สภาวธรรม : นวองคุลี วัดสุวรรณประสิทธิ์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 18 มีนาคม 2010.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666

    น ว อ ง คุ ลี /วัดสุวรรณประสิทธิ์

    มี วาทะอันสือลั่นเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
    ทั้งใน ประเทศและต่างประเทศอยู่ประโยคหนึ่ง
    คือ พระพุทธดำรัสในประโยคที่ว่า

    “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”

    ถาม ว่า ที่ชื่อว่า “เห็นธรรม” นั้น เห็นอย่างไร
    อย่างไรจึงชื่อว่าเห็นธรรม


    ตอบได้ว่า บุคคลจะเห็นธรรมก็ต้องเห็นที่สภาวะ
    เพราะธรรมทั้งหลาย
    มีสภาวะเป็น เครื่องประกาศตัวของมันเอง


    อุปมาเหมือนการเห็นดวง อาทิตย์
    คนทั้งหลายจะเห็นดวงอาทิตย์ได้
    ก็เพราะแสงของดวงอาทิตย์
    ถ้า ดวงอาทิตย์ไม่มีแสง
    ป่านนี้เราก็คงไม่รู้จักดาวดวงนี้ในความหมายเช่นทุก วันนี้

    หรืออุปมาเหมือนกับหิ่งห้อยที่บินไปในเวลากลางคืนอันมืดมิด
    ย่อม ส่งแสงกะพริบที่ก้นของมัน
    ทำให้เราเห็นมันได้ในเวลามืดสนิทอย่างนั้น

    แสง อาทิตย์ประกาศความมีอยู่ของดวงอาทิตย์
    แสงหิ่งห้อยประกาศความมีอยู่ของ ตัวหิ่งห้อย
    และสภาวธรรมก็มีความมีอยู่ของธรรมนั้นๆ
    ให้เราๆ ได้เห็นด้วยวิปัสสนาเช่นกัน

    เวลา ที่เราพูดคำว่า “เห็น” ในภาษา ไทย
    เรามักจะนึกถึงการเห็นด้วยตา การมองด้วยตา


    แต่ใน ความหมายของภาษาธรรม
    โปรดจำไว้ว่าคำๆ นี้ หมายถึง

    การเห็น ด้วยความรู้สึก การดูด้วยความรู้สึก
    หรือเห็นด้วยสติปัญญา ดูด้วยสติปัญญา


    บางทีก็ใช้คำว่า ตามดู ตามรู้ ตามเห็น
    หรือ บางทีก็ใช้คำว่ามีสติระลึกรู้ มีสติกำหนดรู้
    คือ กำหนดรู้ซึ่งสภาวธรรมนั่นเอง

    [​IMG] ส ภ า ว ธ ร ร ม คื อ อ ะ ไ ร

    ใน พระพุทธศาสนา เมื่อใดที่พูดถึงคำว่า “สภาวธรรม”
    โปรดทราบว่านั่น หมายถึง สภาวธรรม ๒ อย่างเท่านั้น คือ

    ๑. วิเสสสภาวะ
    ๒. สามัญญสภาวะ


    [​IMG] วิ เ ส ส ส ภ า ว ะ

    แปล ว่า สภาวะอันวิเศษ
    ที่ชื่อว่า วิเศษ เพราะอรรถว่า ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร
    มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ปัจจัตตสภาวะ”
    แปลว่า “สภาวะเฉพาะตน”

    คำว่าวิเส สสภาวะนั้นมีไวพจน์ที่ใช้แทนกันอยู่คำหนึ่งนั่นก็คือ
    คำว่า “วิเสสลักษณะ” แปลว่า ลักษณะอันวิเศษ
    มีผู้ ใช้คำนี้มากกว่าคำว่าวิเสสสภาวะเสียอีก

    ส่วนคำว่า ปัจจัตตสภาวะ
    ก็มีคำไวพจน์ที่ใช้แทน คำกันอยู่คำหนึ่งเหมือนกัน
    นั่นคือคำว่า “ปัจจัตตลักษณะ”
    แปลว่า ลักษณะเฉพาะตน

    ดังนั้นถ้าเราอ่านพบ หรือได้ยินคำว่า

    วิเสสสภาวะ วิเสสลักษณะ
    ปัจจัตตสภาวะ ปัจจัตตลักษณะ


    เมื่อ ใด ขอให้ทราบว่า คำทั้ง ๕ นี้
    มีความหมายเป็นอันเดียวกัน
    หรือหมาย ถึงสิ่งๆ เดียวกัน

    และต่อจากนี้ไปนี้หนังสือเล่มนี้จะขอเลือกใช้คำ ว่า “วิเสสลัก ษณะ”
    เป็นตัวแทนสื่อความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจถึงสภาวธรรม ชนิดนี้


    [​IMG] วิ เ ส ส ลั ก ษ ณ ะ

    ก่อน อื่นขอให้เรานึกถึงสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ในป่า
    ซึ่งในป่าอันกว้าง ใหญ่จะมีสัตว์อยู่มากมายหลายชนิด หลายเผ่าพันธุ์
    แต่ละชนิดจะมีรูปร่าง หน้าตามีลักษณะทางกายภาพตามสายพันธุ์ของตน

    เช่น ลิง ก็มีหัวมีตัวมีหางอย่างลิง
    เสือ ก็มีหัวมีตัวมีหางมีลายอย่างเสือ
    ช้าง ก็มีหัวมีตัวมีงวงมีงาอย่างช้าง ฯลฯ
    สัตว์แต่ละตัวจะมีลักษณะเฉพาะทาง พันธุกรรมเป็นของตนเอง
    ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความแตกต่างจาก สัตว์อื่นๆ

    ในทำนองเดียวกัน รูปนามที่เกิดอยู่ที่ทวารทั้ง ของเรา
    ก็ มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายชนิด
    แต่ละชนิดจะมีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง


    เช่น ลักษณะเฉพาะของสีก็ไม่เหมือนลักษณะเฉพาะของเสียง
    ลักษณะเฉพาะของเสียง ก็ไม่เหมือนลักษณะเฉพาะของกลิ่น
    ลักษณะเฉพาะของกลิ่นก็มาเหมือนลักษณะเฉพาะของรส
    ลักษณะเฉพาะของรส
    ก็ ไม่เหมือนลักษณะเฉพาะของเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ฯลฯ

    เราจะเห็นความแตกต่างไม่เหมือนกันชัดเจนขึ้น
    เมื่อ นำลักษณะเฉพาะเหล่านี้มาเทียบเคียงกัน


    เราลองนำสีมาเทียบกับ เสียง
    นำเสียงมาเทียบกับกลิ่น
    นำกลิ่นมาเทียบกับรส
    เย็นมาเทียบ กับร้อน
    อ่อนมาเทียบกับแข็ง
    ตึงมาเทียบกับไหว ฯลฯ

    แล้วเราจะพบว่า ลักษณะทั้งหลายเหล่านี้
    มีความเหมือนกันโดยสภาพ
    โดยคุณสมบัติของ อารมณ์
    โดยเฉพาะทวารทางใจ


    ลองนำอารมณ์ทางใจมาเทียบกันดูอีกที

    โดยลองนึกเปรียบเทียบระหว่างความโกรธกับเมตตา
    โกรธมีลักษณะอาการร้อน วูบวาบเผารน
    แต่เมตตามีลักษณะเย็นสบายอ่อนละมุน

    ในขณะที่โลภะ มีลักษณะกระหายทะยานอยาก
    แต่ศรัทธามีลักษณะผ่องใส อิ่มเอิบ
    ฟุ้งซ่าน มีลักษณะกระสับกระส่าย
    ปีติมีลักษณะซาบซ่าโลดโผน
    และความเศร้ามีลักษณะหดหู่รันทด

    เดิมทีลักษณะเฉพาะเหล่านี้ทั้หมดไม่ มีชื่อเรียกอย่างที่ว่ามีนี้
    เดิมทีเป็นของไม่มีชื่อไม่แซ่
    เป็นแต่ สภาพธรรมชาติที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอยู่ตามทวารทั้งหลาย



    แต่โดยที่มนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม
    จึงได้ตั้ง ชื่อธรรมชาติเหล่านี้ว่า

    สี เสียง กลิ่น รส
    เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว
    โกรธ รัก ชอบ ชัง
    อิจฉาริษยา เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    ดีใจ เสียใจ เศร้า เหงา ปีติ ฯลฯ

    เพราะฉะนั้นชื่อต่างๆ ที่เอ่ยมานี้
    ก็เป็น เพียงกลุ่มคำที่ใช้เรียกว่า
    “วิเสสลักษณะ” ของรูปนามแต่ละ ชนิดนั่นเอง


    ซึ่งในต่างประเทศก็คงจะไม่เรียกชื่ออย่างนี้
    แต่ ไม่ว่าใครจะเรียกชื่อว่าอย่างไร
    เวลาที่สภาวธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นกับใคร
    ก็ จะมีลักษณะเป็นอันเดียวกันหมดทั่วทั้งโลก

    ลักษณะแข็งที่ผิวกายของคน อัฟริกัน
    กับแข็งที่ผิวกายของคนไทย แขก จีน ญวน อเมริกา ยุโรป ฯลฯ
    ก็ เป็นเช่นเดียวกัน

    วิเสสลักษณะของ แข็งอันเกิดที่ฝ่าพระหัตถ์ของพระราชาในขณะกำเหรียญทอง
    จะไม่แตกต่างกับ ของแข็งในฝ่ามือของยาจกขอทาน
    ในขณะกำเศษเงินที่มีคนโยนให้


    โกรธ ของฝรั่ง คนป่า คนเอสกิโม คนไทย
    เวลาที่เกิดขึ้นที่ใจแล้วเป็นแบบบดี ยวกันหมด
    รวมทั้งรูปนามทุกชนิดในทวารทั้ง ๖

    คนทั้วโลก จะมีและเป็นในสภาพเดียวกัน ในคุณสมบัติเดียวกัน
    เพียงแต่อาจจะเกิดความรู้สึกต่างๆ ทางใจไม่พร้อมกัน


    นอก จากรูปนามจะไม่มีชื่อ ไม่มีแซ่ มาแต่เดิมแล้ว
    รูปนามก็ยังไม่มีรูปทรง สัณฐานด้วย

    ใครเคยเห็นความโกรธบ้างว่า
    มีรูปทรง ๓ เหลี่ยม ๔ เหลี่ยม ทรงกลม หรืออ้วน
    หรือ ผอม หนา หรือ บางประการใด

    แม้ เมตตา แม้อื่นๆ ในทวารทางใจก็เหมือนกัน
    ใครเคยเห็นว่า มีรูปทรงเป็นอย่างไรบ้าง
    เมตตามีรูปทรง ๓ เหลี่ยม ๔ เหลี่ยม ทรงกลมหรือไม่

    นอกจากรูปนามจะไม่ มีรูปทรงแล้ว
    รูปนามก็ยังไม่มีมวล
    ไม่มีเนื้อสารใดใดอันเป็นส่วน ประกอบ


    เราไม่สามารถนำเอาสี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว
    โกรธ รัก ชัง ชอบ อิจฉาริษยา เมตตา กรุณา อุเบกขา ฯลฯ
    ไป ชั่งน้ำหนักได้ว่ามีนำหนักกี่กิโลกรัม

    (ยกเว้นไว้แต่จะเป็นมหาภูตรูป อันเป็นเนื้อหนังมังสาทางกาย
    ซึ่ง มีทั้งมวลและรูปทรง)


    เพราะฉะนั้นที่พูดมาทั้งหมดนี้ มุ่งกล่าวถึง อุปทายรูป
    ซึ่งเป็นรูปโดยสภาวะ

    มิใช่รูปโดยวัตถุ เหมือนกายภาพ
    มีแต่สภาวะล้วนๆ
    อีกทั้งนามก็มีแต่สภาวะล้วนๆ เช่นเดียวกัน


    สภาวะ ที่ว่านี้ก็ได้แก่ “วิเสสสภาวะ”
    หรือ “วิเสสลักษณะ” ของนามรูปนั่นเอง

    [​IMG] คำว่า “วิเสสลักษณะ” เกี่ยวข้องกับวิปัสสนาอย่างไร

    วิปัสสนา นั้น แปลว่า การเห็นแจ้ง หรือเห็นอย่างวิเศษ

    เมื่อบุคคลมาตามดู ตามรู้ ตามเห็น
    ตามพิจารณาอยู่ซึ่งวิเสสลักษณะของรูปนาม
    หรือสามัญลักษณะของรูปนาม

    ท่านก็ เรียกกิริยาที่ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามพิจารณานี้ว่า “วิปัสสนา”

    ในบางอาจารย์ไม่นิยมใช้คำว่า ตามดู ตามรู้ ตามเห็น
    แต่ชอบใช้คำว่า ตามระลึกรู้ ตามกำหนดรู้ หรือเจริญสติระลึกรู้

    ซึ่งจะใช้คำไหนก็สุดแล้วแต่จะถนัด
    แต่ขอ ให้มีปฏิบัติการถูกต้อง เป็นอย่างเดียวกันเป็นใช้ได้

    [​IMG] สามัญญสภาวะ คือ อะไร

    ก็รูปนามนั่นเอง
    เมื่อเกิดขึ้น ณ ทวารใดแล้ว จะมีอายุไม่ยั่งยืน
    เกิดขึ้นชั่วขณะแล้วดับไปไม่จีรัง
    ท่าน เรียกอาการนี้ว่า “อนิจจัง”แปลว่า ไม่เที่ยง


    เมื่อเป็นเช่นนี้
    รูปนาม นอกจากจะมีลักษณะเฉพาะแล้ว
    ก็ยังมีอายุเป็นขณะๆ อีกด้วย

    สมดังที่ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    “ดูกรพระภิกษุ ทั้งหลาย
    ขณะทั้งหลายอย่าให้ล่วงไปเลย
    บุคคลผู้ปล่อยให้ขณะทั้ง หลายล่วงไป
    ย่อมไปเนืองแน่นในนรกมากแล้ว”


    คำว่า “ขณะ” หมายถึง “ขณะ” แห่งรูปนาม
    เพราะรูปนามมีอายุ เป็นขณะๆ

    คำว่า”ทั้งหลาย” นั้น เป็นศัพท์พหูพจน์
    หมายถึง รูปนามมีจำนวนมาก ทั้งที่ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย ใจ
    เฉพาะทวารทางใจอย่างเดียวก็นับไม่ถ้วนแล้ว

    คำว่า “อย่าปล่อยให้ล่วงไป”
    หมาย ถึง ต้องระลึกรู้ กำหนดรู้

    คำว่าบุคคลผู้ปล่อยให้ขณะทั้งหลายล่วง ไป
    หมายถึง บุคคลนั้น ไม่กำหนดรู้ ไม่ระลึกรู้ เห็นอยู่
    ก็ย่อม ไปเนืองแน่นในนรก
    เพราะเมื่อสติไม่เกิดอกุศลย่อมกำเริบ

    กิริยาดับ สภาพที่ดับ อาการดับไปแห่งรูปนาม
    ความทรงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ของรูปนาม
    ท่าน เรียกว่า “ทุกขัง” แปลว่า ทนอยู่ไม่ได้


    ความเป็นไปต่างๆ นานา
    ความไม่อยู่ในอำนาจ
    ความไม่อยู่ในบังคับบัญชาของรูปนามนี้
    เรียกว่า “อนัตตา” แปลว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล


    อาการทั้ง ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้
    ถูกเรียกรวมกันว่า “สามัญญสภาวะ” แปล ว่าสภาวะสามัญทั่วไป
    เป็นสาธารณะแก่รูปนามทุกชนิด ทุกทวาร


    รวม ไปจนกระทั่ง มหาภูตรูป อันเป็นส่วนของกายภาพด้วย
    แม้ประทั่งรูปภายนอกทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต
    วัตถุต่างๆ ที่มีในสากล จักรวาล
    ชีวิตต่างๆ ในสากลจักรวาล
    ก็ล้วนตกอยู่ในสามัญลักษณะนี้ เช่นเดียวกัน

    คือ เสื่อมไป เปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา
    ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
    และ บังคับบัญชาก็ไม่ได้ด้วย

    นี้คือ ความหมายของ “สามัญญสภาวะ”
    บางทีก็ เรียกกันว่า “สามัญญลักษณะ”
    บางทีก็เรียกว่า “ไตรลักษณ์”


    คำ ทั้ง ๓ นี้เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน
    ต่อไปนี้จะใช้คำว่า “ไตรลักษณ์”
    ในการกล่าวเรียกสภาวะทั้ง ๓ นี้
    คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


    [​IMG] ไ ต ร ลั ก ษ ณ์

    ไตรลักษณ์มี ๒ ประเภท คือ

    ๑. ไตรลักษณ์โดยอาการ ๑
    ๒. ไตรลักษณ์โดยสภาวะ ๑


    [​IMG] ไ ต ร ลั ก ษ ณ์ โ ด ย อ า ก า ร

    ถ้า เราได้ยินคำพรรณนาความไม่เที่ยงของชีวิต ว่า
    เกิดขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
    มีการเจริญเติบโต เป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วก็แก่เฒ่า
    แล้วก็ตายไปในที่สุด
    สังขารร่างกายมีความเสื่อมไปทุกขณะ
    นี้เป็น ความไม่เที่ยงโดยอาการ

    หรือ “พรรณนาอนิจจังโดยอาการ”

    ถ้า เราได้ยินคำพรรณนาว่า ชีวิตนี้
    มีแต่ทุกข์ ทุกข์เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ทุกข์เพราะหิวกระหาย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ
    นั่งนานก็เป็นทุกข์ ยืนนานก็เป็นทุกข์
    เดินนานก็เป็นทุกข์ นอนนานก็เป็นทุกข์
    การ พลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์
    การประสบกับสิ่งอันไม่เป็น ที่รักก็เป็นทุกข์

    อันนี้เป็น การ “พรรณนาทุกขังโดยอาการ”

    ถ้า เราได้ยินคำพรรณนาว่า

    อัตภาพร่างกายนี้ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ของเรา
    ะสั่งบังคับว่า ผมจงอย่าหงอกมันก็จะหงอก
    หนังจงอย่า เหี่ยวมันก็จะเหี่ยว
    ฟันจงอย่าหัก มันก็จะหัก
    กายจงอย่าป่วยมันก็ จะป่วย
    ช่างบังคับบัญชาไม่ได้เอาเสียเลย

    อันนี้เป็นการ “พรรณนาอนัตตาโดยอาการ”


    [​IMG] ไ ต ร ลั ก ษ ณ์ โ ด ย ส ภ า ว ะ

    ไตรลักษณ์ โดยสภาวะนี้ได้แก่
    ลักษณะของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของ รูปนาม
    ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว อยู่ทุกนาที ทุกวินาที
    มีลักษณะเกิดขึ้นแล้ว ดับไปอยู่ตลอดเวลา
    สภาวะ ที่ว่านี้ไม่เคยหยุดยั้งความเป็นไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว

    ถ้าฟังเรื่องนี้หรืออ่านเรื่องนี้แล้วยังไม่เข้าใจ
    ก็ไม่ต้องนึกเสียใจ หรือนึกท้อ

    เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ด้วยการอ่าน หรือการฟัง
    แต่เป็นสิ่งที่จะรู้ได้ด้วยการปฏิบัติเท่านั้น
    และจะ ต้องปฏิบัติให้ได้วิปัสสนาญาณขั้นที่ ๓-๔ ขึ้นไปจึงจะเห็นได้


    การอ่านและการฟัง
    อย่างมากก็ช่วยให้คาด คะเน
    ถึงไตรลักษณ์ว่าลักษณะเป็นอย่างไร


    แต่เชื่อไหมว่า
    ไม่ว่าจะคาดคะเนอย่างไร เป็นนักคิดแค่ไหน
    ไตรลักษณ์ตามคาดคะเน
    ก็ จะไม่เป็นเหมือนอย่างที่เห็นเองจริงๆ เลย
    คิดคาดคะเนอย่างไรก็ไม่ไกล้ค วามจริง

    ส่วนไตรลักษณ์โดยอาการ นั้น
    แม้ผู้ไม่ปฏิบัติวิปัสสนา
    ก็พอจะคาดคะเนได้ออก
    คิดตาม ได้ตรงตามที่สภาพร่างกายควรจะเป็น


    แม้ไม่ต้องปฏิบัติ วิปัสสนาก็รู้ ก็เห็นว่า
    ชีวิตร่างกายนี้ ไม่เที่ยงอย่างไร
    เป็น ทุกข์อย่างไร เป็นอนัตตาอย่างไร โดยอาการ


    [​IMG] นิ พ พ า น

    แม้การเห็นนิพพาน ก็เป็นการเห็นที่สภาวะเหมือนกัน
    เพียงแต่สภาวะของนิพพาน ไม่เป็นอย่างสภาวะทั้ง ๒ นี้
    เพราะ นิพพาน เป็น อนิมิตสภาวะ
    คือไม่มีนิมิต หมายให้กำหนดรู้ได้


    ถ้าเป็นวิเสสลักษณะ
    ยังมีลักษณะ เฉพาะของรูปนามแต่ละชนิด
    เป็นนิมิตหมายให้กำหนดรู้ได้

    ถ้าเป็น สามัญญลักษณะยังมีลักษณะเกิดดับ
    แปรปรวนของรูปนามเป็นนิมิตหมายให้กำหนด รู้ได้

    แต่นิพพานไม่มีนิมิตหมายใด ทั้งสิ้น

    ดังนั้นสภาวะของนิพาน
    จึงเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งรู้ ได้ยาก

    ข้อที่น่าคิดคือ

    แม้ความไม่มีนิมิตหมายใดใด
    ก็เป็นสภาวธรรม อย่างหนึ่ง


    สรุป ความว่า

    รูปนามมี วิเสสสภาวะ (วิเสสลักษณะ)
    เป็นนิมิต หมายให้กำหนดรู้

    สามัญญสภาวะเป็นลักษณะของความไม่เที่ยง
    เป็น ทุกข์ เป็นอนัตตา
    เป็นนิมิตหมายให้กำหนดรู้

    ส่วนนิพพานไม่มีนิมิต หมายใดใดให้กำหนดรู้
    แต่ผู้รู้ ผู้เห็นอยู่ กลับรู้เห็นในความไม่มีอะไรนั้น


    ดังนั้น แม้ภาพความว่างเปล่า
    ไม่มีอะไรก็เป็นสภาวะอย่างหนึ่ง
    ซึ่งไม่เหมือน สภาวะใดใดที่โลกมี

    สิ่งใดที่เกิดอยู่ในโลก
    เป็นฝักฝ่ายของโลกีย์
    สิ่ง นั้นไม่มีในนิพพาน

    เป็นฝักฝ่ายแห่งโลกุตตระ
    สิ่งนั้นไม่มีอยู่ใน โลกีย์
    เป็นภาวะพ้นไปอย่างสิ้นเชิง

    ดังนั้น คำว่า “หลุดพ้น”
    จึง เป็นไวพจน์อีกคำหนึ่งของคำว่า “นิพพาน”


    สรุป ความว่า “ผู้ ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
    นั้นหมายถึง การเห็นในสภาวธรรมทั้ง ๓ อย่าง คือ

    ๑. เห็นวิเสสสภาวะตามความเป็นจริง
    ๒. เห็นสามัญญสภาวะตามความเป็นจริง
    ๓. เห็นสภาวะนิพพานตามความเป็นจริง


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    (ที่มา “สภาวธรรม” ใน ศาสตร์อิสระ โดย นวองคุลี : วัดสุวรรณประสิทธิ์,
    พิมพ์ครั้งที่ ๒, พ.ศ. ๒๕๔๓, หน้า ๓๔-๔๖)

    คัดลอกจาก กุหลาบสีชา ลานธรรมจักร
    แสดงกระทู้ - สภาวธรรม : นวองคุลี วัดสุวรรณประสิทธิ์ • ลานธรรมจักร




     
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918

แชร์หน้านี้

Loading...