***วัตถุมงคลหลวงพ่อไพบูลย์ วัดอนาลโย ดอยมังกร-ครูบาวงค์ และเกจิอาจารย์ทั่วไทย

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย siwa1968, 24 สิงหาคม 2010.

  1. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    พญาภูคาเดิมเป็นชาวเมืองเงินยาง (อยู่ทางตอนเหนือของ จ.น่าน) ได้อพยพพร้อมด้วยชายา ชื่อ จำปา หรือแก้วฟ้า นำราษฎรประมาณ ๒๒๐ คน เดินทางลงมาทางทิศใต้ ครั้งแรกได้ตั้งถิ่นฐานที่บริเวณ ห้วยเฮี้ย (ปัจจุบัน ต.ศิลาแลง) ต่อมาเล็งเห็นว่าบริเวณเมืองล่าง (ปัจจุบัน ต.ศิลาเพชร) เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และชัยภูมิดีเหมาะที่จะสร้างเมือง (พื้นที่ดังกล่าวชนชาวลั๊วะหรือเขมรก่อตั้งเมืองมาก่อนแล้วแต่ปล่อยให้ร้างคงมีราษฎรเหลืออาศัยประมาณ ๔๐ ครอบครัว) จากนั้น พญาภูคาจึงได้นำราษฎรย้ายจากห้วยเฮี้ยมายังเมืองล่างภายหลังที่สร้างเมืองเสร็จเรียบร้อย และด้วยพระทัยที่กว้างขวางโอบอ้อมอารี ราษฎรต่างเลื่อมใสศรัทธาจึงพร้อมใจกันยกย่องพญาภูคาขึ้นเป็นพญาครองเมืองล่างเมื่อปี พ.ศ.๑๘๑๒ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๓ ปกครองเมืองล่างเรื่อยมาจึงถึงแก่พิราลัย เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๘๐ รวมระยะเวลาปกครองเมืองล่าง ๖๘ ปี

    สำหรับเมืองล่างเมื่อสิ้นยุคของพ่อพญาภูคาแล้วก็เริ่มเสื่อมลงเรื่อย ๆ กอปรกับเมืองล่างขณะนั้นถูกพม่าเข้าตีเมืองหลายครั้ง และล่าสุด เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๓ ได้เข้ามากวาดต้อนผู้คนรวมทั้งทำลายวัดวาอารามเก็บเอาทรัพย์สินไปหมด เมืองล่างจึงเสื่อม และเสียหายในที่สุด ต่อมาเมืองล่างเปลี่ยนชื่อเป็น เมืองย่าง และประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๔ เมืองย่างได้เปลี่ยน ชื่อเป็นตำบลศิลาเพชรจนถึงปัจจุบัน

    เกียรติประวัติของพ่อพญาภูคา
    ๑. ด้านการเมือง/การปกครอง ได้ขยายเขตการปกครองออกไปดังนี้.
    - ทิศเหนือ ถือเอาศาลเมืองล่างเป็นเขต
    - ทิศใต้ จรดเมืองสุโขทัย
    - ทิศตะวันออก จรดเขตเมืองหลวงพระบาง
    - ทิศตะวันตก จรดเขตพม่า

    ๒. ด้านศาสนา ปี พ.ศ. ๑๘๑๖ พญาภูคา นำราษฎรปฏิสังขรณ์ และบูรณะวัดมณี เพื่อให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองล่าง รวมทั้งได้นิมนต์พระมหาเถระองค์หนึ่งซึ่งจาริกมาจากกรุงสุโขทัย ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดมณี

    ๓. ด้านการพัฒนา ได้ฟื้นฟูบูรณะเมืองล่างซึ่งเป็นเมืองร้างให้เจริญรุ่งเรือง ขุดสระเก็บน้ำ และขุดเหมืองฝาย เพื่อให้มีน้ำเพียงพอแก่การอุปโภคบริโภคและการเกษตร ประชาชนอยู่ดีกินดีบารมีแผ่ไปทั่วสารทิศ ทำให้ชาวเชียงแสน และชาวไทยลื้อสิบสองปันนาอพยพมาพึ่งบารมี และ อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข

    ปี พ.ศ. ๑๘๗๐ พญาภูคา และเสนาอำมาตย์ ได้เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงสุโขทัยได้เข้าเฝ้าพระร่วงเจ้า พระร่วงเจ้าทรงพอพระทัย จึงโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้พญาภูคา เป็นพ่อพญาภูคาครองเมืองล่าง นับแต่นั้นมากรุงสุโขทัย และเมืองล่าง จึงมีความสัมพันธ์อย่างดียิ่ง

    พ่อพญาภูคาได้ขยายอาณาเขตการปกครองโดยส่งราชบุตรบุญธรรมสององค์ คือ ให้ขุนนุ่นผู้พี่ไปสร้างเมืองจันทบุรี (หลวงพระบาง) ส่วนขุนฟองผู้น้องไปสร้างเมืองวรนคร (เมืองปัว) และในสมัยพญากานเมือง (หลานพ่อพญาภูคา) ได้ย้ายเมืองจากวรนครไปสร้างเมืองที่แช่แห้งเรียกว่าเวียงภูเพียง เมื่อ ปี พ.ศ. ๑๙๐๒ และได้มีการโยกย้ายเมืองไปที่เวียงใต้ เวียงเหนือ และมาอยู่ที่เมืองน่านจนถึงปัจจุบัน

    เหรียญอัลปาก้ารุ่นแรกเจ้าหลวงภูคาสวย บูชา 950 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC01424.jpg
      DSC01424.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.4 KB
      เปิดดู:
      108
    • DSCF1582.JPG
      DSCF1582.JPG
      ขนาดไฟล์:
      314.4 KB
      เปิดดู:
      73
    • DSCF1583.JPG
      DSCF1583.JPG
      ขนาดไฟล์:
      275.9 KB
      เปิดดู:
      90
  2. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    หลวงพ่อทิพย์ วัดโพธิ์ทอง บุรีรัมย์ 2517

    หลวงพ่อทิพย์ ธัมมนิโยโก วัดโพธิ์ทอง บุรีรัมย์ ท่านเป็นพระอาจารย์เชื้อสายเขมรที่เรืองวิชาอาคม จนชาวเมืองตั้งฉายาว่า “หลวงพ่อสารพัดนึก” เนื่องจากบนอะไรก็สัมฤทธิ์ผลตามที่ขอไว้ หลวงพ่อทิพย์ฯ ท่านมีความสมถะ มักน้อย มีจริยาวัตรงดงามห่าง ไกลจากกิเลสทั้งปวง น่าเคารพและศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง แต่สร้างของยาก พระเครื่องรุ่นนี้ท่านได้อนุญาตให้สร้างเพื่อหารายได้มาบำรุงวัดและสร้างพระอุโบสถ
    เหรียญรุ่นสารพัดนึก หลวงพ่อทิพย์ วัดโพธิ์ทอง บุรีรัมย์ พ.ศ.2517 พิธีปลุกเสกหลวงพ่อทิพย์ฯ ได้กำหนดวิธีการ มีการจัดตั้งปรัมพิธีตามแบบเขมร มีหัวหมู บายศรี ราชวัตร ฉัตร ธง ล้อมรอบ มีพระสวดเจริญพระพุทธมนต์ 9 รูป มีพระนั่งปรกปลุกเสก 3 รูป คือ หลวงพ่อคง วัดกลาง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ หลวงพ่อกลั่น วัดโพธิ์ทอง และหลวงพ่อทิพย์ฯ สำหรับหลวงพ่อคงและหลวงพ่อกลั่น เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดบุรีรัมย์ ที่หลวงพ่อทิพย์นับถือทั้งสองท่าน หลวงพ่อคงและหลวงพ่อกลั่นได้ได้ปลุกเสกจนถึง 22 นาฬิกา จึงได้ลุกจากพิธี เหลือเพียงหลวงพ่อทิพย์ฯได้นั่งปลุกเสกแต่เพียงองค์เดียวไปจนถึงสว่าง เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว พระสมบูรณ์ ธมมจาโร ผู้ได้รับการอนุญาตให้ดำเนินการจัดสร้างได้เรียนถามว่าใช้ทางไหน ท่านบอกว่าเป็นแก้วสารพัดนึก ผู้ใช้จะนึกอธิฐานใช้อย่างใดก็ได้ แต่ขอให้นึกในสิ่งที่ชอบที่ควร และส่วนใหญ่จะหนักไปทางเมตตา แต่ทางด้านมหาอุดแคล้วคลาดก็มี เกี่ยวกับในด้านมหาอุดนั้น เมื่อปลุกเสกเหรียญเสร็จ ปรากฏว่ามีนักเลงดีนำไปทดลองกันที่ข้างวัดทันที ปรากฏว่ายิ่งไม่ออก…นอกจากนี้คณะผู้จัดสร้างยังได้นำไปให้หลวงปู่ทิม อิสรโก วัดละหารไร่ จ.ระยอง ปลุกเสกให้ด้วย สภาพสวยรมดำเดิม อีกทางเลือกหนึ่งของวัตถุมงคลที่หลวงปู่ทิมเสกแต่มีราคาไม่แพง ไม่ต้องกลัวปลอมครับ ของดีเก่าเก็บ


    หลวงพ่อทิพย์ วัดโพธิ์ทอง บุรีรัมย์ ท่านเป็นพระสหธรรมิกกับหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ แลกเปลี่ยนธรรมะ และพุทธาคมกันประจำ ไปมาหาสู่กันเสมอ แต่ท่านเป็นพระเงียบๆครับ พระของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันน้อย ทางด้านพุทธาคมของตัวหลวงพ่อทิพย์เองมีพร้อมทุกด้านครับ เมตตา มหานิยม แคล้วคลาด คงกะพัน แถมป้องกันคุณไสยได้อีก (อยู่บุรีรัมย์แถวโน้นต้องมีวิชาไว้ป้องกันตัวบ้าง)

    <TABLE width="100%" bgColor=#0ee0><TBODY><TR><TD>ความคิดเห็นจากคุณ : betraiter_@hotmail.com [ 16:34 2/5/2551 61.7.179.191 : 61.7.179.191 ]</TD></TR><TR><TD bgColor=#d1ffe1>ผมได้เหรียญรุ่นี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว ยายเคยเล่าว่ามีคนครองแล้วถูกรถทับไม่เจ็บเท่าไร ที่สำคัญไม่ตายครับ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เหรียญกลมสารพัดนึกรุ่นแรก เหรียญสวยเดิม บูชา 750 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF1554.JPG
      DSCF1554.JPG
      ขนาดไฟล์:
      256 KB
      เปิดดู:
      97
    • DSCF1555.JPG
      DSCF1555.JPG
      ขนาดไฟล์:
      249.1 KB
      เปิดดู:
      127
    • untitled.bmp
      ขนาดไฟล์:
      81.8 KB
      เปิดดู:
      77
  3. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    ย้อนกาลเวลาไปประมาณ 110ปี จาก พ.ศ. 2553 สู่ปีพุทธศักราช 2443 ณ หมู่บ้านแม่เทย อ.ลี้ จ.ลำพูนในสมัยนั้น ความเจริญยังย่างกรายมาไม่ถึง ทุรกันดารไปเสียทุกอย่าง เพราะยังเป็นบ้านป่าหย่อมเล็ก ๆ เพียง 9 หลังคาเรือนตั้งอยู่โดยมีความทะมึนของขุนเขาลำเนาไพรเป็นรั้วรอบ

    จากคำบอกเล่า แม่เทยสมัยนั้น ตกยามค่ำคืน เสียงส่ำสัตว์น้อยใหญ่ร้องระงมรอบบ้าน ไม่ว่าเสือ, ช้าง, เก้ง, กวาง คละเคล้ากันไปได้ยินถนัด ท้ายหมู่บ้านเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ของผัวหนุ่มเมียสาวคู่หนึ่งอาศัยอยู่ แม้จะยากจนแต่ก็มีความสุขตามประสาคนหนุ่มสาวที่มักมองโลกเป็นความน่าบันเทิงเริงรมย์ ยิ่งอยู่ในระยะข้าวใหม่ปลามันความฝันนั้นมักบรรเจิดยิ่งนัก

    ฝ่ายผัวมีเชื้อสายชาวลัวะ ชื่อ เมา และเมียชื่อ จันตา เขาทั้งสองดำรงชีพ แบบชาวบ้านป่าทั้งหลาย ด้วยการทำไร่ปลูกผักหักฟืนไปวัน ๆ โดยหาจุดหมายเพื่อความเป็นปึกแผ่นไม่ค่อยมั่นใจนักเพราะความยากจน สมัยนั้นไม่มีการทำนาเพราะยังไม่มีการบุกเบิก แต่จะพากันปลูกข้าวไร่แทน ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง แต่ที่แน่นอน ไม่พอกินไปตลอดปี ซึ่งถ้าหากข้าวเปลือกที่กักตุนหมด อาหารหลักที่รับช่วงต่อจากข้าวก็คือกลอย

    กลอยเป็นพืชใช้กินหัวจัดอยู่ในตระกูลเผือก มันมีหัวอยู่ในดิน ชาวบ้านป่าจะเที่ยวขุดมากักตุนไว้ในฤดูของมัน ซึ่งสมัยนั้นชุกชุม โดยเอาหัวกลอยที่ขุดมาได้นั้นปลอกเปลือกฝานเป็นชิ้นบาง ๆ นำมาตากแดดให้แห้ง เก็บไว้ได้นาน ๆ เวลาจะกินก็ใช้วิธีนึ่งจนสุก แล้วแปรเป็นอาหารทั้งรูปข้าวและของหวาน โดยจะเอาคลุกน้ำอ้อยน้ำตาล โดยขูดมะพร้าวผสมก็กินอร่อย หรือจะกินกับประเภทกับ เช่น ผัก เนื้อ ก็ได้ดีเหมือนข้าว

    หลายท่านในภาคเหนือเราในปัจจุบันที่มีอายุ 40 - 50 ปี เคยกินกลอย และหลายท่านอีกเช่นกันที่เติบใหญ่มาด้วยการกินกลอยเป็นอาหารหลัก แม้กระนั้น เจ้ากลอยนี้แม้จะเป็นอาหาร แต่จะกินสุ่มสี่สุ่มห้า โดยไม่ใช้ฤดูกาล ไม่ได้เป็นอันขาด ขืนกินเข้าไปเป็นเมาเบื่อทันที จากผู้ชำนาญในด้านนี้ ท่านบอกว่าฤดูที่กินได้เริ่มตั้งแต่เดือน 11 เหนือ (เดือน ใต้) ไปจนถึงเดือน 6 (เดือน 3 ใต้ ) ต่อจากนั้นกลอยก็จะเฉา ขืนกินนอกจากฤดู ดังกล่าวก็จะเกิดอาการเบื่อเมา ซึ่งก็รุนแรงพอดู และหากเกิดอาการดังกล่าวนี้ ท่านว่าให้กินน้ำผึ้งน้ำอ้อยหรือน้ำตาลให้มาก ๆ จะทำให้เกิดอาเจียนและหายเบื่อเมาได้ แต่ถ้าท่านไม่อยากเสี่ยง หากจะกินกลอยโดยไม่เกิดอาการเบื่อเมาแน่นอน ท่านก็ว่าหากนึ่งสุกแล้ว ทอลองให้สุนัขกินก่อนหากสุนัขกิน หรือไม่กิน ก็เป็นกลอยที่ท่านจะกิน หรือกินไม่ได้ เช่นกัน

    กลอยในฤดูปกติจะไม่มีพิษ และไม่แสลงโรค แต่ถ้าเริ่มกินในระยะ 3 - 4 วันแรก จะมีอาการอ่อนเพลียบ้างแต่หลังจากนั้นร่างกายก็จะปรับตัวแข็งแรงขึ้นเหมือนกินข้าว แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ คนกินกลอยโดยทั่วไปมักใจคอหงุดหงิด โกรธง่าย ใครพูดผิดหูไม่ค่อยได้ และมักไม่กลัวใคร เห็นจะเป็นเพราะอานุภาพของกลอย ซึ่งจัดอยู่ในจำพวกว่านชนิดหนึ่ง ด้วยกลอยกินเปลืองกว่าข้าวโดยเทียบอัตรา ข้าวนึ่งหนึ่งไห ครอบครัวหนึ่งกินอิ่ม แต่ถ้ากินกลอยจะต้องนึ่งถึงสองไหจึงจะอิ่มพอ และลักษณะคนกินกลอยที่เหมือนกันเมื่อกินนาน ๆ คือท้องใหญ่แต่ไม่อ้วน

    วันกำเนิด

    ในวันจันทร์ เดือน 7 เหนือ ปีกัดเป้า (ปีฉลู) ซึ่งตรงกับวันที่ 17 เดือนเมษายน 2443 อันเป็นวันมหาสงกรานต์ คำเมืองเรียกว่าวันปากปี ครอบครัวของ นายเม่า นางจันตา ก็มีโอกาสต้อนรับชีวิตเล็ก ๆ ชีวิตหนึ่งซึ่งลือตาขึ้นมาดูโลกในวันนี้ นับเป็นสายเลือดและพยานรักคนแรกและคนเดียวของพ่อเม่าแม่จันตา เพื่อให้เป็นมงคลตามวัน ทั้งสองจึงตั้งชื่อทารกน้อยนั้นว่า "จำปี"

    ชีวิตวัยเยาว์

    ดังกล่าวแล้วว่า ครอบครัวท่านเป็นครอบครัวชาวบ้านป่าค่อนข้างยากจน อาหารการกินจึงขาดแคลน มีแต่ผักกับกลอยเป็นอาหารหลัก เด็กชายจำปี จึงมีร่างกายบอบบาง พุงค่อนข้างป่องเพราะโรคขาดอาหาร จึงมักเจ็บออดแอด แต่ก็ไม่ร้ายแรงนัก "จำปี" มีแววฉลาดแต่ยามเล็ก ๆ ว่านอนสอนงาย และเรียนรู้ประสบการณ์จากป่า ความสงบของธรรมชาติมาตลอดชีวิต แม้จะยากจนแสนเข็ญ ครอบครัวนี้ก็ยังคงมีความสงบสุข ยิ่งมีลูกน้อยเป็นสื่อสายใจ พ่อเม่า แม่จันตา ก็ยิ่งมุมานะทำงาน เพื่อสร้างอนาคตให้เด็กน้อยจำปีขึ้นอีกเท่าตัว เด็กชายจำปี คงไม่เข้าใจการต่อสู้ของพ่อแม่นัก คงยังมีความร่าเริงสนุกไปตามประสาเด็ก ๆ และความน่ารักอันไร้เดียงสาของเขามันหมายถึงความรักของพ่อแม่ที่ทุ่มเทให้ลูกน้อยจนสุดหัวใจ แม้ทั้งสองร่างกายจะเปื้อนเหงื่อกว่าชีวิตประจำวันจะสิ้นสุด ก็ต่อเมื่อใกล้ค่ำย่ำสนธยา แต่ใบหน้าไม่เคยว่างรอยยิ้มอย่างเป็นสุข เมื่อเห็นลูกน้อยโผผวาเข้าหาอ้อมกอด นี้คือความรักของพ่อแม่ทุกคนในโลกที่มีต่อลูกน้อย

    การพลัดพรากที่ยิ่งใหญ่

    พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่าโลกนี้เป็นอนิจจัง มีความไม่เที่ยงแท้เป็นเครื่องกัดกร่อน ชีวิตมนุษย์ที่อุบัติขึ้นมาหาจุดหมายที่แท้จริงไม่ได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว สุขกับโศกมักจะเป็นเครื่องล้อเล่นให้ได้พบเสมอ พบกันเพื่อจะจากกันในที่สุด เป็นอยู่เช่นนี้เหมือนกันทั้งโลก

    ครอบครัวของหนุ่มเม่าก็เช่นกัน จากความกรากกรำในงานไร่ และต่อสู้เพื่อเลี้ยงทุกชีวิตที่ตนรับผิดชอบทำให้เขาล้มเจ็บลง มันเป็นไข้ป่าที่ร้ายแรง ซึ่งหลายคนเสี่ยงเอา หากว่าเป็นแล้วก็พึ่งยากลางบ้านต้มกินกันตามที่ผู้เฒ่าผู้แก่ หมอกลางบ้านจะแนะนำให้ อยู่หรือตายนั่นแล้วแต่บุญกรรม สำหรับหยูกยาทันสมัยไม่ต้องพูดถึง เพราะไกลความเจริญเหลือเกิน พูดง่าย ๆ ว่าจากลี้ไปเชียงใหม่ในสมัยนั้นต้องเดินกันเป็นสิบ ๆ วัน

    สำหรับพ่อเม่าค่อนข้างโชคร้าย ยากลางบ้านประเภทสมุนไพรสกัดโรคร้ายไม่อยู่ อาการมีแต่ทรงกับทรุด แม่จันตาต้องนั่งเฝ้ามิยอมห่าง ด้วยความเป็นห่วงกังวล โดยมีลูกน้อยนั่งอยู่ด้วยนัยตาปริบ ๆ ด้วยคำถามที่ว่า

    "พ่อเป็นอะไรทำไมจึงไม่ลุกนั่งหอบอ้มลูกเหมือนเก่าก่อน"

    แม่ก็ได้แต่บอกว่าพ่อไม่สบาย พร้อมกับน้ำตาอาบแก้มกับคำถามสุดท้ายอันไร้เดียงสาของลูก พร้อมกับตั้งความหวังว่าพ่อคงไม่เป็นอะไรมากนัก

    แต่อนิจจา ความตายนั้นไม่คำนึงเวลา และความรู้สึกของมนุษย์เลย แล้ววันนั้นวันที่พ่อเม่าต้องจากทุกคนไปอย่างไม่มีวันกลับมาถึง ท่ามกลางความเศร้าโศกของแม่จันตา และความอาลัยรักของเพื่อนบ้าน พ่อเม่าทิ้งซากที่ผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอยู่บนที่นอนเก่า ๆ ให้แม่จันตาได้ร่ำไห้กอดรัดปิ่มว่าจะขาด ใจตามไปด้วย เด็กชายจำปียังไร้เดียงสาเกินไปนักที่จะเข้าใจว่าความตายคืออะไรด้วยวัยเพียง 4 ขวบ ก็ได้แต่พร่ำถามว่าแม่ร้องไหทำไม? พ่อเกลียดแม่หรือ? ทำไมพ่อจึงไม่พูด? ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่จึงได้แต่เบือนหน้าหนีด้วยความสงสาร สะเทือนใจความพลัดพรากจากของรัก คนรักนับว่าเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวใจอย่างนี้เอง

    แสงทอง - แสงธรรม

    นับจากพ่อเม่าจากไปแล้ว ก็เหลือแต่สองแม่ ลูกกัดฟันต่อสู้ ชีวิตท่ามกลางบ้านน้อยในห้อมแหนของดงดิบจึงขาดความอบอุ่นอย่างสิ้นเชิง เมื่อความทมึนของราตรีมาถึง หลายครั้งที่สองแม่ลูกผวาเข้ากอดกันด้วยใจระทึก เมื่อเสียงนกกลางคืนที่กรีดร้อง เหมือนเสียงสาปแช่งของภูตผี นี่หากพ่อเม่ายังอยู่ พ่อก็คงเป็นที่พึ่งปลอบขวัญเหมือนมีกำแพงเพชรคอยกางกั้น เมื่อขาดพ่อ โลกนี้เหมือนโลกร้าง มีแต่เพียง "จำปี" กับแม่เพียงสองคน

    และมาถึงขณะนี้ "จำปี" เริ่มเติมใหญ่ แม้ร่างจะเล็กแต่เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อมก็หล่อหลอมหัวใจเด็กชายจำปีให้แกร่งดังเพชร และนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านเป็นผู้ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรค เป็นนักสู้ชีวิตที่เข้มแข็งในกาลต่อมา

    เด็กชายจำปีกับแม่ช่วยกันต่อสู้ในการดำรงชีพอย่างทรหด จวบจนอายุ 16 ปี แม้จะเป็นวัยรุ่นแต่ความคับแค้นที่ผจญอยู่แทบทุกวันทำให้ "จำปี" ไม่ร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไป กลับเป็นอันสงบเสงี่ยมเจียมตัว ชอบอยู่คนเดียวเงียบ ๆ และความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินตัว

    ฝากตัวเป็นศิษย์ครูบาศรีวิชัย

    สมัยนั้นท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังอยู่ที่วัดบ้านปาง วันหนึ่ง แม่จึงเรียกเจ้าจำปีเข้ามาถาม

    "ลูกอยากบวชไหม"

    จำปีตอบว่า “อยากบวช แต่ยังห่วงแม่ เมื่อลูกบวชแล้วใครดูแล"

    แม่ตาตอบว่า "อยู่ได้ อย่าห่วงเลย อีกประการหนึ่งการบวชนี้เป็นการช่วยพ่อแม่ที่ดีที่สุด เพราะเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างแท้จริง เมื่อเห็นลูกนุ่งเหลือง ก็นับว่าเป็นความสุขชื่นใจอย่างเหลือเกิน"

    และจากคำแนะนำนี้ เด็กชายจำปีจึงถูกแม่พาไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย และในทันที่นำไปฝาก เพียงท่านครูบาเห็นลักษณะเด็กชายจำปีท่านก็รับไว้ทันที เหมือนดั่งจะมีตาทิพย์มองเห็นว่าเด็กคนนี้ในอนาคตจะต้องยิ่งใหญ่ ในฐานะนักบุญแทนท่าน และอีกไม่นานหลังจากร่ำเรียนสวดมนต์ อ่านเขียนอักขระทั้งภาษาไทยและพื้นเมืองจบแล้วท่านครูบาศรีวิชัย จึงให้บรรพชาเป็นสามเณร

    สามเณร "ศรีวิชัย"

    ระหว่างเป็นสามเณร ท่านได้ปฏิบัติกิจอันจะพึงมีต่ออาจารย์ คือครูบาศรีวิชัยอย่างครบถ้วน ท่านจึงเป็นที่รักของอาจารย์อย่างยิ่ง ท่านจึงตั้งชื่อให้เหมือนกับอาจารย์ สามเณรศรีวิชัย สามเณรน้อยได้เฝ้าอุปัฎฐากอาจารย์ และร่ำเรียนกัมมัฎฐานและอักษรสมัยจนจบถ้วนด้วยความสนใน พร้อมกับปฏิบัติตามที่พร่ำสอนจนดวงจิตสงบ พร้อมกันนั้น การถ่ายทอดในเชิงวิชาช่างก่อสร้างจากอาจารย์ จนเกิดความชำนาญและติดตามอาจารย์ครูบาศรีวิชัยไปก่อสร้างวัดวาอารามทุกหนทุกแห่งมิได้ขาด ในด้านสถาปัตย์ ท่านจึงนับว่าเป็นหนึ่ง ท่านชำนาญจนถึงขนาดว่า เพียงเดินผ่านเสาไม้ต้นไหน ก็สามารถรู้ได้ทันทีว่า เสาต้นไหนกลวงหรือตัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ปรากฏว่าเสาต้นนั้นจะมีรอยกลวงให้ปรากฏแก่สายตา

    ครูบาเจ้าศรีวิชัยอุปสมบทให้

    ท่านดำเนินชีวิตทั้งในด้านการปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน และด้านพัฒนาก่อสร้างควบคู่กันไป จวบจนอายุได้ 22 ปี เป็นสามเณรได้ 6 ปี ท่านครูบาศรีวิชัยจึงอุปสมบทให้ แต่เพราะเหตุที่ท่านมีชื่อเหมือนกับอาจารย์เมื่อเป็นภิกษุ อาจารย์จึงได้เปลี่ยนฉายาให้ใหม่ว่า "อภิชัยขาวปี"

    ท่านอุปสมบทได้เพียง 2 พรรษา ท่านจึงกราบลาพระอาจารย์ เพื่อที่จะแยกไปมุ่งงานก่อสร้างต่อไป ซึ่งงานก่อสร้าง โดยตัวของท่านนั้นจะได้เรียบเรียงตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงงานชิ้นสุดท้ายอีกต่างหากในท้ายเล่ม

    ผจญมาร

    พระอภิชัย เริ่มงานก่อสร้างในสถานที่ต่าง ๆ ตั้งแต่อายุ 24 จนถึงอายุ 35 ลางร้ายก็เริ่มอุบัติ สมัยนั้นใช้เงินตราปราสาททอง ตรารูปช้างสามหัว และเริ่มมีธนบัตรใช้ควบคู่กันไป ขณะที่กำลังก่อสร้างกุฏิวัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน แต่ยังไม่ทันเสร็จ ปลัดอำเภอลี้สมัยนั้นก็มาสอบถามถึงใบกองเกินการเกณฑ์ทหารจากท่าน แต่ท่านไม่มี ตำรวจจึงคุมตัวไปจังหวัดลำพูนและส่งตัวฟ้องศาล เมื่อถูกศาลไต่สวนถึงใบกองเกิน ว่าทำไมถึงไม่ได้รับท่านก็ในการว่า ขณะที่เริ่มมีการเกณฑ์ทหารนั้น ได้ระบุว่าให้ขึ้นทะเบียนตั้งแต่อายุ 18 ปีบริบูรณ์ แต่ขณะนั้นอายุอาตมาได้ 25 ปี บัดนี้อายุของอาตมาได้ 35 ปีแล้ว จึงนับว่าพ้นการเกณฑ์แล้ว ศาลจึงพักเรื่องนี้ไว้ก่อน

    ถูกบังคับให้สึกและครองผ้าขาวครั้งแรก

    หลังจากนั้นอีกไม่นาน ท่านก็ต้องขึ้นศาลอีก และให้ท่านรับใบกอง แต่ท่านก็ไม่ได้ไปแจ้งแก่ทางการให้มีการยกเว้นหรืออย่างไร ฉะนั้นท่านจึงมีความผิดให้จำคุก 6 เดือน แล้วให้จัดการสึกท่านออกจากการเป็นพระภิกษุก่อน แต่ท่านก็ยังยืนยันว่าท่านบริสุทธิ์ ท่านเป็นพระทั้งกายและใจ ชีวิตนี้อุทิศให้กับศาสนาแล้ว ท่านไม่ยอมเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากกายของท่านด้วยมือของตัวเองเป็นอันขาด

    เมื่อยืนยันอย่างนี้ ศาลจึงให้ตำรวจคุมตัวท่านไปหาเจ้าคณะจังหวัด ให้จัดการสึกตามระเบียบ แม้กระนั้น ท่านก็ยังยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะไม่ยอมสึก และเมื่ออภิชัยภิกษุไม่ยอมสึก เจ้าคณะจังหวัดจึงต้องบังคับ โดยให้ตำรวจจับเปลื้องผ้าเหลืองออกจากตัวท่าน จากนั้นก็ตามระเบียบ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีอำนาจล้นเหลือในสมัยนั้น ก็สวมกุญแจมือท่าน แล้วคุมตัวไปโรงพักเสียคืนหนึ่ง

    วันรุ่งขึ้นเวลาบ่าย 4 โมงเย็น ก็ถูกส่งเข้าจองจำในเรือนจำของจังหวัดลำพูนในสมัยนั้นต่อไป ซึ่งในนั้นท่านต้องได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัส

    ท่านเล่าถึงชีวิตในคุกตอนนั้นว่า คุกในสมัยนั้นสุดแสนสกปรก ยังเป็นคุกไม้ พื้นปูกระดาน เวลานอนก็นอนทั้ง ๆ ที่ล่ามโซ่ โดยสอดร้อยกับนักโทษคนอื่น คือข้อเท้าทั้งสอง ล่ามโซ่ตรวน มีโซ่เส้นใหญ่ สอดร้อยลอดตะขอพ่วงกับนักโทษคนอื่นอีกที

    เรื่องจะนอนหลับสบายนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะพอล้มตัวนอน ฝูงเลือดนับเป็นร้อย ๆ ตัวอ้วนปี๋เป็นต้องรุมกัดดูดเลือดกิน ให้ยุบยิบไปหมด จะถ่ายหนักถ่ายเบา ก็ว่ากันตรงช่องกระดานตรงที่ใครที่มัน เรื่องกลิ่นเหม็นไม่ต้องห่วง คลุ้งไปหมดตลบอบอวลทั้งเรือนจำทีเดียว

    ชีวิตประจำวันในห้องขังก็คือ พอ 7 โมงเช้า เปิดประตูห้องขัง ทำงานไม่ทันใจ ถึงเวลา 8 นาฬิกา ผู้คุมเป่านกหวีดเลิกงาน ทานข้าว ซึ่งข้าวนี่ก็อย่าหวังว่าจะกินให้อิ่มหมีพีมัน และเอร็ดอร่อย ไม่มีทาง ข้าวกระติกเล็ก ๆ แกงถ้วยหนึ่ง ต้องกินถึง 4 คน พอหรือไม่พอกิน ก็มีให้เท่านั้น ซึ่งแน่ละเวลากินก็ใช้ความว่องไว ขืนมัวทำสำอาง ค่อยเป็นค่อยกิน เป็นต้องอด คนอื่นที่เขาไว กินเรียบหมด และกับข้าวแต่ละวันนั้นเลือกไม่ได้ จะมีจำพวกผักเสียแหละเป็นส่วนมาก เช่น ยอดฟักทอง ผักตำลึงเป็นต้น แกงใส่ปลาร้า ค้างปี เหม็นหืน หาความอร่อยไม่มีเลย ถ้าเทให้หมูกินยังสงสัยอยู่ว่ามันจะกินหรือไม่ ข้าวนึ่งที่ใช้รับประทานก็เป็นข้าวเก่า แข็งเหมือนกินก้อนกรวด เป็นข้าวแดงใช้แรงนักโทษนั่นเองช่วยกันตำ จึงดีอยู่หน่อยที่มีวิตามิน กินแล้วแรงดี

    สร้างโรงพยาบาล

    ท่านอภิชัยขาวปีทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกไม่นาน ก็ได้ไปเห็นโรงพยาบาลจังหวัดลำพูนในสมัยนั้นชำรุดทรุดโทรมเหลือเกิน ท่านจึงแจ้งให้กับผู้บัญชาการเรือนจำ ๆ ก็ไปหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด ๆ ก็กลัวว่าจะสร้างไม่ทันเสร็จ เพราะท่านอภิชัยขาวปีติดคุกอยู่แค่ 6 เดือนเท่านั้น จึงไม่อนุญาต

    ท่านจึงถามว่า "ถ้าสร้างเหมาโรงพยาบาลนี้จะใช้งบประมาณเท่าไร อนึ่งถ้าสร้างภายใน 6 เดือนไม่เสร็จ เมื่อถึงคราวฉลองเมื่อไรก็จะร่วม"

    ทางจังหวัดก็บอกว่าถ้ามีเงินถึง 1,600 บาทก็สร้างได้ (ในสมัยนั้นมีค่ามาก) ท่านจึงออกเงินส่วนตัวมอบให้ทางจังหวัดเพื่อเป็นทุนสร้างโรงพยาบาลต่อไป เป็นจำนวนเงิน 1,600 บาท ซึ่งหลังจากได้รับทุนแล้วก็ดำเนินการก่อสร้างทันที

    และผลแห่งความดีนั้น ทางจังหวัดก็ส่งให้ทางเรือนจำ ส่งท่านให้ไปพำนักอยู่ในโรงพยาบาลหลังเก่า เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานสร้างโรงพยาบาล พร้อมกันนั้นก็ให้นักโทษชาย 2 คน มาอยู่ด้วยเพื่อปรนนิบัติ ทั้งอาหารการกินก็ถูกกำชับให้ทำอย่างดีและสะอาดเป็นพิเศษกว่านักโทษทั้งหลาย ท่านก็เลยพ้นจากการทรมานเพราะถูกเลือดยุงกัด

    นับจากนั้นมา การก่อสร้างก็รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากบรรดาประชาชนทั้งหลายที่เลื่อมใสในตัวท่าน เมื่อทราบข่าวว่าท่านมาเป็นประธานในการก่อสร้างโรงพยาบาล ก็พากันมาช่วยและทำบุญด้วยอย่างคับคั่งและเงินที่ได้จากการบริจาคครั้งนั้น ยังได้ถึง 2,000 กว่าบาท เกินกว่าที่กำหนดไว้ถึงสี่ร้อยบาท

    วันพ้นโทษ

    ครั้นถึงเดือน 9 เหนือ แรม 2 ค่ำ ก็เป็นวันที่ท่านพ้นโทษตามคำพิพากษาครบ 6 เดือนและโรงพยาบาลก็แล้วเสร็จก่อนถึง 10 วัน ในวันที่จะออกจากคุกนั้น ท่านก็ได้ให้ทานแก่พวกนักโทษทั้งหลายเป็นขนมส้มหวานทั้งอาหารทั้งหลายอย่างเหลือเฟือ จนพวกเขาอิ่มหมีพีมันไปตามๆ กัน เพราะเมื่อถึงตอนที่ท่านยังถูกจองจำอยู่ในคุกนั้น ระยะหลังพวกนักโทษทั้งหลายก็อยู่กินสบายจากของไทยทานที่ประชาชนผู้เลื่อมใสมาถวายถึงในคุกเป็นประจำทุกวันอย่างมากมาย รวมความว่าผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในเรือนจำทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ได้รับความสบายในด้านอาหารการกินไปตาม ๆ กัน

    ดังนั้นเมื่อถึงกำหนดพ้นโทษ วันนั้น นักโทษทั้งหลายต่างพากันปริเวทนา บ่นพร่ำว่า เมื่อท่านอออภิชัยขาวปีพ้นโทษไปแล้ว พวกเราทั้งหลายยังจะได้อยู่กินอิ่มอย่างนี้อีกหรือ แล้วพากันร่ำไห้ ด้วยความอาลัยรักในตัวท่านเสียงระงม เป็นภาพที่สะเทือนใจยิ่งนัก แม้ตัวท่านเองก็แทบกลั้นน้ำไว้ไม่อยู่

    พวกเขาพากันมารอที่ประตูคุกเป็นการส่งท่านด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา และจากปากประตูคุกจนถึงวัดพระธาตุหริภุญชัยมีประมาณระยะทาง 70 วา ก็มีประชาชนมายืนเรียงรายถวายทานกันท่าน ซึ่งก็ได้เป็นเงินถึง 300 บาท พอดีกับเงินที่ซื้อของถวายทานให้แก่นักโทษ เหมือนกับเป็นการยืนยันว่า การทำบุญสุนทานนั้นไม่หายไปไหน

    เมื่อท่านเดินทางไปถึงประตูวัดพระธาตุหริภุญชัย ก็มีพระสงฆ์ 10 รูป มาสวดมนต์เป็นการลดเคราะห์สะเดาะภัยให้ แล้วให้ศีลให้พรให้อยู่ดีมีสุขสืบไป จากนั้นพอถึงเดือน 9 เหนือ แรม 4 ค่ำก็ร่วมฉลองโรงพยาบาลเป็นเวลา 3 วัน

    อุปสมบทครั้งที่ 2

    ในวันที่แล้วเสร็จงานฉลองสมโภช ท่านก็เดินทางไปนมัสการท่านอาจารย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย ทีวัดพระสิงห์ เชียงใหม่ ในครานั้นท่านครูบาศรีวิชัยจึงอุปสมบทท่านเป็นภิกษุอีก โดยมีครูบาแห่งวัดนั้นตาเป็นอุปัชฌาย์หลังจากได้กลับมา สู่ร่มกาสาวพัสตร์แล้ว ท่านอยู่จำพรรษากับครูบาศรีวิชัยได้ 1 พรรษา ก็ลาอาจารย์จาริกสร้างสถานที่ต่าง ๆ ต่อไปอีกหลายแห่งทั้งวัดและโรงเรียน และในคราวเมื่อสร้างพระเจดีย์ที่บ้านนาหลวง อำเภอตากจังหวัดตากเสร็จแล้ว ท่านก็มุ่งสู่แม่สอดโดยเดินทางรอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพรถึง 4 คืน 4 วันจึงถึงแม่ระมาดและเริ่มงานสร้างถาวรวัตถุอีกมากมาย จากอายุ 36 ถึง 42 ปี

    ถูกบังคับให้สึกและครองผ้าขาวครั้งที่ 2

    ที่แม่ระมาดนี่เอง ก็มีเรื่องน่าเศร้าใจเกิดขึ้นอีกกล่าวคือ เมื่อสร้างโบสถ์แม่ระมาดนั้นเงินไม่พอ ยังขาดอยู่อีก 700 บาท เป็นค่าทองคำเปลว 400 บาท กับค่านายช่างอีก 300 บาท ท่านก็ปรึกษาเรี่ยไรเอาจากชาวบ้านจนครบด้วยความเต็มใจของชาวบ้าน แล้วช่วยกันสร้างต่อ จนแล้วเสร็จทันฉลอง

    เมื่อเรื่องการเรี่ยไรนี้ทราบถึงอำเภอ จึงเรียกกำนันไปสอบสวนว่า อภิชัยภิกษุ เรี่ยไรจริงหรือไม่ กำนันก็รับว่าจริงแต่ด้วยความเต็มใจของชาวบ้าน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นงานสร้างโบสถ์ก็หยุดชะงัก ทางอำเภอก็ว่าเต็มใจหรือไม่ก็ผิดเพราะเป็นพระเป็นเจ้าจะทำการเรี่ยไรไม่ได้ ผิดระเบียบคณะสงฆ์ แล้วรายงานเรื่องนี้ไปยังเจ้าคณะจังหวัดๆ จึงตัดสินว่าให้สึกพระอภิชัยเสีย ท่านจึงจำยอมสึกจากภาวะความเป็นภิกษุอีกครั้ง ท่ามกลางความสลดหดหู่ของผู้คนที่รู้เห็นเป็นอันมาก ที่ท่านครูบาของพวกเขาต้องมารับกรรมเพราะทำความดี อย่างไม่ยุติธรรม

    ท่านต้องนุ่งห่มแบบชีปะขาวอีกครั้งหนึ่งที่ให้ต้นประดู่แห้งที่ยืนต้นตายซากมานานเป็นแรมปี ณ ที่นี้ เองมีเรื่องที่น่าอัศจรรย์สมควรจะบันทึกไว้คือ พอท่านเปลี่ยนผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากกายมาครองผ้าขาวเท่านั้น ต้นประดู่ที่แห้งโกร๋นปราศจากใบ ก็ผลิตดอกออกใบฟื้นเป็นขึ้นมาอีก ท่ามกลางความอัศจรรย์ใจของบรรดาประชาชนที่ร่วมชุมนุมอยู่เป็นอันมาก ต่างพากันหลั่งน้ำตา ล้มตัวก้มลงกราบโดยพร้อมเพรียงกัน นับเป็นปรากฏการณ์ที่จะไม่เห็นอีกในชีวิต

    มารตามรังควาน

    ไม่นานจากนั้น ท่านพร้อมกับผู้ติดตาม ก็มุ่งกลับสู่อำเภอลี้ โดยรอนแรมมาเป็นระยะเวลา 10 วัน 10 คืน ก็เดินทางมาถึง อ.ลี้ พักอยู่ที่กลางทุ่งนาบ้านป่าหก ได้ 4 คืน นายอำเภอลี้ จึงให้ตำรวจมาขับไล่ไม่ให้อยู่โดยไม่มีเหตุผล ด้วยความใจดำเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงมาพักอยู่กลางทุ่งนาบ้านแม่ตืน ณ ที่นี้ก็ถูกทางอำเภอกลั่นแกล้งอีก โดยรายงานไปทางจังหวัดว่า ชีประขาวปีนำปืนเถื่อนมาจากแม่สอดมาถึง 1,000 กระบอก

    หลังจากรับรายงาน จึงมีบัญชาให้นายร้อยตำรวจ 2 คนกับพระครู 2 รูป ขึ้นมาทำการตรวจค้นไต่สวน ท่านว่า "ไม่เป็นความจริงหรอก อาตมาเดินทางผ่านมาตั้ง 2 จังหวัดแล้ว ยังไม่เห็นมีใคร กล่าวหาเช่นนี้เลยถ้าท่านไม่เชื่อก็เชิญค้นดูเองเถิด"

    ตำรวจทั้งสองก็ค้นสัมภาระของคณะติดตามดูก็พบปืนแก๊ป 1 กระบอก แต่ปรากฏว่าเป็นปืนมีทะเบียนของชาวบ้านผู้ติดตามคนหนึ่ง จึงไม่ว่าอะไร จากนั้นก็ไปค้นจนทั่ว ลามปามเข้าค้นถึงในวัดแม่ตืน จนพระเณรแตกตื่นเป็นโกลาหล แต่ก็ไม่พบอะไรอีก จึงพากันเดินทางกลับด้วยความผิดหวัง

    ก่อนกลับก็ไปต่อว่าต่อขานทางอำเภอลี้เสียจนหน้าม้านหาว่าหลอกให้เดินทางมาเสียเวลาเปล่า เหนื่อยแทบตาย (เพราะสมัยนั้นไม่มีรถยนต์แม้แต่คันเดียว) ทางนายอำเภอจึงจำเป็นต้องออกค่าเดินทาง พร้อมเสบียงอาหารให้คณะนายตำรวจ ดังกล่าวเดินทางกลับ

    เสร็จจากเรื่องที่กล่าวหานั้นแล้วท่านพร้อมกับคณะก็เดินทางจากแม่ตืนไปหาท่านครูบาเจ้าศรีชัย ที่วัดพระนอนปูคา บ้านแม่ปูคา อำเภอสันกำแพง เชียงใหม่ ระหว่างทาง พักที่วัดห้วยกานคืนหนึ่ง เมื่อเข้าเขตกิ่งบ้านโฮ่ง ชาวบ้านก็พาตำรวจมาดักจับอีก ด้วยข้อหาอะไรไม่แจ้ง แต่ตำรวจก็จับไม่ไหวเพราะคนตั้งมากมาย ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรจึงล่าถอยไป ท่านจึงไปพักที่วัดดงฤาษีคืนหนึ่ง แล้วมุ่งไปทางบ้านหนองล่อง ณ ที่นี้ก็ถูกคณะข้าหลวงดักจับอีก แต่ก็จับไม่ไหวอีกเช่นกัน

    ผู้ว่าราชการเชียงใหม่มาขอพบ

    เมื่อถึงวัดท่าลี่ คณะที่พักอยู่ที่ศาลา ในตอนเย็น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่จึงเข้าไปสอบถาม

    ผู้ว่าฯ "ท่านอยู่บ้านใด เกิดที่ไหน"

    ครูบาฯ "เดิมอาตมาอยู่บ้านแม่เทย อ.ลี้ ลำพูนนี่เอง"

    ผู้ว่าฯ "อ้อท่านก็เป็นคนเมืองเราเหมือนกัน ก่อนมาถึงที่นี่ท่านไปไหนมา"

    ครูบาฯ "อาตมามาจากพม่า"

    ผู้ว่าฯ "ไปอยู่นานไหมๆ "

    ครูบาฯ "5 ปีแล้ว"

    ผู้ว่าฯ "อือม์ ก็ไม่เห็นมีเรื่องอะไรดังเขาเล่าลือ แต่ก็มีอีกอย่าง ขอให้ท่านเสียค่าประถมศึกษา 8 บาท ให้กับทางอำเภอเสีย ตามระเบียบที่ทางการกำหนดไว้ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร"

    ขณะนั้นกำนันกับชาวบ้านที่ร่วมชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้นได้ยินจึงช่วยกันบริจาคให้ท่าน ได้เงิน 15 บาท ท่านจึงมอบให้กับนายตำรวจคนหนึ่งที่มากับผู้ว่าฯ ไป แต่ก็นับว่าเป็นคราวเคราะห์ของตำรวจคนนั้น ซึ่งพอรับเงินไปได้สักครู่ก็ไปทำหายเสีย จึงต้องควักกระเป๋าตัวเองจ่ายแทนไปตามระเบียบ

    หลังจากที่พักที่ท่าลี่คืนหนึ่งแล้ว ท่านพร้อมคณะก็ขนของข้ามแม่น้ำปิงไปขึ้นรถ ไปจนถึงวัดพระนอนปูคาแล้วอยู่ร่วมฉลองวิหารพระนอนปูคา ร่วมกับท่านครูบาศรีวิชัยจนแล้วเสร็จ แล้วก็กลับมา หมายจะมาจำพรรษาที่วัดแม่ตืน อ.ลี้อีก แต่นายอำเภอจอมเหี้ยม ก็สั่งกำนันมาไล่ไม่ให้อยู่เป็นอันขาด ท่านจึงสุดแสนที่อัดอั้นตันใจและรู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่งที่ถูกจองล้างจองผลาญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    สร้างวัดพระบาทตะเมาะ

    ก็พอดีท่านคิดได้ว่ามีญาติทางพ่อของท่านเป็นกำนันอยู่ที่ตำบลดอยเต่า จึงให้คนไปบอกให้มาพบท่าน เมื่อกำนันมาถึงแล้วท่านก็ถามว่า "อาตมาจะไปอยู่ที่พระบาทตะเมาะได้หรือไม่" กำนันดอยเต่าจึงไปปรึกษากับทางอำเภอ ๆ จึงบอกว่า ดีแล้ว ให้ไปบอกท่านให้มาอยู่เร็วๆ เถิด ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ไปอยู่พระบาทตะเมาะ โดยสร้างอารามขึ้นที่นั้น ด้วยความร่วมมือทั้งฝ่ายนายอำเภอและป่าไม้อำเภอ ไปจองที่กว้าง 500 วา ยาว 500 วา และที่พระบาทตะเมาะนี้เอง ท่านได้สร้างวิหารครอบรอยพระพุทธบาทหนึ่งหลัง มีเจดีย์ตั้งอยู่บนวิหารถึง 9 ยอด นับเป็นศิลปะที่งดงาม ปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งท่านจะไปเที่ยวชมได้นับ เป็นวิเวกสถานที่เหมาะกับผู้ใฝ่หาความสงบที่เหมาะมากอีกแห่งหนึ่ง

    ช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ

    แต่ด้วยวิญญาณของนักพัฒนา ท่านก็อยู่จำพรรษาที่พระบาทตะเมาะไม่นาน ขณะนั้นครูบาศรีวิชัยกำลังสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ เชียงใหม่อยู่ ท่านจึงพากะเหรี่ยง 500 คน ขึ้นไปช่วยทำถนนขึ้นดอยสุเทพร่วมกับอาจารย์จนแล้วเสร็จ จึงกลับลงมาพักกับอาจารย์ที่วัดพระสิงห์

    อุปสมบทครั้งที่ 3

    ที่วัดพระสิงห์นี้ ท่านครูบาศรีวิชัยก็อุปสมบทให้ท่านเป็นภิกษุอีกเป็นครั้งที่ 3 แต่กระนั้นก็ตาม ดูเหมือนว่าท่านไม่มีบุญพอที่จะอยู่ในผ้าเหลืองได้นาน ๆ พอท่านครูบาศรีวิชัยก็เกิดคดีต่าง ๆ นานา ต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ คงทิ้งให้ท่านอยู่รักษาวัดพระสิงห์แต่เพียงผู้เดียว

    ครองผ้าขาวครั้งที่ 3

    ด้วยจิตใจที่เป็นห่วงในตัวอาจารย์ของท่านยิ่งนัก แล้วก็มีมารมาผจญอีกจนได้เมื่อ มหาสุดใจ วัดเกตุการามกับท่านพระครูวัดพันอ้นรูปหนึ่งมาหลอกว่าให้ท่านสึกเสีย เพราะมิฉะนั้นท่านจะเอาครูบาศรีวิชัยจำคุก ท่านจึงสึกเป็นชีปะขาวอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นครั้งสุดท้าย แล้วออกจากวัดพระสิงห์กลับไปพักที่วัดบ้านปางด้วยความเหงาใจ แต่ท่านก็ไม่ละทิ้งงานก่อสร้าง จึงได้สร้างกุฏิที่วัดบ้านปางอีก 1 หลัง แล้วกลับไปอยู่ที่พระบาทตะเมาะตามเดิม

    สูญเสียอาจารย์

    ชีวิตท่านช่วงนี้ คงมุ่งอยู่กับงานก่อสร้างไม่หยุดหย่อน จากที่นี่ย้ายไปที่นั่นไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งครูบาศรีวิชัยพ้นจากมลทินที่ถูกกล่าวหา ท่ามกลางความดีใจของสาธุชนทั้งหลาย แต่ความดีใจนั้นคงมีอยู่ได้ไม่นานท่านครูบาเจ้าศรีวิชัยก็ได้อาพาธหนัก แล้วถึงแก่มรณภาพลงในที่สุด ยังความโศกาอาดูรให้เกิดแก่มหาชนผู้เลื่อมใสโดยทั่วไป

    ลานนาไทยได้สูญเสียนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ หากจะเอาเสียงร่ำไห้มารวมกันแล้วไซร้เสียงแห่งความวิปโยคนี้คงได้ยินไปถึงสวรรค์ ท่านเองในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ที่ท่านอาจารย์ได้พร่ำสอนตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ก็มีความเศร้าโศกเสียใจมิใช่น้อย แต่ก็ปลงได้ด้วยธรรมสังเวชโดยอารมณ์กัมมัฏฐาน แล้วทำทุกอย่างในฐานะศิษย์จะพึงมีต่ออาจารย์ด้วยกตเวทิตาธรรม ท่านจึงสร้างเมรุหลังหนึ่งกับปราสาทหลังหนึ่งพร้อมหีบบรรจุศพ เพื่อเก็บไว้รอการฌาปนกิจต่อไปที่วัดบ้านปาง ซึ่งได้มีการฌาปนกิจศพท่านครูบาศรีวิชัยอีกไม่กี่ปีต่อมาหลังจากมรณภาพไม่นาน

    สร้างวัดผาหนาม ที่พำนักในปัจฉิมวัย

    วัดคืนยังคงหมุนไป พร้อมกับความเป็นนักก่อสร้างนักพัฒนาของท่านก็ยิ่งลือกระฉ่อนยิ่งขึ้น เมื่อขาดท่านครูบาศรีวิชัย ผู้คนก็หลั่งไหลกันมาหาท่านอย่างมืดฟ้ามัวดิน ในฐานะทายาททางธรรมของครูบาเจ้าศรีวิชัย

    ผลงานระยะต่อมา เมื่อได้รับพลังอย่างท่วมท้นขึ้น จึงยิ่งใหญ่เป็นลำดับ และกว้างขวางหากำหนดมิได้โดยไม่เคยว่างเว้น จนถึงพุทธศักราช 2470 อายุสังขารของท่านเริ่มชราลงแล้ว คือมีอายุ 76 ปี แต่ท่านยังคงแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งนี้ อาจจะด้วยอำนาจผลบุญที่ได้บำเพ็ญมาก็ได้ จึงสมควรจะสร้างสถานที่สักแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นที่พำนักปฏิบัติธรรมในปัจฉิมวัย

    ก็พอดีชาวบ้านผาหนามซึ่งอพยพจาก อ.ฮอด หนีภัยน้ำท่วมมาอยู่ที่บ้านผาหนาม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีพ่อน้อยฝน ตุ่นวงศ์ เป็นประธาน พร้อมกับชาวบ้านได้มานิมนต์ท่านให้ไปสร้างอารามใกล้เชิงดอยผาหนาม เพื่อเป็นที่พึ่งกายใจและประกอบศาสนกิจ

    ท่านก็รับนิมนต์ พร้อมกับชอบใจสถานที่ดังกล่าวและ ตั้งใจว่าจะเป็นสถานที่สุดท้ายเพื่อเป็นที่พำนักและปฏิบัติธรรมของท่าน คณะศรัทธาบ้านผาหนามและศรัทธาจากทั่วทุกสารทิศ จึงพร้อมใจกันก่อสร้างเป็นอารามขึ้นจากนั้น จนมีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมากมายและท่านถือที่แห่งนี้เป็นที่พำนักอยู่เสมอ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าท่านจะงดมิไปสร้าง หรือพัฒนาที่อื่นอีก แต่ยังคงไปเป็นประธานสร้างสถานที่ต่าง ๆ ควบคู่กับงานสร้างวัดผาหนามอีกตั้งหลาย ๆ แห่ง

    วันจากที่ยิ่งใหญ่

    แล้วในปี 2514 คณะศรัทธาวัดสันทุ่งฮ่าม แห่งจังหวัดลำปาง ก็ได้มานิมนต์ท่าน เพื่อไปเป็นประธานในการก่อสร้างอีก ซึ่งท่านก็ไม่ขัดข้องด้วยความเมตตาอันมีอยู่อย่างหาขอบเขตไม่ได้ของท่าน แม้ตอนนั้นท่านจะชราภาพมากแล้ว คือมีอายุถึง 83 ปี ก็ตาม ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับตัวของท่านว่า ท่านเหนื่อยอ่อนแค่ไหน แต่ด้วยใจที่แกร่งเหมือนเพชร ท่านคงไม่ปริปากบ่น เป็นประธานให้ที่วัดสันทุ่งฮ่าม ไม่นานคณะศรัทธาจากวัดท่าต้นธงชัย จ.สุโขทัยก็ได้มานิมนต์ท่านอีก เพื่อเป็นประธานในการสร้างพระวิหาร

    วันนั้นเป็นวันที่ 2 มีนาคม 2520 ตอนนั้น ท่านเหนื่อยอ่อนมากแล้ว ท่านได้บอกผู้ใกล้ชิดว่าท่านอยากกลับอารามผาหนาม เหมือนดั่งจะรู้ตัวของท่านว่าไม่มีเวลาในการโปรดที่ไหนอีกต่อไปแล้ว แต่จะมีใครล่วงรู้ถึงข้อนี้ก็หาไม่ คงพาท่านมุ่งสู่สุโขทัยอีกต่อไป และเมื่อถึงวัดท่าต้นธงชัย ได้เพียงวันเดียว ในวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2520 ซึ่งตรงกับเดือน 6 เหนือ แรม 14 ค่ำ เวลา 16.00 น. ท่านได้ได้จากไปอย่างสงบ

    ท่านผู้เป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ ป่านนี้ท่านคงเป็นสุขอยู่ ณ สรวงสวรรค์ที่สะพรั่งพร้อมด้วยทิพยวิมานอันเพริดแพร้วใหญ่โดสุดพรรณนาด้วยผลบุญแห่งการบำเพ็ญมาอย่างใหญ่หลวงเหลือคณา คงเหลือแต่ผลงานและประวัติชีวิตอันบริสุทธิ์ทิ้งไว้แด่อนุชน ได้ชื่นชม และเสวยผลเป็นอมตะชั่วกาลปาวสาน
    พระผงครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม บูชา 199 บาท
    ล๊อคเก็ตครูบาอภิชัยขาวปี บูชา 199 บาท
    เหรียญรุ่น 2 เนื้อทองแดง + อัลปาก้า ปิดเนื้อทองแดงครับ อัลปาก้า 850 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.9 KB
      เปิดดู:
      65
    • GEDC0736.jpg
      GEDC0736.jpg
      ขนาดไฟล์:
      188 KB
      เปิดดู:
      52
    • GEDC0737.jpg
      GEDC0737.jpg
      ขนาดไฟล์:
      181.6 KB
      เปิดดู:
      94
    • GEDC0738.jpg
      GEDC0738.jpg
      ขนาดไฟล์:
      165.5 KB
      เปิดดู:
      67
    • GEDC0740.jpg
      GEDC0740.jpg
      ขนาดไฟล์:
      170.9 KB
      เปิดดู:
      195
    • DSCF1557_resize.jpg
      DSCF1557_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      98.5 KB
      เปิดดู:
      89
    • DSCF1558_resize.jpg
      DSCF1558_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.7 KB
      เปิดดู:
      49
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  4. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    พระเศรษฐีนวโกฎิ เป็นรูปเคารพแทนมหาเศรษฐีทั้ง ๙ ท่านในสมัยพุทธกาล พระเศรษฐีนวโกฎิ ท่านเหล่านี้เป็นผู้สร้างคุณประโยชน์อเนกอนันต์ให้แก่พระพุทธศาสนา มีความมั่งคั่งในโภคทรัพย์อยู่ในระดับเดียวกับกษัตริย์ ทั้งยังเป็นสัมมาทิฏฐิ และยังเป็นพุทธอุปฐากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงยกย่องว่า ท่านเหล่านี้เป็นผู้เลิศในการทำทาน และเป็นยอดของมหาเศรษฐีทั้งปวง
    มหาเศรษฐีทั้ง ๙ ท่าน นี้ ล้วนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ทั้งที่ดำรงเพศฆราวาส ตามตำนานของชาวล้านนา สมัยหนึ่งเกิดทุกข์เข็ญ ทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง ประชาชนเดือดร้อน บังเกิดความอดอยากขึ้น จึงมีพระภิกษุผู้เป็นอริยะรูปหนึ่ง ได้แนะนำให้สร้าง พระมหาเศรษฐีนวโกฏิ ขึ้น เพื่อสักการบูชาแก้เคล็ดในความทุกข์ยากทั้งหลาย


    และเมื่อสร้างและฉลองสำเร็จ ก็ปรากฏมีเหตุการณ์ปรากฏขึ้นเป็นอัศจรรย์ คือ ความทุกข์ยากอดอยากทั้งหลาย ได้บรรเทาลง และสงบระงับในที่สุด จึงเป็นคติที่เชื่อถือของชาวล้านนาว่า ถ้าผู้ใดได้บูชา พระเศรษฐีนวโกฏิ แล้ว จะมีสิริมงคล ทำมาค้าขึ้น ประสบแต่โชคลาภ อยู่เย็นเป็นสุข ด้วยอานิสงส์แห่งบารมีธรรมของ พระเศรษฐีนวโกฏิ
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1590357468802909";/* 336x280, ถูกสร้างขึ้นแล้ว 3/6/09 */google_ad_slot = "2381184145";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT>
    สัณฐานของ พระเศรษฐีนวโกฏิ มี ๙ พระพักตร์เรียงกัน หรือบางแห่งทำให้ซ้อนกันขึ้นไปด้านบน ปางนั่งขัดสมาธิเพชรบนฐานบัว พระหัตถ์พนมมือ ระดับนิ้วพระหัตถ์กลางจะตรงต้นพระศอ (ปลายนิ้วกลางอยู่ตรงพระหนุพอดี)

    พระเศรษฐีนวโกฏิ พระพักตร์ทั้ง ๙ แทนเศรษฐีต่างๆ ดังนี้ ๑.ท่านธนันชัยเศรษฐี ๒.ท่านยัสสะเศรษฐี ๓.ท่านสุมานะเศรษฐี ๔.ท่านชะฏิกัสสะเศรษฐี ๕.ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ๖.ท่านเมนฑะกัสสะเศรษฐี ๗.ท่านโชติกะเศรษฐี ๘.ท่านสุมังคะกัสสะเศรษฐี และ ๙.ท่านวิสาขามหาอุบาสิกา ที่มาหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก

    คาถาเศรษฐีนวโกฏิ
    ตั้งนะโมฯ 3 จบ
    มาขะโย มาวะโย มัยหัง มาจะโกจิ อุปัททะโว ธัญญะ ธารานิ ปะวัสสันตุ
    ธนัญชัย ยัสสะ ยะถาคะเร สุวัณณานิ หิรัญญาจะ สัพพะโภคา จะ รัตตะนา
    ปะวัสสันตุ เม เอวังคะเร สุมะนะ ชะฎิสัสสะ จะ อะนาถะบิณฑิกะ เมทะ กัสสะ
    โชติกะ สุมังคะ สัสสะ จะ มัณฑาตุ เวสสันตะ รัสสะ ปะวัสสันติ ยะถาคะเร
    เอเตนะ สัจจะ วัชเชนะ สัพพะ สิทธิ ภะวัน ตุ เม


    พระมหาเศรษฐีนวโกฏิ มีตำนานเล่าขานในราชอาณาจักรล้านช้างโบราณ ว่า ในยุคหนึ่งได้เกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง ฝนไม่ตกเจ็ดปี เกิดทุกข์เข็ญ ความเดือดร้อน ตลอดทั้งเกิดโรคอหิวาตกโรค ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก

    ในเวลาต่อมา ได้มีพระอรัญญวาสี (พระผู้อยู่ในป่า) ผู้ทรงคุณในทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้มาบอกให้เจ้าพญาผู้ครองราชอาณาจักรว่า "ให้พากันสร้างพระมหาเศรษฐีนวโกฏิ หรือ พระเก้าเศรษฐีขึ้นมาทำการสักการบูชาเสียแล้วเหตุเภทภัยทั้งหลาย จะระงับดับไป" พระอรัญญวาสี ยังได้บอกเคล็ดและวิธีการต่างๆ ตลอดถึงฤกษ์ยามอันเป็นมงคล สำหรับใช้ในการจัดสร้างพระมหาเศรษฐีนวโกฏิ

    เจ้าพญาผู้ครองราชอาณาจักร ได้ทำตามวิธีการนั้น ไม่นานปรากฏผล เรื่องเลวร้ายต่างๆ ได้เกิดระงับดับไปตามที่พระอรัญญวาสีองค์นั้นได้บอกไว้ทุกประการ ตลอดทั้งเกิดความอุดมสมบูรณ์ ด้วยข้าวปลาอาหาร ร่มเย็นเป็นสุข ด้วยเหตุนี้ ประชาชนแห่งราชอาณาจักรล้านช้างโบราณ จึงนิยมจัดสร้างและบูชาสักการะองค์พระมหาเศรษฐีนวโกฏิ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    ส่วนกำเนิดพระมหาเศรษฐีนวโกฏิในแผ่นดินสยาม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) อดีตเจ้าอาวาส วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ พระอาจารย์ใหญ่ สายวิปัสสนากัมมัฏฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในสมัยที่ท่านได้ไปเป็นผู้ปกครองการคณะสงฆ์ในตำแหน่งพระสังฆปาโมกข์ ที่นครจำปาศักดิ์ และได้เป็นเจ้าอาวาสวัดอำมาตยาราม ได้รับการสืบทอดตำรามาจากญาท่านสำเร็จลุน วัดบ้านเวินไซ เมื่อท่านได้รับการถ่ายทอดตำรามาแล้ว ท่านได้ศึกษาค้นคว้าจนเข้าใจถึงอรรถาธิบาย ถึงวิธีการสร้าง พิธีการจัดการปลุกเสก ตลอดถึงฤกษ์ยามในพิธีการจัดสร้าง จนเป็นที่เข้าใจ

    พระคาถานี้ เดิมที เป็นของเจ้าประคุณ พระอุบาลี คุณูปรมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) อดีตเจ้าอาวาส วัดบรมนิวาส
    เป็นพระคาถาบูชาพระเศรษฐีนวโกฎิ ในอันที่จะบรรดาล ให้เกิดโชคลาภ สิริ มงคล ท่านให้ภาวนาพระคาถานี้ บูชาเถิด ปรารถนา อธิฐานเอาสิ่งใด จะได้สมดังความตั้งใจ

    หากทำการค้าขาย ก่อนเปิดร้าน ให้อาราธนาพระนวโกฎิ ด้วยพระคาถานี้ ครบ 3 จบ ด้วยใจมั่นแล จะค้าขายดี มีเงินทองมากมาย ไม่นานจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีแล

    อนึ่งถ้ามีทุกข์ ภัย ให้อาราธนาพระเศรษฐีนวโกฎินี้ ลงสรงน้ำ อาราถนาให้น้ำกลายเป็นน้ำพระพุทธมนต์ สวดพระคาถานี้ 9 จบ เอาน้ำรด อาบ กิน ทุกข์จะโยก โศกจะหมด เคราะห์กรรม จะคลาย มลายสิ้นไป จะบันดาลความสุขสวัสดิ์ และโชคลาภมาให้
    เมื่อถึงวันเถลิงศก คือ วันที่ 15 เมษายน ของทุก ๆ ปี จึงให้จัดหาดอกไม้ขาว 9 กระทง เช่น ดอกมะลิ ข้าวตอก 9 กระทง อาหารคาว หวาน 9 อย่าง ธูป 9 ดอก เทียน 9 เล่ม จุดบูชา พระนวโกฎินี้ แล้วสวดคาถานี้ ให้ได้ 9 จบ นิมนต์พระสรงน้ำ ขออาราธนาทำเป็นน้ำพระพุทธมนต์ เอามาอาบกิน ประพรมบ้านเรือน เรือกสวน ไร่นา บริวาร ทั้งหลาย จะอยู่เย็น เป็นสุข ตลอดทั้งปี แล

    พระนวโกฎินี้ ใครหมั่นอาราธนา พร้อมสวดพระคาถาบูชาอยู่เป็นเนืองนิตย์ จะไม่รู้ยากจนเลย และหากยังมั่นคงใน ศีล 5 หนักแน่นเท่าใด จะยิ่งบริบูรณ์ เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน แล


    <SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>

    บูชา 450 บาท<SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF1593.jpg
      DSCF1593.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.3 KB
      เปิดดู:
      73
    • DSCF1594.jpg
      DSCF1594.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.7 KB
      เปิดดู:
      94
    • DSCF1595.jpg
      DSCF1595.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.9 KB
      เปิดดู:
      93
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  5. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    หน้าพระพักตร์วัดเชิงหวาย
    *****************************
    พระพักตร์พระพุทธฝังอัญมณีลงอักขระ ใช้ทางเมตตามหานิยม โชคลาภโภคทรัพย์ บูชา 450 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF1542.jpg
      DSCF1542.jpg
      ขนาดไฟล์:
      188.2 KB
      เปิดดู:
      130
    • DSCF1543.jpg
      DSCF1543.jpg
      ขนาดไฟล์:
      190.9 KB
      เปิดดู:
      89
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2010
  6. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    ประวัติหลวงพ่อดาบส สุมโน



    <TABLE width="52%" align=center><TBODY><TR><TD>“หลวงพ่อดาบส สุมโน


    ” เดิมชื่อ “สง่า” นามสกุล “เจริญจิตต์”

    เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ กัน ยายน ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พ.ศ.๒๔๖๗ ปีชวด ตำบลบางกระไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี
    เป็นลูกคนที่ ๖ ในจำนวนทั้งหมด ๘ คน
    บิดาชื่อ “นายเถียน” มารดาชื่อ “นางเวียง”
    ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๔ ขณะอายุได้ ๗ ปี มารดาก็ถึงแก่กรรมและต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๘ อายุได้ ๑๑ ปี “เด็กชายสง่า” ก็ต้องสูญเสียบิดาบังเกิดเกล้าไปอีกคน จึงอยู่ภายใต้การดูแลของ “คุณป้า” และเริ่มเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาที่ ๑ โรงเรียนวัดบางกระไชย จบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๘ ​







    ครั้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๕ อายุได้ ๑๘ ปี “คุณป้า” ได้นำ “เด็กชายสง่า” ไปบรรพชาที่ “วัดจันทนาราม จังหวัดจันทบุรี” เพื่อเรียนปริยัติธรรมซึ่งต่อมาสามารถ สอบได้ทั้ง “นักธรรมตรี” และ “นักธรรมโท” ​





    ในปี พ.ศ.๒๔๘๗ อายุครบ ๒๐ ปี “สามเณรสง่า” จึงอุปสมบทเป็น “พระภิกษุ” โดยมีท่าน “เจ้าคุณอมรโมลี” เป็นอุปัชฌาย์ได้ฉายาว่า “สุมโน” กระทั่งปี พ.ศ.๒๔๘๙ อันเป็นพรรษาที่ ๔ “พระภิกษุสง่า สุมโน” ได้กราบลา “พระอุปัชฌาย์” เพื่อเดินทางไปศึกษา “ภาษาบาลี” กับท่าน “เจ้าคุณรัชมงคลมุณี” วัดหนองบัว จังหวัดระยอง ต่อมาในปี ​





    พ.ศ.๒๔๙๐ ด้วยจิตที่มุ่งมั่นจะปฏิบัติธรรม แสวงหาธรรม จึงออกเดินธุดงค์ไป “จังหวัดเชียงใหม่” ตามเส้นทาง “อำเภอดอยสะเก็ด” สู่ “ถ้ำเชียงดาว” อำเภอเชียงดาวได้ธุดงค์พลัดเข้ามาสู่เขตพื้นที่ของ “อำเภอพร้าว” ในปี ๒๔๙๐ ถึง ๒๔๙๔ จึงพำนักและปฏิบัติธรรมใน “ป่าช้า” ของตำบลเวียง อำเภอพร้าว หรือ “วัดป่าเลไลย์” เป็นเวลาถึง ๔ ปี​





    ปี พ.ศ.๒๔๙๔ “พระภิกษุสง่า สุมโน” เดินทางมาพำนักที่ “วัดเจดีย์หลวง” จัง หวัดเชียงใหม่ โดยปฏิบัติธรรมกับ “เจ้าคุณวินัยโกศล” (จันทร์ กุสโล) หรือ “พระพุทธพจนวราภรณ์” แล้วจึงออกจาก “วัดเจดีย์หลวง” ธุดงค์ไปตามเส้นทางสู่ “อำเภอดอยสะเก็ด” อีกครั้งพร้อมลัดเลาะไปตามป่าเขาถึง “ดอยพระเจ้าหล่าย” วันนั้นเป็น วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๔ ตรงกับแรม ๖ ค่ำ เดือนยี่เวลา ๑๗.๐๐ น. “พระภิกษุสง่า สุมโน” จึงตั้งสัจจะอธิษฐาน ณ ดอยพระเจ้าหล่าย ขอสละเพศบรรพชิตขอลาสิกขาบทจากการเป็น “พระภิกษุสงฆ์” โดยหันมาถือการครองเพศเป็น “ดาบส” ที่มีเพียง ผ้าอังสะและผ้าสบง เพียงสองผืนหุ้มห่อร่างกายไว ้จากนั้นจึงครองเพศเป็น “ดาบส” และปฏิบัติธรรมอยู่บน “ดอยพระเจ้าหล่าย” โดยมิได้ฉันทั้งอาหาร และน้ำถึง “๓ วัน ๓ คืน” จากนั้นจึงเดินทางลงจากดอยเพื่อธุดงค์ไปจังหวัด ต่างๆ ทั้ง แพร่ ลำปาง น่าน ยะลา ชุมพร และท้ายสุดปฏิบัติธรรมที่ “อาศรมไผ่มรกต” ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย จนมรณภาพ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๔ สิริอายุได้ ๗๖ ปี​




    “หลวงพ่อดาบส สุมโน” นับเป็น “ผู้บำเพ็ญเพียร” ด้วยศีลาจารวัตร บริสุทธิ์ผุดผ่องจนได้พบแสงสว่างแห่งธรรมเจิดจ้า และธรรม ที่ท่านแสดงให้บรรดาศิษย์ได้ยังความสุข ความสงบ ความร่มเย็น ให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่เคยฟังธรรมจากท่านจึงนับได้ว่าท่านเป็น “ประทีปธรรม” แห่งภาคเหนือที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ และในจิตใจ ของประชาชนตลอดไป​


    *****************************************************************
    หลวงพ่อดาบส สุมโน
    อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย

    ครั้งหนึ่ง ตอนบวชได้พรรษา ๒ หลวงตาได้เที่ยวไปพบพระดีเข้าอีกองค์หนึ่งที่จังหวัดเชียงราย คือ หลวงปู่ดาบส สุมโน แห่งสำนักไผ่มรกต ที่กล้าเรียกท่านว่าพระดี ก็เพราะว่าท่านดีต่อหลวงตา และได้มอบความดีให้หลวงตาประมาณไม่ได้และความดีศรีสุขอันนั้นมันเกี่ยวกับหลวงพ่อฤๅษี ฯ โดยตรงเสียด้วย​

    ครั้งแรกที่ไปกราบหลวงปู่ดาบส ท่านก็ทักถูกใจเราทันทีว่า
    "อยู่กับหลวงพ่อฤๅษี ฯ สอนมโนมยิทธิหรือ?"
    "ครับผม"
    "อภิญญาสมาบัติที่ทรงอยู่ คล่องดีแล้วใช่ไหม?"​

    ตอนนี้หลวงตาตกใจ เพราะเข้าใจว่าเรื่องอภิญญาสมาบัติเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าตัวเองจะยอมรับว่า "ทำได้คล่อง" จึงตอบไปว่า​

    "ไม่ใช่ขอรับ ผมยังไม่ได้อภิญญา ผมพยายามทำตามที่หลวงพ่อท่านสอน และแนะนำคนอื่นเท่าที่จะนึกได้"
    "นั่นแหละ เขาเรียกว่าอภิญญา พระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็ใช้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงใช้อย่างนี้ ใช้แบบวิธีเหมือนกันแต่ความบริสุทธิ์ไม่เหมือนกัน ความมั่นใจไม่เท่ากัน ใจที่บริสุทธิ์มาก มั่นคงมั่นใจมาก ก็ใช้ได้คล่องแคล่วชัดเจนมาก บริสุทธิ์ถึงที่สุด มั่นคง มั่นใจไม่สงสัย ก็ใช้ได้ถึงที่สุด เป็นเรื่องธรรมดา"​

    หลวงตาเข้าใจ แต่ยังไม่มั่นใจ
    *******************************************************************
    แล้วหลวงปู่ดาบสก็มองหน้าหลวงตา พูดเสียงชัดเจนว่า​

    "ออกจากวัดท่าซุง มาอยู่ด้วยกันไหม มาหาที่สงบซุ่มปฏิบัติธรรมให้สมใจ สมวาสนาบารมี"
    "พอสบายจบกิจแล้วจะได้ตั้งสำนักใหม่ สอนพระกรรมฐานให้มีชื่อลือลั่น ไว้ชื่อครูบาอาจารย์ ว่าเรานี่แหละลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีฯ"​

    "...................................."​

    หลวงตาตกใจ เจ้าประคุณเอ๋ย ความในใจที่อุตริคิดฝังไว้ก้นบึ้งดวงใจไม่เคยเล่าสู่ใคร ไม่เคยถามไถ่แม้แต่หลวงพ่อฤๅษี ฯ คิดซ่อนเร้นไว้กว่า ๑๐ ปี ถึง ๔ ข้อ บัดนี้ได้ถูกหลวงปู่ดาบสไขออกมาไม่มีเหลือ กำลังใจขณะนั้นได้ตอบท่านไปใน ๒ ข้อแรก (และรับรู้ใน ๒ ประการหลัง ซึ่งจะไม่บอกใครจนวันตาย)​

    "ไม่เอาครับ หลวงปู่ ผมจะไม่ไปไหน ผมจะอยู่กับหลวงพ่อในวัดท่าซุงตลอดไป"​

    "ดีแล้ว" ท่านยิ้มยืนยันว่า
    "ถูกต้องแล้ว อยู่ที่นั่นไม่ต้องไปที่ไหน"​

    "เรื่องธุดงค์บางองค์ก็ไม่ต้องธุดงค์หรอก การที่พระสงฆ์ท่านออกธุดงค์กันในที่ต่างๆ ก็เอาคำสอนครูบาอาจารย์ที่น้อมรับเอาไปใส่ใจ แล้วก็ประคองใจอันนั้น ไปหาต้นไม้ หาถ้ำ หาที่วิเวกเหมาะกับจิตใจ เอาเป็นที่บำเพ็ญความเพียรพิจารณาธรรมอันนั้นจนได้มรรคได้ผล แล้วก็ต้องกลับไปอยู่กับผู้คนแทนคุณพระศาสนา แต่ที่วัดท่าซุงนะ มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง คือ ต้นหลวงพ่อฤๅษี ฯ ร่มรื่น ร่มเงาเย็นสบาย ผลไม้อริยผลก็ออกดอกเต็มต้น ไปนั่งนอนเดินยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น อย่าจากไปไหน แล้วก็ประคองมือเอื้อมเด็ดผลไม้ มากินให้หวานชื่นใจด้วยความเคารพ ก็จะบรรลุมรรผลได้ในชีวิตนี้"
    ***********************************************************************​


    ลูกหลานเอย..หลวงตาต้องกล้าเขียนต่อ บอกแล้วว่ามันยากที่จะเล่าให้ฟังตามตรง ๆ ที่หลวงปู่พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า​

    "พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียวก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้
    จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน ดูวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่านประหนึ่งว่าเป็นเสียงในใจเรา ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว"​

    นี่หลวงตาเล่าให้ฟังตามที่ได้พบเห็นได้ยินมาเฉพาะตัวหลวงตาเอง ท่านใดจะชื่นชมสมใจหรือแหนงหน่าย อึดอัดก็โปรดเป็นไปตามกฎธรรมดา ตามปรารถนาเถิด..
    <HR>




    แล้วหลวงตาก็กลับวัด ก่อนลาหลวงปู่กลับ ก็ถ่ายรูปร่วมกับท่านมาภาพหนึ่ง กลับมาถึงก็เล่าให้พี่น้องบรรพชิตและฆราวาสฟังว่า มีหลวงปู่ดาบส แห่งสำนักไผ่มรกต จังหวัดเชียงราย ท่านพูดถึงพ่อเราอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วท่านก็งามนักหนา ทั้งหน้าตามารยาท ถ้าพ่อเราเป็นพระอาทิตย์เต็มองค์ทรงกลด หลวงปู่ดาบสก็งามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญที่ไม่มีเมฆหมอกมาบดบัง แล้วก็เอารูปของท่านออกมาอวดไปทั่ววัด​

    ก็อวดมาถึงหลวงพี่วิรัช ท่านก็เอาไปเล่าอวดหลวงพ่อพร้อมรูปใบนั้น พ่อเราฟังไป ดูรูปไป ก็ส่งรูปคืนให้หลวงพี่วิรัช พร้อมกับพูดลอย ๆ ออกมาว่า​

    "เออ.. ๒๐ ปีแล้วซีนะ"​

    หลวงพี่วิรัชก็กลับมาบอกคืนหลวงตาว่า คงเป็นเพื่อนหลวงพ่อ ไม่ได้พบกัน ๒๐ ปีกระมัง​

    พอตอนเย็น ไปทำวัตรเย็นและปฏิบัติกรรมฐาน หลวงพี่อนันต์ เรียกหลวงตาเข้าไปหาแล้วบอกว่า​

    "หลวงพ่อให้บอกท่านว่า พระเจ้าของรูปนั้นได้อรหันต์มา ๒๐ ปีแล้ว"
    **** พระพิมพ์หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อดาบสหลังกงจักรศิษย์สายทหารรู้จักกันดีและหายาก ******บูชา 1200 บาทปิด


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _DabosSitSc60k.jpg
      _DabosSitSc60k.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60 KB
      เปิดดู:
      307
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.6 KB
      เปิดดู:
      127
    • DSCF1544.jpg
      DSCF1544.jpg
      ขนาดไฟล์:
      154.3 KB
      เปิดดู:
      96
    • DSCF1545.jpg
      DSCF1545.jpg
      ขนาดไฟล์:
      172 KB
      เปิดดู:
      80
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2010
  7. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    พระผงเกษาครูบาอริยชาติ พิมพ์พระคงเนื้อดำ
    **********************************************
    บูชา 199 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF1551.jpg
      DSCF1551.jpg
      ขนาดไฟล์:
      152.1 KB
      เปิดดู:
      113
    • DSCF1552.jpg
      DSCF1552.jpg
      ขนาดไฟล์:
      142.3 KB
      เปิดดู:
      89
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2010
  8. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    วัดพระบาทปางแฟน ได้ก่อตั้งเป็นที่พักสงฆ์มาพร้อมกับหมู่บ้านปางแฟนเมื่อปีพ.ศ.2442บริเวณแห่งนี้แต่เดิมเข้าใจว่า เป็นวัดเก่าหรือเมืองโบราณ เนื่องมาจากในบริเวณนี้จะพบซากอิฐ เจดีย์ และของใช้โบราณต่างๆ เป็นจำนวนมาก รวมถึงมีการกล่าวขานว่า ในอดีตพ่อขุนเม็งราย ได้เสด็จมาเพื่อรวบรวม แว่นแคว้น น้อยใหญ่ให้เป็นปึกแผ่น ขณะพระองค์เสด็จมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้หยุดพักตั้งค่ายทหาร พระองค์ ได้ทอดพระเนตร พบกับราอยพระพุทธบาท เข้าใจว่าเป็นรอยพระบาทพระพุทธเจ้า พ่อขุนเม็งราย ก็เกิดศรัทธา จึงได้นำสมบัตส่วนพระองค์ฝังบูชารอยพระบาท ที่ปรากฏอยู่ โดยบรรจุสมบัติไว้ใต้รอยพระบาท ซึ่งเป็นอุโมงค์แล้วปิดอุโมงค์ด้วยก้อนหิน จากนั้นจึงโปรดให้สร้างอาราม ให้พระเณรจำพรรษา และโปรดให้พระสนมฝาแฝดพระนามว่า "สร้อยสุนีย์-ศรีสุคณฑา" ธิดาเจ้าเมือง เชลียงอุปัฏฐาก พระอารามแห่งนี้ สืบไป จะเห็นได้ว่า ตรงประตูทางขึ้นวัดปางแฟน ชาวบ้านได้สร้างศาลเอาไว้ เรียกศาลพระแม่สองนาง เชื่อกันว่า พระนางทั้งสอง จะปกป้องรักษาสมบัติของพ่อขุนเม็งราย และวัดแห่งนี้ จากบันทึกของวัดทำให้ทราบว่า มีพระสงฆ์ปกครองวัดดังนี้
    ครูบาศิริชัย มหาเถร ปกครองวัดช่วงปี พ.ศ.2442- พ.ศ.2445
    ครูบาสิทธิเถร ปกครองวัดช่วงปี พ.ศ.2445- พ.ศ.2447
    ครูบาพรหมทอง ปกครองวัดช่วงปี พ.ศ.2447- พ.ศ.2500
    จากบันทึกดังกล่าว ทำให้คาดคะเน ได้ว่า วัดพระบาทปางแฟน แห่งนี้เดิม ทีสร้างขึ้นในสมัย พ่อขุนเม็งราย แต่ต่อมา วัดได้ร้างลงด้วยกาลของเวลา และขาดผู้อุปถัมภ์ เนื่องมาจากวัดแห่งนี้ อยู่ไกลจากความเจริญ การคมนาคมเป็นไปด้วยความลำบาก วัดถูกบรณะขึ้นมาใหม่ในสมัยของครูบาศิริชัย มหาเถร พอสิ้นยุคของครูบาพรหมทอง วัดก็ถูกปล่อยให้ร้างไปอีกครั้ง ไม่มีภิกษุจำพรรษา ในขณะนั้นมีชาวบ้านแค่ 3 ครองครัว ต่อมาราวปี 2500 โดยการปกครองของกำนันจู ได้มีชาวบ้านเพิ่มเป็น 9 ครอบครัว แต่ชาวบ้านได้อาศัย วัดแม่หวานเป็นศูนย์รวมจิตใจ แต่ก็ติดขัดที่ไม่สะดวก จากการเดินทาง ชาวบ้านจึง มีแนวความคิดที่จะจัดสร้างอารามขึ้นในหมู่บ้าน เป็นสถานปฏิบัติธรรม ทุกๆวันพระจะนิมนต์พระมาเทศ์โปรดชาวบ้าน มีภิกษุสามเณร เวียนมาจำพรรษา ยังอารามปางแฟนแห่งนี้ ​

    พ่ออุ้ยอ้าย สุดาคำ และ แม่อุ้ย จันทร์ สุดาคำ อายุ 84 ปี บอกว่า เดิมแม่อุ้ย เป็นคนบ้านแม่ดอกแดง อ.ดอยสะเก็ด ต่อมาได้มาอยู่กินกับพ่ออุ้ยอ้าย เป็นคนบ้านสันป่าสักน้อย ขณะอายุได้ 22 ปี และได้อพยพมาอยู่บ้านปางแฟน ตอนนี้บริเวณนี้ยังเต็มไปด้วยที่นา เมื่อชาวบ้านได้ร่วมกันบริจาคที่ดิน ทำอาราม โดยมี สามเณรจากบ้านด้าย จ.เชียงราย มาบุกเบิกสร้างอารามราว 5 ปี ต่อมาก็มีแม่ชีสองท่านซึ่งบวชเป็น ชีมาตั้งแต่อายุ 12 ปี มีความเคร่งครัดในพระศาสนา ได้เดินทางมา ถึงบ้านปางแฟน ทั้งสองคือ แม่ชีเกณฑ์ และมีชีน้อย อายุประมาณ 20 ปี ได้มาฝึกสอนวิชาชีพ ให้ชาวบ้าน สอนให้ทอผ้า และร่วมกับชาวบ้าน สร้างวิหารหลังแรก และแม่ชีมักจะบอกกับชาวบ้านว่า สถานที่แห่งนี้ ศักดิ์สิทธิยิ่ง เพราะมักจะได้ยินเสียง ปี่ พาทย์ มโหรี ดังในวันพระเสมอ
    แม่อุ้ยได้เล่าว่า นอกจากเสียงเพลงแล้วชาวบ้าน มักจะเห็นดวงไฟประหลาดเป็นแสงสีเขียว สีขาว ลอยมาจากดอยม่อนธาตุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอารามปางแฟนเท่าใด ดวงไฟมักลอยมาหาย ณ บริเวณอารามแห่งนี้ ขณะนั้น ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามีสิ่งสำคัญประดิษฐ์อยู่ ชาวบ้าน จะเคยเห็นคุ้นเคยแต่เพียงว่าอารามแห่งนี้ มีก้อนหินก้อนหนึ่ง ใหญ่มาก มีร้อยเท้าติดอยู่บนแท่นหินขนาดเท่าร้อยเท้าคน หนึ่งคู่ แต่ไม่ลึกมาก เวลาต่อมา พระครูมงคลศีลวงศ์ เจ้าคณะอำเภอดอยสะเก็ดในขณะนั้น ( พ.ศ.2529) ได้มาสำรวจสถานที่ เมื่อพระครูมงคลฯ ได้มาตรวจสอบรอยเท้าที่ปรากฏอยู่นั้น จึงทราบความจริงว่า เป็นรอยพระบาท อย่างแน่นอน ท่านเกรงว่ารอยพระบาทจะถูกเหยียบย่ำ และทำลายโดยรู้ไม่ถึงการณ์ จึงได้นำคณะร่างทรงในจังหวัดเชียงใหม่ ชื่อแม่จันทร์มีสามีชื่อ พ่อเสริฐ บ้านอยู่แถวสันป่าข่อย จ.เชียงใหม่ ได้ร่วมกับพระคูรมงคลฯ สร้างเจดีย์ครอบรอยพระบาทแห่งนี้ไว้ เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชา โดยได้จำลองแบบ มาจากเจดีย์พุทธคยาประเทศอินเดีย ส่วนรอยพระบาทนั้น เพื่อเบนความสนใจของผู้ที่ประสงค์ร้ายจะมาทำลายรอยพระบาท จึงได้ทำใหม่ ขึ้นมาอีก 4 รอย ตามที่ได้ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ​

    เมื่อแม่ชีน้อย แม่ชีเกณฑ์ ได้ร่วมบูรณะอารามปางแฟนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได็ลากลับภูมิลำเนาเดิมของแม่ชีทั้งสอง ส่วนชาวบ้านได้เสาะหา พระผู้ปฏิบัติดี ประพฤติชอบ เพื่อจะได้มาจำพรรษายังอารามปางแฟน ขณะนั้นชื่อเสียงของ พระอาจารย์ สำเร็จ คุตตาโภ จากจังหวัดลำปาง เป็นที่กล่าวขาน ของประชาชนในเขต ภาคเหนือ ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ ให้มาจำพรรษา ปกครองวัดแห่งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2529 จนถึงปี พ.ศ.2538 ท่านก็ลาสิกขา จากนั้นได้พระอาจารย์ ตี๋ สิริปุญโญ มาครองวัดตั้งแต่ ปี พ.ศ.2538 ถึงปี พ.ศ. 2542 แต่กครองวัดได้ไม่นาน ก็ถึงแก่มรณะภาพในปี พ.ศ. 2546 เมื่อทางวัดปางแฟน ขาดพระภิกษุไปอีกทำให้ชาวบ้าน รู้สึกหวั่นใจอย่างยิ่ง เพราะวัดแห่งนี้ชาวบ้านเชื่อกันว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิเร้นลับ หากพระสงฆ์บารมีไม่พอ ไม่อาจปกครองวัดแห่งนี้ได้นาน
    พ่อหลวงตั๋น ผู้นำหมู่บ้าน จึงประชุมชาวบ้านเห้นพ้องต้องกันว่า ควรหาพระที่มีบุญบารมี มาปกครอง และทราบว่ามีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เป็นพระดี มีวิชา เป็นคนเมืองแพร่ ชาวบ้านเรียกว่า ครูบาโต จึงได้สืบเสาะจนพบและได้ร่วมกัน อาราธนานิมนต์ให้มาเป็นเจ้าอาวาส
    ท่าพระครูปลัด กฤตฐิต วิริโย หรือครูบาโต ท่านยังไม่รับปากที่จะมาครองวัดในทันที โดยให้เหตุผลว่า หากเป็นวัดที่เจริญแล้ว จะไม่มาเป็นเจ้าอาวาส ท่านอยากจะสร้างและบูรณะวัดด้วยกำลังความสามารถของท่านเอง และเมื่อได้มาเห็นสภาพของวัด ถือว่ายังขัดสนอยู่มาก จึงรับปากและได้มาพัฒนาวัด พระบาทปางแฟน ตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค. 2546 จนถึงปัจจุบัน
    วัดพระบาทปางแฟน เจริญรุ่งเรืองขึ้ามาอย่างรวดเร็ว ใช้ทุนทรัพย์ในการก่อสร้างหลายสิบล้านบาท ปัจจุบันวัดพระบาทปางแฟน ตั้งอยู่เลขที่ 50 บ้านปางแฟน หมู่ 5 ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย บนเนื้อที่ 15 ไร่ ทิศเหนือจรดภูเขา ทิศใต้จรดลำห้วยทรายคำ ทิศตะวันออกจรดถนนเชียงใหม่-เชียงราย ทิศตะวันตกจรดภูเขา สิ่งศักดิ์สิทธิประจำจังหวัดประกอบด้วยรอยพระบาท หลวงพ่อทันใจ หลวงพ่อเศียร ซึ่งขุดเจอเฉพาะเศียรฝังอยู่ในดิน ต่อมาท่านได้เข้านิมิตพระอาจารย์โต ให้ช่วยขุดตัวองค์พระ เพื่อมาต่อกับเศียร แรกๆท่านก็ไม่เชื่อ แต่อยากจะพิสูจน์ความจริง จึงได้เกณฑ์ชาวบ้าน ให้ช่วยกันขุดตามที่นิมิต ก็พบความจริงจึงได้ทำการต่อองค์พระกับเศียร จนสมบูรณ์ พระพุทธรูปองค์นี้เป็นที่เคราพสักการะของชาวบ้านมาจนถึงทุกวันนี้ ​
    *************************************************************************************************
    อัตโนประวัติ พระครูปลัดกฤต ฐิตวิริโย เกิดในสกุล อินทรานาคะไชย เมื่อวันพุธที่ 28 มกราคม 2519 ที่บ้านทุ่งแล้ง อ.ลอง จ.แพร่ เป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง 5 คน โยมบิดา-มารดาชื่อ นายสันติ์ และนางบัวผัด อินทรานาคะไชย

    พ.ศ.2531 ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดศรีดอนคำ ด้วยความเป็นคนที่ชอบในการปฏิบัติธรรมตั้งแต่เด็ก ทำให้พระอาจารย์เริ่มฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานและไปศึกษาเพิ่มเติมกับพระเกจิดังอีกหลายรูปเกี่ยวกับการฝึกธุดงค์กัมมัฏฐาน ด้วยการกำหนดจิตขั้นพื้นฐาน ปล่อยวางไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในเหตุปัจจัยต่างๆ

    นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาเรียนรู้การเจริญอาณาปานสติกัมมัฏฐาน ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก

    พระอาจารย์โตยังได้คัมภีร์เก่าที่มีพระสงฆ์ชาวพม่ามอบให้ พร้อมกำชับให้ไปศึกษาคาถาในคัมภีร์ให้เข้าใจ จะได้นำเอาไปสงเคราะห์ญาติโยม อาทิ วิชาสาลิกาเหินฟ้า วิชาแก้กรรมจตุรธาตุ และอีกหลายวิชาที่จะช่วยเหลือขจัดสิ่งเลวร้ายผ่อนหนักให้เป็นเบา

    ต่อมา สามเณรโตได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดในวังพระอารามหลวง ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2538 โดยมีพระสุนทรราชมานิตเถร เจ้าอาวาสวัดในวัง เจ้าคณะอำเภอนาทวี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูวิธานธรรมรัต เจ้าคณะตำบลนาทวี วัดในวัง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูพิพัฒกิตติสุนทร เจ้าคณะตำบลคลองทราย วัดลำขิง เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ได้รับฉายาว่า ฐิตวิริโย แปลว่า ผู้มีความเพียรอันตั้งมั่น

    พระครูปลัดกฤต ฐิตวิริโย กล่าวถึงเคล็ดวิทยาคมที่ได้ศึกษาเล่าเรียนว่า การศึกษาวิทยาคม จิตใจต้องนิ่งและหนักแน่น ถ้าหากใจไม่มีสมาธิย่อมไม่บังเกิดความเข้มขลัง

    ก่อนเรียนให้จัดดอกไม้ ธูปเทียน ไปกล่าวขอขึ้นครูกับพระประธานในอุโบสถก่อน

    พิธีสะเดาะนพเคราะห์ (แก้กรรม) ด้วยเคล็ดวิชาจตุรธาตุ แก้เคล็ดสะเดาะเคราะห์ เกื้อหนุนพลังดวงชะตา คือ ทำให้เรื่องยากกลับเป็นเรื่องง่าย เรื่องร้ายกลับเป็นเรื่องดี ตามเคล็ดวิชาล้านนาโบราณ เพื่อขออโหสิกรรมต่อกรรมทั้งหลายทั้งปวงที่เราอาจจะได้เคยล่วงเกินต่อท่านผู้รู้ผู้มีพระคุณ ผู้ทรงคุณความดี และบารมีธรรมทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งวิบากกรรม จะปิดบังตาปิดบังใจไม่ให้เราท่านสามารถเกิดปัญญารู้ทั่วถึงธรรมตามเป็นจริงได้

    สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ดังนั้น การทำพิธีขออโหสิกรรม หรือ วิธีแก้กรรม จึงเป็นพิธีกรรมที่ก่อให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิต ที่มีต่อเจ้ากรรมนายเวร เพื่อความผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำให้อุปสรรคและปัญหาต่างๆ คลี่คลาย

    ดังนั้น จึงได้จัดให้มีพิธีแก้กรรมด้วยเคล็ดวิชาจตุรธาตุ ตามหลักกรรมวิธีโบราณที่เคยสืบทอดกันมาจากครูบาอาจารย์ยุคก่อนได้ปฏิบัติกันไว้ พระพุทธมนต์และพุทธคาถาทั้งหลาย เป็นพลังงานคลื่นเสียงที่ทรงอานุภาพสามารถทำให้บังเกิดสิริมงคล และทำลายอัปมงคลทั้งหลายทั้งปวงได้

    นับเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์มาแต่ครั้งโบราณกาล

    ส่วนวิชาสาลิกาเหินฟ้า เป็นวิทยาคมอีกแขนงหนึ่ง เป็นวิชาสุดยอดเมตตามหานิยม พร้อมด้วยวิชาแก้กรรมพลิกดวงเสริมบารมีตามตำราโบราณกาลในคัมภีร์

    พระครูปลัดกฤต ฐิตวิริโย เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทปางแฟน ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ผู้ยึดปฏิปทาตามรอยขององค์บูรพาจารย์ เจ้าตำรับสาลิกาเหินฟ้า และวิชาแก้กรรมพลิกหนุนดวงชะตาด้วยวิชาจตุรธาตุ

    ท่านได้สร้างวัตถุมงคลพระพิฆเนศนั่งสังข์ หลังจตุคามฯ เก้าหน้า และรุ่นรำลึกบูรพาจารย์ ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ จนมีทั้งข้าราชการทหาร ตำรวจ นักการเมือง ศิลปินดารา นักร้องชื่อดัง จากทั่วประเทศ รวมทั้งประชาชนทั่วไปต่างให้ความศรัทธาและเดินทางมาให้อาจารย์โตทำพิธีแก้กรรมฯ อย่างไม่ขาดสาย
    พระพิฆเนศ รุ่นรำลึกบูรพาจารย์ บูชา 450 บาท **ที่วัดหมดแล้ว**
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    ครูบาแก้ว กมฺมสุทโธ วัดร่องดู่ จ.พะเยา สุดยอดแห่งพระเกจิอาจารย์ อาคมขลังแห่ง จ.พะเยา ท่านมีพลังจิตสูง วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกล้วนแล้วแต่พุทธคุณสูงมากด้วยประสบการณ์ วัตถุมงคลหลายรุ่นล้วนแล้วแต่สร้างประสบการณ์เล่าขานไม่รู้จบ

    พระผงกันภัยรุ่นแรกสร้างและปลุกเสกพร้อมกับเหรียญกันภัยรุ่นแรกที่ประสปการณ์สูงทางด้านแคล้วคลาด หลวงปู่อธิษฐานจิตปลุกเสกให้ยาวนานถึง 4 ปี โดยหลวงปู่จะปลุกเสกให้ตลอดไตรมาสเข้าพรรษา องค์นี้คัดสวยพร้อมเลี่ยมพลาสติกกันน้ำอย่างดีสวยบูชาพร้อมแขวนได้เลย สุดยอดของดีไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ
    **************************************************************************************************************
    หลวงปู่ท่านได้บวช ที่ อ.จุนโดยเจ้าอาวาสวัดห้วยข้าวก่ำองค์ก่อนบวชให้ ท่านได้เรียนวิชาจากพระอุปัชฌาย์ ของท่านจนหมดสิ้นและได้เดินทางไปเสาะหาวิชาอาคมเพิ่มเติมอยู่เสมออาจารย์ดีหรือเก่งที่ไหนหลวงปู่ท่านจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อขอศึกษาวิชามาจนหมดสิ้นโดยเฉพาะวิชาสายท่านครูบาเจ้าศรีวิชัยท่านได้เดินทางไปศึกษาต่อกับท่านครูบาขาวปี หลวงปู่ครูบาคำหล้าตาทิพย์ ศิษย์ผู้สืบทอดวิชาทั้งหมดจากครูบาเจ้าศรีวิชัย(จะสังเกตได้จากเวลาหลวงปู่ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลท่านจะใช้คาถาของครูบาเจ้าศรีวิชัยปลุกเสกเสมอ)และแลกเปลี่ยนวิชากับหลวงปู่หลานดอกคำใต้และยังได้แลกเปลี่ยนวิชากับหลวงปู่ครูบาคำฝาย วัดพระธาตุจอมไคร้ปัจจุบันท่านมีอายุร้อยกว่าปีเป็นศิษย์ผู้หนึ่งที่สืบทอดวิชามาจากครูบาเจ้าศรีวิชัย และฆราวาสจอมขมังเวทย์ชาวจังหวัดแพร่อดีตเสือเก่าและยังได้สักยันต์ติดตัวมาด้วยโดยเฉพาะวิชาคงกระพันมหาอุดหยุดปืนเชื่อว่าแมลงวันไม่ได้กินเลือดและวิชาเพ่งกสิณเตโชกสิณ(กสิณไฟ)และหลวงปู่ยังมีตำราเก่าแก่ในการสร้างวัตถุมงคลสมัยครูบาเจ้าศรีวิชัยตกทอดมาถึงตัวท่านอีกด้วยท่านได้ศึกษาวิชาจากตำราจนหมดสิ้น(ปัจจุบันตำรานี้ท่านมอบให้กับศิษย์ใกล้ชิดท่านหนึ่งไปเก็บรักษา)หลวงปู่ท่านเจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐานอยู่เสมอ พระกรรมฐานที่ท่านฝึกคือเตโชกสิณ (กสิณไฟ) จึงทำให้พลังจิตของท่านกล้าแข็งและท่านได้เคยกล่าวเอาไว้ว่าการ เจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐานนั้นหากขยันฝึกให้จิตมีความสงบนึ่งแล้วย่อมเกิดสมาธิพลังงานสามารถนำไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์ได้แม้กระทั่งช่วยเหลือคนอย่างการฝึกกสิณต้องกำหนดจิตให้มั่นเช่นถ้ากำหนดจิตด้วยปากเป็นจุดศูนย์รวมผู้ที่ฝึกสำเร็จย่อมมีวาจาสิทธิ์ หากใช้หูกำหนดย่อมมีหูทิพย์ หากใช้ตาก็จะมีตาทิพย์หากใช้จุดกึงกลางหน้าผากกำหนดจะสามารถหยั่งรู้จิตใจคนได้ อันวิชาอาคมต่างๆนั้นจะเข้มขลังได้ต้องขึ้นอยู่กับอำนาจจิตของผู้นั้นด้วยหากจิตไม่ถึงต่อให้ท่องพระคาถาพันจบก็ไม่เกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ หากจิตถึงเพียงท่องพระคาถาบทเดียวก็เกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ อย่างการปลุกเสกพระเครื่องเพื่อให้พลังความขลังนั้นอยู่ทนนานไม่มีเสื่อมผู้ที่สร้างต้องมีศีลมีสมาธิจะใช้พลังจิตของตัวเองแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ถึงแม้จะขลังจริงแต่ก็อยู่ได้ไม่ทนย่อมมีวันเสื่อมหากจะให้ทนนานจะต้องระลึกถึงคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์ด้วยความกตัญญูรู้คุณย่อมไม่เสื่อมเทพเทวาย่อมมาช่วยเหลือของสิ่งนั้นก็จะเกิดความขลังหลวงปู่มักจะกล่าวอยู่เสมอว่าพระของท่านมีเทวดาคุ้มครอง
    **********************************************************************************************
    พระผงกันภัยรุ่นแรก บูชาองค์ละ 150 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  10. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    พระแก้วมรกต วัดเนินโพธิ์ อุตรดิตร์ ปี 17 บูชา 399 บาทปิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2010
  11. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    วิธีลดกรรม 45 อย่าง
    1. กรรมที่ไม่มีลูก
    กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
    ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือมูลนิธิเด็กอ่อน

    2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
    กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
    ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

    3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
    กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
    ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

    4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
    กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
    ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

    5. สูญเสียคนใกล้ชิด
    กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
    ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

    6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
    กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
    ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

    7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
    กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
    ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี

    8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
    กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
    ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

    9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
    กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
    ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

    10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
    กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
    ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
    จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่างสม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

    11. ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
    กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
    ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
    ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

    12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
    กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
    ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
    พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

    13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
    กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
    ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

    14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
    กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
    ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

    15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
    กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
    ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

    16. อาภัพคู่ ร้างคู่
    กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
    ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

    17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
    กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
    ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

    18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
    กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
    ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

    19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
    กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
    ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

    20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
    กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
    ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆ เดือน

    21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
    กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
    ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

    22. มีคดีความ
    กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
    ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆ ละ 7 วัน

    23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
    กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
    ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

    24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
    กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
    ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

    25. ไม่มีชื่อเสียง
    กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
    ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

    26. ไม่มีวาสนาบารมี
    กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
    ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

    27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
    กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
    ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรมอุทิศให้ลูกตนเอง

    28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
    กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
    ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิต

    29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
    กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
    ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

    30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
    กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
    ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

    31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
    กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
    ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

    32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
    กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
    ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

    33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
    กรรมจาก เคยทำแท้ง
    ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆ เดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

    34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
    กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
    ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม

    35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
    กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
    ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

    36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
    กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
    ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด หรือช่วยเหลือคนป่วย

    37. เป็นมะเร็ง
    กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
    ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
    ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

    38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
    กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
    ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

    39. ด้อยปัญญา
    กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
    ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ

    40. ตกงาน
    กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
    ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา

    41. ไม่มีโชคลาภ
    กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
    ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว

    42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
    กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
    ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

    43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
    กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
    ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

    44. ครอบครัวยากจน
    กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
    ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

    45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
    กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
    ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้สมรักสม

    อ่านให้จบเพราะ จุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19 ค่ะ
    กฏแห่งกรรม
    1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
    เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

    2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
    เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

    3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
    เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

    4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให&shy;ญ่โต
    เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

    5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ&shy;ญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
    เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

    6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
    เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

    7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
    เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

    8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
    เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

    9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
    เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้&shy;ญาติในชาติก่อน

    10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
    เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

    11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
    เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

    12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
    เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

    13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
    เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

    14. เหตุใดชาตินี้คุณมีด??งตาสดใส
    เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

    15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั&shy;&shy;ญญาอ่อนและหูหนวก
    เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

    16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
    เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

    17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
    เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

    18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
    ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

    19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
    คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • cv790.jpg
      cv790.jpg
      ขนาดไฟล์:
      554.1 KB
      เปิดดู:
      99
  12. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    แจกฟรี โปรแกรม ท่องนรกสวรรค์
    บุคคลที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้

    http://www.thaiware.com/main/info.php?id=3037

    วันเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ณ.สังกัสสะนคร
    พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ มีหมู่เทพยาดา
    และพุทธบริษัทรอรับเสด็จเป็นวันเปิดโลกหรืที่เรียกว่า
    "เทโวโลหนะ" ตรงกับวันมหาปวารณา

    พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดปัญจวรรคีทั้ง 5
    ทรงแสดง"ธรรมจักรกัปปวัตตะนะสูต" โดยการชี้ให้เห็น
    โทษของการทรมานตน โทษของกามคุณ และ
    ทรงตรัสอริยสัจจ์ 4 อริยมรรค 8

    ต่อไปนี้คือบาปอกุศลกรรมที่คนผู้ทำตายแล้วไปเกิดเป็นเปรต

    ๑. ผู้มักอิจฉาริษยาผู้อื่น คิดอยากได้ทรัพย์สินของเขา ไม่ให้ทาน ตลอดจนโกงทรัพย์สินของสงฆ์มาเป็นของตน ตายไปเกิดเป็นเปรตตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม มีแต่กระดูก ตัวเหม็นสาป ผมรุ่ยร่ายลงมาคลุมปาก เสวยทุกขเวทนาทั้งกายใจ ร้องไห้คร่ำครวญนานนับพันปี

    ๒. ผู้บวชเป็นสมณชีพราหมณ์ มักดูถูก กล่าวร้าย ติเตียนครูอาจารย์และคณะสงฆ์ ตายไปเกิดเป็นเปรตมีกายงามดังทอง มีปากเหมือนหมู ปากนั้นเหม็นหนักหนา มีหนองเต็มปาก หนอนเจาะกินปากหน้าตาและเนื้อตัวเขา

    ๓. หมอหญิงให้ยาหญิงมีครรภ์กินเพื่อให้แท้งลูก ตายไปเกิดเป็นเปรตผู้หญิง เปลือยกาย ตัวเน่าเหม็น มีแมลงวันตอมจำนวนมาก ร่างกายมีแต่เส้นเอ็นและหนังหุ้มกระดูก กินเนื้อลูกน้อยตนตลอดเวลา

    ๔. หญิงเห็นสามีถวายข้าว น้ำ และผ้าแก่คณะสงฆ์ กลับโกรธเคืองด่าทอสามี ตายไปเกิดเป็นเปรตผู้หญิงเปลือย อดอยาก เห็นข้าวน้ำอยู่ตรงหน้าก็จะหยิบมากิน แต่ข้าวน้ำนั้นกลายเป็นอาจม เป็นเลือด เป็นหนอง เห็นผ้าจะหยิบมานุ่งห่ม ผ้านั้นกลายเป็นแผ่นเหล็กแดงลุกไหม้ตลอดตัว

    ๕. ผู้มักตระหนี่ไม่เคยทำบุญให้ทาน เห็นคนอื่นทำบุญให้ทานก็ห้ามปราม ตายไปเกิดเป็นเปรตร่างสูงใหญ่เท่าต้นตาล เส้นผมหยาบ ตัวเหม็นมาก อดอยากยากไร้นักหนา

    ๖. ผู้เอาข้าวลีบปนข้าวดีแล้วไปหลอกขาย ตายไปเกิดเป็นเปรตเอามือกอบข้าวลีบลุกเป็นไฟใส่ศรีษะของตนตลอดเวลา ต้องทุกข์ทรมานมากมายหลายพันปีในนรก

    ๗. ผู้ที่ตีศรีษะมารดาบิดาด้วยมือ ไม้ และเชือก ตายไปเกิดเป็นเปรตเอาฆ้อนเหล็กแดงตีศรีษะตนเอง

    ๘. ผู้ที่มีคนมาขอข้าว ข้าวมีแต่หลอกว่าไม่มี ตายไปเกิดเป็นเปรต กินแต่ลามกอาจมปนหนองเน่าเหม็นนักหนา

    ๙. ผู้เป็นข้าราชการ รับสินบนผู้ผิด ตัดสินความผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ตายไปเกิดเป็นเปรตมีวิมาน มีบริวารนางฟ้า แต่เอาเล็บมือคมดังมีดกรด ขูดเนื้อหนังตัวเองกินต่างอาหาร

    ๑๐. ผู้ด่าทอ กล่าวเท็จต่อพระสงฆ์ ผู้ใหญ่ผู้มีศีล ตายไปเกิดเป็นเปรตมีเปลวไฟพุ่งออกจากปาก อกและลิ้นแล้วลามไหม้ทั่วตัวเขา

    ๑๑. ผู้มักข่มเหงรังแกคนยากไร้เข็ญใจอย่างไร้กรุณาปราณี เอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตน และใส่ความผู้ไม่มีความผิด ตายไปเกิดเป็นเปรตผอม อดอยากมาก เห็นน้ำใสเอามือกอบจะกิน น้ำนั้นกลายเป็นไฟไหม้เขาทั้งตัว เขากลิ้งเกลือกตายในไฟนั้น

    ๑๒. ผู้เผาป่า สรรพสัตว์หนีไม่ทันถูกไฟป่าคลอกตาย ตายไปเกิดเป็นเปรตผอม ตัวเปื่อยเน่ามือเน่า ตีนเปื่อยหลังโก่ง เขาเอาไฟคลอกตัวเองตลอดเวลา

    ๑๓. ข้าราชการตัดสินความโดยไม่ชอบธรรม ไม่วางตัวเป็นกลาง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ขูดรีดชาวบ้าน ตายไปเกิดเป็นเปรต ตัวใหญ่เท่าภูเขา มีขน เล็บตีนเล็บมือใหญ่ยาว คมดังมีดกรดและหอกดาบ ลุกเป็นเปลวไฟแทงตัวเขาตลอดเวลา


    ที่มา : สมุดข่อย โครงการสืบสานและอนุรักษ์มรดกไทย
    ผู้ที่ทำผิดศีล 5 ต้องได้รับโทษเมื่อละโลกไปแล้ว

    ผู้ที่ทำผิดศีลข้อที่ 1 ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนผู้อื่น จิตใจไร้เมตตา
    ตายไปต้องได้รับโทษในนรก

    ผู้ที่ทำผิดศีลข้อที่ 2 ลักทรัพย์ ขโมย เอาของผู้มาเป็นของตน
    ทำลายทรัพย์สินให้เสียหาย

    ผู้ที่ทำผิดศีลข้อที่ 3 การประพฤติผิดประเวณี เป็นชู้กับภรรยา
    หรือสามีผู้อื่น ผิดลูกผิดเมีย

    ผู้ที่ทำผิดศีลข้อที่ 4 พูดโกหก หลอกลวง เพ้อเจ้อ ส่อเสียด

    ผู้ที่ทำผิดศีลข้อที่ 5 การดื่มสุราเมรัย น้ำเมา ยาเสพติด
    จนหลงลืมขาดสติ
     
  13. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    แกะรอยคนถูกหวย รวยรางวัลที่ 1

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #8cbde7; COLOR: #8cbde7" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><!-- ads code --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-8596172226786901";/* 336x280-isan */google_ad_slot = "7564139424";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"></SCRIPT>
    ตามติดชีวิตคนถูกรางวัลที่ 1 พวกเขาเป็นอย่างไรในรอบหลายปี หลายคนเงินหมดเกลี้ยงในเวลาอันสั้น แต่อีกไม่น้อยจัดการเป็นจนลากยาวมาได้จนถึงวันนี้
    อาจจะเพราะวัฒนธรรมการเสี่ยงโชคที่เข้มข้นกว่า ทำให้แต่ละงวดที่ออกมา รางวัลใหญ่มักไปตกอยู่ในมือชาวภูธร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและคนหาเช้ากินค่ำ บางคนค่อนขอดพวกเขาว่าใช้เงินไม่เป็น

    แต่บุคคลต่อไปนี้ แม้จะไม่ติดอันดับ "นักจัดการเงินมืออาชีพ" ในโพลล์ไหนๆ แต่พวกเขากลับจัดการเงินล้านที่ได้มาอย่างเรียบง่ายและมีสติ

    อยู่ดีๆ มี 20 ล้าน

    2 ปีที่แล้ว บุญสนอง แก้วบ่อ กลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืนหลังถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1และรางวัลแจ็คพ็อต ได้เงินรวมถึง 20 ล้านบาท

    ชายวัย 52 ปีจากบ้านโคกสี ต.โคกสี อ.เมืองขอนแก่น เดิมมีอาชีพทำการเกษตรทั้งไร่ นา สวนและค้าขายของชำภายในหมู่บ้าน ควบคู่ไปกับการเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น

    งานส่วนรวมเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่งานส่วนตัวกลับขาดทุน ทยอยขายที่ไร่ที่นา เป็นหนี้สินมากมาย

    แต่ในที่สุด บุญสนองก็กัดฟันเรียนจนจบ และเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปรับปริญญา ขากลับแวะไหว้พระที่ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ตบท้ายด้วยการเสี่ยงเซียมซี ได้เลข 75-76

    เมื่อมีคนตาบอดเดินมาขายลอตเตอรี่ บุญสนองบอกแค่เลขท้ายไป คนขายก็ยื่นมาให้สองคู่ 414875, 414876 ซึ่งใบแรกคือ รางวัลที่ 1 ในงวดถัดมา เท่านั้นยังไม่พอ ลอตเตอรี่ใบอื่นที่ซื้อมาก็ยังไปคว้ารางวัลแจกพอตอีก 16 ล้านบาท รวมๆ กันแล้ว 20 ล้านบาทขาดตัว

    วันนั้น เพื่อนแห่กันมาทั้งหมู่บ้าน ข้าวของเครื่องใช้ที่ซื้อมาไว้ขายกว่า 3 แสนบาท ถูกขอไปจนหมดเกลี้ยง

    "จากนั้นก็มีญาติพี่น้องและคนแปลกหน้าเข้ามาหาขอยืมเงินจำนวนมาก แจกให้ญาติไปก็เยอะ ให้คนยืมไปลงทุนก็มีบ้าง แต่ผมก็เอาเงินไปใช้หนี้สินที่กู้ยืมมาจนหมด กับเก็บฝากธนาคารเอาไว้กินดอกเบี้ย บางส่วนก็นำมาลงทุนกับการเกษตร และช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส"

    ขณะนี้ ครอบครัวแก้วบ่อสบายขึ้นมาก บุญสนองก็ได้เรียนต่อปริญญาโท และใกล้จะจบแล้ว และเมื่อ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา เขาก็ลงสมัครรับเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสี ก็ได้รับชัยชนะ ลูกบ้านเทคะแนนให้อย่างท่วมท้น แม้บางเสียงจะบอกว่า ถูกเลือกเพราะความรวยและคนรวยไม่น่าจะทุจริต

    "จากกุศลผลบุญที่ทำดีเพื่อชุมชนมาโดยตลอดทำให้เชื่อว่า ทำดีต้องได้ดีขอเพียงชีวิตเราอย่าท้อ สู้เข้าไว้" เศรษฐีล็อตเตอรี่ บอก



    ทุกข์มาเพราะความดัง

    เพราะซื้อสลากกินแบ่งไว้สองใบตามเลขทะเบียนรถของพ่อ จากข้าราชการธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ถูกหนี้มะรุมมะตุ้ม ก็หายกลุ้มเป็นปลิดทิ้ง

    เป็นชีวิตจริงของ อัจฉรา พลสิทธิ์ เจ้าพนักงานศาลยุติธรรมประจำศาลจังหวัดเดชอุดม อุบลราชธานี อายุ 32 ปี ที่ 3 ปีที่แล้ว ถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 1 ใบ ได้เงินรางวัลจำนวน 4,000,000 บาท

    สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น อัจฉราบอกว่ามีทั้งสุขและทุกข์ สุขคือคนแห่แสดงความยินดี ส่วนทุกข์คือ "ความดัง" ที่มาพร้อมกับการขอความช่วยเหลือทุกรูปแบบ เธอก็สงเคราะห์ไปบ้าง

    "มีอยู่รายหนึ่งเป็นนักโทษชายอยู่ที่เรือนจำทางภาคเหนือทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ได้เขียนจดหมายมาขอความช่วยเหลือว่าญาติ พี่น้องฐานะยากจนขอเงินมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในเรือนจำก็ได้ส่งธนาณัติไปให้"

    กับตัวเองและครอบครัว สิ่งแรกที่ทำคือ ใช้หนี้ที่มีอยู่จนหมด จากนั้นเอาเงินมาสร้างบ้าน จัดสรรเงินส่วนหนึ่งให้กับญาติพี่น้องกับบุคคลที่เคยช่วยเหลือ ทำบุญ และเปิดบัญชีเงินฝากประจำให้ลูก 2 คน

    ชีวิตทั่วไป อัจฉราบอกว่าเป็นไปอย่างเรียบง่ายเหมือนปกติ และไม่ฟุ่มเฟือย

    "ทุกวันนี้มีความสุขแล้ว ไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร ครอบครัวอบอุ่น ทำงานอย่างมีความสุข"

    ชีวิตคนเราคงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว


    ทำงานหนัก ปลูกผักกิน

    หลังจากคู่ทุกข์คู่ยากล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ พ่อค้าขายผักในตลาดสดบ้านทุ่ง ต.ในเวียง อ.เมือง จ.แพร่ สามีอย่าง อนันต์ จำปาหอม จึงขาดคนช่วยปลูกและช่วยมัดจัดหีบห่อ จำต้องหันเหชีวิตไปเป็นคนรับจ้างขนของในตลาดแทน

    กับล้อเข็น 1 คัน เริ่มงานตั้งแต่ตี 1 แลกกับค่าแรงวันละ 200-300 บาท อาจจะพอเลี้ยงครอบครัวได้ไปวันๆ และอาจเป็นเช่นนั้นไปตลอดชีวิต ถ้าวันนั้น 16 เมษายน พ.ศ.2548 เขาไม่เสี่ยงดวงซื้อหวยเลข 119327 และได้เงินรางวัลที่ 1 มา 4 ล้านบาท

    "ผมเอาไปฝากธนาคารเอาไว้ก่อน แล้วค่อยถอนออกมาไปซื้อรถปิกอัพคันใหม่ หกแสนกว่าบาท แทนคันเก่าที่เก่าเต็มที" อนันต์ วัย49 แจกแจงรายรับรายจ่าย

    ไม่ต้องพูดถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ภรรยาที่ป่วยด้วยโรคหัวใจได้รับการรักษาจนกลับมาช่วยงานได้อีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นงานเบาๆ อย่างขายขนม ขายเส้นก๋วยเตี๋ยว ในตลาดแห่งเดิม เริ่มงานตีสอง กว่าจะได้กลับไปนอนก็ 9 โมงเช้า เป็นอย่างนี้ทุกวัน

    ถึงจะมีเงินล้านไว้กอดอุ่นๆ แต่อนันต์และภรรยาก็ยังไปต้องไปทำงาน และ ปลูกผักไว้กินเอง

    "ชีวิตเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงน้อยมาก แค่เปลี่ยนรถคันใหม่ ผมก็ยังตื่นเข้า ขับรถไปส่งของ เสร็จก็กลับบ้านนอน เงินเก็บไว้บางส่วนสำหรับใช้ในช่วงที่ทำงานไม่ไหว แล้วก็เก็บไว้ให้ลูกชายคนเดียว ใช้เงินทีก็ระมัดระวัง ปลูกผักในบ้านไม่ต้องซื้อเขากิน"

    ถามถึงการลงทุนเพิ่มเติม ทำให้เงินงอกเงย?

    เจ้าตัวส่ายหน้า ก่อนจะอธิบายว่า เกินความสามารถของตัวเอง และที่สำคัญ...

    "ผมคิดว่าครอบครัวมีทุกอย่าง ไม่ต้องการสิ่งไหนอีกแล้ว"

    ชาวนาเนื้อหอม

    ในปี 2547 ยุคที่หวยบนดินกำลังเฟื่องฟู ปัน ศรีจอมแจ้ง ชาวนาวัย 59 ปี ใน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เป็นหนึ่งในคนไทยที่เจียดรายได้อันน้อยนิดซื้อหวยเป็นประจำทุกงวด ไม่เคยขาดตกบกพร่อง หวังว่าสักวันจะโชคดีกับเขาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าทำบุญมาด้วยอะไร วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ลุงปันพกดวงมาเต็มกระเป๋า ถูกรางวัลแจ็กพอตจากหวยบนดินใบละ 20 บาท คว้าเงินรางวัล 25 ล้านบาท ไปนอนกอดสบายใจ

    หลังชีวิตพลิกผันเพียงข้ามคืน จากชาวนายากจนกลายเป็นเศรษฐี เรื่องราว มากมายประดังเข้าหาลุงปันอย่างที่ตัวเองไม่เคยคาดคิด แต่ละวันบ้านหลังน้อยที่เคยเงียบเหงากลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งที่รู้จักและแปลกหน้า ต่างแวะเวียนมาแสดงความยินดีแฝงด้วยความหวังอย่างลึกๆ

    ส่วนบุรุษไปรษณีย์ที่แทบไม่รู้จักบ้านของลุงปัน กลับต้องแวะเวียนนำจดหมายจากทั่วสารทิศมาส่งให้ลุงปันวันละหลายรอบ และจดหมายเหล่านี้ เขียนมาพรรณนาถึงความทุกข์ยาก อยากให้ช่วยปลดหนี้ ช่วยค่ารักษาพยาบาล ขอทุนตั้งตัว ขอค่าเทอม ฯลฯ

    แต่ที่เด็ดที่สุดคือจดหมายจากสาวน้อยสาวใหญ่ รวมถึงสาวแก่แม่หม้ายจากทั่วประเทศ ที่เขียนมาบรรยายสรรพคุณพร้อมแนบภาพถ่าย ขอสมัครเป็น "แม่บ้าน" รวมแล้วไม่น้อยกว่าร้อยฉบับ

    ...ที่สุดแล้วจดหมายทั้งหมดไม่ถูกตอบกลับแม้แต่ฉบับเดียว

    ล่วงเลยมาแล้วกว่า 5 ปี ลุงปันพิสูจน์ให้คนอื่นๆ เห็นแล้วว่า คำว่า "สามล้อถูกหวย" ใช้ไม่ได้กับเขา เพราะเขายืนยันว่าถึงจะร่ำรวย แต่ก็ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่ามาโดยตลอด

    ลุงปัน แจงการบริหารการเงินตามแบบฉบับชาวนาว่า เงิน 25 ล้านบาท ถูกนำไปใช้หนี้ ธกส. 30,000 บาท ซื้อที่ดินและสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทนหลังเก่า 2,000,000 บาท แบ่งให้ลูก 3 คน คนละ 5,000,000 บาท ให้ไปทำทุนค้าขายและเป็นทุนการศึกษาให้หลาน

    นอกจากนี้ ลุงปันยังแปลงสินทรัพย์เป็นทุนด้วยการซื้อที่นา 4 ไร่ สวนอีกกว่า 20 ไร่ ในหมู่บ้าน พร้อมควักเงินอีก 600,000 บาท ซื้อรถกระบะใช้ขนผลิตผลทางการเกษตรไปขาย ที่เหลือฝากธนาคารเก็บกินดอกเบี้ย

    ด้วยวัยและฐานะที่เอื้อต่อการนอนตีพุงสบายๆ แต่ลุงปันยังคงยึดอาชีพกระดูกสันหลังของชาติเหมือนเดิม ต่างก็แต่เขามีความสุขกับการใช้ชีวิตชาวนามากขึ้น เพราะได้ทำนาทำไร่ในที่ของตัวเอง จากเดิมที่ต้องรับจ้างทำนาในที่ดินของคนอื่น

    "กิเลสเป็นสิ่งที่มนุษย์น้อยคนจะหลีกเลี่ยงได้ หลายคนมีมากก็ใช้มาก ใช้กันเพลินจนไม่เหลือ ผมเองก็มีกิเลส แต่โชคดีที่เป็นความอยากได้อยากมีในสิ่งที่จำเป็นกับการดำรงชีวิต ไม่ใช่อยากได้ในความฟุ่มเฟือย ความสุขที่แท้จริงของผมคือความพอเพียง"

    แม้จะร่ำรวยเงินทอง แต่ภารกิจประจำวันของเศรษฐีแจ็กพอตรายนี้ยังเหมือนเดิม ทุกเช้าถึงบ่ายลุงปันจะขลุกตัวในท้องนาท้องไร่ ก่อนที่จะกลับมาพักผ่อนและสนทนากับเพื่อนบ้านในช่วงบ่าย ก่อนจะปั่นจักรยานคู่ใจไปตามถนนในหมู่บ้านตอนแดดร่มลมตก

    "มีความสุขทุกครั้งที่มองเห็นทุ่งนา มันเป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก"

    แม้จะเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งที่ต้องการ แต่ลุงปันยอมรับว่า ทุกวันนี้ยังต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์อยู่เป็นประจำ เพราะยังคงมีโทรมาขอความช่วยเหลือบ่อยครั้ง

    เมื่อถามว่าวันนี้เงิน 25 ล้านบาท เหลืออยู่เท่าไหร่ กลับมีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้ากร้านแดดของชาวนาคนนี้เป็นคำตอบ

    'ความลับ' หลักล้าน

    เป็นคนหนึ่งซึ่งนานๆ ทีจะเสี่ยงโชคสักครั้ง และซื้อทีก็ไม่มากมาย แค่ "ครึ่งใบ" ในราคาแค่ 20 บาทเพราะทุนทรัพย์ไม่เอื้อ

    แต่ สุพัตรา (สงวนนามสกุล) ก็ยังอุตส่าห์ถูก ได้เงินมา 3 ล้านบาท เมื่อ 7 ปีก่อน

    คุณแม่ลูกสองเป็นแม่ค้าขายผลไม้ในจังหวัดเชียงราย ขณะนั้นสามีเสียไปนานแล้ว ตัวเธอเองก็ติดเชื้อเอดส์มาจากสามี ค้าขายผลไม้ก็ไม่ได้เงินมากมายอะไร แค่พอเลี้ยงตัว ไม่เหลือพอสำหรับการรักษาตัวเอง

    "ท้อใจ ชีวิตมันแย่มาก แต่พอได้เงินก้อนนี้มาก ถือว่าโชคดีมาก เหมือนได้ชีวิตใหม่ มีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง"

    ต่างจากคนอื่น พอรู้ว่าตัวเองถูกรางวัล สุพัตรากลับเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่บอกใครนอกจากลูกและคนสนิทจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าถ้าบอกไปจะมีอะไรตามมาบ้าง

    หลังจากขึ้นเงิน เธอแบ่งฝากธนาคารประจำให้ลูกคนละ 1 ล้านในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เหลือมาเอาไปซ่อมบ้านอีกประมาณ 4 แสนบาท แล้วเอาไปเปิดร้านขายของชำเล็กๆ อีกแสนกว่าบาท แต่เปิดได้เพียงปีกว่าๆ ก็ต้องปิดตัวลง เพราะขายไม่ดี ประกอบกับลูกย้ายที่ไปเรียนอีกจังหวัด แม่ก็เลยแพคกระเป๋าตามไปด้วย

    "เงินฝากของลูก เขาต้องอายุครบ 25 ปีก่อนถึงจะเบิกได้ ถึงตอนนั้นคิดว่าตัวเองคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว บอกเขาเสมอว่า เงินก็เหมือนชีวิตแม่ ถ้าเงินหมด ชีวิตแม่ก็หมด"

    สุพัตราคิดเสมอว่าเงินที่ได้มาคือวาสนา และไม่ควรใช้ของมีค่าโดยประมาท

    ทุกวันนี้สุพัตรายังทำงานหาเช้ากินค่ำด้วยการไปเป็นแม่บ้านในบริษัทเอกชน รับเงินเดือนประมาณ 6,000 บาท

    "กินใช้ก้อนนี้ค่ะ มีเหลือเก็บด้วย เพราะไม่ฟุ่มเฟือย อยู่แบบที่เราเคยอยู่ ไม่ค่อยซื้อไม่ค่อยเที่ยว ลูกๆ เองเวลาอยากได้อะไรเขาก็หาของเขา เราสอนเสมอว่า อยากได้อะไรต้องทำมาหากินเอง อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ" นานๆ ที แม่ลูกถึงจะออกไปหาของอร่อยนอกบ้านทานกัน ส่วนการรักษาตัวเอง สุพัตราใช้สิทธิประกันสังคม ที่พักบริษัทจัดให้

    ทุกวันนี้สุพัตรามีเงินฝากส่วนตัวไว้ให้อุ่นใจประมาณ 4 แสนซึ่งเธอไม่พยายามไปยุ่งกับเงินก้อนนี้

    "ต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น ถ้าเราใช้ ลูกก็ใช้" น้ำเสียงที่ยังสดใสของสุพัตรา


    6 ล้าน 'ทุกขลาภ'

    ในบรรดาคนที่ได้ลาภ แล้วเป็นทุกข์ คงไม่มีรายไหนหนักหนาสาหัสเท่ากับรายของ ศิษย์ กิจพฤกษ์ วัย 71 ปี ชาวบ้านหัน ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น

    16 พฤษภาคม พ.ศ.2547 เขาถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 และรางวัลข้างเคียงได้เงินมา 6,138,000 บาท แต่เมื่อนำลอตเตอรี่ไปขึ้นเงิน กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับ เนื่องจาก น.ส.รสรินทร์ ศักดิ์ดาราโรจน์ อายุ 22 ปี เจ้าของร้านขายล็อตเตอรี่ในตำบล ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีในข้อหาวิ่งราวสลากกินแบ่งรัฐบาล จนเป็นเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล

    ระยะเวลาผ่านมา 5 ปีแล้ว เงิน 6.1 ล้านบาทเศษยังนอนนิ่งอยู่ในธนาคาร ไม่มีใครได้ใช้

    และแม้ว่าที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องในคดีที่ น.ส.รสรินทร์ แจ้งความดำเนินคดีกับนายศิษย์ แต่ทางโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์อีก และนัดตัดสินคดีในวันที่ 8 กันยายน 2552 นี้ และครั้งนี้น่าจะเป็นวันชี้ขาดคดีว่า เงินที่มีอยู่นั้นจะมีใครได้ใช้หรือไม่ หรือจะต้องสู้กันถึงศาลฎีกา เนื่องจากฝ่ายโจทก์เองมองว่าตัวเองน่าจะเป็นเจ้าของเงินอย่างแท้จริง

    ที่ผ่านมาหลายฝ่ายยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมเจ้าของร้านจึงไม่โวยวายและแจ้งตำรวจให้จับตั้งแต่วันแรกที่ล็อตเตอรี่หายไป แต่ทำไมเพิ่งมาโวยวายในวันที่รู้ว่าล็อตเตอรี่ถูกรางวัลที่ 1


    ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
  14. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    การบูชาพระพรหมธาดา (บทนี้ใช้เฉพาะขอลาภอย่างเดียวเท่านั้นตำรับขรัวตาแสง
    ท้าวมหาพรมธาดา บางตำรากล่าวว่าพระพรหมสร้างตนขึ้นมาเอง มี 4 หน้า 4หรือ8 กร มีพระมเหสี ชื่อพระนางสรัสวดี
    สถิตอยู่บนวิมานทิพย์ในพรหมโลก มีพาหนะประจำคือพญาหงส์ พระพรหมเป็นพระผู้มีจิตใจดีมาก มีความเมตตากรุณาต่อ
    มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีเทพองค์ใดเสมอเหมือน และยังใจเย็นที่สุด ใครจะทูลขอสิ่งใด ท่านจะประทานพรให้สมเจตนาทุกคน ในเมืองไทยมีการบูชาพระพรหมกันมากที่สุดเมื่อเทียบกับเทพผู้สร้างโลกทั้ง 3 องค์ คือ พระอิศวร พระพรหมและพระนารายณ์ เพราะท่านเมตตามวลมนุษย์โลกทุกหมู่เหล่า บันดาลให้อยู่เย็นเป็นสุข ร่ำรวย สมความปรารถนา
    ท้าวมหาพรมธาดา บางตำรากล่าวว่าพระพรหมสร้างตนขึ้นมาเอง มี 4 หน้า 4หรือ8 กร มีพระมเหสี ชื่อพระนางสรัสวดี
    สถิตอยู่บนวิมานทิพย์ในพรหมโลก มีพาหนะประจำคือพญาหงส์ พระพรหมเป็นพระผู้มีจิตใจดีมาก มีความเมตตากรุณาต่อ
    มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีเทพองค์ใดเสมอเหมือน และยังใจเย็นที่สุด ใครจะทูลขอสิ่งใด ท่านจะประทานพรให้สมเจตนาทุกคน ในเมืองไทยมีการบูชาพระพรหมกันมากที่สุดเมื่อเทียบกับเทพผู้สร้างโลกทั้ง 3 องค์ คือ พระอิศวร พระพรหมและพระนารายณ์ เพราะท่านเมตตามวลมนุษย์โลกทุกหมู่เหล่า บันดาลให้อยู่เย็นเป็นสุข ร่ำรวย สมความปรารถนา

    คาถาบูชาพระพรหม
    ตั้งนะโม 3 จบ
    ขอเดชะพระพุทธะคุณนัง พระธรรมะคุณนัง พระสังฆะคุณนัง มาตาปิตาคุณนัง คุรุอาจาริยาคุณนัง จัตุระพักตร์
    พรหมาวิหารัง เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ มะอะอุ
    จัตุระพักตรา จะมหาพรหมา มหิทธิเดชา สัพพะสิเน่หา ประสิทธิเม สัพพะลาภาภะวันตุเม สัพพะอันตรายาวินาสสะ
    เมนตุ สัพพะศัตรูวินาศสันติ ปิโยเทวะมนุษานัง ปิโยพรหมานะมุตตะโม ปิโยนาคุสุปัณณานัง ปิณิณทริยังนะมามิหัง นะมัต
    โตเทวะพรหมเมหิ นะละเทเวหิสัพพะทา นะทันโตสีหะนาทังโย นันทะวันตัง นะมามิหัง

    ซึ่งการบูชาพระพรหมด้วยคาถานี้นั้นจะให้ผลเฉพาะคือ เป็นการขอในเรื่องโชคลาภ และการเงินโดยเฉพาะ โดยให้จัดเครื่องบวงสรวงดังนี้ มะพร้าวอ่อน ๒ลูก กล้วยน้ำว้า ๒หวี ช้างไม้ ๑คู่ ว่าว ๑ตัว (เคล็ดลาภลอยมาจากฟ้า) พวงมาลัย ๑พวง และธูป ๙ดอก ไหว้ หน้าแรกอย่างเดียว ขอให้ประทาน อริยทรัพย์และโลกทรัพย์ และสิ่งที่ปรารถนาในด้านการเงิน และจะไหว้ได้เฉพาะ วันพฤหัสบดีที่ขึ้น ๑๕ ค่ำเท่านั้นเพราะพระพรหมเสด็จลงมาฟังธรรมจากพระอริยเจ้า พระคาถานี้เป็นสูตรของ ขรัวตาแสง วัดมณีชลขัณฑ์ ที่ได้ร่ำเรียนต่อกันมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3232.jpg
      3232.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.7 KB
      เปิดดู:
      68
  15. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    ความเข้าใจเรื่อง "การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล" ทำไมต้องกรวดน้ำ?...ทำเพื่ออะไร?...
    เชื่อแน่ว่า..หลายคนทิ้งความค้างคาใจ ว่าทำไมทำบุญหรือใส่บาตรแล้วต้องกรวดน้ำ หรือบางคนรู้แต่รู้จริงมากน้อยเพียงใด วันนี้มาศึกษากันดูว่า ทำไมต้องกรวดน้ำ?...ทำเพื่ออะไร?...อยากรู้จัง..>>> ตามไปดู.........

    ก่อนอื่น มาทราบ ความหมาย .-
    คำว่า "กรวดน้ำ" นี้ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้คำจำกัดความไว้ว่า
    "แผ่ส่วนบุญด้วยวิธีหลั่งน้ำ" การกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญนั้น สรุปแล้วมีอยู่ ๔ ประการ คือ
    ๑.กรวดน้ำตัดขาดจากกัน
    ๒.กรวดน้ำยกกรรมสิทธิ์ให้
    ๓.กรวดน้ำตั้งความปรารถนา
    ๔.กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศล

    ๑. การหลั่งน้ำเพื่อตัดขาดจากกัน เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช วีรกษัตริย์ไทย สมัยกรุงศรีอยุธยา
    เป็นราชธานี ทรงตัดขาดไมตรีกับพม่า เพื่อประกาศอิสรภาพแก่เมืองแครง เมื่อ พ.ศ. ๒๑๒๗ โดยวิธีหลั่งน้ำลง เหนือแผ่นดิน

    ๒.การหลั่งน้ำยกกรรมสิทธิ์ให้ครอบครอง เช่น เมื่อคราวที่สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้พระอนุตตร
    สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ได้เสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยราชบริพารให้เลื่อมใสและได้ถวายวัดเวฬุวันเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ประทับของพระบรมศาสดาเพราะทรงเห็นว่าป่าไม้ไผ่ ที่เรียกว่า "พระราชอุทยานเวฬุวัน" เป็นที่ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากชุมชนนัก สมควรเป็นที่อยู่ของสมณะได้

    ๓.การหลั่งน้ำตั้งความปรารถนา เพื่อให้สำเร็จผลที่ประสงค์ พึงเห็นตัวอย่างในมหาเวสสันดรชาดก
    ๔.การหลั่งน้ำแผ่กุศล พึงเห้นอุทาหรณ์ เช่น พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้บรรดาเปรตซึ่งเป็นพระญาติในชาติก่อนปรากฏ ในมังคลัตถทีปนีคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาว่า "เมื่อพระราชาทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก ทรงอุทิศส่วนกุศลว่า อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ ขอทานนี้(บุญนี้) จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า" วิธีนี้เป็นการแผ่ส่วนกุศลให้แก่ญาติทั้ง มิตรและสรรพสัตว์ได้ ชื่อว่าเป็นปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการแผ่ส่วนบุญ

    ปัญหาชวนคิด .-


    ๑.ทำไมจึงต้องกรวดน้ำหลังเวลาทำบุญ แล้วจะกรวดก่อนไม่ได้หรือ ?
    ตอบ.-ปัจจุบันนิยมกรวดน้ำหลังจากทำบุญถวายทานเสร็จแล้ว เพื่อประสงค์จะทำเจตนาของตนให้บริสุทธิ์ทั้ง ๓ กาล คือ ๑.ในกาลก่อนให้ ซึ่งเรียกว่า ปุพพเจตนา เจตนาก่อนให้ ๒.ในกาลที่กำลังให้ เรียกว่า มุญจนเจตนา เจตนาขณะให้ ๓.อปราปรเจตนา เจตนาต่อ ๆ ไปหลังจากให้ทานแล้ว

    ๒.จะหลั่งน้ำกรวด เวลาไหน ? หยุดเวลาไหน ?
    ตอบ.-การหลั่งน้ำกรวด ควรหลั่งในเวลาที่พระเถระผู้เป็นประธานเริ่มอนุโมทนาว่า "ยถา วาริวหา..." ก็เริ่มเทน้ำลงในภาชนะคือขันน้ำ หรือแก้วน้ำ ที่เตรียมไว้ พอพระรูปที่ ๒ รับว่า "สัพพีติโย" ก็หยุดหลั่งน้ำกรวด แล้วเทน้ำกรวดที่ยังเหลืออยู่นั้นลงในภาชนะที่รองรับน้ำให้หมด แล้วประณมมือรับพร

    ๓.ทำไมจึงต้องเทน้ำกรวดให้หมดในเวลาพระว่า ยถา จบลงและเริ่มรับสัพพี ?
    ตอบ.-เพราะถือว่าเมื่อน้ำไหลไปมหาสมุทรสาครเต็มแล้ว ก็ไม่ไหลอีกต่อไป ความปรารถนาที่ตั้งไว้ก็บริบูรณ์แล้ว ลำดับต่อไปก็ประณมมือรับพรจากพระ

    ๔.ทำไมจึงเทน้ำกรวดให้ไหลติดต่อกัน ไม่ให้ขาดสาย ?
    ตอบ.-ความประสงค์เพื่อให้กุศลที่อุทิศไปให้ผู้ล่วงลับไปแล้วได้รับไม่ขาดระยะ ให้ติดต่อกันไป และความปรารถนาก็จะได้ไม่ขาดระยะ เป็นไปโดยราบรื่น เหมือนกระแสน้ำที่ไหลไปสู่มหาสมุทรสาคร ย่อมไหลเป็นสายไม่ขาดระยะ หากเทน้ำให้หยดติ๋ง ๆ ขาดระยะ เปรียบเหมือนบุญกุศลที่จะได้ก็จะขาดระยะ ความปรารถนาก็จะขาดระยะ จึงให้เทน้ำหรือหลั่งน้ำเป็นสายเหมือนสายน้ำที่ไหลไปสู่มหาสมุทร หรือสายน้ำที่ไหลไปสู่แม่น้ำน้อยใหญ่ ฉันนั้น..........

    ๕.ทำไมจึงต้องกรวดน้ำ จะไม่กรวดได้หรือไม่ ?
    ตอบ.-การกรวดน้ำ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามเอาไว้ อีกทั้งเป็นการแสดงถึงความยินดีในการบำเพ็ญกุศลที่ได้ทำไว้แล้ว และเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น เพื่อแสดงเจตนาของผู้กรวดน้ำ

    ๖.ทำไมจึงเทน้ำกรวดที่กลางแจ้ง ที่โคนต้นไม้ หรือในที่ไม่มีวัตถุสิ่งใดปกคลุม ?
    ตอบ.-เพราะถือกันว่า การเทน้ำที่กรวดแล้วลงที่กลางแจ้ง เป็นที่สะอาด หรือโคนต้นไม้นั้น เพื่อต้องการปลูกฝังนิสัยให้รักต้นไม้

    ๗.ทำไมต้องใช้น้ำกรวด จะกรวดแห้งไม่ได้หรือ ?
    ตอบ.-การใช้น้ำกรวด เพราะถือตามประเพณีนิยมที่ได้ประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ กันมาแต่โบราณกาล และให้สมกับคำอนุโมทนาของพระที่ว่า "ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนติ สาคะรัง เหมือนห้วงน้ำที่ยังมหาสมุทรสาครให้เต็มเปี่ยมฉะนั้น"จะกรวดน้ำโดยไม่ใช้น้ำหรือที่เรียกกันว่ากรวดแห้งก็ได้ เรียกว่าปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการแผ่ส่วนบุญ ฯ

    ๘.ทำบุญแล้วไม่กรวดน้ำจะได้อานิสงส์หรือไม่ ?
    ตอบ.-ได้ เพราะผู้ทำบุญก็ต้องได้บุญ ทำความดีก็ต้องได้ดี บุญต้องเป็นของผู้ทำบุญตลอดไป ไม่ไปไหนเสีย

    ๙.เวลากรวดน้ำใช้มือขวาหรือมือซ้ายกรวดน้ำ ?
    ตอบ.-ควรใช้มือขวา เพราะมือขวาเป็นมือที่แสดงถึงความเคารพ เป็นการเคารพในทานที่ตนให้
    และเคารพในปฏิคคาหกคือผู้รับทานจากเราด้วย การเคารพกันเขาใช้มือขวาแสดงความเคารพกันทั่วโลก เป็นสากลนิยม

    ๑๐.เวลาหลั่งน้ำกรวด ต้องใช้มือซ้ายรองรับน้ำหรือไม่ ?
    ตอบ.-ไม่จำเป็นต้องใช้มือซ้ายรองรับน้ำกรวด เพียงแต่ใช้มือซ้ายจับภาชนะเปล่าไว้ จะจับที่ขอบปากหรือที่ตัวภาชนะก็ได้ ไม่ต้องจับเลยก็ได้ ใช้แต่มือขวาจับที่กรวดน้ำ เช่น แก้วน้ำ คณโฑน้ำ หรือถ้วยน้ำอย่างเดียวก็ได้

    ๑๑.การกรวดน้ำจะกรวดด้วยภาษาไทยได้หรือไม่ ?
    ตอบ.-การกรวดน้ำด้วยภาษาไทยเห็นว่าใช้ได้ ไม่มีอะไรขัดข้อง หรือข้อห้ามแต่ประการใดการกรวดน้ำด้วยภาษาอะไรนั้น ไม่สำคัญ แต่จุดสำคัญอยู่ที่การตั้งใจ ตั้งความปรารถนาดี คนเราจะได้ดีก็เพราะการตั้งจิตไว้ให้ดีเท่านั้น



    ความเข้าใจเรื่อง "การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล"

    โดย ท่าน ว.วชิรเมธี
     
  16. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    ชมภาพถ่ายจานบิน UFO ถ่ายได้ที่ดอยหนอกพะเยาที่ความสูงประมาณ 1450 เมตรครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 291471.jpg
      291471.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.9 KB
      เปิดดู:
      102
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2010
  17. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    กรรม12 คืออะไร แล้วกรรมให้ผลอย่างไร
    หมวดที่ ๑. กรรมที่ให้ผลตามกาล มี ๔ อย่าง

    ๑.๑ ทิฏฐฏธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาตินี้
    ๑.๒ อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า
    ๑.๓ อปราปรเวทนียกรรม หรือ อปรปริยายเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป
    ๑.๓ อโหสิกรรม กรรมที่ให้ผลเสร็จแล้ว (เลิกให้ผล)

    หมวดที่ ๒. กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ มี ๔ อย่าง
    ๒.๑ ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด
    ๒.๒ อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน
    ๒.๓ อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น
    ๒.๓ อุปฆาตกรรม กรรมตัดรอน

    หมวดที่ ๓. กรรมที่ให้ผลตามแรงหนักเบา มี ๔ อย่าง

    ๓.๑ ครุกรรม กรรมหนัก
    ๓.๒ พหุกรรม หรือ อาจิณกรรม กรรมที่ทำจนเคยชิน
    ๓.๓ อาสันกรรม หรือ ยาสันนกรรม กรรมเมื่อจวนเจียนจะตาย ระลึกเมื่อก่อนตาย
    ๓.๔ กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม กรรมสักแต่ว่าทำ

    (นิทานสูตร , อัง.ติก. และวิสุทธิมรรค)

    คัดลอกบางส่วนจาก: เสียงธรรมจากศาลาพระราชศรัทธา
    รวมงานเผยแพร่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๓ เล่มที่ ๑
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5009.jpg
      5009.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.5 KB
      เปิดดู:
      90
    • 5014.jpg
      5014.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.2 KB
      เปิดดู:
      109
    • 5013.jpg
      5013.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.1 KB
      เปิดดู:
      58
    • 5008.jpg
      5008.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.4 KB
      เปิดดู:
      66
    • 5012.jpg
      5012.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.4 KB
      เปิดดู:
      84
    • 1154176765.jpg
      1154176765.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.3 KB
      เปิดดู:
      106
    • 1154176855.jpg
      1154176855.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.7 KB
      เปิดดู:
      100
    • 1154176899.jpg
      1154176899.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.5 KB
      เปิดดู:
      131
    • 1154176963.jpg
      1154176963.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.1 KB
      เปิดดู:
      100
    • 1154177072.jpg
      1154177072.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.6 KB
      เปิดดู:
      84
    • 553000010840401.jpg
      553000010840401.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.2 KB
      เปิดดู:
      67
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2010
  18. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    กรรมให้ผลตามกาล ๔ ประการ

    ๑. ทิฏฐกรรมเวทนียกรรม
    กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ ได้แก่กรรมทุกประเภทที่ผู้ทำทำแล้ว ย่อมมีหวังว่าจะต้องได้รับผลในชาตินี้ คือไม่ต้องรอให้ตายไปเกิดอีกในชาติต่อไป กรรมประเภทนี้มีทั้งเป็น กรรมรุนแรงอย่างตำราว่าไว้ และกรรมที่มีกำลังไม่รุนแรง...อนึ่ง แม้กรรมไม่หนักหนาอะไร ก็ให้ผลในชาตินี้ได้เหมือนกัน เพราะตัวประกอบที่จะก่อให้เกิดผล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรรมชนิดนั้น ๆ อย่างเดียว แต่ตัวบุคคลนั้นเองมีความสำคัญเป็นตัวบันดาลให้กรรมมีผลในชาตินี้ หรือชาติหน้า...โปรดพิจารณาพระพุทธพจน์ ต่อไปนี้

    "ภิกษุทั้งหลาย บางคนทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นนำเขาไปสู่นรก บางคนทำบาปเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นเหมือนกัน แต่บาปกรรมนั้น ให้ผลเพียงในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น ไม่ปรากฏผลอีกต่อไป"

    "บุคคลเช่นไร ทำบาปเพียงเล็กน้อย แต่บาปนั้นให้ผลอันแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบันแล้วไม่ให้ผลอีกต่อไป ? คือ บุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่ อยู่ด้วยคุณมีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้

    บุคคลเช่นไร ทำบาปเพียงเล็กน้อย แล้วไปนรก ? คือ บุคคลผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา มีคุณธรรมน้อย ใจต่ำ บุคคลเช่นนี้แหละ ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก"

    (โลณกสูตร อัง. ติก.)

    ๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติหน้า ท่านแสดงว่าได้แก่ กรรมหนักทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว เพราะกรรมหนักที่บุคคลกระทำแล้วย่อมไม่มีกรรมอื่นขวางทางแซงลำดับในการให้ผลได้ แก้ไขโดยประการใดๆ ให้เป็นตรงกันข้ามไม่ได้ เช่น ผู้ได้ฌานในขณะตายฌานไม่เสื่อม พยากรณ์ได้แน่นอนว่า ชาติหน้าเขาต้องได้ไปเกิดในพรหมโลก ไม่มีกรรมชั่วอื่นมาแซงให้ผลก่อนได้แน่ ตรงกันข้าม ผู้ที่ทำอนันตริยกรรมไปแล้ว แม้จะทำความดีเท่าไร ๆ เพียงใดก็ตาม ก็หมดหนทางที่จะได้ไปเกิดในสวรรค์ในชาติหน้า ถัดจากชาตินี้ ไม่ผิดเพี้ยน...

    ๓. อปราปรเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป ได้แก่กรรมที่เบาหน่อย จะไม่สามารถให้ผลเร็ว ต้องรอไปในชาติที่ ๒ (ต่อจากชาติหน้า) และอาจเป็นกรรมหนักก็ได้ สำหรับผู้ทำกรรมหนัก แน่นอนต้องได้รับผลกรรม หรือใช้เวรใช้กรรมหลายชาติ (ไม่ใช่ชาติเดียว) ส่วนกรรมที่มีแรงเบาหน่อย ก็มักถูกกรรมหนักกว่าให้ผลแซงหน้า การแซงให้ผลผิดลำดับเป็นอิทธิพลของกรรมหนัก กรรมที่ไม่มีกำลังแรงจึงต้องรอโอกาสที่จะให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป เว้นแต่กรรมนั้นเป็นอาสันนกรรม แม้จะเป็นกรรมเบา แต่ก็แซงออกหน้า ให้ผลก่อนได้...

    ๔. อโหสิกรรม กรรมให้ผลเสร็จแล้ว (ยกเลิกแล้ว) ได้แก่กรรมที่ไม่สามารถจะให้ผลตามเวลาที่กำหนดไว้ เช่นคนทำลายชีวิตผู้อื่นไว้มาก มีกำหนดว่าจะต้องไปตกนรกหมกไหม้ในชาติหน้า แต่เงื่อนไขนี้ถูกยกเลิกเสีย เพราะคนที่ทำให้กรรมนั้น ไม่เกิดในชาติหน้า และชาติใด ๆ ด้วยเหตุที่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดเป็นพระอรหันต์ ไม่มีกิเลส เหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว กรรมคือ การฆ่าเขาจึงเป็นกรรมชนิดที่ ๔ คือ อโหสิกรรม...

    ...อนึ่ง กรรมที่มีกำลังอ่อน มักจะกลายเป็นอโหสิกรรมได้ ตัวอย่างเช่น เราก่อความลำบากให้แก่ผู้อื่นแล้ว เราสำนึกผิดขอความกรุณาอย่าเอาโทษ ผู้นั้นยอมให้อภัยแก่เรา ไม่เอาความ ไม่เอาโทษเรา ... ไม่เป็นเวรต่อกันในภายหน้า แต่ไม่พึงประมาทว่า กรรมเล็กน้อยจะเป็นอโหสิกรรมง่าย ๆ

    กรรมให้ผลตามหน้าที่ ๔ ประการ

    ๕. ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด คือกรรมที่สามารถยังผู้ทำผู้เคลื่อนจากภพหนึ่งแล้วให้ถือปฏิสนธิในภพอื่น ท่านจึงเรียกว่าชนกกรรม เปรียบเหมือนบิดาผู้ให้กำเนิดบุตร ดังที่สอนว่า

    กมฺมํ เขตฺตํ กรรมเป็นเนื้อนา วิญฺญาณํ พีชํ วิญญาณ เป็นพืชพันธ์
    ตณฺหา สิเนหํ ตัณหาเป็นยางเหนียวในพืช

    อนึ่ง กุศล และอกุศลที่นำปฏิสนธิให้บังเกิดในชาติหนึ่ง สองชาติ มิได้ให้ผลในโอกาสหลังจากปฏิสนธิแล้ว คือช่วยเฉพาะแต่ในการปฏิสนธิเท่านั้น กรรมนี้ อาจเปรียบเหมือนมารดาให้กำเนิดบุตรก็ได้ แต่มารดาคนนี้ มีหน้าที่เดียวคือให้เกิด ไม่มีหน้าที่จะเลี้ยงดูถนอมรักษาทารก...

    ๖. อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน ได้แก่กรรมที่รับช่วงมาจากกรรมชนิดที่ ๕ กล่าวคือ ชนกกรรม นำให้เกิดอย่างเดียวไม่เลี้ยงดู..ต่อไป ส่วนอุปัตถัมภกกรมนี้ เลี้ยงดู... ไม่ได้ทำให้เกิด ท่านจึงเปรียบเหมือนแม่นมหรือพี่เลี้ยง

    ถ้ากรรมแต่งให้เกิด นำมาเกิดในกำเนิดดี กรรมสนับสนุนก็รับหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูเด็กที่เกิดนั้นให้ความสุขยิ่งขึ้น ๆ ให้มีความเจริญ รุ่งเรืองต่อไป เข้าทำนอง โชติ โชติปรายโน รุ่งเรืองมา รุ่งเรืองไป แต่ถ้ากรรมแต่งให้เกิดนำมาเกิดในกำเนิดทราม กรรมสนับสนุนนี้ก็ยิ่งยุยงส่งซ้ำ เด็กที่เกิดมาให้ย่ำแย่มืดมนหม่นหมองยิ่งขึ้น เข้าลักษณะว่า ตโมตมปรายโน มืดมามืดไป

    ๗. อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น ได้แก่กรรมที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม(ข้าศึก) กับชนกกรรม คือ ถ้าชนกกรรมแต่งให้เกิดในกำเนิดที่ดี อุปปีฬกกรรม จะบีบคั้นมิให้บุคคลนั้นได้ดีเต็มที่ คือ กลับดี เป็นร้าย เข้าลักษณะว่า "โชติ ตมปรายโน รุ่งเรืองมา กลับมืดไป" ถ้าชนกกรรมเป็นฝ่ายแต่งให้เกิดในกำเนิดที่ต่ำทราม อุปปีฬกกรรมฝ่ายกุศลก็เข้าไปบีบคั้นให้ดีขึ้นมาบ้าง เข้าลักษณะว่า "ตโม โชติปรายโน มืดมา กลับรุ่งเรืองไป" กรรมนี้บีบคั้นผลของอุปัตถัมภกกรรมก็ได้ เช่นเดียวกันกับที่บีบคั้นผลของชนกกรรม...

    ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน ได้แก่กรรมที่มีพลังแรงมากกว่ากรรมชนิดที่ ๗ แต่เป็นกรรมที่มีลักษณะเดียวกัน คือมีลักษณะตรงกันข้ามกับชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรมในขณะที่กรรมอื่น ๆ กำลังให้ผลอยู่ กรรมชนิดนี้จะเข้าตัดรอน และให้ผลชนิดหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว ทำให้กรรมเก่าที่ให้ผลอยู่ก่อน พ่ายแพ้แรงกรรม และหมดอำนาจไป แล้วเริ่มให้ผลแทนเสียเอง...

    กรรมที่ให้ผลตามแรงหนักเบา ๔ ประการ

    ๙. ครุกรรม กรรมหนัก ได้แก่กรรมทั้งที่เป็นฝ่ายกุศล และอกุศล ซึ่งต้องใช้ความพยายามมากในการกระทำ อาศัยเจตนารุนแรง ทำได้ยาก พระพุทธศาสนาได้กำหนดครุกรรมไว้ ทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว คือ

    ครุกรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕

    ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
    ๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา
    ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
    ๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป
    ๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน (ครุกรรมสำหรับพระสงฆ์เท่านั้น)

    กรรม ๕ อย่างนี้ เป็นบาปอันหนักที่สุด ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ตั้งอยู่ในฐานปราชิกของผู้ถือพระพุทธศาสนา ห้ามไม่ให้ทำเด็ดขาด

    ครุกรรมฝ่ายดี ได้แก่ การกระทำสมาธิจนได้ฌาณ ตั้งแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป ภาษาพระอภิธรรม เรียกว่ามหัคคตกุศล ๙ ภาษาพระสูตรเรียกว่าสมาบัติ ๘ (รูปฌาณ ๔ อรูปฌาณ ๔) ครุกรรมดังกล่าว ต้องให้ผลก่อน และให้ผลตัดหน้ากรรมอื่น ๆ เที่ยงแท้ที่จะพยากรณ์ว่า ชาติหน้าจะไปเกิดทุคติ หรือสุคติ...

    ๑๐. พหลุกรรม บางทีเรียก อาจิณณกรรม ได้แก่กรรมที่ทำมาจนเคยชิน จึงตั้งเงื่อนไขว่า เมื่อครุกรรมไม่มีกรรมนี้ จะต้องให้ผลก่อนกรรมอื่น ๆ แปลว่า พหุลกรรม เป็นกรรมที่มีพลังแรงเป็นที่สองรองจากครุกรรม ยกตัวอย่าง ฆาตกรฆ่าคนตายศพแล้วศพเล่า ...เวรกรรมก็ต้องบันดาลผลให้เกิดแก่เขาทันตาเห็น และใช่แต่วิบากครั้งเดียวจะเพียงพอก็หามิได้ เขาถูกจองจำทำโทษหนัก ๆ ในชาตินี้แล้วยังไม่พอต้องถูกจองจำทำโทษในชาติต่อๆ ไป ซ้ำอีกด้วย

    ๑๑. อาสันนกรรม หรือ ยทาสันนกรรม กรรมเมื่อจวนเจียน (ใกล้ตาย) ได้แก่กรรมที่ ทำเมื่อใกล้ตาย หรือคิดผูกพันติดต่อในขณะตาย อธิบายว่า หมายถึงคุณภาพของจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่จวนจะตาย ตัวอย่างเช่น คนที่มีจิตใจเศร้าหมอง ตอนจวนจะตาย แต่ในขณะนั้นเกิดนึกถึงกุศลกรรมที่ตนเคยกระทำไว้ เกิดจิตแจ่มใสขึ้น คุณภาพของจิตเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีทันที ถ้าจุติในขณะนั้น จุติจิตของเขาจะไปปฏิสนธิในกำเนิดที่ดีทันที แต่อย่างไรก็ตาม การกระทำกรรมในขณะจวนตายนั้น กระทำได้ยากยิ่ง เพราะผู้ตาย จะมีความรู้สึกนึกคิดอ่อนลงมาก และตกอยู่ใต้อำนาจของกรรมอื่น ๆ ที่กระทำไว้ก่อน จนไม่สามารถจะเปลี่ยนคุณภาพจิตของตัวเองได้ ฉะนั้น จึงเป็นการยากที่จะเปลี่ยนคุณภาพจิตในขณะที่ตาย

    ท่านแสดงว่า ถ้าไม่มีพหุลกรรม แม้กรรมนี้ จะมีกำลังอ่อนมากก็ให้ผลได้ เปรียบดั่งโคที่แออัดอยู่ในคอก พอคนเลี้ยงโคเปิดประตูออก โคตัวที่อยู่ตรงประตู แม้จะอ่อนแอเพียงใด ก็ออกได้ก่อนโคที่แข็งแรงซึ่งอยู่ข้างใน กรรมชนิดนี้จึงมีความสำคัญมาก

    ๑๒. กตัตตากรรม กรรมสักแต่ว่าทำ คือ เจตนาไม่สมบูรณ์อาจทำด้วยความประมาท หรือรู้เท่าไม่ถึงกราณ์ สมเด็จพระมหาวีรวงค์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) อธิบายว่า กรรมเล็กน้อย ที่ผู้ทำ ได้ทำลงไปด้วยไม่รูว่านี่บุญนั่นบาป เห็นเขาทำ หรือเขาพาทำ ก็ทำตามเขาไป เข้าลักษณะว่า "อสมฺปชานมูลกา เจตนา" คือเจตนามีความไม่รู้ว่านี่บุญนั่นบาปเป็นมูลฐาน กรรมนี้ เมื่อกรรมอื่นๆ ไม่มี จึงให้ผล แม้ผลที่กรรมนี้ให้ก็พอดีพอดร้าย อีกอย่างหนึ่ง กรรมนี้ได้แก่กรรมที่ผู้ทำมีเจตนาอย่างหนึ่งแต่ทำไปเกินเจตนา เช่น เจตนาเพียงเฆี่ยนตีเด็ก แต่เขาตายเพราะการเฆี่ยนตีนั้น ... และหมายถึง กรรมที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า

    กรรมประเภทนี้ อย่าพึงเข้าใจผิดว่าไม่สำคัญ หรือไม่บาป เพราะเป็นกรรมที่มีผล...พระพุทธองค์ทรงเตือนว่า "ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนทำกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย กรรมนั้นก็นำเขาไปนรกได้"

    กรรมอย่างเดียวอาจมีหลายชื่อ

    จากการเรียนรู้กรรม ๑๒ อาจทำให้ผู้ศึกษาสับสนมาก เพราะกรรมมีหลายชื่อหลายความหมาย กรรมบางอย่างมีหลายชื่อตามกาล หน้าที่ และความหนักเบา เหมือนบุคคลคนเดียวมีหลายชื่อตามหน้าที่ และ ลักษณะงาน เช่น เป็นบิดา เป็นนักมวย... ข้อนี้ฉันใด เรื่องกรรมก็เหมือนกัน

    ตัวอย่างการฆ่าบิดา

    ๑. จัดเป็นครุกรรม
    ๒. จัดเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เพราะได้รับผลกรรมทันตาเห็น
    ๓. เป็นอุปปัชชเวทนียกรรม เพราะชาติหน้าจะต้องไปตกนรกทุคติวินิบาต
    ๔. เป็นอปราปรเวทนียกรรม เพราะชาติต่อ ๆ ไปกรรมนั้นยังให้ผลอยู่ ต้องเดือดร้อนเพราะกรรมนั้นอีกซ้ำ ๆ ซาก ๆ
    ๕. เป็นอโหสิกรรม เพราะเมื่อได้รับผลกรรมจนเหมาะสมแก่กรรมแล้วหลายชาติ มีการทำความดี เพิ่มพูนคุณธรรมสูงสุด ได้บรรลุ เป็นพระอรหันต์

    กรรมชนิดเดียว อาจให้ผลหลายครั้ง เพราะเป็นกรรมแรงผู้ทำกรรมชั่ว ไม่พึงดีใจว่าได้รับโทษทัณฑ์ในชาตินี้แล้วก็หมดเรื่องหมดเวรกรรมแล้ว

    กรรมที่ยังไม่ให้ผล อาจทำให้ผู้ทำกรรมเข้าใจว่าหมดกรรมแล้ว แต่แท้จริง ยังไม่หมด กรรมนั้นซ่อนพลังความชั่วหรือความดีอยู่ได้ คือ กรรมสั่งสมอยู่ในจิตใจของตน เมื่อสั่งสมมาก ๆ เข้า ถึงเวลาก็ให้ผลเสียทีหนึ่ง ถ้าเป็นกรรมชั่ว วิบากชั่วที่มีอยู่ในสันดาน จะเป็นสิ่งบันดาลใจให้บุคคลนั้น พูดคิดหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันนำพาให้เกิดผลร้ายเป็นภัยอันตรายแก่ผู้ทำกรรมนั้น ๆ บางทีวิบากกรรมส่งความตายมาให้ ดังที่เรียกว่า ยมทูต ดลจิตใจให้ประสบวิบัติในรูปลักษณ์ต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัว

    คัดลอกบางส่วนจาก: เสียงธรรมจากศาลาพระราชศรัทธา
    รวมงานเผยแพร่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๓ เล่มที่ ๑
     
  19. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    ครูบาคำแสนรุ่นพิเศษปี19 บูชา 450 บาท
    ปิดครับมีผู้บูชาแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF1546.jpg
      DSCF1546.jpg
      ขนาดไฟล์:
      195.1 KB
      เปิดดู:
      84
    • DSCF1547.jpg
      DSCF1547.jpg
      ขนาดไฟล์:
      196.4 KB
      เปิดดู:
      76
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2010
  20. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    หลวงปู่ทองบัวหลังลายเซนต์ บูชา 850 บาท
    ปิดครับมีผู้บูชาแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF1548.jpg
      DSCF1548.jpg
      ขนาดไฟล์:
      184.7 KB
      เปิดดู:
      61
    • DSCF1549.jpg
      DSCF1549.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187.5 KB
      เปิดดู:
      86
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...