พระพุทธเจ้ากับจักรวาล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย satan, 7 มีนาคม 2010.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    พระพุทธเจ้ากับจักรวาล

    ก่อนอื่นต้องขอบอกเหตุผลที่ว่าทำไมนำเรื่องพระพุทธเจ้า
    มาไว้ที่บอร์ดวิทยาศาสตร์ก็เพราะว่า ในพระไตรปิฏกนั้น
    พระพุทธเจ้าได้เขียนไว้ และได้พิสูจน์ได้โดยไอน์สไตน์ว่า
    ศาสนาพูทธเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดค่ะ



    อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธ์อันยิ่งใหญ่ หลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วก็ออกมายอมรับว่า ?การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนา เป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์?

    เรื่อง ?จักรวาล? และเรื่อง ?ปรมาณู? ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบอธิบายมาก่อน ถ้านักวิทยาศาสตร์นำบทสรุปของพระองค์ไปค้นคว้าต่อยอด วันนี้ความใฝ่ฝันเรื่อง การเดินทางข้ามเวลา ข้ามดาราจักร ข้ามจักรวาล การหายตัวได้ แทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ไปเลย

    เมื่อกาลิเลโอค้นพบ ?ทางช้างเผือก? เมื่อ 395 ปีก่อน หลังจากที่มีการสร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาแล้ว เห็นดาวนับล้านๆดวงในทางช้างเผือก นักวิทยาศาสตร์ก็ตื่นเต้นกันใหญ่ เมื่อส่องกล้องออกไปนอกจักรวาล ก็พบแต่ความว่างเปล่า กาลิเลโอจึงสรุปว่า ขอบจักรวาลก็คือขอบของทางช้างเผือกนั่นเอง

    ทางช้างเผือกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 100,000 ปีแสง หมายความว่า ยานที่แล่นด้วยความเร็วเท่าแสง คือ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ต้องใช้เวลาวิ่งถึง 100,000 ปี ทางช้างเผือกใหญ่แค่ไหนไปหลับตานึกดูเอาเอง

    แต่วันนี้นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบจักรวาลใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกมากมาย นอกเหนือจากจักรวาลของเรา มีการคำนวณกันว่า จักรวาลเหล่านี้อาจมีมากถึง 10 ยกกำลัง 500 แห่ง คือ 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 500 ตัว ไปลองเขียนนับกันดูเป็นเท่าไร แต่ละจักรวาลก็มีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ แตกต่างกันไป จักรวาลของเราเป็นเพียงอณูเล็กๆในหมู่จักรวาลทั้งหมดเท่านั้น

    สิ่งเหล่านี้ ?พระพุทธเจ้า? ทรงค้นพบเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีก่อนแล้ว ทรงตรัสไว้ใน ?จูฬนีสูตร? พระไตรปิฎก หน้า 215 เล่ม 20 ว่า

    ?ระบบสุริยะประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลาย โคจรไปร่วมกัน ดาราจักรมี 3 ขนาด คือ ดาราจักรอย่างเล็ก มีจำนวนนับพัน ดาราจักรอย่างกลาง มีจำนวนนับล้าน ดาราจักรอย่างใหญ่ มีจำนวนแสนโกฏิ และดาราจักรเหล่านี้ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับในที่สุด?

    ฟริตจอฟ คาปรา ผู้เขียนหนังสือ ?เต๋าแห่งฟิสิกส์? บอกว่า ทฤษฎีควอนตัม และทฤษฎีสัมพันธภาพ ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของเราคล้ายคลึงกับความเข้าใจของชาวพุทธและเต๋า เมื่อเอาสองทฤษฎีนี้มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เราพบว่า ?อนุภาคเหล่านี้มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลาและไม่มีตัวตนที่แท้ คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับหลักแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา?

    อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธ์อันยิ่งใหญ่ หลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วก็ออกมายอมรับว่า ?การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนา เป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์?

    ถามว่า แล้วทำไม ?พระพุทธเจ้า? จึงไม่ให้ความสำคัญกับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ คำตอบก็คือ ทรงเห็นว่าสิ่งที่ค้นพบนั้นเป็นความจริงทางธรรมชาติ แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น ทางเดียวที่จะหลุดพ้นได้ก็คือ ?มรรค? ที่นำไปสู่การนิพพานนั่นเอง


    จากหลักฐาน

    จูฬนีสูตร

    ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
    บังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ให้พันแห่งโลกธาตุ รู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

    ดูกรอานนท์
    นั้นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน ฯ

    ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งที่ ๒ ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขี สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พ้นแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า

    ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุ
    เท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ

    ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน

    ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขี สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู สถิตอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า

    ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำ
    โลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ


    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ

    ท่านพระอานนท์
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่งเทศนาที่พระองค์
    จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ


    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวท่านพระอานนท์


    พระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่ง มีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุ มหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้น ดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง

    ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสน
    โกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ
    แสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่ง
    พระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของ
    ข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้

    เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
    ท่านพระอุทายีได้กล่าวกับท่านพระอานนท์ว่า

    ดูกรอานนท์
    ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าว อย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้งพึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ


    จบอานันทวรรคที่ ๓



    *****************************

    พระพุทธเจ้ากับจักรวาล
     
  2. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ครั้งที่ ๑

    ครั้งที่ ๒

    ครั้งที่ ๓


    สาธุ ผมกราบอนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มีนาคม 2010
  3. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของ
    ข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้



    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าว อย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้งพึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ

    อนุโมทนาครับเป็นลาภของเราอย่างมากที่มีศาสดาเป็นผู้ทรงคุณเช่นนี้
     
  4. Kump

    Kump เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +508
     
  5. Kump

    Kump เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +508
    ยังงงอยู่เลยครับ มีใครพอที่จะแจกแจงเทียบเคียงได้บ้างครับ

    อนุโมทนาครับ
     
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)
    ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ
    คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
    ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

    ขนาดภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
    ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่

    ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด
    ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง)
    ก็ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป

    ก็แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูร ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
    (ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา
    ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้

    ขนาดภูเขาจักรวาล

    ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์
    สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่

    ขนาดของภพและทวีป
    ในโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็ เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น
    ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐
    สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)


    ๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง
    รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑
    ๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑
    ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า
    จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น)
    มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ
    โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล

    ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย
    "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
    กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า
    เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน
    ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว
    นรกขุมต่างๆ เทวโลกและพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

    กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา
    เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"

    ๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
    -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
    -แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
    -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาด
    ต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
    -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป"
    เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"
    -ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น
    ๒) ๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
    -มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
    -มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"
    ๓) ๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
    -มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้า
    และมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์
    มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
    -มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"
    ๔) ๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
    -มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้า
    และมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ
    ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)"
    ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
    -ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"

    ขอขอบคุณพระไตรปิฏกฉบับประชาชน

    สําหรับเรื่องรูปร่างหน้าตาของมนุษย์ต่างดาวในแต่ละทวีปนั้น ตามในพระไตรปิฏกและอรรถกถาต่างๆ ยืนยันว่ารูปร่างเหมือนมนุษย์เราเนี่ยแหละครับ เพราะพื้นฐานการเกิดบนดาวเขาก็อาศัยธาตุทั้ง 4 เหมือนชมพูทวีป (ดาวโลกเรา)
    ผมได้อ่านเจอในพระสูตรหนึ่ง กล่าวถึงโชติกะเศรษฐี ใครสนใจลองไปค้นอ่านได้ในพระไตรปิฏกครับ ท่านว่าโชติกะเศรษฐีนี้ มีบุญมาก เกิดมาเพื่อบํารุงพุทธศาสนาด้วย พอถึงเวลาที่ท่านจะมีภรรยา ปรากฏว่าหาคู่บารมีไม่ได้ เพราะกําลังบุญท่านสูงมาก ไม่มีหญิงคนไหนในโลกเทียบได้ที่จะมาเป็นภรรยาท่าน พระอินทร์ทราบดังนั้น ได้ไปนําหญิงสาวจากอุตกรุทวีปมาให้ เป็นภรรยา
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=31400
     
  7. Kump

    Kump เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอบคุณมากครับที่กรุณาช่วยแจกแจงรายละเอียดให้

    ผมมีข้อสงสัยว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่ในทุกจักรวาลเลยหรือเปล่าครับ(จักรวาลละพระองค์)
    หรือว่าในทั่วทั้งหมดทุกๆจักรวาลแล้วมีพระพุทธเจ้าประสูติได้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
     
  8. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    ขอขอบคุณพระไตรปิฏกฉบับประชาชน

    สําหรับเรื่องรูปร่างหน้าตาของมนุษย์ต่างดาวในแต่ละทวีปนั้น ตามในพระไตรปิฏกและอรรถกถาต่างๆ ยืนยันว่ารูปร่างเหมือนมนุษย์เราเนี่ยแหละครับ เพราะพื้นฐานการเกิดบนดาวเขาก็อาศัยธาตุทั้ง 4 เหมือนชมพูทวีป (ดาวโลกเรา)
    ผมได้อ่านเจอในพระสูตรหนึ่ง กล่าวถึงโชติกะเศรษฐี ใครสนใจลองไปค้นอ่านได้ในพระไตรปิฏกครับ ท่านว่าโชติกะเศรษฐีนี้ มีบุญมาก เกิดมาเพื่อบํารุงพุทธศาสนาด้วย พอถึงเวลาที่ท่านจะมีภรรยา ปรากฏว่าหาคู่บารมีไม่ได้ เพราะกําลังบุญท่านสูงมาก ไม่มีหญิงคนไหนในโลกเทียบได้ที่จะมาเป็นภรรยาท่าน พระอินทร์ทราบดังนั้น ได้ไปนําหญิงสาวจากอุตกรุทวีปมาให้ เป็นภรรยา
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=31400<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->แก้วโป่งข่ามคัดเกรด/ข้าวตอกระร่วง/วัตถุมงคลน้ำพี้ 0879979728 www.gmcities.com/<!-- google_ad_section_end -->


    ผมจำได้ว่าเคยอ่านเจอในหนังสือ ตามรอยพระพุทธเจ้าของคุณ บัญญ์ บงกช

    อุตกรุทวีป เป็นดินแดนที่ซ้อนอยู่กับโลกของเรา แต่ละเอียดก่วา

    จะว่ามนุษย์ต่างดาวก็ไม่เชิงนะครับ เพราะซ้อนทับกันอยู่
     
  9. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325

    คำถามนี้สุดยอดมาก

    ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

    ผมว่าคนตอบได้นี่โครตเก่งล่ะครับ
     
  10. ธาตุน้ำ

    ธาตุน้ำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +21
    ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา ... ที่ใดเป็นธรรมชาติ ที่นั้นย่อมมีธรรมะ เป็นธรรมดา
     
  11. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    สิ่งไหนพิจารณาแล้วทำให้ละได้คลายได้จากตัณหาอุปาทานทั้งหลาย ก็พิจารณา สิ่งไหนที่พิจารณาแล้วไม่เป็นสาระก็ อย่าไปใส่ใจเพราะไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่ตนเองเลย มีแต่เพิ่มอัตตา มานะ ทิฐิ ไปก็เท่านั้นครับ
     
  12. ck2548

    ck2548 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +37
    ลองไปอ่านพระสูตรที่พระโมคคลา หลงไปเจอพระพุทธเจ้าอีกองค์ที่จักรวาลอื่น
     
  13. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,083
  14. Kump

    Kump เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +508
    ลองอ่านดูครับ

    พระโมคัลลานะไปจักรวาลอื่นแล้วพบพระพุทธเจ้าอีกองค์จริงหรือไม่

    นายสุชน พิมพะสาลี
    :
    พระโมคัลลานะไปจักรวาลอื่นแล้วพบพระพุทธเจ้าอีกองค์จริงหรือไม่ครับ ผมเคยได้ฟังเทศน์หลวงปู่เกษมใน ตอน สอนชมรมพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ 8
    ในช่วงเวลา15.43นาทีเป็นต้นไป ในตอนนั้นหลวงปู่กำลังฉันอาหารอยู่และก็มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังถามเรื่องนี่ และในพระไตรปิฎกชุด๙๑เล่ม เล่ม๒๒/๓๑๖บอกว่าในโลกธาตุนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติเพียงขึ้น1องค์เท่านนั้น หรือเป็นไปได้หรือไม่ว่าพระโมคคัลลานะจะเข้าไปหลุมกาลเวลาของจักรวาลทำให้ได้ไปพบพระพุทธเจ้าองค์อนาคตและพระพุทธเจ้าองค์นั้นชื่อว่า "อมิตาภะ"
    เรื่องนี้ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า"สัพพัญญูตญาณ เหนือจักรวาล" และในในพระไตรปิฎกชุด๙๑เล่มมีเรืองนี้หรือไม่อย่างไรครับ

    พระพันธกานต์ อภิปญฺโญ:

    ธรรมชาตินี้กำหนดไว้ว่า ในวงเขตหมื่นจักรวาลจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นได้เพียงครั้งละหนึ่งพระองค์เท่านั้น
    ในวงเขตหมื่นจักรวาลนี้จะไม่มีพระพุทธเจ้าสองพระองค์อุบัติขึ้นพร้อมกันเด็ดขาด

    และสำหรับวงหมื่นจักรวาลในพุทธเขตของพระพุทธเจ้าสมณโคดมในปัจจุบันนี้
    ก็มีจักรวาลของพวกเรานี้เป็นศูนย์กลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่อุบัติขึ้นในวงหมื่นจักรวาลนี้
    จะต้องอุบัติที่จักรวาลแห่งนี้เท่านั้น และจะอุบัติขึ้นที่โลกตรงนี้แหละ

    แต่เมื่อกล่าวถึงจักรวาล พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จักรวาลนั้นไม่มีที่สุดคือนับไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าใด
    เมื่อจักรวาลนั้นประมาณไม่ได้เช่นนี้และเมื่อแบ่งจักรวาลออกเป็นวงละหมื่นๆ ก็นับไม่ได้อีกเหมือนกันว่าจะมีจำนวนเท่าใด
    และในวงหมื่นจักรวาลอื่นๆนั้นก็ไม่ได้ห้ามการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆที่นอกจากพระพุทธเจ้าสมณโคดมของเรานี้

    เพราะฉะนั้น เมื่อดูจากคำสอนของพระพุทธเจ้าในส่วนนี้แล้วก็ประมาณได้ว่า
    ในขณะนี้จะต้องมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆที่ยังดำรงพระชนม์อยู่ในวงหมื่นจักรวาลอื่นอันไกลโพ้นโน้นแน่นอน
    แต่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจะอยู่ตรงไหนและมีพระนามว่าอย่างไรนั้น อันนี้ไม่ทราบ

    ส่วนเรื่องของพระโมคคัลลานะไปต่างจักรวาลแล้วหลงนั้น เป็นเรื่องแต่งขึ้นในภายหลังของพวกที่นับถือนิกายมหายาน
    เพราะพวกมหายานก็รับทราบคำสอนของพระพุทธเจ้าในส่วนนี้ แล้วก็แต่งเสริมเติมไปตามจินตนาการของพวกเขา
    ให้มีพระพุทธเจ้าชื่อนี้ อยู่ตรงสถานที่ชื่ออย่างนี้แล้วก็ผูกเรื่องให้เชื่อมโยงกันขึ้นให้พระโมคคัลลานะซึ่งเป็นอัครสาวก
    ที่มีฤทธิ์มากออกไปท่องเที่ยวตามจักรวาลต่างๆแล้วก็หลงไปที่แดนสุขาวดีหาทางกลับไม่เจออะไรทำนองนี้แหละ

    ซึ่งเรื่องดังว่ามานี้ไม่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนานิกายเถรวาทแต่อย่างใด
    และนี่ก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าสมณโคดม เป็นเพียงเรื่องที่จินตนาการกันขึ้นมาในภายหลังของฝ่ายมหายาน

    ที่มา:
    <!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...