ความยึดมั่น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 8 มีนาคม 2010.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๐๕
    ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุ และอายตนะ

    ยังเป็นไปไม่ขาดสาย ท่านกล่าวว่า สังสาระ.

    -----------------------------------
    พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิต

    ประจำวันทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สุข ทุกข์ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น

    ลิ้มรส ถูกต้องกระทบสัมผัส คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น ซึ่งชาติก่อน ๆ อย่างนับ

    ไม่ถ้วนก็เคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว เคยเกิด เคยแก่ เคยเจ็บ เคยตาย เคยสุข เคยทุกข์

    มาแล้วทั้งนั้น
    ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ นามธรรม และ

    รูปธรรม

    เพราะฉะนั้นสังสารวัฏฏ์ จะยังหมดสิ้นไปไม่ได้ เนื่องจากว่ายังมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้

    มีการเกิดแล้วเกิดอีก ตายแล้วตายอีกอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ เพราะยังเป็นผู้มีกิเลส ยังละกิเลส

    อะไร ๆ ไม่ได้ นั่นเอง

    เมื่อได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม ฟังเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำ

    วัน สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปตามลำดับ ก็จะทำให้เป็นผู้มีความมั่นคงในความจริง

    ว่าทุกอย่างเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ก็ไม่พ้นไปจาก

    จิต เจตสิก และรูป เลย มีอยู่เพียงเท่านี้เอง ที่สมมติเป็นสัตว์ บุคคล เป็นคนนั้นคนนี้

    ก็เพราะมีสภาพธรรมเหล่านี้ แต่เพราะยังไม่เข้าใจ จึงมีความยึดถือผิดว่า เป็นตัวตน

    เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดที่พูดกันหรือสื่อสารกันอย่างเป็นปกติใน

    ทุก ๆ วัน ที่สำคัญคือความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ทุกขณะของชีวิต

    เป็นธรรม ครับ
    การเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เกาะลังกา
    เมื่อทำสังคายนาครั้ง ๓ สำเร็จแล้ว ท่านพระโมคคลีบุตรติสสเถระคิดว่า ต่อไปพระ
    ศาสนาจะตั้งมั่นอยู่ที่ไหน ก็ทราบว่าจะตั้งมั่นในปัจจันตชนบททั้งหลาย จึงได้ส่งพระ
    ศาสนทูตไปประกาศพระศาสนา ๙ สาย (แต่ละแห่งมีพระภิกษุร่วมคณะพอครบสงฆ์ที่
    จะให้อุปสมบท) คือ
    ๑. พระมัชฌันติกะ ไปกัสมีร - คันธารรัฐ
    ๒. พระมหาเทวะ ไปมหิงสกมณฑล
    ๓. พระรักขิตะ ไปแคว้นวนวาสี
    ๔. พระโยนกธรรมรักขิต ไปอปรันตชนบท
    ๕. พระมหาธรรมรักขิต ไปมหารัฐ
    ๖. พระมหารักขิต ไปรัฐโยนก
    ๗. พระมัชฌิมะ ไปหิมวันต์ (ประเทศจีน)
    ๘. พระโสณะและอุตตระ ไปสุวรรณภูมิ (บางมติว่า สิยามรัฐ คือประเทศไทย)
    ๙. ท่านพระมหินทะ ไปตัมพปัณณิทวีป (เกาะลังกา)
    ข้อมูลจาก “กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก” ของพระพรหมคุณาภรณ์
    (ป.อ.ปยุตโต)
    และสรุปข้อความจากอรรถกถา พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาคได้ว่า
    เมื่อพระมหินทรเถระได้รับมอบหมายจากพระอุปัชฌาย์ คือ ท่านพระโมคคลีบุตรติสส-
    เถระให้ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เกาะลังกาแล้ว ก็คิดว่าถึงเวลาสมควรที่จะเดิน
    ทางไปหรือไม่ ก็รู้ว่ายังไม่สมควร เพราะพระเจ้ามุฏสีวะทรงพระชราภาพมาก ไม่สามารถ
    ยกย่องเชิดชูพระศาสนาได้ ได้รอเวลาถึง ๗ เดือน จนพระเจ้ามุฏสีวะเสด็จสวรรคต
    พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ต่อมา และพระเจ้าอโศกได้ทรง
    ส่งเครื่องบรรณาการเป็นจำนวนมากไปถวาย พร้อมกับธรรมบรรณาการมีข้อความว่า
    “หม่อมฉันได้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ว่า เป็นสรณะที่พึ่งแล้วได้แสดงตน
    เป็นอุบาสกในพระศาสนาแห่งพระศากยบุตร ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดแห่งนรชน ถึง
    พระองค์ท่านก็จงยังจิตให้เลื่อมใสในอุดมวัตถุทั้ง ๓ เหล่านี้เถิด ขอให้ทรงเข้าถึงรัตนะ
    ทั้ง ๓ นั้นว่าเป็นสรณะที่พึ่งด้วยพระศรัทธาเถิด”

    และในปี พ.ศ. ๒๓๖ พระมหินทรเถระพร้อมกับพระอิฏฏิยเถระ พระอุตติยเถระ พระภัท
    ทสาสเถระ พระสัมพลเถระ สุมนสามเณร (โอรสของพระนางสังฆมิตตา) ซึ่งล้วนเป็น
    พระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา และภัณฑกอุบาสก ผู้ได้เห็นสัจจะแล้ว รวมเป็น ๗
    ท่าน ได้เหาะไปทางอากาศ ไปที่มิสสกบรรพต หรือเจติยบรรพต แปลว่า ภูเขาแห่ง
    เจดีย์ อยู่ทางทิศตะวันออกของอนุราธปุระ ในปัจจุบันเรียกว่า มิหินตาเล หรือ มหินทต
    เล ซึ่งหมายถึงสถานที่ที่พระมหินทเถระพบกับพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ จอมกษัตริย์
    แห่งศรีลังกา
    เมื่อท่านทั้งสองได้พบกัน พระมหินทรเถระได้ถวายพระพรว่า “บัดนี้ชมพูทวีปรุ่งเรือง
    ด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ สะพัดอบอวลไปด้วยลมฤษี ในชมพูทวีปนั้นมีพระอรหันต์ พุทธ
    สาวกเป็นอันมาก ซึ่งเป็นมีผู้มีวิชชา ๓ และได้บรรลุฤทธิ์ เชี่ยวชาญทางเจโตปริยญาณ
    สิ้นอาสวะแล้ว”
    เมื่อพระเถระทดสอบพระปัญญาของพระราชาแล้ว ทราบว่าทรงเป็นบัณฑิต จักทรง
    สามารถรู้ธรรมได้ จึงแสดงจูฬหัตถิปโทปมสูตร ในเวลาจบกถา พระราชาพร้อมด้วยข้า
    ราชบริพารประมาณสี่หมื่นดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์
    พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในเกาะลังกา​
    เมื่อพระราชาเสด็จกลับแล้ว พระเถระมอบให้สุมนสามเณรประกาศเวลาฟังธรรมทั่ว
    เกาะลังกา เสียงโฆษณานั้นกระฉ่อนไปถึงพรหมโลก เมื่อพระเถระเห็นเทวดามาประชุม
    กันมากมาย จึงแสดงสมจิตตสูตร ในเวลาจบกถา เหล่าเทวดาประมาณอสงไขยหนึ่งได้
    บรรลุธรรม นาคและสุบรรณมากมายก็ได้ตั้งอยู่ในสรณคมน์

    วันรุ่งขึ้นพระราชาส่งรถไปรับพระเถระ ท่านไม่ขึ้นรถ แต่เหาะมาทางอากาศ และไปลง
    ที่ปฐมเจดีย์ ซึ่งอยู่ทิศตะวันออกของเมืองอนุราธปุระ ที่เรียกว่า พระปฐมเจดีย์ เพราะ
    เป็นเจดีย์ที่ประชาชนสร้างไว้ ในสถานที่พระเถระทั้งหลายลงครั้งแรกนั่นเอง
    พระเถระเห็นการบูชาและสักการะของพระราชาแล้ว ก็คิดว่า พระพุทธศาสนาจักแผ่ไป
    ทั่วลังกาทวีป และตั้งมั่นไม่หวั่นไหวดุจแผ่นดิน และได้แสดงเปตตวัตถุ วิมานวัตถุ และ
    สัจจสังยุต โปรดพระราชาและชาวเกาะ สตรีในวัง ๕๐๐ ที่มีพระนางอนุฬาเป็นประมุข
    ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน และแสดงอาสิวิโสปมสูตร มีผู้บรรลุพระโสดาบัน ๑,๐๐๐ คน

    ในวันต่อมา พระเถระ แสดงธรรม มีผู้บรรลุธรรม ๒,๕๐๐ คน
    พระราชาถวายอุทยานนันทวันเป็นอารามแห่งแรกบนเกาะลังกา พระเถระแสดงธรรมที่
    อุทยานนี้ทุกวันเป็นเวลา ๗ วัน มีผู้บรรลุธรรม ๘,๕๐๐ คน ตั้งแต่นั้นมาอุทยานนันทวัน
    ก็ได้ชื่อว่า โชติวัน เพราะอธิบายว่า เป็นสถานที่พระศาสนาปรากฏความรุ่งเรืองขึ้น
    อำมาตย์ชื่อ อริฏฐะ กับพี่ชายและน้องชายรวม ๕๕ คน ได้ออกบวช และทำให้ราช
    ตระกูลประกอบด้วยเจ้าพี่เจ้าน้อง ๑๐ องค์ เลื่อมใสแล้ว จำพรรษาที่เจติยบรรพต สั่ง
    สอนมหาชน ในเวลานั้นได้มีพระอรหันต์ ๖๒ รูป เข้าจำพรรษาแรกในเจติยบรรพต

    เอาหละนะต่อไปเดี๋ยวจะนำเสนอพระอภิธรรมครับ
    พระอภิธรรม คืออะไร
    หลังจากที่สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์เป็นเวลายาวนานถึง ๔๕ พรรษา คาสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ทั้งหมดรวบรวมได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เรียกว่า พระไตรปิฎก ซึ่งบรรจุคาสอนและเรื่องราวของ พระพุทธศาสนาไว้โดยละเอียด แบ่งออกเป็น ๓ ปิฎกหรือ ๓ หมวด ด้วยกันคือ
    ๑. พระวินัยปิฎก
    ๒. พระสุตตันตปิฎก
    ๓. พระอภิธรรมปิฎก
    พระวินัยปิฎก หรือเรียกสั้นๆ ว่า พระวินัย เป็นคาสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับศีลหรือสิกขาบท (บทบัญญัติ) ตลอดจนพิธีกรรมและ ธรรมเนียมของสงฆ์ อันเป็นกฎระเบียบที่พระภิกษุสงฆ์และพระภิกษุณี สงฆ์จะต้องปฏิบัติ รวมถึงพุทธประวัติบางตอนและประวัติการทาสังคายนา มีทั้งสิ้น ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น ๕ คัมภีร์ เรียกโดยย่อว่า อา. ปา. มะ. จุ. ปะ. (หัวใจพระวินัย) ได้แก่
    ๑. คัมภีร์อาทิกัมมิกะ ว่าด้วยอาบัติปาราชิก สังฆาทิเสส อนิยต และต้น บัญญัติในสิกขาบทต่างๆ
    ๒. คัมภีร์ปาจิตตีย์ ว่าด้วยอาบัติปาจิตตีย์ ซึ่งเป็นอาบัติอย่างเบา
    ๓. คัมภีร์มหาวรรค ว่าด้วยพุทธประวัติตอนปฐมโพธิกาล และพิธีกรรมทาง พระวินัย
    ๔. คัมภีร์จุลวรรค ว่าด้วยพิธีกรรมทางพระวินัยต่อจากมหาวรรค ตลอดจนความเป็นมาของภิกษุณี และประวัติการทาสังคายนา
    ๕. คัมภีร์ปริวาร ว่าด้วยข้อเบ็ดเตล็ดทางพระวินัย
    พระสุตตันตปิฎก หรือเรียกสั้นๆ ว่า พระสูตร เป็นหมวดที่ประมวล พระธรรมเทศนา คาบรรยายธรรม และเรื่องเล่าต่างๆ อันยักเยื้องตามบุคคล และโอกาส เป็นธรรมที่แสดงโดยใช้สมมุติโวหาร คือยกสัตว์ บุคคล กษัตริย์ เทวดา เป็นต้น มาแสดง มีคาสอนทั้งสิ้น ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบˆงออก เป็น ๕ นิกาย เรียกโดยย่อว่า ที. มะ. สัง. อัง. ขุ. (หัวใจพระสูตร) ได้แก่
    ๑. ทีฆนิกาย ประกอบด้วย พระสูตรขนาดยาว จานวน ๓๔ สูตร
    ๒. มัชฌิมนิกาย ประกอบด้วย พระสูตรขนาดปานกลางจานวน ๑๕๒ สูตร
    ๓. สังยุตตนิกาย ประกอบด้วย พระสูตรที่จัดเป็นหมวดหมู่ เรียกว่า สังยุตต์ มีชื่อตามเนื้อหา เช่น เกี่ยวกับแคว้นโกสล เรียกว่า โกสลสังยุตต์ เกี่ยวกับ มรรคเรียกว่า มรรคสังยุตต์ มีจานวน ๗,๗๖๒ สูตร
    ๔. อังคุตตรนิกาย ประกอบด้วย พระสูตรที่จัดหมวดหมู่ตามจานวนข้อของ หลักธรรม เรียกว่า นิบาต เช่น เอกนิบาต ว่าด้วยหลักธรรมที่มี หัวข้อเดียว จนถึงหลักธรรมที่มี ๑๑ หัวข้อที่เรียกว่า เอกาทสกนิบาต ในนิกายนี้มีจานวนพระสูตร ๙,๕๕๗ สูตร
    ๕. ขุททกนิกาย ประกอบด้วยภาษิตเบ็ดเตล็ด ประวัติและนิทานต่างๆ นอกเหนือจากที่จัดไว้ในนิกายทั้ง ๔ ข้างต้น แบ่งออกเป็นหมวดได้ ๑๕ หมวดคือ
    ๑) ขุททกปาฐะ แสดงบทสวดเล็กๆ น้อยๆ โดยมากเป็นบทสวดสั้นๆ
    ๒) ธรรมบท แสดงคาถาพุทธภาษิต ประมาณ ๓๐๐ คาถา
    ๓) อุทาน แสดงพระพุทธดารัสที่เปล่งอุทานเป็นภาษิตโดยมีเนื้อเรื่อง ประกอบตามสมควร
    ๔) อิติวุตตก แสดงคาอ้างอิงว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้นอย่างนี้
    ๕) สุตตนิบาต เป็นหมวดที่รวบรวมพระสูตรเบ็ดเตล็ดไว้ด้วยกัน
    ๖) วิมานวัตถุ แสดงเรื่องราวของผู้ได้วิมานและแสดงเหตุที่ทาให้ได้ วิมานไว้ด้วย
    ๗) เปตวัตถุ แสดงเรื่องราวของเปรตที่ได้ทาบาปกรรมไว้
    ๘) เถรคาถา แสดงภาษิตต่างๆ ของพระอรหันตสาวก
    ๙) เถรีคาถา แสดงภาษิตต่างๆ ของพระอรหันตสาวิกา
    ๑๐) ชาดก เป็นหมวดที่ประมวลคาถาธรรมภาษิตเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต ชาติของพระพุทธองคOE
    ๑๑) นิทเทส เป็นหมวดที่ว่าด้วยเรื่องของนิทเทส (การชี้แจง, การแสดง, การจาแนก) แบ่งเป็นมหานิทเทส และจุลนิทเทส
    ๑๒) ปฏิสัมภิทามรรค กล่าวถึงการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความมีปัญญาอัน ประเสริฐ
    ๑๓) อปทาน หมวดนี้จะกล่าวถึงอัตตชีวประวัติของพระพุทธองคOEและ พระอรหันตสาวกและอรหันตสาวิกา
    ๑๔) พุทธวงศ์ แสดงประวัติของอดีตพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์
    ๑๕) จริยาปิฎก แสดงเรื่องราวการบาเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า
    พระอภิธรรมปิฎก หรือเรียกสั้นๆ ว่า พระอภิธรรม เป็นหมวดที่ ประมวลพุทธพจน์อันเกี่ยวกับหลักธรรมที่เป็นวิชาการว่าด้วยเรื่องของ ปรมัตถธรรม๑ ล้วนๆ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อกล่าวถึงบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ทางพระอภิธรรมถือว่าบุคคลนั้นไม่มี มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ประชุมรวมกันของ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น ดังนั้น ธรรมะในหมวดนี้จึงไม่มีเรื่องราว ของบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่ซึ่งเป็นสิ่งสมมุติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย
    พระอภิธรรมปิฎกมีอยู่ทั้งสิ้น ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น ๗ คัมภีร์ เรียกโดยย่อว่า สัง. วิ. ธา. ปุ. กะ. ยะ. ปะ. (หัวใจพระอภิธรรม) ได้แก่
    ๑. คัมภีร์ธัมมสังคณี ว่าด้วยธรรมะที่ประมวลไว้เป็นหมวดเป็นกลุ่ม เรียกว่า กัณฑ์ มีทั้งหมด ๔ กัณฑ์ คือ
    ๑) จิตตวิภัตติกัณฑ์ แสดงการจาแนกจิตและเจตสิก เป็นต้น
    ๒) รูปวิภัตติกัณฑ์ แสดงการจาแนกรูป เป็นต้น
    ๓) นิกเขปราสิกัณฑ์ แสดงธรรมที่เป็นแม่บท (มาติกา) ของ ปรมัตถธรรม
    ๔) อัตถุทธารกัณฑ์ แสดงการจาแนกเนื้อความตามแม่บทของ ปรมัตถธรรม
    ๒. คัมภีร์วิภังค์ ว่าด้วยการจาแนกมาติกาในคัมภีร์ธัมมสังคณี ทั้งติกมาติกา ๒๒ หมวด และทุกมาติกา ๑๐๐ หมวด โดยแบ่งเป็น ๑๘ วิภังค์ เช่น ขันธวิภังค์ จาแนกขันธ์, ๒ อายตนวิภังค์ จาแนกอายตนะ, ธาตุวิภังค์ จาแนกธาตุ, สัจจวิภังค์ จาแนกสัจจะ, อินทริยวิภังค์ จาแนกอินทรีย์, ปฏิจจสมุปบาทวิภังค์ จาแนกปฏิจจสมุปบาท, สติปัฏฐานวิภังค์ จาแนก สติปัฏฐาน เป็นต้น
    ๓. คัมภีร์ธาตุกถา ว่าด้วยคาอธิบายเรื่องขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ และธาตุ
    ๑๘ โดยนามาติกาของคัมภีร์นี้จานวน ๑๐๕ บท และมาติกาจาก คัมภีร์ธัมมสังคณีจานวน ๒๖๖ บท (ติกมาติกา ๖๖ บท ใน ๒๒ หมวด และทุกมาติกา ๒๐๐ บท ใน ๑๐๐ หมวด) มาแสดงด้วยนัยต่างๆ (จานวน ๑๔ นัย) เพื่อหาคาตอบว่าสภาวธรรมบทนั้นๆ สงเคราะห์เข้าได้กับ ขันธ์เท่าไร เข้าได้กับอายตนะเท่าไร และเข้าได้กับธาตุเท่าไร เข้าไม่ได้ กับขันธ์เท่าไร เข้าไม่ได้กับอายตนะเท่าไร และเข้าไม่ได้กับธาตุเท่าไร
    ๔. คัมภีร์ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยการบัญญัติ (การประกาศ แสดง หรือชี้แจง) ในเรื่อง ๖ เรื่อง คือ (๑) ขันธบัญญัติ การบัญญัติเรื่องขันธ์ (๒) อายตน บัญญัติ การบัญญัติเรื่องอายตนะ (๓) ธาตุบัญญัติ การบัญญัติเรื่องธาตุ (๔) สัจจบัญญัติ การบัญญัติเรื่องสัจจะ (๕) อินทริยบัญญัติ การบัญญัติ เรื่องอินทรีย์ (๖) ปุคคลบัญญัติ การบัญญัติเรื่องบุคคล
    ๕. คัมภีร์กถาวัตถุ ว่าด้วยการโต้วาทะเพื่อชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นว่าวาทกถา (ความเห็น) ของฝ่ายปรวาที (พวกภิกษุในนิกายที่แตกไปจาก เถรวาท ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช) จานวน ๒๒๖ กถา ล้วนผิด พลาดคลาดเคลื่อนจากพระพุทธพจน์ดั้งเดิมที่ภิกษุฝ่ายเถรวาทยึดถือ
    ปฏิบัติอยู่ วิธีการโต้วาทะใช้หลักตรรกศาสตร์ที่น่าสนใจมาก นับเป็น พุทธตรรกศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งมีในคัมภีร์นี้เท่านั้น
    ๖. คัมภีร์ยมก ว่าด้วยการปุจฉา-วิสัชนา สภาวธรรม ๑๐ หมวด ด้วย วิธีการยมก คือการถาม-ตอบ เป็นคู่ๆ ซึ่งเป็นวิธีการเฉพาะของคัมภีร์ยมก สภาวธรรม ๑๐ หมวด ได้แก่ (๑) หมวดมูล (สภาวธรรมที่เป็น เหตุ) (๒) หมวดขันธ์ (๓) หมวดอายตนะ (๔) หมวดธาตุ (๕) หมวด สัจจะ (๖) หมวดสังขาร (๗) หมวดอนุสัย (๘) หมวดจิต (๙) หมวด สภาวธรรมในกุสลติกะ เรียกสั้นๆ ว่า หมวดธรรม (๑๐) หมวดอินทรีย์ สภาวธรรม ๑๐ หมวดนี้ทาให้แบ่งเนื้อหา
    ของคัมภีร์ยมกออกเป็น ๑๐ ยมก เรียกชื่อตามหมวดสภาวธรรมที่เป็นเนื้อหา คือ (๑) มูลยมก (๒) ขันธยมก (๓) อายตนยมก (๔) ธาตุยมก (๕) สัจจยมก (๖) สังขาร ยมก (๗) อนุสยยมก (๘) จิตตยมก (๙) ธัมมยมก (๑๐) อินทริยยมก
    ๗. คัมภีร์ปัฏฐาน ว่าด้วยการจาแนกสภาวธรรมแม่บท หรือ มาติกา ทั้ง ๒๖๖ บท (๑๒๒ หมวด) ในคัมภีร์ธัมมสังคณี โดยอานาจปัจจัย๒๔ ประการ๓ มี เหตุปัจจัย เป็นต้น เพื่อให้เห็นว่าสภาวธรรมทั้งหลาย ปรากฏเกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัยทั้งสิ้น มิได้เกิดจากการบงการของ ผู้ใด แต่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ที่เรียกว่า จิตตนิยาม กรรมนิยาม และธรรมนิยาม
    สรุปแล้ว พระอภิธรรมก็คือธรรมะหมวดที่ ๓ ในพระไตรปิฎกที่ สอนให้รู้จักธรรมชาติอันแท้จริงที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายอันได้แก่ จิต เจตสิก รูป และรู้จักพระนิพพานซึ่งเป็นจุดหมายอันสูงสุดในพระพุทธศาสนา
    ธรรมชาติทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพานนี้รวมเรียกว่า ปรมัตถธรรม หากแปลตามศัพท์ คาว่า อภิธัมม หรือ อภิธรรม แปลว่าธรรมอัน ประเสริฐ, ธรรมอันยิ่ง, ธรรมที่มีอยู่แท้จริงปราศจากสมมุติ
    เนื้อความในพระอภิธรรมเกือบทั้งหมด จะกล่าวถึงปรมัตถธรรม ล้วนๆ โดยไม่มี บัญญัติธรรม (สมมุติโวหาร) เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงควร ทาความเข้าใจไว้ในเบื้องต้นก่อนว่า ปรมัตถธรรม และ บัญญัติธรรม นั้น ต่างกันอย่างไร
    ความหมายของ ปรมัตถธรรม
    ปรมัตถธรรม คือ ธรรมชาติที่เป็นความจริงแท้แน่นอน ที่ดารง ลักษณะเฉพาะของตนไว้โดยไม่ผันแปรเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมที่ปฏิเสธ ความเป็นสัตว์ ความเป็นบุคคล ความเป็นตัวตนโดยสิ้นเชิง มี ๔ ประการ คือ
    ๑. จิต ๒. เจตสิก ๓. รูป ๔. นิพพาน
    ซึ่งมีความหมายโดยย่อดังนี้
    จิต คือธรรมชาติที่ทาหน้าที่เห็น, ได้ยิน, รับกลิ่น, รับรส, รู้สัมผัส ถูกต้อง ตลอดจนธรรมชาติที่ทาให้เกิดการคิด นึก สภาวะของจิตมีทั้งหมด ๘๙ หรือ ๑๒๑ อยˆาง (โดยพิสดาร) แต่เมื่อกล่าวโดยลักษณะแล้วมีเพียง ๑ เท่านั้น คือ รู้อารมณ์ (อารมณ์ในที่นี้หมายถึง รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สิ่งต่าง ๆ และเรื่องราวต่างๆ ที่จิตไปรับรู้)
    จิตเป็นนามธรรม และมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น วิญญาณ, มโน, มนัส, มนินทรีย์, มโนธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ และ มนายตนะ เป็นต้น
    เจตสิก คือ ธรรมชาติที่ประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิต ทาให้เกิดความ รู้สึก นึก คิด ที่แตกต่างกัน ทั้งทางที่ดีและไม่ดี มีทั้งหมด ๕๒ ลักษณะ เจตสิกเป็นนามธรรม ที่เกิดร่วมกับจิต คือเกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และอาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต สภาพของจิต เป็นเพียงประธานในการรู้อารมณ์ แต่การที่จิตโกรธ หรือจิตโลภ เป็นเพราะ มีเจตสิกเข้าประกอบปรุงแต่งให้เกิดความโกรธหรือความโลภนั่นเอง จิต เปรียบเสมือนเม็ดยา เจตสิก
    เปรียบเสมือนตัวยาที่อยู่ในเม็ดยา จิตเกิดโดย ไม่มีเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกเกิดโดยไม่มีจิตก็ไม่ได้เช่นกัน
    เนื่องจาก จิต และ เจตสิก เป็นสิ่งที่ต้องเกิดร่วมกันตลอดเวลา ดังนั้น การอธิบายบางแห่งในหนังสือเล่มนี้จึงเขียนว่า •จิต+เจตสิกŽ เพื่อให้ระลึก ไว้อยู่เสมอว่าจิตและเจตสิกนั้นเป็นธรรมชาติที่ต้องเกิดร่วมกัน ต้องอิง อาศัยซึ่งกันและกัน และไม่สามารถแยกออกจากกันได้
    รูป คือ ธรรมชาติที่แตกดับ ย่อยยับ สลายไปด้วยความเย็นและ ความร้อน ในร่างกายของคนเราและสัตว์ทั้งหลายนั้นมีรูปประชุมกันอยู่ ทั้งหมด ๒๘ ชนิด และรูปที่ประชุมกันอยู่นี้แต่ละรูปต่างก็แตกดับย่อยยับ สลายไปตลอดเวลา หาความเที่ยงแท้ถาวรไม่ได้เลย
    นิพพาน เป็นธรรมชาติที่พ้นจากกิเลสเครื่องร‰อยรัด พ้นจากการ เวียนว่ายตายเกิด นิพพานโดยปริยายมี ๒ ลักษณะคือ
    ๑. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ยังเป็นไปกับขันธ์ ๕ หมายถึง การที่ ประหาณกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว (กิเลสนิพพาน) แต่ขันธ์ ๕ ยังมีการเกิดดับสืบต่ออยู่ (ยังมีชีวิตอยู่)
    ๒. อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ปราศจากขันธ์ ๕ ได้แก่นิพพานของพระอรหันต์ (ผู้หมดจดจากกิเลส) และสิ้นชีวิตไปแล้ว (คือ กิเลสก็ไม่เหลือ ขันธ์ ๕ ก็ไม่เหลือ) หรือที่เรียกว่า ปรินิพพาน (ปริ = ทั้งหมด) เมื่อ ปรินิพพานแล้ว จิต+เจตสิกและรูปจะหยุดการสืบต่อและดับลงโดยสิ้นเชิง (คือเมื่อปรินิพพานไปแล้วก็จะไม่มีการเกิดอีกหรือไม่มีภพชาติต่อไปอีก)
    นิพพาน เป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชน ทั้งหลายจะต้องพยายามเข้าถึงให้จงได้จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธสาวก เป็น อริยบุคคล และเป็นทายาทผู้รับมรดกธรรมในพุทธศาสนานี้
    ความหมายของ บัญญัติธรรม
    บัญญัติธรรม คือ สิ่งที่มนุษย์บัญญัติขึ้น เพื่อสื่อสารให้เข้าใจความหมายซึ่งกันและกัน เช่น ชื่อ นายมี นางมา สีเขียว สีแดง ทิศเหนือ ทิศใต้ วันจันทรOE วันอังคาร เดือน ๘ เดือน ๑๐ ป•ชวด ป•ฉลู เวลาเช้า เวลาเย็น เวลา ๒๔.๐๐ น. พลเอก อธิบดี รัฐมนตรี เหรียญ ๕๐ สตางค์ ธนบัตร ๑๐๐ บาท ระยะทาง ๑ กิโลเมตร น้าหนัก ๑ กิโลกรัม เนื้อที่ ๑ ไร่ ล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้ท่านเรียกว่า บัญญัติธรรม
    แม้แต่ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หนังสือ ปากกา นาฬิกา บ‰าน โตŠะ เก‰าอี้ แก้วน้า ช้อน ชาม พัดลม วิทยุ เกวียน เรือ รถยนต์ คน และสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ก็จัดเป็นบัญญัติธรรม เช่นกัน
    ปรมัตถธรรมเป็นธรรมที่อยู่เหนือสมมุติบัญญัติ
    หากไม่มีมนุษย์เกิดขึ้นในโลกนี้ ความหมายของสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์บัญญัติขึ้นว่าเป็นนั่นเป็นนี่ มีชื่อเรียกอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ย่อมไม่เกิดขึ้นเช่นกัน แม้แต่ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้า พื้นดิน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฯลฯ ก็เป็นเพียงธรรมชาติ ที่ปราศจากความหมาย ปราศจากชื่อ คือเป็นแต่เพียงสภาวะที่เกิดจากการประชุมกันของมหาภูตรูปทั้ง ๔๔ อันเป็นรูปธรรม(รูป) ที่ปราศจากนามธรรม(จิต+เจตสิก) ซึ่งเป็นสภาวะปรมัตถ์(ปรมัตถธรรม) ที่พ้นจากสมมุติบัญญัติโดยสิ้นเชิง
    ส่วนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนั้น หากกล่าวในแง่ปรมัตถธรรมแล้ว ถือว่าไม่มีตัวตน ไม่มี นายมี ไม่มี นางมา มีแต่รูปธรรม (รูป) และนามธรรม (จิต+เจตสิก) มาประชุมกันเท่านั้น
    ดังนั้น ไม่ว่าตัวเราหรือผู้อื่นซึ่งรวมถึงสัตว์ทั้งหลายด้วยนั้น เมื่อกล่าวในแง่ปรมัตถธรรมหรือธาตุแท้ตามธรรมชาติแล้ว จะมีส่วนประกอบอยู่ ๓ ส่วนเท่านั้นคือ
    ๑. จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ๒. เจตสิก คือ ธรรมชาติที่ประกอบปรุงแต่งจิตมี ๕๒ ลักษณะ ๓. รูป คือ องค์ประกอบ ๒๘ ชนิดที่รวมกันขึ้นเป็นกาย
    จะเห็นได้ว่า คนเราทุกคนและสัตว์ทั้งหลายนั้น มีส่วนประกอบเหมือนกันคือ
    เราก็มี จิต เจตสิก รูป เขาก็มี จิต เจตสิก รูป สัตว์ทั้งหลายก็มี จิต เจตสิก รูป
    จะมีความแตกต่างกันก็ตรงที่รูปร่างหน้าตาผิวพรรณ ซึ่งถูกจาแนกให้ แตกต่างกันด้วยอานาจของกรรมที่กระทาไว้ในอดีต
    จิต+เจตสิก และรูป มีลักษณะสามัญตามธรรมชาติ (สามัญลักษณะ) อยู่ ๓ ประการคือ
    ๑. อนิจจลักษณะ คือมีลักษณะที่ไม่เที่ยงไม่คงที่ ต้องเปลี่ยนแปลงอยูˆ ตลอดเวลา
    ๒. ทุกขลักษณะ คือมีลักษณะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได‰ เกิดขึ้นแล้วต้อง ดับไปอยู่ตลอดเวลา
    ๓. อนัตตลักษณะ คือมีลักษณะที่มิใช่ตัว มิใช่ตน ไม่สามารถบังคับบัญชาได้
    สามัญลักษณะทั้ง ๓ นี้ เป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน เป็นกฎธรรมชาติ เรียกว่า ไตรลักษณ์
    โดยสรุปแล้ว จิต+เจตสิก และรูป ที่ประกอบขึ้นเป็นบุคคลหรือเป็น สัตว์ใดๆ ก็ตามนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มีแก่นสารอะไรเลย เป็นเพียงการ ประชุมกันของส่วนประกอบที่มีความไม่เที่ยง เกิดดับ เกิดดับสืบตˆอกันอย่าง รวดเร็ว (ชั่วลัดนิ้วมือ จิตมีการเกิดดับแสนโกฏิขณะ หรือหนึ่งล้านล้านครั้ง) เป็นสภาพที่หาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของผู้ใด ว่างเปล่าจากความเป็นคนนั้นคนนี้ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ว่างเปล่าจากความเป็นนั่นเป็นนี่ตามที่สมมุติกันขึ้นมา แต่เป็นสภาวธรรมอันเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ขึ้นกับเหตุ ขึ้นกับปัจจัย พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม ปรมัตถธรรมเหล่านี้ก็คงมีอยู่ตามธรรมชาติ พระพุทธองค์เป็นแต่เพียงผู้ทรงค้นพบ และนามาเปิดเผยให้เราทั้งหลายได้ทราบเท่านั้น
    (หากต้องการทราบเนื้อหาอันลึกซึ้งของปรมัตถธรรมทั้ง ๔ ก็ต้องศึกษา พระอภิธรรมโดยละเอียดต่อไป)
    ประวัติพระอภิธรรม
    ในสัปดาห์ที่ ๔ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรง พิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับพระอภิธรรมซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับปรมัตถธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) อันเป็นแก่นของธรรมะในพระพุทธศาสนาอยู่ตลอด ๗ วัน ในขณะที่ทรงพิจารณาเรื่องของเหตุ เรื่องของปัจจัยในปรมัตถธรรมอันเป็นที่มาของคัมภีร์ปัฏฐานอยู่นั้น ก็ปรากฏฉัพพรรณรังสี (รัศมี ๖ ประการ) มีสีเขียว
    สีเหลือง สีแดง สีขาว สีมˆวง และสีเลื่อมพราย เหมือนแก้วผลึก แผ่ออกจากพระวรกายอย่างน่าอัศจรรย์
    ในช่วง ๖ พรรษาแรกของการประกาศศาสนา พระพุทธองค์ยังมิได้ ทรงตรัสสอนพระอภิธรรมแก่ผู้ใด เพราะพระอภิธรรมเป็นธรรมะที่เกี่ยวข้อง กับปรมัตถธรรมล้วนๆ ยากแก่การที่จะอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย บุคคลที่ จะรับอรรถรสของพระอภิธรรมได้นั้นต้องเป็นบุคคลที่ประกอบด้วยศรัทธา อันมั่นคงและได้เคยสั่งสมบารมีอันเกี่ยวกับปัญญาในเรื่องนี้มาบ้างแล้วแต่ กาลก่อน แต่ในช่วงต้นของการประกาศศาสนานั้นคนส่วนใหญ่ยังมีศรัทธา และมีความเชื่อในพระพุทธศาสนาน้อย ยังไม่พร้อมที่จะรับคาสอนเกี่ยวกับปรมัตถธรรมซึ่งเป็นธรรมะอันลึกซึ้งได้ พระองค์จึงยังไม่ทรงแสดงให้ ทราบเพราะถ้าทรงแสดงไปแล้วความสงสัยไม่เข้าใจหรือความไม่เชื่อย่อมจะ เกิดแก่ชนเหล่านั้น เมื่อมีความสงสัยไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนต่อพระอภิธรรมได้ ซึ่งจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
    ล่วงมาถึงพรรษาที่ ๗ พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงพระอภิธรรมเป็น ครั้งแรก โดยเสด็จขึ้นไปจาพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทดแทนคุณ ของพระมารดาด้วยการแสดงพระอภิธรรมเทศนาโปรดพุทธมารดา ซึ่งได‰ สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ประสูติพระองค์ได้ ๗ วัน และได้อุบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตมีพระนามว่า สันดุสิตเทพบุตร ในการแสดงธรรมครั้งนี้ได้มีเทวดาและพรหมจากหมื่นจักรวาลจานวนหลายแสนโกฏิ มาร่วมฟังธรรมด้วย โดยมีสันดุสิตเทพบุตรเป็นประธาน ณ ที่นั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรม แก่เหล่าเทวดาและพรหมด้วย วิตถารนัย คือ แสดงโดยละเอียดพิสดาร ตลอดพรรษากาล คือ ๓ เดือนเต็ม
    สาหรับในโลกมนุษย์นั้น พระองค์ได้ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเป็นองค์ แรก คือในระหว่างที่ทรงแสดงธรรมอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นพอได้เวลาบิณฑบาต พระองค์ก็ทรงเนรมิตพุทธนิมิตขึ้นแสดงธรรมแทนพระองค์ แล้วพระองค์ก็เสด็จไปบิณฑบาตในหมู่ชนชาวอุตตรกุรุ เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้วก็เสด็จไปยังป่าไม้จันทน์ซึ่งอยู่ในบริเวณป่าหิมวันต์ใกล้กับสระ อโนดาตเพื่อเสวยพระกระยาหาร โดยมีพระสารีบุตรเถระมาเฝ้าทุกวัน หลังจากที่ทรงเสวยแล้วก็ทรงสรุปเนื้อหาของพระอภิธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงแก่เหล่าเทวดาและพรหมให้พระสารีบุตรฟังวันต่อวัน๕ เสร็จ แล้วพระองค์จึงเสด็จกลับขึ้นสู่ดาวดึงส์เทวโลกเพื่อแสดงธรรมต่อไป ทรง กระทาเช่นนี้ทุกวันตลอด ๓ เดือน เมื่อการแสดงพระอภิธรรมบนเทวโลก จบสมบูรณ์แล้วการแสดงพระอภิธรรมแก่พระสารีบุตรก็จบสมบูรณ์ด้วย เช่นกัน เมื่อจบพระอภิธรรมเทศนาเทวดาและพรหม ๘๐๐,๐๐๐ โกฏิได้ บรรลุธรรม และสันดุสิตเทพบุตร(พุทธมารดา)ได้สาเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคล
    เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังพระอภิธรรมจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็นา มาสอนให้แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านโดยสอนตามพระ พุทธองค์วันต่อวันและจบบริบูรณ์ในเวลา ๓ เดือนเช่นกัน การสอนพระ อภิธรรมของพระสารีบุตรที่สอนแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้เป็นการสอนชนิดไม่ ย่อเกินไป ไม่พิสดารเกินไป เรียกว่า นาติวิตถารนาติสังเขปนัย
    ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ เคยมีอุปนิสัยมาแล้วในชาติก่อน คือในสมัย ศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้เป็นค้างคาว อาศัยอยู่ในถ้าแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมีภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรม ๒ รูปที่อาศัย อยู่ในถ้านั้นเช่นกัน กาลังสวดสาธยายพระ
    อภิธรรมอยู่ เมื่อค้างคาวทั้ง ๕๐๐ ตัวได้ยินเสียงพระสวดสาธยายพระอภิธรรมก็รู้เพียงว่าเป็นพระธรรม เท่านั้นหาได้รู้ความหมายใดๆ ไม่ แต่ก็พากันตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อสิ้น จากชาติที่เป็นค้างคาวแล้วก็ได้ไปเกิดอยู่ในเทวโลกเหมือนกันทั้งหมด จนกระทั่งศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นจึงได้จุติจาก เทวโลกมาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชเป็นภิกษุในศาสนานี้ตลอดจนได้เรียน พระอภิธรรมจากพระสารีบุตรดังกล่าวแล้ว นับแต่นั้นมาการสาธยาย ท่องจาและการถ่ายทอดความรู้เรื่องพระอภิธรรมก็ได้แพร่ขยายออกไป อย่างกว้างขวาง
    ภายหลังที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วในวันแรม ๑ ค่า เดือน ๘ หลังจากถวายพระเพลิงได้ ๕๒ วัน ท่านมหากัสสปเถระ พระ อุบาลีเถระ พระอานนทเถระ พร้อมด้วยพระอรหันต์รวมทั้งสิ้น ๕๐๐ องค์ ซึ่งล้วนเป็นปฏิสัมภิทัปปัตตะ๖ ฉฬภิญญะ๗ และเตวิชชะ๘ ได้ช่วยกันทา สังคายนาพระธรรมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และได้กล่าวยกย่องพระ อภิธรรมว่าเป็นหมวดธรรมที่สาคัญมากของพระพุทธศาสนา การทา สังคายนาครั้งนี้ มีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก
    พระอภิธัมมัตถสังคหะคืออะไร
    ต่อมาประมาณปี พ.ศ. ๑๒๐๐๙ มีพระเถระผู้ทรงความรู้ในพระไตรปิฎกท่านหนึ่งมีนามว่า พระอนุรุทธเถระ (พระอนุรุทธาจารย์) ท่านเป็นชาว กาวิลกัญจิ แขวงเมืองมัทราช ภาคใต้ของประเทศอินเดีย ท่านได้มาศึกษา พระอภิธรรมอยู่ที่สานักวัดตุมูลโสมาราม เมืองอนุราธบุรี ประเทศลังกา จนมีความแตกฉานและได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ทางพระอภิธรรมท่านหนึ่ง ต่อมาท่านได้รับอาราธนาจากนัมพะอุบาสกผู้เป็นทายกให้ช่วยเรียบเรียงพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ละเอียดลึกซึ้งมากนั้นให้สั้นและง่ายเพื่อสะดวกแก่การศึกษาและจดจา ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เป็นประโยชน์แก่นักศึกษาพระอภิธรรมทั้งหลายในอนาคต พระอนุรุทธาจารย์ได้อาศัยพระอภิธรรมปิฎกทั้ง ๗ คัมภีรOE มาเป็นหลักในการเรียบเรียงพระอภิธรรมฉบับย่อและเรียกชื่อคัมภีร์นี้ว่า พระอภิธัมมัตถสังคหะ
    อภิธัมมัตถสังคหะ แยกออกเป็น อภิ+ธัมมะ+อัตถะ+สัง+คหะ
    อภิ = อันประเสริฐยิ่ง
    ธัมมะ = สภาพที่ทรงไว้ไม่มีการผิดแปลกแปรผัน
    อัตถะ = เนื้อความ
    สัง = โดยย่อ
    คหะ = รวบรวม
    อภิธัมมัตถสังคหะ จึงหมายถึง คัมภีร์ซึ่งรวบรวมเนื้อความของ พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ ไว้โดยย่อ อันเปรียบเสมือนแบบเรียนเร็ว พระอภิธรรม แบ่งเป็น ๙ ปริจเฉท (๙ ตอน) แต่ละปริจเฉทมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
    ปริจเฉทที่ ๑ จิตตสังคหวิภาค
    แสดงเรื่อง ธรรมชาติของจิต ประเภทของจิต ทั้งโดยย่อและโดย พิสดาร ทาให้เข้าใจถึงจิตประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต กิริยาจิต มหัคคตจิต และโลกุตตรจิต
    ปริจเฉทที่ ๒ เจตสิกสังคหวิภาค
    แสดงเรื่องเจตสิก คือ ธรรมชาติที่ประกอบกับจิตเพื่อปรุงแต่งจิต มีทั้งหมด ๕๒ ลักษณะ แบ่งเป็น เจตสิกที่ประกอบกับจิตได้ทุกประเภท เจตสิกฝ่ายกุศล และเจตสิกฝ่ายอกุศล
    ปริจเฉทที่ ๓ ปกิณณกสังคหวิภาค
    แสดงการนาจิตและเจตสิกมาสัมพันธ์กับธรรม ๖ หมวด ได้แก่ ความ รู้สึกของจิต (เวทนา) เหตุแห่งความดีความชั่ว (เหตุ) หน้าที่ของจิต (กิจ) ทางรับรู้ของจิต (ทวาร) สิ่งที่จิตรู้ (อารมณ์) และที่ตั้งที่อาศัยของจิต (วัตถุ)
    ปริจเฉทที่ ๔ วิถีสังคหวิภาค
    แสดงวิถีจิต อันได้แก่กระบวนการทางานของจิตที่เกิดทางตา ทาง หู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อได้ศึกษาปริจเฉทนี้แล้วจะทาให้ รู้กระบวนการทางานของจิตทุกประเภท บุญบาปไม่ได้เกิดที่ไหน เกิดที่วิถี จิตนี้เอง ก่อนที่จะเกิดจิตบุญหรือจิตบาป มีจิตขณะหนึ่งเกิดก่อน คอยเปิด ประตูให้เกิดจิตบุญหรือจิตบาป จิตดวงนี้เกี่ยวข้องกับการวางใจอย่างแยบ คาย (โยนิโสมนสิการ) หรือการวางใจอย่างไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) หากเราได้เข้าใจก็จะมีประโยชน์ในการป้องกันมิให้จิตบาปเกิดขึ้นได้
    ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค
    แสดงถึงการทางานของจิตขณะใกล้ตาย ขณะตาย (จุติ) และขณะ เกิดใหม่ (ปฏิสนธิ) กล่าวถึงเหตุแห่งการตาย การเกิดของสัตว์ในภพภูมิต่างๆ โดยแบ่งได้ถึง ๓๑ ภพภูมิ (มนุษยภูมิเป็นเพียง ๑ ใน ๓๑ ภูมิ) ขณะเวลาใกล้จะตายภาวะจิตเป็นอย่างไร ควรวางใจอย่างไรจึงจะไปเกิดในภพภูมิที่ดี พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าตายแล้วต้องเกิดทันที มิใช่ ตายแล้ววิญญาณ (จิต) ต้องเร่ร่อนเพื่อไปหาที่เกิดใหม่ และยังได้อธิบาย เรื่องของกรรม ลาดับแห่งการให้ผลของกรรมไว้อย่างละเอียดลึกซึ้งอีกด้วย
    ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค และนิพพาน
    เมื่อได้ศึกษาทาความเข้าใจเรื่องจิต และเจตสิก อันเป็นนามธรรม มาแล้ว ในปริจเฉทที่ ๖ นี้พระอนุรุทธาจารย์ได้แสดงองค์ประกอบที่สาคัญ อีกอย่างหนึ่งของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นั่นก็คือเรื่องของรูป ร่างกาย (รูปธรรม) โดยแบ่งรายละเอียดออกเป็นรูปต่างๆ ได้ ๒๘ ชนิด และอธิบายถึงสมุฏฐาน (เหตุ) ในการเกิดรูปต่างๆ ไว้อย่างละเอียดพิสดาร
    ในตอนท้ายได้กล่าวถึงเรื่องพระนิพพานว่ามีสภาวะอย่างไร อันจะ ทาให้เข้าใจเรื่องของพระนิพพานได้อย่างถูกต้องชัดเจน
    ปริจเฉทที่ ๗ สมุจจยสังคหวิภาค
    เมื่อได้ศึกษาปรมัตถธรรม ๔ อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มาจากปริจเฉทที่ ๑ ถึง ๖ แล้ว ในปริจเฉทนี้จะแสดงธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ซึ่งให้ผลเป็นความสุข และธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ ในสภาวะความเป็นจริงแล้วกุศลจิต (จิตบุญ) และอกุศลจิต (จิตบาป) จะเกิดสลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนจะเกิดจิตชนิดไหนมากน้อยเพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับคุณธรรมและจริยธรรมของแต่ละบุคคล คนเราทั่วไปมักไม่เข้าใจและไม่รู้จักกับกุศลและอกุศลเหล่านี้ จึงทาให้ชีวิตตกอยู่ใน วัฏฏทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น ในปริจเฉทที่ ๗ นี้ได้แสดงธรรมที
    ควรรู้ที่สาคัญๆ ได้แก่ อุปาทานขันธ์ (ขันธ์ที่ถูกอุปาทานยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น), อายตนะ ๑๒ (สิ่งเชื่อมต่อเพื่อให้รู้อารมณ์), ธาตุ ๑๘ (ธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งสภาพ ของตน), อริยสัจ ๔ (ความจริงของพระอริยะ) และโพธิปักขิยธรรม (ธรรมที่เกื้อกูลการตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค) มี ๓๗ ประการ คือ สติปัฏฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิบาท ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘
    ปริจเฉทที่ ๘ ปัจจยสังคหวิภาค
    ในปริจเฉทนี้ ท่านได้แสดงเรื่องปฏิจจสมุปบาท (เหตุและผลที่ทาให้มีการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์) และปัจจัยสนับสนุน ๒๔ ปัจจัย ในตอนท้ายยังได้แสดงความหมายของบัญญัติธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ใช่เป็นความจริงแท้ แต่เป็นจริงตามสมมุติ (สมมุติสัจจะหรือสมมุติโวหาร) ตามกติกาของชาวโลก
    ปริจเฉทที่ ๙ กัมมัฏฐานสังคหวิภาค
    ในปริจเฉทนี้ ท่านกล่าวถึงความแตกต่างของสมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เห็นว่าสมถกรรมฐานหรือการทาสมาธินั้นเป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตเกิดความสงบ และเกิดอภิญญา (เกิดอิทธิฤทธิ์ต่างๆ) เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะผลของการทา สมาธิหรือสมถกรรมฐานนั้นเป็นการข่มกิเลสไว้ชั่วขณะเท่านั้น ไม่สามารถ ทาลายกิเลสได้ ถึงแม้จะเจริญสมถกรรมฐานถึงขั้นอรูปฌานจนได้เสวยสุข อยู่ในอรูปพรหมภูมิเป็นเวลาอันยาวนาน แต่ในที่สุดก็ต้องกลับมาเวียนว่าย ตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น
    จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือการเจริญวิปัสสนากรรม ฐาน เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงว่า จิต+เจตสิก และรูป ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชีวิตต่างก็มีการเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป - เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป ต่อเนื่องกันไปอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนอะไรของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้ เมื่อมีกาลัง แก่กล้าก็จะสามารถประหาณกิเลสและเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด
    การสวดพระอภิธรรมในงานศพ
    ทุกท่านคงจะพบคาว่า สวดพระอภิธรรม หรือ ตั้งศพสวดพระ อภิธรรม ในบัตรเชิญหรือในหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อเชิญไปร่วมงานบาเพ็ญกุศล แด่ท่านผู้วายชนม์อยู่บ่อยๆ ที่ว่า สวดพระอภิธรรม นั้น เมื่อท่านอ่านมาถึง ตรงนี้ย่อมทราบดีแล้วว่าหมายถึงอะไร
    ตามหลักฐานของท่านผู้รู้กล่าวว่ามีการนาเอาพระอภิธรรมมาสวด ในพิธีศพของพุทธศาสนิกชนชาวไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและท่านได้ ให้ความเห็นไว้ว่าการบาเพ็ญกุศลในงานศพเพื่ออุทิศให้ผู้วายชนม์นั้น เป็น เรื่องเกี่ยวกับความรัก ความกตัญญูต่อผู้วายชนม์ซึ่งจากไปไม่มีวันกลับการที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยนาเอาคัมภีร์พระอภิธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องกับ ประเพณีนี้นั้นตามข้อสันนิษฐาน คงจะเกิดจากเหตุผลประการต่างๆ ดังนี้
    ประการแรก เป็นเพราะ พระอภิธรรม ไม่กล่าวถึงสัตว์ ไม่กล่าวถึง บุคคล ไม่มีตัวตน เรา เขา แต่ทรงจาแนกธรรมออกเป็นกุศล อกุศล และ อัพยากฤต (ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่
    อกุศล) ทรงกระจายสรีระกายซึ่งเป็น กลุ่มก้อนออกเป็นขันธ์ ๕ บ้าง อายตนะ ๑๒ บ้าง ธาตุ ๑๘ บ้าง อินทรีย์ ๒๒ บ้าง อันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยซึ่งต้องมีการเสื่อมสลายไปตามสภาวะ มิสามารถตั้งอยู่ได้ตลอดไป การได้ฟังพระอภิธรรมจะทาให้ผู้ฟังน้อมนามา เปรียบเทียบกับการจากไปของผู้วายชนม์ ทาให้เห็นสัจจธรรมที่แท้จริงของชีวิต ท่านโบราณบัณฑิตคงจะเห็นว่าในงานเช่นนี้่เป็นโอกาสอันดีที่ท่านผู้ฟังและท่านผู้ร่วมบาเพ็ญกุศลในงานศพจะสามารถพิจารณาเห็นความจริงของชีวิตได้โดยง่าย จึงได้นาเอาพระอภิธรรมมาแสดงให้ฟัง
    อีกประการหนึ่ง เพราะเห็นว่าในการตอบแทนพระคุณพุทธมารดา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านได้เสด็จขึ้นไปทรงแสดงพระอภิธรรม เทศนาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดาซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ดังนั้น เมื่อบุพการีอันได้แก่ มารดา บิดา ถึงแก่กรรมลง ท่านผู้เป็นบัณฑิตจึงได้นาเอาพระอภิธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องในการบาเพ็ญกุศลให้แก่ ผู้วายชนม์ โดยถือว่าเป็นการสนองพระคุณมารดา บิดา ตามแบบอย่างพระจริยวัตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาแม้ว่าท่านผู้วายชนม์จะ มิใช่มารดาบิดาก็ตาม แต่การนาเอาพระอภิธรรมมาแสดงในงานศพก็ถือ เป็นประเพณีไปแล้ว
    ประการสุดท้าย เพราะเชื่อว่าพระอภิธรรมเป็นคาสอนขั้นสูงที่มี เนื้อหาละเอียดลึกซึ้งเกี่ยวกับปรมัตถธรรม ๔ ประการ หากนามาแสดงใน งานบาเพ็ญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์แล้ว ผู้วายชนม์จะได้บุญมาก
    การสวดพระอภิธรรมก็คือการนาเอาคาบาลีขึ้นต้นสั้นๆ ในแต่ละ คัมภีร์ของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์มาเรียงต่อกัน การสวดพระอภิธรรมนี้ บางทีเรียกว่า สวดมาติกา ถ้าเป็นงานพระศพบุคคลสาคัญในราชวงศ์ เรียกว่า พิธีสดับปกรณ์ ซึ่งเพี้ยนมาจากคาว่า สัตตปกรณ์ อันหมายถึง พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั่นเอง (สัตต = เจ็ด, ปกรณ์ = คัมภีร์, ตารา)
    ต่อมาภายหลังมีผู้รู้ได้นาเอาคาถาในพระอภิธัมมัตถสังคหะ ของพระ อนุรุทธาจารย์มาสวดเป็นทานอง สรภัญญะ (คือการสวดเป็นจังหวะสั้น-ยาว) เรียกว่า สวดสังคหะ โดยนาเอาคาบาลีในตอนต้นและตอนท้ายของแต่ละ ปริจเฉท ซึ่งมีทั้งหมด ๙ ปริจเฉทมาเรียงต่อกันเป็นบทสวด
    ประโยชน์จากการศึกษาพระอภิธรรม
    ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรมมีอยู่มากมายหลาย ประการ แต่ที่สาคัญมีโดยสังเขปดังนี้
    ๑. การศึกษาพระอภิธรรมจะทาให้เข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนา เพราะพระอภิธรรมเกิดจากพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธองค์ การเข้าถึงพระอภิธรรมจึงเท่ากับเข้าถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง
    ๒. การศึกษาพระอภิธรรม ก็คือศึกษาธรรมชาติการทางานของ กายและใจซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องจิต (วิญญาณ), เรื่องเจตสิก, เรื่องอานาจจิต, เรื่องวีถีจิต, เรื่องกรรมและการส่งผลของกรรม, เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด, เรื่องสัตว์ในภพภูมิต่างๆ และเรื่องกลไกการทางานของกิเลส ทาให้รู้ว่าชีวิตของเราในชาติปัจจุบันนี้มาจากไหนและมาได้อย่างไร มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นปัจจัย เมื่อได้คาตอบชัดเจนดีแล้วก็จะรู้ว่าตายแล้วไปไหนและไป ได้อย่างไร อะไรเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างชาตินี้กับชาติ
    หน้า ทาให้หมดความสงสัยว่าตายแล้วเกิดอีกหรือไม่ นรก สวรรค์ มีจริงไหม ทาให้มีความเข้าใจเรื่องกรรมและการส่งผลของกรรม(วิบาก) อย่างละเอียดลึกซึ้ง
    ๓. ผู้ศึกษาพระอภิธรรมจะเข้าใจเรื่องของปรมัตถธรรม หรือสภาว ธรรมอันจริงแท้ตามธรรมชาติ ในพระอภิธรรมจะแยกสภาวะออกให้เห็น ว่าทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลอะไรทั้งนั้น คงมีแต่สภาวธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ที่วนเวียนอยู่ในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยอาศัยเหตุ อาศัยปัจจัยอุดหนุนซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นใหม่แล้วก็ดับ ไปอีก มีสภาพเกิดดับอยู่เช่นนี้ตลอดเวลานานแสนนานไม่รู้กี่แสนชาติ กี่ ล้านชาติมาแล้วที่สืบต่อกันอยู่เช่นนี้โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น แม้ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวธรรมทั้ง ๓ นี้ก็ทางานอยู่เช่นนี้โดยไม่มีเวลาหยุดพักเลย สภาวธรรมหรือธรรมชาติเหล่านี้มิใช่เกิดขึ้นจากพระผู้เป็นเจ้า พระพรหม พระอินทร์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เป็นผู้บันดาลหรือเป็นผู้สร้าง แต่สภาวธรรมเหล่านี้เป็นผลอันเกิดมาจากเหตุ คือ กิเลสตัณหานั่นเองที่เป็นผู้สร้าง
    ๔. การศึกษาพระอภิธรรมจะทาให้เข้าใจสภาวธรรมอีกประการหนึ่ง อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาที่ต้องการให้เข้าถึงนั่นก็คือ นิพพาน
    นิพพาน หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา ผู้ที่ปราศจากกิเลส ตัณหาแล้วนั้น เมื่อสิ้นชีวิตลงก็จะไม่มีการสืบต่อของจิต+เจตสิก และ รูปอีกต่อไป ไม่มีการสืบต่อภพชาติ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง จึงกล่าวว่านิพพานเป็นธรรมชาติที่ปราศจากกิเลส ตัณหา เป็นธรรมชาติที่ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงและเป็นธรรมชาติที่พ้นจากขันธOE ๕ นิพพานมิใช่เป็นแดนสุขาวดีที่เป็นอมตะและเพียบพร้อมด้วยความสุขล้วนๆ ตลอดนิรันดร์กาลตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ
    ๕. การศึกษาพระอภิธรรมจะทาให้เข้าใจคาสอนที่มีคุณค่าสูงสุดใน พระพุทธศาสนา เพราะแค่การให‰ทาน รักษาศีล และการเจริญสมาธิก็ยังมิใช่ คาสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนาเนื่องจากเป็นเหตุให้ต้องเกิดมารับ ผลของกุศลเหล่านั้นอีก ท่านเรียกว่าวัฏฏกุศล เพราะกุศลเหลˆานี้ยังไม่ทาให้ พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด คาสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้เห็นว่า ทั้งนามธรรม (จิต+เจตสิก) และรูปธรรม (รูป) มีสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ ได้ ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ มีการเกิดดับ ๆ ตลอดเวลา หาแก่นสาร
    หาตัวตน หาเจ้าของไม่ได้เลย เมื่อมีปัญญาเห็นแจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้แล้วก็จะนาไปสู่การประหาณกิเลสและเข้าถึงพระนิพพาน ได้ในที่สุด
    ๖. การศึกษาพระอภิธรรม จะทาให้เข้าใจเรื่องอารมณ์ของวิปัสสนา ซึ่งต้องมีนามธรรม (จิต+เจตสิก )และรูปธรรม (รูป) เป็นอารมณ์ เมื่อกาหนด อารมณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ถูกต้อง การปฏิบัติก็ย่อมได้ผล ตามที่ต้องการ
    ๗. การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการสั่งสมปัญญาบารมีที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีวิทยาการใดๆ ในโลกที่ศึกษาแล้วจะทาให้เกิดปัญญารู้แจ้งโลกได้เท่ากับ การศึกษาพระอภิธรรม
    ๘. การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการช่วยกันรักษาหลักธรรมคาสอนของพระพุทธองค์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังและเป็นการช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนา ให้มั่นคงถาวรตลอดไป
    ๑ ปรมัตถธรรม มี ๔ ประการ อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
    ๒ ขันธ์ หมายถึง ขันธ์ ๕ อันประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์
    รูปขันธ์ ก็คือ รูป, เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รวมเรียกว่า เจตสิก ส่วนวิญญาณขันธ์ ก็คือ จิต
    ดังนั้น ขันธ์ ๕ ก็คือ จิต + เจตสิก + รูป นั่นเอง
    ๓ ปัจจัย ๒๔ ประการ ได้แก่
    ๑. เหตุปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นเหตุ
    ๒. อารัมมณปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นอารมณ์
    ๓. อธิปติปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นอธิบดี
    ๔. อนันตรปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความติดต่อกันไม่มีระหว่างคั่น
    ๕. สมนันตรปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความติดต่อกันไม่มีระหว่างคั่นทีเดียว
    ๖. สหชาตปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเกิดพร้อมกัน
    ๗. อัญญมัญญปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความแก่กันและกัน
    ๘. นิสสยปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นที่อาศัย
    ๙. อุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นที่อาศัยที่มีกาลังมาก
    ๑๐. ปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเกิดก่อน
    ๑๑. ปัจฉาชาตปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเกิดทีหลัง
    ๑๒. อาเสวนปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเสพบ่อยๆ
    ๑๓. กัมมปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความปรุงแต่งเพื่อให้กิจต่าง ๆ สาเร็จลง
    ๑๔. วิปากปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นวิบาก คือเข้าถึงความสุก และหมดกาลังลง
    ๑๕. อาหารปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นผู้นา
    ๑๖. อินทริยปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นผู้ปกครอง
    ๑๗. ฌานปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นผู้เพ่งอารมณ์
    ๑๘. มัคคปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นหนทาง
    ๑๙. สัมปยุตตปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นผู้ประกอบ
    ๒๐. วิปปยุตตปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นผู้ไม่ประกอบ
    ๒๑. อัตถิปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นผู้ยังมีอยู่
    ๒๒. นัตถิปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นผู้ไม่มี
    ๒๓. วิคตปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นผู้ปราศจากไป
    ๒๔. อวิคตปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความเป็นผู้ยังไม่ปราศจากไป
    ๔มหาภูตรูปทั้ง ๔ ได้แก่ ๑. รูปที่มีความอ่อนและแข็งเป็นลักษณะ (ปฐวี) ๒. รูปที่มีอาการไหลและเกาะกุมเป็นลักษณะ (อาโป) ๓. รูปที่มีความร้อนและเย็นเป็นลักษณะ (เตโช) ๔. รูปที่มีการเคลื่อนไหวหรือเคร่งตึงเป็นลักษณะ (วาโย) แท้จริงแล้วยังมีรูปอีก ๔ อย่าง คือ รูปารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ และอาหารรูป แฝงอยู่ในมหาภูตรูปทั้ง ๔ รวมเรียกว่า อวินิพโภครูป ๘ แต่ในที่นี้ยกเฉพาะ มหาภูตรูป ๔ ขึ้นแสดงเท่านั้น เพราะถือว่า อวินิพโภครูป ๘ มีมหาภูตรูป ๔ เป็นประธาน
    ๕พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรด้วย สังเขปนัย คือ แสดงอย่างย่นย่อ
    ๖ปฏิสัมภิทัปปัตตะ = ผู้ที่ได้ปฏิสัมภิทา ๔ คือผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจธรรมะอย่างแตกฉาน สามารถแยกแยะและขยายความได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง มีปฏิภาณไหวพริบ มีโวหารและวาทะที่จะทาให้ผู้อื่นรู้ตามเข้าใจตามได้โดยง่าย
    ๗ฉฬภิญญะ = ผู้มีอภิญญา ๖ อันได้แก่ ๑. แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ ๒. มีหูทิพย์ ๓. ทายใจผู้อื่นได้ ๔. ระลึกชาติได้ ๕. มีตาทิพย์ ๖. สามารถทาลายอาสวะกิเลสให้สิ้นไป
    ๘เตวิชชะ = ผู้ที่ได้วิชชา ๓ อันได้แก่ ๑. ระลึกชาติได้ ๒. รู้การจุติและการอุบัติของสัตว์ ๓. มีปัญญาที่ทาอาสวะกิเลสให้สิ้นไป
    ๙หลักฐานบางแห่งระบุว่า ประมาณปี พ.ศ. ๑๕๐๐
    ยังไม่จบเท่านี้เดี๋ยวต่อฉบับหน้า

    เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทานกับคุณแม่และหลาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน เมื่อคืนนี้คุณแม่ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
    และผมก็ได้ศึกษษการรักษาโรค กรวดน้ำอุทิศบุญ ให้อภัยทาน
    รักษาศีล เมื่อวานนี้ได้ถวายพระบรมสารีริกธาตุ ให้แก่บุคคลทั้งหลาย
    ประมาณหลายคน และวันนี้ตั้งใจว่าจะสร้างบารมีเหมือนวันก่อนๆ
    และทำบารมี 10 ให้เกิดขึ้น และเมื่อวานนี้ได้ถวายหลวงพ่อโสธร 1 องค์ พร้อมกับน้ำมนต์ของหลวงพ่อโสธร และวันนี้เปนวันพระก็อนุโมทนาบุญกับผู้มาฟังธรรม และสวดมนต์ ที่วัด ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

    ขอเชิญร่วมตักบาตร ฟังธรรมกับพระกัมมัฏฐานสายของหลวงปู่มั่น
    ซึ่งจะมีทุกวันเสาร์แรกของเดือน ประจำปี ๒๕๕๓
    สถานที่ ณ ศาลาการเปรียญวัดพุทธบูชา
    ในเวลา ๐๖.๓๐-๑๐.๐๐ น. ถนนพุทธบูชา แขวงบางมด กรุงเทพ ฯ
    จึงอยากขอเชิญมาร่วมกิจกรรมงานบุญนี้

    ขอให้สรรพสัต์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ
     
  2. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    (tm-love)ทำไมเยอะังเลยอ่านไม่ไหว เอาเป็นว่า ก่อนทำสมาธิก็กายไม่มีในเรา เราไม่มีในกาย เราเป็นแค่จิตที่มาอาศัยกายเกิด เพื่อทำความดี เพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อรักษาศีล
     
  3. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    อนุโมทนา ธรรมทาน คุณรสมนนะครับ

    ไม่ต้องไปคิดมากครับ อ่านไปคำต่อคำ อ่านไปเรื่อยๆ ค่อยๆทำความเข้าใจทีละประโยค

    ที่ท้อก่อนเป็นเพราะความคิดครับ เห็นว่ามันเยอะ เห็นว่าเข้าใจยาก ก็ท้อถอย

    เป็นเรื่องของจิต เจตสิกปรุงแต่งทั้งนั้นครับ ^^
     
  4. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ประโยชน์จากการศึกษาพระอภิธรรม
    ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรมมีอยู่มากมายหลาย ประการ แต่ที่สาคัญมีโดยสังเขปดังนี้
    ๑. การศึกษาพระอภิธรรมจะทาให้เข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนา เพราะพระอภิธรรมเกิดจากพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธองค์ การเข้าถึงพระอภิธรรมจึงเท่ากับเข้าถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง
    ๒. การศึกษาพระอภิธรรม ก็คือศึกษาธรรมชาติการทำงานของ กายและใจซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องจิต (วิญญาณ), เรื่องเจตสิก, เรื่องอานาจจิต, เรื่องวีถีจิต, เรื่องกรรมและการส่งผลของกรรม, เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด, เรื่องสัตว์ในภพภูมิต่างๆ และเรื่องกลไกการทำงานของกิเลส ทำให้รู้ว่าชีวิตของเราในชาติปัจจุบันนี้มาจากไหนและมาได้อย่างไร มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นปัจจัย เมื่อได้คำตอบชัดเจนดีแล้วก็จะรู้ว่าตายแล้วไปไหนและไป ได้อย่างไร อะไรเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างชาตินี้กับชาติ
    หน้า ทำให้หมดความสงสัยว่าตายแล้วเกิดอีกหรือไม่ นรก สวรรค์ มีจริงไหม ทำให้มีความเข้าใจเรื่องกรรมและการส่งผลของกรรม(วิบาก) อย่างละเอียดลึกซึ้ง
    ๓. ผู้ศึกษาพระอภิธรรมจะเข้าใจเรื่องของปรมัตถธรรม หรือสภาว ธรรมอันจริงแท้ตามธรรมชาติ ในพระอภิธรรมจะแยกสภาวะออกให้เห็น ว่าทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลอะไรทั้งนั้น คงมีแต่สภาวธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ที่วนเวียนอยู่ในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยอาศัยเหตุ อาศัยปัจจัยอุดหนุนซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นใหม่แล้วก็ดับ ไปอีก มีสภาพเกิดดับอยู่เช่นนี้ตลอดเวลานานแสนนานไม่รู้กี่แสนชาติ กี่ ล้านชาติมาแล้วที่สืบต่อกันอยู่เช่นนี้โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น แม้ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวธรรมทั้ง ๓ นี้ก็ทางานอยู่เช่นนี้โดยไม่มีเวลาหยุดพักเลย สภาวธรรมหรือธรรมชาติเหล่านี้มิใช่เกิดขึ้นจากพระผู้เป็นเจ้า พระพรหม พระอินทร์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เป็นผู้บันดาลหรือเป็นผู้สร้าง แต่สภาวธรรมเหล่านี้เป็นผลอันเกิดมาจากเหตุ คือ กิเลสตัณหานั่นเองที่เป็นผู้สร้าง
    ๔. การศึกษาพระอภิธรรมจะทาให้เข้าใจสภาวธรรมอีกประการหนึ่ง อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาที่ต้องการให้เข้าถึงนั่นก็คือ นิพพาน
    นิพพาน หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา ผู้ที่ปราศจากกิเลส ตัณหาแล้วนั้น เมื่อสิ้นชีวิตลงก็จะไม่มีการสืบต่อของจิต+เจตสิก และ รูปอีกต่อไป ไม่มีการสืบต่อภพชาติ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง จึงกล่าวว่านิพพานเป็นธรรมชาติที่ปราศจากกิเลส ตัณหา เป็นธรรมชาติที่ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงและเป็นธรรมชาติที่พ้นจากขันธ์ ๕ นิพพานมิใช่เป็นแดนสุขาวดีที่เป็นอมตะและเพียบพร้อมด้วยความสุขล้วนๆ ตลอดนิรันดร์กาลตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ
    ๕. การศึกษาพระอภิธรรมจะทาให้เข้าใจคำสอนที่มีคุณค่าสูงสุดใน พระพุทธศาสนา เพราะแค่การให้ทาน รักษาศีล และการเจริญสมาธิก็ยังมิใช่ คำสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนาเนื่องจากเป็นเหตุให้ต้องเกิดมารับ ผลของกุศลเหล่านั้นอีก ท่านเรียกว่าวัฏฏกุศล เพราะกุศลเหล่านี้ยังไม่ทำให้ พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด คำสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้เห็นว่า ทั้งนามธรรม (จิต+เจตสิก) และรูปธรรม (รูป) มีสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ ได้ ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ มีการเกิดดับ ๆ ตลอดเวลา หาแก่นสาร
    หาตัวตน หาเจ้าของไม่ได้เลย เมื่อมีปัญญาเห็นแจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้แล้วก็จะนาไปสู่การประหาณกิเลสและเข้าถึงพระนิพพาน ได้ในที่สุด
    ๖. การศึกษาพระอภิธรรม จะทาให้เข้าใจเรื่องอารมณ์ของวิปัสสนา ซึ่งต้องมีนามธรรม (จิต+เจตสิก )และรูปธรรม (รูป) เป็นอารมณ์ เมื่อกาหนด อารมณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ถูกต้อง การปฏิบัติก็ย่อมได้ผล ตามที่ต้องการ
    ๗. การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการสั่งสมปัญญาบารมีที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีวิทยาการใดๆ ในโลกที่ศึกษาแล้วจะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งโลกได้เท่ากับ การศึกษาพระอภิธรรม
    ๘. การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการช่วยกันรักษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังและเป็นการช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนา ให้มั่นคงถาวรตลอดไป
    อนุโมทนาสาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...