นรก-สวรรค์ มีจริงหรือไม่ฯ : พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 18 กรกฎาคม 2010.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    [​IMG]

    น ร ก - ส ว ร ร ค์ มี จ ริ ง ห รื อ ไ ม่.....
    ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของนักเผยแผ่หรอกหรือ.....?
    พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) วัดบวรนิเวศวิหาร

    เรื่องนรก สวรรค์ เป็นเรื่องที่ท่านผู้ได้บรรลุญาณ ที่เรียกว่า จุตูปปาตญาณ
    คือ ญาณที่ทำให้ทราบการเกิด ความแตกต่างของสัตว์ทั้งหลายว่า มีได้เพราะอะไร

    ท่านเห็นความมีอยู่ของนรกสวรรค์ด้วย ทิพยจักขุ คือ ตาทิพย์
    ซึ่งความรู้เหล่านี้จะเกิดขึ้น ก็ต้องได้ อภิญญา ซึ่งแปลว่า ความรู้อันยิ่ง
    ไม่ใช่วิสัยของคนธรรมดาจะรู้ได้
    เหมือนกับการรับภาพในอากาศ การฟังเสียงจากที่ไกล
    เป็นวิสัยของเครื่องรับโทรทัศน์ และวิทยุ ตามลำดับ

    ปัจจุบัน ใครๆ ไม่อาจปฏิเสธว่า ในบรรยากาศมีเสียง
    กล่าวถึงเรื่องต่างๆ จากภายในประเทศบ้าง
    แต่ถ้าเขาไม่มีวิทยุ เขาก็ไม่อาจจะทราบเสียงนั้นได้
    เมื่อต้องการจะทราบฉันใด เรื่องของนรก สวรรค์ ก็มีลักษณะฉันนั้น

    การถกเถียงในปัจจุบันนี้
    เป็นเรื่องของคนที่ถกเถียง

    รสว่าอร่อยไม่อร่อยด้วยหู


    [​IMG]
    [เทพเจ้าทุกชั้นฟ้าชุมนุมกันอัญเชิญเทพบุตรโพธิสัตว์ ให้จุติมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า]


    แทนที่จะพิสูจน์ด้วยลิ้นซึ่งเถียงกันอย่างไรก็ได้
    แต่หาข้อยุติไม่ได้

    เรื่องนรกสวรรค์ก็เหมือนกัน การรู้การเห็น นรกสวรรค์
    เป็นวิสัยของญาณและทิพยจักษุ
    เมื่อไม่มีเครื่องมือสองประเภทนี้
    ก็ต้องเถียงกันด้วยโวหารที่ไม่มีทางจบสิ้น
    เป็นการเสียเวลาโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

    ที่สำคัญคือ เรื่องนรกสวรรค์ เป็นเรื่องของผลแห่งกรรม
    อันถือว่าเป็นอจินไตย คือ ไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิดเอา
    แต่จะทราบได้ด้วยการลงมือปฏิบัติ
    ดูเหมือนการทราบชัดรสอาหาร ด้วยการบริโภคฉะนั้น


    เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรจับหลักอะไร?

    ก็ต้องอาศัยตถาคตโพธิสัธทา
    คือเชื่อพระปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    เพราะเรื่องนี้พระองค์ทรงรู้ เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว
    หาได้รู้เมื่อยังครองเรือนอยู่ไม่
    พระพุทธเจ้านั้นทรงมีหลักในการสอนธรรม ๓ ประการ ข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ

    “ทรงแสดงธรรม เพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่ง เห็นจริง ในสิ่งที่เขาควรรู้ควรเห็น”

    [​IMG]
    [ภาพจิตรกรรมพุทธศิลป์ “พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ภายหลังแสดง
    พระอภิธรรมโปรดพุทธมารดา” : สร้างสรรค์โดย อาจารย์จักรพันธ์ โปษยกฤต]



    ในเรื่องที่ทรงแสดงนั้น มีเรื่องนรก สวรรค์ อยู่ด้วย
    แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรรู้ควรเห็น

    เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้นั้น
    มีมากมายสุดจะนับจะประมาณได้
    แต่ข้อที่นำมาสั่งสอนนั้น
    อุปมาเหมือนใบไม้กำมือเดียวจากใบไม้ในป่าเท่านั้น
    และในใบไม้กำมือเดียวนั้น
    มีเรื่องนรกสวรรค์รวมอยู่ด้วย

    เรืองเหล่านี้ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งชั้นบาลี อรรถกถา
    และตำรารุ่นหลังเป็นอันมาก
    จนคนผู้ทราบประมาณแห่งความรู้ตน ไม่อาจจะปฏิเสธได้

    “อาจจะมีปัญหาว่า การเชื่อถือในลักษณะนี้
    จะไม่เป็นการเชื่อในลักษณะนี้
    จะไม่เป็นการเชื่อเพราะอ้างตำราหรอกหรือ?


    เพราะในกาลมสูตร ห้ามมิให้เชื่อโดยอ้างตำรา มิใช่หรือ?

    ปัญหาก็จะติดตามมาว่า

    ก็กาลมสูตรเองเล่าก็มิใช่เป็นตำราเองด้วยหรือ?
    เมื่อเป็นตำรา แม้กาลมสูตรเองก็ต้องเชื่อไม่ได้ด้วยซิ


    ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาวัวพันหลักขึ้นมา หมุนวนกันไปหาจุดจบไม่ได้

    [​IMG]
    [ภาพจิตรกรรม : องค์อมรินทราธิราช
    (ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์) ทรงช้างเอราวัณ]



    [​IMG]
    [ภาพจิตรกรรม “ไตรภูมิ ๑” สร้างสรรค์โดย นายบุญเพ็ง จวบศรี
    : ศิลปินผู้พิการแขน ๒ ข้าง จาก มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย]



    ในชั้นนี้ขอให้ข้อสังเกตเพียงว่า
    แหล่งแห่งความเชื่อของคนเรานั้น อาจจำแนกได้ดังนี้

    ๑. ประจักษ์ประมาณ

    คือ เชื่อเพราะได้เห็น ได้ยิน ได้สูดดม ได้ลิ้ม ได้จับต้อง
    ได้รู้ด้วยตนเอง แล้วเกิดความเชื่อขึ้นมา

    ๒. อนุมานประมาณ

    รู้ด้วยการอนุมาน คือการคาดคะเนเอาว่า
    เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
    เช่นเราเคยเห็นควันเกิดจากไฟ
    ต่อมาเห็นเฉพาะควัน ไม่เห็นไฟก็อนุมานได้ว่า
    ที่ตรงนั้นต้องมีไฟ เพราะที่ใดมีควันที่นั้นมีไฟ

    ๓. ศัพทประมาณ

    คือการศึกษาจากหลักฐานต่างๆ เช่น ตำราโบราณคดี เป็นต้น

    ให้สังเกตว่าแหล่งแห่งความเชื่อเหล่านี้
    ไม่ใช่ข้อยุติว่าจะต้องถูกต้องเสมอไป


    จำเป็นจะต้องใช้ปัญญา เข้าพิจารณาเสียก่อนทั้งนั้น
    ตามที่ท่านแสดงว่า บุคคลไม่ควรเชื่อด้วยเหตุ ๑๐ ประการ
    ซี่งมักจะเผยแพร่กันแบบไม่ตลอดสายอยู่เสมอนั้น


    พระพุทธเจ้าทรงมุ่งไปที่ประเด็นว่า

    “ไม่ควรเชื่อเพียงเพราะเป็นตำรา” เป็นต้น

    แต่โดยหลักแห่งปฏิบัติแล้ว ให้นำแหล่งแห่งความรู้ เหล่านั้นเอง
    ไปพินิจพิจารณาด้วยเหตุผลสติปัญญา จึงจะเชื่อในเรื่องนั้นๆ

    [​IMG]
    [ จักรวาล และเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ : ภาพจากสมุดข่อยสมัยอยุธยา
    (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ; www.finearts.go.th)]



    สำหรับบางคนที่อ้างว่า ตนไม่รู้ ไม่เห็น ตนไม่เชื่อนั้น
    นอกจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว

    ข้อที่ไม่ควรลืมว่า การที่บุคคลผู้นั้นยอมรับว่า

    ท่านผู้นั้นเป็นพ่อและตน เป็นแม่ของตน เป็นต้นนั้น
    ไม่ได้เชื่อเพราะเห็น ด้วยตา เชื่อเพราะท่านบอก
    และคนอื่นบอกว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้กับตน
    และตนอนุมานจากพฤติกรรม
    ที่ท่านแสดงวิญญาณของแม่เท่านั้น เพราะอะไร?

    เพราะว่า เราไม่ได้รู้เห็น
    ตอนที่ท่านเกิดเรามา ด้วยสายตาของเราเอง
    จึงต้องเชื่อด้วยวิธีที่สองและที่สาม

    เรื่องนรกสวรรค์จึงเหมือนคนที่เคยที่ขึ้นไปบนยอดเขาหิมาลัย
    มาเล่าถึงความสวยงามของภูเขา และทิวทัศน์
    ที่ตนได้เห็นมาบนภูเขาหิมาลัย

    ซึ่งผู้ฟังทำได้ ๒ ประการ คือ

    ๑. เชื่อตามที่เขาบอกไห้ทราบ เพราะเขาไปรู้เห็นมาด้วยตนเอง

    ๒. ขึ้นไปดูในภูเขาในจุดที่เขาบอกว่า เขาเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้


    “หากจะปฏิเสธไปเลยว่า เขาโกหกได้มั้ย”

    “ไม่ได้หรอก ทำยังงี้ก็เสียเชิงนักวิทยาศาสตร์แย่นะซิ”
    เพราะนักวิทยาศาสตร์นั้น เขามีหลักสำคัญอยู่ที่ว่า


    “จะไม่ยืนยันหรือปฏิเสธอะไร ในเรื่องที่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ทดสอบ”

    แต่การพิสูจน์ทดสอบอะไรก็ตาม
    ต้องพิสูจน์ด้วยเครื่องมือและกรรมวิธีเฉพาะเรื่องนั้นๆ
    ไม่ใช่จะเอากล้องจุลทรรศน์ดูไปเสียทุกเรื่องนะ



    [​IMG]
    [นรกภูมิ : พระยายมราชและนายนิริยบาล กำลังไต่สวนผู้ที่ตายไปแล้ว
    โดยมีบัญชีเล่มใหญ่ไว้ตรวจสอบดูรายละเอียดว่า ผู้นั้นเมื่อครั้งเป็นมนุษย์
    เคยสร้างบุญกุศลใดไว้บ้าง]



    [​IMG]
    [ภาพจิตรกรรม “ไตรภูมิ ๒” สร้างสรรค์โดย นายบุญเพ็ง จวบศรี
    : ศิลปินผู้พิการแขน ๒ ข้าง จาก มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย]



    อย่างไรก็ตามเรื่องนรก-สวรรค์นั้น เท่าที่พบว่า ทรงมีวิธีแสดงหลายวิธี คือ

    ๑.แสดงถึงภพหรือภูมิ ที่คนสัตว์จะต้องไปเกิดตามสมควร

    เรียกว่า ปรโลก คือ โลกอื่น ตรงกันข้ามกับโลกนี้ ที่เรียกว่า อิธโลก

    ๒. แสดงในรูปของกรรมที่บุคคลกระทำแล้ว
    จะนำให้เขาอุบัติในคติภพนั้นๆ


    เช่น ทรงแสดงอานิสงส์ คือผลอันเกิดขึ้นจากการการทำความดี
    มีการให้ทาน รักษาศีล มีศรัทธา เมตตา เป็นต้น

    จะจบลงด้วยคำว่า ตายแล้วไปบังเกิดในสุคติ
    หรือ คติหากการะทำตรงกันข้าม
    หรืออย่างที่รับสั่งปรารถคน ๔ คน ผู้มีการกระทำแตกต่างกัน ได้ตายไปว่า


    [​IMG]
    [นรกภูมิ สำหรับผู้ที่ขาดเมตตาธรรม มีจิตใจโหดเหี้ยมทารุณ
    ได้แก่ทำลายล้างผลาญ บีดบี้บีฑากันประหัตประหารเหมือนผัก
    เหมือนปลา โดยถือว่า ตัวเองมีอำนาจ มีอิทธิพล มีพลกำลัง
    จึงประหารหรือเบียดเบียนรังแกผู้ที่มีกำลังน้อย โดยเฉพาะ
    อย่างยิ่งพวกสัตว์ที่มีคุณมาก ]



    คพภเมเก อุปปชชนฺติ นิรยํ ปาปกมฺมิโน
    สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ ปรินิพพฺพนฺติ อนาสวา

    คนทั้งหลายบางพวกย่อมเกิดในครรภ์
    ผู้มีบาปกรรมย่อมเข้าถึงนรก
    ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติ ย่อมไปสวรรค์
    ท่านผู้ไม่มีอาสวะย่อมปรินิพพาน


    ๓. ทรงแสดงในรูปของธรรม
    อันเป็นเหตุในคนไปบังเกิดในนรกและสวรรค์
    เช่น

    น หิ ธมฺโม อธมฺโม จ อุโภ สมวิปากิโน
    อธมฺโม นิรยํ นติ ธมฺโม ปาเปติ สุคติ

    ธรรมและอธรรมทั้งสอง หามีวิบากเสมอกันไม่
    อธรรมนำไปสู่นรก ธรรมยังบุคคลให้ถึงสุคติ


    [​IMG]
    [วิมานของจาตุมหาราชิกา : ภาพจากสมุดข่อยสมัยอยุธยา
    (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ; www.finearts.go.th)]



    ๔. ทรงแสดงในรูปของนรก สวรรค์ ที่บุคคลจะประสบ
    ด้วยการกระทำของตนในปัจจุบัน


    เช่น มีฐานะร่ำรวย อยู่เย็นเป็นสุขเป็นสวรรค์
    ทำผิดติดคุกประสบความเดือดร้อนเป็นนรก

    ๕. แสดงในรูปของการเป็น พรหม สัตว์ นรก เปรต
    ด้วยการปฏิบัติตามธรรมและอธรรม


    เช่น เป็นเทวดาเพราะมีหิริโอตัปปะ
    เป็นพรหม เพราะมีพรหมวิหารเป็นต้น

    ๖. แสดงในรูปของความรู้สึกด้านจิตโดยเฉพาะ

    เช่น สุขกาย สบายใจเป็นสวรรค์ กลัดกลุ้มเดือดร้อนใจเป็นนรก

    ๗. สำหรับคนที่ไม่สมัครใจจะเชื่อ
    จะด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตาม
    ให้ยึดหลักการทำความดีเอาไว้


    เมื่อตายไปหากสวรรค์ นรก ไม่มีอยู่จริง
    ตนก็อยู่อย่างไม่มีเวรมีภัยในปัจจุบัน
    หากสวรรค์นรกมีตนก็จะได้บังเกิดในสวรรค์

    หากกระทำความชั่วแล้ว
    แม้ว่าจะตายไปไม่มีนรกสวรรค์
    ตนก็จะได้รับความเดือดร้อนที่เห็นได้ในปัจจุบัน

    หากสวรรค์นรกมีก็ต้องตกนรก


    [​IMG]
    [นรกภูมิ ขุม "โลหะสิมพลีนรก" สำหรับผู้กระทำผิดศีลข้อ ๓
    คือ ข้อ กาเมสุมิจฉาจาร คือล่วงประเวณี ประพฤติผิดลูกผิดเมีย
    และผิดสามีของผู้อื่น ซึ่งเป็นที่รักที่หวงแหนของผู้ที่เป็นเจ้าของ]



    การทำความดีในปัจจุบัน
    อย่างน้อยที่สุดจะได้รับความสุขในโลกนี้
    เมื่อมีนรกสวรรค์ในโลกหน้า
    ก็ได้บังเกิดในสวรรค์อีก
    เป็นการได้ถึงสองชาติ


    แต่ผู้กระทำทำความชั่วกลับตรงกันข้าม
    คือต้องเดือดร้อนในโลกนี้เป็น
    อย่างน้อย หากนรกสวรรค์เกิดมีเข้า
    ก็เดือดร้อนทั้งสองโลก


    วิธีการแสดงเรื่องนรกสวรรค์ ตามที่กล่าวมานี้
    จะพบว่าผลจะออกมาในลักษณะเดียวกัน

    ใครจะเชื่อระดับใดก็ตาม
    หากต้องการความสุขก็ต้องทำดีหนีความชั่ว
    ผลจะเกิดขึ้นให้พิสูจน์ได้ทั้งในปัจจุบัน
    แลด้วยญาณของท่านผู้รู้


    ให้สังเกตว่า การตกนรกหรือขึ้นสวรรค์นั้น
    เป็นการใช้คำว่า “ตก” และ “ขึ้น” แห่งระดับจิตของบุคคล
    คือยกจิตจากกระแสอธรรม และขึ้นสู่กระแสธรรม


    เมื่อจับจุดนี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์
    หรือถกเถียงกันให้เสียเวลา
    เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วตนจะรู้เอง


    ขอเพียงยึดมั่นในการยกระดับจิตของตนให้สูงไว้ก็พอแล้ว


    [​IMG]
    [นรกภูมิ สำหรับผู้ที่มักพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ
    พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ความจริง หรือมักใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นก็เหมือนกัน
    ตลอดทั้งผู้ที่มักโกหกหลอกลวง ด่าว่าบิดามารดา ครูบาอาจารย์
    แม้การดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันชาติ ศาสนา และ
    สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือว่ามีพระคุณใหญ่หลวง ]



    [​IMG]

    การจะทราบชัดในเรื่องนี้ได้จริงๆ นั้น
    นอกจากจะทราบด้วยญาณดังกล่าวแล้ว อีกวิธีหนึ่งคือ

    “จะทราบชัดด้วยตัวเอง เมื่อตนตายไปแล้ว”

    การรอคอยพิสูจน์วิธีนี้ หากทำความดีไว้ก็ไม่เสียหาย
    แต่ถ้าทำความชั่วมากๆ ก็ออกจะเสี่ยงเอาการทีเดียว ทางที่ดีแล้ว คือ

    “เพียรพยายามสร้างความดีในปัจจุบัน ให้มากๆ ไว้เป็นการปลอดภัยที่สุด”

    สำหรับประเด็นที่ว่า

    “ไม่ใช่เป็นเครื่องมือนักเผยแผ่หรือ?” นั้น

    ออกจะเป็นการกล่าวหาที่ไร้เหตุผลเอามากทีเดียว

    “ทำไมจึงได้กล่าวเช่นนั้น”

    เพราะว่าเรื่องนรกสวรรค์นี้
    เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย
    ท่านรู้เห็นด้วยญาณ และได้แสดงแก่ชนทั้งหลาย
    ในฐานะที่เป็นเรื่องควรรู้ควรเห็นประการหนึ่ง

    พระพุทธเจ้านั้นทรงแสดงเรื่องนี้ด้วยพระมหากรุณาแก่สัตว์โลก
    พระทัยที่เต็มเปี่ยมด้วยพระบริสุทธิคุณ
    ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของพระองค์
    แต่ทรงทำเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข
    แก่สรรพสัตว์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีนัยเดียวกัน


    พระสงฆ์ทำงานเผยแผ่นั้น
    ท่านไม่มีความรู้อะไรเป็นส่วนตัวของท่าน
    แต่ท่านรู้เพราะการได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ท่านทำงานที่ทำไปตามหน้าที่ของท่านที่กำหนดไว้ว่า

    “พระสงฆ์คือหมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
    ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    และสอนบุคคลอื่นให้ปฏิบัติตามด้วย”


    หากจะถามว่า

    “ปฏิบัติตามซึ่งอะไร?”

    คำตอบคือ

    “ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”


    [​IMG]
    [พระพุทธองค์เสด็จกลับมาประทับโคนต้นต้นอชปาลนิโครธหรือต้นไทร
    ด้วยทรงท้อพระทัยในอันโปรดสัตว์ ท้าวสหัมบดีพรหมจึงพร้อมด้วยเทวาคณานิกร
    ลงมากราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรม]



    เวลาพระเทศน์ทุกครั้ง จะมีคำว่า

    “บัดนี้จะแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”

    ก่อนทุกครั้ง เพื่อบอกให้ทราบว่าที่จะกล่าวต่อไปนี้
    ไม่ใช่คำสอนของท่านนะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
    พระสงฆ์จึงทำหน้าที่เหมือนราชทูตอ่านพระราชสาส์น

    และในการสอนนี้เอง
    มีหน้าทึ่ซึ่งกำหนดไว้ว่า เป็นหน้าที่ของพระคือ

    “บอกทางสวรรค์ให้แก่ชาวบ้าน”

    ที่ว่าเป็นเครื่องมือ
    จึงไม่ทราบว่าเป็นเครื่องมือ ในทางแสวงหาผลประโยชน์จากอะไร?


    เพราะถ้าเรื่องนี้นักเผยแผ่สร้างขึ้นมาเอง
    นักเผยแผ่ก็กล่าวมุสา
    อันเป็นเหตุอย่างหนึ่งให้ตกนรก
    นักเผยแผ่ไม่กลัวนรกหรือ?

    ที่ไม่ควรลืมคือ เรื่องนรกสวรรค์นั้น
    เป็นเรื่องที่จะต้องรู้ได้ชัดด้วย จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพยจักษุ


    การอธิบายเรื่องนรกสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
    ใครจะเอาเรื่องอธิบายยากมาสอนให้ลำบากเลย
    ในเมื่อเรื่องง่ายๆมีมากมายก่ายกอง
    อธิบายเรื่องนั้นไม่ดีกว่าหรือ


    หมายเหตุ : บทความเรื่องนี้ ประพันธ์ไว้เมื่อครั้งที่
    ท่านพระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ ) ยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระโสภณคณาภรณ์




    (ที่มา : ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา-๒ โดย พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ )
    วัดบวรนิเวศวิหาร,พิมพ์เผยแผ่เพื่อเป็นพุทธบูชา และธรรมบรรณาการ พ.ศ. ๒๕๒๒,
    หน้า ๑๓๘-๑๔๙)
    ::
     
  2. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    บุญ บาป นรก สวรรค์ นิพพาน มีจริง..

    ..............มีผู้ถามหลวงปู่ขาว อนาลโย ว่า “คนส่วนมากสงสัยเรื่องบุญ บาป นรก สวรรค์ นิพพาน ว่าจะมีจริงดังธรรมท่านสอนไว้หรือไม่ หนอ พระพุทธเจ้าผู้สอนธรรมเหล่านี้ก็เข้าสู่นิพพานไปนานสองพันกว่าปีแล้ว พระวาจาของพระองค์ จะยังศักสิทธิ์อยู่หรือไม่หนอ ดังนี้มีมากในชาวพุทธเราเองนี้แล สงสัยและพูดกันอยู่ทั่วไป” หลวงปู่ขาวตอบว่า

    “ ข้อนี้น่าเห็นใจ เมื่อไม่รู้ไม่เห็นประจักษ์กับตัวเองตามที่ท่านบอกไว้ อดสงสัยไม่ได้ เป็นธรรมดาคนมีกิเลสตัวมืดมิดปิดทวาร แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสนใจในเหตุผลอรรถธรรมอยู่แล้ว ก็มีทางจะรู้จะเห็นและเชื่อได้ไม่สุดวิสัย ข้อสำคัญเราเป็นลูกชาวพุทธที่ทรงประกาศสอนธรรมไว้ด้วยความถูกต้อง แม่นยำตามหลักแห่งสวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุมไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงแม้แต่น้อย จึงควรยกศาสดาเป็นหลักใจไว้จะดีกว่ายกความสงสัยไว้ทำลายใจ <O:p</O:p

    ส่วนความเข้าใจว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพานไม่มี นั้น เป็นเรื่องของกิเลสปิดใจไว้ ไม่ยอมให้สัตว์โลกรู้เห็นสิ่งที่เป็นอยู่นั้นตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีที่เป็น ไม่ใช่ดินฟ้าอากาศมาปิดเรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน เหล่านั้น แม้พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตลอดพระสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ไม่มีพระองค์ใดเคยรู้เคยเห็นมาก่อนที่ธรรมยังไม่เข้าสู่พระทัยและสู่ใจ ต้องปฏิบัติลูบๆคลำๆ กรรมดำกรรมขาวไปก่อน
    <O:p</O:p
    ดังพระพุทธเจ้าของเราที่เคยกล่าวไว้ในพระประวัติว่า ทรงบำเพ็ญทดลองหลายวิธีจึงทรงพบเงื่อนแห่งความถูกต้อง อันเป็นสายทางที่ให้ตรัสรู้ธรรม วิธีนั้นคือ อาณาปาณสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก โดยมีสติปัญญา สังเกตในวิธีการที่ทรงบำเพ็ญ จนปรากฏผลเป็นความสงบเย็นและแน่พระทัยว่าถูกทาง

    ปฐมยามก็ทรงบบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติหลังจากไม่เคยบรรลุมาก่อน ได้ประจักษ์พระทัยหายสงสัย โดยไม่มีใครบอกกล่าว มัชฌิมยามก็ทรงบรรลุจุตุปปาตญาณ ทรงรู้ความจุติและความคิดของสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณได้ โดยไม่มีใครบอกกล่าว พอปัจฉิมยามก็ทรงบบรรลุอาสวักขยญาณ ญาณความรู้แจ้งความสิ้นไปแห่งอาสวะกิเลสทั้งมวล ไม่หลงเหลือในพระทัยเลย พร้อมด้วยวิชชา 3 อภิญญา 6 เป็นต้น ทะลุถึงโลกวิทู รู้แจ้งโลกในและโลกนอกตลอดทั่วถึง หายสงสัยโดยประการทั้งปวง

    สิ่งใดมีทั้งดีและชั่วตลอดธรรมอันประเสริฐเลิศเลอเหนือโลกสงสาร ก็ทรงรู้เห็นและยอมรับมีว่าเป็น ไม่ทรงลบล้าง และทรงปฏิบัติตามสิ่งที่มีที่เป็นนั้นๆ ตามที่ทรงเห็นควรว่าควรปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ อย่างไรบ้าง และทรงสั่งสอนมวลสัตว์ด้วยวิธีการที่ทรงปฏิบัติและทรงรู้เห็นมา เป็นศาสนธรรมที่คงเส้นคงวาด้วยความถูกต้อง แม่นยำมาตลอดปัจจุบัน เพราะความจริงไม่ขึ้นกับกาลเวลาและสถานที่ ไม่เกี่ยวกับการทรงพระชนม์และปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย แต่ขึ้นอยู่กับความจริงที่เคยมีเคยเป็น อย่างไรมีอยู่เป็นอยู่ อย่างนั้น
    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลาย ได้ทรงปฏิบัติและรู้เห็นบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน มาแล้วอย่างเต็มพระทัย จึงทรงนำความจริงนั้นๆ มาประกาศธรรมสอนโลก และทรงเป็นศาสดาเต็มองค์ รู้เห็นธรรมเต็มพระทัย มิได้มีอะไรปลอมแปลงแฝงอยู่ในพระทัยเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นสิ่งที่รู้ที่เห็นและที่สั่งสอนจึงเป็นของจริงเต็มส่วน ควรแก่การปฏิบัติตาม ด้วยความหายสงสัยหายกังวลอย่างยิ่ง ถ้าลงพระพุทธเจ้าเป็นที่ปลงใจเชื่อไม่ได้แล้วจะไปเชื่อใครได้ในไตรภพ คนๆ นั้นก็ว่าหมดหวังและหมดทางเยียวยารักษา ถ้าเป็นโรคก็สุดวิสัย คอยแต่ลมหายใจเท่านั้น ถ้าเตรียมหีบเตรียมโลงก็ควรแล้ว เดี๋ยวจะเน่าเฟะเต็มบ้าน
    <O:p</O:p
    ที่กล่าวมาเหล่านี้คือ ข้อยืนยันของพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาและนำธรรมมาสอนโลก ส่วนกิเลสตัวพาสัตว์โลกให้สวมแว่นตาดำ มองอะไรเป็นเป็นหลังหมีไป ทั้งตัวนั้นมันมีคุณสมบัติอะไร สัตว์โลกจึงเชื่อมันเอาหนักหนา ถึงกับไม่ยอมรับความจริงอะไร สัตว์โลกจึงเชื่อมันเอาหนักหนา ถึงกับไม่ยอมรับความจริงอะไรจากธรรมบ้างเลย กิเลสหมดทั้งโคตรแซ่พ่อแม่ลูกเต้าเหล่าหลานเหลนของมันมีกิเลสตัวใด โคตรแซ่ใดบ้างอุตริเกิดไปเห็นสวรรค์ นิพพาน แม้เพียงขณะสายฟ้าแลบ พอจะมีแก่ใจมาบอกและชักชวนสัตว์โลกไปสวรรค์ นิพพาน กันบ้าง มีแต่หลอก มันต้มตุ๋นสัตว์โลกฉุดลากสัตว์โลกให้ไปตกนรก ทั้งเป็นทั้งตายเรื่อยมา ตั้งแต่ต้นกำเนิดของมันโน่น ทั้งมันปฏิเสธว่านรกไม่มี แต่แล้วก็มันนั่นแลจับสัตว์โยนลงหม้อนรกทั้งเป็นทั้งตาย ด้วยความใจดำ น้ำโสโครกที่สุด ไม่มีอะไรจะเป็นจอมหลอกลวงสัตว์โลกอย่างแยบยลกว่ากิเลสชนิดต่างๆ
    <O:p</O:p
    ความมุ่งหมายของกิเลสเป็นอย่างนี้ คือ ถ้ามันจะบอกสัตว์โลกตามความเป็นจริงว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน มี สัตว์โลกก็ตะเกียกตะกายละบาป บำเพ็ญบุญเพื่อหลีกนรก ไปสวรรค์ นิพพาน จากมันเสียหมด มันก็จะขาดรายได้จากสัตว์โลกอย่างพินาศขาดสูญ ฉะนั้นมันจึงปิดหูปิดตาปิดใจ สัตว์โลกจึงไม่มีทางรู้เห็นได้ ฉะนั้น กิเลสมันผูกมัดตามัดใจของสัตว์โลกไว้ก็เช่นเดียวกัน
    <O:p</O:p
    ดังนั้นชาวพุทธเราจงพยายามแก้สิ่งที่มัดตามัดใจออกด้วยการปฏิบัติจิตภาวนาเป็นสำคัญ ให้สติปัญญาเกิดภายในใจ จะพังผ่านกำแพงแห่งความมืดบอด ที่มันปิดไว้ออกได้โดยลำดับจนหมดสิ้นไป มองเห็น บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน อย่างทะลุปรุโปร่งประจักษ์ใจหายสงสัยโดยไม่ต้องมีใครมาบอกแหละ หลังจากนั้นยังจะได้เห็นกลหลอกลวงของกิเลส วิชาต้นตุ๋นของกิเลสได้อย่างชัดเจน หายสงสัย
    <O:p</O:p
    ฟังซิหลานๆ อยากฟังปู่พูด ให้ฟังอย่างเปิดใจ ใครจะว่าบ้า ปู่ก็ไม่โกรธเขา เพราะทราบแล้วว่าเขาคนนั้นคือ เครื่องมือทำลายของกิเลส ที่มันมาทำลายศาสนธรรมและทำลายจิตใจในสัตว์โลกมามากต่อมากแล้ว ปู่จึงไม่หลงกลมันไม่ตื่นมัน แม้มันจะยกมาทั้งโคตรแซ่มาด่าปู่ ปู่ก็ไม่โกรธ นอกจากจะหัวเราะขบขันเพลงกล่อมของมันที่ร่ายออกมาเพียงตื้นๆ ผิวเผินนิดเดียวเท่านั้น มิได้ลึกซึ้งกว้างขวางและไพเราะจับใจเหมือนศาสนธรรมอันประเสริฐเลิศเลอเหนือโลกทั้งสามเลย ทั้งเป็นธรรมรื้อขนสัตว์โลกขึ้นมาจากนรกเมืองคนและนรกเมืองผี ที่กิเลสตบตาปิดใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีมามากต่อมากแล้ว
    <O:p</O:p
    บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน เหล่านี้เป็นของมีมาดั้งเดิม กิเลสทุกประเภทจะเสกสรรให้มีขึ้นและจะลบล้างทำลายให้ฉิบหายไปไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติและมีอยู่ดังเดิมปราศจากสิ่งใด ผู้ใดไปก่อสร้างไปปรุงแต่ง ไปลบล้างทำลาย บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน อยู่เหนืออำนาจกิเลสที่ไปอาจเอื้อมทำลายได้ แต่อยู่ตามหลักธรรมชาติของตน
    <O:p</O:p
    หลานๆ และชาวพุทธผู้เรียนและปฏิบัติธรรมมีอำนาจและสว่างกระจ่างแจ้งเหนือกิเลสทั้งปวง จงเรียนและปฏิบัติให้ถึงใจ ถึงธรรม อย่ามัวมั่วสุมอยู่ในห้องขังของกิเลส ให้มันกดขี่บังคับและร้องเพลงขับกล่อมให้เคลิ้มหลับไม่มีวันตื่นจากหลับ จะหลงอยู่ร่ำไปนัก จะเสียใจให้ตัวเองภายหลังจะว่าปู่ไม่บอก ปู่นะเห็นทุกข์ที่มันโยนให้แบกหามอย่างล้นหัวใจไม่มีที่เก็บมาแล้ว กลัวหลานๆ และชาวพุทธทั้งหลายจะแบกหามทุกข์ที่มันโยนมาให้แบกหามไม่มีวันปลงวางต่อไปตลอดอนันตกาล และไม่มีวันจบสิ้นลงได้ จึงได้เตือนแล้วเตือนเล่า ราวกับว่า ตะโกนบอกว่าอันตรายใหญ่หลวงมาแล้วรีบพากันหาที่หลบภัยโดยเร็วเดี๋ยวอันตรายจะเข้ามาถึงตัว ที่หลบภัยคือ ศีล ทาน การกุศลทุกประเภท จงจับให้มั่นถ้าอยากแคล้วคลาดปลอดภัย อย่าดื้อรั้นเชื่อกิเลสจนไม่ยอมฟังเสียงธรรมตะโกนบอก จงรับฟัง รีบตั้งตัวด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมเสียแต่บัดนี้ จะไม่เสียกาลเวลาไปเปล่า

    (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://palungjit.org/threads/คำสอนหลวงปู่ขาว-บุญ-บาป-สวรรค์-นรก-นิพพาน.248673/)

    *************************************************************************************<O:p</O:p
    <O:p
    ทีมา : คัดลอกจากหนังสือ ละบาป – หาบบุญ อำนวยชัยให้ บริบูรณ์พูนผล หลวงปู่ขาว อนาลโย หน้า129-138
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  3. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    (ต่อ)

    ฟังหลวงปู่โปรดคราวนี้ราวกับฟ้าดินถล่มทีเดียวแหละ หลานชื่นใจไม่เสียชาติเกิด ได้ดื่มธรรมที่ปู่เทศน์โปรดวันนี้อย่างถึงใจ แต่ยังมีข้อสงสัยอยู่นิดๆ ขอปู่ได้โปรดเมตตาด้วย”

    “โปรดอะไรอีก ก็โปรดมามากแต่มากจนไม่มีอะไรโปรดตอบ เหลือแต่ขันธ์ที่หายใจแขม่วๆ รอเวลาที่จะแตกดับอยู่เท่านั้น จะให้โปรดเรื่องอะไรว่ามา”

    “คำว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพานเหล่านี้ มีอยู่ในโลกไหนกันแน่ปู่”

    “มีอยู่ท่ามกลางแห่งโลกกมนุษย์ แต่มิใช่มนุษย์ มิใช่เปรต ผี เทวดา อินทร์ พรหม มิใช่ต้นไม่ ภูเขา มิใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ มิใช่วัตถุแร่ธาตุต่างๆ ในโลกสมมติ นิพพานอยู่ในวิมุตติสถาน แต่มิใช่มีอยู่ในชื่อที่ว่านิพพานนั้นๆ และวิมุตติธรรมที่กล่าวถึงเหล่านี้มีอยู่ตามหลักธรรมชาติของตน มิได้ขึ้นอยู่กับวัตถุ บุคคลใดสิ่งใดทั้งสิ้น สิ่งที่จะรับทราบธรรมเหล่านี้ได้ มิใช่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมิใช่วิชาทางโลกทุกๆ แขนงและเรียนวิชาธรรมจนจบพระไตรปิฏก ตลอดเครื่องพิสูจน์ใดๆ ที่โลกใช้กัน มีใจเท่านั้นที่ปรับตัวด้วยหลักธรรมปฏิบัติและรู้เป็นประจักษ์พระทัยและใจมาแล้วมากต่อมาก จนไม่อาจนับอ่านจำนวนท่านเหล่านี้

    แม้พระองค์พระองค์เดียวมิได้ถามกันและถามใครเลย ทรงปฏิบัติจิตภาวนาโดยหลักธรรมที่จะทำให้รู้ให้เห็นก็ทรงรู้ทรงเห็นขึ้นกับตนเอง ฉะนั้นการที่จะแก้ความสงสัยให้หายไป บาป บุญ เป็นต้นนั้น ต้องพิสูจน์กันด้วยการปรับจิตใจ โดยการปฏิบัติธรรมมีจิตภาวนาเป็นสำคัญ จนรู้เห็นประจักษ์ใจแล้ว ความสงสัยแม้จะเคยครองหัวใจมาตั้งกัปป์ตั้งกัลป์หรือวันเกิดก็วูบลงไปในทันที มิได้อ้างกาลเวลาที่เคยยึดครองหัวใจมาเลย เช่นเดียวกับความมืด แม้จะเคยมืดมาตั้งกัปป์ตั้งกัลป์ก็ตาม เพียงเปิดไฟสว่างจ้าขึ้นเท่านั้นความมืดก็หายไปเองมิได้อ้างกาลเวลาที่เคยมืด

    ฉะนั้น การรู้เห็นบาป บุญเป็นต้น ตลอดสัจธรรมทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ไม่จำต้องมีกาลสถานที่มาเกี่ยวข้องและขีดกัน ความจริงเท่านั้นจะเปิดความจริงขึ้นมา ให้ผู้ปฏิบัติจริงได้รู้เห็นความจริงที่มีอยู่ทั้งหลายได้ประจักษ์ใจ โดยไม่อ้างกาลว่าสมัยโน้นสมัยนี้

    เพราะธรรมเป็นปัจจุบันธรรมดาตลอดมา กาลไหนๆ แม้สวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ก็เป็นปัจจุบันธรรมสดๆ ร้อนๆ ควรแก่การนำมาพิสูจน์ สิ่งลี้ลับทั้งหลายซึ่งเป็นปัจจุบันธรรมเช่นเดียวกันได้อย่างไม่มีปัญหา

    ที่เป็นปัญหาอันใหญ่โตในหัวใจสัตว์ไม่ให้มองเห็นความจริงทั้งหลายได้ ก็มีกิเลสที่ทำให้มืดบอดอย่างเดียวเท่านั้น พาสร้างบาปแล้วลงนรกทั้งที่โกหกว่าบาปไม่มี นรกไม่มี

    แต่สัตว์โลกโดนไม่หยุดหย่อนผ่อนคลายบ้างเลย ส่วนบุญ สวรรค์ นิพพาน ไม่ต้องกล่าวถึงเพราะเป็นธรรมชาติที่มันไม่ต้องการให้สัตว์โลกคิดและสนใจอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะขาดผลรายได้และนโยบายของมัน

    ว่าไงนี้ที่นี้ปู่ ได้อธิบายให้จนหมดพุงแล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อธรรมก็เท่านี้ไม่สามารถจะอธิบายได้ละเอียดกว่านี้ได้ ประการหนึ่งจงทำความเข้าใจว่า คำว่า บาปมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี นั้น ธรรมชาติเหล่านี้มีอยูทำนองเดียวกับคำว่า “ธรรมมีอยู่” แต่ไม่สามารถสัมผัสธรรมชาติเหล่านี้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายได้ เพราะมิใช่วิสัยของกันและกัน มันเป็น อฐานะ คือเป็นไปไม่ได้ มีใจเท่านั้นสัมผัสได้แต่ผู้เดียว เมื่อปรับใจภาคปฏิบัติให้เหมาะสมกับธรรมชาตินั้นและธรรมชาตินั้นๆ แล้ว ความจริงก็มี เท่านี้” .......ฯลฯ

    (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://palungjit.org/threads/คำสอนหลวงปู่ขาว-บุญ-บาป-สวรรค์-นรก-นิพพาน.248673/)

    ***********************************************************************************
    ทีมา : คัดลอกจากหนังสือ ละบาป – หาบบุญ อำนวยชัยให้ บริบูรณ์พูนผล หลวงปู่ขาว อนาลโย หน้า129-138<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...