่านก็จะไม่แสวงหาการเติมเต็มทางจิตวิณญาณ ท่านจะไม่แสวงหาพระเจ้า และเหนือสิ่งอื่นใดท่านก็จะไม่แสวงหาหัวใจของท่านเอง
    ดังนั้นท่านจึ่งไม่เป็นผู้รู้แจ้ง ชีวิตท่านจึ่งมีแต่ความทุกข์และปัณหา และเหนืออื่นใดท่านจะไม่สามารถเป็นได้แบบพระเยซุคือเป็นทั้งบุตรมนุษย์และเป็นบุตรของพระเจ้า
    ดังนั้นท่านจึ่งไม่เข้าใจพระองค์
    ข้าพเจ้าจะไม่พูดถึงเรื่องราวของพระเยซุเรื่องราวเหล่านี้พวกท่านนั้นรู้ดีกว่าข้าพเจ้า แต่ข้าพระเจ้าจะพูดให้ท่านฟังว่าพระองค์ทรงสอนอะไร? บ้างสิ่งที่พระองค์ทรงสอนคุณก็คือการละตัวตน จากสิ่งปรุงแต่งจากขยะที่ท่านสร้างขึ้นและรับมา พระองค์ทรงสอนคุณเรื่องอิสรภาพ จากตัวตนของคุณพระองค์ทรงปล่อยปล่อยคุณจากความทุกข์ที่ตัวคุณเองนั้นแหละสร้างขึ้น จากบาปที่ตัวคุณเองนั้นแหละสร้างขึ้น เพราะยิ่งท่านยึดตัวตนของท่าน ท่านก็จะยิ่งอยากได้อยากมีอยากครอบครอง อยากเป็นที่1 และท่านก็จะทุกข์เพราะสิ่งเหล่านี้ ทั้งๆที่ ที่ที่ท่านจากมาและกำลังจะกลับไปนั้นไม่ได้มอบอะไร? ให้ท่านเลยไม่เคยเลยแม้แต่กระทั้งตัวตนของท่านเอง
    ดังนั้นท่านจะแสวงหาทำไม? การที่ท่านแสวงหาหรือพยายามที่จะได้รับมันมา ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อยนั้นท่านเคยถามหัวใจท่านเองหรือไม่ว่าสุดท้ายท่านได้อะไร? ท่านเหลืออะไรกับไปบ้าง และมีอะไรที่เป็นของท่านอย่างแท้จริงแม้แต่ตัวตนของท่านเองท่านแน่ใจหรือว่าเป็นของท่าน
    พระองค์ทรงรู้ดีว่ายิ่งท่านมีจนเกินพอมากเท่าไร? ท่านก็จะยิ่งไม่มีวันเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ไม่มีวันที่จะละทิ้งมัน เพราะท่านกลัวว่าจะสูญเสียมันไป ดังนั้นผู้ที่ยิ่งมีมากการจะละวางและค้นหาแผ่นดินของพระเจ้ายิ่งเป็นไปได้อยาก จุดนี้เองที่ทำให้พระองค์ทรงกล่าวว่าให้อูฐลอดผ่านรุเข็มยังง่ายกว่า ให้คนที่มีมากละวางและค้นหาแผ่นดินของพระเจ้า
    แผ่นดินของพระเจ้าคืออะไร? คือโลกใหม่ใช่ไหม ที่ท่านกล่าวว่าโลกใหม่ท่านแน่ใจหรือว่านั้นเป็นโลกใหม่ ไม่มันไม่ใช่โลกใหม่มันอาจจะดูดีกว่าโลกใบนี้ หรือแย่กว่า แต่เอาเข้าจริงมันก็เหมือนๆกัน มันมีทุกอย่างที่ ประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้ที่ท่านไม่ได้รับ ไม่เคยเลย และท่านอยากที่จะได้มัน เช่นชีวิตที่เป็นอมตะ ความสวยงาม การมีแต่ความสุขไม่มีความทุกข์ ท่านแค่พยายามที่จะหนีจากตัวเอง ท่านทรยศตัวเอง โดยเอาโลกใหม่บังหน้า
    ท่านเห็นไหมว่ามันไม่ใช่เลย
    แผ่นดินพระเจ้าคือ การเป็นอิสระทางจิตวิณญาณต่างหาก การเป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั้นในตัวตน ดังนั้นแผ่นดินพระเจ้าจึ่งไม่ได้อยู่ในโลกหน้าแต่อยู่ในโลกนี้อยู่ในหัวใจท่านเอง เพราะงั้นพระเยซูจึ่งสอนให้คุณแสวงหาแผ่นดินพระเจ้า แสวงหาความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งปรุงแต่ทางโลก ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติทางโลก แต่แสวงหาความสุขที่แท้จริง ความชื่นชมยินดีที่แท้จริงที่อยู่ในหัวใจท่าน นั้นแหละคืออิสรภาพจากบาป นี่แหละคือการปลดปล่อยที่แท้จริงที่ชาวยิวในยุคนั้นส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ
    แล้วท่านต้องทำเช่นไรจึ่งจะไปถึง ท่านต้องมี3สิ่ง สิ่งแรกนี้สำคัญที่สุด ท่านต้องรู้จักพระเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความถึ่งพระเจ้าที่เป็นบุคคลเปล่าเลย? ข้าพเจ้าหมายถึงพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์สิ่งทั้งปวง พระเจ้าที่มีชื่อว่าความรักนั้นเอง ความรักที่แท้จริงนั้นเป็นคุณธรรมข้อเดียวที่สามารถเป็นพระเจ้า และคุณสมบัติของผู้เป็นพระเจ้า พระเยซูทรงสอนให้คุณรู้จักความรักที่แท้จริงที่คุณไม่เคยรุ้จัก หรือคุณคิดว่ารู้แต่เอาเข้าจริงคุณก็ไม่รู้ว่าความรักคืออะไร หากคุณคิดว่าคุณรู้ว่าความรักคืออะไรเมื่อนั้นคุณก็ได้พ่ายแพ้เสียแล้ว พระองค์ไม่ได้สอนให้คุณนิยามความรัก หรือค้นหามัน เพราะคุณจะไม่มีวันพบถ้าคุณค้นหามันและหวังที่จะเข้าใจมัน มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่คุณจะรู้พระจิตของพระเจ้า สิ่งเดียวที่พระองค์สอนคุณคือจงค้นหาแผ่นดินพระเจ้า ไม่ใช่พระองค์ ไม่ใช่พระเจ้า

    เพราะเมื่อคุณค้นหาแผ่นดินของพระเจ้าพบคุณก็จะรู้จักพระองค์เอง สิ่งที่พระเยซูทรงทำจึ่งเป็นการแนะนำพระเจ้าที่แท้จริงให้กับคุณและพระเจ้าที่แท้จริงนี้แหละที่จะนำพาคุณไปสู่แผ่นดินของพระองค์
    ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะเรียนรู้ความรักคุณจะพบว่าคุณจะไม่วันเข้าใจมันยิ่งค้นหาคุณก็จะยิ่งท้อแท้ เพราะอุดมคติที่อยู่ในใจคุณ ความรักอยู่เหนือเหตุและผล เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงยืนอยู่เหนือกฏเกณฑ์ทั้งมวล คุณแค่ต้องรู้จักรักให้เป็นเท่านั้น ไม่ใช่พยายามที่จะเข้าใจความรักและเป็นนายของมัน เพราะมันจะทำให้ เกิดความสูญเปล่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจความรัก เพราะขนาดสิ่งที่ง่ายดายกว่าอย่างตัวคุณเองคุณก็ยังไม่รู้จักเลย

    คุณแค่ต้องเข้าใจว่าความรักไม่ใช่สิ่งอมตะเพราะมันไม่สมบรูณ์แบบไม่มีอะไรเลยที่สมบรูณ์แบบ ดังนั้นมันจึ่งมีวันที่จะจบลง ถ้าคุณไม่รู้จักที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่และเติมเต็มมันให้แก่กัน เติมเต็มมันขึ้นมาเรื่อยๆในหัวใจคุณและผู้อื่น ทำไมข้าพเจ้าจึ่งกล่าวว่า ท่านจะไม่มีวันเข้าใจความรักเหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะ ความรักนั้นสร้างท่านขึ้นมาหล่อหลอมความเป็นท่านตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ตอนที่ท่านเคยเป็นส่วนหนึ่งของพ่อ แม่ และเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เหมือนที่ท่านไม่เคยเข้าใจว่าชีวิตคืออะไร เพราะท่านกำลังมีชีวิตอยู่นั้นเอง ชีวิตก็คือเวลานี้นี่แหละที่ท่านมัวแต่นั้งถามตัวเองว่าชีวตคืออะไร?

    ความรักอยู่กับท่านมาตลอดที่หัวใจของท่าน เพียงแค่ท่านมองไม่เห็น ไม่สามารถสัมผัสถึง หรือไม่ได้ยิน ความรักเท่านั้นเอง เพราะความพยายามที่จะทำความเข้าใจและเป็นนายของมัน เหนือสิ่งอื่นใดท่านคิดว่ายิ่งท่านมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง คุณภาพชีวิต ฐานะทางสังคม คุณจะยิ่งไขว่คว้าความรักมาได้ นี่คือความเข้าใจผิด

    พระเยซูทรงกล่าวว่า พระเจ้าอยุ่กับท่านเสมอพระองค์เพียงต้องการให้ท่านเปิดประตูเข้าไปหาพระองค์เท่านั้น ดังนั้นมันจึ่งเป็นเหมือนกับชีวิตของท่านที่ท่านจะไม่มีวันเข้าใจมัน
    ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าความรักคืออะไร? ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าเป็นใคร แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ รู้ดีว่าพระองค์ทรงเป็นเช่นไร? พระองค์ทรงเป็นบิดาของข้าพเจ้า ท่าน รวมถึงพระเยซู อย่างที่พระเยซู ทรงบอก มีแต่บิดาและมารดาที่แท้จริงเท่านั้นที่จะสามารถเสียสละเพื่อบุตร สามารถที่จะให้ทุกสิ่งๆทุกอย่างกับบุตรโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน การให้เช่นนี้จึ่งไร้ขอบเขต พระเจ้าที่แท้จริงจะไม่เห็นเราเป็นทาสของพระองค์ ที่ต้องทำเช่นนั้นเช่นนี้อย่างที่พระองค์สั่ง ถ้าคุณคิดว่าความรักคือการบงการให้คนที่เรารักเขาเป็นเช่นนั้นเช่นนี้แบบที่เราต้องการ โดยมีข้อแม้ว่าคุณจะรักเขาถ้าเขาทำเช่นนั้ยน คุณก็กำลังเข้าใจผิดผิดอย่างมหันต์ เพราะคุณไม่ได้รักเขาเลยสิ่งที่คุณทำนั้นเพื่อตัวของคุณเองทั้งนั้น ในเมื่อพระเจ้าทรงรักและปรารถณาดีกับเรายิ่งกว่าใครๆ ดังนั้นพระองค์จึ่งจะไม่บังคับเราแต่จะทรงปลอดปล่อยเรา ปลดปล่อยจิตวิณญาณของเราให้เป็นอิสระจากตัวตน ถึงแม้เชกสเปรียส์ อาจจะเคยกล่าวว่า ความรักทำให้คนตาบอด แต่ข้าพเจ้าจะขอกล่าวว่ามีแต่ความรักเท่านั้นที่มีดวงตาสิ่งต่างๆที่ปราศจากความรักล้วนตาบอด ความรักเป็นพลังลังที่ยิ่งใหญ่ที่จะขับเคลื่อนโลกเป็นบ่อเกิดของศีลธรรมต่างๆ

    มักมีเรื่องเรามากมายเกี่ยวกับศรัทธา แต่ท่านไม่เคยเข้าใจความหมายของศรัทธา ท่านเพียงแค่คิดว่าศรัทธาจะนำมาซึ่งความพอใจของพระเจ้าและท่านจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อพระเยซูทรงรักษาผู้ป่วยจนหายดี ผู้ป่วยเหล่านั้นก็ขอบคุณท่าน ท่านกล่าวว่า จงอย่าขอบคุณเรา เราไม่ได้ทำอะไรเลย แต่จงขอบคุณเพระเจ้าของท่าน ศรัทธานั้นแหละที่ทำให้เจ้าหายดี หากเจ้ามีศรัทธาแม้แต่ภูเขาเจ้าก็สามารถสั่งให้มันลอยไปได้ คุณรู้ไหมว่าพระองค์ทรงสอนวิธีสร้างปฏิหาริยน์ที่แท้จริงให้คุณอยู่

    ปฏิหาริยน์จากความเชื่อของตัวคุณเอง ความเชื่อคือแรงที่จะผลักดันให้คุณทำสิ่งที่ใครก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ขึ้นมา พระองค์ทรงศรัทธาในตัวคุณว่าคุณจะสร้างปฏิหาริน์ขึ้นมาด้วยตัวคุณเองได้ วัยรุ่นปฏิเสธยาเสพติดและหันหน้าให้กีฬา ชายที่ไม่เคยมีเวลาให้ลูก กับสามารถสละเวลามาอยู่กับลูกมาเติมเต็มความรักให้แก่กัน
    นี่แหละปฏิหาริยน์ การทำเรื่อเหนือธรรมชาติแบบในพระคัมภีร์ไม่ใช่ปฏิหาริยน์ที่แท้จริง
    มันคือ

    การเล่นกลกระจอกเท่านั้นเมื่อเทียบกับปฏิหาริยน์ที่แท้จริงนี้ นี่แหละศรัทธาที่พระเยซูทรงบอกคุณ พระเจ้าทรงบอกคุณ ความมุ่งมั้นที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นเอง

    เมื่อโนอาห์ ต่อเรือขึ้นมาพร้อมสรรพสัตว์แต่ล่ะคู่ คนเรากับหลงลืมที่จะมองศรัทธาที่แท้จริง ที่โนอาห์มีต่อพระเจ้า และพระเจ้ามีต่อโนอาห์ ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ คนเราก็ดูจะไม่ค่อย
    สนใจมันเท่าความโกรธของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ พวกเขาไม่เคยมองเลยว่า สรรพสัตว์มากมายมากันเป็นคู่ๆเพื่อมาให้กำลังใจแก่กัน มาเติมเต็มความรักให้แก่กัน ครอบครัวของโนอาห์ก็เช่นกัน พวกเขามีกันและกัน พวกเขาศรัทธาในกันและกัน พวกเขารักกัน พวกเขารู้จักพระเจ้า สรรพสัตว์เหล่านั้นก็เช่นกัน คุณจะเห็นได้ว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงทำอะไรเลยพระองค์แค่ทรงอยู่กับพวกเขาพระองค์คือความรัก ที่เป็นพลังให้พวกเขาก้าวเดินไปร่วมกัน ทั้งครอบครังโนอาห์และสรรพสัตว์ พวกเขาและมันศรัทธาในกันและกัน และช่วยเหลือกันจนเรือเสร็จ

    ปฏิหาริยนืที่แท้จริงเกิดที่ตรงนี้ ไม่ใช่จากการภาวนาแล้วพระเจ้าจะให้ คุณคิดว่าถ้าคุณเป็นบิดา เมื่อลูกคุณขอความกล้า คุณจะมอบความกล้านั้นให้เขา หรือเส้นทางไปสู่ความกล้านั้น ถ้าลูกคุณขอให้ความรักผูกพวกเขาไว้ด้วยกันคุณจะให้เขาหรือจะมอบเส้นทางให้เขาไปสู่สิ่งนั้น
    ไปคิดดูเถอะ ว่าการภาวนาคือ ความตั้งใจว่าจะทำสิ่งนั้นใช่ไหม คือการตระหนักรู้ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่อนาคต ว่าตัวเองต้องทำอะไรใช่ไหม?
    ความศรัทธาคือ ความเชื่อในตัวคุณเองเมื่อลงมือกระทำใช่ไหม
    พวกคุณมีพลังที่จะสร้างปฏิหาริยน์ พระเจ้าสร้างพวกคุณมาเช่นนั้นจงตระหนักรู้เถอะ

    แล้วพระเยซูสอนอะไร? พระองค์สอนให้คุณอ่อนแอเมื่อคุณอ่อนแอ คุณอ่อนแอ คุณจะได้รับการยกให้สูงขึ้น เมื่อคุณอ่อนแอคุณจะสามารถอภัยให้ทุกสิ่ง แม้แต่คนที่คุณไม่ชอบเขา คนที่คุณเกลียดเขา คุณจะสามารถให้ได้โดยไม่มีเหตุผล คุณจะสามารถยื่นแกล้มอีกข้างให้ใครตบคุณก็ได้ ความอ่อนแอจึ่งเป็นสิ่งดี เพราะมันทำให้คุณตระหนักรู้ถึงหัวใจคุณ สร้างศรัทธา รู้จักที่จะก้าวเดินออกไป จนคุณละวางตัวตนลง ได้

    คนที่อ่อนแอนั้นแหละคือผู้แข็มแข็งอย่างแท้จริงเพราะเขาตระหนักรู้ว่าเขาไม่สมบรูณ์แบบ เมื่อคุณอ่อนแอคุณจะไม่ล้มเพราะจะมีคนประคองคุณ คุณจะรู้จักพระเจ้าและเข้าถึงแผ่นดินของพระองค์

    สำหรับเรื่องชีวิตนิรันดร์ ข้าพเจ้าขอบอกว่ามีอยู่จริง เพราะท่านเองไม่เคยเกิดหรือตาย ท่านคิดดูเถอะไอ้สิ่งที่ท่านเรียกว่าความตายนั้น เป็นภาพลวงตาใช่หรือไม่ ก่อนที่ท่านจะเกิดท่านเคยเป็นส่วนหนึ่งของพ่อแม่ท่าน ท่านเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร และสิ่งต่างที่พ่อแม่ท่านรับมาจากสิ่งแวดล้อม บรรพบุรุษ และจักรวาล ดังนั้นที่จึ่งไม่เคยเกิดเพราะท่านอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว พร้อมจักรวาล บางทีอะตอมหนึ่งของท่านอาจจะเคยเป็นอะตอมหนึ่ง พลังงานส่วนหนึ่งของพระเยซุพุทธเจ้า เล่าจื่อ ของสัตว์ตัวนั้นตัวนี้ ต้นไม้ต้นนั้นต้นนี้ก็เป็นได้ เมื่อท่านตายท่านก็ไม่ได้หายไป อะตอมของท่านก็แค่แปรรูปไป พลังงานของท่านก็แค่แปรรูปไปบางทีอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งต่างๆ ดังนั้นท่านจึ่งไม่เคยตาย เหนือสิ่งอื่นใดท่านอาจจะมีชีวิตอยู่ในหัวใจของใครสักคนที่รักท่านก็เป็นไปได้
    พระเยซูไม่เคยตายบนไม้กางเขน นี่คือความเชื่อของข้าพเจ้า และครุของข้าพเจ้าซึ่งเป็นชาวอินเดีย ซึ่งท่านได้มีโอกาศเห็นหลุมศพของพระเยซุข้างท่านโมเสธนั้นเอง เป็นที่รู้กันว่าหากถูกตรึงกางเขนคนเราจะตายภายใน7วันหรือนานกว่านั้น พระเยซุถูกตรึงเพียง6ชั่วโมงก่อนเย็นที่จะถึงวันสะบาโต เป็นไปได้ว่าปีลาตจะทรงเห็นใจ จึ่งพยายามถ่วงเวลาจนเป็นบ่ายโมงก่อนถึงวันสะบาโต ดังนั้นพระองค์จึ่งไม่ตาย ที่เป็นเช่นนี้เพราะปีลาต
    พบคำตอบในใจว่าพระองค์ไม่ผิดถึงแม้จะทรงแปลกประหลาดไปบ้าง แต่พระองค์ทรงรู้แจ้งจริงๆ นี่เป็นแค่แนวคิดหนึ่งเท่านั้น แต่เขาเองก็ไม่มีอำนาจพอที่จะช่วยพระองค์และปล่อยพระองค์ไป
    ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ในการตอบคำถามเรื่องการคืนชีพ ว่ากันว่าในวันที่ถูกตรึงกางเขน พระเยซูทรงกล่าวว่าพระบิดาเหตุใดท่านจึ่งล่ะทิ้งข้าพเจ้า แน่นอนว่าชาวยิวทำกับพระองค์ แบบที่ไม่น่าให้อภัย พระเยซุกำลังได้รับการทดสอบแล้วว่า พระองค์จะทรงทำในสิ่งที่พระองค์สอนมาทั้งชีวิตได้หรือไม่ พระองค์จะทรงรักพวกเขาได้หรือไม่ ทั้งที่พวกเขาทำกับพระองค์เช่นนี้ แน่นอนว่าพระองค์อาจจะทรงคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ แต่แล้วพระองค์ทรงตระหนักรู้ทุกๆสิ่งที่พระองค์สอนมาทั้งชีวิต บัดนี้พระองค์เข้าใจมันจริงๆแล้ว

    จึ่งทรงกล่าวว่า พระบิดาข้าขอให้ท่านจงอภัยให้พวกเขา พวกเขาไม่ผิด เพราะพวกเขาไม่รู้ พระองค์ทรงสอบผ่านแล้ว ใช่พระองค์ทรงรักพวกเขาแบบไม่มีเงื่อนไขและทรงอภัยให้พวกเขา นี่แหละความหมายของการชำระบาปที่พระเยซูทรงกล่าวว่า จงสำนึกบาปของเจ้าจงรักและให้อภัยทุกสิ่ง แล้วบาปของเจ้าจะถูกชำระ จงกลับใจเถอะ
    หลักฐานหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องพระเยซุไม่ได้ทรงตาย เพราะกางเขนคือ หลุมศพนั้นข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้วว่าเป็นที่ใด หลุมศพท่านโมเสธอยู่ที่ใด ท่านน่าจะรุ้ดีกว่าข้าพเจ้าก็ที่นั้นแหละ ว่ากันว่ามีอยู่2หลุมจริงๆที่ไม่ได้หันหน้าเข้าหาเมกกะ ทั้งที่หลุมศพอื่นของชาวอิสลามหัน และเป็นเพียง2หลุมศพที่มีจารึกเป็นภาษาฮิบรู ซึ่งบริเวณนั้นก็เป็นที่อยู่ของชาวยิวอีกกลุ่มเช่นกันที่ว่ากันว่าในช่วงชีวิตสุดท้ายท่านโมเสธออกค้นหาพวกเขา เพราะการหลงกันตอนหนีชาวอียิปต์ และเป็นไปได้ว่าพระเยซุทรงรู้แจ้งแล้วว่าความพยายามที่จะให้ได้อะไรมา เช่นพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโลกและความเชื่อนั้นไร้สาระ มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย อิสรภาพที่แท้จริงต่างหากคือแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์ทรงได้บทเรียนที่สำคัญที่สุดจากชาวยิวแล้ว พระองค์จึ่งทรงจากมาและมาใช้ชีวิตอยุ่ที่นี่ จวบจนวันตาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2010
  10. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    5.บทสรุปพระศาสนา

    โปรดพิจารณาเถอะครับ
    ว่าอะไรคือคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ

    มีเพียงถ้อยคำเดียวจากพระวจนะ
    84000พระธรรมขันธ์
    สรุปเหลือเพียง

    สรรพสิ่งใดในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยง ดังนั้นไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่มีความยึดมั่นก็ไม่มีเป้าหมายให้ไขว่คว้า ไม่มีความวุ่นวายปรุงแต่งจิต อิสรภาพที่แท้จริงคือนิพพานนั้นเอง


    แค่ข้อความนี้ข้อความเดียวก็ครอบคลุมทั้งหมด84000พระธรรมขันธ์แล้ว ถ้าท่านทำได้ท่านก็ไม่จำเป็นต้องรู้84000พระธรรมขันธ์แต่จะทำจริงนะยากมาก


    แม้แต่สิ่งที่ท่านเรียกว่าเป็นธรรม ก็ไม่สามารถที่จะ ถือ เป็นตัวตน ดังนั้นจึ่งตอบได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร? เราไม่รู้


    เพราะธรรมที่แท้จริงมันไม่แม้แต่จะ พูดอะไรออกมา มันแสดงออกมาเป็น คำพูด ไม่ได้

    ถึงจุดนี้เดี๋ยวก็จะมามีผู้เห็นแย้ง รับไม่ได้ เพราะตัวกูของกูของเขาทำงานหาว่า ข้าพเจ้าลบหลู่ธรรมของพระพุทธเจ้าว่าไม่มีอะไรเลย หากท่านมี สติปัญญา ละเอียด สุขุม แยบคาย มีความสำรวม ระมัดระวัง สงบอกสงบใจมากจริง จงพิจารณาด้วยความไม่หวั่นไหวเถอะว่า

    คำพูด อย่างที่ เล่าจื้อ ว่า "คนรู้ไม่พูด คนที่พูด นั้นไม่ใช่ คนรู้" นี่ก็หมายถึง ตัวธรรมะจริงๆ นั้น มันพูดไม่ได้

    ถึงแม้ ที่ผม กำลังพูด อยู่นี่ ก็เหมือนกัน ยังไม่ใช่ธรรมะจริง เพราะมันยังเป็น ธรรมะที่พูดได้

    ธรรมจริงมันสอนกันไม่ได้ มีแต่ตัวท่านเองนั้นแหละที่จะค้นหามันเอง ปฏิบัติด้วยตัวท่านเอง ลองทบทวนดูว่า ท่านเคยเข้าใจ ซึมซาบ ในความจริง หรือ ในทฤษฎีอะไร อย่างลึกซึ้ง จนท่านรู้สึกว่า ท่านไม่อาจ บรรยาย ความรู้สึก อันนั้น ออกมา ให้ผู้อื่นฟัง ได้จริงๆ บ้างไหม? ถ้าเคย ก็แปลว่า ท่านจะเข้าใจถึง สิ่งที่พูด เป็นคำพูด ไม่ได้

    ขอให้ถือว่า เรากำลังพูดกัน ถึงเรื่องวิธี หรือ หนทาง ที่จะเข้าถึงธรรมะจริง ก็แล้วกัน แต่ว่า เมื่อเข้าถึงธรรมะจริง แล้ว มันเป็นเรื่อง ที่จะต้อง หุบปาก แต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นสิ่งที่ จะต้องมองในด้านลึก เห็นชีวิต ด้านลึก รับรองไม่ขาดทุน และก็ไม่ใช่ว่า เป็นเรื่องเศร้า หรือ เป็นเรื่องน่าเบื่อ จนเกินไป



    ต่อมาแล้วข้อควรปฏิบัติและ ไม่ว่าท่านจะเรียกว่าศีล หรือ จริยธรรมในการดำเนินชีวิตนี่เป็นเรื่องทางโลกนะครับ

    ไม่ว่าจะมีกี่ร้อยกี่พันข้อสรุปเหลือข้อเดียวเท่านั้นที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

    คืออย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัวท่านก็จะไม่ทำผิดศีลข้ออื่นๆเลย ดังนั้นจะกี่10กี่10000ก็ไม่สำคัญ

    และอะไรคือธรรมที่ท่านต้องมี ง่ายครับความรักไงครับ ท่านจะเรียกพรหมวิหาร4ก็ได้แค่ท่านมีข้อนี้ท่านก็เป็นพรหมเป็นพระเจ้า แล้วครับไปดุเถอะว่าพระเจ้าที่แท้จริงเป็นเช่นไร? เมื่อมีความรักก็ลืมสิ้นซึ่งความแตกต่างระหว่าตนเองและผู้อื่น ดังนั้นจึ่งไม่มีความเห็นแก่ตัว เมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัวก็ไม่มีสิ่งมากระตุ้นเตือนกิเลส และความปราถณา

    อย่าตั้งคำถามว่าศาสนาพุทธสอนอะไร
    แต่จงตั้งว่าว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร? พุทธศาสนา สอนอย่างไร?
    ก็จะตอบว่าท่านเรารู้ ถึงรู้ก็ลืมไปแล้ว เมื่อข้าพเจ้าลืมสิ้นก็ไม่มีธรรมให้ยึดมั่น ไม่ตรรกะ ปรัชญาให้ค้นหา ไม่มีถูกและผิด
    เมื่อท่านตระหนักรู้ก็จะลืมสิ้น
    วิชชา และอวิชชา
    จึ่งลืมสิ้นเกิดและดับ
    เพราะไม่มีแม้แต่ตัวข้าตัวท่านให้ยึดมั่น ไม่มีแม้ธรรมะและกฏเกณฑ์ เพียงอิสรภาพจากความว่างจากสิ่งปรุงแต่งจิต

    คิดดูเถิดว่าศาสนาพุทธเป็นเพียงผลพลอยได้ของการแสวงหาสัจธรรมของพระพุทธเจ้า
    หากท่านตั้งคำถามว่าพุทธศาสนา สอนอย่างไร ก็ควรจะตอบว่า สอนให้แก้ไขปัญหาชีวิต เพราะจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา คือมุ่งหมายจะแก้ไขปัญหาชีวิต
    เพื่อความสุขบนโลกใบนี้

    เพื่อให้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ โดยไม่มีความทุกข์ ณที่นี่เดี๋ยวนี้นี่แหละไม่ต้องไปรออนาคต หรือชาติไหนๆ

    บางคนอาจจะแย้งว่า คำสอนของพุทธศาสนา มีอยู่เป็นขั้นๆ ความมุ่งหมายก็ควรจะมีเป็นขั้นๆ เช่นให้มีความเจริญในโลกนี้ แล้วจึ่งมีความเจริญในโลกหน้าเมื่อตายไปคือไปถึงสวรรค์ แล้วจึงถึงความเจริญอย่างเหนือโลกทั้ง3หรือไปถึงนิพพาน ดังที่ชอบพูดกันว่า มนุษยสมบัติ สวรรค์สมบัติ และ นิพพานสมบัติ

    ความเชื่อเช่นนี้น่าขำมากที่เป็นเช่นนี้เพราะ
    เขาเหล่านั้น ไม่ทราบว่า สมบัติทั้ง ๓ นั้น เป็นเพียงระดับต่างๆ ที่ต้องลุถึงให้ได้ในโลกนี้ และเดี๋ยวนี้ หรือในชาตินี้นั่นเอง ไม่ใช่เอาสวรรค์ ต่อเมื่อตายแล้ว และเอานิพพาน หลังจากนั้น ไปอีกไม่รู้กี่สิบชาติ

    ความหมายที่ถูกต้องนั้น
    มนุษยสมบัติ หมายถึง การได้ประโยชน์ อย่างมนุษย์ธรรมดาสามัญ จะลุถึงได้ ด้วยแรงงานเข้าแลก
    สวรรค์สมบัติ นั้นหมายถึง ประโยชน์ที่คนมีสติปัญญา มีบุญ มีอำนาจวาสนา เป็นพิเศษ จะพึงถือเอาได้ โดยไม่ต้องเอาเหงื่อไคลเข้าแลก
    ก็ยังมีชีวิตรุ่งเรืองอยู่ได้ ท่ามกลางทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง และ ความเต็มเปี่ยมทางโลก
    เช่น นักวิชาการประเภทปัญญาชน นักธุรกิจ ชนชั้นปกครอง
    นิพพานสมบัติ นั้นหมายถึง การได้ความสงบเย็น เพราะไม่ถูก ราคะ โทสะ โมหะ เบียดเบียน ใครก็เข้าถึงได้ไม่จำเป้นต้องเป็นนักบวช คนธรรมดานี่แหละหากท่านสามารถทำลายความยึดมั่นถือมั่นได้ ท่านก็จะประหารกิเลสได้จนหมด

    การเข้าถึงความว่างแต่ไม่ยึดติดกับความว่าง จึ่งเป็นแก่นที่แท้จริงของศาสนาพุทธเมื่อรู้ เช่นนี้ก็ไม่มีพุทธ ไม่มีศาสนา ไม่มีชาวพุทธ ไม่มีจักรวาล วัฏสงสาร
    เมื่อไม่มีกระจกและฝุ่นจะจับได้อย่างไร?
     

แชร์หน้านี้

Loading...