มิติแห่งโลกวิญาณและการสร้างบารมี

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 5 เมษายน 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    อานิสงค์การบูชาพระรัตนตรัย

    และเพราะความเลื่อมใสจากใจนีเอง ที่ก่อให้เกิดผลแห่งกรรมดีที่จะคอยคุ้มครองบุคคลนั้น ๆ ให้ร่มเย็นเป็นสุข ด้วยบารมีแห่งพระรัตนตรัยอันเป็นส่วนของนามธรรม ซึ่งกล่าวได้ว่าผู้ใดเข้าถึงพระรัตนตรัยมากเท่าใด พระรัตนตรัยก็จะคุ้มครองรักษาผู้นั้นมากเท่านั้น กระแสบุญบารมีดังกล่าว จะก่อให้เกิดพลังงานที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น คอยติดตามคุ้มครองรักษาป้องกันผู้ที่เลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ไม่ให้มีความตกต่ำหรือหลงทางในสังสารวัฎ และชักจูงให้บุคคลผู้นั้นพบแต่สิ่งดีๆ มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม ยกเว้นบุคคลผู้นั้นจะมีกรรมเก่าที่ต้องชดใช้เสียก่อน ภายหลังจึงจะได้รับผลอานิสงค์แห่งการบูชาซึ่งคุณพระรัตนตรัย นี้เป็นกฎแห่งการบูชาพระรัตนตรัยซึ่งให้ผลแน่นอนที่สุดทั้งในโลกนี้และโลกหน้าจนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน

    เพราะการค้นพบพระธรรม หรือการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ของง่าย แต่ต้องอาศัยการสร้างสมบารมีอย่างยาวนานถึงสี่อสงไขยกับอีกแสนกัป ดังนั้น พลังงาน หรืออำนาจบารมีที่เกิดจากการตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้านั้น จึงมีมากมายอย่างมหาศาลหาที่สุดมิได้ กระแสบารมีเหล่านี้จึงเป็นเสมือนสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ครอบคลุมไปทั่วสากลพิภพจักรวาล ซึ่งมนุษย์ทั่วไปไม่อาจสัมผัสได้ ยกเว้นท่านผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ทั้งนี้รวมไปถึงผู้ที่เคยปฏิบัติหรือสั่งสมบารมีธรรมมาแต่ชาติก่อน ๆ ด้วย นอกจากนั้น เทพเจ้าทั้งหลาย มี พระสยามเทวาธิราช พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์
    พระพิฆเนศ พระอินทร์ พระวิษณุกรรม ท้าวมหาราชทั้งสี่ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระภูมิ เทพารักษ์ เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา
    เทพยาดา ทั้งเทพบุรุษ และเทพนารีทุกแห่งหน ตลอดจนพญานาค พญาครุฑ ผู้ทรงตบะญาณแก่กล้า เช่น พระฤาษี และสิ่งศักด์สิทธิทั้งหลาย ก็เป็นที่เคารพนับถือของชนชาวไทยไม่อยู่ไม่น้อย

    ธรรมะที่แสดงถึงความลี้ลับแห่งโลกทิพยืวิญญาณ ที่จัดว่าเป็นคำสอนที่ลึกซึ้งพิสดารอันปรากฏอยู่ใน "พระสุตตันตปิฎก" หรือ "พระสูตร" เป็นหนึ่งในคำสอนที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดา ที่สืบทอดกันมานับพัน ๆปี รวมเรียกว่า " พระไตรปิฎก" นอกเหนือไปจาก "พระวินัย" และพระ " อภิธรรม" ที่ยิงใหญ่ไม่แพ้กัน ซึงได้ถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นโดยพระอรหันต์ผู้ทรงคุณธรรมระดับสูง คือ "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" แตกฉานในพระพุทธธรรมคำสอนอย่างลึกซึ้ง ได้ช่วยกันเรียบเรียงถ้อยความให้ดำรงไว้ซึ่งพระสัจจธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบ กล่าวได้ว่าผู้ใดก็ตามหากได้อ่านพระไตรปิฎก โดยเฉพาะ "พระสูตร" แล้ว จะไม่เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นไม่มี และหากได้อ่าน "พระอภิธรรม" แล้วจะไม่เกิดปัญญา ดวงตาเห็นธรรมเป็นไม่มี หลายท่านคงนึกสงสัยว่า แค่อ่านก็ถึงกับเกิดศรัทธา เกิดปัญญาเลยเชียวเหรอ ขอยืนยันว่า ใช่! แต่ต้องอ่านหลาย ๆ เที่ยว เมื่ออ่านพระไตรปิฎกจนแตกฉานลึกซึ้งแล้วจะไปอ่านหนึงสือธรรมะเล่มอื่น ๆ ก็ได้ เพื่อการศึกษาและเปิดธรรมทัศน์ของตนให้กว้างขวาง (สำหรับ พระวินัย เหมาะสำหรับพระภิกษุผู้ทรงเพศบรรพชิตเท่านั้น ปุถุชนคนธรรมดาแค่ กฎหมาย ก็ศึกษากันจนแทบไม่ไหวอยู่แล้วหรือแค่รักษาศีลห้าก็เพียงพอแล้ว) และต้องเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า แม้พระธรรมคำสอนจะมีอยู่มากมาย แต่มีข้อสรุปอยู่ที่ "การดับทุกข์" เท่านั้น ฉะนั้น ไม่ว่าแต่ละคนจะรู้ธรรมะมากขนาดไหนก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียง ปริมาณ ไม่ใช่คุณภาพ รวมถึงเรื่องฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ต่างๆด้วย ก็เป็นเพียง เปลือก มิใช่ แก่น แต่ประการใด แต่การศึกษาและปฏิบัติธรรมก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อมนุษย์ทุกคนอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะบวชหรือไม่บวช จะนับถือหรือไม่นับถือ เพราะธรรมะเท่านั้นที่ทำให้คนพ้นทุกข์และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข และธรรมะที่แท้จริงหาใช่มีอยู่ในตำราไม่ แต่อยู่ที่ จิตใจ ของมนุษย์ทุกคน เรียกว่า คุณธรรมนั่นเอง

    ผู้มีคุณธรรม แม้ไม่ได้เรียนธรรมะอ่านธรรมะมามากมาย แต่หากมีคุณธรรมในจิตใจแล้วก็ถือว่าเป็นผู้สูงส่งน่านับถือ อาทิ ผู้มีความกตัญญูกตเวทีหาได้ยากในโลกปัจจุบันนี้ หรือผู้ทำหน้าที่ของตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นต้น ผู้มีคุณธรรมอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าจะเกิดในสถานที่ใด หรือมีฐานะอย่างไร ก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังได้ชื่อว่าทรงคุณธรรม และน่านับถืออยู่นั่นเอง แต่ขึ้นชื่อว่ามนษย์แล้วจะไม่มีปัญหาเลยก็ไม่ได้ เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับปัญหา ทั้งปัญหาที่แก้ได้และแก้ไม่ได้ ที่แก้ได้ก็เพราะวิบากกรรมได้เบาบางลงไปมาก แล้วหลังจากที่ชดใช้พอสมควร หรือได้ทำการแก้ไขอย่างถูกต้อง โดยได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากท่านผู้รู้ในเรื่องนั้น ๆ เมือเราแก้ปัญหาของตัวเองไปได้บ้างแล้ว พอสามารถที่จะไปช่วยผู้อื่นได้จึงค่อยช่วย
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    ใช้อุเบกขาในการแก้ปัญหา

    ดังที่พระพุทธองค์ทรงแก้ปัญหาของพระองค์เอง ในขณะที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ก่อน เมือทรงแก้สำเร็จ ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว จึงออกมาช่วยแก้ปัญหาของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย จริงอยู่ที่พระพุทธองค์ทรงสอนเราให้มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ แต่นั่นหมายถึงการที่เรามีความสามารถเพียงพอที่จะช่วยเขาได้ ถ้าเรายังมีความสามารถไม่เพียงพอต่อการช่วยผู้อื่นแล้วพระองค์ก็ทรงสอนต่อไปอีกว่า เราควรตั้งอยู่ในอุเบกขาธรรม เมื่อแนะไม่ได้ สอนไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขาไป เป็นเรื่องสุดวิสัยจริง ๆ หรือ มิฉะนั้นก็แนะนำให้เขาได้ไปขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความสามารถท่านอื่นแทน แต่บางครั้งหากไปเจอคนหลอกลวง โดยอาศัยความเชื่อของคนที่ไม่ได้ทำการศึกษาธรรมะมาก่อนแล้ว ก็จะทำให้เสียเวลา เเละเกิดความผิดพลาดเข้าไปอีก

    เพราะบางคนเขาไปนึกว่าพระพุทธศาสนาสามารถบันดาลโชคลาภให้เขาโดยง่าย หรือบนบานศาลกล่าวขอในสิ่งต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องลงมือขวนขวาย เป็นต้น นั่นเป็นความเข้าใจผิด การตรัสรู้ธรรมรวมถึงการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นไม่ใช่จะได้มาโดยการอ้อนวอนขอร้องหรือการบนบานแต่ประการใดไม่ หากแต่ได้มาโดยการบำเพ็ญเพียรอย่างเอกอุ ด้วยการสร้างบารมีธรรมทั้ง 10 ประการ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบต่างหาก อันได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และอุเบกขา ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานและต่อเนื่องจนกลั่นตัวจากคำว่า "บุญ" เป็น"บารมี" หมายถึงการทำความดีทุกอย่างที่ยังไม่ได้ปรารถนาซึ่งพระนิพพานหรือความพ้นทุกข์นั้น เรียกว่า บุญ (lส่วนคำว่า กุศล หมายถึงความฉลาดในการทำบุญที่เรียกว่า บุญกุศล ถ้าฉลาดในการสร้างบารมีก็เรียกว่า กุศลบารมี ถ้าฉลาดในการวางแผนก็เรียกว่า กุศโลบาย = กุศล+อุบาย ถ้าทำโดยไม่ฉลาดก้เรียกว่า อกุศล เช่น ทำอะไรแล้วเดือดร้อนตนเองภายหลัง ก็จัดเป็นอกุศลทั้งสิ้น เรียกกันทั่วไปว่า บาปอกุศล)

    หากบารมีใกล้ที่จะเต็มเปี่ยมแล้วก็เรียกว่า อุปบารมี หากบารมีเต็มเปี่ยมโดยสมบูรณ์ก็จะเรียกว่า ปรมัตถบารมี เป็นผลให้ผู้ที่สั่งสมบารมีนั้นสำเร็จในการตรัสรู้ธรรมอย่างยอดยิ่งเหนือกว่ามนุษย์และสรรพสัตว์ ประกอบด้วยความสามารถที่เหนือกว่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลาย (ผู้มีกายละเอียดหรือกายทิพย์) ทรงคุณธรรมในระดับสูงสุด เป็นที่พึ่งแก่มวลมนุษย์และสรรพสัตว์ได้อย่างแท้จริง

    และธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อทำใหคนสมหวังในทุกเรื่องหากแต่มีไว้เพื่อศึกษาเรียนรู้ในเรื่องความจริงของชีวิต ยอมรับในความจริงของชีวิตว่ามีทั้งความสมหวังและผิดหวัง ควรามสุขและความทุกข์ต่างหาก ศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจในธรรมชาติในสัจจธรรม และในกฎแห่งกรรมต่างหาก ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีนิพพานไว้ทำไม หากโลกนี้มีแต่ความสุข ความสมหวัง เราก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องสร้างบารมีเพื่อปรารถนามรรคผลนิพพานกันดอก แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น จึงต้องมีพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกเพื่อมาสั่งสอนเราให้ถึงความหลุดพ้นอย่างแท้จริง

    นอกจากนั้น ในพระสูตรยังได้อธิบายถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกด้วยว่า ฟันฝ่าอุปสรรคขนาดไหน คือไม่ใช่จะสำเร็จได้โดยง่ายเลย ความจริงเรื่องราวในพระสูตร นั้นก็ลึกซึ้งมากเกินกว่าที่สติปัญญาของมนุษย์จะตามถึงอยู่แล้ว คนทั่วไปจึงไม่ค่อยสนใจจะอ่านกัน เพราะคิดว่าทำไม่ได้ไปไม่ถึงขั้นนั้นแน่นอน จะไปอ่านมันทำไม เลยละทิ้งไม่สนใจของดีที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ แถมยังมีบางคนที่ไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง กล่าวหาเรื่องราวในพระสูตรว่าเป้นเพียงนิทานหลอกเด็กไปเสียอีกเท่ากับกล่าวหาพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระสัพพัญญู และพระอรหันต์ผู้เรียบเรียงพระไตรปิฎกว่าแต่งนิยายไว้หลอกผู้คนไปเลย เข้าใจอะไรผิดเสียแล้วกระมัง ? เสียดายนักที่มีตาแต่ไร้แวว (หมายถึงฉลาดแต่ไม่เฉลียว) คิดไปเองว่า จักรวาลนี้คงจะคับแคบเหมือนกับสมองและจิตใจของตนเองนั่นแล
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    มงคลที่แท้จริง

    โลกของวัตุแม้จะมีวิวัฒนาการถึงขนาดไหนก็ตาม แต่รากฐานโดยธรรมชาติแล้ว ย่อมมีที่มาที่ไป และนั่นคือเหตุผลที่ต้องมีผู้รู้อย่างพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ เช่นทรงตอบข้อสงสัยของเหล่าเทวดาทั้งหลายในครั้งพุทธกาลว่า มงคลที่แท้จริงคืออะไร ดังปรากฏใน "มงคลสูตร 38 ประการ" หนึงใน พระสูตรสำคัญของ พระสุตตันตปิฎก และปรากฏมีในอีกหลายๆ พระสูตรที่บ่งถึงการแก้ความสงสัยของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย รวมถึงยักษ์ นาค คนธรรมพ์ และอมนุษย์อื่นๆ ล้วนแสดงถึงความสำคัญและมีที่มาที่ไปอย่างไมธรรมดาทั้งสิ้น

    แม้เรื่องกำเนิดของมนุษย์และจักรวาล ยังมีกล่าวถึง ทั้งใน อัคคัญญสูตร และจักกวัตติสูตร แล้วอย่างนี้จะว่าพระพุทธศาสนาไม่ก้าวล้ำนำหน้ากว่าวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร อย่าว่าเเต่เรื่อง "อะตอม" เลย แม้กระทั่ง "นาโนเทคโนโลยี" และ "ควอนตัมพิสิกส์"

    ก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะเรื่องของเทวดาผู้มีกายละเอียด และเรื่องของ มิติโลกทิพย์ โลกวิญาณ ก็จัดเป็น ชีวะ-นาโนขั้นสูง หรือ เรื่องของ ฌาน-สมาธิ และ ญาณ-สมาบัติ ก็จัดเป็นชีวะ-ควอนตัม-ฟิสิกส์ชั้นสูงโดยแท้ ที่แประกอบไปด้วยโครงสร้างทางมิติที่ซับซ้อนและหลากหลายทางชีวภาพ อันเป็นแหล่งเรียนรู้ในเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงเรื่องของ ความดี ความชั่ว บุญและบาปที่จัดเป็นมาตรฐานสำคัญของห้วงสากลจักรวาล และเป็นแหลงที่อยู่อาศัยร่วมกันมวลอณูลีชีวภาพ ที่เรียกว่า "สัตว์โลก" ที่มีกามตัณหา ความปรารถนาแห่งวัตถุกามเป็นแรงขับดันในการกระทำต่างๆ จึงเรียกว่า กามาวจรภูมิ คือตั้งแต่ โลกมนุษย์ 1 และสวรรค์ 6 ชั้นฟ้า รวมเป็น 7 ภูมินั่นเอง

    ละอองธุลีชีวภาพเหล่านี้จะทำทุกอย่างเท่าที่มีความสามารถจะทำได้ในการหาวัตถุมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง โดยนอกเหนือจากความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ที่เรียกว่า ลาภ ยศ ชื่อเสียง และความมั่งคั่งมั่นคงต่าง บ้างก็มีความสามารถในทางที่ดี บ้างก็ม ความสามารถในทางที่ไม่ดี ก้ถือเป็นความสามารถที่เฉพาะตัว แต่สุดท้ายแล้ว จักรวาลก็จะจัดสรรให้เกิดความสามดุลและเท่าเทียมอย่างยุติธรรมในที่สุด หากธุลีชีวภาพใดสามารถเรียนรู้ถึงการพัฒนาคุรรมในจิตใจ ก็จะสามารถเข้าถึงโลกวิญญาณที่พัฒนาแล้วได้ ซึงเป็นโลกวิญญาณในระดับสูงที่เรียกว่า "รูปาวจรภูมิ" ได้แก่ พรหมโลก ทั้ง 16 ชั้น เพราะสามารถพัฒนาจิตวิญาณให้ละเอียดด้วยคุณธรรมระดับสูงได้ จึงเรียกว่า พรหม แปลว่าประเสริฐ คุณธรรมดังกล่าว ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา รวมเรียกว่า พรหมวิหาร 4

    อย่างไรก็ดี พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงจัดระเบียบแห่งธรรมะ ทั้งหลายให้เป็นหมวดหมู่ไว้แล้วดังปรากฎในพระไตรปิฎก ขอให้ศึกษากันอย่างครบถ้วนด้วยตนเองเถิด การศึกษาพระไตรปิฎกนั้น ถ้าจะให้ดี ต้องศึกษาคู่มืออีกหลายเล่ม อาทิ คัมภีร์วิสุทธิมรรค มิลินทปัญหา และ ตำราพระธรรมบท เป็นต้น แม้คัมภีร์ฝ่ายพุทธมหายานก็ควรที่จะศึกษาไว้ด้วย เพื่อทำการเปรียบเทียบและวินิจฉัยในขั้นต่อไป

    แต่ที่สำคัญ การลงมือปฏิบัติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ปฏิบัติอะไร ไม่ใช่แค่ปฏิบัติสมาธิ แต่หมายถึงการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงจำแนกแจกแจงไว้แล้วอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ และสามารถเลือกปฏิบัติได้ตามแต่จริตนิสัย บางคนแค่อ่านก็เข้าใจ บางคนแค่สนทนาก็เข้าใจ บางคนใช้เวลานิดหน่อยก็เข้าใจ แต่บางคนต้องใช้เวลาทุ่มเทอย่างมาก ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากคำว่า "บุญเก่า" เป็นสาคัญ เพราะทำมาไม่เท่ากันและไม่เหมือนกัน ฉะนั้นจึงมีความหลากหลายมากเพียงเรื่องของการปฏิบัติ

    อาตมาผู้เขียนพอดีเป็นผู้ที่สั่งสมบำเพ็ญมาในด้านของ "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" ที่มีอดีตเป็น "พุทธภูมิ" มาก่อน แม้ว่าจะยังไม่สำเร็จถึงขั้นสูงสุด แต่ด้วยอุปนิสัยและวาสนาบารมีเดิม จึงไม่เเปลกเลยที่มาแนะนำสั่งสอนในด้านนี้ และมีเหตุผลบางอย่างที่จะได้ไปเกิดในยุคของพระศรีอารย์พุทธเจ้า จึงได้ทำการสนับสนุนส่งเสริม และแนะแนวแนะนำทุกวิถีทางให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้ไปให้ทันในยุคนั้นให้ได้ เกิดน่ะเกิดแน่ แต่จะเกิดเป็นอะไร ? จะได้ฟังธรรมหรือไม่ ? และฟังแล้วจะรู้เรื่อง จะเข้าใจ จะได้บรรลุธรรมหรือไม่ ? นั่นเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดกันเสียแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะไม่ทันได้คิดและสายเกินไป ก็ขอให้ทุกท่านได้เตรียมตัวเตรียมใจ และเตรียมบุญบารมีให้พร้อม จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา หากชาตินี้ก็พลาดจากพระพุทธเจ้า พลาดจากพระนิพพานแล้ว ยังพลาดจากยุคพระศรีอารย์อีกก็น่าเสียดาย (เรื่องไปสวรรค์นั้น...ไม่ยาก... ศาสนาอื่นเขาก็ไปกันได้)
    เป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยของเราเป็นแหล่งศูนย์รวมของลัทธิศาสนาต่าง ๆ มากมาย โดยแทบที่จะไม่มีปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาดังเช่นประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากอุปนิสัยของชนชาติไทยที่มีลักษณะจิตใจกว้างขวาง และมีความเอื้ออาทรต่อทุก ๆ ชนชาติ คนไทยจึงไม่รังกียจและกีดกันความเชื่อหรือวิทยาการใด ๆ ที่จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย และความกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ แต่หากเราไม่หาจุดแห่งความพอดีและความเหมาะสมให้แก่ ประเทศของเราแล้ว ก็ไม่แน่ว่ายุคแห่งโลกวิทยาศาสตร์และ(นาโน) เทคโนโลยีเหล่านี้จะดีไปกว่ายุคสมัยของไทยโบราณหรือไม่ หรือจะพูด ให้ชัดก็คือ ยุคโลกาภิวัฒน์จะกลายเป็นยุคแห่ง"โลกาวินาศ" หรือไม่

    เพราะทุกวันนี้ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใดเราก็จะเห็นแต่ทุนนิยมบริโภคนิยมและวัตถุนิยมกันเสียสิ้น การค้าเสรีที่มีแต่วัตถุนั้นไม่ได้ช่วยให้จิตใจของมนุษย์สูงขึ้น ตรงกันข้ามกลับทำให้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด และนี่เป็นที่มาของเหตุการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ในโลกมนุษย์ อาตมาเชือในพระพุทธพจน์อยู่ข้องหนึ่งว่ "โลกนี้จะวุ่นวาย เพราะหมู่มนุษย์ไม่ตั้งอยู๋ในธรรม" ทั้งจากภัยสงคราม และภัยจากธรรมชาติ จึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน โดยมีเหล่าเทพ พรหม พระโพธิสัตว์ พระอริยบุคคลทั้งหลาย จึงคิดหาทางช่วยเหลือมวลมนุษย์ โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในธรรม ให้อยู่รอดปลอดภัยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะอีกไม่นานแล้วที่หลักธรรมแห่งพระบรมศาสดาแท้ ๆ จะเลือนหายไป ขาดผู้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง การสืบต่อแห่งพระพุทธศาสนาก็จะสินสุดลง โลกนี้จะเป้นอย่างไรคงต้องติดตามดูกันเอง

    หน้าที่ของอาตมาก็คือ การประกาศถึงบารมีแห่งพระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์หน่อเนื้อพุทธภูมิองค์สำคัญแห่งภัทรกัปนี้ ผู้ที่เคยศึกษาในคัมภีร์อนาคตวงศ์จะเห็นความเชื่อที่สืบทอดมายาวนานของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ถึงพระบารมีอันยิ่งใหญ่ไพศาลแห่งพระบรมโพธิสัตว์พระองค์นี้ ทั้งหมดล้วนเป็นความจริงและจะปฏิเสธไม่ได้เลยถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย การช่วยเหลือมวลมนุษย์ เป็นหน้าที่ของสิ่งศักด์สิทธิ์ทั้งหลาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในจักรวาล ก็ไม่มีสิ่งใดเกิน "พระรัตนตรัย"
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    คุรุแห่งโลกวิญญาณ

    หลวงปู่ทวด ในฐานะ คุรุแห่งโลกวิญญาณ ในฐานะแห่งพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มเป็นภาคหนึ่งเเห่งพระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ได้สอนถึงการแผ่เมตตาออกไป โดยไม่มีประมาณทั่วแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล คือ หลังเสร็จจาก การไหว้พระสวดมนต์แล้วให้นั่งสมาธิ หรือเจริญวิปัสสนาพิจารณาธรรมต่อไป จากนั้นจึงกำหนดจิตแผ่เมตตาออกไป ตามทิศทั้งหก และทั่วแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาล ตั้งแต่ ทิศเบื้งบน เบื้องล่าง เบ้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องขวา และ เบื้องซ้าย และแผ่ออกไปโดยไม่มีประมาณตามลำดับ จนกว่ารัศมีแห่งจิตจะปรากฏรังสีขาวนวลสว่างแผ่กระจายออกไปจริง ๆ สุดท้ายจึงแผ่เข้ามาภายในตัวคือกายกับจิตของเรา ซึ่งสามารถฟอกกายและจิตของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ด้วยอำนาจแห่งเมตตาเจโตวิมุตติ อันเป็นอัปปมัญญาพรหมวิหาร ข้อปฏิบัติชั้นสูงในพระพุทธศาสนา โดยผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ หรือปรารถนาพระนิพพานก็ตาม จะละเว้นเสียมิได้ เป็นทั้งการพัฒนาจิตยกระดับจิต และฝึกจิตให้เกิดบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ ได้ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนการรวมจิตให้เป็นสมาธินั้น ไม่ควรลังเลสงสัยในคำบริกรรมหรือขั้นตอนวิธีการให้มากนัก

    หลักปฏิบัติขององค์หลวงปู่ทวด เน้นที่ สติ กับ ลมหายใจ อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นที่รูปแบบใด ๆ จิตที่จดจ่อกับลมหายใจ(จดจ่อไม่ใช่บังคับ)
    เรียกว่า "อานาปานสติ" แปลว่า ลมหายใจแห่งสติ หายใจอย่างไรให้ได้สติ ฝึกสติอย่างไรให้เกิดปัญญา เรื่องเหล่านี้ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ส่วนนิมิตที่เกิดจากสมาธินั้น เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ปฏิบัติอยู่แล้ว ไม่ควรตื่นเต้นหรือตกใจ แต่ควรทำใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงหรือขึ้นลง การเอนเอียงหรือขึ้นลงของจิต เกิดจากอำนาจของกิเลส

    เมื่อผ่านบททดสอบทางจิตแล้ว ขั้นต่อไปก้จะเป็นเรื่องของมิติแห่งโลกวิญญาณที่มีความลึกซึ้งและสลับซับซ้อนมาก ยิ่งเข้าไปสัมผัสยิ่งน่าอัศจรรย์ใจ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไร ส่วนใหญ่แค่บททดสอบทางจิต เช่น ภาพนิมิตต่าง ๆ นั้นก็ไม่ค่อยจะผ่านกันอยู่แล้ว จึงแทบไม่ต้องพูดถึงขั้นต่อไปเลย
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    ลำดับขั้นแห่งสมาธิ

    ถ้าจะแบ่งลำดับขั้นของสมาธิแล้วก็พอจัดได้ดังนี้ ขั้นแรกก็คือขั้น"รวมจิต" คือ ฝึกอย่างไรก็ได้ให้จิตมันรวมเป็นหนึ่งเสียก่อน ใช้วิธีไหนก้ได้ตามถนัด เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งแล้ว ก็จะเกิดพลังจิตอันเป็นขั้นต่อไป คือขั้น "จิตทิพย์" เกิดอำนาจทางจิตหลายอย่าง ถ้ารู้จักใช้ก้จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่รู้จักใช้ก็จะถอยหลังลงคลองไปเลย ถ้าทำบุญมาดีก็จะถึงขั้น

    "มิติทิพย์" คือ จิตสามารถสัมผัสถึงมิติแห่งโลกทิพย์โลกวิญาณได้ตามความละเอียดของจิตทิพย์นั้น ๆ ซึ่งมีความลึกซึ้งพิสดารมากมายสุดจะพรรณนา ถ้าไม่หลงทางเสียก่อน (หมายถึงทางไปนิพพาน) ก็จะได้เจอ "คุรุแห่งโลกวิญญาณ" ที่มีทั้งพระอริยสงฆ์ อริยเทพ อริยพรหม เทพโพธิสัตว์ พรหมโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ พระฤาษี พระลามะธิเบต เหล่าเซียนผู้วิเศษแห่งสรวงสวรรค์ เเละท่านผู้สำเร็จท่านผู้ทรงคุณธรรมท่านอื่น ๆ ที่อยู่ในโลกวิญาณ คอยอบรมสั่งสอนให้เข้าถึงธรรมชั้นสูงต่อไป ตามหน้าที่และความเกี่ยวพัน ซึ่งจะได้ธรรมชั้นระดับใดนั้น ก็สุดแท้แต่บุญบารมีของผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญ นอกจากการแผ่เมตตาทางกระแสจิตแล้ว การกล่าวคำอุทิศส่วนกุศลด้วยวาจาก็เป็นสิ่งจำเป็น
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    รัตนชาติอัญมณี

    นอกจากวัตถุมงคลที่ศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนาแล้ว ของดีตามธรรมชาติก็ให้ผลดีกับมนุษย์ นั่นก็คือ รัตนชาติอัญมณี ที่นับถือกันมาแต่โบราณแทบทุกชนชาตินั่นเอง หลวงปู่ทวดเล่าว่า ท่านเองก็เคยได้รับแก้ววิเศษมาจากพญานาค ตอนนี้เก็บรักษาอยู่ที่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวังสงขลา ได้ใช้แก้ววิเศษนี้ ช่วยเหลือคนให้รอดพ้นจากเหตุการณ์คับขันอันตรายจำนวนมากนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ต้องมีอันแตกทำลายไปตามหลักแห่งอนิจจัง

    ท่านว่าในรัตนชาติอัญมณีอื่น ๆ ก็มีพลังอยู่ด้วยเช่นกัน หากรู้จักนำมาใช้ก็จะเกิดประโยชน์มาก เพราะในอดีต เหล่าฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ทั้งหลายก็ได้นำมาใช้ และแต่งเป็นตำรารัตนชาติขึ้นมา เพื่อถ่ายทอดให้แก่มวลมนุษย์ ตำรานี้เก่าแก่มาก จารึกเป็นอักษรพรหม หรือภาษากูโบ๊ส ท่ายเคยถามจากพระฤาษีเจ้าของตำรา ก็ได้ความรู้ เกี่ยวกับรัตนชาติต่าง ๆ มามาก จึงนำมาบรรจุในพระคาถามหาจักรพรรดิของหลวงปุ่ดู่ วัดสะแก ที่ว่า

    นะโมพุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อัคคีทานัง วรัง คันธัง สิวลี จะ มหาเถรัง ( อุปคุตตัง จะมหาเถรัง,โลกุตตรัง จะ มหาเถรัง - เพิ่มพระอุปคุตกับหลวงปู่ใหญ่) อหัง วันทามิ ทูระโต อหัง วันทามิ ธาตุโย อหัง วันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ


    ซึ่งมีคำว่า "มณีนพรัตน์" อยู่ด้วย อันหมายถึง รัตนชาติทั้งเก้าประการ ได้แก่ เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน ไพลิน มุกดาหาร เพทาย และ ไพฑูรย์ ที่ปรากฎอยู่ในตำรานพรัตน์โบราณของไทย อันสืบทอดมาจากคัมภีร์พระเวทภาคพระครุฑโบราณ และอัคนีโบราณของอนเดีย ซึ่งแต่โดยคณะพระฤาษีแถบเชิงเขาหิมาลัยเมื่อหลายพันปีก่อน แต่โบราณเชื่อกันว่า หากอัญมณีทั้งเก้าประการมาประชุมรวมกัน จะก่อให้เกิดอำนาจอันมหัศจรรย์ สามารถคุ้มครองป้องกันเภทภัยอันตรายต่าง ๆ ได้

    และในพระไตรปิฎกเอง พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสเล่าถึงสมบัติแห่งพระเจ้ามหาจักรพรรดิ 7 ประการ ซึ่งมี "มณีรัตนะ" เป็นแก้ววิเศษคู่บารมีด้วย สามารถเปล่งแสงสว่างออกมาได้ ทั้งกลางวันและกลางคืน หรือในสมัยโบราณก้เชื่อกันว่ามีอัญมณีวิเศษตามธรรมชาติ สามารถให้คุณกับมนุษย์อย่างมากมาย เหมือนที่นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นต้น ส่วนมิติต่าง ๆ ทีซ้อนกันอยู่ในโลกของเรานี้ก็ยังมีอีกมากมายนัก ทั้งบนบก ในอากาศ และในทะเล ทั้งโลกลับแลของบังบด (คือ คนทิพย์ประเภทหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามภาคพื้นดิน ทั้งในภูเขาและในป่าลึกทั่วโลกมนุษย์) โลกสวรรค์ของเหล่าเทวดา ( คือ กายทิพย์ชั้นสูงที่อยู่ในมิติของบรรยากาศชั้นสูง ๆ ขึ้นไปตามลำดับ) โลกใต้บาดาลของเหล่าพญานาค ( คือ สัตว์เลื้อยทิพย์ที่มีฤทธิ์มาก อาศัยอยู่ทั้งในแม่น้ำใต้ผิวโลก แม่น้ำบนผิวโลก และท้องมหาสมุทรทั่วโลก คนละชนิดกับ "มังกร"
    ที่เป็นสัตว์กายสิทธิ์ยุคโบราณ) พิภพอสูรใต้เขาพระสุเมรุ=ภูเขาทิพย์ในโลกวิญญาณ ) ที่เคยรบกับเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์มาแล้วในอดีต ดังปรากฏใน
    "ธชัคคสูตร" และ "จิตรสูตร" แต่หมู่อสูรก็พ่ายแพ้แก่เหล่าเทวดาทุกครั้งไป (อสูร เป็นคนละประเภทกับ อสุรกาย)

    ทั้งหมดที่กล่าวมายังแบ่งออกเป็นประเภทและระดับต่าง ๆ อีกมากมาย (สัตว์ปีกทิพย์ เช่น ครุฑ ก็มี และสัตว์ทิพย์ลูกครึ่งกลายพันธุ์อีกมากมายหลายชนิดในป่าหิมพานต์) โลกของเทวดาหลายท่านคงจะผ่านตามาบ้างแล้วใน ธัมมจักกับปปวัตตนสูตร อันเป็นพระสูตรที่เป็นปฐมธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าของเรา ตั้งแต่ ภุมมานัง เทวานัง ฯลฯ ไปจนถึง พรหมโลกสุทธาวาสทั้ง 5 ชั้น ซึ่งทำให้เหล่าเทวดาพรหม จำนวน 18 โกฏิ บรรลุธรรมในขณะที่มีมนุษย์บรรลุธรรมขั้นโสดาปัตติผลเพียงคนเดียว

    และใน "มหาสมัยสูตร"
    ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงถึงเหล่า เทวดา อินทร์ พรหม ยมยักษ์ นาค ครุฑ อสูร เหล่า กายทิพย์จำนวนมาก ที่ระบุทั้งประเภท ปริมาณ อำนาจความสามารถ ลักษณะแห่งแสงรัศมีและที่อยู่อาศัยไว้ด้วยอย่างชัดเจน จนคนสมัยปัจจุบันอาจถึงกับอ้าปากค้างไปเลยก็ได้ หากได้เห็นอย่างที่พระพุทธองค์ทรงเห็นเพราะแม้แต่พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาหลาย ๆ รูป ยังต้องเอ่ยปากทูลถามพระพุทธองค์ถึงผู้ที่มาเหล่านั้น เพราะยังไม่เคยเห็นการชุมนุมของเหล่ากายทิพย์จำนวนมากขนาดนี้มาก่อน จึงเรียกว่า "มหาสมัย" แปลว่า ช่วงเวลาที่สำคัญและยิ่งใหญ่ เทียบเท่าได้กับการแสดงพุทธปาฏิหาริย์เปิดโลก หลังจากที่ทรงเสด็จลงมาจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่บันดาลให้มิติแห่งโลกทิพย์โลกวิญญาณ เปิดออกด้วยอำนาจแห่งพระพุทธบารมี ทำให้เหล่ามนุษย์ เทวดา สัตว์นรก เเละเหล่ากายทิพย์ในมิติภูมิอื่น ๆ และเห็นซึ่งกันและกันได้

    สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังเป็นปุถูชนอยู่ ต่างก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น เพราะต่างก็ทึ่งและประทับใจในความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าอย่างถึงที่สุด ( พวกที่บารมีเต็ม และเบื่อหน่ายต่อการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ต่างก็บรรลุธรรมกันเป็นจำนวนมากมายมหาศาล)

    คำว่า เทวดา นั้น หมายถึง ผู้มีกายอันเป้นทิพย์เรืองแสดง ทรงไว้ซึ่ง ทิพยภาวะ มีอยู่หลายประเภทหลายระดับชั้นเช่นกัน เท่าที่อาตมาผู้เขียนได้สัมผัสนั้น รู้สึกว่ามิติของโลกเทวดานั้น่าอยุ่จริง ๆ สมแล้วที่ปรรดาอสูรใต้พิภพถึงคิดแย่งชิงครอบครอง เพราะแม้แต่เทวดาในระดับพื้น ๆ เช่น ภุมมเทวา ก็มีความน่าอยู่มาก มีความคล่องตัวสูง ร่างกายก็เบาสบาย และมีความสุขมากกว่ามนุษย์หลายเท่า กระทั่ง วิมาน คือบ้านของเทวดาก็สูงใหญ่กว้างขวางมาก แทบไม่มีความทุกข์ร้อนใด ๆ เลย แต่อย่างว่า เทวดาก็มีอายุขัย และอยู่ภายใต้ "กฎแห่งกรรม" เช่นเดียวกับสัตว์โลกทั้งหลาย

    สมบัติของเทวดา ล้วนได้มาจากบุญกุศลทั้งหลายที่ได้เคยกระทำมาแต่อดีต เท่าที่สังเกต นอกจากจะสว่างไสวสมชื่อแล้ว เทวดายังมีเพชรพลอยอัญมณีทิพย์ต่างๆ ประดับกาย และประดับวิมานอยู่ด้วยไม่ทราบว่ามีได้เพราะเหตุใด แต่เดาว่าคงเกิดจากบุญกุศลบันดาลวิมานเทวดา มีทั้ง วิมานแก้ว วิมานทอง วิมานเงิน อันประดับด้วยอัญมณีต่าง ๆ หลายชนิด ทำให้นึกสงสัยว่าอัญมณีที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ของเรานี้ เกี่ยวข้องอะไรกับอัญมณีของเหล่าเทวดา ก็บังเอิญ
    ได้พบในตำรากำเนิดรัตนชาติ เป็นภาษาบาลี แปลความว่า

    อันว่ารัตนชาติทั้งหลาย มีสีดำแลสีแดงแลมีสีต่างๆ ซึ่งวิเศษนอกจากแก้วเก้าประการนี้มีเป้นอันมาก ย่อมบังเกิดในที่แถบเชิงเขาพระเมรุ เกิดในท้องมหาสมุทร เกิดในภูเขา เกิดในป่าหิมพานต์ เกิดด้วยอำนาจเทวฤทธิ์ เกิดในบ่อแก้วทั้งหลายในแดนมนุษย์ ด้วยอานุภาพบุญฤทธิ์แห่ง พระเจ้าจักรพรรดิกษัตราธิราช รัตนชาติทั้งหลายก็ปรากฏมีเท่าทุกวันนี้แล

    และได้ทราบว่า นอกจากรัตนชาติจะเกิดในสวรรค์ และโลกมนุษย์และว ยังมีผู้ทำหน้าทีดูและรักษามหาสมบัติเหล่านี้อยู่ นั่นก็คือท่านท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 พระองค์ โดยเฉพาะ ท่านท้าวเวสสุวัณ ราชาแห่งยักษ์และภูตผี จะดูแลมากเป็นพิเศษ เพราะแม้กระทั่งสมบัติ และแก้วมณีรัตน อันเป้นของคู่บุญบารมีแห่งพระเจ้ามหาจักรพรรดิ ก็อยู่ในความดูแลของท่าน หรือเหล่าพยานาคทั้งหลาย ที่เป็นบรวารของท่าน ท้าววิรูปักษ์ ก็มีสมบัติมากไม่แพ้กัน ซึ่งสมบัติส่วนใหญ่ก็เป็นรัตนชาติต่าง ๆ แสงว่าแม้แต่เหล่าเทวาพญานาคทั้งหลายก็ให้ความสำคัญกับอัญมณีเป็นอย่างมากไม่แพ้ชาวมนุษย์โลกเลย ทั้งรัตนชาติที่สำคัญบางอย่างก็ปรากฏว่ามีฤทธิ์มีอานุภาพมาก เช่น แก้วมณีรัตน ของพระเจ้ามหาจักรพรรดิ แก้วมณีนาคราช ของเหล่าพญานาค (ไม่ใช่อย่างที่เอามาขายกัน) แก้วจินดามณี ของนางเมขลาเทพธิดาประจำพระมหาสมุทร รวมถึงแก้วกายสิทธิ์อื่น ๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้นกับผู้มีบุญ เช่น ท่านโชติกะเศรษฐีในสมัยพุทธกาล เป็นต้น

    แก้ววิเศษเหล่านี้ ล้วนเป็นแก้วที่ไม่ธรรมดา จัดเป็นรัตนชาติศักดิ์สิทธิ์คู่บุญบารมีเท่านั้น ไม่สาธารณะแก่คนทั่วไป จึงไม่ต้องเสียเวลาขวนขวายเสาะแสวหาให้เหนื่อยยยากไป แต่ที่น่าสนใจก็คือแร่รัตนชาติอัญมณีที่มีอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ก็แฝงไว้วึ่งความศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย หากได้ของที่ดีมีคุณภาพ และหากใช้กรรมวธีทางพุทธศาสนาเสริมเข้าไป ก็จะทำให้มีอานุภาพมากทีเดียว มากพอที่จะช่วยให้ผู้ที่เป็นเจ้าของได้รับพลังในการช่วยเหลือและคุ้มครองต่าง ๆ ได้เพราะแร่ธาตุเหล่านี้มีพลังสัมพันธ์กับรังสีของดวงดาวต่าง ๆ ในจักรวาลที่มีผลโดยตรงต่อมนุษย์
    สีของอัญมณีก็คือ สัญลักษณ์ตัวแทนของรังสีที่แผ่พุ่งมาจากดวงดาวต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่า "รังสีจักรวาล" ทีมีสีสันต่าง ๆ กันตามระดับและประเภทของรังสี ถือเป็นจุดศูนยืรวมของรังสีแห่งดวงดาวที่มีคลื่นความถี่ต่าง ๆ กัน และดึงเอามวลสารแร่ธาตุที่มีพลังงานในระดับปรมาณูอันละเอียดมาเป็นลักษณะเฉพาะตามแต่ละชนิดของอัญมณีหรือแร่ธาตุนั้น ๆ อันเกิดจากแรงดันใต้พิภพ แรงโน้มถ่วงของโลกและจักรวาล สนามแม่เหล้กโลกและจักรวาล และคลื่นแสงรังสีแห่งจักรวาล ทั้งยังเกี่ยวข้องกับรังสีที่มีอยู่ประจำกายทิพย์ของเรา รวมถึงรัศมีทิพย์ของเทวดาที่รักษาประจำตัวของเราด้วย (เทวดาที่รักษาตัวนี้ มีเป็นบางคน )

    ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์ในยุคโบราณจะค้นพบความน่าอัศจรรย์ของแรธาตุเหล่านี้ ซึ่งถ้าจะมีใช้ทั้งที ก็น่าจะสรรหาของดีที่ถูกต้องเหมาะสมกับตนเองถึงจะถูกต้อง เพราะแม้แต่แร่ธาตุอัญมณีจะมีพลังแฝงอยู่ทุกชนิด แต่ก็ไม่ได้ส่งผลดีแก่เราทุกชนิด จึงจำเป็นต้องแยกแยะพอสมควร ดังจะเห็นได้จากแร่ธาตุบางอย่าง ก็เปล่งกัมมันตภาพรังสีที่ทำลายสุขภาพของเรา เช่น กากนิวเคลียร์ที่มาจากแร่ยูเรเนียม หรือกัมมันตภาพรังสีที่มาจากแร่โคบอลต์ 60 เป็นต้น ในตำรานพรัตน์โบราณของไทย คัมภีร์พระเวทภาคพระครุฑโบราณ และอัคนีโบราณของอินเดีย ก็ระบุตรงกันว่า ควรใช้อัญมณีที่ถูกต้องเหมาะสมกับตนเอง และเป็นอัญมณีที่ดีมีความบริสุทธิ์.๔กต้องตามลักษระแห่งอัญมณีที่มีคุณ จะเรียกว่าเลือกใช้ให้ถูกกับโฉลกก็ได้ ไม่ใช่มองแร่ธาตุอัญมณีว่าเป็นเพียงเครื่องประดับเพื่อความสวยงามหรือเพื่อการค้าขายลงทุนเท่านั้น แต่ต้องมองอย่างนักวิทยาศาสตร์ที่รุ้จักศึกษาค้นคว้าเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และมองอย่างผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยน มีทั้งศาสตร์และศิลป์อยู่ในหัวใจ ดังคำโบราณว่า "เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย์ " นับว่าเป็นคำที่ไพเราะ และบ่งบอกถึงคุณค่าแห่งอัญมณีนพรัตน์หรือแก้วทั้งเก้าประการมาแต่โบราณกาล

    ซึงอัญมณีทั้งเก้านี้ ล้วนเกี่ยวพันกับดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าดวงในจักรราศรีนั่นเอง อันเป็นที่มาของดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และ อัญมณีศาสตร์ แต่ในทางโหราศาสตร์จะแบ่งจักรราศีออกเป็น 12 ราศี เพื่อคำนวณหาจุดพิกัดแห่งดวงดาวว่าส่งผลอย่างไรกับมนุษย์และโลก ส่วนดาราศาสตร์ก็จะศึกษาออกไปจากนอกโลกของเราไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด อำนาจวิเศษของอัญมณีนั้นคงไม่สามารถกล่าวได้หมดในที่นี้แน่ แม้หลวงปู่ทวดของเราก็ยังมีลูกแก้วกายสิทธิ์คู่บุญบารมี หรือ ในพระคาถามหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่วัดสะแกก็ยังมีคำว่า "มณีนพรัตน์" ปรากฏอยู่ด้วย แสดงถึงความสำคัญของแววิเศษทั้งเก้าประการ รวมถึงพระธาตุจุใมณีเจดีย์บนดาวดึงส์สวรรค์ ก็ยังปรากฏเพชรพลอยอัญมณีทิพย์ต่าง ๆ ประดับเป็นพุทธบูชาอยู่มากมาย (องค์พระจุฬามณีเจดีย์ สร้างด้วยแก้วอินทนิลมีสีเขียว เป็นสีประจำพุทธากาลนี้ ) แต่สำหรับในพรหมโลกแล้ว ทั้งร่างกายและวิมานของพระพรหมทั้งหลายล้วนเป็นสีทองสว่างไสว และมีรัศมีกายสว่างมาก ในขณะที่ร่างทิพย์ของเทวดาจะมีลักษณะโปร่งแสง และมีสีแบบแก้วเคลือบด้วยเงินหรือปรอท ส่วนเครื่งอทรงของพรหม จะประดับอัญมณีที่ใสสว่างมากกว่าของเทวดา แสดงว่าอัญมณีทิพย์เป็นเครื่องบ่งบอกถึงระดับของบุญบารมีได้เช่นกัน นอกเหนือไปจากความสว่างของรัศมีประจำตัว

    และเท่าที่ทราบ ในครั้งกำเนิดของโลกยุคปฐมกัป พรหมชั้นอาภัสสรา
    ผู้มีแสงรัศมีในตัวเอง หลังจากที่ลอยมาเสพกินง้วนดิน จนร่างกายเริ่มปรากฏเป็นรูปร่างด้วยมหาภูตรูป หรือธาตุทั้ง 4 แบบหยาบ ๆ แล้ว แสงรัศมีประจำกายของพรหมเหล่านั้นวึ่งกระจายกันอยู่ทั่วโลก ก้ได้แทรกซึมเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและวัตุธาตุต่าง ๆ ในโลก ทำให้โลกนี้มีสีสันต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย และมีความสัมพันธ์กับแสงรังสีต่าง ๆ ในจักรวาลด้วย และอณูของแสงเหล่านี้ยังก่อให้เกิดวัตถูธาตุทรงพลังในรูปแบบต่าง ๆ มากมายนับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน บางอย่างบางชนิดก็มีความพิสดารมาก เช่น เหล็กไหล ปรอท คด อันเป็นโลหะธาตุกายสิทธ์ หรือ แร่ธาตุอัญมณีวิเศษอื่น ๆ รวมทั้งว่านยาสมุนไพรกายสิทธิ์ ต่าง ๆ เป็นต้น (บางคนเข้าใจผิดว่ามีพระฤาษีในสมัยโบราณเป็นผู้สร้าง ๆ ของยืนยันว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเอง พระฤาษีเพียงค้นพบแล้วนำมาใช้เท่านั้น อย่างมากก็นำมาเพิ่มอำนาจเพื่อทดสอบพลังจิตของตัวเองหรือปรุงเป็นยาอายุวัฒนะ แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้สร้างแต่อย่างใด )

    ความจริงความรู้เหล่านี้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็รู้ และรู้มากกว่าเหล่าพระฤาษีด้วย แต่พระพุทธองค์ทรงโปรดในการแสดงธรรมเท่านั้น ไม่ประสงค์จะให้ชาวโลกเสียเวลาไปกับเรื่องต่าง ๆ ของโลกและจักรวาล เพราะนั่นไม่ได้เป็น
    ไปเพื่อความหลุดพ้นแต่ประการใด แต่พระองค์ก็ทรงชี้แนะให้บำเพ็ญสมาธิเอง
    ให้รู้เอาเองตามวาสนาบารมีดังที่อาตมาภาพได้ประสบพบเจอนั่นเอง หากบำเพ็ญสมาธิจนถึงระดับกลางแล้ว (อุปจารสมาธิ ) ย่อมจะเห้นเองว่าแสงสีและภาพนิมิตต่าง ๆ ในสมาธินั้นเป็นอย่างไร นั่นคือคลื่นแสงรังสีแห่งจักรวาล และมิติแห่งโลกทิพย์ โลกวิญญาณ ที่จิตได้ไปสัมผัสนั่นเอง
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    พุทธนิมิต

    วิธีปฏิบัติสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางของพระฤาษีดาบส หรือในทางพระพุทธศาสนาทั้งกสิณ คือ การเพ่งธาตุและสีต่าง ๆ รวม 10 อย่าง หรือ อานาปานสติ การกำหนดระลึกรู้ลมหายใจเข้าและออกล้วนเป็นผลให้จิตได้ปรับกระแสคลื่นความถี่ ถึงมิติแห่งโลกทิพย์ โลกวิญญาณ และ พลังงานในพิภพจักรวาล ดังนั้น การค้นพบความลี้ลับในจักรวาลนั้น จึงต้องอาศัยผ้ที่เชียวชาญทางสมราธิเท่านั้น ในตำรานพรัตน์โบราณของไทย ได้เรียบเรียงมาจากคัมภีร์พระเวทของอินเดียโบราณ โดยพระมหาฤาษีนามว่า "องคต" ส่วนในชนชาติต่าง ๆ ทั่วโลกในยุคโบราณก้มีการศึกษาและค้นพบความสำคัญของอัญมณีไม่น้อย ทั้งจากการทดลอง และจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษ เช่น อียิปต์โบราณ จีนโบราณ และชนชาติยุโรปยุคก่อนคริสตกาล เป็นต้น

    แม้ในหนังสืออ่านสนุกยอดนิยมอย่างเรื่อง "แฮร์รี่ พอตเตอร์" ยังกล่าวถึงอัญมณีมหัศจรรย์ที่มีชื่อว่า ศิลาอาถรรพ์ อันมีลักษณะเป็นผลึกสีแดง ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถทำให้แร่ธาตุบางชนิดกลายเป็นทองคำได้ ทั้งยังนำมาสกัดเป็นยาอายุวัฒนะได้ด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องที่แต่งหรือคิดขึ้นมาเองของ
    เจ.เค.โรว์ลิ่ง ผู้เขียน แต่เป็นข้อมูลจริงที่ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้ามาอย่างแน่นอน อีกทั้งในคัมภีร์พระเวทของไทยเองก็มีการกล่าวถึงวิธแปรธาตุทองแดง ตะกั่ว และเงิน ให้เป็นทองคำด้วยธาตุปรอทกายสิทธิ์และสมุนไพรบางชนิดได้

    เรียกว่า เล่นแร่แปรธาตุ นี้เป็นความรุ้ของคนโบราณที่มนุษยืยุคปัจจุบันเข้าไม่ถึง พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่ได้แต่งขึ้นมานั้น นอกจากท่านจะได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผุ้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัยอย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้เกิด พุทธนิมิต เป็นสวิมารนแก้วพระพุทธเจ้ามาครอบสถิตยังผุ้สวดด้วย โดยมีลักษณะเป็นมณฑปแก้วจัตุรมุข ปรากฎฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการสว่างไสว พร้อมด้วยโพธิสัตตาวุธ ทั้ง 4 ประการ ประจำอยู่ทั้ง 4 ทิส ได้แก่ พระมหามงกุฎ ตรีสศูล จักรแก้ว และ พระขรรค์เพชร ทั้งหมดล้วนเป็นของคู่บุญบารมีของพระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์ โดยมี พระมหามงกุฎ เป็นศิราภรณ์ที่เปี่ยมไปด้วยบุญฤทธิ์ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์ระดับจตุปฏิสัมภิทาญาณ ได้เคยนำมาถวายหลวงปู่ดู่เพื่อเป็นพุทธบูชาอีกองค์หนึ่งด้วย) ส่วนอาวุธที่เหลือทั้งสาม ล้วนเป็นเทพศาสตราวุธชั้นสูง มีไว้เพื่อประดับบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ และเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง หากสวดเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิได้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ประดับด้วยเครื่องทรงแห่งพระเจ้ามหาจักรพรรดิอย่างวิจิตร อลังการเปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนชาติอัญมณี เรียกว่า "พระมหาวิภูษิตาภรณ์" มาครอบสถิตยังผู้สวดภาวนา ซึ่งดีกว่ามีเพียงวัตถุมงคลติดกายอยู่ภายนอกเท่านั้น ดังนั้น วัตถุมงคลของหลวงปู่ดู่ จึงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะท่านใช้บารมีทั้งหมดของท่านอัญเชิยกระแสบารมีแห่งพระรัตนตรัย และตั้งองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิ บรรจุลงไป พร้อมกับเชิญเทวดาพรหมทั้งหลายทั่วแสนโกฏิจักรวาลมาสถิตรักษาด้วย

    อาตมาได้เห็นแหวนที่ประดับนิ้วของ พระพุทธนิมิต ปางมหาจักรพรรดินั้น จึงถามหลวงปู่ทวดก้ได้ทราบว่าเป็น พระธำมรงค์มหาจักรพรรดิ งมีอยู่ครบทั้งสิบนิ้ว สวยงามมาก เหมือนจะรู้ใจ ท่านจึงบอกว่า คนธรรมดาใส่ไม่ได้หรอก บุญไม่ถึง ถ้าอยากได้ไว้ ให้ญาติโยมผู้มีคุณกับเราก้ให้ทำเป็น แหวนฉัพพรรรรังสี ก็พอ แล้วท่านก้ให้ดูลักษณะของแหวนที่มีอักขระและอัญมรีประดับอยู่ ซึ่งมัความสัมพันธ์กับรังสีดวงดาวและเทพประจำตัว สามารถคุ้มครองป้องกันดวงชะตาไม่ให้ตกต่ำ และเสริมสง่าราศีได้ ถ้าจะเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ก้ใช้บทมหาจักรพรรดิปลุกเสก แล้วท่านจะมาช่วยเสกด้วย (คงจะดีกว่าแหวนในเรื่อง อภินิหารแหวนครองพิภพ หรือ เดอะลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ กระมัง)

    นอกจากพระคาถามหาจักรพรรดิแล้ว ยังมีคาถาตั้งองค์พระพุทธนิมิตของหลวงปู่ดู่ ดังนี้

    พุทธะสังมิ ธะสังมิพุท สังมิพุทธะ มิสังธะพุท มหาภูตัง พุทธะนิมิตตัง ธรรมะนิมิตตัง สังฆะนิมิตตัง วิหะระตัง ปุญญัง วทามิ, พุทธะสัง จตุภูตัง วิหะระตัง ปุญญัง วทามิ, พุทธะสัง วิหะระตัง ปุญญัง วทามิ วึ่งผู้ที่จะใช้ต้องได้สมาธิในขั้นอุปจารสมาธิเท่านั้นจึงจะตั้งองคืพระได้ และหากได้ถึงขั้นฌานหรืออัปปนาสมาธิ ก็จะยิ่งพิสดารมาก และหากใครมีแหวนอยู่แล้ว จะใช้บทมหาจักรพรรดิเสกเองก็ได้ แต่หากสนใจ แหวนฉัพพรรณรังสี แล้ว ต้องสั่งทำเป็นกรณีพิเศษ เพราะราคาค่อนข้างสูง

    สมัยที่หลวงปู่ดู่ยังมีกายเนื้อ ท่านได้เสกแหวนมหาจักรพรรดิให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายได้บูชา ปัจจุบันหาของแท้ ๆ ยากเสียแล้ว และราคาก็สูงมาก แต่ถาชอบแบบประหยัด ก้ใช้บทเชิญพระเข้าตัวของหลวงปุ่ดู่เลย ง่ายดี (ไม่ต้องใส่พระก็ได้) สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา พลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยัง พลัง อรหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัง พันธา มิ สัพพะโส พุทธัง
    อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ หรือใช้ของสมเด็จโตก็ได้ว่าดังนี้ มุนีนุโก ตะมังโมหัง หันตวา โพเธสิ ปังกัชชะ ชะนัง สะธัมมรังสีหิ โสสัม ปาเลตุ มัง ชิโช ใช้ในการอัยเชิญบารมีพระพุทธเจ้าเข้ามาสถิตในร่างกายของเรา ถ้าใครสนอยากที่จะเรียนคาถาต่าง ๆ มากกว่านี้ เพื่อไว้เสริมการปฏิบัติแนวอภิญญา ก็มาขอเรียนกับอาตมาได้ ยินดีที่จะสอนให้โดยไม่หวงวิชา โดยเขียนแนะนำประวัติส่วนตัวสักเล็กน้อยพร้อมรูปถ่าย และเล่าถึงพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมพอสมควร เพื่อที่อาตมาจะได้ทำการสอนให้ตามความเหมาะสม

    สำหรับคาถาบูชาพระศรีอารย์นั้น จะใช้บทสรรเสริญพระพุทธคุณ(อิติปิโสฯ) ก้ได้ บทมหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่ ฯ ก็ได้ หรือจะว่าดังนี้ก็ได้

    "นะโม โพธิสัตโต นาถะเทโว ศรีอริยเมตไตรโย อรหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปัญจะพุทธา นมามิหัง"

    คัมภีร์มหาวงศ์กล่าวว่า พระศรีอริยเมตไตรย มีนามบนสวรรค์ว่า "ท้าวนาถเทวราช" และบทบูชาพระพุทธเจ้าในอนาคตทั้ง 10 พระองค์มีดังนี้

    เมตตัยยา เมตโตโม ราโม จะ รามะสัมพุทโธ โกสะโล ธัมมะราชา จะ มาระมาโร ธัมมะสามี ทีฆะชังคี จะ นารโท โสโนรังสี มุนีตะถา สุภูเต เทวะเทโว โตทัยโย นรสีหาโก ติสโส นามะ ธนะปาโล ปาลิลัยโย สุมังคโล เอเตทะสะ พุทธานามะ ภวิสสันติ อนาคเต กัปเป สะตะสะหัสสานิ

    ทุคติงโส นะ คัจฉติ มีอานิสงค์มากจะรรับประมาณมิได้ หากไม่ได้ทำกรรมอันหนัก ก็จะไม่ได้ไปสู่อบายภูมิเลย และบันดาลให้ผู้สวดภาวนาได้พบศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งตามแต่จะปรารถนาเป็นแน่แท้
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    อัญมณีคู่บารมี

    หลวงปู่ดู่ ฯ กล่าวว่า ในยุคพระศรอารยื "ทับทิม" จะเป็นอัญมณีคู่บารมีของท่าน เหมือนกับ "พระแก้วมรกต" ที่สร้างด้วยหินสีเขียว เป็นของคู่บารมีประจำยุคของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทำจากแก้วของเทวดา ชื่อ แก้วอมรโกฏิ มาจากเขาเวปุลลบรรพต ที่นครราชคฤห์ มีพญายักษ์รักษาอยู่ และมีความวิเศษมาก แต่เนื่องจากมีสีเขียวคล้ายมรกต และเรียกันมานาน จึงกลายเป็น พระแก้วมรกตไป และมีพระบรมสารีริกธาตุสถิตอยู่ภายในองคืพระเจ้ดแห่ง โดยมีพระอรหันต์ระดับจตุปฏิสัมภิทาญารนามว่า "พระนาคเสนเถระ" ได้รับพุทธบัญชาในญาณของท่านให้สร้างขึ้นมา และมีพระอินทร์กับพระวิษณุกรรมเทพบุตรเป็นผู้ช่วย ซึ่งปรากฏ พุทธนิมิต หรือรูปทิพยือยู่ที่พระจุฬามณีเจดียสถานบนดาวดึงส์สวรรค์ เป็นที่เคารพสักการะของเหล่าเทวดาพรหมทั้งปวง และได้รับการรับรองจาก หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตว่า "พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลมีในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ฉิบหายด้วยภัยแห่งสงคราม" (หมายถึงประเทศนั้นต้องมีบุญด้วย ถ้าหมดบุญเมื่อไหร่ องค์พระแก้วมรกตนั้นก็สามารถย้ายสถานที่ประดิษฐานได้) และกล่าวว่า "เป็นแก้วประจำหน่อเนื้อพุทธางกูรองค์ปัจจุบัน" ฉะนั้นคนไทยไม่ควรประมาท หมั่นสร้างบุญเข้าไว้ เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาให้อยู่ในประเทศไทยของเราสืบไปตราบนานเท่านาน ดังเหล่าวีรชนบรรพบุรุษของเราทั้งหลายนั่นเอง

    และเป็นไปได้ว่าแก้วสีเขียว คือ "แก้วอมรโกฏิ" นั้น จะเป็น หยก
    เพราะมรกตแท้ ๆ นั้นจะมีลักษณะสีเขียวใส ไม่ใช่เขียวทึบเช่นหยก และแม้หยกจักรพรรดิก็มีลักษณะเขียวสวย ไม่ใช่เขียวใสอย่างมรกต และหยกเองก็มีอยู่หลายสี แต่ที่นิยมมากก็เห็นจะได้แก่หยกเขียวนั่นเอง ซึ่งชาวจีนจะนิยมมาก เหมือนที่ฝรั่งจะนิยมหินคริสตัล หรือ หินเขี้ยวหนุมาน ส่วนของไทยเราก็มีแก้วโป่งขามหรือแก้วขนเหล็ก ที่ผรั่งเรียกว่า "ร็อคคริสตัล" มีมากที่ อ.เถิน จ.ลำปาง ทับทิมและบุษราคัม ของจังหวัดจันทบุรี นิลและไพลินของจังหวัดกาญจนบุรี มุกดาหารของจังหวัดมุกดาหาร เหล็กน้ำพี้ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ฯลฯ


    แร่ธาตุอัญมณีบางชนิด ก็สามารถนำมาผสมปรุงเป็นยารักษาโรคได้ เช่น มรกต ทับทิม ไข่มุก และ ลาพิสลาซูลี เป็นต้น ความรู้เหล่านี้รอให้เราได้ทำการศึกษาค้นคว้ากันต่อไป เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับมวลมนุษยชาติ ในขณะที่มีบางคนนำแร่ธาตุและเชื้อโรคบางชนิดมาเพื่อทำการผลิตอาวุธทางเคมีและชีวภาพ สามารถทำลายล้างโลกและประหัตประหารชีวิตมนุษยืได้นับไม่ถ้วน ขอให้เราทั้งหลายจงนำอัญมณีที่ทรงคุณค่าเหล่านี้มาใช้เพื่อสันติภาพและก่อเกิดพลังแห่งการสร้างสรรค์ในโลกมนุษย์เถิด แล้วสักวันหนึ่งสีสันแห่งความสวยงามของอัญมณีเหล่านี้ จะช่วยให้ดวงจิตของเราเปิดกว้าง และสื่อสัมพันธ์กับมิติของโลกวิญาณและจักรวาลทั้งปวงได้ ซึ่งแก้วที่มีค่ามากที่สุด ก็คงไม่มีสิ่งใดเกินกว่า แก้ว 3 ประการ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์นั่นเอง
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    พระพุทธปฏิมากรอันศักดิ์สิทธิ์

    ในอดีตท่านพระนาคเสนก็รู้ด้วยญาณของท่านว่า " ต่อไปพระพุทธศาสนาจะแพร่หลายออกไป ก็ด้วยพระพุทธปฏิมากราอันศักดิ์สิทธิ์" และพระนาคเสนก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่องค์หนึ่ง และที่คนโบราณวาดรูปพระอินทร์เป็นสีเขียว ก็เพราะพระองค์นำชิ้นส่วนของแก้วอมรโกฏิที่แกะเป็นพระแก้วมรกตมาประดับที่พระมหามงกุฎทิพย์ของพระองค์ จริง ๆ แล้วพระองคืมีกายเป็นสีทองสว่างสดใสเนื่องจากทรงบรรลุเป็นพระอริยบุคคลมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว และ ชื่อ ของกรุงเทพอันเป็นเมืองหลวงของไทยก็มาจากพระแก้วมรกตนี้เอง คือ
    "กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยามหาดิลก ภพนพรัตน์ ราชธานี บุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถานอมรพิมาน อวตารสถิต สักกทัตติย วิษณุกรรมประสิทธิ"

    คำว่า " กรุงรัตนโกสินทร์" ก็แปลว่า เมืองที่สถิตแก้วของพระอินทร์ คือพระแก้วมรกต และคำว่า ราชวงศ์จักรี ก็หมายถึง วงศ์แห่งพระราชาผู้ถือจักรเพชรและตรีเพชร เรียกว่า มหาวชิราวุธ ของพระอินทร์เป็นอาญาสิทธิ์ สรุปก็คือเป็นเมืองของพระอินทร์นั่นเอง ตราประจำกรุงเทพจึงทำเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ส่วนองค์พระพุทธปฏิมาอื่น ๆ เหล่าเทวดา นาค ครุฑ และ คนธรรพ์ กฌจะเนรมิตสร้างขึ้นมาให้เป็นที่เคารพบูชาประจำอยู่ที่ภพภูมของตน ตามแต่จะศรัทธา เช่น ในเมืองบาดาลของเหล่าพญานาคทั้งหลาย ก็จะมีทั้งพระพุทธรูปทองคำ พระเจดีย์ทองคำประดับด้วยแก้ว 7 ประการ เรียกว่า สัตตพิธรัตนะ หรือ ในแดนลับแลของพวกบังบดหรือคนธรรพ์ ก็จะมีพระพุทธรูปทำด้วยทองคำ เงิน และแก้วผลึก และมี วัด อยู่ด้วยเช่นกัน วัดในแดนลับแลจะมีสภาพคล้ายกับวัดในแต่ละท้องถิ่นของโลกมนุษย์ ทั้งเหล่าเทวดาชาวสวรรค์ นาคและบังบด ก็จะมีการไหว้พระสวดมนต์กันเป็นหปกติ แต่จะไมการบวชพระ เพราะการบวชนั้น พระพุทธองคืทรงประทานพระพุทธานุญาตให้แก่มนุษย์เท่านั้น

    อนึ่ง เหตุการณ์วุ่นวายในโลกมนุษย์นั้นก็ส่งผลกระทบต่อโลกวิญญาณอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะที่ซ้อนอยู่กับโลกของเรา เพราะนอกจากเราจะมีจักรวาลที่ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4 อันเป็นส่วนหยาบแล้วเรายังมี จักรวาลทิพย์ และมิติต่าง ๆ ซ้อนกันอยู่มากมาย อาทิ ป่าหิมพานต์ โลกอมรโคยานทวีป โลกบุรพวิเทหทวีป โลกอุตตรกรุรุทวีป พิภพอสูรใต้เขาพระสุเมรุ และ ประตูมิติ ที่เชื่อมโยงกับจักรวาลอื่น ๆ ด้วย เช่นที่ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (THE BERMUDA TRIANGLE) เป็นต้น ซึ่งมีเหล่าภุมมเทวา วัสสวลาหกเทวดา รุกขเทวดา นาค ยักษ์ และคนธรรพ์ไม่น้อย ต่างก็เดือดร้อนในการกระทำของมนุษย์ ที่เอาแต่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และประหัตประหารกันเอง ไม่มีหยุดหย่อน
    ท่านเหล่านั้นจึงฝากอาตมาให้บอกต่อไปยังหมู่มนุษย์ด้วย แต่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะดูไปคงไม่ทันการณืเสียแล้ว แต่ขอให้รู้ไว้เถิดว่า เมื่อมนุษย์ตายไป คนดีก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี คนชั่วก็จะไปสู่ภพภูมิที่ชั่วอย่างเที่ยงแท้แน่นอน (ไม่เหมือนกับเมืองมนุษย์ที่คนชั่วอาจร่ำรวยจากการโกงกินและเอาเปรียบผู้อื่น) ซึงในโลกวิญญาณนั้น ก็จะมีมิติของกาลเวลาต่าง ๆ กันไป ตามระดับความละเอียดของภพภูมิต่าง ๆ ด้วย ยิ่งโลกวิญญาณที่อยู่สูงขึ้นไป ก็จะยิ่งมีความละเอียดในมิติแห่งกาลเวลา และมีความวิจิตรพิสดารมากขึ้นด้วย (เรียกว่า เวลาทิพย์ แบ่งเป็น วันทิพย์ เดือนทิพย์ ปีทิพย์ และมี ภูมิทิพย์ หรือสวรรค์ชั้นต่าง ๆรวม 6 ชั้น ตั้งแต่ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต
    นิมมารดี ปรนิมมิตวสวัตตี ไปจนถึงพรหมโลกทั้ง 20 ชั้น แบ่งเป็นรูปพรหม 16 ชั้น และอรูปพรหมอีก 4 ชั้น ส่วน พระนิพพาน เป็นภูมิทิพย์พิเศษ พ้นจากสังสารวัฏทั้ง 31 ภูมิ เป็นภูมิที่รองรับวิสุทธิจิตของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์หลังจากดับขันธ์นิพพาน)

    หากเราได้ศึกษา พระสูตร ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกแล้ว เราก็จะเห็นความลึกซึ้งพิสดารแห่งโลกทิพย์วิญญาณในระดับต่าง ๆ ทั้งในระดับ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ และ อรูปาวจรภูมิ รวมเรียกว่า ไตรภูมิ ซึ่งมีภูมหลัก ๆ ทั้งสิ้น 31 ภูมิ และแบ่งเป็นภูมิย่อย ๆ ออกไปอีกมากมาย ทั้งหยาบ กลาง ละเอียด แม้มนุษย์ทั้งหลายในปัจจุบันก็มีต้นกำเนิดมาจากสวรรค์ชั้นต่าง ๆ นั่นเอง

    ถ้าเป็นมนุษย์ในครั้งปฐมกัปเริ่มแรกของโลกมนุษย์ จะมาจาก ชั้น " "อาภัสราพรหม" ที่ลงมาเสพรสปฐพีหรือง้วนดินอันโอชะแล้วกลับพรหมโลกไม่ได้ ภายหลังจึงสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์กลายเป็น มนุษย์ ในทุกวันนี้ และมีการเวียนว่ายตายเกิดหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามมิติภพภูมิต่าง ๆ ตามแต่อำนาจแห่งกิเลส กรรม และ วิบาก จะพาไป กลายเป็นที่มาของคำว่า สังสารสัฏ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสว่า " ระยะทาง ย่อมไกลสำหรับผู้ไม่รู้จักทางไป สังสารวัฏ ย่อมไกล สำหรับผู้ไม่รู้จักทางแห่งพระนิพพานอันสงบระงับ ฉะนั้น"
    ซึ่งในปัจจุบันวิวัฒนาการของโลกได้เดินทางมาจนเกือบจะถึงขีดสุดแล้ว ในด้านของวัตถุ เนื่องมาจากเหล่าเทพชั้นนิมมานรดี และชั้นปรนิมมิตวสวัตตีได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ในประเทศที่เจริญแล้วต่าง ๆ มนุษย์เหล่านี้มีสติปัญญาสูง โดยพวกที่มาจากชั้นนิมมานรดีจะเป็นฝ่ายผลิต และพวกที่มาจากชั้นปรนิมฯ จะเป็นฝ่ายใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือให้ทุนสนับสนุน ถ้าเป็นประเทศที่แห้งแล้ง อดอยาก ขาดแคลนทรัพยากร จะเป็นพวกที่มาจากอบายภูมิ เช่น เปรตและอสุรกาย ถ้าประเทสไหนฆ่ากันมาก ๆ ก็มาจากแดนนรกภูมิ ถ้าประเทศไหน
    โลภมาก ชอบทำลายทรัพยากระรรมชาติ ก็มาจากแดนมารชั้นปรนิม ฯ แดนอสูรพิภพใต้เขาพระสุเมรุ พวกที่มาจากภูมิสูง ๆ หรือ ภูมิต่ำ ๆ ไม่ค่อยสนใจในศาสนาหรือการปฏิบัติรรม พวกภูมิสูง ๆ จะมีอัตตาสูงมาก ความยึดติดสูง สนใจแต่ความเจริญทางวัตถุมากกว่าความเจริญทางจิตใจ ปกติจะไม่เบียดเบียนใคร ยกเว้นพวกบ้าอำนาจและมีเชื้อของอบายภูมิอยุ่ในจิต

    ความจริงมนุษย์ก็มาจากที่เดียวกัน แต่ก็แตกต่างกันด้วยกรรม สมดับพุทธภาษิตที่ว่า "กัมมุนา วัตติโลโก" และ "กัมมัง สัตเต วิภัชชติ" นั่นเอง ส่วนประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองส่วนใหญ่จะมาจากชั้นจาตุมหาราชิกากับชั้นดาวดึงส์ ที่มาจากพรหมโลกมีเป้นส่วนน้อย ที่ยากจนเพราะทำบุญมาน้อย ที่เจ็บป่วยก็เพราะเศษกรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในชาติก่อน ๆ ถ้ามาจากดาวดึงส์จะค่อนข้างสบายกว่าพวกที่มาจากชั้น จาตุ ฯ มีฐานะและความเป้นอยู่ที่ดีกว่า และจะคุ้นเคยกับพระพุทธศาสนามากที่สุด เพราะผู้นำของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือ พระอินทร์ หรือ ท้าวสักกเทวราช มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าของเรามากที่สุด มากกว่าเทวดาในสวรรค์ชั้นอื่น แต่ถ้าเป็นพรหมโลก ท่าน ท้าวสหัมบดี จะทรงคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าของเรามากที่สุด

    เพราะในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ท้าวสหัมบดีพรหมองค์ปัจจุบันได้เกิดเป็น สหกภิกษุ เป็นเพื่อนสนิทของพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบันในสมัยนั้น พร้อมด้วย ท้าวฆฏิการพรหม อดีตช่างปั้นหม้อผู้ชักชวนให้พระพุทธเจ้าของเราในสมัยนั้น ได้ไปเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ของพระกัสสปพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าของเรา ในชาติที่เกิดเป็น โชติปาลมาณพ นั้น ได้กล่าววาจาสบประมาทพระกัสสปพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบันต้องทรงบำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง 6 ปี แทนที่จะสำเร็จได้ภายใน 7 วันเหมือนกับพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ

    ส่วนพวกที่เคร่งในลัทธิต่าง ๆ จนไดฌาน ส่วนใหญ่ก็มาจากพรหมโลก แต่พวกนี้ขาดการบำเพ็ญบารมี จึงยังไม่ได้บรรลุธรรม บางพวกก็มาจากโลกต่างมิติ อาทิ โลกอมรโคยานทวีป โลกบุรพวิเทหทวีป โลกอุตตรกุรุทวีป แต่ส่วนใหญ่แค่มาเที่ยวชั่วคราวเท่านั้น ฝรั่งเรียก UFO (เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก้ได้ทรงเสด็จไปบิณฑบาต ณ โลกอุตตรทวีปมาแล้ว)

    ส่วนพวกที่มาจากสัตว์ดิรัจฉาน ก็จะมีอุปนิสัยคล้ายสัตว์ชนิดนั้น ๆ ถ้าบุญบารมียังอ่อน ก็จะเกิดกลับไปกลับมาหลายครั้ง แต่ถ้าเป็นสัตว์ที่มีศีลก็จะเลื่อนภพภูมิให้สงขึ้นได้ ถ้าผิดศีลมาก ๆ ก็เลื่อนระดับลงอย่างนี้ก็มีเยอะ (ไดโนเสาร์หรือสัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์ก็มีต้นกำเนิดวิวัฒนาการมาจากสัตว์ทิพย์ในป่าหิมพานต์ และยังมีอยู่อีกมากมายในโลกวิญญาณ มีรูปร่างลักษณะแปลกประหลาดพิสดารมาก) หรือหากเป็นคราวทีเกิดไฟบรรลัยกับป์ล้างพิภพจักรวาล สัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวักสงสารของจักรวาลนี้ทั้งหมดก็จะมีการโยกย้ายถ่ายโอน โดยไม่ต้องใช้สำเนาทะเบียนบ้าน ไม่ต้องใช้ตัวแทนและลวดสลิงพากันไปเกิดยังพรหมโลกชั้นต่าง ๆ ที่ไฟบรรลัยกัลป์เผาไปไม่ถึง ยกเว้นพวกที่ทำบาปอกุศลไว้มาก ก็จะถูกลมจักรวาลพัดหอบไปยังมหานรกในจักรวาลอื่น
    จะกล่าวว่าโลกมนุษย์นี้มี 4 มิติ และจักรวาลของเรานี้มี 31 มิติก้ได้ ส่วน ป่าหิมพานต์ ก็เป็นที่อยู่ของบรรดาสัตตว์ทิพย์ทั้งหลายอยู่ระหว่างสวรรค์ชั้นจาตุ ฯ กับโลกมนุษย์ มีภูเขาทิพย์หลายลูก แม่น้ำทิพย์หลายสาย โดยมี เขาพระสุเมรุ เป็นแกนกลางยอดสูงสุด จรดสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และมี เขาคันธมาทน์ เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งจะมาอุบัติในช่วงเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เท่านั้น และขอพวกเราจงภูมิใจเถิดว่า พระพุทธเจ้าจะทรงมาอุบัติตรัสรู้เฉพาะในโลกของเรานี้เท่านั้น และประเทศที่จะทรงพระพุทธศาสนาต่อไปได้จรครบถ้วน 5,000 ปีนั้น ก็คือ ประเทศไทย นั่นเอง

    อนึง ชมพูทวีป นั้น หมายถึงโลกของเรานี้เอง และลัทธิศาสนาต่าง ๆ ก็มีมาก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันด้วยศาสนา ภาษา และ วัฒนธรรม ก็ไม่ควรจะมีความแตกแยกด้วยเหตุเหล่านี้ เพราะต่างก็เป็น เพื่อนร่วมโลก ด้วยกันทั้งนั้น ยกเว้นคนที่มีจิตใจต่ำและคับแคบ จึงก่อปัญหาขึ้นเรื่อยไป

    และถ้าถามว่า ที่วามนุษย์มาจากสวรรค์มาจากพรหมโลกนั้น แล้วเทวดาพระหมมาจากไหน ก้ขอให้คิดถึงการเกิดของเมฆฝน ที่มีวัฏจักรวนเวียนกลับไปกลับมา จากน้ำระเหยกลายเป็นไอน้ำ จากไอน้ำกลายเป็นเมฆฝน เมื่อฝนตกลงมา บางส่วนก็กลายเป็นแม่น้ำ บางส่วนก็ซึมลงใต้ดิน บางส่วนก็ลงทะเล แต่น้ำทั้งหมดก้ต้องมีการระเหยไปตามกาลเวลา เหมือนกับมนุษย์มาจากสวรรค์ บางส่วนก็กลายเป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ บางส่วนก็เป้นมนุษย์ที่ใช้ได้เหมือนน้ำจืดที่สะอาด บางส่วนก็ใช้ไม่ได้เหมือนน้ำเค็ม บางส่วนก็ใช้ไม่ได้เหมือนน้ำสกปรก บางส่วนก็ต้องกรองก่อนต้มก่อนจึงจะใช้ได้ และแยบ่งไปตามภูมิอากาศภูมิประเทศของโลก มีปกติไหลไปตามสมมติและที่ต่ำเสมอ เรมองเห็นน้ำได้ แต่มองไอน้ำไม่เหน แต่ไอน้ำก็มีอยู่ เรียกว่า ความชื้น ความชื้นที่ว่าก็ตกอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก เรียกว่า ชั้นบรรยากาศ ความชื้นนั้นมีอยู่แล้วประจำจักรวาล ไหลเข้าและออกในเขตชั้นบรรยากาศของโลกตลอดเวลา ถ้าจักรวาลมืด ความชื้นก็ยิ่งมาก ถ้าจักรวารสว่างความชื้นก็น้อยลง( จิตวิญญาณของสรรพสัตว์ทั้งหมดในจักรวาล ก็คือไอน้ำหรือความชื้นที่ปะปนกับฝุ่นละอองในบรรยากาศ หรือกิเลสธุลี)
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,894
    แสงแห่งพระปัญญาคุณ

    เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ ทรงได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น จึงเกิดปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล นั่นคือ เกิดแสงสว่างไปทั่วหมื่นโลกธาตุแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาลเลนยทีเดียว (อัปปะมาโณ นะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ) และแสงนั้นก็มีอานุภาพมากเหนือกว่าแสงของเทวดาพรหมทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดทั่วทั้งจักรวาลอีกด้วย แสงที่เกิดขึ้นนั้นคือ แสงแห่งพระปัญญาธิคุณ หรือ พระสัพพัญญุตญาณ อันไม่มีประมาณของพระองค์ สามารถทำลายเสียซึงความมืดทั้งภายในและภายนอก ปราศจากการครอบงำจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ดังนั้น พระองค์จึงทรงตรัสว่า นัตถิ ปัญญา สมาอาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี และความมืดนั้นก็คือ อวิชชา นั่นเอง

    ทีนี้ พุทธศาสตร์ ก็เหมือน วิทยาศาสตร์ คื ใช้หลักเดียวกัน นั่นคือ แยกธาตุของน้ำให้ออกมาเป็น H2O จะได้ไฮโดรเจน 2 ส่วน และออกซิเจน 1 ส่วน กลับสู่ธาตุเดิม แต่ธาตุก็ไม่ได้สูญหายไปไหน เพียงแต่หากแยกได้โดยเด็ดขาดแล้ว ธาตุทั้ง 2 ก็จะไม่กลับมาเป็นน้ำอีกเลย เหมือนการแยก มโนธาตุ หรือ จิต ให้กิเลสกับจิตแยกออกจากกัน เพราะกิเลสคืออวิชชาธาตุ เกาะกุมติดแน่นอยู่กับมโนธาตุหรือจิตวิญญาณมาแต่ดังเดิม เมื่อแยกอวิชชาออกจากจิต อวิชชากลับสู่ธาตุเดิมของมัน ส่วนจิตนั้น เมื่อผ่านกรรมวิธีแยกธาตุแยกสสารแล้ว ( คือ แยกจิตออกจากความยึดมั่นถือมั่นในรูป) จิตก็จะกลายเป็นธาตุมใหม่ขึ้นมา มีคุณสมบัติพิเศษ ไม่ใช่ธาตุเดิมอีกต่อไป เรียกว่า โลกุตตรจิต

    ดังนั้น เทพพรหมหรือจิตวิญญาณทั้งหลายทีเวียนว่ายตายเกิดอยูในสังสารวัฏทั้งหมด จึงเสมือนกระบวนการแปรรูปของธาตุทางสสาระตุเหล่านี้ไม่สามารถวัดปริมาณ ไม่สามารถหาที่มาได้ ไม่สามารถหยุดยั้งการแปรรูปได้ จนกว่าจะทำการแยกธาตุสำเร็จ หากปล่อยไว้ธาตุทั้งหลายนั้นก็จะตกตะกอนไปเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติ กลายเป้นวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั่วจักรวาล และเมื่อวิวัฒนาการมีจุดสูงสุดก็ต้องมีจุดต่ำสุดเช่นกัน วนเวียนดังนี้ไปตลอดกาลไม่มีที่สิ้นสุด พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สังสารวัฏนี้ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย หาที่สุดมิได้ สัตว์ทั้งหลายอาศัยเราตถาคตผู้เป้นกัลยาณมิตร จึงสามารถพ้นไปจากสังสารวัฏนี้เสียได้

    ถ้ายังนึกไม่ออกว่าเทพพรหมหรือจิตวิญญาณมาจากไหน ก็ให้ปฏิบัติธรรมมาก ๆ แล้วจะหายสงสัยด้วยตัวเอง ง่าย ๆ ไม่ยากหรอก แล้วจะรู้ว่า มโนธาตุ เองก็เกิดมาจากความสมใดลของธาตุทั้ง 4 และ มโนธาตุ จะหลุดพ้นได้ก็ต่อเมื่อสละธาตุทั้ง 4 เป้นกระบวนการทางชีวเคมีที่ยอดที่สุดในจักรวาล

    ปัจจุบันนี้มีเหล่าเทพโพธิสัตว์จำนวนมากลงมาเกิด เพื่อเร่งสร้างบารมี และส่วนใหญ่ก็จะลงมาเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนา เพราะนอกจากจะได้มาศึกษาธรรมะเพิ่มเติมแล้ว ยังจะได้มาช่วยผู้คนที่ตกทุกขืได้ยากด้วย บางพระองค์ก้ลงมาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เป้นมนุษย์บ้าง ถือเป็นโอกาสในตการสร้างบารมีของท่านเหล่านั้น เนื่องจากพระโพธิสัตว์ทีลังสร้างบารมีอยู่นั้น จะเอาแต่เสวยทิพยสุขอยู่บนสวรรค์ไม่ได้ ต้องลงมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษยืและสรรพสัตว์เพื่อสร้างบารมี และเมื่อมาเกิดแล้วจะเอาแต่สบายไม่ได้เช่นกัน ต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ เพื่อเรียนรู้สัจจธรรมของโลกมนุษย์และวัฏฏสงสาร จนกว่าจะได้รับพระพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าจำนวนมากมายหลายพระองค์ แล้วจ่อคิวในการตรัสรู้ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกนานมาก และยังต้องบำเพ็ญบารมีเรื่อยไป แม้จะถึงขั้น ปรมัตถบารมี มีวิมานปรากฏอยู่บนสวรรค์ชั้น ดุสิต แล้วก็ตาม เมื่อถึงกาลอันควรจึงจะมีท้าวมหาพรหมผู้เป็นอธิบดีแห่งพรหมจากพรหมโลกชั้นอกนิฏฐาปัญจสุทธาวาส กับท้าวสักเทวราชจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พร้อมด้วยเหล่าเทวดาในหมื่นโลกธาตุ (ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ) มาทูลอาราธนาให้มรงเสด็จมาตรัสรู้เพื่อโปรดสัตว์ต่อไป ถ้าพระโพธิสัตว์พระองค์ใดบำเพ็ญบารมียังไม่นาน ก็สามารถเปลี่ยนใจลาจากพุทธภูมิ ยกเลิกความปรารถนาเดิมเสียก็ได้ ไม่ผิดกฎกติกาแต่อย่างใด

    เพราะรู้ ๆ กันอยู่ว่า การสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ของง่าย อย่าว่าแต่จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเลย แม้แต่เป็นพระอรหันตสาวกก็ไม่ใช่ของง่าย ดังอาตมาภาพผู้เขียน เป็นต้น ก็เป็นผู้หนึ่ง ที่ลาจากพุทธภูมิแล้วมุงพระนิพพานเป็นที่ไป เพระเบื่อวัฏสงสารนี้เต็มที แต่ถ้าพระโพธิสัตว์พระองค์ใดยังไม่ลา อาตมาก็ขออนูโมทนาด้วย ขอให้สำเร็จเร็ว ๆ ก็แล้วกัน และ ถ้าหากเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มข้นมาก ระดับอุปบารมีและปรมัตถบารมี จะสามารถใช้อภิญญาช่วยเหลือเวไนยสัตว์ได้มากมาย ดังพระศรีอริยเมตไตรบรมโพธิสัตว์ เป็นต้น ที่สามารถแบ่งภาคไปโปรดสัตว์ได้มากมายหลายประเทศทั่วโลก ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และไทย เป็นต้น

    โดยพระโพธิสัตว์จะแบ่งออกเป้น 3 ประเภท ตามระดับของการบำเพ็ยบารมี คือ พระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ และ พระบรมโพธิสัตว์ แบ้งตาม ปกติบารมี อุปบารมี และ ปรมัตถบารมี ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ธรรมดาสามารถจะลาพุทธภูมิได้ เรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ แปลว่า พระโพธิสัตว์ผู้ไม่เที่ยงแท้( ท่านเหล่านี้ยังไม่ได้รับพทธพยากรณ์ ถ้าได้รับพุทธพยากรณ์แล้วจะลาไม่ได้ เพราะมีบารมีสุงและคำตรัสของพระพุทธเจ้าจะเป้นหนึ่งไม่มีสอง คือ เป็นไปตามนั้นทุกประการ)


    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=30643
     
  11. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242

    ศาสนาพุทธเปิดกว้างเป็นวิทยาศาสตร์ ยอมรับการมีอยู่ของจักรวาลอื่นๆ
     
  12. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,684
    ค่าพลัง:
    +9,239
    [​IMG]


    พุทธังสะระณังคัชฉามิ
    ธัมมังสะระณังคัชฉามิ
    สังฆังสะระณังคัชฉามิ

    ขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...