ผมบ้า : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 7 มกราคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ท่านภิกษุสามเณรทั้งหลายและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทผู้รับฟัง วันนี้ก็มาฟังเรื่องในสมัยที่ผมเป็น คนบ้า และก็วันที่พูดเก็บเสียงไว้เป็น วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๗ เผื่อว่าผมตายไปแล้วจะได้ทราบว่าผมพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไร
    ความ จริงเรื่องผมเป็นคนบ้านี่ผมเป็นมาหลายปี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๘ ความบ้าของผมมาระงับลงเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอยากจะถามว่าทำไมจึงบ้า แต่ความจริงผมรู้สึกตัวว่าผมยังไม่ได้บ้า แต่ว่าถ้าจะบ้าก็ใช่เหมือนกัน ที่ว่าใช่ก็เพราะว่าอารมณ์ไม่เหมือนคนอื่น



    ตามธรรมดาถ้าเราเข้าวงเหล้าไปนั่งกับคนที่เขากินเหล้าด้วย ถ้าเราไม่กินเหล้าเขาหาว่า "เราบ้า"



    เขาเล่นการพนัน ถ้าเราไม่เล่นการพนันกับเขา เขาก็หาว่า "เราบ้า"



    ทีนี้ถ้าเข้าวงพระ ถ้าพระท่านเอาแต่ตำราอย่างเดียว และก็ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมดาคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าซึ่งไม่มีความรู้เหมือนเขา เขาก็หาว่า "เราบ้า"



    แต่สำหรับความบ้าของผมไม่ใช่แต่ว่าพระจะให้บ้า มันเป็นทั้งพระ ทั้งประชาชนหลายคนด้วยกันที่เขาให้บ้า


    ความก็มีอยู่ว่า เมื่อ พ. ศ.๒๕๑๘ ปีนั้นหล่อรูปหลวงพ่อปาน ที่วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี ท่านหญิงภาวดี คือ หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี ท่านได้ทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราขินี นาถให้ทรงมาเททอง และตามธรรมดาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถ้าเสด็จไปไหน สิ่งมหัศจรรย์ที่เราไม่คิดจะปรากฏขึ้นเสมอ นั่นคือฝนตก อากาศปกติธรรมดา ๆ ก็ไม่น่าจะมีฝนตก ก็มีฝนตกลงมาแต่เวลาที่ฝนตก ฝนไม่ทำความเสียหายให้แก่งานเลย ทุกคนกลับมีความชุ่มชื่น เพราะเวลานั้นเป็นฤดูร้อนมาก คือ เดือนเมษายน แต่ว่าพอเวลาใกล้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาถึงจริง ๆ ฝนก็หายหมด ปรากฏว่าคนทุกคนได้รับความชื่นใจเป็นพิเศษ


    อาการ อย่างนี้บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัทที่รับฟังโปรดทราบ จะคิดว่าฝนตกเป็นเรื่องธรรมดาของดินฟ้าอากาศ อันนี้ไม่จริงแน่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพิสูจน์แล้วเวลาพวกเรา ๆ มากันเอง พระมากันตั้งเยอะแยะ ทำไมฝนไม่ตก และก็ฤดูนั้นก็ไม่ใช่ฤดูฝน ก่อนหน้าที่ฝนจะตกก็ไม่มีทีท่าเลยว่าฝนจะตก



    (สำหรับวันนี้ได้ยิน เสียงกระแหร่มแอมไอ ขากเสมหะบ้างก็ต้องขออภัยเพราะยังป่วยอยู่มาก ตอนเช้าเดินโซซัดโซเซ ถึงเวลาบ่ายโมงอาการยังไม่ค่อยดีขึ้นมาตอนนี้ก็รู้สึกว่าใจสั่นระริก แต่ว่าเพื่อธรรมะผมก็ทำ ทำเพื่อช่วยการปฏิบัติของบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ฉะนั้นถ้าหากว่าเสียงจะแหบแห้งไปบ้าง การขากเสมหะจะปรากฏขึ้นก็ต้องขออภัย)


    เป็น อันว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ และมีพระบรมราชินีนาถเสด็จด้วย การเททองปรากฏขึ้น ต่อมาก็มีโอกาสได้เฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอุโบสถ พระองค์ก็ตรัสถามหลาย ๆ อย่าง



    แต่ว่าพวกคุณทั้งหลายโปรดทราบไว้ด้วย นะ การจะคุยกับคนก็ต้องดูว่าคนประเภทนั้นเป็นอะไร นี่ผมไม่ได้หมายความว่าพระองค์เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทย โดยเฉพาะ ผมหมายถึงว่าท่านผู้จะคุยกับเราเป็นผู้ทรงธรรมหรือเปล่า



    สำหรับพระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ผมทราบมาดีว่า พระองค์ทรงธรรมดีเลิศ ผมก็ไม่เคยเห็นใครปฏิบัติได้ดีอย่างพระองค์
    ถ้า จะถามว่า เอาผมเข้าไปเปรียบเทียบ อย่าเลยครับ อย่าเข้าไปเปรียบเทียบกับท่าน พระกับฆราวาสเปรียบเทียบกันไม่ได้ พระมีภารกิจน้อยกว่าฆราวาส ฆราวาสมีภารกิจมากกว่าพระ เพราะต้องทำมาหากิน พระนี่มีชีวิตอยู่เพราะอาศัยฆราวาสเลี้ยงโดยตรง



    ข้อนี้ขอบรรดา เพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่านจงอย่าลืม ถ้าลืมข้อนี้กลายเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณคน ความดีของพวกเราจะหมด ไม่ปรากฏว่าเป็นคนมีความดี เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า

    "นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" ซึ่งแปลเป็นใจความว่า



    "ความเป็นผู้มีความกตัญญูรู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้ว (คือท่านช่วยเราแล้วท่านสงเคราะห์เราแล้ว) และเราก็ตอบสนองท่านด้วยความดี พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นคนดี"

    ถ้า เราขาดความกตัญญูรู้คุณท่านผู้มีคุณ ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ทรงยกย่องว่าเป็นคนดี เราก็เป็นคนเลว ฉะนั้นขอท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมความดีของท่านที่สงเคราะห์


    แต่สำหรับ ฆราวาสก็ต้องดูเหมือนกัน ท่านส่งเสริมเรา ท่านสงเคราะห์เราหรือท่านทำลายเรา สำหรับท่านที่ทำลายเราเราก็เฉย ๆ อย่าไปโกรธท่าน อย่าไปว่าท่าน ให้ถือว่าอาการอย่างนั้นมันเป็นกฎของกรรม ในเมื่อกรรมชั่วช้าไปสนองใจของท่าน เข้าไปครอบใจ ท่านผู้นั้นก็จะทำความดีอะไรไม่ได้เลย ใครเขาทำดีเห็นเป็นชั่ว ใครเขาทำชั่วเห็นเป็นดี ตัวเองก็ชอบประพฤติชั่ว ชอบเบียดเบียนคนอื่นอยู่เป็นปกติ นี่เป็นลักษณะของอกุศลกรรมครอบงำจิต
    แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ อย่าลืมว่า พระองค์ทรงธรรมดีมาก จะเห็นว่าการปฏิบัติของพระองค์ การเสด็จไปเยื่ยมเยียนบรรดาประชาชนทั้งหลาย ความจริงพระองค์ไม่ได้เสด็จไปเยี่ยมเฉย ๆ ไม่ใช่ไปถามอย่างโน้นไปถามอย่างนี้แล้วก็กลับ ไม่ใช่อย่างนั้น อย่างนั้นก็ยังถือว่าดี แต่ว่าดีไม่มาก แต่ว่าที่พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อย ใครเขาขาดแคลนน้ำหาทางให้มีน้ำขึ้น ใครเขามีความอดอยากหาทางให้มีฐานะดีขึ้น ทรงห่วงใยประชาชนเป็นอย่างเลิศ อันนี้จะต้องคิดว่าความดีอย่างน้อยที่สุด



    คำว่า "ความดีอย่างน้อย" นะ พระองค์ต้องทรงคุณธรรม ๔ ประการครบถ้วนเป็นอันดับแรก นั่นคือ "สังคหวัตถุ ๔" ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สังคหวัตถุ ๔ ประการนี่ เป็นปัจจัยให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ในท้องที่ที่เราอยู่ ถ้าสามารถปฏิบัติได้ทั้งโลก โลกก็จะมีความสุข



    สังคหวัตถุ ๔ ก็คือ

    ๑. ทาน การให้ การยื่นโยน การให้แกงบ้าง ให้ข้าวบ้าง ให้ของใช้บ้าง ตามกำลังที่เราจะพึงสงเคราะห์ เขาอดเราให้ เขาไม่มีเราให้ ถ้าเราไม่มี เราอด เขาก็ให้เหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า



    "ปูชา ละภะเต ปูชัง" ผู้บูชาเขาย่อมได้การบูชาตอบ


    "วันทโก ปฏิวันทนัง" เราไหว้เขา เราก็ได้ไหว้ตอบ



    คำว่า "บูชา" หมายถึง "การยอมรับนับถือ" ไม่ใช่หมายถึงการจุดธูปเทียนบูชากัน ไม่ใช่อย่างนั้น ยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ไม่เหยียดหยามไม่ทำลายซึ่งกันและกัน ยอมรับสิทธิซึ่งกันและกัน

    ๑. ไม่คิดประทุษร้ายร่างกายเขา ๒. ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นมาโดยไม่ชอบธรรม
    ๓. ไม่ยื้อแย่งคนรัก๔. ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ
    ๕. ไม่พูดส่อเสียด ยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน๖. ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์
    ๗. ไม่ดื่มสุราเมรัย๘. ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นใดมาโดยไม่ชอบธรรม
    ๙. ไม่คิดประทุษร้ายใคร ๑๐. ทำความเห็นให้ถูก


    คือ รวมความว่าถ้าอาการทั้งหมดนี้ทรงตัว โลกก็มีความสุข ทีนี้ปัจจัยส่วนหนึ่งที่เราเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ก็เป็นเหตุให้มีความดี ความชอบ ต่างคนต่างรักกัน ต่างคนต่างถนอมน้ำใจกัน และต่างคนต่างเป็นมิตรกัน ต่างคนต่างดีเข้าหากัน มันก็มีความดี เขาขาดแคลนเราให้ เราขาดแคลนเขาให้ ต่างคนต่างรักกัน
    ๒. ปิยวาจา วาจาที่น่ารัก ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความสุขกายสุขใจเหมือนกัน ต่างคนก็ต่างรักกัน



    ๓. อัตถจริยา การช่วยเหลือในการงานของบุคคลอื่น ที่เขาขาเแคลนการงาน อันนี้ก็เป็นปัจจัยให้รักกัน



    ๔. สมานัตตา การไม่ถือตัวถือตน อันนี้ก็ปัจจัยให้เกิดความรัก
    รวม ความว่าอันดับแรก ความดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันดับแรกนี่สังคหวัตถุ ๔ ประการ พระองค์ทรงครบถ้วน เป็นความดีเบื้องต้นที่เราจะพึงเห็น


    ต่อไปก็เป็น ความดีอันดับที่สอง นี่ผมไม่ได้จัดเรียงลำดับตามธรรมะนะ อันดับที่สองนี่ผมแปลกใจในพระองค์ ผมก็ต้องถือว่าผมสู้พระองค์ไม่ได้ เพราะว่าพระองค์มีภารกิจมาก ทำได้อย่างนั้น ผมทำยาก นั่นก็คือ ไม่ทรงนินทาใคร ไม่ทรงตำหนิใครว่าเลว

    ผม ได้มีโอกาสได้เฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง ก็ต้องบอกว่าหลายครั้งไม่เคยทรงตำหนิใครเลย อันนี้ แหม...เป็นเรื่องหนักที่คนอื่นทำได้ยากจริง ๆ และการถือพระองค์ว่าพระองค์เป็นอะไร พระองค์ก็ไม่มี เข้าไปหาใครก็ตามทรงถือว่าเป็นกันเองอยู่เสมอ จะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเวลาเสด็จเยี่ยมประชาชนพระองค์ก็ทรง นั่งใกล้ ๆ เขา คุยกันแบบธรรมดา ๆ กับปู่ย่าตายายทั้งหลาย และบรรดาพสกนิการทั้งหลาย ท่านคุยตามปกติ บางครั้ง ผมเห็นท่านนั่งพับเพียบคุยกับบรรดาคุณยายทั้งหลาย นี่การไม่ถือตัวไม่ถือตนของพระองค์นี่ดีเยี่ยม



    แต่ว่าครั้งหนึ่งพระองค์ตรัสกับผมเองว่า "กิเลสหยาบที่มีความชั่วมากก็คือมานะ การถือตัวถือตน" พระองค์ทรงถือว่าการถือตัวถือตนเป็นความหยาบของอารมณ์ เป็นความหยาบของจิต เป็นกิเลสที่หยาบมาก อันนี้จริงและก็ไม่ทรงถือพระองค์จริง ๆ


    ผมเคยพบ ข้าราชการผู้ใหญ่หรือเศรษฐี ข้าราชการผู้ใหญ่จริง ท่านก็ไม่ถือตัว แต่เท่าที่ผมพบนะข้าราชการผู้ใหญ่ ข้าราชการผู้น้อยส่วนใหญ่จริง ๆ ท่านไม่ถือตัวสำหรับผม แต่ว่ามีบางจุดท่านกลายเป็นภูใหญ่ไป วางท่าซะมองหน้าไม่ไหวเลย เต๊ะท่า บางทีพูดน้ำลายเขาเรียกว่าไม่มีหางเสียง ภาษาชาวบ้านผมนึกไม่ค่อยออก คือพูดห้วน ๆ สะบัด ๆ ส่วนมากมักจะเป็นขุนนางผู้น้อย วางตัวเกินพอดี ผมเห็นแล้วผมก็สลดใจ


    อีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญที่สุดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นก็คือ ทรงจิตเป็นฌานสมาบัติได้ดีเป็นเลิศ ผมขอสรรเสริญพระองค์ ความจริงการสรรเสริญของผมนี่ก็คงไม่มีผลตอบสนองเป็นวัตถุ ทั้งนี้เพราะผมไม่ต้องการด้านวัตถุ ผมต้องการอย่างเดียวคือพูดตามความเป็นจริง อย่าลืมนะว่าผมพูดเรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเรื่องเล็กน้อยจริง ๆ ถ้าไปเทียบกับความดีของพระองค์ล่ะพรรณนากันไม่ไหว ส่วนสำคัญคือกำลังใจของพระองค์ในการเจริญสมาธิ สามารถเข้าฌานออกฌานได้ตามเวลา สำหรับด้านวิปัสสนาญาณนั่น ท่านทำถึงไหนผมไม่ทราบ ก็เป็นเรื่องความสะอาดของจิต แต่ผมมีความมั่นใจว่าพระองค์มีความสะอาดของจิตมากเหลือเกิน ยากที่จะพูดพรรณนาได้


    และก็มีคนเขาชอบถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระอริยเจ้า ไหม? หรือว่าเป็นพระโพธิสัตว์?

    อัน นี้ผมก็ไม่รู้กำลังใจของพระองค์เหมือนกัน แต่ว่าถ้าดูด้านพระราชจริยาวัตรของพระองค์แล้ว จริยาวัตรของพระองค์แสดงออกชัดว่าเป็นพระจริยาของพระโพธิสัตว์ แต่ผมก็ไม่ยืนยันนะครับ เพราะผมไม่ใช่พระพุทธเจ้า อันนี้เป็นการสังเกตของผมเอง


    ก็รวมความว่าพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวทรงมีความดีขนาดนี้ ไม่ดีแต่จริยาที่ประพฤติภายนอกแถมดีภายใน ภายในดีมากเสียด้วย ด้านจิตใจน่ะดีมากครับอย่าประมาทท่านนะ ในบรรดาเพื่อนของผมที่ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ถ้าเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาหรือไปไหนก็ตาม จงอย่าคิดว่าท่านเป็นฆราวาสธรรมดา ความจริงท่านก็เป็นฆราวาส ท่านไม่ได้นุ่งสบงจีวร แต่กำลังใจและอารมณ์จิตของพระองค์นี่สะอาดมาก บางทีพวกห่มผ้าสบงจีวรหลาย ๆ ท่านไม่สามารถจะทำความดีได้แค่หนึ่งในร้อยของพระองค์ก็มีมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าผมเป็นนักบวช ผมย่อมรู้ในจริยาของนักบวช นักบวชที่ดีท่านก็มีมาก ที่เลวไม่เอาไหนเลยท่านก็มีมาก


    ก็รวมความแล้วว่าวันนั้นผมจะต้องเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นวาระแรก ที่เสด็จมาถึงวัดท่าซุง ก่อนนี้ก็ไม่เคยเฝ้า ถ้าผมจำไม่ผิด ผมไม่ได้จดไว้นะ อาจจะเป็นวันที่ ๒๐ เมษายน ก็ได้ ก็รวมความว่าก่อนที่จะเข้าพบกับพระองค์ผมทำอย่างไร อันนี้กำลังใจด้านแรก ขอแนะนำแก่บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่มีกำลังใจไม่เข้มแข็งอย่างผม ผมก็ทราบว่าถ้าพบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามลำพัง ทว่าตามลำพังหมายความว่าไม่ใช่กลุ่มคนมาก ไม่ใช่อยู่องค์เดียว แต่ว่าเป็นส่วนน้อย ตอนนั้นก็ต้องคิดว่าพระองค์เป็นใคร สำหรับกำลังใจของผมมีความรู้สึกเหมือนกับนิยายที่เขาเขียนกัน เขาว่า "ประเทศเมื่อถึงคราวทุกข์ยากลำบากยากแค้น จะต้องมีพระราชาทรงธรรม ที่เรียกว่า ธรรมมิกราช หรือ ธรรมมิกราชา มาสงเคราะห์"


    ความจริง "ธรรมมิกราช" ก็ดี "ธรรมมิกราชา" ก็ดี ไม่มีอะไร ถ้าแปลเป็นภาษาไทย เขาจริง "พระราชาผู้ทรงธรรม" ถ้าเรียกธรรมมิกราชขึ้นมา โอ้โฮ..ใหญ่โตเหลือเกิน ความจริงก็ใหญ่ คนที่ทรงไว้ซึ่งความดีเราจะถือว่าเล็กไม่ได้ เขาจะมีฐานะเช่นใดก็ตาม ถ้ามีความดีเราก็ต้องบูชาความดีของท่านผู้นั้น
    สำหรับพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวนี่ผมไม่สงสัย ที่ไม่สงสัยใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เพราะในยุคนั้นเขาหาว่าผมเป็นคนบ้าอยู่แล้วนี่ ผมก็ต้องบ้าคิดตามอารมณ์ของผม ผมคิดว่าวันนี้เราจะไปพบกับพระราชาผู้ทรงธรรม หรือเรียกตามภาษาบาลีว่า "ธรรมมิกราช" และถ้อยคำของพระองค์ที่ตรัสออกมาต้องประกอบไปด้วยธรรม และสำหรับผมเองก็ไม่ได้เฟื่องฟูในธรรม ไม่ใช่เป็นผู้มีความรู้รอบคอบทุกสิ่งทุกอย่างที่บรรดาท่านมีความรู้อยู่ผมจะ ทำอย่างไร ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถามอะไรขึ้นมาแล้ว ผมตอบไม่ได้ คำว่าผมตอบไม่ได้ผมเองก็ไม่ได้อายพระองค์ เพราะว่าผมเองก็ไม่ใช่สัพพัญญู ไม่รู้ทั้งหมด ผมสามารถจะตอบได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้


    แต่ก็คิดในใจว่าถ้า อะไรบ้างที่ไม่เกินความสามารถของเราและก็ไม่เกินความสามารถของผู้สงเคราะห์ ผมอยู่นะ (ท่านผู้สงเคราะห์ผมอยู่นี่เป็นท่านที่พวกท่านเคยเห็น แต่ก็ไม่ปรากฏเป็นร่างเนื้อหรือหนังให้ปรากฏ) ผมคิดว่าผมควรจะตอบได้ทุกอย่างที่พระองค์ตรัสถาม ทั้งนี้ผมจะไม่ใช้เฉพาะปัญญาของผม ผมจะขอพึ่งบารมีท่านผู้ทรงคุณวิเศษ ฉะนั้นเวลาที่จะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอุโบสถ ในโบสถ์วัดท่าซุงก็ได้อาราธนาบารมีของทุก ๆ พระองค์ที่สงเคราะห์ "ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถามอะไรขึ้นมา ก็ขอให้ตอบได้ตรงตามความเป็นจริง"

    วัน นั้นมีโอกาสอยู่กับท่าน คือท่านสนทนาด้วยตามเวลาที่เจ้าหน้าที่เขาบอกมา เขาบอกว่าพระองค์ทรงใช้เวลา ๔๕ นาที ซึ่งมีใครเขาบอกมาก็ไม่ทราบว่า พระองค์จะทรงพบได้แค่ ๑๕ นาที ผมคิดว่าคนอย่างผมนี่มีวาสนาบารมีต่ำต้องอย่างนี้ ถ้าจะมีโอกาสอยู่กับพระเจ้าอยู่หัวเพียงแค่ครึ่งวินาทีนี่ผมก็ชื่นใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวของประเทศไทย คือประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งละ ๑ องค์ และคนไทยเวลานั้นถึง ๔๕ ล้านคน ก็ยากที่จะเข้าไปใกล้ แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้แปลกกว่าองค์อื่นทั้งหมด ซึ่งมีประชาชนได้มีโอกาสเข้าใกล้พระองค์ได้มากที่สุด ในดินแดนต่าง ๆ ที่พระองค์เสด็จและเสด็จไปเข้านั่งใกล้คน มีโอกาสจะพูดโอภาปราศรัย พูดด้วยเสมอ อันนี้เป็นของหายาก แต่ถึงกระนั้นก็ดีคนทุกคนก็จะทำอย่างนั้นได้ยาก ถ้าจะหาทุกคนไม่ได้ตั้ง ๔๕ ล้านคน เวลานั้นและถ้าผมมีโอกาสสักครึ่งวินาทีผมก็จะชื่นใจว่าใน ๔๕ ล้านคน ผมก็คนหนึ่งที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระราชาผู้ทรงธรรม
    คำว่าพระราชาผู้ทรงธรรม อย่าคิดว่าผมยกย่องพระองค์เกินความเป็นจริงนะ ผมบอกแล้วนี่ อันดับต้น สังคหวัตถุ ๔ ของพระองค์ครบถ้วน ขั้นสุดท้ายกำลังใจสูงส่งในด้านสมถะวิปัสสนาและขันติ กำลังใจเมตตาของพระองค์ทรงดีมาก ใครว่าอะไรก็ตาม นินทาอะไรก็ตาม ไม่ทรงโต้ตอบ และก็ไม่เคยตำหนิใครว่าชั่ว อันนี้หาได้ยาก ถ้ามากไปกว่านี้ ผมคิดว่าเทปอีกสัก ๑๐๐ ม้วน ผมพูดเรื่องของท่านไม่จบ


    ก็รวม ความว่าวันนั้นเข้าไป พระองค์ทรงแสดงชัดไม่เคยถือพระองค์ และผมเองก็เป็นพระป่าพระดง ราชาศัพท์ผมก็ใช้กับเขาไม่เป็น ไม่รู้ว่าพระเขาพูดกับพระเจ้าแผ่นดินว่าอย่างไร ผมก็เล่นลูกทุ่งตามปกติของผม ท่านถามมาผมก็ตอบไป ท่านถามมาผมก็ตอบไป ผมจำไม่ได้ว่าท่านถามเรื่องอะไรบ้าง มาในช่วงหลังพอจะนึกออก ท่านถามถึงภาวะความเป็นไปของชาติและประชาชนในชาติ
    เห็น ไหมบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัท ท่านไม่ได้ถามว่าพระองค์จะมีความสุข พระองค์เองจะร่ำรวยขนาดไหน ไม่ได้เคยปรารภถึงพระองค์เองเลย ทรงปรารภเฉพาะว่าเวลานี้บ้านเมืองมันเต็มไปด้วยความคับแคบ บรรดาประชาชนอดอยากยากจนกันมาก ฝืดเคืองมาก ท่านถามว่า


    "ต่อไปชาติเราจะเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน และจะมีความอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน?"



    ถามเข้าตรงนี้ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ผมก็ไม่ไหวซิ ตัวคนเดียวสู้ไม่ได้แล้ว งานเหนื่อยก็เหนื่อย ไม่มีการเตรียมการ ไม่มีหมายกำหนดการจะถามว่าอย่างนั้น อย่าไปนึกว่าท่านถามเกินพอดีนะ ไม่ใช่ ผมทำยังไง ผมก็ต้องเอาบารมีพระพุทธเจ้าเข้าช่วย ผมนึกไปก่อนแล้วขอให้ดลใจให้ผมตอบได้ เมื่อท่านถามมา ผมก็ถวายพระพรไป บอกว่า"หลังจากนี้ไปเข้าเขต พ.ศ.๒๕๒๔ บ้านเมืองของเราจะเข้าเขตฟ้าสาง"
    คำว่า "ฟ้าสาง" นี่หมายความว่า มันยังไม่สว่าง ยังมองเห็นหน้ากันไม่ถนัด แต่ว่ามันดีกว่ามืด ถ้ามืดตื้อเสียทีเดียวจะมองไม่เห็นอะไรเลย ฟ้าสางเห็นบ้างลาง ๆ แต่ไม่ชัดเจน เห็นคนรู้ว่าเป็นคน แต่ยังไม่รู้ว่าหน้าเป็นอย่างไร ขาวหรือดำ ผมหงอกหรือผมดำก็ไม่ทราบ นี่เปรียบเทียบกันให้ฟัง ชะตาประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ถ้าปี ๒๔ จะเริ่มเข้าเกณฑ์บอกว่า ประเทศไทยต่อไปนี้จะไม่ยากจนนัก
    ท่านก็ทรงถามต่อไป ถามถึงว่าอะไรมันจะมีขึ้นมาบ้าง มันจะดีขึ้นมายังไง ?



    ผม ก็จำชัดไม่ได้ ถ้าหากว่าต้องการจะทราบชัด ให้อ่านหนังสือพระเมตตา เพราะตอนนั้นเขียนระยะใกล้ ๆ ทูลไปอะไรได้บ้างก็ไม่ทราบ แต่พูดเรื่องถึงน้ำมัน ว่ามีแร่ธาตุและน้ำมัน



    แต่ทว่าวันนี้จะไปถึง ไหนกันล่ะ ก็ต้องหยุดกันแค่นี้ก่อนเพราะสัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้วนี่ ถ้าขืนพูดไปเทปมันก็เลยหน้าไป ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่าน
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    บรรดาท่านภิกษุสามเณรทั้งหลายและญาติโยมพุทธบริษัท เรื่องบ้า ๆ บวม ๆ ของผม พอจะเริ่มบ้าเทปก็หมดหน้าพอดี มาตอนช่วงที่ ๒ นี่ก็มาคุยกันต่อไปถึงความบ้า ผมก็ได้ถวายพระพรกับพระองค์ว่า



    " ประเทศไทยน่ะมีความสุขอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุที่มีคุณค่าสูงมาก และมีราคาดี แถมแก๊สแถมน้ำมันก็มีมาก แต่ทว่าเวลานี้โอกาสที่จะนำขึ้นมายังไม่ถึงและยังไม่ถึงวาระ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกี่ยวกับวาระ แต่ทว่า พ.ศ.๒๕๒๔ ตอนนั้นฟ้าเริ่มสาง จะได้บอกชะตาชัดว่าต่อนี้ไปประเทศไทยจะมีความรุ่งเรือง แต่ก็ยังเอาดีไม่ได้"

    ตอนนี้ผมก็ต้องขออภัย ลืมไปว่าพระองค์ตรัสว่า พระองค์ทรงเหนื่อยเหลือเกิน การช่วยเหลือบรรดาประชาชน พระองค์ทรงเหนื่อยมาก ก็อยากจะมีความสุขหมายความว่าได้พักผ่อนพักเหนื่อยสักที



    ความจริง เท่าที่พระองค์ตรัสแบบนั้น ไม่ใช่พระองค์ทรงเบื่อหน่าย ก็เห็นแล้วเวลากลางคืนของท่านมีเวลาพักน้อย จะได้บรรทมก็ต้องใช้เวลาถึงตีสอง ตีสองบรรทมหลับหรือยังก็ยังไม่ทราบ และเวลาออกเยี่ยมประชาชน พระองค์งานก็มาก แต่ละวันดูหมายกำหนดการแล้วเราเองก็ไม่ไหว เวียนหัว อะไร ๆ ก็อยู่ที่พระเจ้าอยู่หัว เขาเกณฑ์ท่านไปหมด แม้แต่คนที่รับภาระไปเพื่อทำ ดีไม่ดี ๓ - ๔ ปี พระองค์ทรงบอกแล้วเขายังทำไม่ได้ก็มีงานจุ๋มจิ๋ม ๆ ทุกอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ พระองค์ทรงเห็นเป็นประโยชน์ ก็ทรงสั่งให้ทำและก็จัดการทำ ควบคุมการทำและดูแลอยู่เสมอ จะเห็นว่าพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยจริง ๆ


    อย่างผมเองผมก็ไม่ไหว ผมเคยคิดว่าใครจะให้ผมเป็นพระเจ้าแผ่นดินและก็ทำงานอย่างพระองค์ให้ผมวันละ ๑๐ ล้าน ผมไม่เอา วันละ ๑๐ ล้านนะครับไม่ใช่เดือนละ ๑๐ ล้าน นี่ผมไม่เอาหรอก ที่ไม่เอาเพราะอะไร เพราะว่าผมทำไม่ได้ พระองค์ทรงบอกว่าเหน็ดเหนื่อยก็ทราบ ก็เลยกราบทูลว่า (พระเขาเรียกถวายพระพรนะ นี่ผมป่วย ๆ นี่มันก็เผลอเหมือนกัน) ก็ได้ถวายพระพรกับพระองค์ว่า


    "ปี ๒๔ ก็เริ่มเห็นและต่อไป ๆ หลาย ๆ ปี ความแจ่มใสจะปรากฏ และก็ประเทศไทยจะเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ เมื่อบรรดาประชาชนมีความอุดมสมบูรณ์ มีความสุข ทรัพย์สินก็มีมาก พระองค์ทรงหายเหนื่อย"
    แต่พระองค์ก็ตรัสต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ว่า



    "ตอนนั้นผมก็แก่แล้วครับ มันก็เหนื่อยอีกแหละ"

    ก็เลยถวายพระพร บอกไปว่า



    "การไปเยี่ยมเขาเฉย ๆ ก็ไม่หนัก ไม่ต้องช่วยเขาทำ"

    ท่านบอก "ถึงไม่ช่วยทำ คนแก่มันก็ต้องเหนื่อย" จริงของท่าน
    รวม ความพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ตรัสแบบปกติ ๆ ถ้าอย่างเรา ๆ ก็ถือว่าคุยแบบกันเอง คือว่าท่านทำให้ผมไม่ตื่นตกใจ ไม่ประหม่านั่นเอง เป็นความเมตตาของพระองค์ ถือว่าเป็นมหากรุณาธิคุณอย่างหนัก


    ในเมื่อผมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปแล้ว จะทำอย่างไรผมก็หนักใจเรื่องที่ผมพูดไปน่ะ มันมีจริงหรือไม่จริง



    ความจริงเวลานั้นผมก็อาศัยพุทธบารมีตลอด เวลา แต่ผมก็เป็นคนจะต้องพิสูจน์ตัวเองและก็พิสูจน์ผลงาน งานทุกอย่างผมต้องอาศัยการพิสูจน์ก่อน อย่างพวกผีเทวดานี่ ผมก็ต้องพิสูจน์ ต้องชนกันจริง ๆ และก็ชนกันจริงด้วย ชนกันคราวไรผมสู้เทวดาไม่ได้สักที ผมก็ต้องเชื่อเทวดาว่าเทวดามีจริง


    เรื่องเทวดานี่ชนกันเยอะครับ แล้วจะเล่าให้ฟัง เรื่องเยอะแยะ เทวดาก็ดี พรหมก็ดี พวกผีก็ดี ผมเจอะมาเยอะ แม้แต่การทรงเจ้าทรงผีก็ตาม ทรงเจ้าก็แล้วกันไม่เอาทรงผี คนทรงเมื่อก่อนผมก็ดูเฉย ๆ ดีไม่ดีผมก็ปรามาสเอาด้วย ว่าการทรงอีลุ่ยฉุยแฉกแบบนี้หลอกลวงกันบ้าง นี่ตอนเด็กนะยังไม่บวช แต่ในที่สุดผมบวชเข้ามาแล้วพรรษาแรก ผมก็หาทางพิสูจน์ การพิสูจน์ไม่ใช่นั่งทางนอกทางใน คือใช้ลูกตามันเลย ใครเขาลือกันว่าการทรงเจ้าที่ไหนเก่งที่สุด ไม่เก่งผมไม่เอา ที่ไหนเก่งที่สุดผมไปที่นั่น ไปพิสูจน์ความจริง โดนเข้ามา ๔ รายผมหยุด จิตที่มีความสงสัยเปลี่ยนเลยครับ ดับเครื่องเลย ไม่ชนต่อไป สู้เขาไม่ได้ พบกับความจริงทุกอย่าง


    ทีนี้เรื่องก็เหมือนกัน ในเมื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้แล้ว ผมก็มานั่งสงสัยถ้อยคำที่ถวายพระพรพระองค์ไป มันจะมีความจริงตามนั้นหรือไม่



    ต่อมาคราวหนึ่ง เรื่องที่คำนึงมากที่สุดคือ น้ำมัน เรื่องน้ำมันนี่บรรดาท่านทั้งหลายในเมื่อผมยืนยันกับพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ก็ปรากฏว่ามีข่าวสะพัดทั้งบรรดาทั้งฆราวาสและเพื่อนนุ่งห่มเหลืองอย่างผม คือเขาหาว่าผมบ้า แต่ความจริงไม่ได้ว่าทุกคน เป็นคนกลุ่มน้อย เป็นคนน้อย ๆ ทีนี้ลูกศิษย์ผมที่เป็นนายทหารบ้าง เป็นนายตำรวจบ้าง ที่เป็นชาวบ้านบ้าง เป็นข้าราชการพลเรือนบ้าง ได้ฟังคำเขาปรามาสผมแล้วกลับโมโหโทโส อยากไปบ้อมเขา แกมาเล่าให้ฟัง ก็เลยบอกว่า



    "นี่ พวกเธอทั้งหลาย ฉันเองเป็นคนถูกด่าถูกว่า ฉันยังไม่โกรธและเธอเองเป็นคนไม่ถูกว่า แต่ทำไมจึงโกรธ?"



    เธอก็บอกว่า "เขาว่าใส่หน้าผม"



    ก็บอก "ดีแล้วเขาว่าใส่หน้าเรา ถ้าเราไม่รับมันก็ไม่ขังอยู่ที่หน้าเรา ถ้าไม่รับมันก็ไปอยู่ที่เขา เราจะรับมาทำไม ในเมื่อกาลเวลามันยังไม่ถึงต้องรอถึง พ.ศ.๒๕๒๔ ก่อน ถ้า พ.ศ.๒๕๒๔ ไม่มีจริงตามนั้น เธอก็ต้องไม่โกรธเขาไปบอกว่าครูบาอาจารย์ของผมน่ะ สติสตังท่านไม่ดี บ้า ๆ บวม ๆ ก็พูดไปอย่างนั้นเอง แต่หากว่าถ้าบังเอิญมันมีจริงมาตามนั้น เธอบอกว่า เรื่องนี้เป็นความจริงคุณจะว่าอย่างไร ก็เท่านี้ก็พอ"


    ในเมื่อเตือนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาไปแล้ว ผมก็ต้องพยายามเตือนตนเองด้วยที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า



    "อัตตนา โจทยัตตานัง" จงกล่าวโทษโจทความผิดตนเองไว้เสมอ

    อันดับแรกต้องถือคติ ๒ ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสที่ระหว่างเมือง นาลันทาคามกับเมืองราชคฤห์ต่อกัน (ไอ่นี่ผมก็ยังพูดไม่ค่อยชัดนะครับ ลิ้นไม่ดี อาการมันเครียด) ที่พระพุทธเจ้าถูกนันทมานพ กับ สุปิยปริพาชก สุปิยปริพาชกนั่งด่าตลอดคืน นันทมานพผู้เป็นหลานสรรเสริญตลอดคืน ตอนเช้าพระไปบิณฑบาตกลับมา เวลาไปบิณฑบาตชาวบ้านเขาก็เล่าให้ฟังว่า คุณลุงกับหลานมีคติไม่ตรงกัน ลุงด่าพระพุทธเจ้าตลอด หลานชมพระพุทธเจ้าตลอดคืน พระพุทธเจ้าทรงทราบก็ทรงเรียกประชุมสงฆ์ตรัสว่า



    " ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นินทา ปสังสา สรรเสริญและนินทาเป็นของประจำโลก จัดว่าเป็นธรรมดาของชาวโลกที่เกิดมา ชาวโลกที่เกิดมาทั้งหมดนี่ที่ไม่ถูกนินทาไม่ถูกสรรเสริญไม่มี ทุกคนจะได้รับทั้งคำนินทาและคำสรรเสริญ แต่ขอพระทุกองค์จำไว้ ถ้าเราเป็นคนดีเขานินทาว่าเลวขนาดไหนก็ตามเราก็ไม่เลวไปตามคำเขาพูด ถ้าหากว่าเราเป็นคนเลว เขาสรรเสริญว่าดีขนาดไหนเราก็ไม่ดีไปตามเขาพูด ความดีและความเลวเป็นผลมาจากการกระทำ การประพฤติและปฏิบัติ ฉะนั้นเธอทั้งหลาย เธอจงอย่าสนใจทั้งคำนินทาและสรรเสริญ"


    นี่เป็นจุดหนึ่งที่ผมยึดเป็นคติของผม ผมก็คิดว่าถ้าเราทำถูก ทำดีเขาจะว่ายังไง ๆ ก็ตาม คนที่ไม่ชอบใจเรามันมีอยู่ ๒ ประการ คือ



    ๑. ไม่ชอบเพราะทำตามไม่ทัน มีอารมณ์ริษยา


    ๒. ไม่ชอบเพราะขาดผลประโยชน์ เราทำไปมันเจริญรุ่งเรืองจริง แต่ไปขัดผลประโยชน์ที่เขาจะพึงได้ ทำให้เขาหากินยาก อันนี้เขาก็ต้องด่า เขานินทาเราเป็นของธรรมดา คนใดที่ได้ผลประโยชน์จากเราเขาก็อาจจะสรรเสริญ แต่ว่าคนที่เขาได้รับประโยชน์สรรเสริญ พวกคุณอย่าลืมนะว่าเขาจะสรรเสริญนาน ขณะใดที่เขามีประโยชน์เขาก็จะสรรเสริญ แต่ว่าพอกระทบกระทั่งอารมณ์ใจนิดหนึ่ง เขาก็นินทา



    รวมความว่าคำนินทากับสรรเสริญมันจะอยู่กับบุคคลคนเดียวกัน และผมก็หันไปดูพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเองท่านทรงพระชนม์อยู่ท่านก็ถูกเขาด่า เขานินทาตลอด ผมยึดคตินี้มาระงับใจว่า ใครจะว่าใครด่าใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไรก็ช่าง ถือช่างมันไว้ก่อน

    และขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอย่าคิดว่าผมเป็นพระอนาคามีหรือเป็นอรหันต์ ถ้าจะคิดเข้าอย่างนั้นจะพลาด ถ้าเขามาด่าต่อหน้านี่ไม่แน่นักนะ ว่าผมจะอดทนไหวหรือทนอดไหว อดทนหมายถึงไม่หวั่นไหวจริง ๆ ทนอดหมายถึงการยับยั้งใจ มันจะไปไหวแค่ไหนผมก็ยังไม่ทราบ ดีไม่ดีผมอาจจะปึงปังโครมครามด่าดังกว่าเขาก็ได้ นี่ขอท่านทั้งหลายจงอย่าพึงคิดว่าผมดี อย่าคิดมากไป รวมความขอให้ท่านทั้งหลายพยายามอดใจไว้ ฝึกการอดใจไว้ อดไหวก็ไหว ไม่ไหวมันก็พลุ่งพล่านเป็นของธรรมดา แต่พยายามดึงไว้ให้มากที่สุด ให้หนักมากที่สุดจนกว่าจะดึงไม่ไหวเป็นการรักษากำลังใจให้มีความสุข
    ทีนี้เข้าเรื่องต่อไป เมื่อผมคิดว่าจะต้องพิสูจน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องน้ำมัน
    ผม ก็คิดไม่ออกว่าผมจะไปหาใครดีที่สามารถจะชี้ช่องทางให้มันถูกทางเข้าใจแน่ชัด ว่าจริง ๆ ถ้าคิดว่าผมจะใช้กำลังมโนมยิทธิที่ฝึกให้กับพวกท่าน อันนี้ผมใช้แล้ว



    หลังจากได้ถวายพระพรกับพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวไป พอเลิกงานจิตเป็นสุข ผมก็เริ่มพิสูจน์เรื่องน้ำมันจริง ๆ และแร่ธาตุต่าง ๆ สภาวะของผมก็พบแร่ธาตุที่มีคุณค่าสูง แร่ธาตุที่มีคุณค่าสูงอย่างยูเรเนียม เป็นต้น ยูเรเนียมนี่เขาถือ ว่าเป็นแร่ธาตุที่มีคุณค่าสูง มีความสำคัญมีราคาแพงมาก ผมก็พบในประเทศไทย จุดใหญ่ ๆ จริง ๆ เอาที่จุดมาก ๆ จริง ๆ ๑๖ จุด และก็เป็นแร่ธาตุที่มีเกรดสูงกว่าต่างประเทศมาก ที่เขาพบกันเกรดไม่เท่าของเรา เรื่องนี้ผมจะพูดเลยหรือหยุดไว้ก่อน ถ้าไม่ลืมก็พูด ถ้าลืมก็แล้วไป



    ต่อ มาปรากฏว่าผมมีงานประจำต้องไปเยี่ยมลูกเยี่ยมหลานที่จังหวัดราชบุรี จากนั้นก็ต้องเดินทางไปโน่น ไปจังหวัดชุมพร ตอนนั้นผมก็ถึงเวลาป่วยไข้ไม่สบายแต่ว่าถึงเวลานัดนี่ผมก็ต้องไป คำว่านัดต้องเป็นนัด ก่อนจะไปก็นั่งรถไปจากกรุงเทพ ฯ ไปพักที่บ้านซอยสายลม เวลานั้นท่าน พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ เรียกว่า "เจ้ากรมเสริม" ท่านยังเป็นเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศอยู่ ก็มี



    คุณเลิศลักษณ์ หรือที่เราเรียกกัน "ปู่เหม่" เป็นคนขับรถ เวลาไปคราวนั้นก็มี คุณนนทา อนันตวงษ์ อีกคนจะเป็น "ชอ" หรือใครจำไม่ได้ ก็จำไม่ได้ว่าใครบ้าง ไปกัน ๒ - ๓ คน ออกเดินทางจากกรุงเทพ ฯ ไปก็ไปพักที่บ้านพักของทหารอากาศ บ้านรับรองทหารอากาศที่หัวหิน พอวันรุ่งขึ้นก็จะเดินทางต่อไปจังหวัดชุมพร


    พอ นั่งรถไปถึงเห็นจะเป็นวันแรกไปถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปรากฏว่าล้อข้างหลังทำท่าเหมือนจะหลุด ดังกุ๊กกิ๊ก ๆ "เหม่" เป็นคนชำนาญในรถมาก ก็มีความสงสัย ขออนุญาตเข้าโรงซ่อมรถให้ช่างพิสูจน์ ช่างร้านนั้นก็ดี ผมก็ลืมชื่อเสียแล้วไม่รู้ชื่ออะไร ชื่อร้านก็จำไม่ได้ เขาดีมากทั้งพ่อทั้งลูกช่วยกันพิสูจน์ใช้เวลาเกือบ ๒ ชั่วโมง ดูแล้วรื้อแล้วพิสูจน์แล้วลองวิ่งก็แล้วมันก็ไม่ดัง ผมก็อัศจรรย์ พอไปถึงที่ตรงนั้นเกิดปวดศีรษะ ต้องขอเสื่อเขาเอามาปูที่หน้าร้านของเขา เอาหมอนมาลูกก็นอน นอนลงไปคนที่ไปด้วยอย่างนนทา อนันตวงษ์ เธอก็นั่งเฝ้าใกล้ ๆ ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาการอย่างนี้ผมไม่เคยปรากฏ



    ขณะที่ปวดศีรษะผมก็เป็นคนมีคติอย่างหนึ่ง ถ้าอาการป่วยขึ้นมาจะมากหรือน้อยก็ตาม ผมมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า "การป่วยคราวนี้มันอาจจะตายหรือไม่ตายก็ได้" ก็ต้องเผื่อว่ามันจะตายไว้ก่อน ในเมื่อไม่สบายผมก็ใช้กำลังใจควบคุมตามปกติอารมณ์ใจก็สบาย



    พอ อารมณ์ใจสบายก็ปรากฏเห็นเทวดาองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก แสดงว่าเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านแต่งตัวปกติ มาแบบคนธรรมดา ท่านก็บอกว่าเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านแต่งตัวปกติ มาแบบคนธรรมดา ท่าก็บอกว่า
    "อาการปวดศีรษะอย่างนี้ต้องฉันยารัตนไตร ฉันเพียงแค่ ๑ แก้ว กินยา และก็จะหายภายในไม่ช้า"


    ยารัตนไตรเวลานั้นผมก็ไม่รู้จัก ก็ถามท่านว่า



    "ยารัตนไตรเป็นยาน้ำหรือยาผง?" ท่านก็บอกว่า "ยาน้ำ"



    ถามว่า "มีขายที่ไหน...?" ท่านบอก "ในตลาดประจวบคีรีขันธ์นี่ก็มี ไปหาซื้อได้ขวดหนึ่งไม่เกิน ๓ บาท"



    ก็ บอกให้นนทา อนันตวงษ์ไป เขาไปซื้อมาได้ ก็ลองฉันดูประเดี๋ยวเดียวอาการปวดศีรษะก็คลาย อาการดีขึ้น ช่างก็มาบอกว่า "รถไม่เป็นอะไรครับ"


    เวลานั้นก็บ่ายมากแล้ว ก็คิดว่าถ้าเราจะไปจังหวัดชุมพรก็ไปไม่ทันแน่ กลับไปพักที่บ้านรับรองของทหารอากาศที่หัวหิน เป็นสถานีถ่ายทอดวิทยุก็ไปพักที่นั่น ขึ้นไปก็พักผ่อนก็เรียกว่ามีความสุข



    ตอนเย็นเวลาประมาณสักทุ่มเศษ ปรากฏว่าท่านเจ้ากรมเสริมไปจากกรุงเทพ ฯ ไปถึงที่นั่น ถามท่านว่า



    "ท่านเจ้ากรมมาทำไม?"



    "ทราบว่าหลวงพ่อป่วย เมื่อที่จะมาก็ป่วยแล้วผมก็เป็นห่วง ก็เลยมาที่นี่จะมาเยี่ยม"



    อันนี้เป็นความดีของท่าน หายาก การไปท่านจะต้องขับรถเอง ท่านก็อายุมากแล้วนี่นายพล แต่ว่าท่านก็พร้อมที่จะขับรถเอง มีความเหน็ดเหนื่อย ผลที่สุดก็คุยกับท่าน คุยประมาณ ๕ ทุ่ม ก็ปรารภกันหลายเรื่อง ก็ต่างคนต่างขออนุญาตกันนอน ผมเข้าข้างใน ท่านต้องนอนข้างนอก เพราะห้องมันมีห้องเดียว


    พอปรากฏเข้ามาในห้อง ผมก็ใส่กลอนแล้วก็ดับไฟ พอเอนตัวนอนปรากฏว่าเห็นคน ๆ หนึ่งสูงหัวละเพดาน เดินเข้ามาเฉย ๆ โดยไม่ต้องเปิดประตู ถ้าขืนเปิดหัวแกก็เลยประตูไปตั้งเยอะ แกไม่ได้เรียกผม แกเดินเข้ามาเฉย ๆ ผมก็แปลกใจ เอ..คน ๆ นี้เดินเข้ามาอย่างไร และหน้าต่างก็มีลูกกรง ประตูก็ใส่กลอน ไฟก็ดับ เห็นกันชัด และเดินมาข้างเตียงผม ก้มตัวลงไปหยิบหมวก ไอ้หมวกน่ะในลักษณะหมวกไหมสับปะรด ถ้าคนแก่จะรู้จัก พอหยิบหมวกแล้วก็สวม ทำท่าจะเดินออก ก็เลยบอกว่า



    "เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป มาคุยกันก่อน นั่งคุยก่อน"



    ท่านก็นั่ง ท่านนั่งแล้วก็คุยกัน ถามว่า "ปกติอยู่ที่ไหน?"



    ท่านบอกว่า "ปกติผมอยู่ห้องนี้ครับ"



    "และวันนี้จะไปไหน?"



    ท่านบอก "วันนี้ผมจะไปอยู่ยาม ท่านมาผมจะไปอยู่ยามรักษาความปลอดภัย" ก็เลยบอกว่า "เดี๋ยวก่อน คุยกันก่อน อย่าเพิ่งไป มีอะไรจะต้องคุยกัน"


    ท่านก็ถามว่า "มีอะไรจะถามเหรอ?"



    ก็บอกว่า "มี"



    ผม ก็ลุกมาจากเตียง นั่งบนเตียงลุกจากที่นอน นั่งบนเตียงท่านก็นั่งข้างล่างและผมก็ถามคำแรกว่า "อาการที่ฉันปวดศีรษะวันนี้เป็นเรื่องของคุณใช่ไหม?"



    ท่านก็บอกว่า "ใช่ครับ"



    ถามว่า "คนที่ไปบอกยาฉันวันนี้ก็คือคุณใช่ไหม?"



    ท่านก็เลยบอกว่า "ใช่ครับ"



    ถาม ว่า "ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ฉันจะไปธุระ ฉันจะไปโดยธรรม แล้วทำไมมาแกล้งฉัน?" ท่านก็บอก "ผมไม่ได้แกล้ง เพราะว่าผมก็มีธุระจะคุยกับท่าน"


    ถามท่านว่า "ท่านจะคุยเรื่องอะไร?"



    ท่าน ก็เลยบอกว่า "ท่านสงสัยเรื่องน้ำมันใช่ไหม ท่านได้ถวายพระพรกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปแล้วว่าประเทศไทยมีน้ำมัน และท่านก็เลยสงสัยว่ามันจะมีจริงหรือไม่จริงใช่ไหม?"



    ก็ตอบว่า "ใช่" ท่านก็ถามว่า "ท่านพิสูจน์ด้วยกำลังใจของท่านแล้วว่ามันมี"



    ก็ บอกว่า "ใช่ ไอ้นั่นอาจจะเป็นอุปาทานก็ได้ ก็บอกว่าเมื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปว่ามี ไอ้กำลังใจตอนนี้มันอาจจะยึดคิดมีมี ดีไม่ดีของที่ไม่มีกลับเห็นเป็นว่ามีก็ได้ มันก็ไม่แน่นอนนัก"



    "เพราะเรื่องนี้น่ะ ผมจึงทำให้ท่านปวดศีรษะและผมก็ไปบอกยาท่าน ในเมื่อเวลามันต้องเสียไป"



    ก็เลยถามว่า "ไอ้เรื่องรถทำท่าล้อจะหลุดนั่นท่านใช่ไหม?"



    เขา บอก "ใช่ ผมแกล้ง ทำให้รถเสียงดังกึกกัก ๆ คล้าย ๆ ล้อจะหลุด ท่านก็ยังไม่ตัดสินใจมาพัก ท่านยังจะเดินทางต่อไป ก็ต้องทำให้ท่านปวดศีรษะ เวลามันจะได้หมดไป ถ้าขืนเดินทางไปมันก็ไม่ทัน จังหวัดชุมพร ต้อง ๑๐๐ กิโลน่ะไม่ทันแน่"



    ก็เลยถามว่า "ถ้าอย่างนั้นเรื่องน้ำมัน มันมีไหม?"



    ท่านก็บอกว่า "มี ดูตามนี้สิ"


    คำว่า ดูตามนี้นะ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร เทวดาท่านพูดน่ะท่านไม่ได้พูดส่งเดชเหมือนคนเราพูด ไอ้นั่นมี ไอ้นี่มี อธิบายท่าโน้นท่านี้ ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านไม่ใช้อธิบายลอย ๆ ท่านบอกดูตามนี้สิ ตาเราเห็นหมดทั้งประเทศเลย เห็นชนกันทั้งประเทศมันมีที่ไหนบ้าง



    โอ้โฮ ดูตามสายผิว ๆ นะ ถ้าเราเห็นเป็นสายนี่ มันเป็นผิว ๆ ไม่ใช่ส่วนลึก คือจากมะริดเรื่อยมา จนกระทั่งออกทางสิงห์บุรี เป็นลำแม่น้ำใหญ่ จริง ๆ บางส่วนกว้างถึง ๑ กิโลเมตร บางจุดกว้างเกินกว่า ๓ กิโลเมตร ส่วนที่แคบจริง ๆ จะต้องไม่น้อยกว่า ๑ กิโลเมตร เป็นทางยาวมาก มาออกชนกับสายเหนือที่จังหวัดสิงห์บุรี ทางสายเหนือก็ไหลเรื่อยลงมาโน่น จากจีน จากธิเบตก็ว่าเรื่อยมาเลย เข้ามาถึงเขตประเทศไทย ยังไม่ถึงไทยแท้ แต่ไทยเก่าเข้าถึงประเทศไทยเก่า ๆ คือด้านเชียงตุงมันจะมีแร่ประเภทหนึ่งที่มีความร้อนสูง ไอ้เจ้าแร่ประเภทนี้ เวลานี้เวลาน้ำผ่านมา มันจะร้อนขนาดเป็นไอเดือด ก็เป็นปัจจัยอีกส่วนหนึ่งคือต้มกลั่น น้ำที่มีตะกอนสูงให้มันสุก น้ำตะกอนตกลง ฉะนั้นน้ำมันที่ไหลมาจากด้านทิศเหนือจะมีความใสกว่าปกติ ถ้าถูกสายนะ ถ้าถูกน้ำมันจริง ๆ"

    ถ้าจะถามว่า "เวลานี้ที่เขาเจาะถึงจุดศูนย์จริง ๆ หรือยัง?"

    ผม ก็ต้องตอบว่า "ศูนย์จริง ๆ น่ะมันยังไม่ถึงแท้ มันถึงแค่ผิวของศูนย์จริง ๆ แค่ผิวถ้าลึกลงไปอีกประมาณสักกิโลเดียวหรือกิโลเศษ ๆ ถ้าเจาะ จะพบน้ำมันมากกว่านี้เยอะ และความใสของน้ำมันจะมีมากขึ้น"

    ขอ พูดย้ำอีกหน่อย ถ้าหากว่าเขาจะขุด เขาจะเจาะอย่างที่ต่างประเทศเขาทำกัน เขาต้องเจาะไปถึง ๖ กิโลเมตรละก็ อันนี้มันจะถึงศูนย์กลางข้างล่างมันจะกลายเป็นทะเล เห็นเป็นสายนี่มันผิวถ้าถึง ๖ กิโลเมตรน่ะหยั่งลงถึงทะเลเลย ทะเลน้ำมัน ในนั้นเป็นทะเลทั้งหมด เป็นพื้นเดียวกันทั้งหมด โตใหญ่มากเลยประเทศไทยออกไปหน่อย จะว่าหน่อยก็ไม่ได้นะ ที่เลยประเทศไทยออกไปมีเนื้อที่กว้างกว่าประเทศไทย อันนี้เป็นอ่างใหญ่มาก


    ผม ก็ถามเทวดาองค์นั้นว่า "ถ้าน้ำมันอย่างปี พ.ศ.๒๕๑๘ โลกต้องใช้น้ำมันอย่างนี้ น้ำมันใต้ประเทศไทยเจาะแล้วดูดมากี่ปี ถ้าใช้น้ำมันปริมาณนั้นทุกวันทั้งโลกนะ โลกใช้วันหนึ่งเท่าไหร่ จะใช้กี่ปีน้ำมันจึงจะหมด?"


    ท่านบอกว่า "ถ้าโลกใช้น้ำมันปริมาณนี้แล้วก็ใช้ ๔,๐๐๐ ปียังหมดไปไม่ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์



    บรรดา เพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัท สัญญาณบอกเวลามันบอกหมดแล้วก็ต้องเลิกสินะ วันนี้ต้องขอลาก่อน วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๗ เหมือนกัน ขอทุกท่านจงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านพึงประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายและเพื่อนภิกษุสามเณร วันนี้ก็ยังเป็น วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๗ ถึงแม้ว่าอาการป่วยไข้ไม่สบายจะยังมาก ก็ขอนอนพูด พูดให้ท่านทั้งหลายฟังไว้เป็นการรักษาอารมณ์ส่วนหนึ่ง


    รวมความว่าในตอนนี้ผมก็ยังไม่หมดบ้า มันก็ยังบ้าต่อไป ตอนนั้นก็มาพูดถึงเรื่องน้ำมัน เทวดาท่านบอก ท่านก็ยืนยันว่า



    " โลกถ้าใช้น้ำมันอย่างนี้เฉพาะปี พ.ศ.๒๕๑๘ ทั้งโลกใช้น้ำมันวันละเท่าไหร่ น้ำมันก้นประเทศไทยถ้าเจาะลึกถึงที่สุด ถึงทะเลของน้ำมันก็จะใช้ไป ๔,๐๐๐ ปี ยังไม่หมดน้ำมัน และก็น้ำมันจะหมดไปไม่ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์"
    และท่านก็บอกต่อไปว่า "ถ้าหากว่าดึงขึ้นมาหมด ประเทศไทยจะยุบเป็นทะเลไปเลย"

    ดีมาก ตอนนั้นจะเป็นเมื่อไรก็ช่าง ผมไม่เอาแล้ว ผมก็อยู่ไม่ถึง ผมก็สบายใจ
    เมื่อ หลังจากคุยกับท่านแล้ว นิสัยของผมมีนิสัยแบบหนึ่ง ท่านพูดให้ฟัง ท่านชี้ให้เห็น แต่ว่าผมฟังคนเดียว ผมเห็นคนเดียว อันนี้ผมมีนิสัยอย่างหนึ่งต้องหาเหตุให้ได้ในปัจจุบัน ก็ถามท่านว่า


    เรื่องน้ำมันที่ท่านบอกมาก็จริง ท่านทำภาพให้เห็นก็จริง ก็เชื่อและ อยากทราบว่าในปัจจุบันนี้มันมีปรากฏอะไรบ้างบนผิวโลก ที่จะให้รู้ว่าน้ำมันมีจริง ๆ ...?" ท่านก็ถามว่า "วันพรุ่งนี้ท่านจะไปชุมพรใช่ไหม?"
    ท่านก็ถามผมนะ คำว่าท่านไม่ใช่ผม ก็บอกว่า "ใช่"



    ท่านบอกว่า "ถึงจังหวัดชุมพรแล้ว วันที่สามของวันที่อยู่ที่นั่นจะมีคนยืนยันว่ามีน้ำมันอยู่จริง ที่มะริดในเขตที่กะเหรี่ยงอิสระยึดครองอยู่"

    ผม ก็รับคำท่าน หลังจากนั้นแล้วท่านก็นั่งเป็นเพื่อน ก็มีกลุ่มผู้หญิงสมัยโบราณ ผู้หญิงสมัยนี้เขาจะเป็นคนสมัยไหนผมไม่ทราบ ท่านรู้เรื่องราวต่าง ๆ ว่าคนไทยส่วนใหญ่กลับเข้ามาสู่ในดินแดนเดิม ทางภาคใต้ก่อนพุทธกาลเท่าไร ทางภาคเหนือก่อนพุทธกาลเท่าไร เป็นระยะก่อนพุทธกาล ๒,๐๐๐ ปีเศษ กับ ๓,๐๐๐ ปีเศษ นี่หมายความว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่กลับถิ่นฐานเดิมและก็ผมก็ไม่ได้ถามเธอว่าคน ไทยที่ไปอยู่ไกลแสนไกล ไปจากที่นี่หรือถ้าไปมันก็ตายไปหลายชั่วคน แต่ว่าเธอบอกว่าจะกลับเข้ามาสู่ถิ่นฐานเดิมที่มันมีความอุดมสมบูรณ์ ก่อนพุทธกาล ๓,๐๐๐ ปีบ้าง หรือก่อนพุทธกาล ๒,๕๐๐๐ ปีเศษบ้าง แต่ว่าคนไทยกลับเข้ามาเวลานั้นก็อยู่เป็นหย่อม ๆ ไม่รวมตัวกัน


    ก็รวมความ ว่า การคุยกันคืนนั้นก็มีทั้งเสียงผู้ชายและผู้หญิง เดิมทีเดียวมีเสียงผู้ชายกับผู้ชาย คือผมกับเทวดา ต่อระยะที่สองก็มีเสียงผู้หญิงกับผู้ชาย คือผมกับพวกนางฟ้า คุยกันไปเข้าใจว่าเสียงผมไม่ดัง แต่ว่าตอนเช้าตื่นออกไป ท่านเจ้ากรมเสริม ท่านคิดว่าพันจ่าคนที่รักษาสถานที่อยู่ ไปตอนเย็นเห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน เธอบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นพี่สาวของเธอ การคุยกันคืนนั้นมันจะใกล้สว่างนะครับ คือตั้งแต่ ๕ ทุ่มเศษไปก็ใกล้สว่าง เมื่อใกล้สว่างทั้งหมดท่านก็ลากลับ เป็นอันว่าคืนนั้นทั้งคืนผมก็ไม่ได้นอนหลับ แต่ว่าการที่ไม่ได้นอนหลับ การคุยกับเทวดานี่ไม่เพลีย

    ท่านเจ้ากรมเสริมท่านก็บ่น คิดว่าเป็นลูกศิษย์ของท่าน "ไอ้เจ้านี่มันเอาผู้หญิงมานอนด้วย มันคุยกันคืนยันรุ่ง ผมรำคาญไม่หลับเลย"



    แต่ ความจริงเป็นเรื่องผิดปกติอยู่อย่างหนึ่ง คือท่านเจ้ากรมเสริม ท่านเป็น ท่านเป็นคนที่มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตอยู่ในอารมณ์สงบอยู่เสมอ ไอ้การจะเอะอะตึงตังโครมครามให้ท่านไม่หลับนะ ไม่เคยปรากฏการณ์ ท่านหลับง่าย คนหลับง่ายนี่หมายความว่าเวลาที่จะหลับจริง ๆ จิตไม่ฟุ้งซ่าน ถ้าจิตฟุ้งซ่านก็ไม่หลับ แต่คืนนั้นท่านบอกว่าพันจ่าเอกคนนั้นคุยกับผู้หญิงจนกระทั่งท่านนอนไม่หลับ มันไม่ใช่แล้ว ผิดปกติ และคนชั้นพันจ่ากับคนชั้นนายพล ถ้านายพลไปนอนอย่างนั้น พันจ่าจะคุยให้ท่านนายพลรำคาญ มันก็เป็นไปไม่ได้ เหตุผลไม่พอ แล้วเธอก็นอนในห้องแถวข้างล่างซึ่งไกลออกไป ถ้าคุยแบบนั้นจะต้องตะโกนกันเต็มเสียงจึงจะได้ยินขึ้นมา



    ทีนี้มันมีเรื่องอยู่ว่า ผมก็คิดว่าท่านคงได้ยินเสียงผมกับนางฟ้าคุยกันและเสียงมันรอดมาได้อย่างไร ผมว่าผมพูดเบาที่สุด


    เพื่อเป็นการเปลื้องความสงสัยก็เลยเรียกพันจ่าคนนั้นขึ้นมา ก็ถามว่า"พ่อคุณ ต้มน้ำร้อนเดือดหรือยัง...?"

    เธอก็รายงานบอกว่า "กำลังต้มครับ ยังไม่เดือด"



    ก็เลยบอกเธอว่า "ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องรีบนะ ต้มตามสบายเดือดเมื่อไรเอาขึ้นมาเมื่อนั้น"

    แต่ ความจริงผมเป็นคนไม่ติดน้ำร้อน ตามปกติแล้วผมชอบน้ำเย็น แต่ว่าถ้าน้ำเย็นที่สุกแล้วก็จะชอบมาก มันปราศจากโรค เรื่องน้ำชานี่ผมไม่ฉันเลย ท่านจะเห็นว่าผมไม่ฉันน้ำชากับใครเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อบวชใหม่ ๆ ผมก็ชอบน้ำชากับเขาเหมือนกัน ต่อมาเป็นนักเทศน์ ไปไหนก็ต้องหิ้วกระติกน้ำชาไปด้วย ก็เลยมาคิดในใจว่า เราจะมาเทศน์ให้ญาติโยมเปลื้องจากกิเลส แต่เราเองต้องหิ้วกิเลสไปด้วย เลย ตัดสินใจวันนั้นว่าเลิกกันเสียที น้ำชาหรือไม่ชา ชาวบ้านเขาไม่กินน้ำชา เขาก็ไม่ตาย ไอ้เราไม่กินน้ำชามันจะตายก็ให้มันรู้ไป เลิกเด็ดขาด เลิก ไม่กินมันเลย ใครเขาเลี้ยงที่ไหนก็ไม่ยอมกิน ก็รวมความว่ากินแต่น้ำเย็นธรรมดา ๆ เมื่อเรียกเธอขึ้นมาแล้ว เธอกลับไปก็เลยถามท่านเจ้ากรมว่า
    ผู้ชายที่เสียงเมื่อคืนนี้ เสียงเหมือนคนนี้ไหม?"



    ท่านก็บอก "ไม่เหมือน เมื่อคืนนี้มันเสียงใหญ่ครับ ไอ้เจ้านี่มันเสียงเล็กครับ"


    ก็เลยบอกให้ท่านทราบว่าความจริงเมื่อคืนนี้อาตมาคุยกับเทวดาองค์หนึ่ง ท่านมาคุยให้ฟังเรื่องน้ำมัน เทวดาองค์นั้นท่านเสียงใหญ่ และก็ต่อมาก็มาคุยกับผู้หญิง พวกผู้หญิงน่ะก็เป็นนางฟ้า เสียงเล็ก เสียงฟังเพราะ ๆ ถามท่านเป็นยังงั้นใช่ไหม ท่าก็บอกว่าใช่ (ก็ต้องขออภัย วันนี้มันจะไอ เกิดไอขัดคอมาเสียแล้ว) ก็เลยเล่าความเป็นมาให้ท่านฟัง เรื่องการสงสัยพันจ่าคนนั้นคุยกับผู้หญิงก็ยุติไป
    และต่อมาผมก็เดินทางไป จังหวัดชุมพร สองวันแรกไม่ได้นึกถึงเรื่องน้ำมันเลย ลืมจริง ๆ ด้วยอำนาจเทวานุภาพ ท่านมีอำนาจกว่าเราจริง ๆ ทีนี้ใครว่าเทวดาไม่มีนี่เป็นเรื่องของท่าน แต่ผมกล้ายืนยันว่าเทวดามีแน่ ผมก็ชนทั้งเทวดาและนางฟ้าก็รวมความถึงวันที่สาม วันนั้นคนก็มาก ความจริงคนมากตามปกติ หมู่บ้านนั้นมีคนไม่มากนัก มีไม่กี่หลัง เป็นบ้านเล็ก ๆ ในเมื่อเธอมีศรัทธา ผมก็ไปเยี่ยมเธอทุกปี ปีพ.ศ.๒๕๒๗ ผมเว้นมา ๓ ปีแล้ว ไปไม่ไหว โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนมาก ผมก็แก่ลงไปมาก ไปไม่ไหวจริง ๆ ก็เลยต้องระงับ ถ้าไปแล้วจะทำหมอเป็นทุกข์ขึ้นมาก เพราะหมอต้องรักษาให้ผม และไอ้ผมเองก็กระโดกกระเดก ๆ ไม่ค่อยหยุด หมอก็คงจะรำคาญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ไอ้รักษาคนป่วยประเภทไม่หยุดนี่ หมอรักษายาก ผมก็รู้ตัวมันก็หยุดไม่ไหว
    และวันที่สาม ฉันเช้าแล้วก็นึกขึ้นมาได้ ถาม "เออ คนที่นั่งที่นี่ทั้งหมด ใครเคยไปมะริดบ้าง?"

    มะริดเป็นประเทศมอญเก่า เวลานี้เป็นของพม่าก็มีกะเหรี่ยงคนหนึ่งเธอมาอยู่นานจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอบอกว่าเธอไปทุกปีถามว่า "ไปทำไม?" เธอก็บอก "ไปซื้อควายมาขาย"
    ควายที่มะริดถูก แต่มาขายในประเทศไทยมันก็แพงหน่อยเป็นของธรรมดา เขาต้องเดินป่าตั้งหลายวัน


    ถามว่า " ไปที่นั่นเคยได้ยินข่าวไหม ว่าหนองน้ำหนองหนึ่ง (ที่เทวดาท่านบอกเมื่อวานนี้ผมไม่ได้บอกละเอียด) เวลานี้แทนที่จะมีน้ำ มันเป็นน้ำมันทั้งหมดขึ้นมาเต็มหนอง เป็นหนองใหญ่ มีไหม?"เธอก็บอก "มีครับ" ถามว่า "มีอยู่ที่ไหนห่างจากเขตประเทศไทยเท่าไร?"
    เธอก็บอกว่า "ห่างจากเขตประเทศไทยไปเดินเท่าไรก็ไม่ทราบผมกะว่าประมาณสัก ๓๐ กิโลเมตร แต่ว่าการไปลำบาก"

    ก็อยากจะไปดู เธอบอก "ไปได้ครับ"
    บอก "ไปอย่างไร พม่ามันเชือดคอฉันตาย"



    เธอก็บอกว่า " พม่าไม่เชือด เพราะที่นั่นเป็นที่กะเหรี่ยงอิสระอยู่ กะเหรี่ยงอิสระคุมและก็ตั้งฐานอยู่ล้อมรอบเขตบ่อน้ำมัน เป็นหนองน้ำมันและก็ตักน้ำมันขึ้นมาใช้เติมตะเกียง"

    โอ้โฮ! เขาแน่นอนจริง ๆ ก็รวมความว่าที่เทวดาท่านบอกก็เป็นความจริง นี่จริงจุดหนึ่งผมก็ต้องพิสูจน์แบบนี้ เป็นลักษณะของผม



    และในปีนั้นก็เป็นโอกาสไป จังหวัดภูเก็ต คือ พันเอกแพทย์หญิง วีวรรณ คำนวณกิจ บ้านอยู่ภูเก็ต และที่ตรงนั้นอาจจะเป็นบ้านที่ปลูกใหม่ของเธอ เธอก็ชวนไปเยี่ยมจังหวัดภูเก็ต พอไปถึงจังหวัดภูเก็ตบ้านอยู่ชายทะเล สบายมาก ไปกันเยอะ ตอนกลางวันวันหนึ่ง ผมก็เอาเก้าอี้ผ้าใบตัวหนึ่งไปนอนอยู่โคนต้นมะพร้าวชายทะเล ความจริงก็อยู่ในบริเวณบ้านนั้น เป็นความสุขมาก อากาศดีมาก เจ้าของบ้านก็ดี แต่การไปแบบนี้ผมก็สงสารเจ้าของบ้าน ไปด้วยกันมาก แต่ภารกิจของเจ้าของบ้านต้องรับเลี้ยงเราทุกอย่าง ต้องมีความลำบากทุกอย่าง อยากจะไปอีกก็เกรงใจเจ้าของบ้าน ความจริงการไปนี่มีประโยชน์มากไปนอนอยู่ก็มีความรู้สึกว่าในเขตจังหวัดภูเก็ตมันมีของที่มีค่าสูงมาก แต่ว่าวันนี้ก็ไม่ได้คำนึงว่าจะมีอะไรมากนัก หลังจากนั้นเขาก็พาไปเที่ยว ไปที่ไหนทิศไหนผมจะไม่พรรณนา ก็รวมความว่าไปเที่ยวกันรอบเกาะภูเก็ตไปทุกจุดที่มันมีความสำคัญ



    ตอนเย็นกลับมาวันหนึ่ง ยังไม่ทันจะใกล้ค่ำทุกคนก็แวะรับประทานอาหารที่ร้านค้า ร้านค้าเขามีเป็นสองจุด เจ้าของเดียวกัน ข้างในมีแอร์และก็มีห้องกระจก หมายความว่ามีหน้าต่างกระจก อีกหลังหนึ่งเขามุงจากเป็นอาคารยาว เอาไว้เลี้ยงพิเศษ เขาก็ไปรับประทานอาหารกันหมด ผมก็อยู่ข้างนอก ผมก็เดินไอ้ที่เขาเรียกว่า เดินจงกรม (จงกรม แปลว่า เดิน) ก็เดินไปเดินมาตามแบบฉบับของผม ทำให้จิตเป็นสุข กว่าจะรับประทานอาหารกันเสร็จก็นาน


    ขณะ ที่เดินอยู่คนเดียวก็ปรากฏว่ามีเพื่อนมาร่วมการเดิน แต่ไม่ใช่เดินกองการกุศลแบบเดี๋ยวนี้นะ เดินจิตเป็นกุศลแต่ไม่ได้เดินบำเพ็ญกุศลแบบเอาสตางค์ไปจ่าย ก็คนเดียวไม่รู้จะจ่ายให้ใคร ไม่มีสตางค์จะจ่ายด้วย ก็มีคนมาช่วยเดิน รูปร่างหน้าตาสวย มองไปทีแรกก็ทราบว่าคนนี้เป็นเทวดาชั้น จาตุมหาราช ก็คิดในใจว่าเราพบสหายเก่าเข้าแล้ว หลังจากนั้นก็คุยกัน ก็ถามว่า


    "ไอ้เกาะภูเก็ตนี่เดิมทีมันชื่ออะไร?"
    ท่านบอก "เดิมทีเขาเรียก บูกิ๊ต"


    ถามว่า "บูกิ๊ตมันหมายความว่าอะไร?"
    ท่านบอกว่า "บูกิ๊ตหมายความว่า ภูเขา คือเป็นเกาะที่มีภูเขามาก"


    และถามท่านว่า "หลังจากนั้นเขาเรียกว่าอะไรอีก?"
    ท่านก็เลยบอกว่า "เรียกว่า ปาฏลีบุตร"


    ก็ถามว่า "ทำไมชื่อเหมือนแขก ไอ้ปาฏลีบุตรนั่นมันชื่อของชาวอินเดีย"
    ท่าน ก็บอกว่า "แขกชาวเมืองปาฏลีบุตรมาขึ้นที่นี่ มาเรือและมาขึ้นที่นี่ มาพักอยู่มาก ต่อมาก็กระจัดกระจายไปนครศรีธรรมราช และขึ้นไปเหนือบ้าง ใต้บ้าง ใช้นามว่าเมืองปาฏลีบุตรสมัยโน้น และต่อมา ๆ คนไทยจึงเรียกชื่อว่า ภูเก็ต"



    เดินไปเดินมาก็ถามท่านว่า "ในทะเลภูเก็ต เมื่อตอนกลางวัน มันสงสัยนอนอยู่ที่โคนต้นมะพร้าว และก็มีความรู้สึกว่ามันมีแร่ธาตุที่มีความสำคัญ มันมีจริงไหม?"ท่านบอกว่า " ความรู้สึกของท่านถูก มันมีจริง แร่นี่ท่านบอกว่ามีอานุภาพสูงกว่าแร่ยูเรเนียม คืออานุภาพมันสูงกว่ามาก ถ้าใช้เป็นอาวุธรบก็มีความสำคัญกว่า"
    "รวมความว่ารังสีแรงกว่ายูเรเนียมเยอะก็แล้วกัน"



    และท่านบอก "แร่จำนวนนี้มันมีมาก มันตั้งศูนย์อยู่ตรงนี้"

    ท่านก็ชี้ที่แผ่นดินที่บริษัทเขาขุดแร่กันอยู่ บริเวณปลายศูนย์ข้างนอก หาง ๆ มันทางสายมันอยู่ตรงนี้ และถ้าทำการขุดเรื่อย ๆ ไปมันจะเข้าไปในภูเขาพอจวนจะเขตเขามันเริ่มเข้าถึงแท่งใหญ่ ถ้าลึกเข้าไปจะพบแท่งโตแท่งใหญ่มีปริมาณสูงมาก และท่านก็คุยต่อไปว่า
    " แร่ประเภทนี้ถ้าเวลามันหมดสภาพ มันตายแล้วมันจะมีสภาพเป็นเพชร จะเป็นเครื่องประดับผู้หญิง ก็หมายถึงเป็นเพชรนั่นเอง และเป็นของมีค่าสูง" ก็รับฟังท่าน



    เมื่อคุยกับท่านก็ถามต่อไป "นอกจากจะเป็นแร่ที่มีความสำคัญมากนี่และมีอะไรอีกบ้างไหม?"

    ท่านบอก ว่า "ก็มีอยู่เยอะมันก็มีทั้งทอง ทั้งอะไรเยอะแยะ" ท่านอธิบายให้ฟัง การอธิบายพร้อมกับเห็นภาพเสร็จ ก็รับฟังท่าน ทานพูดต่อไปว่า



    " เจ้าแร่ประเภทนี้มันต่างกับแร่ยูเรเนียมอยู่อย่างหนึ่ง แร่ยูเนียมถ้าใช้ในทางสันติ คือเอารักษาโรค มันจะมีความร้อนสูงจึงเอามาเผาโรคมะเร็งกัน แต่ว่าถ้าแร่ประเภทนี้เอามาใช้ในทางสันติ คือในทางการแพทย์ มันจะมีความเย็นแทนที่มันจะร้อน มันจะกลายเป็นความเย็นไป ก็สามารถรักษาโรคได้เหมือนกัน" ก็รับฟังของท่านไว้อย่างนั้น


    ต่อมาเมื่อกลับมาถึงที่พักก็มีโอกาสได้นอนเล่นคนเดียว เวลานอนเขาให้นอนคนเดียว ไม่ได้นอนกับใคร ใช้ใจสบาย ๆ ก็มีความรู้สึกเห็นแร่อีกประเภทหนึ่งมันอยู่ลึกปนกับแร่ดีบุก แต่แร่ดีบุกน่ะมันเป็นผิว เจ้าแร่ประเภทนี้มันลึก เวลานี้การดูดของบรรดาคนทั้งหลายที่ดูดแร่ ไอ้ตะกอนผิว ๆ ของมันมีดินขึ้นมาแล้ว แล้วตะกอนที่ติดมาเป็นของมีค่าสูงมาก แข็ง ใช้เป็นจรวดเสียดสีกับอากาศทนการเสียดสีได้ดีมาก และเป็นของที่มีราคาสูง แต่คนไทยไม่ได้ใช้ประโยชน์ คือคนไทยยังไม่รู้จัก


    ต่อมาวันรุ่งขึ้น ได้มีโอกาสไปที่โรงถลุงแร่ ก็ไปชมการถลุงแร่ของท่าน ก็ไปชมการถลุงแร่ของท่าน คุยไปคุยมากับผู้จัดการใหญ่ ท่านก็เล่าพฤติการณ์ให้ฟัง ถามท่านว่า "นอกจากดีบุก มีอะไรไหม?"



    ท่านบอก "มันมีอย่างหนึ่ง คือสกัดออกไปแล้วมันไม่หมด ดีบุกก็ไม่หมด มันก็ไม่ใช่ดีบุกแท้ เป็นตะกั่วอ่อน ๆ ไม่เป็นตะกั่วแท้ จะทำตะกั่วหลอม ตะกั่วอะไรมันก็ไม่ได้ทั้งนั้น มันเกาะกับดีบุก ก็ไม่หมด ฉะนั้นจะต้องไปซื้อแร่ดีบุกจากจังหวัดจันทบุรี เอามาผสมแล้วก็สกัดถลุงแล้วเป็นตะกั่วเชื่อม เป็นตะกั่วบัดกรี" ท่านเล่าให้ฟัง


    เมื่อถามไปถามมาแร่ประเภทนี้มีมากไหม ท่านบอกว่า "มีมาก"ก็ถามว่า "เมื่อก่อนนี้ฝรั่งเขาไม่ต้องการ เดี๋ยวนี้ต้องการแล้วใช่ไหม?"

    ท่านก็บอกว่า "ใช่ และเวลานี้ปรากฏว่าถ้าเหลือเท่าไร ถ้าสกัดไม่หมด ถลุงไม่หมด ติดแบบนั้นฝรั่งเขาเอาไปต่างประเทศหมด"



    ก็ พอดีมีรองผู้จัดการใหญ่ ท่านเป็นอดีตนายทหารเรือ ท่านก็เลยบอกว่า นิมนต์หลวงพ่อทางนี้เถอะครับ ชมข้างในเถอะ" ความจริงท่านจะเล่าอะไรให้ฟังอย่างหนึ่ง อยู่มากด้วยกันท่านไม่กล้าพูด พอเข้าไปแล้วท่านก็บอกว่า



    "เราก็ได้แต่ดีบุกเท่า นั้นแหละครับ สิ่งที่มีความสำคัญจริง ๆ อย่างที่หลวงพ่อว่าเราไม่มีโอกาส เพราะเครื่องมือเราไม่มี เราทำไม่ได้เลย เขาเอาไปหมด และปรากฏว่าแร่ประเภทนี้เมื่อก่อนเหลือมากจริง ๆ ไม่มีที่จะกอง ทางโรงถลุงแร่ต้องเอาไปให้ชาวบ้าน เอาไปไหนก็เอาไปเถอะ ชาวบ้านก็เอาไปถมที่ให้มันขึ้น และทราบในกาลต่อมาว่า เมื่อฝรั่งต้องการมาก ๆ ชาวบ้านก็เลยขุดที่ คือขุดแร่นั่นแหละขายฝรั่งต่อไปอีก"


    รวมความได้ทราบเป็นพิเศษและต่อมาเมื่อกลับมาพักผ่อน เมื่อเกิดความรู้สึกว่าเจอะเทวดาองค์นั้นอีก เทวดาองค์นั้นท่านเล่าให้ฟังว่า



    " ถ้าอยากจะทราบว่าที่ไหนมียูเรเนียม สำหรับยูเรเนียมนะถ้ามันตายแล้ว มันจะกลายเป็นตะกั่ว ถ้ามันตายไปเร็ว ๆ ตะกั่วนั้นจะใช้เป็นตะกั่วสมบูรณ์แบบไม่ได้ ถ้ามันตายไปนานแสนนานเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปีนี้ มันจะกลายเป็นตะกั่วสมบูรณ์แบบ


    ก็เลยถามท่าน "ถ้าอย่างนั้นยูเรเนียมในประเทศไทยมันก็มีน่ะซิ?"ท่านก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นยูเรเนียมในประเทศทไยมันก็มีน่ะซิ?" ท่านก็บอกว่า "ก็มี ที่ไหนมีแร่ตะกั่ว ที่นั่นเคยมียูเรเนียม และท่านก็ย้อนมาว่า "ท่านเองเคยไปพิสูจน์ค้นพบแล้วใช่ไหม?"

    บอก "พบน่ะ มันไม่ไว้ใจตัวเอง"



    ท่านก็เลยบอกว่า "ไอ้เรื่องสงสัยน่ะโยน ๆ ทิ้งไว้ซะบ้างสิ เชื่ออารมณ์ จริง ๆ ซะมั่ง" ท่านก็เลยสอนต่อไป




    ก็ รวมความว่าเลยได้รับความรู้ทั้งยูเรเนียมและก็แร่พิเศษ ไอ้แร่แข็ง ๆ ประเภทนั้นก็ไม่ทราบว่าชื่ออะไร มันอยู่ใต้ระดับดีบุกลงไป แต่ว่าจะอยู่ที่ไหนบ้างผมก็ไม่มีอำนาจบอก เดี๋ยวใครจะหาว่าชี้ให้ขุดอีก แต่ความจริงผมไม่เคยชี้ให้ใครขุด
    หลังจากนั้นมา ก็อีกวันหนึ่งก็ไปเที่ยว จะไปที่ปลายเกาะไปดูพระอาทิตย์ตกก็ไปเจอะพวกเจ้าหน้าที่เจาะน้ำมัน เขาเจาะน้ำมันในอ่าวไทย เขาเจาะมาก่อน เวลานั้นเจาะในมหาสมุทรอินเดีย แต่ว่าเป็นทะเลเศรษฐกิจของไทย ก็ไกลออกไปแค่ ๙๐ ไมล์ ทะเลเศรษฐกิจมัน ๑๒๐ ไมล์ คือห่างจากฝั่งไป ๑๒๐ ไมล์ ของเราถ้าเกินไปกว่านั้นถือว่าเป็นทะเลหลวง



    เขาก็ถามว่า "หลวงพ่อครับ เวลานี้ผมเจาะน้ำมันที่มหาสมุทรอินเดียในทะเลเศรษฐกิจอยากจะทราบว่าน้ำมันจะมีไหม?"พอ เขาถาม ผมก็เลยถามเขาบ้างว่า "เฉพาะบริษัทของคุณ (อันนี้อย่าถามนะครับ บริษัทไหนผมไม่บอกหรอก)
    เฉพาะบริษัทของคุณที่เจาะพบแล้ว สำรวจพบแล้วในทะเลในอ่าวไทย คุณพบแล้วไม่น้อยกว่า ๔ จุดใช่ไหม?ฤ เขาบอก "ไม่พบครับ"ก็เลยตอบเขาว่า "ถ้าในอ่าวไทยคุณไม่พบ ในมหาสมุทรอินเดียคุณก็ต้องไม่พบ" เขาถาม "เป็นเพราะอะไร?"
    ก็บอกว่า "เพราะคุณพูดไม่ตรงตามความเป็นจริง"



    พอพูดเท่านี้ก็ปรากฏว่ามีวิทยุติดต่อเรียกเข้ามาก็เลยให้ลูกน้อง ๒ คนวิ่งไปรับวิทยุ เดิมทีเดียวเขาอยู่ด้วยกัน ๓ คน ต่อมาเมื่อลูกน้องไม่อยู่ก็ยอมรับตามความเป็นจริงว่า ในอ่าวไทยนี่เขาพบแล้วไม่น้อยกว่า ๔ จุดจริง ๆ และเป็นจุดที่น้ำมันเป็นปริมาณมาก แก๊สตอนนี้เราไม่พูดกัน เพราะแก๊สเป็นของอดิเรก ในเมื่อที่ไหนมีน้ำมัน ที่นั่นก็มีแก๊ส ถ้าเจาะไปไม่ลึกพอที่พบแก๊สก่อน เจาะไปลึกมากก็พบน้ำมันเพราะแก๊สนี่เป็นไอระเหยของน้ำมัน ความร้อนมันสูงภายในมันเผา น้ำมันก็ระเหย มันก็พ่นเข้ามาติดอยู่ เรียกว่าฝาข้างบนก็แล้วกัน ก็เป็นแก๊ส อันนี้เป็นปริมาณมาก และน้ำมันในประเทศไทยจะมีความใสมากกว่าของต่างประเทศ


    ก็รวมความว่าเป็นอันว่าได้เรื่องได้ราว เรื่องน้ำมัน ก็เกิดความดีใจ สบายใจว่าสิ่งที่เราถวายพระพรไปกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมันไม่ผิดแน่ ของจริงยังมีอยู่ และสำหรับแก๊สเหลวในกาลต่อมา ผมก็ติดต่อกับคนอีกพวกหนึ่ง ผมจะไม่บอกว่าพวกไหน เพราะว่าถ้าได้แก๊สเหลวหรือน้ำมันที่ผสมกับแก๊ส ว่าฉันมีความรู้สึกว่ามันใสจัด มีความเบาสูง ใสมากเป็นไอระเหย อยากจะทราบว่าความรู้สึกของฉันถูกไหม ถ้าได้เมื่อไรขอให้ส่งมาให้ดูด้วย แล้วคนกลุ่มนั้น (ผมไม่ได้หมายถึงคนกลุ่มเมื่อกี้) ต่อมาเขาก็ส่งมาให้ดู มันตรงกับความเป็นจริงที่มีความรู้สึก และต่อมาได้ไปดูที่มาบตาพุด ที่จังหวัดระยองหรือชลบุรี ที่นี่ก็ปรากฏว่าเป็นจุดตรงกัน



    เอาละ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมทุกท่าน สัญญาณบอกเวลาเตือนวาระที่สอง ก็ขอลาก่อน เอาไว้คุยกันใหม่ในตอนต่อไป ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
     
  4. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร สำหรับหน้านี้หรือว่าตอนนี้เป็นตอนจบเรื่องน้ำมัน "บ้าเพราะน้ำมัน" แต่แล้วผมก็ยังไม่เลิกบ้า พอพ้นเขตจากการบ้าน้ำมันแล้วผมก็จะบ้าต่อไปอีก



    ก็ รวมความว่าเมื่อถึง พ.ศ.๒๕๒๔ เรื่องความบ้าของคนเริ่มสลายตัวไปชั่วคราว ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบังเอิญจริง ๆ ทางเจ้าหน้าที่หรือบริษัทที่เจาะน้ำมัน ไปพบแก๊ส พบน้ำมันเข้าตามที่พูดไว้ แต่ก็จงอย่านึกว่าผมเป็นผู้วิเศษบันดาลให้ของทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏขึ้น ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นธรรมชาติ ต้องถือว่าเทวดาท่านดี และก็ต้องยอมรับนับถือความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านให้วิชาความรู้และก็ช่วยให้ผมพูดตรงตามความเป็นจริง



    เป็นอันว่าการกระทำกับอารมณ์ที่นำเรื่องนี้มาพูด ก็ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทโปรดทราบว่า การนินทาและการสรรเสริญ จงอย่าถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ให้ถือจริยาที่เราประพฤติปฏิบัติเป็นสำคัญ เพราะ ว่าการนินทาและการสรรเสริญ ถ้าเราจะหลบมันก็หลบไม่ทัน ถ้าเราจะโกรธคนนินทา โกรธคนเขาสรรเสริญมันก็หลบไม่ทันอีก เราก็ต้องโกรธกันไม่หยุด ในเมื่อเราต้องโกรธไม่หยุด ความสุขจริง ๆ ของจิตใจมันก็ไม่มี มันจะมีแต่ความวุ่นวายของใจไม่หยุดเหมือนกัน


    ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธ บริษัททุกท่านและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรค่อย ๆ จำกัดความโกรธไว้อยู่ในขอบเขต อันดับแรกอย่าเพิ่งคิดว่า เราจะเลิกความโกรธได้ทันทีทันใด ให้ค่อย ๆ ระงับความโกรธ จำกัดความโกรธไว้ในขอบเขตอันดับแรกจำกัดความโกรธไว้ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ คือ


    ๑. สักกายทิฏฐิ ๒. วิจิกิจฉา
    ๓. สีลัพพตปรามาส



    สังโยชน์ ๓ ประการนี้ถ้าใครละได้เป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามี คำว่า สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด ทำใจเราให้วุ่นวายจากกิเลส นั่นหมายความว่าเราตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส



    วิธีจำกัดความโกรธเป็นอย่างไร ?

    ใน สมัยที่เราเป็นปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส เราไม่มีการจำกัดความโกรธได้เลย นั่นหมายความว่าแทนที่เรากำจัดหรือจำกัดให้มันน้อยลงอยู่ในขอบเขต แคบ ๆ เรากลับชอบทวีคูณความโกรธให้มากขึ้น เมื่อโกรธแล้วก็อยากจะขังความโกรธไว้นาน ๆ แล้วหาทางจองล้างจองผลาญ พิฆาตเข่นฆ่าคนอื่นที่เราโกรธ เนื้อแท้จริง ๆ ผลมันไม่มีสำหรับเขา ถ้าเราคิดมันก็มีแต่ความกลุ้ม ถ้าเราไปทำร้ายเขาจริง ฆ่าเขาจริง เราก็จะเพิ่มความวุ่นวายของจิตมากขึ้นเพราะเป็นการก่อศัตรู เราก็ไม่มีความสุข คณะของเขาเองเขาก็ไม่มีความสุข แทนที่คนที่เราโกรธจะตายแต่ผู้เดียวหรือเป็นศัตรูกับเราแต่ผู้เดียว เราก็จะเพิ่มศัตรูมากขึ้นก็หมายถึงพวกเขาหมู่ญาติพี่น้องของเขา อันเป็นที่รักเขา เขาก็ต้องโกรธเรา ต้องประกาศตนเป็นศัตรูกับเรา อันนี้ไม่มีอะไรดีเลย
    วิธีกำจัดความโกรธไว้ในขอบเขตเล็ก ๆ ก็คือใช้อารมณ์ของพระโสดาบันก่อน


    ความจริงอารมณ์พระโสดาบันนี่ถ้าใครทรงไว้ได้ แต่ว่าทั้งนี้ทั้งหมดขอทุกท่านได้โปรดจงอย่าคิดว่าเราเป็นพระโสดาบัน เรื่องมีความรู้สึกว่า เราเป็นผู้ทรงฌานก็ดี เป็นพระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคาหรืออรหันต์ก็ดี จงอย่ามีความรู้สึกตามนั้น ถ้ามีความรู้สึกตามนั้นมันจะกลายเป็นมานะทิฐิ เพราะว่าเรายังไม่หมดกิเลส ไป ๆ มา ๆ เราก็จะถือตัวว่าคนคนนี้ไม่มีการทรงฌาน ไม่มีฌานสมาบัติ คนนี้มีฌานสมาบัติแต่ย่อหย่อนกว่าเรา ความเลวมันจะเกิดขึ้นกับใจ เป็นมานะ ถ้าเราไปปฏิบัติหรือประพฤติตามกฎแห่งการละสังโยชน์ ถ้าคุมอารมณ์ละสังโยชน์ได้ก็จะคิดต่อไปว่าผู้ทรงฌานโลกีย์สู้เราไม่ได้ เราเป็นพระอริยเจ้าอันนี้เพิ่มความเลวมากขึ้น


    ก็รวมความว่าอย่า คิดเลยว่าเราได้ขั้นไหน เราทำอะไรได้ เป็นพระอริยเจ้าหรือเปล่า เป็นผู้ทรงฌานหรือเปล่า ไม่ต้องคิด คิดอย่างเดียวว่า รักษาอารมณ์ใจให้เป็นสุข และคิดไว้อย่างเดียวว่าอย่างน้อยชาตินี้เราเกิดเป็นคน เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิต่อไป


    สิ่งที่จะทำให้เราไม่ลงอบายภูมิ ก็คืออารมณ์ของพระโสดาบัน อารมณ์ ของพระโสดาบันถ้าเราทรงไว้ได้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่มีสำหรับเราต่อไปอีก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอบายภูมิรังเกียจ ที่ว่าอบายภูมิรังเกียจก็เพราะว่าเรามีความดีมากเกินกว่าที่จะลงอบายภูมิ รวมความแล้วบาปกรรมเก่า ๆ ที่เราทำไว้แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดีไม่สามารถจะนำเราลงอบายภูมิได้ต่อไปอีก



    วิธีปฏิบัติทำยังไง วิธีปฏิบัติจริง ๆ ก็คือให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงในด้าน สักกายทิฏฐิ
    สักกายทิฏฐิ นี่ตามหนังสือท่านแปลว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา


    คำว่าร่างกายนี้ผมใช้แทนคำว่า ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ จริง ๆ ก็คือร่างกาย และขันธ์ ๕ ทั้งหมดที่มี ๕ อย่าง สิ่งที่มีความจำเป็นจริง ๆ ก็คือ รูป เพราะขันธ์ ๕ มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ



    สิ่งใดที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าสิ่งนั้นเรียกว่า รูป

    เวทนา ได้แก่ความเสวยอารมณ์ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขบ้างไม่ทุกข์บ้าง



    สัญญา ได้แก่ ความจำ



    สังขาร ได้แก่อารมณ์ที่ปรุงแต่งใจ คืออารมณ์ที่เป็นกุศลใจก็สะอาด ใจดี ถ้าอารมณ์ที่เป็นอกุศลเข้าครอบงำใจ ใจก็สกปรก ใจเลว และ



    วิญญาณ ได้แก่ ความรู้สึกทางประสาท วิญญาณนี้ไม่ใช่จิตนะครับ วิญญาณกับจิตคนละดวงกัน คนละอย่าง วิญญาณมีความรู้สึกอย่างเดียวไม่มีความคิด คืออารมณ์คิดไม่มี จิตน่ะมีอารมณ์คิด ไม่ใช่วิญญาณ เข้าใจตามนี้


    สำหรับหนังสือที่ท่านเขียนไว้ว่า "การตัดสักกายทิฏฐิ ต้องตัดเห็นว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา" อัน นี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์ครับ ความจริงท่านเขียนไว้สุดยอดถูก แต่ว่าคนที่ไม่เคยรู้เรื่องมาเลยก็จะเข้าใจผิดคิดว่าคนอย่างเราไม่สามารถจะ เป็นพระโสดาบันได้ ความจริงที่ท่านเขียนไว้นั้นหมายตัดสูงสุดเป็นอรหันต์ นั่นพูดถึงการตัดกิเลสกัน ตัดกิเลสเพื่อความเป็นอรหันต์

    ที่ นี้เรามาตัดกันแค่ถ้าจะเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามี เป็นการจำกัดความโกรธไว้ในขอบเขตก็มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ร่างกายนี้อยู่ไม่ตลอด มันไม่รอดแน่นอน ต้องตายแน่ ก่อนจะตายเราไม่ยอมไปอบายภูมิ เพราะเป็นคนแล้วนี่ เป็นคนแล้วกลับไปเป็นสัตว์นรกอีกก็ถอยหลังลงคลอง ไม่ใช่ถอยหลังลงคลอง ถอยหลังลงก้นคลองไปเลย จมดิ่ง กว่าจะไต่เต้าขึ้นมาได้ถึงความเป็นมนุษย์อีกแสนกัป ไม่มีโอกาส เราขาดทุนมาก งั้นคุมอารมณ์ไว้ ถือว่าจะไม่ยอมไปนรก เพราะยึดคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง หมายความว่า เราคอยถึงเราไว้ไม่ยอมให้หย่อนตัวลงนรก



    หลังจากนั้น รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ คือไม่คิดจะฆ่าสัตว์ ไม่คิดจะทำร้ายสัตว์หรือบุคคล ไม่ลักทรัพย์สมบัติของใคร และก็ไม่คิดจะลักทรัพย์สมบัติของบุคคลใดด้วย ลักไม่ลัก โกงก็ไม่โกง ไม่ยื้อไม่แย่งทุกอย่าง พอใจในเฉพาะทรัพย์สินที่เราหามาได้โดยชอบธรรม และก็ไม่ยื้อแย่งบุคคลรักของบุคคลอื่น ความ จริงคนรักคนเดียวก็เหลือแหล่แล้ว ประคับประคองกันไม่หวาดไม่ไหว การประครองกันไม่สำคัญ สำคัญเวลาหากิน เวลานี้ทรัพย์สินก็หาได้โดยฝืดเคือง มันยาก แค่คนรักคนเดียวต่างคนต่างรักกันก็พอใจ รักมาก ดีมาก หมายถึงรักมากแต่บุคคลน้อยบุคคลเดียวเรารักให้มาก ก็มีความสุข นี่พูดถึงคนรักษาศีล


    และต่อไปเราก็พยายาม พูดตามความเป็นจริง เรื่อง พูดนี่พูดเฉพาะตามความเป็นจริง ไม่พูดปดอย่างเดียวก็ยังเป็นการสะเทือนใจกัน คือยังมีการกล่าวคำหยาบมีการยุยงส่งเสริมให้แตกร้าวกัน พูดวาจาไร้ประโยชน์ ฉะนั้น ก็เว้นเสียให้หมด เว้นคำพูดที่ไม่จริง เว้นคำพูดที่เป็นเครื่องเสียดแทง คือการกล่าวคำหยาบให้เขาสะเทือนใจเว้นจากการส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน หรือนินทากัน และก็เว้นจากการพูดด้วยวาจาที่เหลวไหลไร้ประโยชน์



    รวม ความว่าวาจาทั้ง ๔ ประการ ถ้าเราใช้เป็นเครื่องสะเทือนใจมาก ดีไม่ดีขัดใจกัน โกรธกันเราก็งดมันเสียเลย ใช้แต่วาจาจริง วาจาไพเราะที่น่าฟัง วาจาสังสรรค์ความสามัคคี วาจาที่มีประโยชน์ แค่นี้พอ

    และต่อไปก็ เว้นจากการดื่มสุราเมรัย เพราะสุราเมรัยนี่มันมีแต่โทษ ประโยชน์ไม่มี ประโยชน์มีสำหรับคนเลว แต่บัณฑิตถือว่าเป็นโทษ บัณฑิตหมายถึงคนรู้ คนฉลาด และก็มีกำลังใจไว้เฉพาะคิดว่าถ้าร่างกายนี้มันพังเมื่อไหร่ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดีจะไม่มีสำหรับเรา เราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มีความวุ่นวายตามที่กล่าวมาแล้วเป็นเทวดาหรือพรหมมีความสุขจริง แต่มีความสุขไม่นาน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องโดดป๋องลงมาใหม่ โดดมาค้างที่เมืองมนุษย์ก็ยังบุญตัว ส่วนใหญ่ไปลงอเวจีไปเลย ฉะนั้นเราไม่ต้องการ เราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน

    นี่ผมก็เลยมาชวนท่านบ้าเรื่องนิพพานกันไปอีก เขาว่าบ้าเรื่องน้ำมัน บ้าเรื่องวัตถุธาตุแล้ว ก็ไม่พอ มาบ้าเรื่องนิพพาน ความจริงเรื่องน้ำมันก็พ้นบ้าไปแล้ว พอถึง ๒๕๒๔ เขาเจาะน้ำมันพบ ผมก็พ้นบ้า



    ทีนี้เรามาจำกัดความโกรธ ถามว่า "พระโสดาบันยังมีความโกรธไหม?"

    ก็ต้องตอบว่า พระโสดาบันยังมีความโกรธ แต่ว่าจำกัดความโกรธไว้ในวงแคบ พระโสดาบันโกรธจริงแต่ความรุนแรงน้อย เพราะเกรงอบายภูมิ อาจจะมีความโกรธ ถ้าพระโสดาบันขั้นต้นความโกรธยังรุนแรงอยู่บ้าง แต่ว่าจิตคิดจะ
    ต่อไปพระโสดาบันขั้น สัตตักขัตตุง อย่างหยาบ พระโสดาบันขั้นกลาง โกลังโกละ อันนี้ความโกรธของพระโสดาบันขั้นนี้ก็มี รวมความว่าขั้นไหนก็มี ก็โกรธทั้งนั้น ความโกรธขั้นรุนแรงที่คิดจะประหัตประหารให้ถึงตายไม่มี ความไม่ชอบใจมีมากยังมีอยู่ แต่ว่าระงับสั้นเข้า คือหายเร็วเข้า ให้อภัยเร็ว



    ต่อไปพระโสดาบันละเอียดเรียกว่า เอกวิชี มีความสะเทือนใจน้อยเต็มทีจิตให้อภัยมากขึ้น



    รวมความว่าเรากำจัดความโกรธไว้ในวงแคบ ๆ ตามระยะ อยู่ ๆ เราจะบอกฉันเลิกโกรธ อันนี้มันไม่ได้ ต้องคิดว่าสามีภรรยากัน กว่าจะแต่งงานกันได้ก็ต้องใช้เวลา บางทีบางคนก็ใช้เวลามาก ๆ แต่เวลาเลิกกันมันยาก ต้องใช้เวลามากหน่อย เพราะความรักมันผูกพันแน่นหนาเสียแล้ว เหมือนกับความโกรธกับเราก็ เหมือนกัน ความโกรธกับเรามันคบหาสมาคมกันนับอสงไขยกัป นับไม่ถ้วน ที่ว่าไม่ถ้วนก็ไม่รู้กี่อสงไขยกัปอยู่ ๆ ก็จะผลักให้มันโดดไปเฉย ๆ ไม่ได้ ก็ต้องค่อย ๆ ผ่อนทีละน้อย ถ้าเรากำจัดขอบเขตของความโกรธได้อย่างนี้ ก็รวมความว่าอบายภูมิไม่มี ความสุขก็มีขึ้น



    ต่อไปก็จำกัดความโกรธให้ละเอียดลงไปอีกนิดหนึ่ง ขั้นสกิทาคามี ขั้นสกิทาคามีมีความรู้สึกถึงการตัดสังโยชน์เหมือนกัน แต่การให้อภัยมีเหตุมีผลมากขึ้น จิตใจมีความฉลาดมีปัญญามากขึ้น มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่ต้องการ โกรธกับใคร มีอย่างเดียวต้องการความรักความเห็นใจ ความเป็นเพื่อนกันแต่ว่าที่ต้องโกรธก็เพราะว่ากิเลสบางอย่างเข้ามาแทรกแซงใจ ทำลายความดี ฉะนั้นคนที่ทำไม่ดีและสะเทือนใจผู้อื่น บุคคลนั้นไม่มีเจตนาแท้ แต่ว่าผีกิเลสเข้าสิงใจ มันเข้าบังคับใจของบุคคลนั้น เขาจึงทำให้เราไม่ชอบใจ เราให้อภัยไปเลย และคนนี้ทำผิดทำชั่ว พูดผิดพูดชั่ว เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสบังคับ จัดเป็นอภัยทานและก็มีพรหมวิหาร ๔ หนักขึ้น มีเมตตา ความรัก มีกรุณา ความสงสาร มุทิตา จิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา ความวางเฉยกระทบกระทั่งความไม่ชอบใจ วาจาที่สะดุด อันดับแรกเอาเฉยเข้าไปสกัดไว้ก่อน สกัดไว้นาน ๆ เมื่อชินก็จะสลายตัวไปเลย
    ฉะนั้นอารมณ์ของพระ สกิทาคามีอันดับแรก ความโกรธยังหนักอยู่นิดหนึ่ง ยังมีความสะเทือนใจอยู่บ้าง แต่ก็หายเร็วให้อภัยเร็ว หนักเข้า ๆ พรหมวิหาร ๔ ครอบงำจัด มีความรู้สึกว่าร่างกายไม่ทรงตัวจริง โลกนี้เต็มไปด้วยความยุ่งยากความเดือดร้อน ไม่มีความแน่นอน เราไม่ต้องการอบายภูมิ ไม่ต้องการมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ต้องการแต่นิพพานอย่างเดียว


    อารมณ์อย่างนี้หนาแน่นขึ้น ความโกรธก็ค่อยสลายตัว หนัก ๆ เข้า บางทีเขาว่ามาแรง แต่มีความรู้สึกเบายังไม่สะเทือน บางทีเขาด่าวันนี้ อีก ๓ วันถึงนึกได้ว่าเขาด่า วันก่อนคิดว่าเป็นการพูดเล่นกัน อันนี้เป็นอารมณ์ของพระสกิทาคามี
    และพระสกิทาคามีนี้ถ้า ละเอียดถึงที่สุดใกล้อนาคามีจะไม่รู้สึกถึงด้านความรักและความโลภ ความโกรธ ความหลง อารมณ์ปกติไม่มีความรู้สึกเลย แต่ว่าความรู้สึกอย่างนี้จะมีขึ้นบางขณะ คือเดือนหนึ่งนาน ๆ ครั้ง เวลาที่จิตสงบสงัด อารมณ์รักจะกระตุ้นขึ้นมานิดหนึ่ง รวมความไม่พอใจอาจจะโผล่ขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็ถูกตีกลับไปเลย นี่เป็นพระสกิทาคามีขั้นละเอียด ขั้นที่จะถึงอนาคามี


    มาถึงตอนนี้แสดงว่าเราจำกัดวงขอบเขตของความโกรธได้ และก็สามารถทำลายกำลังของความโกรธให้เกือบไม่มีกำลังเลย พอถึงแค่นี้ก็พอใจ


    พอ ใจของผมก็หมายความว่า เรายังโกรธ ใครถามมาเราก็ยังโกรธ ในเมื่อเราไม่เป็นพระอนาคามีเพียงใดเรายังโกรธ แต่ก็ตอบเขาว่าฉันยังมีความโกรธ ฉันยังมีความโลภ ฉันยังมีความหลง ฉันยังมีความรัก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี่ฉันเก็บไว้ในขอบเขตในคอกแคบ ๆ ซึ่งมันดิ้นไม่ได้ถนัดนัก แต่อย่าไปกวนใจมัน ถ้ากวนมันหนัก ๆ เข้ามันแหกคอกมาได้มันยุ่งจัด บอกเขาอย่างนั้น



    ก็รวมความกำลัง ใจของเราจะทำถึงขั้นไหนก็ช่าง อย่าไปหลงใหลใฝ่ฝัน คิดว่าเวลานี้เราเป็นพระโสดา พระสกิทาคา ก็รวมความพระโสดา สกิทาคา สองอย่างกำจัดแค่กิเลส ๓ อย่างคือ

    สักกายทิฏฐิ ความรู้สึกว่าร่างกายมันจะไม่ตายน่ะเลิกคิด คิดว่ามันตายเสีย วิจิกิจฉา ใช้ปัญญานิดหน่อยพอ สีลัพพตปรามาส ฆราวาสรักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วน ภิกษุสามเณร รักษาศีล ๒๒๗ ศีล ๑๐ ให้ครบถ้วน


    ก็ รวมความว่าการรักษาศีล รักษาชินจนไม่ต้องระวัง มีอารมณ์ชินในสิกขาบทต่าง ๆ ว่ามันเป็นของไม่หนัก เป็นของธรรมดาที่เราทำได้แบบง่าย ๆ แค่นี้ความโกรธมันก็จะค่อย ๆ สลายตัวไป มีกำลังเบา ผมยังจะไม่พูดว่ามันหมดไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะถ้าบอกว่าหมด ถ้าชนโกรธขึ้นมา มันจะซวย จะเผลอ


    ก็รวมความว่าค่อย ๆ ระงับ ค่อย ๆ กดใจถือว่าเป็นของธรรมดา ถ้าถูกด่าถูกว่าให้คิดว่าเราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาด่า ชาวบ้านเขาว่า ชาวบ้านเขานินทา ก็หมดเรื่อง เป็นอันว่าถ้าเราสามารถแบบไหนทำแบบนั้น


    ทีนี้ผมที่บ้ามาแล้วก็บังเอิญจริง ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสถามและข่าวออกไปเขาก็หาว่าผมบ้า เวลานั้นผมจะไปโกรธอะไร ก็คนว่าผมบ้านี่เขาไม่ได้ว่าให้ผมได้ยิน ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาว่าให้ผมได้ยิน ผมจะโกรธเขาหรือไม่โกรธไม่แน่ แต่ข่าวที่มานี่พอว่าบ้าปั๊บ ผมก็ยิ้มแล้ว ทำไมจึงยิ้ม ก็เพราะผมก็มีเพื่อนบ้าน่ะซิ ที่ว่ามีเพื่อนบ้าก็เพราะผมบ้าพูด พูดตามความรู้สึกที่คิดว่ามันเป็นอย่างนั้น นี่ว่ากันถึงตอนยังไม่พบน้ำมัน ที่ว่าผมมีเพื่อนบ้า เพราะข่าวนี้ออกไป คนก็บ้าต่อคือบ้าด่าผมบ้านินทาผมทั้ง ๆ ไอ้วันเดือนปีมันยังไม่ถึง คนประเภทนี้เป็นคนไร้เหตุไร้ผล เพราะว่า ถ้าคนมีเหตุมีผล ถ้าคนดีจริง เขาจะรับฟังไว้เฉย ๆ ยังไม่เชื่อและยังไม่ปฏิเสธ เพราะว่าเวลาที่พูดไปมันมีกำหนดเวลา ว่าต้อง พ.ศ.๒๕๒๔ ฟ้าจะสาง


    ความจริงไอ้ฟ้าจะสางก็มีคนมาถามบ่อย ๆ ว่า "เมื่อไรจะสว่าง"


    ตอนนี้ขอบ้าต่ออีกนิดหนึ่ง เอาอีกนิดเดียวนะ เฉพาะหน้าคาสเซทหน้านี้ บ้าต่ออีกนิดหนึ่งว่า ต่อไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ พระอาทิตย์จะเริ่มขึ้นจากขอบฟ้า อันนี้ก็เดาเองก็แล้วกัน อย่าลืมนะผมยังไม่ได้พูดถึงเวลาเที่ยง ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบฟ้าเมื่อไร ความสว่างขึ้นมากขึ้น คนจะเห็นหน้าเห็นตากันมากขึ้น ไอ้ทรัพย์สินต่าง ๆที่มันอยู่ในแผ่นดินเป็นทรัพยากรก็จะปรากฏหนาแน่นขึ้น คนก็จะเริ่มมีความสุข แต่ความสุขปี พ.ศ.๒๕๓๐ ก็ต้องถือว่าเป็นความสุขอย่างมนุษย์ อย่างคนธรรมดา ไม่ใช่ความสุขอย่างพระอริยเจ้า ความสุขที่อิงอามิสมันไม่มีอะไรสุขจริง จริง ๆ แล้วมันก็เป็นเชื้อสายของความทุกข์ แต่ว่าเราได้มาเป็นที่พอใจถือว่าเป็นความสุข ทีนี้ต่อไปเบื้องหน้าจะเป็นอย่างไร ผมก็จะไม่พูด ทิ้งไว้แค่นี้ก่อน บ้าไปอีกนิดหนึ่งว่า พระอาทิตย์จะขึ้นเหนือขอบฟ้าต่อเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๐

    ต่อไปนี้ก็จะบ้าเรื่องอะไรต่อไปอีก รวมความว่าบ้าไว้เท่านั้นดีไหม ? และต่อไปวันหน้าถ้ามีโอกาส ถ้านั่งพูดไม่ไหว แค่นอนพูดก็ไม่เป็นไร


    (ที่ ฟังไม่ดี ทีแรกเสียงเริ่มใส ๆ ผมพักไปหน่อย มาก็เริ่มเครืออีกแล้ว อย่าลืมว่าช่วงนี้ยังเป็นวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๗ อยู่ เป็นตอนที่ ๔)


    นี่เราพูดกันเรื่องบ้า ๆ และต่อไปเบื้องหน้าจะบ้าเรื่องอะไรดี

    วันนี้บังเอิญมีข่าวเขาดูข่าวโทรทัศน์กัน เขาบอกว่า ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตกำลังเจาะหาความร้อนจากใต้ดิน ผม ไม่ได้ดูกับเขา เขาบอกเจาะทางเชียงใหม่ ผมก็ดีใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความร้อนจากใต้ดินมีมาก มีมากในประเทศไทย มันจะเจาะได้แหล่งยาวที่สุด และก็มากเป็นแผลใหญ่ในใต้ดินที่ให้ความร้อน ถ้าเรานำขึ้นมาได้ ได้เรื่องกระแสไฟฟ้าสบายมาก โรงงานต่าง ๆ ที่ใช้ไอน้ำก็สบายมาก แต่ว่าต้องยกไปในที่สถานที่ที่แผ่นดินมันแตก มันแยกอยู่ภายในและมีความร้อนสูง เจาะลึกลงไปถึงประโยชน์ใหญ่มาก


    ถ้า ถามว่าเจาะที่ไหนบ้าง ผมก็ไม่ต้องบ้าเรื่องนี้ ทั้งนี้เพราะทางราชการท่านมีความต้องการแล้ว และการพิสูจน์ความร้อนใต้ดินเป็นของไม่ยาก ความจริงแร่ยูเรเนียมเชื่อว่าเป็นการค้นหาง่ายอยู่แล้ว มีเครื่องวัดเป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นเครื่องตรวจง่าย ๆ แต่ว่าความร้อนใต้ดินยิ่งง่ายกว่าแร่ยูเรเนียมอีก



    ฉะนั้นถ้าหากการ ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของประเทศไทยเริ่มทำและก็เริ่มมีเครื่องมือ ผมว่าในกาลต่อไป ไม่ช้ากระแสไฟฟ้าที่ใช้กับเครื่องจักร จะไม่ต้องใช้กระแสน้ำ กระแสน้ำก็ยังต้องใช้อยู่ ก็ดี เป็นการเรียกว่าเป็นผลได้จากการลงทุนน้อย ต่อไปถ้าได้ความร้อนจากใต้ดินอีกจะมีประโยชน์ใหญ่



    เป็นอันว่าในกาล ต่อไป ผมก็คงจะบ้าเรื่องนี้อีกสักนิดหนึ่ง เพราะว่าความร้อนใต้ดินผมทราบได้อย่างไร มันเป็นเหตุเนื่องจากไปอเมริกาไปพักที่ฮาวายและ ดร.ปริญญา นุตาลัย เธอเป็นด็อกเต้อร์ฝ่ายธรณีวิทยา เธอเช่ารถเก๋งพาไปเที่ยวรอบเกาะฮาวาย ก็ปรากฏคุยกันเรื่องนี้ และเมื่อเกิดการสงสัยขึ้นมา เหตุการณ์ก็ปรากฏ



    ผมก็มีอะไรอยู่นิดหนึ่งถ้าไม่กระทบผมก็ไม่อยากรู้ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งหมด ถ้าเรื่องใดกระทบเข้าก็อยากรู้เรื่องนั้น กระทบเมื่อไรเมื่อนั้น ไม่กระทบไม่รู้ เพราะอะไร เพราะว่าขี้เกียจรู้ รู้ไปก็แค่นั้น ไม่รู้ก็แค่นั้น รู้ไปผมก็แก่ ไม่รู้ก็แก่ มันใกล้ตาย



    สัญญาณบอกเวลาหมดแล้วนี่ครับ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    บ้ายูเรเนียมและทองคำ

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่าน สำหรับวันนี้ยังเป็น ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ การ ป่วยไข้ไม่สบายของผมก็ยังเป็นปกติ เมื่อเช้านี้หมอให้น้ำเกลือไป ๑,๐๐๐ ซี.ซี. แต่ว่าอาการทางร่างกายยังโลเลอยู่มาก วันนี้ถ้ามีการขากเสลดกระแหร่แอมไอก็ต้องขออภัยด้วยเพราะยังอยู่ในระหว่าง การป่วยไข้ไม่สบาย แต่พูดวันนี้ก็ขอเล่าเรื่องความบ้าของผมต่อไป "แต่ว่าวันนี้จะเป็นการบ้าเรื่องแร่ยูเรเนียม"

    ความ จริงเรื่องแร่ยูเรเนียมนี่ผมก็ไม่เคยสนใจว่าในประเทศไทยจะมีหรือไม่มี แต่ความจริงทรัพยากรต่าง ๆ นี่ผมไม่เคยสนใจเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าทำจิตมีกังวล แต่ว่าถ้ามีอะไรกระทบใจเข้าหน่อยหนึ่ง ใจมันก็รู้ของมันไปเอง อาการอย่างนี้บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัท จงอย่าคิดว่าเราดีเลิศประเสริฐแล้ว ความรู้สึกหรือคำว่า ทิพจักขุญาณ ที่เราได้ ๆ กันนี่มันเป็นเศษผง ๆ เล็ก ๆ ที่พระอรหันต์ท่านได้เท่านั้น แต่ก็ยังดีถึงแม้ว่าเราจะมีความรู้อย่างเป็ด
    สำหรับ เป็ดที่เดินได้ บินได้ ดำน้ำได้ ว่ายน้ำได้ก็ยังดีกว่าเป็ดพลาสติกหรือว่าเป็ดที่เขาทำหลอกไว้ ยังไง ๆ ก็ยังรู้จักคำว่าเดินเป็นยังไง ว่ายน้ำเป็นยังไง ดำน้ำไม่หมดตัวจุ่มแค่หัวก็ถือว่าเป็นการดำน้ำ บินก็ได้ถึงบินสูงไม่ได้ก็รู้จักการบิน ร้องเสียงถึงจะไม่ดังก็ยังรู้จักการร้อง ก็ยังดีกว่าเป็ดพลาสติกหรือเป็ดปูนปลาสเต้อร์ เป็ดปูนซีเมนต์หรือเป็ดแกะสลักไม้ ซึ่งใช้อะไรไม่ได้เลย


    ก็รวมความว่าการฝึกทิพยจักขุญาณของพวกเรา ค่อย ๆ ทำไปอย่าประมาท จงอย่าคิดว่าเราดี เราดีเสียแล้วนี่ไม่ถูกต้อง
    ถ้าหากว่าท่านจะถามว่า "ความรู้สึกมันเกิดขึ้นได้อย่างไร"

    ความจริงผมอยากจะพูดให้ฟัง อยากจะปรารภความจริงว่า พวกท่านนี่หรือบรรดาญาติโยมทั้งหลายนี่เก่งกว่าพวกผมมาก การฝึกวิชานี้มาจาก หลวงพ่อปาน แต่ความจริงวิชานี้จริง ๆ นะครับ ผมเริ่มได้มาตั้งแต่อายุ ๗ ปี เมื่อความรู้สึกเกิดขึ้นจะถูกต้องตรงตามความเป็นจริง และก็ไปนอนบ้านไหนคืนแรกจะพบว่าคนบ้านนี้ตายไปแล้วกี่คน และทรัพย์สมบัติมีที่ไหน อะไรบ้างที่มีความสำคัญ แต่ที่รู้นี่ผมก็ไม่ได้ทำให้รู้ มันรู้ขึ้นมาเฉย ๆ สำหรับคนตายเวลากลางคืนเขามาแสดงตัวให้ปรากฏ เขาก็บอกเขาชื่อนั้นชื่อนี้เป็นอะไรกับเจ้าของบ้าน และก็บอกฐานะความเป็นอยู่ บอกทรัพย์สินนี่เขายังให้ไว้ไม่หมด ลูกหลานยังไม่ทราบ บอกให้บอกด้วย นี่มันก็เป็นความรู้สึก แต่ว่าถ้าคนที่ตายไปแล้วเขาแสดงภาพให้ปรากฏ ผมก็ไม่ทราบว่าได้มาจากอะไร



    แต่ เหตุที่จะพึงทราบได้ในชาตินี้คือว่าท่านแม่บังคับให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ก่อนหลับ ก่อนที่จะหลับจริง ๆ อย่างน้อยต้องว่าให้ท่านฟัง ๓ ครั้งและต่อมาเมื่อโตขึ้นมาแล้วเป็นพระผมก็ใช้อารมณ์สมาธิแบบหนึ่ง คือว่าผมจับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ที่เรามีความพอใจนั่งก็ดี เดินก็ดี นอนก็ดี ยืนก็ดี เห็นอยู่ในอกเสมอ เวลาเดินไปไหนผมก็บังคับให้จิตเห็นภาพพระพุทธรูปในอก และต่อมาก็เห็นภาพพระพุทธรูปในสมองอีกองค์หนึ่ง ก็เห็นไว้เป็นปกติ ทีนี้ไอ้ความสำคัญว่าถ้าเขาพูดอะไรขึ้นมา ภาพนั้นก็จะปรากฏกับจิตทันที

    ถ้าท่านจะถามว่า "ตั้งเวลาไว้เท่าไหร่?"

    การเห็นภาพพระพุทธรูปก็ตั้งเวลาผมตั้งเวลาไว้เฉพาะที่ว่าง ว่างจากการงานต่าง ๆ จิตผมมันเห็นเป็นอัตโนมัติ ถ้าว่างจากภารกิจอย่างอื่นมันจะเห็นภาพพระ-พุทธรูปเข้ามาทันที ถ้าเดินไปไหนอันนี้บังคับจริง ให้เห็นตลอดเวลาจนกว่าจะเข้าถึงที่ การทำอย่างนี้เป็นปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกตามเสียงเขาพูด ใครพูดว่ายังไงบางทีเราก็สงสัย บางทีไม่สงสัยเห็นภาพนั้นเลย



    อันนี้ ก็เป็นมาตั้งแต่เด็ก จากเด็กถึงความเป็นพระ แต่ก็จงอย่านึกว่าเลิศหรือประเสริฐ ยังครับ เป็นชั้นอนุบาลเท่านั้น ความดีอันนี้มันจะสลายตัวเมื่อไรก็ไม่ทราบ



    และต่อมาทีนี้ก็พูดถึง แร่ยูเรเนียม ผมก็จำพ.ศ.ไม่ได้ ถ้าจำได้ก็ไปถาม เจ้ากรมเสริม ท่านดูว่า พ.ศ.เท่าไรก็ไม่ทราบ ท่านเอาถ้อยคำของพระองค์หนึ่งมาบอกว่าที่ลำปางมีแร่ยูเรเนียม ท่านก็เอาแผนที่มาให้ดู ไอ้เรื่องแผนที่แผนทางนี่ผมไม่เข้าใจในมันเลย ผมไม่สนใจ ก็เลยบอกท่านว่า



    "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน (พอท่านพูดความรู้สึกมันก็เกิดว่า) ที่ภูเขาลูกนี้มันมี ๒ จุด แต่ว่า ๒ จุดนี้มีปริมาณไม่สูงแต่อยู่ตื้น ถ้าเจาะขุดลงไปจะไม่ลึก ถ้าเอาเครื่องวัดไปทางเครื่องบิน เครื่องวัดจะสั่นมาก เพราะมันอยู่ตื้น ที่ถึงจุดนี้ปริมาณมันมาก เกรดเหมือนกัน แต่มันอยู่ลึก เครื่องวัดเข็มจะสั่นน้อย ๆ"

    ผมไม่รู้ว่าเขาวัดกันด้วยอะไร ความรู้สึกมันบอกเป็นเข็ม ๆ ผมบอกท่านแล้วผมก็ไม่ใช่แน่ใจเลย แต่ว่าผมมั่นใจว่าความรู้สึกเป็นยังไงผมบอกตามนั้นผิดก็ผิด ถูกก็ถูกผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหก ผมนึกว่าท่านเจ้ากรมเสริมท่านจะไม่ไป รุ่งขึ้นตามเย็นท่านกลับมาบอก



    "ไปแล้วครับและก็เป็นตามนั้นจริง ๆ"



    ผม ก็เลยมีความมั่นใจบอก โอหนอ...ความรู้ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าทรงประทานนี่มีคุณมีประโยชน์ มาก ต่อมาก็คุยกันถึงเรื่องแร่ยูเรเนียมมีที่ไหนบ้าง ผมก็บอกท่านว่า



    "เอายังงี้ดีกว่า รู้แค่นั้นยังไง ๆ เราก็ทำไม่ได้ และเรายังไม่ทราบว่าใครเขาจะเอาแร่ยูเรเนียมขึ้นมาได้"

    พอกลับ มาถึงวัด ไอ้เรื่องต่าง ๆ นี่คุณทั้งหลาย ถ้ามันสะดุดนิดเดียวจิตมันมีสภาพจำ จิตจำได้ผมน่ะเลิกจำ แต่มันจะจำของมัน ก็เป็นอันว่าเมื่อมาถึงวัดอารมณ์เดิมยังค้างอยู่ พออารมณ์สงัดใจสบาย ไม่ใช่นั่งสมาธินะครับ คือนั่งเล่น ๆ ลมพัดเย็น ๆ ใต้ต้นสะตือ ก็มีความรู้สึกเกิดขึ้นว่า แร่ยูเรเนียมมีที่ไหนบ้าง เวลานั้นมันมีความรู้สึกเฉพาะจุดใหญ่ ๆ จริง ๆ ปริมาณสูงมากมีถึง ๑๖ จุด ในประเทศไทย และ อารมณ์จิตก็บอกเหมือนกันจุดย่อย ๆ ยังมีอีกเยอะ ขี้เกียจจะรู้ ถ้ารู้ไปก็แค่นั้นแหละไม่ได้มีประโยชน์อะไร คือไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์สำหรับผม ผมเอามาไม่ได้ และคนไทยที่มีความสามารถผมก็ยังไม่ทราบว่าใครแต่ต้องมีแน่



    ปีนั้นจำ ได้ปีที่รู้สึกหนัก ที่รู้ว่าแร่ยูเรเนียมมีมาก คงจะเป็น พ.ศ. ๒๕๑๖ ละมั้ง ผมจำวันเวลารู้ไม่ได้ ไม่ได้จำ แต่ว่าเมื่อ ปีพ.ศ. ๒๕๑๖ ความวุ่นวายเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ผมก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คิดว่าในประเทศนี่มีใครบ้างไหมที่เขามีความสามารถเรื่องแร่ยูเรเนียม ถ้ามีก็จะดีมาก ความจริงผมมีความรู้สึกว่าผมอยากจะพบคนที่มีความรู้ความสามารถ เรื่องเอาแร่ยูเรเนียมขึ้นมาใช้และนึกในใจว่าถ้ามีจริง ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายดลใจบุคคลนั้นมาพบภายใน ๓ วัน
    แต่ก็เป็น เรื่องน่าอัศจรรย์วันที่สามเมื่อนอนเล่นลมพัดเย็น ๆ ใต้ต้นสะตือเหมือนกัน เวลานั้นกระแสไฟฟ้ามันก็มีด๊อกแด๊ก ๆ กลางวันเขาก็ไม่ค่อยจ่าย จ่ายกลางคืนเป็นต้น และก็กำลังกระแสไฟฟ้าก็น้อย เราก็ต้องไปพักอาศัยลมธรรมชาติโคนต้นไม้มันสบาย ก็มีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณจะไม่ถึง ๔๐ รูปร่างขาวหน้าตาดี นั่งรถเมล์ผ่านมา เมื่อรถเมล์มาถึงหลังวัดท่านก็ลง ลงแล้วก็เดินเข้ามา ความจริงคนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย หน้าตาท่านดี อัธยาศัยท่านดีมาก เป็นคนนิ่มนวลน่ารัก พูดจาก็ดี คุยไปคุยมาผมก็สงสัยในท่านว่าท่านผู้นี้เป็นใคร ไม่เคยรู้จักมาก่อนแล้วมาก็ไม่แสดงว่าจะมีธุระอะไรสักอย่าง มาคุยเฉย ๆ ก็เลยสงสัยว่าคนนี้จะมีความสามารถเรื่องแร่ยูเรเนียมไหม ก็ถามท่านว่า"ท่านเคยศึกษาเรื่องนำแร่ยูเรเนียมขึ้นมาจากพื้นดินไหม?"

    พอ พูดเรื่องแร่ท่านบอก "โอ หลวงพ่อครับผมเรียนเรื่องนี้มาโดยตรงจากต่างประเทศ แร่ทุกประเภทผมมีความเข้าใจ ผมศึกษาเรื่องแร่ สำหรับยูเรเนียมนี่เราเอาขึ้นมาได้ครับ เอาขึ้นมาได้แน่ และมีประโยชน์ ผมสามารถเอาขึ้นมาได้ เพราะว่าผมเรียนและก็ฝึกเรื่องนี้มาโดยตรงจากต่างประเทศ"



    รวม ความว่าท่านทั้งเรียนท่านทั้งฝึกท่านมีความมั่นใจ แต่ท่านบอกว่า "ถ้าจะนำขึ้นมาต้องเพิ่มค่ากระแสไฟฟ้ากำลังไฟฟ้ามากกว่านี้ครับ เพราะกำลังไฟฟ้าแค่นี้ ไม่พอใช้ ต้องใช้กระแสไฟฟ้ายิงเป็นจังหวะ ๆ ให้รังสีมันห่อตัว"



    ผมก็ขอพูดทิ้งไว้ตรงนี้ เป็นอันว่าก็ปลื้มใจว่า เอ๊ะ! ประเทศเราคนที่มีความสามารถยังมีอยู่ ฉะนั้นในเมื่อโอกาสดี จังหวะถึง กาลเวลาก็มาถึง แร่ยูเรเนียมคงทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมาก


    หลังจากนั้นต่อ มาถอยหลังจาก พ.ศ. ๒๕๒๗ ไปประมาณ ๒-๓ ปี ผมก็จำไม่ได้ ผมก็ไม่ค่อยสบาย ร่างกายมันก็ทรุดโทรมป่วย ๆ นั่งรับแขกวันนั้นเป็นการบังเอิญ ญาติโยมพุทธบริษัทไม่ค่อยจะมีใครมา มีญาติโยมผู้ใหญ่คือผู้เฒ่ามากัน ๓-๔ คน แล้วก็เดินทางกลับ แต่ว่าท่านผู้เฒ่า ๓-๔ คนจะกลับ ก็มีเด็กสาว ๆ เธอหน้าตายังสาว แต่งงานแล้วหรือยังไม่ทราบ เธอบอกว่าเธอเป็นนักศึกษาจุฬาลงกรณ์ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ใช่ เป็นคำบอกเล่าของเธอ เรื่องคนนี่ผมขี้เกียจสงสัย เขาว่ายังไงก็ว่าตามนั้น เธอมาถามว่า



    "หลวงพ่อเจ้าคะ (พูดเก่งน่ารัก) ประเทศไทยมีแร่ยูเรเนียมไหม?"

    ก็ บอกเธอว่า "ฉันไม่ได้สำรวจละเอียด แค่กระทบใจเท่านั้น ทราบว่า แหล่งใหญ่ ๆ ของเรามี ๑๖ แห่ง และก็เป็นแร่ยูเรเนียมที่มีคุณภาพสูงกว่าต่างประเทศเขา"
    แล้วเธอก็ถามต่อไปว่า "ที่หลังจังหวัดอุทัยฯ นี่มีไหมหลวงพ่อ?"



    ตอนนี้ผมก็เล่นเพลงเดา ผมก็ถามว่า



    "หนู คณะของหนู ๕-๖ คนนี่ไปพบมาแล้วใช่ไหมที่หลังจังหวัดอุทัย?"


    พวกเธอก็พากันหัวเราะบอกว่า "ใช่เจ้าค่ะ" ถามว่า "หลวงพ่อทำไมจึงรู้?"



    ก็เลยบอกว่า "หลวงพ่อคนแก่ก็เดา ๆ"



    ถ้าเธอปรารภที่ไหนแสดงว่าเธอไปมาแล้วจากที่นั่น เธอก็บอกไปมาแล้ว ก็เลยยอมรับว่า ใน ป่าหลังจังหวัดอุทัยออกไปนั่นหมายถึงว่าถึงแม่น้ำเมยไปเลยนะพุ่งตรงออกไปเลย หรืออาจจะใกล้เมืองกาญจน์ก็ได้ มียูเรเนียมขนาดหนักเป็นปริมาณสูงกว่าที่อื่นและเกรดดีมาก

    ก็ รวมความว่าผมพูดเรื่องนี้นะ อันนี้เป็นความบ้าส่วนหนึ่ง แต่บ้าลับ ๆ ไม่มีใครเขาว่าบ้ามาก ๆ เหมือนกับบ้าน้ำมันเพราะบ้าน้ำมันถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และก็ลงเป็นหนังสือ เลยบ้ายาวไปหน่อย บ้าไกล บ้ายาว บ้ามีปริมาณสูง แต่ก็ไม่เป็นไร พอพ.ศ. ๒๕๒๔ ผมก็เลิกบ้า หยุดการบ้า และผมก็มาบ้ากระตุ๋มกระติ๋ม ๆ เรื่องแร่ยูเรเนียม และต่อมาก็เรื่องทอง สิ่งนี้ผมสนใจจริง ๆ อย่างอื่นผมไม่มีความรู้กับเขา พวกแร่ต่าง ๆ มันมีค่าอย่างไรผมไม่รู้ถ้าให้ผมไปขุดแร่ ผมก็เสียแรงเปล่า ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะผมไม่รู้ค่าของแร่ มันเหมือนกับไก่ไม่รู้ค่าของเพชรและพลอย เห็นก็เป็นเห็นธรรมดา

    แต่สิ่งที่ผมสนใจมากก็คือทองคำธรรมชาติหรือทองคำที่เขาถลุงหลอมแล้ว แต่ว่าทำเป็นสร้อยหรือไม่ทำก็ตามว่า "ในพื้นพิภพภายใต้แผ่นดินของเมืองไทยนี่มีไหม?"

    ใน เมื่อความสงสัยเกิดขึ้น อารมณ์ดวงหนึ่งก็เกิดขึ้น "จะยุ่งทำไมนะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของโลก และเราถ้าติดอยู่ในภาวะของโลก เราก็ไม่สิ้นทุกข์ ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราควรจะวางอารมณ์เสีย ไม่ควรจะยุ่ง รู้ไปก็ไม่ใช่เรื่อง" แต่ต่อมาอารมณ์หนึ่งมันก็เกิด



    อารมณ์หนึ่งมีความรู้สึกว่า "รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม" ตาม คติของโบราณ รู้ไว้จะเป็นอะไรไปจะได้ทราบว่าทองคำธรรมชาติมันก็เป็นโลหะประเภทหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วถ้าคนไม่นิยมมันก็ไม่มีค่าอะไร เป็นโลหะประเภทสีเหลือง ๆ และความจริงโลหะที่เป็นสีเหลืองไม่ใช่ทองคำก็เยอะไป เวลาเขาทำกันก็ทำกันได้สีสวยกว่าทองคำ แต่ว่าคนไปยอมรับว่าทองคำมีค่าสูง ฉะนั้น ทองคำจึงมีความสำคัญสำหรับโลกอยู่มาก ทุกประเทศถือทองคำเป็นสำคัญ จะซื้อข้าวซื้อของกันก็ถือว่าต้องทองคำเข้าไปแลกเปลี่ยน
    ก็เป็นอันว่าไอ้จิตดวงนั้นมันก็บอกมีความรู้สึกควรจะรู้ แต่ผมก็เก็บอีกดวงหนึ่งบอกอย่ายุ่งเลย นี่อารมณ์ของคนไม่เสมอกันนะคุณนะ



    บรรดา ท่านที่รับฟังและญาติโยมพุทธบริษัทดูอารมณ์ให้ดี คืออารมณ์หนึ่งมันต้องการจะรู้ เมื่อต้องการจะรู้ขึ้นมาแล้ว ความโลภมันจะมีไหม แต่ว่าผมขอยืนยัน ความโลภอย่างอื่นอาจจะมี มีหรือไม่มีก็ไม่ทราบ แต่ว่าความโลภเรื่องขุดทองคำไม่มีแน่ ผมจะเล่าเรื่องราวขุดทองคำของพระท่านหนึ่งมันก็ยาวเหยียดเกินไป ขอเล่าเรื่องนี้ไปก่อน ทีหลังถ้านึกได้ก็คุย



    เป็นอันว่า วันนั้นก็ตัดอารมณ์ ต่อมาหลังจากนั้นแล้วไม่นานมันเป็นเวลากาลประมาณเดือน ๗ เขาเรียกว่าเดือน ๗ ก็แล้วกัน ไอ้เดือนพฤษภา มิถุนาน่ะไม่ต้องพูดกัน เอาเดือนแท้ ๆ คือเดือนไทยแท้ ๆ คือเดือน ๗ ก็มีภารกิจไปดำเนินสะดวกคือไปบ้านคุณเฉลิม คงทอง เธอนิมนต์ประจำปี แต่ว่าเวลานี้ไม่ได้ไปมา ๒ - ๓ ปีแล้ว ไม่ไหวจริง ๆ อยู่ที่วัดนี่แค่ลงสอนกรรมฐานยังไม่ไหว ถ้าเดินทางไกลขนาดนั้นก็จะแย่ใหญ่ก็ต้องงด



    ไปบ้านคุณเฉลิม คงทอง แล้วก็เลยไป จังหวัดชุมพร ไปที่อำเภอท่านแซะ (น่ากลัวเขาเรียกว่าอำเภอท่าแซะนะ) ก็ไปหมู่บ้านใกล้ ๆ ซึ่งหมู่บ้านไม่โต ตัวอาคารก็ไม่โต ไปที่นั่นเขามีการไหว้ประจำปี ทำบุญประจำปีกัน ประเพณีการทำบุญประจำปีเพื่อความอยู่เป็นสุข ก็ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ไหว้เทวดา ไหว้พระ เป็นของธรรมดาของคน แต่ ว่าคนจะคิดว่าไหว้เทวดาเป็นของไม่ดี เป็นเรื่องของท่าน แต่ก็จงอย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้ในอนุสสติ ๑๐ ประการในพระกรรมฐาน มีเทวตานุสสติ การนึกถึงเทวดาไว้ด้วย ฉะนั้นผมถึงเห็นว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นเขาทำไม่ผิด

    เวลาที่ เขาบูชากันเขาก็นิมนต์ผมไปนั่ง ผมก็ไป ในเมื่อเขานิมนต์ไปเราก็ไม่เสียหายอะไร เขานั่งก่อนที่เขาจะไหว้ศาล เขาจะไหว้เทวดา เขาก็ไหว้พระก่อน ผมก็นึกในใจว่าผมเป็นพระดีพอที่เขาจะไหว้แล้วหรือยังก็ไม่ทราบ เพราะผมเองไม่มีความรู้สึกว่าผมเป็นคนดี



    ขณะที่เขาไหว้เขาบูชาเขา สวดกันมันก็ใช้เวลา และเวลาที่ต้องใช้ เวลาใช้นานอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าพิธีกรรมเขาจะเสร็จ ผมก็ไม่มีเวลาจะคุยกับใคร เขาวุ่นวายกันอยู่ ผมก็นั่งเฉย ๆ เวลานั้นมีความรู้สึกว่ามีเทวดา ๔ องค์ เรื่องเทวดานี่ผมเชื่อ ๔ องค์ท่านก็ประกาศตัว ท่านบอกว่า


    "องค์นี้คือท้าวเวสสุวัณ องค์นี้ท้าวธตรฐ องค์นี้ท้าววิรุฬหก องค์นี้ท้าววิรูปักษ์ เป็นท้าวมหาราชทั้ง ๔"
    ท่านมาท่านก็ถามว่า "พระคุณเจ้าสงสัยเรื่องปลาในทะเลซับใช่ไหม?"
    เรื่องปลาในทะเลซับมันเป็นอย่างนี้




    มี หนองอยู่เป็นหนองใหญ่ มีน้ำตลอดเวลา มีปลาชุมมาก เป็นที่หากินของชาวบ้านเลี้ยงชาวบ้านได้ดี แต่ว่าปลาตัวที่ตั้งใจเลี้ยง ไม่ตั้งใจเลี้ยง ผมก็ไม่ทราบ แต่ว่าชาวบ้านก็ไปจับเอามากิน ต่างคนต่างก็จับเอามาแค่พอกิน ไม่ซื้อไม่ขาย
    วันหนึ่งท่านผู้มี สตางค์ก็จะทำสวนทุเรียนที่นั่น ท่านก็หวังความร่ำรวยจากหนองใหญ่ที่มีปลามาก ปลาชุมเหลือเกิน ผมก็เดินผ่านไปเห็น แต่ว่าพอเอาเครื่องสูบน้ำ สูบน้ำกว่าจะเสร็จหลายเครื่อง กว่าน้ำจะแห้งใช้เวลาก็เย็น ใกล้ค่ำ ไม่ใช่ใกล้ค่ำ เป็นค่ำเลย ต่างคนต่างเห็นปลามากมาย ทุกคนคิดว่าพรุ่งนี้เถอะ ทุกคนตั้งแค้มป์ล้อมไว้ ใครมาเอาไม่ได้แน่ แต่ว่าพอตอนเช้า ปรากฏว่าปลาหายหมด เหลือปลาอยู่ ๓ ตัวนอกนั้นไม่รู้ไปไหน และก็มีนายบุญสม เจ้าของบ้านเคยไปที่ถ้ำปลา เขาเล็ก ๆ ต่ำ ๆ เป็นถ้ำลงไป เธอบอกว่า



    "มีโพรงลงไปเคยใช้พะองต่อไปเห็นน้ำ น้ำกว้างขวางมากไม่รู้ไปถึงไหน เคยทำแพหยวกกล้วยลอยไปไม่รู้ว่าที่สุดไปที่ไหน กว้างขวางมาก"

    พอ เธอเล่าให้ฟังผมก็สงสัยตอนนี้ว่า ไอ้ทะเลน้ำจืดอยู่ใกล้ ๆ ทะเลน้ำเค็ม และก็บริเวณนั้นมีปลามาก เธอบอกมีปลามากมายเหลือเกิน ปลามาจากไหน อยู่ได้อย่างไร แปลกใจใต้ดิน เรื่องนี้สงสัย ท่านท้าวมหาราชท่านหนึ่งที่ท่านให้นามว่า "ท่านเวสสุวัณ" ถามว่า "พระคุณเจ้าสงสัยเรื่องทะเลซับใช่ไหม ผมจะพาไปดู"
    รวม ความแล้วท่านก็พาไปดู ตามความรู้สึกแล้วเหมือนฝัน ว่าท่านไปไหนก็ไปด้วยกัน ลงไปดู โอ...ทะเลซับเขาเรียกทะเลถูก แต่ว่าความจริงที่เขาเรียกทะเลซับ มันเป็นหนองน้ำใหญ่แต่ไม่ใหญ่เท่าปริมาณของน้ำจริง ๆ ภายในนั้นมันกว้างขวางมากมายนัก ปลาตัวเล็กตัวใหญ่ขนาดหนัก ใหญ่ขนาดโลมานี่ก็มีเยอะ
    ผมไปพบปลาหมอตัวหนึ่ง ปลาหมอนาเรานี่ โอ้โฮ! ใหญ่เหลือเกิน จะเทียบกับเรือพายก็เรือหมูขนาดใหญ่ และท่านก็ชี้ให้ดูฝูงปลาหมอก็มาก ปลาอะไรต่ออะไรก็มาก ปลาช่อนปลาดุกก็เยอะแยะ ปลาเค้ามันใหญ่ ๆ ใหญ่จริง ๆ ยังนึกในใจว่า ปลาพวกนี้ต้องมีอายุเป็นสิบหรือเป็นร้อยปี ก็ยักนึกดีใจว่าเธออยู่สถานที่นี้ปลอดภัยแก่เธอมาก


    เมื่อผ่านจากที่นั่น ไปแล้วท่านก็พาเรื่อยไปขึ้นจากทะเลใต้ดินขึ้นไปช่วงในระหว่างภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งมันยาวเหยียดอยู่เหนือพื้นที่ที่พัก เป็นภูเขายาวมาก ข้างในเป็นถ้ำใหญ่ยาวเหลือเกิน ในนั้นเป็นทองแท่ง ทองแท่งนี่ความ กว้างหรือความหนานะของแต่ละแท่งประมาณ ๑ ฟุต ยาวจริง ๆ ประมาณ ๓ ฟุตแต่ละแห่ง และกว้างจริง ๆ ก็ประมาณฟุตเศษ ๆ วางเรียงเป็นตับเป็นกำแพงสูงเหนือหัวผมเป็นไหน ๆ สูง จริง ๆ ประมาณ ๑๐ เมตร วางเรียงกันนับเป็นแถวได้ ๑๐ แถว และยาวเกินครึ่งกิโลเมตร เป็นทองแท่งมหาศาล
    ผมก็ตกใจ เอ๊ะ ต้องถามทองอะไร พอถามท่านเวสสุวัณว่า "ทองอะไร มาอยู่ที่นี่ และใครนำมาเก็บ?" ท่าน ท้าวเวสสุวัณไม่ทันจะตอบ ก็มีเทวดา ๒ องค์เป็นเจ้าหน้าที่รักษาเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช แต่งตัวสีแดงประดับเพชร มาถึงท่านก็ยกมือไหว้ท่านท้าวเวสสุวัณ บอก"ท่านครับ ทองนี่เป็นทองสำหรับพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าใครเป็นพระเจ้าจักรพรรดิขึ้นมาต้องขนไปให้เขา ถ้าใครจะนำไปน่ะ นำไปไม่ได้นะครับ"

    ท่านท้าวเวสสุวัณก็บอกว่า "ฉันพาพระท่านมาดู ฉันไม่ได้มาเอาหรอก ไม่ได้มาขนทองของเธอ"



    เทวดาทั้งสององค์ยกมือไหว้ท่านท้าวเวสสุวัณแล้วก็หลีกไป




    ท่านท้าวเวสสุวัณท่านก็เลยบอกว่า "เอางี้ก็แล้วกันครับ ในเมื่อเจ้าของเขาหวง ผมพาพระคุณเจ้ามาชมว่าไอ้ทรัพย์ใต้ดินมันมีมาก มากกว่านี้ เราก็ไปที่อื่นกันดีว่า เขาหวงเราก็ไป"

    ท่านก็พาไปความ รู้สึกว่าไปใต้ดิน ไปเจอะทองอีกแหล่งหนึ่ง คราวนี้ไม่ค่อยจะไกล ขึ้นมาทางเหนือจากบ้านนั้นตามถนนสายชุมพรประจวบ ถ้าเดินทางขึ้นมาประมาณ ๓๐ กิโลเศษ ๆ แล้วก็จะมีทางเดินออกไป ถ้าเดินผิวดิน ออกไปจากถนนเส้นนั้นห่างประมาณ ๘ กิโล ไปเจอะแหล่งทองคำธรรมชาติมหาศาลเลย โอ้โฮ... กว้างใหญ่ไพศาลมาก ปริมาณเนื้อที่ที่ทองธรรมชาติกองอยู่ ดูแล้วร้อยไร่เศษเกือบจะถึง ๒๐๐ ไร่และทองอยู่หนาเป็นเม็ดทรายธรรมชาติจริง ๆ สวยสุกอร่าม

    แต่บรรดาท่านทั้งหลาย จะพูดอะไรกันไปได้ในเมื่อสัญญาณบอกเวลาปรากฏว่าหมดแล้ว ก็ต้องขอลาก่อน เรื่องทองนี่เอาไว้ฟังกันในคาสเซทหน้าต่อไป สำหรับเวลานี้ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    บ้ายูเรเนียมและทองคำ (ต่อ)

    บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายและญาติโยมพุทธบริษัทผู้รับฟัง สำหรับวันนี้ที่บันทึกก็ยังเป็นวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ และก็อาการป่วยไข้ไม่สบาย อย่างคาสเซทหน้าที่แล้วจะเห็นว่า เวลาใกล้ ๆ จะจบเสียงกระแหร่มแอมไอขากเสลดน้ำลาย ทั้งนี้อาการเสมหะในคอมากเหลือเกิน และผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชีวิตของผมมันจะอยู่ได้สักกี่วัน ถ้างั้นมีอะไรบ้างพอที่จะคุยสู่กันฟังในชีวิตของผมนับตั้งแต่นี้ไป ผมจะพูดไว้เรื่อย ๆ จนกว่าจะจบเกม พูดตอนปลายทบทวนไปหาตอนต้นบ้าง ต้นบ้างปลายบ้างสุดแล้วแต่โอกาสกาลจังหวะที่จะพูดมันจะเหมาะสม
    ก็ เล่าสู่กันฟังว่าเป็นเรื่องของหลวงตาแก่คนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว แม้แต่เป็นพระก็ยังไม่มีความหมายสำหรับพระด้วยกันมากมาย เพราะพระด้วยกัน เอาเฉพาะส่วนน้อยนะ ส่วนน้อยแต่ก็หลายเสียง เขากล่าวหาว่าผมอวดอุตริมนุสธรรม การอวดอุตริมนุสธรรม ธรรมอันยิ่งที่บุคคลอื่นไม่มี อันนี้ผมไม่มี ผมมีธรรมะที่ชาวบ้านเขามีกันแล้ว



    โดย เฉพาะอย่างยิ่งวิชาความรู้ที่ผมนำมาแนะนำท่านนำมาสอนกันในเวลานี้ คนอื่นเขาก็ได้มาเยอะ เขาได้มาก่อนผมเยอะ เขามีกัน และเวลานี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีความฉลาดมาก มีปัญญามากสามารถปฏิบัติได้คล่องแคล่ว หากว่าท่านทั้งหลายไม่รู้ผมก็ไม่พูด นี่ท่านรู้ตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้า



    ตอนที่ พระโมคคัลลาน์ เจอะอหิเปรต หรือเปรตต่าง ๆ เมื่อพระโมคคัลลาน์มาถามท่าน มี พระลักขณะถาม พระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์บอกว่าไปถามต่อหน้าพระพุทธเจ้าเถอะ เวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักขณะก็ถาม พระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์ก็ถามพระพุทธเจ้าต่อ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า



    "เปรต ตนนี้ตถาคตเคยเห็นแล้วตั้งแต่วันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ และเวลานั้นคนอื่นยังไม่รู้ ตถาคตก็ไม่กล้าพูด แต่เวลานี้โมคคัลลาน์เป็นพยานรู้แล้วเห็นแล้วเป็นพยาน ตถาคตก็กล้าพูด"

    ท่านจึงทรงพยากรณ์ความเป็นมาของเปรตทั้งหลายว่าทำความชั่วอะไรไว้บ้าง


    นี่ก็เหมือนกัน ความจริงความรู้นี้ผมได้มาตั้งแต่อายุ ๗ ปี ยังไม่บวชเณร ยังไม่บวชพระ คนเขาลือกันว่าเป็นโนนเป็นเณรมานานน่ะไม่จริง อย่างนี้ไม่จริง ผมได้มาตั้งแต่ตอนโน้น ก็มาเล่าสู่กันฟังตอนนี้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงยืนยันอีกเรื่องหนึ่งที่บรรดาพระทั้งหลายในสมัยนั้นพา กันโจษหาว่าพระโมคคัลลาน์อวดอุตริมนุสธรรม พ้นสภาพจากความเป็นพระ พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยัน โมคคัลลาน์ลูกตถาคตรู้จริงไม่เป็นอาบัติตามนั้น



    ฉะนั้น ถึงแม้ว่าผมจะมีความรู้อย่างเป็ด ไม่เหมือนพระโมคคัลลาน์ ก็เอามาเล่าสู่กันฟังตามประสาเป็ด ๆ ในเมื่อพูดความจริง ถ้าจะหาว่าหมดสภาพความเป็นพระก็เป็นเรื่องของท่าน



    ฉะนั้น ท่านพวกนั้นกับผมเป็นพระกันคนละพวก ผมเป็นพระที่มีความรู้บ้าง ผมก็มาแนะนำกับพวกคุณ ท่านถือว่าความรู้นี้มีจริงในพระพุทธศาสนาเป็นของไม่จริงก็เป็นเรื่องของ ท่าน ที่ท่านคัดค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าผมหรือท่านจะเป็น เถรใบลานเปล่า ก็เป็นเรื่องพิสูจน์กันเอง



    ท่านผู้ใดอยากจะพิสูจน์ก็ได้ การพิสูจน์ไม่ใช่มานั่งถามกัน ใช้กำลังใจของ เจโตปริยญาณ เป็นเรื่องไม่ยาก ท่านเทศน์สอนคนอื่นได้ทำไมท่านทำไม่ได้หรือ อันนี้ไม่ได้ต่อว่าท่านนะ คุยให้พวกท่านทั้งหลายฟัง



    ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติแบบนี้ก็ระมัดระวังแบบผม และท่านจะถามว่า "ในเมื่อถูกโจมตีแบบนั้นผมจะมีความรู้สึกอย่างไร?" ไอ้ เรื่องถูกโจมตีแบบนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่สะเทือนใจผม ผมก็มีความรู้สึกตามคำโบราณว่า คนตาบอดกับคนตาดีแต่ไม่สว่างนัก ตาพร่า ๆ พราง ๆ ยังรู้จักคนเป็นคน รู้จักสัตว์เป็นสัตว์ รู้จักผู้หญิงผู้ชาย รู้จักคนขาวคนดำ รู้จักคนสูงคนต่ำก็มี ความรู้สึกเข้าใจต่างกับคนตาบอด



    เล่าไว้ว่าคนตาบอดคลำช้าง คนตาบอด ๔ คนเธอไม่รู้จักว่าช้างรูปร่างเป็นอย่างไร ในเมื่อคนหนึ่งเข้าไปจับขาช้างเธอก็ร้องตะโกนบอก


    "ช้างรูปร่างเหมือนเสาโว้ย"
    อีกคนหนึ่งไปจับงาช้าง "ช้างเหมือนไม้แหลมหว่า"
    อีกคนหนึ่งไปจับงวงช้าง "เฮ้ย ไม่ใช่ช้าง เหมือนปลิง"
    อีกคนหนึ่งไปจับหางช้างลูบไปแล้วร้อง "เฮ้ย ไม่ใช่ ๆ ช้างเหมือนไม้กวาด"
    ก็ รวมความคนตาบอดทั้ง ๔ คน ไม่รู้จักช้างทั้งตัว แต่ว่าคนแม้แต่ตาไม่ดี ตาฝ้าตาฟางยังพอเห็น ยังรู้จักรูปร่างของช้างเป็นอย่างไร ความเข้าใจมันก็ไม่เหมือนกัน


    ฉะนั้นคนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาถือแต่ตำราอย่างเดียว พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "เถรใบลานเปล่า" นั่นก็หมายความว่าได้แต่ใบลาน คือตัวหนังสือ ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ไม่หมดความสงสัย ซึ่ง ตรงกันข้ามกับคนที่ปฏิบัติพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ย่อมมีความเข้าใจในคำสอนตามความเป็นจริงบ้าง ถึงแม้ไม่มากอย่างเป็ด ๆ ก็ยังพอรู้บ้าง


    เหมือนกับคนหรือว่าจะเปรียบเทียบเหมือนกับแม่ครัว หรือท่านสุภาพสตริที่เป็นแม่บ้าน คนหนึ่งอ่านตำราทำกับข้าวทำขนมคล่องตัว หมายความว่าแกงอะไรต้มอะไร ขนมแบบไหนทำอย่างไร อธิบายคล่องแคล่วตามตำรา แต่ก็ไม่เคยทำกับข้าวเลย อีกคนหนึ่งไม่ได้เรียนตำรามาก เรียนบ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งรับฟังคำสอนมาจากบิดามารดาให้หุงหาอาหาร ด้วยมือมาตั้งแต่เด็ก คนสองคนนี่มีผลต่างกัน คนมีแต่ตำราไม่เคยได้ กินอะไรเลย ไอ้คนเริ่มทำมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เริ่มต้มโคล้ง ต้มยำ ต้มส้ม เป็นอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เบื้องต้น มาจนถึงที่สุดเขาได้กินทุกอย่าง เขาได้ทำทุกอย่าง และก็มีความรู้ตามความเป็นจริง
    ข้อ นี้ฉันใด ความหนักใจของผมไม่มีในฐานะที่ท่านทั้งหลายโจมตีผม ความจริงผมไม่ถือว่าท่านโจมตีผม ที่ผมไม่หนักใจผมถือว่าท่านโจมตีพระพุทธเจ้า เพราะว่าความรู้นี้พระพุทธเจ้าสอนมา ในเมื่อพระพุทธเจ้าสอนมาท่านเห็นว่าไม่ดีท่านก็โจมตีพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็นินทาว่าร้ายพระพุทธเจ้าเอง
    ถ้าจะถามว่า หากว่าท่านผู้นั้นไม่คบล่ะ



    ความ จริงคบหรือไม่คบไม่ได้มีความหมาย ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าผมบวชมานี่ผมเลี้ยงตัวเองนะ ญาติโยมพุทธบริษัทท่านสงเคราะห์ผมมา พระพวกนั้นแม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเห็นกัน วาจาก็ไม่เคยกล่าว แม้แต่ข้าวบูด ๆ สักเม็ดเดียวก็ไม่เคยส่งให้ ผมจะหนักใจอะไรกับคนที่ไม่มีสาระสำหรับผม



    รวมความผมมีความรู้สึกว่าท่านพวกนั้นเหมือนเศษขยะอันหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ไกลจากตาผม ผมมองไม่เห็น เสียงของท่านจึงไม่มีความหมาย


    ถ้าถามว่าถ้าบังเอิญท่านจะรวมตัวกันกล่าวร้ายกับผม ทำให้ผมหมดสภาพความเป็นพระ

    ยังไง ๆ ผมก็ไม่หมดสภาพความเป็นพระ ในเมื่อท่านไม่ต้องการคบ ผมก็แยกนิกายซะมันก็หมดเรื่อง ผมพร้อมเสมอ พร้อมมาหลายสิบปีแล้ว อยากจะแยกนิกาย แต่ว่าท่านที่ดียังมีอยู่มาก ผมไม่หนักใจเรื่องนี้


    ก็มาคุยกันเรื่อง "บ้าทอง" ต่อไป

    ไอ้ การบ้าทองของผมนี่มันก็กว้างขวางมาก แต่ก็ได้มีบรรดาท่านพวกนี้แหละหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ถ้ารู้ตัวผมจะไปคุยที่วัด ว่าง ๆ จดหมายมาก็ได้ครับว่าวท่านอยู่กันที่ไหน ท่านมีความเห็นอย่างไร ท่านบวชในศาสนาไหน ปฏิบัติแบบไหนตามศาสดาของท่าน เราอยากจะพบกันจริง ๆ
    เอ้า มาคุยต่อไปดีกว่า พูดมากจะหนัก เพราะคนที่ไม่คบกันนี่พูดได้หนักยังไง ๆ ผมก็ไม่คบพวกนั้นแน่ ทั้งนี้เพราะอะไร ผมไม่เห็นประโยชน์สำหรับคนพวกนี้เลย มีแต่ทำลายความดีของพระพุทธศาสนา พูดปาว ๆ น่ะพูดได้ แต่ความดีเบื้องหลังญาติโยมพุทธบริษัทรู้แล้ว "ใช้อนาคตังสญาณ ดูก็ได้ว่าท่านพวกนั้นจะตายแล้วจะไปทางไหน เรียบร้อย ในปัจจุบัน ในอดีตทำความชั่วอะไรไว้ ภาพจะปรากฏชัด ไม่ต้องรู้จักหน้ารู้แต่เหตุว่าท่านผู้นี้โจมตีผมด้านนี้ รู้แค่นี้อยากจะทราบเลย พวกนี้คนนี้ คณะนี้ ใครมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง อยู่ที่ไหน และก็มีความดีความชั่วเบื้องหลังมีอะไรบ้าง กรรมทั้งหลายที่ทำจะสนองท่านเวลาที่ท่านตายแล้วท่านจะไปอยู่ที่ไหน เรื่องไม่ยาก


    แต่ความจริงเวลานี้ฆราวาสเขารู้ กันเยอะ นี่ผมเอาความรู้อันนี้มาแจกฆราวาส ก็เป็นความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในพระพุทธศาสนา จะทำให้บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้ามีความเข้าใจในพระศาสนา เลือกนาที่ดีหว่านพืชจะได้มีผลมาก ๆ


    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสอนมโนมยิทธิก็เหมือนกัน หาว่าผมทำเลยเถิดไป อวดอุตริมนุสธรรม แต่ผมจะไปแปลกอะไรในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัทท่านทำกันได้ บรรดาพระสงฆ์ ทั้งหลายทำกันได้เป็นของไม่แปลก



    เป็นอันว่าพึงเข้าใจว่านักบวชที่พึงแสดงเขาแต่งตัวคล้ายคลึงกัน บางทีทำหน้าเหมือนพระอรหันต์ แต่ภายในความจริงเลวยิ่งกว่าเปรตก็มี ทีนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง "ทองคำ"

    ทองคำแหล่งที่ว่านี้แสดงปาฏิหาริย์บ่อย ๆ ความจริงไม่ใช่ทองคำแสดง เป็นเทวดาที่รักษาแสดง เรื่องเป็นอย่างนี้



    ในเมื่อถึงกาลเวลาที่ไปพบทองคำที่นั่นเข้า ผมก็ถามท่านท้าวมหาราช องค์ที่ตอบก็คือ ท่านท้าวเวสสุวัณ ถามว่า



    "ทองทั้งหลายเหล่านี้จะมีประโยชน์กับประชาชนชาวไทยเมื่อไร เวลานี้ประเทศชาติอยู่ในความยากจนเข็ญใจ คนแร้นแค้น ประชาชนน่าจะพึงได้"

    ท่านก็ตอบว่า "ถ้าให้ประชาชนคนไทยเวลานี้ คนไทยเกือบจะไม่เหลือเลย จะตายกันเกือบหมดทั้งชาติ ส่วนที่มีชีวิตอยู่ก็จะตกเป็นทาสของชาติอื่น"
    ก็เลยถามท่านว่า "ทองนี่มีความศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน?"

    ท่านบอกว่า " ทองก็แค่วัตถุจะมีความศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ไม่สำคัญ สำคัญว่าคนไทยจะยังมีความโลภเห็นทองเข้าก็จะฆ่ากันหนัก เหมือนแร่ดีบุกที่เขาศูนย์ แร่ดีบุกที่เขาศูนย์น่ะฆ่ากันตายกันเป็นร้อย แต่ว่าถ้าทองคำนี้มันจะตายกันเกือบทั้งชาติ มึงแย่งกู กูแย่งมึง ฆ่ากันไป ฆ่ากันมา ถ้ากำลังชาวไทยอ่อนลงเพราะขาดความสามัคคี มีความโลภ ก็จะทำให้ต่างประเทศบุกรุกเข้ามา ไม่มีใครต่อต้านได้ ผลที่สุดทองทั้งหมดจะเป็นของชาวต่างประเทศ น่าดู และก็คนไทยที่เหลือก็ต้องเป็นทาสเขา ไอ้ทองก็ไม่ได้ กินก็จะไม่มีกิน เขาจะใช้อย่างทาส เขาจะข่มขู่อย่างทาส"

    ท่านบอกว่า "ถ้าคนไทยดีกว่านี้เมื่อไรทองนี้ใช้ได้เมื่อนั้น"

    ถามว่า "ปริมาณทองมีสักกี่ตัน?"

    ท่านบอกว่า "ถ้าหมื่นตันนี่มันยังไม่หมดถึงครึ่ง"

    โอ้โฮ แล้วก็ทองคำธรรมชาติไม่มีคำว่าหมด มันจะก่อตัวเกิดอยู่เสมอ
    ถามว่า "เหตุที่ทองก่อตัวเพราะอาศัยอะไรเป็นเหตุ"

    ท่าน ก็บอกให้ฟัง แต่ผมจะยังไม่บอกเวลานี้ ใครถามต่อไปก็ไม่บอก เพราะวิชานี้นักธรณีวิทยาเขาทราบกันอยู่แล้ว นักธรณีวิทยามีความรู้ด้านดินมันน่าจะทราบว่าทองเกิดจากอะไร เขาจะรู้ ผมก็ขี้เกียจเอาตำราเป็ด ๆ ไปพูดให้เขาฟัง
    หลังจากนั้นแล้วผมก็ถาม ถึงทองทั่วประเทศ ท่านก็พาดูหมด ทั้งทองคำธรรมชาติและทองที่ปรุงแต่งแล้ว หลอมแล้ว เป็นสร้อยก็มี เป็นแท่งก็มี เป็นเพชรนิลจินดาเยอะแยะ รวยจัด ผมนึก ๆ ยิ้มในใจว่า แค่ทองอย่างเดียว ประเทศไทยก็เป็นมหาเศรษฐีของโลกแล้ว ไม่ต้องแร่อื่น ยังน้ำมันอีก ยังแก็สอีก ยังแร่ต่าง ๆ อีก โอ...มหาศาล ผมยิ้มบ้าอยู่คนเดียว ไอ้เรื่องทองนี้ยังไม่มีใครเขาว่าบ้า ผมเลยต้องว่าบ้าคนเดียว ชื่นใจว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าคนไทยจะดี
    ทีนี้มา ผลของการฝึกมโนมยิทธิ ผมอยากจะพูด พูดเสียตอนนี้เลยว่ามีผลดีอย่างไร


    มโนมยิทธินี่เป็นความดีทางพระพุทธศาสนา คน ที่ได้จะต้องทรงศีลบริสุทธิ์ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันจะต้องตาย ตายแล้ว ถ้าเราทำดีไว้เราก็จะไปสู่ที่ดี ทำชั่วไว้เราก็ไปสู่ที่ชั่วที่มีทุกข์ เรียกว่าถ้าอยู่ก็อยู่เป็นคนดี ตายเป็นผีก็เป็นผีดี เมื่อมีความรู้สึกว่าจะต้องตาย คำว่าตายคือไม่ยอมไปอบายภูมิ ก็ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง มีความเคารพแน่นอน นี่หลักสูตร

    หลังจากนั้นก็มีศึลบริสุทธิ์ อารมณ์จริง ๆ ต้อง


    ๑. ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง๒. ไม่ยุยงบุคคลอื่นให้ทำลายศีล
    ๓. ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
    และ เวลาต้องการให้จิตสะอาดเบื้องต้น ก็ต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการให้ทันทีทันใด ยามปกติจะไม่ยอมให้นิวรณ์ ๕ ประการ เป็นเจ้านายบังคับใช้จิตของเรา จิตของเราต้องมีกำลังเหนือนิวรณ์ ๕ ประการไว้เสมอ


    นิวรณ์ ๕ ประการคือ
    ๑. ไม่เมาในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสเกินพอดี
    ๒. ไม่คิดประทุษร้ายบุคคลอื่น
    ๓. ไม่ง่วงเวลาทำความดี
    ๔. จิตไม่ฟุ้งซ่านพลุ่งพล่านเกินไป ใช้กำลังใจคิดอยู่ในขอบเขตของความดี
    ๕. ไม่สงสัยผลการปฏิบัติในความดี


    หลัง จากนั้นต้องทรงอารมณ์ตามนี้อีก ท่านทั้งหลายที่ฟังจำไว้นะครับ หากว่าท่านทรงอย่างนี้ไม่ได้ สมาธิความรู้ต่าง ๆ ที่ได้มันจะสลายตัว ถ้าทรงไว้ได้ผมขอยืนยันว่า ต้องการใช้เมื่อไรก็มีเมื่อนั้น อารมณ์ต่าง ๆ ที่ได้ไว้ทั้งหมดจะทรงตัวตลอดเวลา ไม่ถอยหลัง มีแต่ก้าวหน้าขึ้นไป


    หลังจากนั้นกำลังใจของท่านผู้นั้นต้องทรง พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติคือ
    ๑. จิตคิดไว้เสมอว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั้งหลาย ไม่คิดประทุษร้ายใคร มีแต่ความรัก เห็นคนก็รักคน เห็นสัตว์ก็รักสัตว์ เห็นวัตถุก็รักวัตถุ ไม่คิดทำลายทรัพย์สมบัติของใครทั้งหมด
    ๒. กรุณา มี ความสงสารตั้งใจไว้เสมอว่าจะสงเคราะห์มนุษย์และสัตว์เพื่อนร่วมโลกให้มีความ สุขตามกำลัง ถ้าโอกาสมีและทรัพย์สินมี ปัญญามี ถ้าเขาขาดวัตถุเรามีวัตถุ เราจะให้วัตถุ ถ้าไม่มีวัตถุเราจะให้แรงกายช่วย ถ้าร่างกายเขาไม่ต้องการ เราจะให้แรงปัญญาช่วย เป็นปัจจัยสร้างความสุขร่วมกัน
    ๓. มุทิตา เราจะไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นคนอื่นได้ดีพลอยยินดีด้วย
    ๔. อุเบกขา เห็นคนอื่นเพลี่ยงพล้ำเราจะไม่ซ้ำเติมให้มีทุกข์มากไปกว่านั้น เราจะวางเฉย จิตพร้อมจะช่วยเหลือไว้เสมอ

    นี่ นักเจริญมโนมยิทธิทุกคนต้องทรงอารมณ์อย่างนี้ไว้เป็นปกติ คำว่าปกติมันทุกลมหายใจเข้าออกให้ทรงตัว อย่างนี้ผลของสมาธิที่ได้จะไม่มีการเสื่อม

    แต่ว่าผมก็ไม่ ยืนยันว่าทุกคนที่เขาฝึกไปได้ เขาจะรักษาไว้ได้ทุกคน บางคนที่ปล่อยสลายตัวก็มี บางคนก็ไม่มาเอาจริงเอาจัง มาแค่วันเดียวปุ๊บปั๊บ ๆ แล้วก็ไป คล้าย ๆ จะมาลอง ท่านพวกนี้ผมถือว่ายังไม่จริงจังกับพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ไปเกณฑ์บังคับ ไม่ใช่อยากให้เขามาปฏิบัติ แต่ว่าผลของผู้ปฏิบัติมีอยู่แล้ว ถ้าเขาทำไปอย่างนั้นไม่ช้าก็สลายตัว เมื่อสลายตัวไปแล้วกำลังจิตจะกลุ้มจะมีความวุ่นวาย จะดึงไม่กลับ ความสามารถความรู้ที่มีอยู่ดึงไม่กลับเพราะมีอาการกลุ้มและก็หลายคนกลับเป็น ปฏิปักษ์กับพระพุทธศาสนา อันนี้ก็มี

    สำหรับคนดีมีอยู่ ผมคิดว่าคนในโลกนี้ผมเกิดมาหนึ่งชีวิต ทำให้คนเข้าใจพระพุทธศาสนาเพียงคนเดียวผมพอใจ ก็เรียกว่าถ้าเขาผู้นั้นมีความ รู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตายไม่ประมาทในชีวิต และก็เขาผู้นั้นตั้งใจมีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์จริง สามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้โดยฉับพลัน ทรงพรหมวิหาร ๔ จิตตั้งไว้ในด้านของความดีโดยเฉพาะว่าเราต้องการพระนิพพาน แค่นี้เพียงคนเดียว ผมคิดว่าชีวิตนี้ผมได้กำไร ได้กำไรชีวิตที่คนดีมีอยู่



    แต่ ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น คนที่รับการฝึกไว้ รักษาตัวไว้ได้จริง ๆ มีนับเกินแสน แสนน่ะเกินแน่ แต่ทว่าจะเกินไปเท่าไรผมไม่ทราบและพวกนี้ที่ทำ ๆ ได้แล้วมีความรักใคร่ มีความสามัคคีเป็นกรณีพิเศษ ดีกว่าไปเทศน์สอนปาว ๆ เพราะว่าผมเคยเป็นนักเทศน์มา เทศน์เท่าไรไม่สามารถจะทำให้คนมีกำลังใจดีขึ้นมาได้ ไปเมื่อไรคนนั้นก็กินเหล้าอยู่ตามเดิม



    ทีนี้พอมาฝึกมโนมยิทธิเข้าดี จริง ๆ มีหลายคนพอคิดว่าคนที่เขาจะทำได้ต้องเป็นคนมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ท่านผู้นั้นอยากจะทำบ้าง ก็เลิกเหล้าเลิกฝิ่นมาเลย ทำตัวเป็นคนดีตลอดมา และบางคนยังไม่รู้ลีลา ก็มาถึง เอ้า! เขาห้ามกันแบบนี้หรือก็เลยไม่แปลกใจ ทำกับเขาบ้าง ก็เลยพลอยดีกับเขาไปด้วย

    เป็น อันว่ามโนมยิทธินี่เป็นแบบฉบับที่ดี เป็นเครื่องเตือนใจ นรกอยู่ที่ไหนรู้จัก และก็รู้ว่าตนเองเคยตกนรกขุมไหนมาบ้าง ใครทำบาปทำชั่วอะไรตกนรกขุมไหน มีโทษอย่างไรเห็นพบมาเอง เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะกรรมอะไร ทราบ


    และ นอกจากนั้นยังรู้เรื่องของคนอื่นด้วย เวลาลงไปนรกอยากจะรู้ว่าใครที่เป็นญาติเป็นพวกเป็นพ้องกันมีไหมในนรกขุมนี้ ๆ ต้องการทราบจะพบทันทีและก็จะเรียกมาคุยกันได้


    แต่เวลา นี้ญาติโยมนี่ฉลาด ผมก็เสียว ๆ เหมือนกัน เสียว ๆ ความสามารถของญาติโยม ท่านไปนรกท่านก็ขอดูพระในนรกอันนี้ชื่นใจมาก ว่านรกขุมนี้คนที่เคยเป็นพระมีโทษระหว่างความเป็นพระตายแล้วมีไหม ขอดูภาพ เป็นพระเหลืองพรึ่บ ขอดูพระที่เคยรู้จักที่มีชื่อเสียง และเคยรู้จักตัวมีไหม ปรากฏว่าพบทุกราย
    บางรายดีกว่านั้นอีกท่านใช้อนาคตังสญาณถามพระตรง ถามว่า

    "พระองค์นั้นที่ยังไม่ตายน่ะ เวลานั้นถ้าตายแล้วจะไปสวรรค์หรือนรก...?"


    ภาพ ก็ปรากฏในนรกบ้าง ในสวรรค์บ้าง ที่อื่นบ้าง และขอดูผลการกระทำของท่านผู้นั้นตั้งแต่เริ่มบวชมาทำอะไรบ้าง ปรากฏภาพชัดเหมือนกับดูโทรทัศน์ที่ว่าอย่างนี้ไม่ใช่ตาสีตาสาเขารู้ คนที่มีปัญญานะ ที่เรายกย่องสรรเสริญว่า ท่านได้ปริญญาบ้าง ท่านเป็นด็อกเต้อร์บ้าง นี่ท่านรู้กันและก็ญาติโยมพุทธบริษัทก็รู้ตาม เวลานี้เข้าใจเรื่องพระมาก บางคนถึงกับมาถามว่า



    "การเรี่ยไรการบอกบุญเคยทำเป็นประจำ เพราะคนที่บอกชอบกันจะทำอย่างไร...?"


    ก็บอกว่า "เป็นกำลังใจของญาติโยม อันนี้มันเรื่องของศรัทธาไม่ได้ห้าม การ ให้ทานกับคนที่ไม่มีศีล กับการให้ทานกับคนที่มีศีลบริสุทธิ์ ค่าต่างกันหลายแสนเท่า ยิ่งให้ทานกับคนที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องจะมีค่าสูงมาก"
    บาง ท่านจริยาเรียบร้อยน่าเลื่อมใสน่าไหว้น่าบูชา แต่ลูกหลานไปดูเข้าโดดป๋องไปอยู่ในอเวจีมหานรก อันนี้เป็นที่น่าภูมิใจ พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาให้นักบวชปฏิบัติตนเป็นคนดี เป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านควรบูชา ถ้าพลาดท่าพลาดทางแบบนี้ ชาวบ้านจะได้เลือกเนื้อนาบุญได้ตามชอบใจ ใครอยากได้นาดอนก็ทำบุญกับนาดอน ใครอยากได้นาลุ่มก็หว่านข้าวหว่านพืชกับนาลุ่ม ใครอยากได้นาดีก็หว่านพืชผลกับนาดี


    และเหมือนกับคนที่อยากได้บุญมาก ก็ทำบุญกับพระที่มีศีลบริสุทธิ์ มีฌานสมาบิติ เป็นพระอริยะตามขั้นไป


    ใครอยากได้นรกไว้เป็นปัจจัยเป็นสมบัติก็ทำบุญกับนักบวชที่ไม่มีศีล ก็หมดเรื่องราว ให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทตัดสินใจเอาเอง



    แต่ท่านผู้รับฟังอย่าลืมนะ ผมเองก็เสียว ๆ เหมือนกันนะ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ผมตายแล้วผมจะลงนรกขุมไหน ท่านทั้งหลายจงอย่าคิดว่าผมเป็นผู้วิเศษนะครับ ผมเองก็ด๊อกแด๊ก ๆ สงสัยเหมือนกันไอ้ขาข้างใดข้างหนึ่งมันแหย่ลงไปขุมไหนบ้างหรือเปล่า

    ขอ ท่านทั้งหลายที่รับฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนภิกษุที่รับฟังอย่าประมาทใน ชีวิตอย่าคิดว่าเราดีแล้ว ถือคติที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงตรัสว่า


    "อัตตนา โจทยัตตานัง" จงกล่าวโทษโจทความผิดไว้เสมอ เราจะได้ไม่ผิดต่อไป



    เอาละบรรดาท่านทั้งหลายวันนี้บ้าเรื่องทองพอสมควร ร่างกายก็ยังไม่ดีสัญญาณบอกเวลาหมดแล้วนี่ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    บ้าเรื่องแผ่นดินไหว

    เพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ยังเป็นวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ เป็น ตอนที่ ๘ สำหรับการบันทึก และก็การบันทึกนี่อย่าลืมว่า ผมยังอยู่ในการป่วยไข้ไม่สบายอยู่มาก เมื่อตอนเช้าหมอมาให้น้ำเกลือ

    หมอเขาก็หาว่าผมไม่พัก ผมก็ต้องทนให้หมอดุ เพราะผมก็ไม่พักจริง ๆ เพราะผมเองไม่ไว้ใจในชีวิต ไม่ทราบว่าชีวิตนี้มันจะตายเมื่อไร ก่อนจะตายก็เล่าความเป็นมาสู่กันฟังเสียก่อน เพราะว่าประเดี๋ยวเวลาผมตาย คนนั้นเขียนประวัติ คนนี้เขียนประวัติ ก็อาจจะเขียนไม่ค่อยถูก ไอ้ความกระจุ๋งกระจิ๋งเขียนมาก็จะเป็นการขัดแย้งกัน



    ความจริงผมเอง ผมก็รู้ประวัติผมไม่หมดเหมือนกัน มันจำไม่ได้ครับ เรื่องมันนานมาแล้วและเวลากาลผ่านมาถึง ๗๐ ปี คงจำอะไรไม่ได้ดี บางอย่างน่าจะจำได้ก็จำไม่ได้ เอ้า คุยกันต่อไป



    ก็รวมความว่า อารมณ์ที่ท่านฝึกได้แล้วขอเตือนไว้นิดหนึ่ง ยังไง ๆ เราก็หนีนรกกัน บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน มันจะหนีพ้นหรือไม่พ้น ก็พยายามวิ่งหนีเข้าไว้ก็แล้วกัน



    อันดับแรกอย่าประมาทในชีวิต คิดว่าชีวิตนี้มันจะต้องตาย ยังไง ๆ เราก็ตายกันแน่

    ประการ ที่ ๒ ก่อนจะตายยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "คนนึกถึงชื่อท่านอย่างเดียวไม่เคยทำบุญทำกุศลอย่างอื่น ตายแล้วไปสวรรค์นับไม่ถ้วน" อย่างน้อยที่สุดเราเผ่นขึ้นสวรรค์ก่อนก็ยังจะดีต่อไปเป็นพรหม ไปนิพพานนั้น ก็ว่ากันทีหลังก็ได้ ยึดสวรรค์เป็นเป้าหมายไว้ก่อน

    ทางที่จะไปสวรรค์ได้จริงจังอย่างมั่นคงและไม่ลงอบายภูมิก็คือ ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ศีล ๕ น่ะจริง ๆ ผมคิดว่าควรจะบวกกับ กรรมบถ ๑๐ ถ้าเป็น ศีล ๕ จริง ๆ ยังสร้างความสะเทือนใจแก่บุคคลอื่น และอันดับหลังตั้งใจไว้เพื่อ นิพพาน โดยเฉพาะ



    การตั้งใจไว้เพื่อ นิพพาน นี่ผมเคยถาม หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญเรียกว่า "หลวงพ่อสด" ก็แล้วกัน เวลานั้นผมไปหาท่าน ท่านยังไม่ได้เป็นพระครู ยังไม่ได้เป็นเจ้าคุณ เมื่อท่านเป็นแล้ว ท่านก็บอกว่าเขาเอาหัวโขนมาตั้งให้ มาสวมให้ แต่ฉันจะไม่เต้นไปตามจังหวะของโขน ฉันจะเต้นตามปกติของฉันตามเดิม พระองค์นี้น่ารักมาก ผมนับถือมาก ท่านเคยบอกว่าควรจะหวัง นิพพาน ผมก็ถามว่า


    "คนอย่างกระผมจะไปนิพพานกับเขาได้หรือครับ?"


    ท่านก็บอกว่า " เราตั้งใจไว้ก่อน เหมือนกับคนขึ้นยอดไม้ เธอขึ้นต้นไม้ตั้งใจเราจะข้นให้สุดยอด ถ้าบังเอิญเราตั้งใจขึ้นสุดยอดแรงมันไปไม่ถึง มันก็ต้องไปถึงกิ่งใดกิ่งหนึ่งเป็นที่พักจนได้ ถ้าเราตั้งใจต่ำ ดีไม่ดีมันขึ้นไม่ถึงเลย"


    ท่านบอกว่า "หวังนิพพานก็เช่น เดียวกัน ถ้ากำลังอย่างอ่อนมันก็ไปค้างที่สวรรค์ได้ กำลังอย่างกลางก็ไปค้างที่พรหม ถ้าเราเกิดจิตไม่นิยมมนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก หรือไม่นิยมร่างกายด้วยความจริงใจ เราก็ไปนิพพาน"

    คติ ของหลวงพ่อสดนี่ดีมาก ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทและญาติโยมทั้งหลายพยายามปฏิบัติทำตามไว้เถอะ ตัวท่านตาย แต่ความดีของท่านยังไม่ตาย ผมยอมรับนับถือองค์นี้ท่านดีจริง ๆ วิชาความรู้นี้ผมก็เรียนกับท่านไว้เยอะ ที่นำมาใช้นี่ก็เอาของท่านมาใช้เยอะเหมือนกัน ท่านก็บอกเป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของท่าน ท่านค้นคว้าเอามา เป็นพระองค์แรกที่ทำให้คนมีความเข้าใจเรื่องสวรรค์ เรื่องนรก ได้ชัดแจ้งแจ่มใส และเรื่องนิพพานด้วย



    แต่ก็น่าแปลก หลวงพ่อสดกับผมก็คล้ายคลึงกันอยู่อย่าง ถูกด่าแหลกเหมือนกัน ด่าท่านเท่าไรท่านก็ยิ้มตลอดเวลา ผมก็เลยจำยิ้มของท่านมา แต่ก็ขอได้โปรดอย่ามาด่าต่อหน้าก็แล้วกัน ไม่แน่ใจจะยิ้มออกหรือไม่ออก ถ้าด่าลับหลังด่าไปเถอะ ด่ายังไงก็ด่าไป อย่าเข้ามาด่าใกล้ ๆ ด่าไกล ๆ ไม่เป็นไร ถ้าด่าให้ได้ยิน ผมประกาศแล้วนี่ไม่ใช่ พระอรหันต์ ผมไม่ใช่พระอนาคามี ผมไม่ใช่พระอริยะ ผมไม่ใช่ผู้ทรงฌาน ผมมีคติอย่างเดียวว่าบวชต้องการนิพพาน จะ ไปได้หรือไม่ได้ก็ช่าง จะไปได้ก็ต้องการจะไปยังไม่ได้ก็ต้องการ เพราะใจมันต้องการมาตั้งแต่กำเนิดเสียแล้วก็อยากจะไป ชาตินี้ไปไม่ได้ ชาติหน้าก็ไปได้ ชาติหน้าไปไม่ได้ ชาติโน้นก็ไปได้



    และที่เวลาเราเกิดมาเพื่อแก่ กว่าจะแก่ถึง ๗๐ ปีมันใช้เวลานานมาก มันก็ยังแก่มาได้ และเรื่อง นิพพาน ถ้าเราไม่ท้อถอย ทำไมจะไปไม่ได้ ใครเขาจะหาว่าเป็นยังไงก็ช่าง เราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าสอนคนให้ทุกคนไปนิพพาน เราก็ต้องการไปนิพพาน อย่างพระพุทธเจ้าท่านบอก

    ท่านบอกว่าธรรมะของท่านให้เลือกปฏิบัติที่เห็นว่าควรปฏิบัติ ไม่ใช่ยกมาทั้งกระบิ ไม่ใช่นำหนังสือเล่มใหญ่ ๆ มาก็ทำอย่างนั้นทุกถ้อยคำ ไม่มีผล



    และขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรจงอย่าทำตนเป็น "เถรใบลานเปล่า" คือไปที่ไหนก็คุย "ฉันเรียนจบถึงนั่น" "ฉันเรียนถึงนี่" "ฉันเรียนถึงโน่น" แต่เรียนน่ะมันไม่มีผลหรอก มันต้องปฏิบัติ ก็คนที่เขาไม่เรียนเลย เขาไปนิพพานได้ตั้งเยอะ



    อย่าง สมัยพระพุทธเจ้า ตาสีตาสามาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยแม้แต่พระพุทธเจ้าฟังเทศน์จบเดียวก็มีความเข้าใจ บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ



    และตอนนี้ความรู้พระ พุทธศาสนาทุกอย่างก็เข้าใจหมด นี่ความรู้จริง ๆ มันมาจากผลการปฏิบัติ ไม่ใช่การเรียนหนังสือโดยเฉพาะ ที่เรียนหนังสือโดยเฉพาะประกาศตนเป็นผู้นำความดีไปให้ แบกความดีไปให้แต่ในที่สุดตัวเองเละเทะ เลือกไม่ไหวนับไม่ถ้วน



    ก็ รวมความว่าอย่าประมาท คนที่เขาเรียนรู้มากเขาดีก็มี เขาปฏิบัติจริงก็มี คนที่เรียนรู้มากไม่เอาไหนก็มี คนที่เรียนรู้น้อยมีการปฏิบัติจริงเข้าถึงขั้นสูงสุดก็มี คนที่ไม่เรียนรู้อะไรเลย โผล่เข้ามาปฏิบัติเฉย ๆ ได้ผลสูงสุดก็มี ก็รวมความว่าความดีหรือความชั่วมันอยู่ที่ตัวปฏิบัติ



    ฉะนั้นขอบรรดา ท่านพุทธบริษัท ถ้าเรายังไม่ตายก็จงอย่าช่วยกันทำบ้านเมืองให้วุ่นวาย ช่วยกันทำบ้านเมืองให้มีความสุข คือคิดว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ก่อนจะตายจากความเป็นคนเราต้องเป็นคนดี ตายเป็นผีจะได้เป็นผีดี เป็นผีเทวดา เป็นผีพรหม และเป็นผีนิพพาน



    หลังจากนั้นยึดความดีพระ พุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง และก็ปฏิบัติตน ไม่ใจร้าย มีใจเมตตาปรานี ไม่ฆ่าใครไม่ทำร้ายใคร ไม่ลักไม่ขโมย ไม่ยื้อแย่ง ไม่คดโกงทรัพย์สมบัติของใคร ไม่แย่งคนรักของใคร ซื่อสัตย์สุจริตต่อคู่ครอง นี่ด้านกาย



    ด้านวาจา ไม่พูดคำไม่จริง พูดแต่วาจาจริง ไม่พูดคำหยาบพูดแต่วาจาไพเราะ ไม่พูดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน หรือไม่นินทาเขา พูดแต่วาจาสร้างสรรค์ความสามัคคี ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์ วาจาใดที่เป็นประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายเราพูด และก็ไม่ดื่มสุราเมรัย



    ด้านกำลังใจ ไม่คิดจะลักขโมยอยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร ใจไม่คิดเลยไม่คิดจะพิฆาตเข่นฆ่าประหัตประหารใคร ทำความเห็นให้ถูกว่าอันใดสิ่งใดเป็นปัจจัยของความสุขกับเรากับเพื่อนร่วมโลก เราจะทำอย่างนั้น แค่นี้บ้านเมืองจะมีความสุข



    การที่จะรักษาพระพุทธ ศาสนา เวลานี้มีข่าวโครมคราม ๆ เขาบอกว่ากลัวคริสเตียนจะมาแย่งดินแดนพระพุทธศาสนาไป เกรงว่าจะแย่งคนไป ไม่ต้องกลัว กลัวทำไมคนของเรา เราดีเขาเอาไปไม่ได้ แต่เราอย่ากลายเป็นโจรปล้นตัวเองก็แล้วกัน



    ก็หมายความว่าวิชาความ รู้ที่ผมสอน พวกคริสต์เขามาเรียนกันเยอะ พวกอิสลามก็มาเรียนกันเยอะ และก็ถ้าของเขาไม่มีของเรามี ถ้าบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย แต่ผมน่ะไม่สามารถนะ ผมก็ได้แต่ความรู้เป็ด ๆ แค่นี้แหละ ความสามารถยิ่งใหญ่จริงจังของผมไม่มี ถ้าทุกคนใช้หลักสูตรของวิชชาสามและอภิญญาหก มาใช้เป็นปกติสำหรับพระ ฆราวาสน่ะผมไม่ไปพูดเคี่ยวเข็ญแบบนั้นหรอก พระก็ไม่ได้เคี่ยวเข็ญแต่พูดตามความเป็นจริงว่า



    ถ้า เราจะอนุรักษ์พระพุทธศาสนา ให้พระพุทธศาสนาคงอยู่จริง ๆ พระพุทธศาสนาจะคงอยู่ได้เพราะความเลื่อมใสของคน เพราะชาวบ้านชาวเมืองมีความเข้าใจในพระพุทธศาสนามีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ ภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา มีความเข้าใจว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด สูญหรือไม่สูญ นรกมีจริงไหม นี่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่านรกมีจริงเราอย่าฝืนท่าน หาทางแนะนำญาติโยมพุทธบริษัทให้เห็น นรก สวรรค์ เปรต อสุรกาย เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยทิพจักขุญาณในหลักสูตร วิชชาสาม ให้เข้าใจว่าตายแล้วไม่สูญด้วยกำลังของ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือระลึกชาติ แค่นี้ละครับเพื่อนภิกษุสามเณร พระพุทธศาสนาไม่ไปไหน



    ท่าน จะเห็นว่าเวลานี้สำนักกรรมฐานเยอะ ทุกแห่งเต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง แม้แต่จะอยู่ในป่าในเขา เพราะว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีความเข้าใจตามความเป็นจริง เห็นจริงเห็นจังตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ท่านผู้นั้นเป็นเจ้าของถิ่นเป็นเจ้าสำนัก ท่านมีความรู้ความสามารถในการแนะนำ ฉะนั้นคนจึงไปหาท่านมาก



    ถ้า บรรดาพระสงฆ์ทุกท่านที่ท่านบอกว่าท่านจะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา ให้ทรงอยู่ไม่มีใครไปแย่งคนไปจากพระพุทธศาสนาได้ ก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับเขา เพียงเอาหลักสูตรวิชชาสามและอภิญญาหกไปใช้พอแล้ว เหลือแหล่ แม้แต่แค่ความรู้เป็ด ๆ อย่างผมได้มากระจุ๋มกระจิ๋ม จะเป็นวิชชาสามจริงก็ไม่ใช่จะเป็นอภิญญาก็ไม่ใช่ อภิญญาไม่ใช่แน่



    แต่การเตรียมตัวเพื่ออภิญญาอาจ จะมีบ้าง มีก็เป็นสะเก็ดเศษ ๆ เลย ๆ ถึงอย่างนั้นการไปอเมริกาปีที่ ๒ คือปี ๒๕๒๗ ฝรั่งมาปฏิบัติธรรมได้กันเยอะ คล่อง แคล่วมาก ทั้งนี้ก็ต้องขอบใจ ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นคนสอน กับคุณวิรัช คือ พระวิรัช ที่วัดท่าซุงนี่ เอง เธออยู่อเมริกามาหลายปีเป็นคนสอน เขาพูดภาษาฝรั่งได้ ไอ้ผมน่ะไม่ได้สักคำ ภาษาฝรั่ง "กิน" เขาก็ไม่เรียกว่า "เจี๊ยะ" ถ้าเจี๊ยะพอเรียกได้ ไม่รู้เขาพูดยังไง กินไม่ถูก ก็ต้องใช้ภาษาใบ้กัน



    ฝรั่งมังค่าเขาได้กันเยอะแยะ เขาสอนกันแค่ ๑๐ นาที ระลึกชาติได้ทันที ดร. ปริญญา นุตาลัย เธอยังมีชีวิตอยู่ ใครสงสัยก็ไปคุยกับเธอก็แล้วกัน เธอเป็นคนสอน



    และ เรื่องการรู้อะไรต่ออะไรเราพิสูจน์กันแล้ว ฝรั่งคนนั้นไม่รู้เรื่อง ถามแล้วแกตอบถูกหมด ไอ้สิ่งที่ถูกไม่ใช่ถูกเฉพาะสิ่งที่เรามองไม่เห็นคือชาติก่อน เอากันชาตินี้ ชาตินี้เวลานี้อะไรอยู่ที่ไหนเธอตอบได้ทันที อันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ของความรู้แต่ความรู้นี่จะยืนยงทนได้นานไม่นาน เพียงใดก็ขึ้นกับกำลังใจของเธอ สำหรับผมเองผมก็ไม่ยืนยันเหมือนกัน จะเผลอลงนรกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ



    วันนี้เฉื่อยไปนะ เวลาหมดไปเกือบ ๒๐ นาที นี่หมดไป ๑๗ นาทีแล้ว ก็เลยจะขอบ้าอีกนิด เป็นบ้าสุดท้ายสำหรับหนังสือเล่มนี้ อันนี้ให้เขาทำเป็นเสียงไว้เล่มละ ๑๐ คาสเซท ถ้าจบ ๑๐ คาสเซทถือว่าหมดเรื่องกันที เป็นเล่มหนึ่งเล่ม แต่ยังไม่จบมันจะมีเรื่อย ๆ ไปจนกว่าผมจะเล่าเรื่องไปถึงตอนผมเกิดโน่น ถอยหลังลงไป และก็ยังจะยาวต่อไปว่าหลังจากที่บันทึกและทำหนังสือนี้แล้ว ไปพบอะไรบ้าง จะว่าต่อไปอีกถ้ามีแรงทั้งนี้ไม่แน่ผมไม่ยืนยันเหมือนกัน เพราะเวลานี้ผมพูด ผมนอนพูดน่ะ มันจะพูดไปได้เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ ก็ขอบ้าต่อไป เหลือเวลาอีก ๑๐ นาทีเศษ ๆ บ้าอีกสักคาสเซทหนึ่งคาสเซทนี้ก็เข้าไปค่อนหน้าแล้ว คือว่าขอบ้าเรื่องแผ่นดินไหว



    ไอ้คำว่า "แผ่นดินไหว" นี่มันก็เป็นเรื่องพูดกันสั้น ๆ แต่ความจริงต้นเหตุแห่งแผ่นดินไหว ว่าแผ่นดินไหวเพราะอะไร



    เมื่อปี .ศ. ๒๕๒๖ เดือนพฤษภาคม อาศัย ที่ลูกศิษย์ลูกหาลูกหลานที่ประเทศอเมริกาเธอเดินทางมาศึกษาพระกรรมฐานที่ ประเทศไทยบ้าง ที่ยังไม่มาก็รับเทปบ้างหนังสือบ้างไปฝึกกันกำลังศรัทธาของเธอดีมาก ผมรับเงินของเธอทีไร กำลังใจเต้นตึ๊ก ๆ ทุกที ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะทราบว่าทุกคนที่ไปประเทศอเมริกาต้องการจะหาเงินหาทองมาตั้งตัว แต่ทว่าในเมื่อเธอต้องทำบุญ ก็ต้องเชือดเนื้อเถือหนังของเธอ เลือดออกโชก สมมุติเอา เอามาทำบุญ ก็เกรงว่าเธอจะลำบาก แต่ว่าทุกคนก็พร้อมบอกยอมรับว่าตั้งใจจะทำบุญจริง ก็ดีใจ จึงได้เตือนว่าการทำบุญน่ะ ทำแต่พอควรอย่าให้หนักเกินไปจะเดือดร้อนภายหลัง
    ต่อมาเธอก็ขออาราธนาไปอเมริกา ใช้เวลา ๓ ปี ผมก็ไม่ค่อยสบาย เลยตัดสินใจว่า ๒๕๒๖ พฤษภา ไปแน่ ตอนนั้นก็ยกโขยงไปประมาณ ๒๘ คน ยังน้อยกว่า ๒๕๒๗ ยกโขยงไป ๔๓ คน นี่ไม่ไปเที่ยวกัน โอกาสจะเที่ยวไม่มี ไปมุ่งอย่างเดียวคือ ธรรมะ รวมความว่า ผมตั้งใจเอาเป็ดไปปล่อยที่อเมริกา เป็ดคือผม คือความรู้เป็ด ๆ เอาไปปล่อยที่อเมริกา



    การไปปีที่แล้วทัวร์เขาจัด ให้ทัวร์จัดเขาก็ไปแวะฮาวายก่อน นั่งเครื่องไปฮาวายนี่ไม่รู้ว่ามันมืดเมื่อไร ออกจากไทยไปสิงคโปร์ก่อน ออกจากสิงคโปร์เปลี่ยนเครื่องก็ไปไทเป ไทเปเริ่มค่ำไฟฟ้าสลัว ๆ ออกจากไทเปมุ่งหน้าไปฮาวายเครื่องบินไปได้หน่อยเดียว หยิบนาฬิกาขึ้นมาตี ๒ ของประเทศไทยเห็น แสงสว่างมันลอดเข้ามา ข้าง ๆ เครื่องบิน อะไรกันแน่ ลองเปิดหน้าต่างดูแสงพระอาทิตย์ ตายจริง นี่มันสว่างแล้ว ประเดี๋ยวเดียวเขาเอาอาหารมาเสิร์ฟก็ต้องกิน ก็ต้องใช้เวลาที่มันสว่างที่ไหนกินที่นั่น เขาเลี้ยงเมื่อไรกินที่นั่น จะไปถึงตี ๒ กินยังไง พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกตี ๒ พระพุทธเจ้าบอกแสงอาทิตย์ขึ้น อรุณที่ ๒ ขึ้นแล้วก็กินได้ นี่แสงอาทิตย์สว่างจ้าไม่ใช่ที่ ๒ เป็นที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ



    พอไป ถึงฮาวาย (ขอเล่าลัด ๆ) เขานำไปพักที่พัก ที่พักก็สบายดี เป็นหน้าที่ของทัวร์จะพาเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ วันแรกไปถึงก็งงกันไปหมด คนอื่นงงหรือไม่งงก็ไม่ทราบ ไอ้กลางคืนมันเริ่มเป็นกลางวัน ไอ้กลางวันมันเริ่มเป็นกลางคืน ชักจะยุ่งกันใหญ่ ผมก็นั่งสะสืมสะลืออยู่ในห้องพักแต่ผู้เดียว ตอนเย็น ดร.ปริญญา นุตาลัย เธอก็ไปเช่ารถ รถเก๋งเขามีให้เช่า เขาวิ่งเที่ยว



    เธอถาม "หลวงพ่อไปไหม" ผมก็บอกว่า "ไป" ไปไหนก็ไม่รู้ เห็นฝรั่งวิ่ง ครึ่บ ๆ ไอ้ฮาวาย อากาศมันดี ขณะที่นั่งไปก็ถาม ดร.ปริญญา ว่า



    "เออนี่ มันยังไงกันแน่ การที่มาคราวนี้เขาช่วยค่าเครื่องบินเธอ เธอก็ไม่รับ เอาไปคืน"



    แต่ ความจริงไม่ใช่สตางค์ของผม สตางค์ของญาติโยม ดร.ปริญญานี่เธอเคยเรียนที่อเมริกา คล่องแคล่วในประเทศอเมริกามาก ก็ต้องหาคนคล่อง ๆ ไป และก็ได้ประโยชน์ใหญ่จากเธอจริง ๆ ประโยชน์ใหญ่มาก การเดินทางก็ดี การพักผ่อน อะไรทั้งหมด เป็นภาระของเธอ ดีจริง ๆ แม้จะติดต่อการเดินทางไปไหนก็ตามรู้สึกว่า เธอคล่อง แต่ทุกคนก็ดี ทุกคนเขาไม่ชิน ก็มีชินก็คุณวิรัชอีกคนหนึ่งซึ่งกลับมาจากอเมริกา นอกจากนั้นก็มีโยมปรุง ตุงคเศรณี เคยเป็นกงสุลไทยประจำฮ่องกง ก็เข้าใจในภาษาต่างประเทศได้ไดี



    ก็รวมความว่า ดร.ปริญญาเธอมีความคล่องตัวมาก เธอก็พาไปเที่ยว นั่งไปก็ถามว่า "เขาให้สตางค์ค่าเครื่องบินทำไมจึงไม่รับ?"

    เธอ ก็บอกว่า "ผมไม่ต้องรับหรอกครับหลวงพ่อ เพราะก่อนหลวงพ่อจะมานี่ ฝรั่งมันจ้างผมให้ค้นคว้าเหตุผลแผ่นดินไหวว่ามันมาจากเหตุอะไร จากธรรมชาติ ไอ้ธรรมชาติทำยังไงแผ่นดินจึงไหว?"



    ก็ถามเธอ ความจริงอันนี้ผมก็ไม่รู้จริง ๆ เหมือนกัน เรื่องแผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ๘ อย่าง ไอ้กฎแห่งธรรมชาตินี่มันมีอยู่ แต่ธรรมชาติมันทำอย่างไรแผ่นดินจึงไหว อย่าลืมว่าแผ่นดินน่ะไม่ใช่กระต๊อบนะครับ กระต๊อบลมพัดมามันไหวได้ แผ่นดินมันใหญ่มันหนักเหลือเกิน มันไหวเพราะอะไร เธอก็บอกว่า
    " เหตุจริง ๆ มันเป็นอย่างนี้ครับ แต่ว่าข้อมูลละเอียดนี่ไม่ทราบ คือว่าแผ่นดินมันมีการแยกตัวเป็นร่องภายในและก็มีลมเกิดขึ้น แผ่นดินก็ไหว"



    ก็พูดกันน้อย ๆ ไม่ได้ถามอะไรอีก ต่อไปก็คุยเรื่องอื่นไป ผมก็ไม่ติดใจเรื่องแผ่นดินไหว รู้ไปแล้วก็แค่นั้น รู้ไปแล้วผมจะไม่แก่ ผมก็แก่ทุกวัน รู้แล้วผมจะไม่ตายเรอะ ผมก็ตาย ผมก็ต้องห่วงผม ห่วงว่ากำลังใจของผมดีหรือเลวขนาดไหน มันจะไปนรกหรือสวรรค์กันแน่ แค่นี้เอง นี่ห่วงจริง ๆ ห่วงตัวเอง พอหลังจากการเที่ยวแล้ว พอค่ำหน่อยก็กลับ



    ยังชอบฮาวายว่าเขามีภูเขาเป็นที่อยู่อาศัย บ้านเขาปลูก แหม...กลางคืนไฟฟ้าสว่างพรึ่บสวยงามมาก แล้วหนักใจอยู่นิด ไอ้คนบนยอดเขามันกินน้ำที่ไหน ในกรุงเทพ ฯ เราอยู่พื้นดินแท้ ๆ น้ำยังไม่ค่อยจะมีกิน ไม่สะดวก แต่นั่นที่ฮาวาย ไปตั้งบ้านบนยอดเขา แกต้องกินลมหรือไง อันนี้ผมไม่ทราบ แต่เข้าใจว่าฝรั่งเศคงไม่กินลมคงต้องกินน้ำ



    เป็นอันว่าเรื่องนี้ไม่ ต้องคิด กลับที่พัก เห็นในห้องเขามีโทรทัศน์ มองดูรายการเห็นมีรายการข่าวก็ลองเปิดโทรทัศน์ดู ผมไม่รู้ภาษาฝรั่งกับเขา ผมเห็นภาพผมก็นั่งเดาเล่นโก้ ๆ พอจบข่าวก็ปิด เพราะลูกตาผมเวลานี้มันเสียซะแล้ว ถ้าดูละครมันมองไม่ค่อยเห็น มันเห็นชัดแต่ข่าวเท่านั้นเอง แต่ข่าวนี่เห็นชัดจริง ๆ



    ก็รวมความ ว่าเมื่อถึงกาลเวลาจะนอนก็นอนลงไป ตามปกติของพระเวลาจะนอนทำอย่างไร ก็ทราบกันอยู่แล้ว ยังไม่นอนหรือนอนก็มีคติคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือทำจิตให้เป็นสุขก่อน พอนอนจับอานาปานุสสติ พอเริ่มจับปรี๊ดเดียว หายใจเข้าไม่ทันหายใจออก เห็นภาพพระ พระพุทธเจ้า ท่านมายืนตระหง่านอยู่ใกล้ ๆ ข้างหน้า สวยงามมาก ในภาพทรงแย้มพระโอษฐ์



    นี่ ใครจะหาว่าผมบ้าภาพก็ตามใจ ภาพพระพุทธเจ้าผมชอบบ้า ถ้าบ้าเห็นพระพุทธเจ้า ผมอยากบ้าตลอดทุกวินาทีของชีวิตที่ทรงอยู่ และก็ได้ยินเสียงท่านถามว่า



    "เธอสงสัยเรื่องแผ่นดินไหวหรือ ?"



    ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า "สงสัยพระพุทธเจ้าข้า"

    ท่านบอกว่า "สงสัยทำไมจึงไม่ถาม"

    ก็ตอบกับท่านว่า "เห็นว่ามันเป็นเรื่องของโลก ไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสารแห่งธรรม ก็ไม่กล้าถามและก็ไม่กล้าจะยุ่ง เกรงว่าจิตจะวุ่นวาย"
    ท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นไร มันเป็นสาระไม่ใช่ไร้สาระ"

    ท่านบอก "ถ้าอยากจะรู้ก็ตามฉันมา"



    ตอน นี้ได้เรื่องแว๊บเดียวลงไปใต้ดินเลย ไปเห็นแผ่นดิน มันเป็นร่องใหญ่ โอ้โฮ! จะว่าเป็นแม่น้ำนี่ไม่ใช่แล้ว บางจุดมันกว้างแบบทะเลน้อย ๆ ไอ้ทะเลใหญ่ ๆ เขากว้างกันเท่าไหร่ก็ไม่รู้ คือศูนย์ที่กว้างที่ห่างจริง ๆ มันเป็นไมล์ ๆ บางทีถึง ๗ ไมล์ ก็มี กว่าก็มี กว้าง มันเป็นร่องลึกเรื่อยไป ในความรู้สึกว่าผมก็ตามท่านไปเรื่อย ๆ ไปรอบโลก ไอ้รอยแตกของแผ่นดินนี่มันรอบโลกจริง ๆ และก็ในรอยแตกของแผ่นดินนี่ มองดูแผ่นดินข้างใต้มันเหมือนกับดินผสมน้ำเป็นโคลนอยู่ มันเดือน ปุด ๆ ท่านก็เลยบอกว่า



    "แผ่นดินจริง ๆ ข้างล่างมันแตกแยกกันอย่างนี้ ร่องมันใหญ่มาก"



    งั้นแผ่นดินไหวเกิดจากเหตุนี้ ดร.ปริญญาเธอพูดไว้ตอนนี้ผมก็ทิ้งตอนนี้ เมื่อทิ้งเท่านี้ก็พอดีกลับ กลับจากวันนั้น วันนี้ก็ต้องไปเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเวลาสัญญาณ ๒ เครื่องบอกเวลาปรากฏว่า "เลิกเถอะ" ก็ต้องขอลาก่อน ไว้ฟังกันคาสเซทหน้า ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่านผู้รับฟัง สวัสดี
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    บ้าเรื่องแผ่นดินไหว (ต่อ)

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย คาสเซทช่วงนี้เป็นช่วงที่ ๔ ของเรื่องบ้า ๆ แต่ว่าหนังสือก็เกือบจะเต็มเล่มอยู่แล้ว ถ้าเหลืออีก ๒ คาสเซท หรืออีก ๒ ชั่วโมงแห่งการพูดก็จบ คำว่า "จบ" หมายถึงจบตอนหนึ่ง ยังไม่จบเลย คือจะทำหนังสือเป็นเล่มไม่โตนัก และเทปเสียงก็มี จากเทปเสียงนี่เอาไปเขียนเป็นหนังสือ



    สำหรับตอนนี้ก็ยังขอบ้าต่อไป เพราะครึ้ม ๆ เรื่องบ้า คุยเรื่องบ้านี่มันครึ้มดี นี่ต่อไปเด็ก ๆ อาจจะบอก "หลวงตาบ้ามาแล้ว" เมื่อก่อนนี้เขียนเรื่องใช้ศัพท์ว่า
    "ฤาษี" เพราะว่าเวลานั้นมันใกล้วจะตายแล้วเหมือนกัน เล่าเรื่องหลวงพ่อปาน คิดว่าหนังสือนั้นตรงไป "ฤาษี" ไม่มีอาบัติ ถ้าตายแล้วก็แล้วกันไป บังเอิญไม่ตาย ตอนนี้มาใช้ศัพท์ว่า "บ้า" ดีไม่ดีพวกเด็ก ๆ หรือไม่ใช่เด็กอาจจะเป็นพระก็ได้ จะเห็นว่า "ไอ้หมอบ้า" ไอ้เถรบ้านี่มาแล้ว ก็ตามใจ คนเราถ้าไม่บ้าก็ไม่หมดทุกข์ ถ้าบ้ามากหมดทุกข์มาก



    ทั้ง นี้เพราะอะไร เพราะว่าคนดีมีทุกข์มาก เพราะนิยมในเรื่องของทุกข์ คนบ้าเกลียดความทุกข์ (ขออภัยครับ เสมหะมันเล่นหนักต้องเลิกคาสเซทนี้ล่ะ ตอนนี้ต้องพักกันแค่นี้ แล้ววันหลังค่อยต่อไปใหม่)


    มาเล่าถึงเรื่องแผ่นดินไหวกันต่อไป บ้าแผ่นดินไหวตามเดิม


    หลัง จากคืนนั้นมากลางวันไปเที่ยว เขาก็พาไปชมสถานีที่ภูเขาไฟระเบิดอะไรต่ออะไร ผมก็ไม่มีความรู้สึกสนุก เพราะคนแก่หมดสนุก เห็นว่าวัตถุทั้งหมดไม่มีค่า ยิ่งไปฐานทัพเรือเขาเล่าความเป็นมาที่ญี่ปุ่นโจมตี (อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์) ผมเห็นว่าการเกิดเป็นคนนี่มันยุ่งจริง ๆ มันมีแต่ความทุกข์ มันมีแต่ความวุ่นวาย หาความแน่นอนอะไรไม่ได้


    ในเกาะฮาวายนี้ไม่ใช่ ของอเมริกัน ไม่ใช่ของคนผิวขาวเดิม ชาวเม็กซิกันที่ในเกาะฮาวายแกใหญ่โตมโหฬารมาก โอ้โฮ..สูงมาก ใหญ่มาก ผู้หญิงก็เหมือนกับพ้อมเคลื่อนที่ แต่เขาบอกผู้หญิงที่นี่ถ้ายิ่งใหญ่ยิ่งโตยิ่งสวย ความสวยเขาวัดกันด้วยความใหญ่โต หลังจากนั้นก็เดินทางไปแคลิฟอร์เนีย



    ขณะที่เดินทางไปแคลิฟอร์เนีย ไปถึงโน่น ก็มีคนมีพระมารับ ขอบคุณท่าน ยังไม่ขอเล่าเรื่องนี้



    ต่อ มาในตอนเช้าหลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ ฉันภัตตาหารเช้าของอเมริกาก็คือกินกลางคืนของประเทศไทย รวมความว่าประเทศไทยเริ่มค่ำ ที่โน่นก็เริ่มเช้า แคลิฟอร์เนียกับประเทศไทยก็เวลาต่างกันนิดหน่อย ถ้าไปที่ชิคาโกเวลามันจะตรงกันพอดีแม้แต่นาทีของเราเที่ยงวัน ของเขาก็เที่ยงคืน ของเราค่ำของเขาก็เช้าพอดี โมงเช้าของเขาของเราก็หนึ่งทุ่ม



    ฉะนั้นผมไปอเมริกาผมก็หม่ำข้าวกลาง คืนของประเทศไทยทุกวัน แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงปรับอาบัติ แต่ท้องมันจะล่อผมเข้า ผมก็ป่วยไปเดินโซซัดโซเซ สัญญาต้องเป็นสัญญา คิดถึงลูกคิดถึงหลานที่อยู่ประเทศอเมริกา เธอดีมาก ฉันข้าวเสร็จผมก็กลับมานอนพัก ตอนก่อนเพล เพราะว่าถ้ารับแขกทั้งวัน ผมก็ไม่ไหว ร่างกายก็ทรงไม่ค่อยไหว ไปพักที่วัดไทยในแคลิฟอร์เนีย



    พอกลับ มานอนนึกว่าไอ้แผ่นดินที่มันเป็นร่องยาวรอบโลก แล้วลมมันมาจากไหน นี่เป็นความรู้สึกจริง ๆ มันจะเป็นความโง่ของผม เพราะการไปในที่นั่นมันเห็นแต่ร่องแผ่นดินมันใหญ่จริง ๆ มันมีตลอดทั้งโลกในประเทศไทยก็ไม่ใช่ด้อย
    พอนอนนึกเท่านั้นก็เห็นภาพพระพุทธเจ้าท่านลอยอยู่ข้างหน้า ท่านถามว่า "สงสัยเรื่องลมรึ ?"


    ก็บอกว่า " สงสัยครับ เพราะว่าผมมีความรู้สึกว่าลมมันจะเข้าไปอย่างไร แผ่นดินมันจะไหวเพราะลมกระทบ ผมก็มองไม่เห็นว่าลมมันจะเข้าไปอย่างไร ลมมันจะพัดไปทางไหน ทางเข้ามันก็ไม่มี"

    ท่านก็บอกว่า "ถ้ายังงั้น ตามฉันมาซิ"

    ท่าน ก็พาไปใหม่ ไปที่เดิม ไปเรื่อยเฉื่อย ไปตลอดแนวมันยาวเท่าไหร่ มันยาวไปชนกัน บางทีมันก็ยังแยกอีก ก็แบบแม่น้ำใหญ่ ๆ มันก็แยกเป็นสาย ๆ ก็ต้นทางมันมาจากไหนก็ต่างคนต่างชนกัน มันยาวเหยียดมันใหญ่มาก ทั้งโลกมันก็มี ไม่ใช่มีเฉพาะอเมริกาและก่อนหน้าที่จะไปเป็นปีเดียวกันใช่หรือไม่ใช่ไม่ทราบ เขาบอกว่าที่ แคลิฟอร์เนียแผ่นดินไหว ตึกรามพังกันระเนระนาด หมอบุญเกิด แกถึงได้มาถามว่าจะเป็นอย่างนั้นอีกไหมครับ ก็บอกว่าแผ่นดินอาจจะไหวได้ แต่ที่แคลิฟอร์เนียไม่พังอีกล่ะ ถ้าจะพังก็พังเองไม่ใช่พังเพราะแผ่นดินไหว นี่ตอบไปตามความรู้สึก



    เมื่อไปถึงเห็นโคลนมันเดือด ดินปนน้ำ เป็นลักษณะโคลนเดือนปุด ๆ ทั่วไปหมด อาการเดือดของมันก็เป็นไอขึ้นมา บอกว่าลมนี่มันมาจากจุดนี้ ลมมันก็มาจากไอน้ำที่มันระเหยขึ้นมาและมันเกาะตัวมาก ๆ เข้า ก็กลายเป็นลม เป็นลมกระแสใหญ่ ขึ้นมาเป็นลมใหญ่ ลมใหญ่มันก็กระแทกทางโน้นกระแทกทางนี้ ก็ถามท่านว่า
    "ลมมันขึ้นมาทีละน้อย ๆ นี่ มันน่าจะไหลไปตามกระแสร่องของแผ่นดิน ซึ่งมันยาวเหยียด ไม่น่าจะมีกำลังแรง และทำไมแผ่นดินมันจึงไหวได้ ไม่น่าจะเป็นไปได้"

    นี่เป็นด้านอารมณ์ความโง่ของผม ผมยอมรับ ท่านก็บอกว่า


    " ลมใหญ่มันจะวิ่งไปตามสาย สายของร่องแผ่นดินแตกก็จริงแหล่ แต่ทว่าเธอต้องคิดถึงความเป็นจริงจุดหนึ่ง ซึ่งกระแสลมแรงนี่เขาเรียกว่า ไต้ฝุ่น"


    ผมเรียกชื่อกับเขาไม่ถูก ไอ้โซนร้อนโซนหนาวอะไรผมก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เรียกว่าลมแรง ๆ ก็เหมือนกัน ในมหาสมุทร ถึงแม้ในประเทศไทยเราก็โดน มันมีขึ้นมาแล้ว มันพุ่งชนเรือเขาล่มไปบ้าง ดีไม่ดีเรือสินค้ามีน้ำหนักเป็นแสนตัน ยังหอบเอาไปไว้บนเกาะบ้าง พอชนบ้านเรือนโรงพังไปบ้าง ที่แคลิฟอร์เนียนั่นผมไปชายฝั่งเห็นไม้ไร่หักระเนระนาด บ้านช่องเขาพัง เขาบอกนี่ลมใหญ่ในทะเล มันพุ่งเข้ามาบ้านช่องพัง ท่านก็เลยบอกว่า


    " เธอสังเกตหรือเปล่าว่าผิวโลกมันมีความกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน และลมเกิดขึ้นน้ำน่าจะลอยไปบนอากาศ แต่มันไม่ไป กลับไปทิ่มบ้านทิ่มเรือนเขาพัง ทำไมมันถึงเป็นไปได้ ก็ไอ้ใต้แผ่นดินมันมีร่องแคบ ๆ ไอ้ช่องที่อากาศจะลอยตัวขึ้นไป หรือความร้อนจะลอยตัวขึ้นไป ลมจะลอยตัวขึ้นไป มันก็มีน้อย คือว่าเพดานมันต่ำ ในเมื่อมันรวมตัวขึ้นมา มันขยายตัวไม่ทันอย่างในมหาสมุทรมันน่าจะขยายเร็วแสนเร็ว ไปไหนก็ได้ แต่มันไม่ไปมันรวมกลุ่มแล้วก็วิ่งไปชนบ้านชนเรือนเขา

    ข้อ นี้ฉันใด แม้แต่ลมที่เกิดขึ้นในซ่องแผ่นดินแยกหรือที่เป็นร่องพื้นผิวที่เรานั่งอยู่ มันก็ก่อตัวในลักษณะเดียวกัน ในเมื่อมันรวมตัวกันจัด มันก็พุ่งไปชนทางโน้นบ้าง ชนทางนี้บ้างในช่องแคบจนกว่ามันจะไหลไปทั่ว ๆ ร่อง ก่อนที่จะไปความแรงของมันก็ชนกันเป็นเหตุให้แผ่นดินไหว"




    ก็ เลยเป็นอันว่าทราบว่าไอ้เจ้าลมนี้มันไม่ได้มาจากข้างนอก มันมาจากไอน้ำข้างในมีความร้อนสูง และผมก็ขอร้องให้ท่านไปสำรวจความร้อน ว่าความร้อน จริง ๆ ใต้ผิวแผ่นดิน ที่แผ่นดินเป็นร่อง ใต้ผิวลงไปนะ มันมีความร้อนขนาดไหน
    ดูแล้วโอ้โฮ้...ใต้แผ่นดินนี่มันร้อนจริง ๆ มันร้อนจัดมาก ดีไม่ดีนี่เราเผลอเรียกว่า "ไฟนรก" ความจริงมันไม่ใช่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดิน ถ้านรกอยู่นั่น ผมไปต้องเจอะนรกมากแล้ว



    อย่างกับทานพระครูอะไรก็ไม่ทราบ ท่านเขียนหนังสือมาถามว่า "นรกนี่มันอยู่ใต้ดิน ไอ้ที่พูดว่านรกมันมีอีกโลกหนึ่งน่ะโกหก"

    ความ จริงผมไม่ได้โกหกท่านและก็ไม่ได้โกหกใคร ผมพูดตามหลักวิชาความรู้ในพระพุทธศาสนา นี่พระพุทธเจ้าก็ดี พระโบราณาจารย์ก็ดี ท่านบอกนรกมันอยู่ใต้ดิน ท่านไม่ได้หมายความนรกอยู่ในดิน ไอ้ที่ผมไปเจอะนี่ความร้อนมันอยู่ในแผ่นดินในส่วนลึกใต้ผืนแผ่นดินลงไปไม่ ใช่ใต้ดิน ใต้ดินนั่นก็หมายความว่า นี่นรกที่นั่นต้องไม่มีดินผืนนี้อยู่ และมันอยู่ต่ำกว่า



    เป็นอันว่าวันนั้นก็เลยเข้าใจตามความจริงว่าความ ร้อนใต้แผ่นดินมีมากหนัก และที่ภูเขาไฟระเบิด ก็มีความเข้าใจว่า ไอ้ความร้อนมันกัดหินไปทีละหน่อย ๆ มันมีอยู่ที่ผิวมาก ว่าง ๆ มันก็พุ่งมาสักที ทำไมไม่พุ่งตลอด อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน อย่ามาถามกันนะ ผมไม่รู้ มันไหม้จนหินละลาย ก็ต้องคิด หินละลายเปิดเป็นช่องเป็นปล่องให้มันโผล่ขึ้นมา ความจริงมันน่าจะโผล่มาตลอดปีตลอดวัน มันก็ไม่โผล่ ไป ๆ มันก็จะโผล่ นี่เป็นเพราะอะไรผมไม่เข้าใจเหมือนกัน และก็ไม่อยากจะเข้าใจต่อไป ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะรู้



    ก็เป็นอันว่าวันนั้นมีความรู้เรื่องแผ่น ดินไหว ว่ามันจากกระแสของไอน้ำกลายเป็นลม เมื่อก่อตัวมาก ๆ ขึ้นมันก็เป็นลมพายุ ทิ่มทางโน้นทิ่มทางนี้ พื้นผิวแผ่นดินที่เราอยู่ ผิวตอนไหนใกล้กับกำลังแรงของลมตอนนั้นก็ไหวมาก ถ้าอยู่ไกลก็ไหวน้อยอยู่ไกลมากความสะเทือนไม่ถึงก็ไม่รู้สึกไหว และผมก็เลยสนใจเรื่องความร้อนในใต้ผืนแผ่นดิน ว่าความร้อนใต้ผืนแผ่นดินนี่ถ้านำมาใช้งาน เผาผลาญน้ำให้เกิดเป็นไอจะมีประโยชน์ต่อโรงงานมาก ก็รวมความว่าเป็นความคิดอย่างโง่ ๆ ของผม



    พอเลิกจากเวลานั้นมา วันนั้นไปตั้งแต่เวลา ๒ โมง มีความรู้สึกตัวขึ้นอีก ๕ นาทีพลพอดี ก็มีความรู้สึกเคลิ้มไปนานหน่อย ถ้าจะถามว่าไปอย่างไรก็ต้องตอบว่าเคลิ้มไปก็แล้วกัน พูดอย่างอื่นก็ไม่รู้เรื่อง ผมไม่ได้มีญาณอะไรกับเขานี่ อยู่ ๆ ผมนึกขึ้นมา ผมเห็นภาพพระพุทธเจ้าหรือจะเป็นเพราะความเคลิ้มก็ไม่รู้ และผมก็เคลิ้มผมเรื่อยไปตามเรื่องตามราว ก็รู้เรื่องรู้ราวมาก



    อีตอนรู้มาแล้วชักเริ่มสงสัยตัวเอง ตอนนั้นที่มีความรู้สึกเชื่อมั่นว่าเป็นจริงตามนั้น พอรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนจะฉันอาหาร "เอ๊ นี่เรามีความรู้สึกอย่างนี้มันตรงกับความเป็นจริงไหม" ผม ก็มีความมั่นใจว่าฝรั่งนี่เขาเป็นคนอยู่ไม่สุข เขาก็พยายามค้นคว้าหาเหตุหาผลตามความเป็นจริงจนได้ เวลาที่ออกไปฉันข้าว ก็พบหน้า ดร.ปริญญา นุตาลัย เธออยู่ ก็เรียกเข้าไปบอกว่า



    " ด็อกเต้อร์ ไอ้ที่ผืนแผ่นดินที่มันมีลมขึ้นมา เมื่อกี้ฉันไปเห็นมาแล้วด้วยอาการเคลิ้ม และปรากฏเห็นแผ่นดินมันมีน้ำโคลนเดือนปุด ๆ ๆ ความร้อนมันสูงมาก"


    และ ดร.ปริญญา ก็บอกว่า "ฝรั่งเขารู้แล้วครับ"


    เธอ คงคิดว่าผมอาจจะคิดว่าฝรั่งยังไม่รู้ ความจริงมันไม่ใช่ ผมอยากจะพูดกับเธอก็หมายความว่าผมจะสอบดู ว่าไอ้ความเคลิ้มของผมน่ะมันตรงตามความเป็นจริงไหม ผมเชื่อมั่นว่าฝรั่งเขารู้จริง เธอก็ตอบว่า "ไอ้เรื่องนี้ฝรั่งเขารู้แล้วครับ"


    ก็เลยบอก "ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันต้องการว่าฉันรู้ตรงหรือไม่ตรง ยังไง ๆ ฝรั่งรู้ไม่ผิด"

    เธอก็บอก "รู้ตรงครับ"

    เธอก็พูดต่อไปตามความรู้เดิมของเธอที่ศึกษามาด้านธรณีวิทยาว่า



    "ลมที่เกิดขึ้นก็คือไอ้น้ำนี่เอง"


    เธอก็พูดต่อไปตามความรู้เดิมของเธอที่ศึกษามาด้านธรณีวิทยาว่า


    "ลมที่เกิดขึ้นก็คือไอ้น้ำนี่เอง"

    เธอพูดตรงเป๋ง แหมผมก็ดีใจ บอกเออดีจริง ๆ ไอ้ความรู้เคลิ้ม ๆ ของเราก็ไปตรงกับความรู้ของฝรั่ง



    นี่ แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ความรู้ทางพระพุทธศาสนาของเรา ถ้าเรามีความมั่นใจจริง ๆ มันก็ชนกับความจริงได้ ซึ่งเป็นหลักวิชาที่เราไม่ต้องใช้ทุนมากเลย ไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียน ในประเทศเราเยอะไม่ต้องจ่ายเงินไทยเป็นประโยชน์กับประเทศอื่น กลับมาไม่เป็นประโยชน์ ผมก็เสียดายสตางค์เหมือนกัน



    ฉะนั้นการไปของ ผมคราวนั้นผมคิดว่าคุ้มค่าที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทออกสตางค์ให้ผม ถ้าจะถามว่าเอาเงินที่ไหนไป ปัดโธ่เอ๋ย...คนอย่างผมเป็นหนี้เขาเป็นล้าน ๆ จะมีเงินที่ไหนไป แต่การจะไปทางไหนก็อาศัยความดีของญาติโยมพุทธบริษัทเพราะว่าลูกศิษย์ลูกหลาน ผมไม่เรียกลูกศิษย์ละ ลูกหลานในอเมริกาก็ต่างคนต่างส่งมาเป็นทุนอันดับแรก และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทภายในประเทศเราก็เหมือนกันต่างคนต่างรู้ ต่างคนก็ต่างให้



    รวมความว่าการไปคราวนั้นทุกคนต้องเสียค่าเครื่อง บินกันเอง แต่ทุกคนก็ดีไปทำงานให้แก่พระพุทธศาสนา สอนกรรมฐานกันด้วยความเต็มใจ ทั้ง ๆ ที่วันเวลาเปลี่ยนแปลงไป


    ก็ รวมความว่าความรู้พิเศษในพระพุทธศาสนา สามารถตามฝรั่งได้ ที่ว่าตามฝรั่งได้ ถ้าจะถามว่าเราจะรู้ให้ก่อนหน้าฝรั่งได้ไหม มันคงจะได้ครับ แต่ผมไม่อยากรู้ เพราะองค์อื่นท่านอาจจะรู้แล้วก็ได้ แต่ผมน่ะขี้เกียจ ผมมีความรู้สึกกว่าการปฏิเสธร่างกายนี้ ที่เราเห็นว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรามันเป็นของยาก และตั้งใจจะทำใจให้มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอยู่เสมอ ในขณะใดเผลออาจจะคิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา ผมกลัวตัวเผลอตัวนี้ดึงไป ไม่อยากเอาจิตใจไปรู้เรื่องอื่น



    และความ รู้อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเด่น เพราะผมทราบว่าพระในประเทศไทยที่มีความรู้ความสามารถกว่าผมเกินกว่าผมมีเยอะ ที่มีตัวมีตนอยู่เวลานี้มีเยอะ ความรู้อย่างที่ผมรู้นี่ ผมบอกเป็ด ๆ นี่ มันเป็ดจริง ๆ สำหรับท่านพวกนั้น ท่านพวกนั้นท่านมีความรู้ความสามารถดีกว่าผมเยอะ ถ้าผมจะนำความสามารถไปเทียบกับท่าน ผมก็เป็นเป็ดนั่นเอง แต่ว่าจะถามว่าใครผมจะบอกได้ยังไง ในเมื่อตัวท่านเองท่านไม่พูด ตัวท่านเองท่านไม่บอก และผมไม่ใช่ตัวท่านผมจะบอกได้ยังไง
    จะถามว่า "เป็นการกีดกันความดีกันหรือ ?"

    จะ กีดกันทำไม ทุกคนต่างช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาให้คงตัว เราไม่ต้องการให้พระพุทธศาสนาสลายตัว ถ้าเราจะปิดกันก็เป็นการช่วยกันกลั่นแกล้งทำพระ-พุทธศาสนาสลายก็แล้วกัน


    ฉะนั้น ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่านที่มีความสนใจ เวลาท่านไปหาพระอะไร ท่านก็สังเกตเอาเองก็แล้วกัน การฝึกของท่านจากวิชชาหลักสูตรเป็ด ๆ ที่ผมให้ ก็ต้องใช้กำลังใจนิดหน่อย ถ้า อยากจะรู้อะไร อย่ารู้เอง ทำใจให้สบายว่างจากกิเลสชั่วคราว ถ้าจิตว่างจากกิเลสมีขึ้น ให้ตั้งใจถามพระทันทีว่าพระในประเทศไทยนี่ที่ดีจริง ๆ มีความสามารถเลิศกว่านี้ มีที่ไหนบ้างและท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน มีอายุเท่าไร มีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง ชื่ออะไร มีความสามารถขนาดไหน วิชชาสาม หรืออภิญญาหก หรือปฏิสัมภิทาญาณ อันนี้ท่านอาจจะรู้ได้ทันที แต่ว่าจงอย่าใช้ความสามารถของตนเองนะ ให้เป็นความสามารถของพระท่าน เท่านี้พอ
    หากจะย้อนถามผมว่า "รู้ไหม เห็นไหม ?"


    ก็ตอบว่า "บางท่านผมรู้ ไม่งั้นผมจะพูดได้อย่างไร"


    แต่ก็น่าเสียดายพระที่พอจะพูดกันได้ท่านก็ตายไปหลายองค์ ท่านที่ตายไปหลายองค์เป็นพระที่มีความสามารถชั้นเลิศ ท่านเลิศทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ผมขอพูดไว้แค่นี้นะ เลิศทั้งศีล ทั้งสมาธิ ปัญญา ซึ่งผมเองไม่สามารถจะตามเข้าไปใกล้แม้แต่เงาของท่าน น่าเสียดายว่าท่านตายไปเสียแล้ว และที่อยู่นี่ก็ยังมี ผมจะพูดได้ยังไงล่ะ



    ก็ รวมความว่าท่านใช้ความรู้ที่มีน้อย ๆ ของท่านเข้าไปพิสูจน์แล้วไปนมัสการท่าน อย่าลืมว่าพระพวกนี้ท่านไม่นินทาใคร ไม่เมาในความรักในระหว่างเพศ ไม่ติดในสีสันวรรณะ ไม่เมาในความโลภ



    แต่ก็อย่าลืมนะเครื่องสังเกต พระที่ไม่เมาในความโลภ คนชอบเอาเงินเอาทองใช้ไปถวายอยู่เสมอ นี่เขามาถวายเป็นปกติจนกระทั่งมากมาย เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตท่านบริสุทธิ์ ท่านไม่เมา ท่านไม่โลภ ถ้ามีความเมา มีความโลภ คนให้แล้วเขาก็ท้อ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพวกนี้ไม่มีคำว่าพออยู่ในใจ จะหาความพอไม่ได้ ตะเกียกตะกายอยากได้อยู่เสมอ ไอ้ตัวกิเลสมันตัดความดี ญาติโยมเวลานี้ก็หาคนโง่ยาก เวลานี้คนฉลาดเยอะถามว่าคนโง่จะมีไหม ก็ต้องตอบว่ามี แต่ผมไม่ค่อยจะพบคนโง่ พบทีไรเป็นคนฉลาดทุกที ท่านฉลาดอย่างนี้เราต้มท่านไม่ได้ ท่านจึงมีความฉลาด เมื่อความฉลาดมีท่านจึงเลือกเนื้อนาบุญที่ดีควรจะหว่านพืช



    ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก" ท่านก็ยังบอกอีกว่า "การหว่านพืชเพื่อหวังผล จะต้องเลือกเนื้อนาดี ๆ ถ้าหว่านในที่ดอนเกินไป ฝนแล้งน้ำเลี้ยงไม่ถึงพันธุ์พืชตายขาดทุน ถ้าหว่านในที่ลุ่มเกินไปน้ำท่วม พันธุ์พืชตายขาดทุน ถ้าหว่านในที่พอดี ๆ ฝนก็ไม่แล้งเกินไป ไม่ตกหนาเกินไป น้ำพอดีพืชก็งามมีกำไร"



    ข้อนี้ ฉันใด การบำเพ็ญกุศลทำบุญในพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน เวลานี้ญาติโยมฉลาด ถึงเวลาทอดกฐิน อะไรก็ดี ออกมาจากกรุงเทพ ฯ กันพรึ่บ ๆ ถึงเวลาทอดกฐินในกาลนั้น โอ้โฮ...ไปทางไหนวันไหน ก็เจอะแต่รถกฐินเป็นขบวนใหญ่ ท่านวิ่งไปไกลแสนไกล โน่น.. ฝั่งแม่น้ำโขงท่านก็ไป ใกล้เขตแดนด้านเหนือจะสุดประเทศไทยท่านก็ไป ใต้สุดท่านก็ไป ท่านไปกันถึงที่สุด



    ไอ้การไปแบบนั้นมันต้องเสียค่า พาหนะ ค่าอาหารมาก ค่าใช้จ่ายสูงมากตัวท่านผู้ไปเองก็ไม่มีความสะดวก ต้องนั่งแกร่วไปในรถ ไปถึงที่พักก็ไม่แน่ว่าจะพักที่ไหน ที่พักดีหรือไม่ดีก็ไม่ทราบ บางทีก็ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ที่พักไม่พอก็ต้องปูเสื่อกับพื้นแผ่นดิน กางเต้นท์บ้าง ท่านก็ไปกัน การไปอย่างนั้น ท่านไม่ได้ไปเพราะความโง่ ท่านไปเพราะความฉลาด



    ถ้าจะถามว่า "วัดใกล้บ้านท่านไม่มีหรือ"


    ก็ เป็นอันว่าท่านผ่านวัดไปเลยร้อยวัด และทำไมจึงไม่แวะ ที่ไม่แวะเพราะยังไม่ทราบว่าวัดที่ผ่านไปดีพอที่เขาจะทำบุญไหม อาจจะดีแต่เขายังไม่รู้ หรืออาจจะดีเกินไปเขาทำบุญไม่ไหว หรือกำลังดีหย่อนไปทำบุญไม่ได้ คือไม่พอดีกับกำลังใจ เพราะการทำบุญนี่ก็มีความสำคัญ คือผู้รับกับผู้ให้ต้องผสมผสานกันเป็นอย่างดี
    ฉะนั้นการที่บรรดา ญาติโยมพุทธบริษัทตามที่กล่าวนี้ท่านไป ก็ควรจะโมทนา โมทนาคือการยินดีด้วย เราไม่ได้ไปกับท่าน เราก็แย่งความดีท่านมาหน่อย ท่านไม่แหว่ง นั่นคือดีใจกับความดีที่ท่านมีความพยายาม



    เป็นอันว่าเวลาที่เหลือ อีกครึ่งนาที ความรู้กระทบจิตนี้ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัทไม่ต้องไป ตั้งใจเพื่อรับการกระทบ ตั้งใจอย่างเดียวคือศีลบริสุทธิ์ ตัดโลภะ ความโลภ ด้วยการคิดที่จะให้ทาน และก็ระงับนิวรณ์ ๕ ประการอย่าให้กวนใจ ทำกำลังใจให้ทรงไว้ซึ่งพรหมวิหาร ๔ รักษากำลังใจดีด้วยการภาวนาตามเวลา ทำปัญญาให้เข้าใจตามความเป็นจริง และทรงอารมณ์สมาธิไว้ให้จิตนิ่ง ๆ ว่างจากกิเลส โดยจับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์คือพระพุทธเจ้า ถ้าไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ท่านที่รับฟังอยู่นี่ท่านรู้จักภาพพระพุทธเจ้าหมด



    สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักภาพพระพุทธเจ้าก็จับพระพุทธรูปองค์ใดองค์ หนึ่ง ถ้าเรามีความรักให้เห็นเป็นปกติอยู่ในอก หรือเห็นเป็นปกติอยู่ในสมอง หรือเห็นปกติที่ลอยข้างหน้า ลอยข้างบนก็ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง จับภาพให้ชัดเจนแจ่มใสตามกำลังที่จะพึงทำได้ และมีความพอใจในภาพที่ในขณะเห็นเพียงเท่านี้ อารมณ์สัมผัสของจิตแบบนี้จะปรากฏกับท่านทุกขณะที่ท่านปรารถนา



    เวลา นี้หมดเวลาจะพูดเสียแล้วครับ สัญญาณบอกเวลา ๒ เครื่องบอกว่า "หมดเวลาแล้ว" ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรผู้รับฟังทุกท่าน



    จาก หนังสือ มโนมยิทธิและประวัติของฉัน

    [​IMG] คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...