วิธีทำจิตว่างจากความทุกข์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 29 กรกฎาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    กราบนมัสการองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย

    การปฏิบัติธรรมแบบต่าง ๆ ที่ทุก ๆ ท่านศาสนิกชนได้ปฏิบัติ ต่างก็มีเป้าหมายที่เหมือนกัน คือ พระนิพพาน แต่ละคน แต่ละจิต ก็ปฏิบัติตามแนวจริตของตน ตามอารมณ์จิตและบารมี คือ กำลังใจของแต่ละท่าน ที่ได้เคยปฏิบัติตามพระอาจารย์ของแต่ละท่าน ในภพชาติที่ผ่านมา นับชาติไม่ถ้วน และสิ่งสำคัญในการปฏิบัติ ให้จิตท่านเข้าถึงสภาวะพระนิพพาน จิตเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ไม่มีวันตาย จิตไม่มีวันแตกแยกสูญสลาย

    จิตของเรานี้ บริสุทธิ์มาตั้งแต่แรกเริ่มมาก่อนที่จะมาหลงวนเวียนเข้ามาอยู่ในวัฏฏสงสาร แต่ละภพแต่ละชาติ เวียนว่าย ตายเกิด แล้วลืมชาติกำเนิดก่อนเกิด แต่ละชีวิตก็ถูกกิเลส ครอบงำมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติ ยึดมั่นในสิ่งสมมติในโลกที่เป็นอุปาทาน ทั้งคนสัตว์ วัตถุสิ่งของ มีเกิดมีดับ ตายหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ก็เลยไม่สามารถหลุดออกจากวัฏฏสงสาร จนกว่าจะขัดเกลาจิตให้บริสุทธิ์ ให้ว่างจากกิเลสทั้งปวง จึงจะเห็นจิตในสภาพที่แท้จริง

    ขอให้ทุกท่านอย่าได้ประมาทในชีวิต อย่าได้คิดว่าหาเงินหาทองลาภยศสรรเสริญไว้ก่อน จิตใจเอาไว้ปฏิบัติธรรมยามแก่เฒ่า วันเวลาชีวิตของมนุษย์สั้นมาก ตายกันได้ง่าย ๆ ไม่มีใครรู้ว่าความตายจักมาถึงเวลาไหน สภาพอย่างไร

    ถ้าจิตก่อนตายไม่ใสสะอาด จิตเศร้าหมองหรือตกใจ ก็ไปเกิดยังภพภูมิที่เศร้าหมอง เพราะมีแต่ทุกข์ ทรมานกายจิต ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าจิตสะอาด ปราศจากกิเลส โลภ โกรธ หลง ตัณหา อุปทาน ผิดศีล 5 ข้อ ไม่ติดใจในกายขันธ์ของใครทั้งสิ้น จิตก็หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ยากลำบากกายใจสารพัด จิตที่ยึดติดในกายเรา กายเขา ทรัพย์สมบัติอันเป็นที่รักใคร่พอใจ เรียกว่า จิตมีอุปาทาน คือ หลงยึดติดใจ

    วิธีขัดเกลาจิตของท่านให้จิตว่างจากกิเลสมีดังนี้

    1. สร้างกำลังใจของเราให้เต็มเปี่ยมไปด้วยการรักษาศีล 5 ทำบุญทำทาน บวชจิตทำจิตให้สะอาดไม่วิตกกังวล ไม่ติดใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นเนกขัมมบารมี มีปัญญา มองดูทุกสิ่งใด ๆ ในโลก พังสลายไม่คงทนทั้งหมด มีวิริยะเอาชนะอารมณ์ชั่ว อารมณ์เศร้าหมองเครียด ขจัดออกไปจากจิต ด้วยการภาวนากำหนดลมหายใจเข้าออก นึกถึงพระคุณความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีดีอย่างไร มีขันติบารมี คือ อดทนฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ไม่หวั่นไหวมีอารมณ์อดกลั้น ไม่โกรธตอบ ใช้น้ำเย็นระงับความหงุดหงิด ไม่พอใจด้วยการเมตตาสงสารขอให้เขาเป็นสุข เป็นเมตตาบารมี หน้าตาเบิกบานแจ่มใส มีความจริงใจที่จะทำจิตใจให้ว่างจากกิเลสด้วยการพิจารณาโลก คน สัตว์ทั้งหมด เป็นสุขจริงหรือทุกข์จริง มีความจริงใจพิจารณาร่างกายคน หอมหรือเหม็น ร่างกายเป็นคุณหรือเป็นโทษ ร่างกายอยู่ในความเชื่อฟังควบคุมของจิตหรือไม่ ร่างกายตายสุดท้ายเหลือแต่ความว่างเปล่า ทำจิตให้ว่างจากกายเรา กายเขา ทำแบบจริงจัง แต่ทำให้สบาย คิดเล่น ๆ แค่มีความจริงใจในการปฏิบัติ คือ สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี สร้างกำลังใจ ว่าเราจะทำคุณงามความดี ทั้งทางกาย วาจา ใจ จนกว่าจะหมดลมหายใจ มีจิตมั่นคง ไม่สงสัย ในพระธรรม คำสอนขององค์พระชินวร ปฏิบัติตามพระพุทธองค์ จิตเราเข้าถึงพระนิพพานได้แน่นอน ในชาติปัจจุบันนี้ ไม่ต้องอธิษฐาน ไปนิพพานชาติหน้า ให้เสียเวลาเกิดเป็นคนอีกพบกับความทุกข์แบบนี้อีก ทำจิตให้มีกำลังใจในอุเบกขาบารมีครบถ้วน ด้วยการมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาของโลกเป็นธรรมชาติ จิตสบายเฉย ๆ ไม่มียินดีหรือยินร้าย ทำใจนิ่งเฉยไม่วอกแวก
    บารมี 10 กำลังใจทั้ง 10 อย่างนี้สำคัญมาก ท่านจะเข้าใจสภาวะนิพพานในจิตใจของท่านเองทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย กำลังใจ 10 อย่างนี้ สามารถตัดกิเลส สังโยชน์ 10 อย่างได้ ตามกำลังใจของท่าน ถ้าเข้มแข็งจริง ๆ ท่านก็เอาชนะกิเลสได้ง่าย ๆ สบาย ๆ เป็นทางลัดรวดเร็ว พยายามทำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่เคร่งเครียด ทำแบบสนุก จิตจะเป็นสุขไปด้วยพลังธรรม

    การพิจารณาขันธ์ 5 ร่างกายเรา เขา ว่าไม่เที่ยง มีภาระต้องดูแลเลี้ยงดู ทำความสะอาดกันทุกวัน และควบคุมไว้ก็ไม่ได้ เพราะร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ของเขาอยู่แล้ว เป็นของธรรมชาติ เป็นของโลก เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวของจิตเราท่าน ต้องพิจารณาจนเห็นเข้าใจว่า ไม่ใช่ของจิตจริง ๆ แม้ใครจะมาทำร้ายหรือตามมาฆ่าร่างกาย เราก็ไม่ตกใจหวั่นไหว เพราะจิตเราไม่ยืดติดในร่างกายชั่วครู่ชั่วคราวของโลกนี้

    การปฏิบัติเพื่อจิตไม่ยึดติดในร่างกายมีหลายข้อหลายวิธี มีถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ เช่น กรรมฐาน 40 แบบและ มหาสติปัฏฐานสูตร 4 อริยสัจ 4 มรรค 8 ศีล สมาธิ ปัญญา เลือกเอามาใช้พิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งใน 84,000 พระธรรมขันธ์ จิตก็จะเข้าถึงอริยมรรค อริยผลได้ง่าย ๆ อย่างเช่น ท่านพระพาหิยะ เพียงแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    " พาหิยะ จิตเป็นของเบาบริสุทธิ์ จิตเธอเห็นรูปร่างกายขันธ์ 5 แล้ว จงทำจิตเพียงสักแต่ว่าเห็นรูป อย่าเอาใจที่เป็นของเบาไปยึดติดรูปร่างกายที่เป็นของหนัก มีแต่ทุกข์แต่โทษ เพียงเท่านี้ จิตของท่านพาหิยะ บรรลุอรหัตตผลทันที เป็นพระสาวกที่บรรลุธรรมได้รวดเร็วที่สุด

    2. แนวการปฏิบัติเข้าสู่พระนิพพาน ก็คือ ปฏิบัติด้วยการมีศีล 5 ข้อ บริสุทธิ์ วาจาจริงใจไพเราะมีประโยชน์ ใจในขันธ์ 5 ก็คือ อารมณ์ 108 ประการ เอาจิตที่ว่างสะอาด ปราศจากกิเลส ควบคุมอารมณ์ใจให้มีเมตตาอยู่เสมอ

    3. เอาจิตพิจารณามองทุกสิ่งทุกอย่างในโลก สัตว์ คน วัตถุสิ่งของ ลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญสุขทางโลก ไม่มีอะไรเป็นของจริง เป็นของสมมุติ ทั้งหมด ไม่มีอะไรแน่นอน คงที่ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เป็นสาระแก่นสารได้ ย่อมสูญสลายหายสาบสูญไปหมดทั้งสิ้น

    เตือนจิตตนแบบนี้ตลอดเวลา จิตจะว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ว่างจากกายขันธ์ 5 ของตน ว่างจากกายขันธ์ 5 คนอื่น ไม่มีวิตกกังวลอยู่ในจิตในใจเราอีกต่อไป มองเห็นทุกสิ่งเป็นความว่างเปล่า

    4. จิตว่าง คือ จิตมีอยู่ แต่จิตเป็นกุศลฉลาด มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลก จักรวาล นรกโลก เทวโลก พรหมโลก ในความเป็นจริงว่า เป็นเพียงภาพสมมุติ ภาพมายา มีจริง แต่ก็สูญสลายไปจริง ๆ เหลือแต่ความว่างเปล่า จิตไม่ไปยึดเกาะกับของว่างเปล่า เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์ดังเดิมเพราะไม่มีอุปาทาน ยึดติด ทั้ง 3 โลก ไม่ยึดติดทุกข์ คือ นรก ไม่ยึดติดสุข ในสวรรค์ พรหม
    จิตไม่ยึดติดในสรรพสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ โลกหน้า สภาพจิตจะเบา เป็นอุเบกขา เป็นหนึ่งคือ เอกัตคตารมณ์ วางเฉยในทุก ๆ เรื่อง เป็นสังขารุเบกขาญาณ วางเฉยในร่างกายเขาและเรา

    5. จิตว่างจากกายเรา กายเขา แต่ถ้าจิตยังอยากเป็นพระอริยเจ้า อยากเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้ ท่านทำได้ดีแล้ว แต่ดียังไม่ถึงที่สุด ควรวางจิตให้เป็นอุเบกขา ไม่ยึดติดในความดี ความชั่ว บุญบาป ไม่สนใจ ทำจิตให้นิ่ง วางเฉยแต่มองทุกสิ่งทุกอย่าง ว่างสลายไปหมดเหลือแต่อวกาศ สุญญากาศ มีแต่จิตสะอาดเบาว่างจากกิเลส ว่างจากความหลงเหลืออยู่

    6. จิตของคน สัตว์ เทพ พรหม ผีต่าง ๆ ถูกความว่างหุ้มห่อไว้ จิตมองเห็นตามความเป็นจริงว่า ทั้ง 3 โลก มีแต่ความแปรปรวนว่างเปล่าในที่สุด จิตจะหลุดจากการเกาะยึดสิ่งชั่วคราวสมมุติแล้วก็เหลือความว่างนั้น โดยเฉพาะขันธ์ 5 ร่างกายมนุษย์ สัตว์ ผี เทพ ก็มีแต่ความว่างเปล่า เพียรทำจิตให้ว่าง เหมือนแก้วในประการเพชร สว่างไปไกลไม่มีขอบเขต และวางเฉยแบบนี้ เป็นอุบายง่าย ๆ แบบลัด ๆ ได้ผลรวดเร็ว เป็นแบบพุทธจริต คือ จิตของท่านผู้ฉลาดมีบุญบารมี ปัญญา เฉียบแหลมคม

    ในที่สุด จิตท่านก็ถอนความเห็นเป็นตัวเป็นตนของร่างกาย ซึ่งเป็นของหนักเสียได้ อย่างง่ายดาย ดังเช่น ท่านโมฆราชได้บรรลุ พระอรหัตตผลแล้ว ท่านก็จะเข้าใจสภาวะพระนิพพาน ซึ่งมีอยู่ในจิตของทุกท่าน ที่องค์พระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหากรุณา เมตตาสั่งสอน และคอยสอดส่องดูแลเหล่าพุทธบริษัท เป็นกำลังใจให้พวกเราได้เข้าใจจิตเดิมแท้ของพวกเราตลอดเวลา ขอให้ทุกท่านรีบเร่งบำเพ็ญเพียรทางจิต อย่าได้คิดผัดผ่อน ทุกวินาที มีค่าสำหรับเราเพื่อพ้นทุกข์ ร่างกายเป็นครู เป็นพระธรรมให้เราเห็นทุกข์โทษ ถ้าจิตติดในร่างกายไม่มองกายในความเป็นจริง

    พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ไม่ฉลาด ไม่มีความรู้จริง ขอให้ท่านช่วยตนเอง ทำจิตให้ฉลาดมีปัญญาตามพระธรรมคำสอนขององค์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ตั้งแต่สมเด็จองค์พระปฐมจนกระทั่งถึงสมเด็จองค์ปัจจุบัน

    7. ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิ สัมผัสพระพุทธเจ้าเบื้องบนพระนิพพานได้แล้ว ให้ขยันยกจิตเข้าไปฝากไว้ในจิตองค์สมเด็จพระประทีปแก้วตลอดเวลา เป็นการแยกจิตซึ่งเป็นของจริงของเบา ออกจากกายที่เป็นของหนักสกปรก จิตที่ยกไปผากไว้กับพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระนิพพาน จะเป็นจิตสะอาด จิตเบิกบาน จิตว่างจากกิเลส เป็นจิตของพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจตลอดเวลา เป็นจิตที่มีปัญญา เข้าถึงพระนิพพานเพราะว่างจากกิเลส จิตที่พระนิพพานอยู่กับองค์สมเด็จพระพิชิตมารเป็นฌาน 4 ใช้งานเป็นของง่ายเป็นของจริง ถ้าไม่มีบารมีนึกอย่างไรก็ไม่ถึงเพราะสงสัยไม่เชื่อ

    ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ บารมีพระนิพพาน บารมีพระธรรม และบารมีพระอริยเจ้าทั้งหลายได้ดลบันดาล ดลจิตของทุกท่านได้รอดพ้นจากวัฏฏสงสาร สามารถก้าวล่วงสู่พระนิพพาน เป็นสุขยิ่งชั่วกาลนาน ทุกท่านด้วยเทอญ


    www.sangthipnipparn.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...