พระอรหันต์พลิกฝ่ามือ 31 ภพภูมิ โดย อ.วรากร ไรวา ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย namsompun, 15 กันยายน 2010.

  1. namsompun

    namsompun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,365
    31 ภพภูมิ โดย อ.วรากร ไรวา ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
    ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
    ๕๘/๘ ซ.เพชรเกษม ๕๔ เขตภาษีเจริญ กทม. ๑๐๑๖๐
    โทรศัพท์ ๐-๒๘๐๕–๐๗๙๐-๓ www.ybat.org
    31 ภพภูมิ อ.วรากร ไรวา CD142_01sizeM.wmv
    31 ภพภูมิ อ.วรากร ไรวา CD142_02sizeM.wmv<O:p</O:p

    อันโลกนี้สถิตอยู่คู่ฟ้าดิน
    แต่ร่างกายพังพิณฑ์และเสื่อมถอย
    ช้างม้าวัวควายตายยังพลอย
    ได้ใช้สอยเนื้อหนังกระทั่งงา
    คนเราเกิดมาอาศัยร่างกายสร้าง
    ชั่วและดีเป็นหนทางไปเบื้องหน้า
    อวิชชาพาหลงกันเรื่อยมา
    รู้ทางดับอวิชชาจึงเห็นจริง
    คุณแม่ดร.สิริ กรินชัย ผู้ประพันธ์
    <O:p</O:p

    อรหันต์พลิกฝ่ามือ โดย อ.วรากร ไรวา

    ท่านทั้งหลายได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนในทะเบียนประวัติ พวกเราทุกคนเนี่ยะ เขียนไว้ว่านับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่เกิด และการที่เราเป็นพุทธศาสนิกชนเนี่ยะ เรามีความเข้าใจในศาสนาพุทธอย่างไร ศาสนาพุทธคือการนิมนต์พระมาที่บ้าน หรือใส่บาตรตอนเช้า ใส่บาตรตอนเช้าเป็นศาสนาพุทธ นิมนต์พระมาที่บ้านตอนเช้ามาสวดมนต์ พอถวายสังฆทานเสร็จก็ให้พระท่านพรมน้ำมนต์ให้เรา อันนั้น ศาสนาพุทธมีเท่านั้นหรือปล่าว วันนี้แหล่ะท่านทั้งหลายจะทราบว่า ศาสนาพุทธที่แท้จริงนั้น คืออะไร นะครับ และก็จะมีความเข้าใจว่า การเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีนั้นทำอย่างไร
    ผังภพภูมิ
    สังสารวัฏ ฟังคำสอนรู้เรื่อง สุคติภูมิ อรูปพรหม นิพพาน
    ฟังคำสอนรู้เรื่อง สุคติภูมิ รูปพรหม อรหันต์
    ฟังคำสอนรู้เรื่อง สุคติภูมิ เทวดา อนาคามี
    ฟังคำสอนรู้เรื่อง อยู่ตรงกลาง มนุษย์ สกิทาคามี
    ทุคติภูมิ เดรัจฉาน โสดาบัน
    ทุคติภูมิ เปรต
    ทุคติภูมิ อสุรกาย
    ทุคติภูมิ สัตว์นรก
    <O:p</O:p
    ให้ท่านทั้งหลายดูที่ผังนี้ ผังนี้ขียนว่า ผังภพภูมิ ผังนี้เนี่ยะ ผมไปย่อมาจากพระไตรปิฏก ในพระไตรปิฏกท่านเขียนไว้ว่า

    พวกเราทุกคนเนี่ยะไม่เว้นสักคนจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ 31 ภพภูมิ
    และ 31ภพภูมิที่พวกเราจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดนั้น
    มีอะไรบ้างจะนับให้ดูนะครับ
    31 มีอะไร 1.สัตว์นรก 2.อสุรกาย 3.เปรต 4.เดรัจฉาน 5.มนุษย์ เทวดา อย่างเดียวมี 6ชั้น 5บวกกับ6 เป็นเท่าไหร่ 11 นะครั้บ
    รูปพรหม อย่างเดียวมี 16ชั้น 11 บวกกับ16 เป็น 27
    และอรูปพรหม อย่างเดียวมี 4 ชั้น 27 บวกกับ4 ก็เป็น 31
    นี่เป็น 31 ภพภูมิ ที่เขาว่ากันว่า ทั้งหมดนี่แหล่ะ ไม่เว้นแม้แต่คนเดียวจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดใน 31 ภพภูมิ
    และเราก็มาดูว่า เอ๊ะ 31 ภพภูมินี่คืออะไรกัน
    ทำไมแต่ละคน แต่ละคนต้องไปเวียนว่ายตายเกิดด้วยไม่ไปไม่ได้หรือ

    การอธิบายภพภูมิให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจ ไม่มีอะไรดีไปกว่าเปรียบเทียบว่าภพภูมินึงเนี่ยะ จะเท่ากับอะไรที่เราเห็น ๆ ในปัจจุบัน นะครับ

    ผมก็จะเปรียบเทียบว่า ภพภูมินึงเนี่ยะเท่ากับประเทศประเทศนึง ทุกคนรู้จักประเทศมั้ยครับ รู้จักนะครับ เราอยู่ประเทศอะไรครับ เราอยู่ประเทศไทย
    ในโลก ที่เราอยู่นะครับ มีประเทศอยู่ 200กว่าประเทศ เช่นประเทศไทย ประเทศจีน ประเทศอเมริกา ประเทศอังกฤษ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศออสเตรเลีย ประเทศพม่า ประเทศเขมร ประเทศมาเลเซีย รวม ๆ แล้ว โลกที่เราอยู่เนี่ยะมีประเทศประมาณ200กว่าประเทศ เราอยู่ในโลกนี้

    ถ้าเราอยากจะเดินทางไปท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ทำยังไง ไม่ยาก ก็ไปซื้อตั๋วเครื่องบินทำพาสปอร์ตวีซ่าให้เรียบร้อย และวันที่เราจะไปเที่ยวเนี่ยะนะครับ เราจะเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศเนี่ยะ เราต้องไปที่ไหนทราบมั้ย ไปสนามบินดอนเมือง นะครับ สมมุติว่าเราจะเที่ยวประเทศญี่ปุ่น พอไปถึงสนามบิน เราก็เอาหลักฐานไปให้เจ้าหน้าที่เขาดู เจ้าหน้าที่เขาก็จะจับตัวเราเนี่ยะขึ้นเครื่องบิน และเครื่องบินที่มีเราอยู่ในเครื่องนะครับก็จะบินจากสนามบินดอนเมืองประเทศไทยไปลงที่สนามบินนาริตะประเทศญี่ปุ่น นี่คือการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศเค้าใช้ตัวเราเนี่ยะนะครับ อยู่ในเครื่องบินแล้วบินไปบินมา บินไปบินมาตามประเทศต่างๆ ที่เราต้องการไป

    ในขณะที่การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศใช้ตัวเราบินไปบินมา

    ผมถามหน่อย การเดินทางท่องเทียวระหว่างภพภูมิเนี่ยะ เค้าใช้ตัวเราเนี่ยะบินไปบินมาระหว่างภพภูมิใช่หรือไม่ ไม่ใช่นะครับ เค้าใช้อะไร

    เดินทางระหว่างภพภูมิทราบมั้ยครับ เค้าใช้จิต

    งั้นจิตของเราเนี่ยะ ประเทศที่จิตของเราจะเดินทางไปท่องเที่ยวเนี่ยะทั้งหมดเนี่ยะมี 200กว่าประเทศใช่มั้ย

    ประเทศที่จิตของเราจะเดินทางไปท่องเทียวมี 31ประเทศ นี่คือประเทศที่จิตของเราจะเดินทางไปท่องเที่ยวครับ

    เค้าแบ่งประเทศที่จิตของเราจะเดินทางไปท่องเที่ยวไว้ 2ส่วน
    มีมนุษย์ อยู่ตรงกลาง ด้านบนของมนุษย์ขึ้นไป
    ตัวหนังสือสีน้ำเงิน เนี่ยะนะครับ เขาเรียกว่า สุคติภูมิ คือประเทศที่จิตของเราเดินทางไปท่องเที่ยวแล้วจิตมีความสุข
    ด้านล่างของมนุษย์ลงมา ตัวหนังสือสีแดงๆ เนี่ยะนะครับ เค้าเรียกว่า ทุคติภูมิ คือประเทศที่จิตเราเดินทางไปท่องเที่ยวแล้วมีความทุกข์
    พวกเราทั้งหลายเนี่ยะบางครั้งเราจะเดินไปท่องเที่ยวทางสุขคติภูมิคือมีความสุขบ้าง
    บางครั้งเราก็จะเดินทางท่องเที่ยวไปทางทุคติภูมิคือมีความทุกข์บ้าง
    วกกลับขึ้นไป สุคติภูมิมีความสุขอีก วกกลับลงมาทุคติภูมิมีความทุกข์อีก วกไปเวียนมาสุขบ้างทุกข์บ้าง วกไปเวียนมาสุขบ้างทุกข์บ้าง
    เรียกว่าพวกเราทั้งหลาย กำลังเดินทางท่องเทียวอยู่ในสังสารวัฏ
    อาล่ะนะครับ
    ทุกคนอ่านที่ผังเนี่ยะนะครับ ด้านนี้ที่ผมชี้ให้ดูเนี่ยะนะครับ ใน 31ภพภูมิเนี่ยะ
    ช่วยบอกผมหน่อยว่า

    ใน 31ภพภูมิที่ท่านเห็นเนี่ยะ ที่เห็นด้วยตาจริงๆว่ามีแน่ๆ เลย มีกี่ภพภูมิ
    มีเท่าไหร่ครับ
    มี 2นะครับ คือ 1.มนุษย์ และ เดรัจฉาน
    มนุษย์เนี่ยะ สบายมากที่เห็นเนี่ยะ
    เดรัจฉานพวกไหนครับ สัตว์ต่างๆ ใน31 เห็นด้วยตา2
    ถามว่าอีก29 อยากเห็นมั้ย หัวเราะแปลว่าอยากเห็นหรือไม่อยากเห็น อ่ะอยากเห็น อยากเห็นตอนไหน อยาเห็นตอนนี้หรือตอนตาย
    ตอนนี้ อีก29เราก็สามารถเห็นได้ ตอนนี้ ไม่ต้องรอให้ตายไปก่อน นะครับ แต่การเห็นนี้ ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เห็นด้วยใจ พูดง่ายๆ คือ สัมผัสได้ด้วยใจ นะครับ
    เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เรามีความรู้สึกไม่ค่อยจะดี เช่น โกรธ โมโห เบื่อ เอือมระอา เซ็ง เมื่อนั้นเราจะเห็นด้านล่าง
    แต่เมื่อไหร่เรามีความรู้สึกดีดีเกิดขึ้นในในเรา นะครับ สบายใจ ปลื้มใจ อบอุ่นใจ เมื่อนั้นเราจะเห็นด้านบน

    ที่นั่งอยู่ที่นี่ มีใครที่โกรธชอบโมโหบ่อยๆ มีมั้ยครับ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เรานะครับ ใจเรานะครับ มีความโมโหโทโส ร้อนรุ่มบางทีโกรธมาก โมโหมากจนกระทั่งทำร้ายบิดามารดาได้ เมื่อนั้นคุณกำลังสัมผัสสัตว์นรก เพราะฉะนั้นจะสังเกตุว่าเมื่อใจเราโมโหมากเนี่ยะ ใจเรามันร้อนมั้ย มันร้อนมาก นะครับ

    เวลาไหนก็ตาม ที่เรามีความรู้สึกหวาดกลัว สมมุติคนไปทำผิดมาเนี่ยะ ตำรวจตามจับเนี่ยะก็ต้อง หนีหัวซุกหัวซุน หวาดกลัวคนจะไปที่ไหนก็กลัวคนเค้าเห็นกลัวคนเค้ามาทำร้ายกลับ หวาดกลัวตลอดเวลา ในขณะที่จิตใจมีความรู้สึกหวาดกลัวอยู่นั้น เมื่อนั้นสัมผัสที่ภพ อสุรกาย

    ใครก็ตามที่เป็นคนขี้งก ของของชั้นเนี่ยะใครอย่ามาแตะนะ นะครับ แต่ทีของของคนอื่นเนี่ยะ อย่าเผลอนะ ชั้นหยิบเลย ขี้งก ขี้โกง นะครับ เอ่อ อยากได้ของคนอื่น ขี้โขมย เมื่อนั้น ขณะที่จิตใจรู้สึกเช่นนั้น เมื่อนั้นขณะนั้นคุณสัมผัสที่ภพภูมิของ เปรต

    และก็เมื่อไหร่ใจเราเนี่ยะนะครับ มีความมัวเมา กำลังเสพยาเสพติด กำลังกินเหล้า ใครมาเรียกไป ไปทำงาน ไม่ไปเนี่ยะ จะสบาย นอนสบาย ดื่มเหล้า เสพยาเสพติด อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา สบายเหลือเกิน เมื่อนั้น ใจนั้นก็สัมผัสภพ เดรัจฉาน

    เมื่อไหร่ก็ตามที่ใจเรารู้สึกดีดี ไม่อยากทำบาป สวดมนต์ ทำบุญ ให้ทาน เมื่อนั้นก็สัมผัสภพ เทวดา

    และใครก็ตาม เข้าไปที่วัดนั่งกรรมฐาน ภาวนาพุทโธ พุทโธ สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง หรือว่า พองหนอ ยุบหนอ แล้วใจสงบ เมื่อนั้นท่านสัมผัส 2ภพภูมินี้คือ รูปพรหม กับอรูปพรหม

    สรุปแล้วที่กล่าวมาเนี่ยะ ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่เนี่ยะ ผมว่าท่านก็สัมผัสมาทุกภพแล้วนะครับ แต่ว่าไม่ได้สังเกตุเท่านั้นเอง

    งั้น ต่อจากนี้ไป ให้สังเกตว่า เราเนี่ยะ สัมผัสภพภูมิต่างๆ เนี่ยะตลอดเวลา ไม่ได้ที่ตาอย่างเดียวแต่เราสัมผัสที่ใจตลอดเวลา เข้าใจเรื่องภพภูมหรือยังครับ พอเข้าใจนะครับ ลองดูนะ

    เมื่อไหร่เราสบายใจขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ขึ้นสวรรค์
    เมื่อไหร่เราไม่สบายใจ ลงนรก
    เมื่อไหร่เราหัวเราะ ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ขึ้นสวรรค์
    เมื่อไหร่เราร้องไห้ ลงนรก
    เพราะฉะนั้น พวกเราจึง ดีใจขึ้นสวรรค์ เสียใจลงนรก หัวเราะขึ้นสวรรค์ ร้องไห้ลงนรก หัวเราะร้องไห้ดีใจเสียใจ หัวเราะร้องไห้ดีใจเสียใจ หัวเราะร้องไห้ดีใจเสียใจ อยู่อย่างงี้กี่รอบแล้ว นับไว้หรือปล่าว
    และการหัวเราะร้องไหดีใจเสียใจ สลับไปมานี้ ก็คือการเดินทางไปมาในสังสารวัฏ ตั้งแต่เรายังเป็นๆ อยู่เนี่ยะ ไม่ต้องรอให้ตายไปก่อน เพราะบางคนนึกว่า การเดินทางวนเวียนอยู่ในภพภูมิต่างๆ เนี่ยะ ต้องตายไปก่อน
    ตอนนี้ขอให้เข้าใจเสียใหม่ ไม่ใช่หรอกครับ วนตั้งแต่มีชีวิตอยู่
    เพราะบางครั้งอารมณ์เราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เห็นมั้ยครับ
    สรุปแล้วก็คือว่า
    ภพภูมิทั้งหลายอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจ เข้าใจเรื่องภพภูมิดีรึยัง
    เข้าใจแล้ว เมื่อเข้าใจเรื่องภพภูมิดีแล้ว ก็ ขอทดสอบหน่อยว่าเข้าใจจริงรึปล่าว ตอบดังๆ ให้เร็วด้วยนะครับ
    ดีใจขึ้นหรือลง ขึ้น เสียใจลง หัวเราะ ขึ้น ร้องไห้ ลง ร้องไห้ขึ้นมีมั้ย เออ ร้องไห้ตอนไหนที่ขึ้นน่ะ ร้องไห้ตอนถูกล็อตเตอรี หัวเราะ
    แล้วหัวเราะล่ะ หัวเราะ ขึ้น หัวเราะลงมีมั้ย น่า ไอ้นี่ไม่ชอบหน้ามันเลยตายเสียได้ก็ดี หัวเราะก็ลง
    เอาล่ะแปลว่า โยคีทั้งหลายเข้าใจเรื่องภพภูมิดีมาก
    ว่า ภพภูมิทั้งหลายนั้น อยู่ที่ใจ ใจจึงสำคัญที่สุด

    เมื่อใจสำคัญที่สุด ผมก็จะเอาใจของพวกเราเนี่ยะ มาอธิบายให้พวกเราดูอีกทีว่า ใจของพวกเราถ้าลองวิเคราะห์ลงไปซึ้งๆแล้วเนี่ยะ ไปลึกๆ แล้วเนี่ยะ จะมีลักษณะอย่างไร นะครับ

    การอธิบายเรื่องใจ ผมขอสุภาพบุรุษ 1ท่าน ขึ้นมาช่วยผม อายุเกิน 20ปี แต่ไม่ถึง 40ปี
    เชิญครับ เชิญครับ คุณอะไรครับ คุณอภิมนต์นะครับ คุณอภิมนต์มาเข้าครั้งนี้เป็นครั้งแรก กี่ครั้งแล้วครับ ครั้งที่3 เอาล่ะ คุณอภิมนต์จะมาเป็นตัวแทนของพวกเรานะครับ คุณอภิมนต์เข้ามา 3 ครั้งแล้ว จะต้องตอบปัญหาผมได้
    คุณอภิมนต์เป็นคนมั้ยครับ เป็นคนนะครับ

    คำว่าคน ประกอบไปด้วย 2ส่วนใหญ่ๆ ที่รวมแล้วว่าเป็นคน
    2ส่วนใหญ่ๆ คืออะไรกับอะไร ทราบมั้ยครับโยคี
    รูปกับนาม หรือ กายกับใจ
    เอาล่ะ ทุกคนมีรูปกับนาม ทุกคนมีกายกับใจ นะครับ

    มีคนอยู่คนนึง มีกายอย่างเดียว ไม่มีใจ เค้าเรียกคนมั้ย เค้าเรียกอะไร คนที่มีกายอย่างเดียวไม่มีใจเค้าเรียกว่า ศพ นะครับ

    เจ้าตุ๊กตาตัวนี้ ที่อยู่บนมือผมเนี่ยะ ถ้าจะเปรียบเทียบแล้ว เป็นส่วนไหนของคน กายหรือใจ กาย มีใจมั้ยครับ ไม่มีใจ
    งั้นเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ก็เปรียบเสมือนศพศพนึง ห้อยหัวอยู่ทำอะไรไม่ได้ นี่คือศพศพนึง มีแต่กาย ไม่มีใจ

    ผมจะให้คุณอภิมนต์ เอาเจ้าตุ๊กตาตัวนี้นะครับ
    เอาสวัสดีลูกโยคี เอ้า คุณอภิมนต์สวมเข้าไป จัดให้เรียบร้อยก่อน นะครับ แล้วก็สวัสดีครับ
    อ่ะ นอกจากสวัสดีครับได้นะครับ เค้ายังบ๊ายบายได้ บ๊ายบายซิครับ หัวเราะ นอกจากบ๊ายบายได้ เค้ายังตบมือได้ ตบมือซิครับ

    เจ้าตุ๊กตาตัวนี้เมื่อกี้อยู่บนมือผม มันเหมือนศพศพนึงทำอะไรไม่ได้ แต่ตรงนี้ ตบมือ ตบมือได้แล้ว
    ศพนี่เวลาเราสั่งให้ตบมือ ตบมือได้มั้ย ไม่ได้ แต่นี้ไม่ใช่ศพแล้วนะครับ ตบมือได้ ดูซึครับ เห็นมั้ยครับ เป็นคนขึ้นมาแล้ว ไม่เป็นศพ

    เมื่อเป็นคนก็มีกายกับใจ เรียบร้อย ดูดีดีนะครับ
    เมื่อเป็นคน ก็มีกายกับใจเรียบร้อย ถ้าผมดึงเอากายเขาออกเหลือแต่อะไร เหลือแต่มือ (หัวเราะ)

    วันนี้จะอธิบายเรื่องใจ
    ปกติใจของคนเราเนี่ยะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม นามธรรม
    แต่วันนี้เพื่อให้ท่านทั้งหลายเข้าใจ ใจท่านเองให้ดีที่สุด จึงจะเอาใจท่านทั้งหลายมาอธิบายเป็นรูปธรรม
    นี่ครับใจที่เป็นรูปธรรมของพวกเรา มีรูปร่างอย่างนี้นะครับ มีกี่แฉก มี 5แฉก

    ใจของพวกเรามี 5แฉกทุกคน
    การที่ใจของพวกเรามี 5แฉกทุกคน เพราะใจของพวกเราประกอบด้วยความยึดมั่นถือมั่นประจำใจ 5อย่าง

    ความยึดมั่นถือมั่นประจำใจ 5อย่างนี้ ภาษาธรรมะเค้าเรียกว่า ขันธ์ 5

    ขันธ์ 5 มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 5อย่าง ท่องได้ตั้งแต่เด็ก แต่ไม่รู้ว่า แปลว่าอะไร

    แต่วันนี้แหล่ะท่านทั้งหลายจะรู้ว่า ขันธ์5 หรือความยึดมั่นถือมั่นประจำใจ 5อย่างที่มีในใจท่านเนี่ยะ มีอะไรบ้าง และจะจำได้ไม่ลืมเลย

    เพราะขันธ์5 หรือความยึดมั่นถือมั่นประจำใจทั้ง5อย่างนี้ เรียกอีกนึงว่า กูทั้ง 5 ประจำใจ กอ สะหระอู กู

    กูทั้ง5 ประจำใจของพวกเรามีอะไรบ้าง ผมจะไม่บอก แต่จะให้อภิมนต์เป็นคนบอก นะครับ

    กูที่1 อภิมนต์ครับ นี่ตัวใครเนี่ยะ อภิมนต์ อ้า ตัวกูเอง เห็นมั้ยครับ คำว่า ตัวกูเอง ก็คือคำแปลว่า รูปขันธ์

    กูที่2 อภิมนต์ครับ ใครเจ็บเนี่ยะ กูเจ็บ คำว่า กูเจ็บ คือคำแปลของคำว่าอะไร เวทนาขันธ์

    กูที่3 อภิมนต์ครับ สถานที่นี้เค้าเรียกว่าอะไร ที่คุณมาฝึกปฏิบัติเนี่ยะ ห้องวิปัสสนากรรมฐาน แล้วใครจำได้เนี่ยะ กูจำได้เองว่า เนี่ยะห้องวิปัสสนา เวลาเค้าเรียกเราก็มาเข้าเนี่ยะ กูจำได้เอง คือคำแปลของคำว่า สัญญาขันธ์

    กูที่4 อภิมนต์ 50คูณ2 ได้เท่าไหร่ 100ครับ ใครเป็นคนคิดได้ครับ กูคิดได้ กูคิดได้เอง คำว่า กูคิดได้เอง คือคำแปลของคำว่า สังขารขันธ์

    และกูที่5 อภิมนต์ มีคนนั่งเต็มเลยอยู่ตรงนี้ เห็นมั้ยครับ เห็นใช่มั้ยครับ ใครเป็นคนเห็น กูเห็นเอง กูเห็นเอง กูได้ยินเอง กูได้กลิ่นเองนี่นะครับ คือ คำแปลของคำว่า วิญญาณขันธ์

    สรุปแล้ว อภิมนต์ก็มี 5กูครบ 1ตัวกูเอง 2กูเจ็บเอง 3กูจำได้เอง 4กูเป็นคนคิดได้เอง 5กูเป็นคนเห็น กูเป็นคนได้กลิ่นเอง
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบ 5
    ครับ 5กูนี้ วิ่งรวมเป็น 1ใจ

    เบญจขันธ์
    หมวดทั้ง 5 แห่งรูปธรรมและนามธรรม ที่ประกอบเข้ากันเป็นชีวิต
    รูป ตัวกูเอง
    เวทนา กูเจ็บเอง
    สัญญา กูจำได้เอง
    สังขาร กูคิดได้เอง
    วิญญาร กูเห็น,กูได้ยินเอง<O:p</O:p

    ใจตัวนี้ จึงเป็นใจที่มีความยึดมั่นถือมั่นว่า นี่ ตัวกูเอง

    ผมจะเอาสติกเกอร์ตัวกู หรือตัวตนนี้นะครับ แปะลงไปที่ ใจ ดวงนี้
    และใจดวงนี้ จะเป็นใจที่เป็นตัวแทน ของ ใจโยคีทั้งหลายทั้งหมดนี้ และแสดงแทนใจทั้งหลายของคนทั้งโลกได้

    ทำไมใจดวงนี้ จึงแสดงแทนใจทั้งหลายของคนทั้งโลกได้ เพราะว่าถ้าผมให้อภิมนต์เค้าลงไปข้างล่าง และผมก็เชิญสุภาพบุรุษหรือคนใดคนนึง ขึ้นมาที่นี่ พอมายืนที่นี่ แล้วผมก็ถามว่า นี่ตัวใคร คนคนนั้นก็ตอบว่า ตัวกูเอง ด้วยกันทั้งสิ้น
    นี่ครับ เราได้ใจของเราแล้ว เมื่อได้ใจแล้ว เป็นใจที่มีความยึดมั่นถือมั่นว่า มีตัวกู ผมจะให้อภิมนต์เค้านั่งพักอยู่ตรงนี้ สักครู่นึงเดี๋ยวจะเรียกเค้ามาใหม่ เชิญคุณอภิมนต์

    ได้ใจแล้วนะครับ ตอนนี้ผมก็จะเอาลูกนี้มา (ลุกเทนนิส) พอผมยกลูกนี้ขึ้นเราจะนึกถึงใคร เอ่อภราดร (หัวเราะ) แต่ว่าวันนี้ไม่ได้มาพูดเรื่องภราดร (หัวเราะ)

    วันนี้จะเอาลูกเทนนิสนี่นะครับ มาแทน อารมณ์ของพวกเรา

    ก็จะถามโยคีทั้งหลายว่า
    อารมณ์เกิดขึ้นที่ไหน อารมณ์เกิดขึ้นที่ใจ
    วันนึงเกิดขึ้นซักกี่อารมณ์ ประมาณ ๆ 2เองเหรอ อารมณ์เฉยๆ ไม่มีเหรอ อารมณ์เกิดขึ้นวันละนับครั้งไม่ถ้วน เพราะอารมณ์เกิดขึ้นทุกๆ อะไร อารมณ์เกิดขึ้นทุกๆ ขณะจิต นะครับ

    อารมณ์ที่เกิดขึ้นวันละนับครั้งไม่ถ้วนนะครับ เค้ามีทางที่อารมณ์จะแสดงออก จำกัดมาก

    6ทางที่อารมณ์จะแสดงออก คือ

    ท่างที่1 ทางอะไรครับ ทางตา เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นทางตา ทำให้เรามองเห็น คนตายมีตามั้ย มีนะครับ คนตายมองเห็นมั้ย
    ไม่เห็น คนตายไม่มีอารมณ์เกิดขึ้นทางตา แต่คนเป็นอย่างพวกเรา มีตาด้วย มองเห็นด้วย คนเป็นจึงมีอารมณ์

    ทางที่2 ที่อารมณ์จะแสดงออกก็คือ ทางหู เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นทางหู ทำให้เรา ได้ยิน

    ทางที่3 เมืออารมณ์เกิดขึ้นทางจมูก ทำให้เรา ได้กลิ่น

    ทางที่4 เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นทางลิ้น ทำให้เรา รู้รส

    ทางที่5 เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นทางกาย ทำให้เรา รู้สึกสัมผัส

    และทางที่6 เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นทางใจ ทำให้เรา คิดได้<O:p</O:p

    ผัสสะ การกระทบ การถูกต้องที่ให้เกิดความรู้สึก
    อายตนะภายใน อายตนะภายนอก
    ตา รูป
    หู เสียง
    จมูก กลิ่น
    ลิ้น รส
    กาย สัมผัส
    ใจ คิด<O:p</O:p

    นี่ครับ หนทางที่อารมณ์แสดงออก สลับไปสลับมา สลับไปสลับมาในแต่ละทาง รวดเร็วมาก เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวกลับมาเห็นใหม่ สลับไปสลับมาใน 6 ทางนี้ รวดเร็วมา ผมจะปิดแล้วนะ ไม่ให้ดู

    แล้วก็ถามว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเราวันละนับครั้งไม่ถ้วนล่ะนะ มีทางที่อารมณ์จะแสดงออกกี่ทาง 6ทาง คือ 1 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เก่งมาก แป๊บเดียวได้เลย

    เอาล่ะนะครับ ผมก็จะเอาลูกเทนนิสลูกนี้ มาแทนอารมณ์ของพวกเรา
    บัดนี้ผม มี 3อย่างพร้อมแล้ว จะแสดงละครให้ดู ละครนี้คือละครชีวิตของพวกเรา นะครับ
    3อย่างที่ว่า มีอะไรบ้าง นี่ครับอย่างแรก ผังนี้(ผัง31ภพภูมิ) จำได้มั้ยครับว่า
    ผังนี้ประกอบไปด้วยประเทศกี่ประเภท 31ประเทศ
    แล้วจำได้มั้ยว่า ทั้ง 31 ประเทศนี้ ใครเป็นคนไปเที่ยว จำได้มั้ย จิตของเรา หรือใจของเรา
    นี่ครับ ใจของเรานั่นเองเป็นคนไปเที่ยว 31 ประเทศ ใจที่มีความยึดมั่นถือมั่นว่า นี่ตัวกู
    และนี่คือ อารมณ์ (ลูกเทนนิส) ซึ่งจะแสดงเป็นไกด์ รู้จักไกด์มั้ย ไกด์แปลว่าคนนำเที่ยว จะนำใจของเราเนี่ยะ จะพาใจของเราเนี่ยะไปเที่ยวตามประเทศต่างๆ ถึง31ประเทศ มี1 2 3 เริ่มฉากแรกเลย

    ฉากแรกของละครชีวิตเรานะครับ ผมก็จะให้อภิมนต์ซึ่งเป็นตัวแทนของพวกเรา เค้าเป็นเลือกว่าคนอย่างเค้าเนี่ยะ ใน31ภพภูมิเนี่ยะ

    คนอย่างเค้า สมควรที่จะไปเกิดในภพภูมิไหน (หัวเราะ)
    อภิมนต์เลือก อย่าเว่อร์ อย่าเว่อร์(หัวเราะ)
    เอาล่ะครับ เลือกแล้วนะ ก็จะต้องมาเกิดที่นี่ใช่มั้ยครับ(เลือกภพมนุษย์)
    นี่คือตัวแทนของพวกเรา
    เมือ่มาเกิดที่ระดับมนุษย์จะเห็นว่าใจเค้านี่อยู่ระดับมนษย์
    นี่คือพวกเราที่ตอนนี้ใจของเราอยู่ระดับมนุษย์ เอาล่ะ นี่อารมณ์ของอภิมนต์เค้า เมื่ออภิมนต์เค้ามีอารมณ์ อารมณ์กระทบพื้นอย่างนี้ใช่มั้ย อารมณ์ไม่กระทบพื้นแน่
    อารมณ์ต้องไปกระทบที่ไหน อารมณ์ต้องไปกระทบที่ใจ
    เมื่อกี้บอกอารมณ์เกิดขึ้นทุกๆ อะไรนะครับ อารมณ์เกิดขึ้นทุกๆขณะจิต
    เห็นมั้ยครับ
    เมื่ออารมณ์กระทบใจทุกๆขณะจิต ใจมีอาการยังไง ใจสั่น
    การที่อารมณ์กระทบใจ กระทบยังไง กระทบเบาก็ได้นะครับ กระทบแรงก็ได้
    เมื่อไหร่กระทบเบา เมื่อไหร่กระทบแรง

    วลาไหนก็ตามที่ใจของเรานะมีความเห็นแก่ตัวมาก ตัวกูมันใหญ่เบ้อเริ่มเลย เมื่อนั้นอารมณ์กระทบแรง

    เมื่อไหร่ก็ตามที่ใจเรานะครับมีความเห็นแก่ตัวนิดเดียว ตัวกูมันเล็กนิดเดียวเมื่อนั้น อารมณ์กระทบเบาๆ

    จำง่ายมากนะ เมื่อไหร่กูใหญ่ เมื่อนั้นอารมณ์กระแทกแรง เมื่อไหร่กูเล็ก เมื่อนั้นกระทบเบาๆ

    ผมอยู่ดีดี ผมก็ตีอภิมนต์เค้า ปั้ง ใครโกรธครับ อภิมนต์โกรธ ในใจอภิมนต์คิดว่า อยู่ดีดี มาตีกูทำไม กูใหญ่หรือกูเล็ก กูใหญ่ กระแทก แรง

    แต่ในขณะที่ผมตีอภิมนต์เค้าปั้งนั้น
    ผมถามโยคีทั้งหลายด้วยว่า โยคีทั้งหลายโกรธด้วยมั้ย
    ตีไอ้นั่นก็ตีไป แต่อย่ามาตีกูก็แล้วกัน(หัวเราะ)
    กูที่โยคีจะเล็กกว่าเมื่อนั้นอารมณ์ของโยคีทั้งหลายจะกระทบเบากว่า นะครับ
    แต่ถ้าตรงนี้นะครับ มีคุณพ่อของคุณอภิมนต์เค้ามานั่งอยู่ แล้วผมก็ตีคุณอภิมนต์ ดังปั้งเนี่ยะ
    ถามว่า กูที่คุณพ่อของคุณอภิมนต์เนี่ยะ ใหญหรือเล็ก ใหญ่ อยู่ดีดีมาตีลูกกูทำไม
    เข้าใจแล้วนะครับ เมื่อไหร่กูใหญ่กูเล็กนะครับ

    เอาแหล่ะ เมื่อกี้ (วางมือที่ภพมนุษย์)
    เอาลูกเทนนิสคือตัวแทนของอารมณ์ กระทบเบา ๆ ไม่มีใครไปทำให้เค้าโกรธ อารมณ์ก็กระทบเบาๆ กระทบกำลังสบายๆ กำลังสบายๆอยู่
    มีคนเข้ามาทำร้ายเค้า ปั้ง อยู่ดีดีมาตีกูทำไม กูใหญ่หรือกูเล็ก
    อารมณ์กระแทกปั้ง เห็นมั้ยครับ จากมนุษย์ลงไปอยู่ข้างล่าง ตรงไหนแล้ว สัตว์นรกนะครับ

    การไปเที่ยวภพภูมิต้องใช้เงินซื้อตั๋วเครื่องบินมั้ยเนี่ยะ
    ไม่ต้อง แค่โกรธ อารมณ์กระแทกปั้ง แต่อภิมนต์เค้าไม่ไปเที่ยวปล่าวนะครับ เค้าไปตั้งรกรากด้วย

    ครั้งแรกที่เค้าโกรธนะครับ โกรธมากและก็โดนกระแทกปั้ง ไปที่สัตว์นรก ครั้งแรกเนี่ยะ เค้าไปซื้อที่ไว้แปลงนึง(หัวเราะ)
    พอกำลังอยู่ดีดี เค้าโกรธอีกเป็นครั้งที่สอง มีคนมายั่วให้เค้าโกรธอีกปั้ง ไปอยู่ที่สัตว์นรก ตะกี้ซื้อที่แล้วทำไม ครั้งที่สอง ลงเสาเอก (หัวเราะ)
    ปั้งครั้งที่สามเนี่ยะ เทคานแล้วนะครับ
    งั้นใครที่ขี้โกรธบ่อยๆ ลองไปเช็คดูซิว่า บ้านที่สัตว์นรก สร้างเสร็จรึยัง (หัวเราะ)
    นี่นะครับ เราไม่ได้ไปเที่ยวปล่าว เราไปตั้งรกรากสร้างหมู่บ้าน สร้างบ้านสร้างเมืองกัน

    แต่การสร้างบ้านสร้างเมืองในปัจจุบัน เราไม่ต้องไปสร้างเอง นะครับ อยากได้บ้านซักหลังนึง ไปที่ไหนครับ ตอนนี้ ไปที่หมู่บ้านจัดสรร ต้องเอาเงินไปให้เค้าหมดมั้ย ไม่ต้อง ผ่อนดาวน์เอา นะครับ

    ผมมีหมู่บ้านหลายหมู่บ้านในสังสารวัฏนี้ ให้อภิมนต์เค้าเลือกผ่อน ตัวแทนของเรานะครับ เป็นคนเลือกก่อน

    ที่เทวดามีหมู่บ้านอัมรินทร์นิเวศน์ให้เลือกผ่อน
    มนุษย์มีหมู่บ้าน เสนานิเวศน์ให้เลือกผ่อน
    เดรัจฉานมีหมู่บ้านควายทองให้เลือกผ่อน
    เปรตมีหมู่บ้านเปรตวิสัยให้เลือกผ่อน
    อสุรกายมีทองแดงทาวเวอร์ให้เลือกผ่อน
    สัตว์นรกมีอเวจีคอนโดให้เลือกผ่อน

    ดูซิว่า ณ ขณะหนึ่งของชีวิตคนเรา เราผ่อนดาวน์ที่หมู่บ้านไหนบ้าง
    ในขณะที่เราไม่ได้โกรธ โมโห หรือเกลียด หรือ งก กำลังสบายๆอยู่เนี่ยะ ตัวกูก็ไม่ได้ใหญ่ อารมณ์ก็กระทบเบาๆ
    อภิมนต์ครับใช้ใจเนี่ยะ(มือคือตัวแทนใจ) ดึงแผ่นสีเหลืองออกมาเลยครับ
    ที่มนุษย์ผ่อนได้ที่ไหนครับ เสนานิเวศน์ เห็นมั้ยครับ 1งวด1ขณะจิตผ่อน 1งวด2งวด3งวด4งวด ร้อยขณะจิตก็ผ่อนดาวน์ร้อยงวด
    ในขณะที่กำลังผ่อนเสนานิเวศน์เป็นงวดๆ ได้พันงวด โดนทำร้ายปั๊บ ปั้ง อยู่ดีดี มาตีกูทำไม
    โมโหขึ้นมาทีกูใหญ่กระแทกปั้ง สัมผัสที่ไหนนะครับ อสุรกาย
    กำลังผ่อนเสนานิเวศน์อยู่ดีดี มาผ่อนอเวจีคอนโด มาผ่อนดาวน์อเวจีคอนโด

    นี่ล่ะครับ ทุกขณะของชีวิตของพวกเรา ผ่อนดาวน์1งวด 1งวดตลอดเวลา

    ก็จะถามว่า ในขณะที่นั่งฟังผมเนี่ยะ คุณผ่อนอยู่ที่หมู่บ้านไหนกัน หมู่บ้านไหนครับ เสนา
    บางคนบอกว่า ผ่อนอยู่ อัมรินทร์ มีปัญหาอะไรรึปล่าว (หัวเราะ)
    ใครเป็นรู้ดีที่สุดว่า ณ ขณะหนึ่งเราผ่อนอยู่หมู่บ้านไหน ต้วเราเองนะครับ เอาล่ะ แปะไว้เลย

    อภิมนต์ก็ดี ผมก็ดี โยคีทั้งหลายก็ดี ตอนนี้เรากำลังอยู่หมู่บ้านอะไรกัน เสนานิเวศน์ อภิมนต์ ครับ
    เสนานิเวศน์หลังนี้อยู่มากี่ปีแล้วครับ อยู่มา 20ปี
    ท่านครับเสนานิเวศน์หลังนี้อยู่มากี่ปีแล้วครับ 4วันนะครับ ก็ตัวเล็กแค่นี้ซิครับ(หัวเราะ) เสนานิเวศน์หลังนี้อยู่มากี่ปีแล้วครับ
    ท่านที่นั่งอยู่นี่ เสนานิเวศน์หลังนั้นอยู่มากี่ปีแล้วครับ 69ปี

    69ปีมันโทรมลงมั้ยครับ(หัวเราะ) ผมก็ว่ามันโทรมลง (หัวเราะ)
    ทุกคนเนี่ยะนะครับ อยู่เสนานิเวศน์แต่ละหลังมาเท่ากับอายุของเรา

    ผมก็ถามว่า เสนานิเวศน์แต่ละหลัง มันโทรมไปทุกวันมั้ย โทรมลง
    วันนึงมันจะพังมั้ย พัง พังแน่มั้ย แน่
    วันที่มันพัน คือวันที่เราทำไม คือวันที่เราตาย

    ก็จะถามว่า วันที่เสนานิเวศน์นี้พังไป วันที่เสนานิเวศน์หลังต่างๆ เหล่านี้พังไป เราจะไปอยู่บ้านหลังไหนกันต่อ
    อ่า เก่งมาก ไม่ยาก เราก็มาเปิดเซฟที่ใจ
    เอาสัญญาผ่อนดาวน์ทั้งหมดมาดู
    อ้อ ทองแดงทาว์เวอร์ผ่อนบ่อยเหลือเกิน ก็เสร็จพอดี ก็หิ้วกระเป๋าจาก เสนานิเวศน์ ไปอยู่ที่ไหน ทองแดง มันเป็นที่เดียวที่เสร็จแล้ว

    แต่บางคนนะครับ ขณะที่เสนานิเวศน์หลังเก่าพังครืนลงไป เสนานิเวศน์หลังใหม่ ก็เสร็จพอดี
    เพราะในขณะที่เค้ามีชีวิตอยู่ เค้าผ่อนเสนานิเวศน์หลังใหม่ได้ตลอดเวลา
    ท่านผู้นั้นจึงหิ้วกระเป๋าจากเสนานิเวศน์หลังเก่า ขึ้นมาเสนานิเวศน์หลังใหม่

    แปลว่าท่านผู้นั้น เกิดเป็นอะไรต่อไป มนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ต่อไป
    เอาล่ะ คำถามนี้ตอบดีดีนะ

    ถามว่าคนเราเลือกเกิดได้มั้ย ได้
    เมื่อเลือกเกิดได้แล้ว อย่างนั้น อภิมนต์เค้าก็บอกว่า สบายผมซิครับ ผมอยากเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป ไม่ยากเลย อภิมนต์
    คนถ้าอยากเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป จองอะไรเยอะ ๆ จองเสนานิเวศน์ ร้กษาระดับจิตอยู่ที่ระดับ เสนานิเวศน์ ทั้งวันทั้งวัน
    การรักษาระดับจิตที่จองเสนานิเวศน์ตลอดเวลาทั้งวันทั้งวันเนี่ยะ
    ทำยังไง ไม่ยาก ระวังอย่าให้กูมันใหญ่
    การระวังอย่าให้กูใหญ่ เพื่อมันจะได้ไม่กระแทก
    อารมณ์จะได้ไม่กระแทก นะครับ

    การระวังอย่าให้กูใหญ่เนี่ยะ ก็ ทำได้ง่ายก็คือ อย่าเห็นแก่ตัวบ่อย
    อย่าเห็นแก่ตัวบ่อยทั้งวันทั้งวันจะทำยังไงดี ก็คือรักษาศีล5
    คนที่มีศีล กับคนที่ไม่มีศีล ใครเห็นแก่ตัวมากกว่ากัน คนที่ไม่มีศีลจะมีกูใหญ่บ่อยนะครับ กระแทกปั้ง ปั้ง ปั้ง ลงมาจองข้างล่างตลอดเวลา
    ในขณะที่คนมีศีลรักษาระดับจิตของเค้าจองระดับเสนานิเวศน์ตลอดเวลา

    เห็นมั้ยครับ อยากเกิดเป็นมนุษย์ต้องมีศีล5 เอาล่ะนั่งก่อน เรามาพูดถึงเรื่องศีลกัน

    ศีล5 ความประพฤติชอบทางกายและวาจา การควบคุมตนให้ตั้งอยู่ในความไม่เบียดเบียน
    1.เว้นฆ่าสัตว์ 2.เว้นลักทรัพย์ 3.เว้นประพฤติผิดในกาม 4.เว้นพูดเท็จ 5.เว้นของเมา<O:p</O:p

    ศีล5 มี5ข้อ ทุกคนท่องได้หมด 1ไม่ฆ่าสัตว์ 2ไม่ลักทรัพย์ 3ไม่ประพฤติผิดในกาม 4ไม่พูดโกหก และ5ไม่ดื่มสุรา

    ท่านทั้งหลายในอดีต ได้รักษาศีล5 มาดีแล้ว จึงมีสิทธิ์มานั่งตรงนี้(นั่งวิปัสนากรรมฐาน) เกิดเป็นมนุษย์ได้มานั่งตรงนี้ได้ ถ้าในอดีตท่านทั้งหลายไม่รักษาศีล5 ขอโทษทีนะครับ ไม่มีสิทธิ์มานั่งตรงนี้ และนี่คือสิทธิ์ของผู้ที่รักษาศีล ได้มีสิทธิ์มานั่งตรงนี้

    ศีล5นี้ บางคนรักษาดี แต่ในขณะที่รักษาดี ย่อมมีข้อบกพร่องบ้าง

    เช่น คุณแม่คนนึง กำลังดูแลลูก คุณแม่คนนี้รักษาศีล5 มีลูกสาวเล็กๆ นอนอยู่ มียุงลายบินมา คุณแม่ทำยังไง ตบยุง ยุงตายมั้ย ตาย คุณแม่ผิดศีลข้อไหน ข้อ1
    แต่การผิดศีลการบกพร่องในการผิดศีลของคุณแม่นี่ คุณแม่เนี่ยะไม่มีเจตนาที่จะฆ่ายุง
    แต่เจตนาที่จะรักษาลูก ไม่ให้เป็นไข้เลือดออก
    ถ้าคุณแม่คนนี้มีเจตนาจะฆ่ายุง ก็จะลุยไปทุกที่ที่มียุง แล้วก็ฉีดฉีดฉีด แล้วก็ตบตบตบ อันนั้นเรียกว่า เรียกว่าผิดศีลร้ายแรง
    อันนี้เรียกว่า บกพร่องบ้าง ในบางคร้ง นานๆ ตบที แต่ว่า ตบเพราะความจำเป็น กลัวลูกเป็นไข้เลือดออก คุณแม่คนนี้เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน

    แต่ด้วยความบกพร่อง ในศีลข้อที่1 บ้างเล็กน้อย จึงเกิดเป็นมนุษย์ที่สามวันดีสี่วันไข้ ไม่สบายบ่อย
    เพราะงั้นใครที่มีความรู้สึกว่า ตัวเองสุขภาพไม่ดีนะครับ ไม่สบายบ่อยนะครับ ต้องระวังรักษาศีลข้อที่1ไว้ให้ดี ให้บริสุทธิ์ไว้

    สุภาพบุรุษ รักษาศีลห้าอย่างดี แต่ต้องไปงานเลี้ยง พอไปที่งานก็ต้อง ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ ไชโย่ ไชโย่ ไชโย๋ แล้วก็กลืน ศีลข้อไหนเนี่ยะ ข้อ5

    แต่สุภาพบุรุษคนนั้น ไม่ได้ไปงานทุกวันหรอกนานๆไป ไม่ใช่ว่า ตกเย็นนั่งถองเหล้า ตกเย็นนั่งถองเหล้า อย่างงั้นเรียกว่า ผิดศีลอย่างมาก
    ความบกพร่องเล็กน้อยในศีลข้อที่5 สุภาพบุรุษคนนั้น เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ด้วยความบกพร่องในศีลข้อ5 จึงเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ มึนมึนหัวหน่อย ต๊องต๊องหน่อย นะครับ ปัญญาอ่อนหน่อย ๆ (หัวเราะ)
    ใครมีความรู้สึกว่าตัวเองปัญญาอ่อนหน่อยๆนะครับ (หัวเราะ) ให้เลิกกินเหล้าซะ แล้วปัญญาจะดีขึ้น เห็นมั้ยครับ ทุกอย่างเนี่ยะ คล้ายว่า มีข้อออกมาจากข้อบกพร่องของเรา ข้อบกพร่องก็จะแสดงออกมาตามแต่ว่าใครจะมีข้อบกพร่องข้อไหน

    อย่างศีลข้อที่2เนี่ยะ คนที่บกพร่องในศีลข้อที่2 จะสังเกตุได้เลยว่า เราไปกับเพื่อนสามสี่คนเนี่ยะ เอาของวางไว้ กลับมาเนี่ยะ มีของเราคนเดียวที่หาย ทำไมต้องมาเอาของชั้นด้วย อีกสามสี่คนวางไว้ไม่เอา แปลว่าท่านนั้นเนี่ยะ บกพร่องในศีลข้อที่สอง สอง สอง สอง อย่าไปหยิบเหยิบอะไรของคนอื่นเค้าบ่อย นะครับ

    ผิดศีลข้อที่3 มีความบกพร่องบ้าง ไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยบ้าง เนี่ยะนะครับก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ก็เป็นแบบมนุษย์นะฮะ นะฮะ อย่างงี้ เข้าใจมั้ยครับ

    ทุกๆอย่างนะครับ ก็จะมีความคล้ายๆว่า แสดงออกถึงความบกพร่องในศีลของแต่ละคนนั้น เราจึงสังเกตุความบกพร่องที่เรามี เราก็รักษาศีลในข้อบกพร่องที่ตรงเราให้บริสุทธิ์ ความบกพร่องนั้นก็จะหายไป

    เอาล่ะ อยากเกิดเป็นมนุษย์ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ใครรักษาศีลดีมากเนี่ยะนะครับ รักษาทั้งห้าข้อเนี่ยะ จะออกมาเค้าเรียกว่า
    ถ้าอยากสวย ต้องรักษาศีล

    ตอนนี้มนุษย์ที่เกิดมาเนี่ยะ จะสังเกตุว่า บางคนเกิดมา ก็มีฐานะ บางคนเกิดมาขยันยังไงก็ไม่มีฐานะสักที

    ไหนๆ จะเลือกเกิดเป็นมนุษย์ได้แล้วเนี่ยะ ทุกคนก็อยากจะเลือกเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็มีฐานะด้วย

    ถ้าอยากเกิดเป็นมนุษย์ด้วยแล้วมีฐานะด้วย นอกจากศีลห้าแล้ว ต้องทำอะไรอีกอย่าง ทาน ต้องให้ทาน
    การให้ทานทำให้กูใหญ่ขึ้นหรือกูเล็กลง
    การให้ทานคือการดึงความเห็นแก่ตัวออกจากใจเรา นะครับ
    ทำให้กูที่ใจเรามันเล็กลง ขยับขึ้นมาลดตัวกูลงไปนิดนึง ขยับขึ้นมาเป็นมนุษย์ที่มีอันจะกิน เห็นมั๊ย

    การให้ทาน มีเทคนิคนิดนึง นะครับ ว่าทานที่เราให้เนี่ยะ บางคนบอกว่า ต้องให้ด้วยสตางค์เท่านั้น ใช่มั้ย
    ตอบว่า ทานที่ให้เนี่ยะ ไม่จำเป็นว่าต้องให้ด้วยสตางค์อย่างเดียว นะครับ
    ให้ด้วยอย่างอื่นก็ได้

    ให้ด้วยกำลังกายก็ได้ เช่น ช่วยพ่อแม่ทำความสะอาดบ้านโดยไม่คิดมูลค่า ก็เป็นการให้ทาน นะครับ กลับไปนี่ที่เคยคิดเป็นสตางค์นะครับ ให้เลิกคิดซะ เราก็จะได้ผลของทาน

    ให้ด้วยกำลังวาจาก็ได้ เห็นเพื่อนเค้าหน้าตาหม่นหมอง เราก็ไปช่วยพูดให้เค้าได้กำลังใจดีขึ้น หายจากหน้าตาหม่นหมอง ก็เป็นการให้ทานด้วยกำลังใจ นะครับ หรือ เพื่อนเค้าทำไม่ดีกับเรา เราให้อะไรเค้าได้

    ให้อภัย เป็นการให้อภัยทาน ยกโทษให้

    และมีทานอย่างหนึ่งในภาษาธรรมมะ บอกว่า
    สัพพะทานัง ธรรมมะทานัง ชินาติ แปลว่าในการ ในบรรดาทานทั้งปวงเนี่ยะ การให้ธรรมมะเป็นทานชนะการให้ทานทั้งปวง
    ทุกคนบอกว่า โอ๋อย่างนี้ดีนะ เราต้องให้ธรรมมะเป็นทานมั่ง ฃการให้ธรรมมะเป็นทานเนี่ยะ ต้องมานั่ง อย่างวิทยากรก็มาพูด พูด ใช่มั้ย
    ตอบว่า ไม่จำเป็น
    การให้ธรรมมะเป็นทานเนี่ยะนะครับ ก็คือการตั้งใจฝึกฝน ปฏิบัติที่เราฝึกอยู่เนี่ยะ 7วัน เมื่อเราฝึกไป 7วันแล้วจิตใจเรารู้สึกว่า เออดีนะ รู้สึกว่า ทุกข์โศกมันหายไปนะ เราก็ไปชวนญาติมิตร พ่อแม่ นะครับ หรือว่าเพื่อนฝูงเราที่สนิท ใกล้ชิดเรา ม๊าม้า ซิเธอดี ก็ทำให้จิตใจดีขึ้น ก็เหมือนอย่างชั้นเนี่ยะ ตอนก่อนที่จะเข้ามาจิตใจวูบวูบ แต่กลับมาแล้วจิตใจดี อันนั้น คือการให้ธรรมมะเป็นทาน เหมือนกัน

    เห็นมั้ยครับ แล้วให้ทานเนี่ยะ ไม่จำเป็นต้องให้สตางค์อย่างเดียวนะครับ ให้ด้วยกำลังกายก็ได้ ให้ด้วยกำลังวาจาก็ได้ หรือให้ด้วยกำลังใจก็ได้

    เราก็สังเกตุอีกอย่างนึง ผมเป็นคนช่างสังเกตุ เอ๊ะ ทำไมบางคนเนี่ยะ เกิดมาฐานะดีมากเลย มีเป็นหมื่นล้าน นะครับ
    แต่บางคนเกิดมาเนี่ยะ ขยั๊นขยันยังไงก็ยังหาเช้ากินค่ำอยู่อย่างนั้น เค้าทำอะไรมานะ ถึงได้ฐานะดีมาก ตอนหลังมาทราบว่า

    อ้อ ถ้าเราทำทานที่มีอานิสงส์มาก ใช่มั้ยครับ เราก็จะมีฐานะดีมาก ถ้าเราทำทานมีอานิสงส์น้อยเนี่ยะ ฐานะเราก็จะน้อยลงไปตามลำดับ

    และทำยังไงล่ะถึงจะทำทานมีอานิสงส์มาก ทำยังไงดี

    ง่ายนิดเดียว ทำทานมีอานิสงส์มากนะครับ คือทำทานไม่ใช่ว่า มีร้อยนึง ให้หมดเลย หรือว่าไปกู้เค้ามาอีกร้อยนึง แล้วให้สองร้อย ไม่ใช่ อย่างนั้นเค้าเรียกว่าทำทาน ไม่มี ไม่ฉลาด

    ทำทานมีอานิสงส์มากก็คือ ทำทานที่ท่านยินดีที่จะทำ
    มีร้อยให้สิบ มีร้อยให้สิบห้า มีร้อยให้ยี่สิบอะไรก็แล้วแต่

    แต่ทุกครั้งที่ทำนะครับ ขอให้ให้แล้วให้เลย อย่าหวังผลตอบแทน คือเมื่อไหร่เราคิดได้อย่างนี้ ทานของเราจะมีอานิสงส์มาก

    ไม่ใช่ว่า พอไปให้ทาน กับคนยากจน สิบบาท ยี่สิบบาท แล้วก็ไปซื้อล๊อตเตอรี ไปยกมือแล้วบอกว่า ขอถูกล๊อตเตอรีรางวัลที่หนึ่งเถอะ อันนั้นเค้าเรียกว่า ทานนั้นหวังผล ได้อานิสงส์เหมือนกันแต่ได้น้อย

    ทุกๆ ครั้งเราทำทานตามปกติ เราใส่บาตรตามปกตินะครับ แต่ตักแล้วพระท่านเดินกลับกุฏิไม่ต้องเดินตามท่านไปดูว่าท่านฉันของเราหรือปล่าว ไม่ต้อง เดินเข้าบ้านเรา แผ่ส่วนกุศลไปอีก เราได้กุศลแล้วในการที่ใส่บาตร นะครับ ใจของเราสบาย เราก็ยังไม่เก็บกุศลนั้นไว้อีกนะ เราก็กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลนั้น จำไว้เลยนะครับ

    ทำทานถ้าจะให้ได้อานิสงส์มาก ให้ทำแล้ว ทำเลย อย่าหวังผลตอบแทน

    เอาล่ะ พุทธศาสนิกชนส่วนมากชอบทำบุญให้ทาน ผมเชื่อว่าโยคีทั้งหลายที่นั่งตรงเนี่ยะ ชอบทำบุญทุกคน

    สมมุติมีจัดผ้าป่าสิบวัด รถทัวร์สิบคันเต็มมั้ย เต็ม พอลงวัดที่หนึ่ง ทุกคนก็บริจาคผ้าป่า วัดที่หนึ่งได้หมื่นนึง วัดที่หนึ่งเสร็จ หัวหน้าทัวร์ก็เอ้า เชิญพุทธศาสนิกชน ทั้งหลายไปขึ้นรถไปทอดผ้าป่าวัดที่สองต่อไป ทุกคนก็ขึ้นรถ รถก็วิ่งตามกันไป ในขณะที่อยู่ในรถนั้นก็ ตึ๋งตึ่งตึ๊งตึ๊งตึ๊ง ตึ้งตึ้งตึ๊งตึ๊งตึ่ง ตึ๋งตึ่งตึ๊งตึ๊งตึ๊ง ตึ้งตึ้งตึ๊งตึ๊งตึ่ง แล้วก็กรึ๊บลงไป พอลงวัดที่สองก็ งัวเงียอ้อแอ้อ้อแอ้แล้วก็บริจาคกันเข้าไปอีก
    พุทธศาสนิกชนฉิ่งฉับทัวร์เหล่านี้ ชอบทำบุญให้ทานมากๆ เลย เพราะ ทอดผ้าป่าถึงสิบวัด
    แต่ไม่ชอบรักษาอะไร ศีล ก็เลยจะถามโยคีทั้งหลายว่า ผู้ที่ชอบทำบุญให้ทานมากๆเลย

    แต่ไม่ชอบรักษาศีลเนี่ยะ ทราบมั้ยครับว่าเขากำลังเลือกเกิดเป็นอะไร
    เคยเห็นเดรัจฉานมีฐานะมั้ยครับ (หัวเราะ) หมารวยเคยเห็นมั้ย (หัวเราะ) นั่นแหล่ะครับ ก็คือ ผู้ที่ชอบทำบุญให้ทาน แต่ยังซดเหล้า

    ทำบุญให้ทานเขาก็ได้มีฐานะ แต่ว่าผิดศีลเกิดตรงนี้ไม่ได้(มนุษย์) ต้องมาตรงนี้(เดรัจฉาน)

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่าเราจะไม่มีที่ลง (หัวเราะ) ทำอะไร ทำกรรมอะไรไว้ มีที่ลงให้ทั้งนั้น

    เมื่อท่านทราบอย่างนี้แล้วนะครับ จึงจะขอเน้นอีกทีว่า

    ถ้าอยากเกิดเป็นมนุษย์ต้องอะไร ต้องรักษาศีล
    ถ้าอยากเกิดเป็นมนุษย์และมีอันจะกินด้วย ต้องรักษาศีลและให้ทาน

    ถ้าอยากเกิดเป็นเทวดาล่ะ จะทำยังไง ไม่ยากอะไร ลดความเห็นแก่ตัวออกไปอีกจากใจของเรา โดยการเพิ่มคุณธรรมของเทวดา นอกจากศีล นอกจากทานแล้ว ก็เพิ่มหิริโอตัปปะ

    หิริแปลว่าความละอาย โอตัปปะแปลว่าความเกรงกลัวต่อบาป
    หิริโอตัปปะแปลโดยรวมว่า ไม่ทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
    ทำยังไง ไม่ทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

    ดูที่เท้าผมนะครับ ขณะที่เดินจงกรมอยู่ ยก หนอ ย่าง หนอ จะเหยียบอ๋อเนี่ยะ มดมันเดินผ่านมาพอดี วิทยากรนั่งอยู่ตรงนั้นพอดี เกรงใจวิทยากรเลยไม่เหยียบมด(หัวเราะ) มดมันก็เลยไม่ตาย

    แต่พอขึ้นห้องนอน มดมันก็อยู่ข้างหลัง ดูข้างหน้าไม่มีวิทยากร บี้มันซะ (หัวเราะ) อย่างงี้เป็นเทวดาไม่ได้

    เทวดาเนี่ยะเขาจะไม่ทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เข้าใจนะครับเทวดาเป็นยังไง นั้นหล่ะทำให้เหมือนจะได้สบายเป็นเทวดา

    จากเทวดาอยากจะเขยิบจิตขึ้นมาอีก 2ชั้น รูปพรหม ก็ไม่ยาก อะไร เพิ่มคุณธรรมของพรหมลงไป นอกจากศีล นอกจากทาน และนอกจากหิริโอตัปปะแล้ว เราก็เพิ่มคุณธรรมของพรหมก็คือ พรหมวิหารสี่
    <O:p</O:p
    พรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ธรรมประจำใจอันประเสริฐ ธรรมประจำใจของท่านผู้มีคุณความดียิ่งใหญ่
    <O:p</O:p
    พรหมวิหารสี่ มีอะไรบ้าง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    เมตตา แปลว่า อยากให้เค้ามีความสุข
    กรุณาแปลว่าอยากให้เค้าพ้นทุกข์
    มุทิตาแปลว่าเห็นเค้าดีก็ยินดีด้วย ไม่อิจฉา
    อุเบกขาก็แปลว่า วางเฉย รู้จักช่าง ช่างหัวมัน รึปล่าว นะครับ

    สี่อย่างนี้ เขยิบจิตท่านอยู่ใต้ชั้นรูปพรหม ยังไม่ถึงชั้นรูปพรหมจริงๆ

    แต่การที่จะเขยิบจิตของท่านสู่ชั้นรูปพรหมจริงๆนั้น ขาดสิ่งนี้ไม่ได้ คือ ต้องภาวนา

    และในการที่ท่านทั้งหลายมาที่นี่ มาขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ มาดู พองหนอ ยุบหนอ ก็คือ มาภาวนานั่นเอง

    ไม่ธรรมดานะครับ มาที่นี่ มาเพื่อเป็น รูปพรหม ทำที่นี่7วัน ทำเพื่อยกระดับจิตของท่านสู่ชั้นรูปพรหม

    การภาวนานะครับ ก็คือการพูด หรือท่อง คำใดคำนึง ประโยคใดประโยคนึง ซ้ำกันซ้ำกันซ้ำกัน

    เช่น พูดคำว่า พุทธโธ พุทธโธ พุทธโธ ซ้ำกัน ซ้ำกัน
    สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง ก็คือการภาวนา
    ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ก็คือการภาวนา
    พองหนอยุบหนอ พองหนอยุบหนอ ก็คือการภาวนา

    เมื่อภาวนาแล้วเป็นอย่างไร ภาวนาแล้วใจเราก็สงบ

    ปกติใจเราสงบมั้ย ไม่สงบ
    เค้าจึงเปรียบเทียบใจเราเหมือนสัตว์ชนิดนึง ที่ไม่สงบเลย เปรียบเทียบใจเราเหมือนอะไรครับ เหมือนลิงครับ นี่ครับ ลิง

    เจ้าลิงนี้เหมือนใจเราไม่สงบ ตัวอยู่นี่ ใจอยู่ที่นี่มั้ย ไม่หรอก อยู่บ้าน อยู่ที่เพื่อน อยู่ที่ทำงาน ใจก็ดิ้นไปตลอดเวลา ไปไป กลับกลับ ไปไป กลับกลับอยู่นี่ ใจมันดิ้นตลอดเวลา

    จะทำให้ใจของเราสงบทำยังไง เค้ามีวิธีการ วิธีการก็คือ เค้าหาหลักนะครับ เอาหลักมาปัก แล้วก็เอาเชือกมาผูกกับหลัก แล้วก็ผูกคอลิง

    ลิงเปรียบเหมือนใจเรา
    หลักเปรียบเหมือนคำภาวนา
    เมื่อลิงโดนผูกกับหลัก พอผูกใหม่ๆ เนี่ยะมันจะมีอาการยังไงครับลิง ดิ้นมากเลย นี่คือหลัก
    สังเกตุว่าเมื่อเรามาวันที่1 วันที่2 พอใหม่ๆ เนี่ยะ ใจอยู่กับที่มั้ย มี แต่มันมีหลักอยู่ก็ดึง ดิ้นได้อยู่ ดิ้นไปไม่ได้มาก เดี๋ยวก็ติดหลัก พอมันดิ้นไปนานๆเข้า นานๆเข้าเนี่ยะ มันจะดิ้นแรงอย่างนี้ตลอดเวลามั้ย เวลานานๆมันก็เหนื่อย ดิ้นไปประมาณซักชั่วโมงนึง เหนื่อยแล้ว
    เมื่อเหนื่อยแล้วเจ้าลิงมันก็อยากพัก ทายซิ เวลาเจ้าลิงมันอยากพัก มันจะพักตรงไหน เนียะครับ ลิงมาเกาะหลัก
    และเมื่อไหร่ลิงเกาะหลัก จะเห็นว่าเจ้าลิงจะทำไง นิ่งไปเองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับมัน

    แต่ข้อสำคัญต้องมีหลัก ก็คือคำภาวนา
    ถ้าไม่มีหลักลิงไม่รู้จะเกาะอะไร จึงต้องมีขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เพื่อให้มันเกาะ และเนี่ยะแหล่ะครับ เมื่อไหร่ลิงเกาะหลัก เจ้าลิงนิ่งอย่างนี้ ก็คือใจสงบได้สมาธิ ยกระดับจิตของท่านขึ้นสู่ชั้นรูปพรหม โดยสมบูรณ์ ใครนั่งพองหนอยุบหนอแล้วใจนิ่งบ้าง มีมั๊ย นั่นแหล่ะครับ เมื่อไหร่เป็นอย่างนั้น เมื่อนั้นขึ้นสู่รูปพรหมโดยสมบูรณ์

    จากรูปพรหมอยากเขยิบขึ้นไปอีกชั้น อรูปพรหม
    ก็ไม่ลำบากอะไร แค่เปลี่ยนคำภาวนาของท่านจากคำภาวนาที่เป็นเสียงเนี่ยะ ขวาย่างหนอ นะครับ หรือ พองหนอยุบหนอ เนี่ยะนะครับ เปลี่ยนเป็นคำภาวนาที่ไม่มีเสียง ใช้ความรู้สึกภาวนา

    ใช้ความรู้สึกภาวนาเนี่ยะง่ายๆ ก็คือ ดูลมหายใจ ดูลมหายใจเข้าออก หลับตาดูลมหายใจเข้าออก โดยไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น บางคนต้องพูดว่า พุทธโธ พุทธโธ เนี่ยะนะครับ ไม่ต้องพูด ดูลมหายใจเข้าออกเฉย ๆ จับความรู้สึกที่ลมหายใจเข้าออกผ่านจมูกเราออกไปโดยไม่ต้องภาวนาอะไร นั่นท่านจะยกระดับจิตท่านขึ้นสู่ชั้นอรูปพรหม

    และณ ชั้นนี้ นะครับ ในพระไตรปิฎกเขียนไว้เลยว่า ใครก็ตามที่สามารถภาวนาไปจนถึงระดับจิตของท่านยกขึ้นสู่ชั้นอรูปพรหมได้ แล้วก็เกิดตายไปในขณะที่ใจของท่านอยู่ชั้นอรูปพรหม นี้เอง ท่านผู้นั้นจะเสวยสุขที่สุด ไม่มีสุขไหนเสมอเหมือนแล้ว ณ ชันอรูปพรหม เป็นเวลานานมากถึง 84,000 มหากัปป

    หรือพูดเป็นภาษาชาวบ้านว่า จะเสวยสุขที่สุด ณะ ชั้นอรูปพรหมนี้เป็นเวลานานถึง อภิมหาอมตะนิรันดร์

    ผมจะให้อภิมนต์เค้าลองมาเสวยสุขตรงนี้ ดูว่าพ้นมั้ย ยกระดับจิตขึ้นสู่ตรงนี้เลย นี่ล่ะครับที่เรียกว่าสุขที่สุด ในโลก ไม่ใช่ในโลกนี้นะ ทุกๆโลกอันนี้ ณ จุดจุดนี้ สุขที่สุด

    ใครบ้างที่อยู่ตรงนี้ ในพุทธประวัติกล่าวไว้ว่ามี อาจารย์ของเจ้าชายสิทธัตถะสองท่าน คือท่านอารารดาบส และท่านอุธกดาบส ทำไมถึงสุขที่สุด

    จะเห็นว่า ตรงนี้การสั่นสะเทือนของใจเป็นไงครับ ถ้าเราเปรียบเทียบกับตรงนี้(มนุษย์) อันนี้สั่นกว่ามั้ย ตรงนี้(อรูปพรหม)สูงกว่า แทบจะไม่สั่นเลย การกระทบอารมณ์นี่เบามาก

    นะครับ เจ้าชายสิทธัตถะหนีออกมาจากวัง มาเรียนกับอาจารย์ทั้งสอง อาจารย์ทั้งสองสอนเจ้าชายสิตธัตถะภาวนาแป๊บเดียว เจ้าชายยกระดับจิตของเจ้าชายขึ้นสู่อรูปพรหมนี้ได้ แต่ยังไม่ตายนะครับ สามารถนั่งยกระดับจิตสู่อรูปพรหมนี้ได้ อาจารย์บอกเจ้าชายสิตธัตถะนี้ว่า เจ้าชายเก่งมาก กว่าอาจารย์จะภาวนาถึงตรงนี้เนี่ยะต้องใช้เวลานานมากเลย เจ้าชายมาแป๊บเดียว ขึ้นตรงนี้ได้ เพราะฉะนั้น เจ้าชายไม่ต้องไปไหนแล้ว อาจารย์ทั้งสองยินดียกสำนักให้

    ถามว่าเจ้าชายรับเป็นเจ้าสำนักต่อไปมั้ยครับ ไม่รับนะครับ
    ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะจึงไม่รับเป็นเจ้าสำนักต่อ

    การที่เจ้าชายสิตธัตถะไม่รับเป็นเจ้าสำนักต่อ
    เพราะท่าน สังเกตุว่า

    ขณะที่ภาวนาเนี่ยะนะครับ ก็เหมือนเอาหินมาทับหญ้า
    คำภาวนาก็เหมือนเอาหินมาทับหญ้า ภาวนาขวาย่างหนอซ้ายย่างหนอก็คือเอาหินมาทับหญ้า

    คำภาวนาก็เปรียบเหมือนหิน แต่พอหยุดภาวนา พอขณะที่ทับหญ้านะครับ หญ้ามันก็ตาย ก็เลยสบาย
    แต่พอหยุดภาวนาไม่ได้ภาวนาปั๊บ ก็เหมือนเอาหินออก เจ้าหญ้าที่อยู่ใต้หินมันก็ งอกขึ้นใหม่ มันก็ไม่สบายนะครับ
    งั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผ่านไป ผ่านไปเรื่อยๆ
    ก็สังเกตุว่า ตอนแรกที่อภิมนต์เค้าอยู่ตรงนี้(อรูปพรหม)เค้าก็สบายดี นะครับ
    แต่พอเวลาผ่านไป ผ่านไป ไปเรื่อยๆ จะอยู่สบายอย่างงี๊ตลอดมั๊ย อ่ะ ไม่สบาย
    เมื่อกี้ก็นิ่งๆ ตอนนี้ชักไม่ค่อยนิ่ง

    และในที่สุด เมื่ออภิมหาอมตะนิรันดร์กาลหมดไป ใจเราก็ทำไมครับ ก็ตกลงมา เวียนว่าย ในสังสารวัฎนี้ตามเดิม

    พวกเราทั้งหลาย เคยอยู่ที่ชั้นนี้มาแล้วจำได้มั้ยครับ จำไม่ได้ รูปพรหม เทวดาก็เคยอยู่มาแล้วจำได้มั้ยครับ จำไม่ได้

    มนุษย์เคยอยู่มาแล้วจำได้มั้ย จำได้ ถ้าใครจำไม่ได้แสดงว่าเป็นโรคอะไร เป็นโรคอัลไซเมอร์ ใช่มั้ยครับ
    เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ก็เคยอยู่มาแล้วแต่จำไม่ได้

    พวกเราทุกคนเคยอยู่แต่ละแห่งๆ ใน31ภพภูมิ นี้ กันมาแล้วทั้งหมด ขึ้นบ้างลงบ้าง วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ หลายต่อหลายรอบแล้ว ก็จะถามว่า ไอ้วนเวียนอยู่อย่างนี้ เบื่อหรือยัง ถ้ายังไม่เบื่อ หรือเบื่อไม่จริง ก็จงวนต่อไปไม่มีใครว่า <O:p</O:p

    ตัดสังสารวัฏสู่นิพพาน

    แต่มีท่านผู้หนึ่งเบื่อที่จะวนวนแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะเบื่อที่จะวนวนใน31ภพภูมิแล้ว ท่านจึงขอลาอาจารย์ ออกไปหาวิธีที่จะนำใจของท่านเนี่ยะออกจากสังสารวัฏ แล้วเจ้าชายสิทธัตถะต้องใช้เวลาอีก 6ปี ตั้งแต่อายุ 29 จนถึง34 และเมื่อวันเพ็ญเดือนหก เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีที่แล้ว เป็นมนุษย์คนแรกที่รู้วิธีการที่จะนำใจของท่านออกจากสังสารวัฏ เป็นคนแรกโดยการตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    สิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้นั้น คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา เรียกว่า อริยสัจสี่

    อริยสัจสี่ ความจริงอย่างประเสริฐ การเกิดดับแห่งทุกข์ 4 ประการ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค<O:p</O:p

    มีอะไรบ้างครับ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

    ทุกข์แปลว่า ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
    สมุทัยแปลว่า เหตุของการไม่สบายกายไม่สบายใจ
    นิโรธ การดับความไม่สบายกายไม่สบายใจ
    และ มรรคแปลว่า ทางปฏิบัติไปสู่การดับความไม่สบายกายไม่สบายใจ
    ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สี่อย่างนี้ แบ่งออกเป็นสองทางใหญ่ๆ คือ 1ทางเกิดทุกข์และ 2ทางดับทุกข์

    ผมจะแสดงทางเกิดทุกข์และทางดับทุกข์ให้โยคีทั้งหลายดูง่ายๆ
    ณ จุดสุดยอดนี้ อารมณ์ตรงนี้ ผมถามโยคีหน่อยว่าตรงนี้ทุกข์มากหรือทุกข์น้อย ทุกข์น้อยนะครับ การสั่นสะเทือนของใจเป็นไงนะครับ น้อยนะครับ

    งั้นเราจะจับการสั่นสะเทือนของใจ นี่
    ถ้าการสั่นสะเทือนของใจน้อยทุกข์ก็น้อย มาตรงนี้ล่ะครับ(ภพมนุษย์)
    การสั่นสะเทือนของใจเพิ่มขึ้นทุกข์เพิ่มขึ้น มาข้างนี้(สัตว์นรก)

    การสั่นสะเทือนของใจหนักมั้ยครับ หนักทุกข์ก็หนักทุกข์
    เราจะสังเกตุว่า เมื่อไหร่สั่นจะเทือนมากเมื่อนั้นทุกข์มาก เมื่อไหร่สั่นสะเทือนน้อยเมื่อนั้นทุกข์น้อย

    และจะไม่ให้ทุกข์เลยทำยังไง ก็ ไม่ให้ใจนี้สั่นเลยสิ
    อภิมนต์ เมื่อผมเอาอารมณ์มากระทบใจ อภิมนต์ทำใจนี้ให้แข็งที่สุดอย่าให้สั่นเลย ถ้าเมื่อผมเอาอารมณ์มากระทบแล้ว อภิมนต์ก็ทำใจของเค้าเนี่ยะ ไม่สั่นเลย โยคีทั้งหลายอนุโมทนาเลยว่า อภิมนต์ได้พ้นทุกข์ไปแล้ว(หัวเราะ)
    ดูนะครับ ผมจะปล่อยลงมาเบาที่สุด เพื่อที่จะให้ใจเค้าไม่สั่น เตรียมตัวดุดีดีนะคะ เตรียมตัวอนุโมทนา ปล่อยเบาที่สุดแล้วเมื่อมากระทบใจ ใจก็ยังสั่น แต่ว่า ไม่ต้องอนุโมทนาเพราะยังทุกข์อยู่

    ใครก็ตามที่หาวิธีเมื่ออารมณ์มากระทบใจแล้วใจเค้าไม่สั่นเลย คนนั้นพ้นทุกข์ไปเลย

    ปรากฏว่ามีคนคิดค้นวิธีนี้ได้ เจ้าชายสิตธัตถะเป็นคนแรกที่รู้วิธี เมื่ออารมณ์มากระทบใจท่านนั้น ใจท่านไม่สั่นเลย
    และนี่คือวิธีการของเจ้าชายสิทธัตถะ
    ดูดีดีนะครับ เหมือนกันใจ เหมือนกันสองอัน ด้านนี้ ผมเอาเตี้ยๆ กระทบสั่นมั้ย สั้น แปลว่ายังทุกข์อยู่ ด้านนี้ไม่เตี้ยแล้วเอาสูงๆเลย ปล่อยลงมาไม่สั่นแล้ว
    ดูดีดีนะครับ นึง ส่อง ซ่ำ ไม่สั่น ไม่ทุกข์แล้ว
    และยังงี้แปลว่าอะไร
    หยั่งงี้ก็คือที่ท่านทั้งหลาย มาที่นี่ มาฝึก เอาสิ่งที่ตรงข้ามกับตัวกูเนี่ยะ ด้านนี้ที่ตรงข้ามกับตัวกูด้านนี้ นะครับ
    สิ่งที่ตรงข้ามกับตัวกูเนี่ยะเขาเรียกว่า สติ ด้านนี้นะครับ รับอารมณ์ ที่มากระทบใจ

    เอาสติรับอารมณ์ให้เท่าทันปัจจุบัน

    พลิกกลับ นึงส่องซ่ำ ฉับ เกือบไม่ทันเห็นมั้ยครับ นี่คือ ตอนแรกๆ เราก็จะไม่ทัน แต่พอเราฝึกไปแล้ว
    เอาสตินะ รับอารมณ์นะ ให้เท่าทันปัจจุบัน นึงส่องซ่ำ เห็นมั้ยครับ ค่อยๆ ฝึกไปจนกระทั่งเป็นสติ<O:p</O:p

    สติ ความระลึกได้ ความเท่าทันปัจจุบัน การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง
    สัมปะชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้ตระหนัก ความรู้ชัดเข้าใจชัด<O:p</O:p

    เอาสติกเกอร์คำว่าสติ แปะลงตรงนี้ ใจดวงเดิมน่ะครับ แต่ว่าเอาอีกด้านนึง สตินะครับ แปะลงไป นะ อภิมนต์เตรียมตัว เอาสติ รับอารมณ์ให้เท่าทันปัจจุบัน นึงส่องซ่ำ ฉับ อย่างนี้ไม่สั่น เมื่อเราเอาสติรับอารมณ์เท่าทันปัจจุบันแล้ว นะครับ ขีดเส้นใต้คำว่า เท่าทันปัจจุบัน

    เท่าทันปัจจุบัน แปลว่าอะไร ดูดีดี
    เท่าทันปัจจุบัน แปลว่า ยก พูดคำว่า ยกกับเท้าที่ยก ทำไม เท่ากันพอดี แปลว่าเท่าทันปัจจุบัน
    เหยียบ พูดคำว่าเหยียบ กับเท้าที่เหยี่ยบลงไปเท่ากันพอดี เท่าทันปัจจุบัน
    ตรงนี้ต้องทำให้ 7วันนี้ต้องทำให้ได้ นะครับ

    แต่อย่างนี้ ห้ามทำ ยกหนอ หันไปดูเพื่อน แล้วก็ยก เหยียบหนอ พูดคำว่า เหยียบหนอเสร็จแล้ว เนี่ยะเท้ายังไม่ขยับเลย แต่เห็นเพื่อนขยับเท้า ค่อยขยับตาม อย่างนี้เรียกว่า ไม่เท่าทันปัจจุบัน

    เข้าใจมั้ยครับตรงนี้ ตรงนี้น่ะเป็นประเด็นสำคัญต้องเข้าใจตรงนี้ และทุกอย่างจะดีเอง ฉับ เท่าทันปัจจุบัน เมื่อเท่าทัน เมื่อสติ

    เมื่อกำหนดสติรับอารมณ์เท่าทันปัจจุบันแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

    ในสังสารวัฏนี้นะครับ ตอนต้นชั่วโมง ยังไม่รู้วิธีเอาสติรับ เอาตัวตนรับ เมื่ออารมณ์มากระทบใจ จองเลยครับ ดึงแผ่นสีเหลืองเลยครับ ดึงซิครับ เห็นมั้ย มันมากระทบเราอยู่เรื่อย เมื่ออารมณ์มากระทบใจ อยู่เรื่อย แป๊บเดียวเนี่ยะ ที่เราจะไปจองเกิดอีก เต็มเลย นี่คือคนปกติธรรมดาที่ไม่ทราบวิธี กำหนดสตินะครับ เ
    อาล่ะตรงนี้ เมือเรามาฝึกการกำหนดสติแล้ว ผมจะปล่อยลงมา อภิมนต์ เอาสติรับ เอาสติรับเสร็จ จองมั้ย เห็นมั้ยครับ ขณะที่รับ จองได้มั้ย ไม่ได้

    ขณะที่เรากำหนดสติฉับลงไปน่ะครับ ยกหนอเนี่ยะ ตรงนั้นเค้าเรียกว่า ตัดภพตัดชาติ

    ขณะที่เรากำหนดเท่าทันปัจจุบันณะขณะนั้นเนี่ยะ ตรงนั้นเราไม่สามารถจองที่ไหนในสังสารวัฏได้เลย นะครับ เค้าเรียกว่า ตัดภพตัดชาติ

    แต่ความสามารถของพวกเราเนี่ยะ วันนึงเนี่ยะ นะครับ ความที่เราปล่อยละเลยไม่ได้กำหนด สติมาเยอะ ตั้งนานแล้วเนี่ยะ งั้นวันหนึ่งเราจะกำหนดได้น้อยมาก นึงส่องซ่ำ ต้องนึงส่องซ่ำถึงจะกำหนดได้ แต่เวลา อารมณ์ลงมากระทบใจของเราเนี่ยะ เค้าลงมาทีละหนึ่งยังงี้ใช่มั้ย เค้าไม่ลงมาทีละหนึ่ง เค้าลงมาทีละกระป๋อง(ลูกเทนนิสลงเป็นกระป๋อง) รับไม่ได้ พรืดเงี๊ยะ ลงมายังงี้ตลอดเวลา

    เพราะงั้น เราจึงต้องฝึกค่อยๆฝึกไป
    เพื่อที่จะให้ สติรับอารมณ์ให้เท่าทันปัจจุบัน ทุกทุกขณะติดต่อติดต่อ ติดต่อติดต่อกัน

    แต่มีท่านผู้หนึ่งฝึกซะจน กำหนดสติรับอารมณ์ทุกๆ ขณะ เมื่ออารมณ์มากระทบใจ กำหนดได้ตลอดเวลาเลย ตัดภพตัดชาติอยู่ตลอดเวลาเลย จนกระทั่งเป็นอัตโนมัติไปเลย ทุกๆขณะไม่ต้อง ไม่ต้องมาฝึกอีกแล้ว ครับเพราะฝึกจนเป็นอัตโนมัติแล้ว ทุกทุกอารมณ์รับได้ตลอดเวลาไม่มีจ่ออีกแล้ว ตัดภพตัดชาติตลอดเวลาเราเรียกชื่อท่านผู้นั้น ว่าพระอะไร พระอรหันต์
    เพราะฉะนั้น พระอรหันต์จึงตัดภพตัดชาติอยู่ตลอดเวลา ไม่เกิดเลย ไม่จ่อ ไม่จ่อเลย

    งั้นถ้าเราฝึกได้ 50% เรียกว่า พระโสดาบัน 75%พระสกิทาคามี 90%พระอนาคามี และ 100%พระอรหันต์ พอเข้าใจมั้ยครับ

    ที่นี้วิธีการมีอยู่อย่างเดียว ต้องเข้าใจวิธีการกำหนดสติ รับอารมณ์ เท่าทันปัจจุบัน เอาล่ะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก

    นี่ ตอนนี้กลับบ้าน ฝึกที่นี่ 7วันแล้ว เข้าใจดีหมดทุกอย่าง

    กลับบ้านอยากฝึกต่อ พอไปถึงหน้าบ้าน ยืนหนอ3ครั้งเลย(หัวเราะ) ยืนหนอ 3หนอ อยากเข้าบ้านหนอ 3หน(หัวเราะ) พูดซะดังเลย (หัวเราะ) ที่บ้านเค้าจะเปิดประตูให้เราเข้ามั้ย(หัวเราะ) เปิดเหมือนกัน แต่เค้าเรียกแท๊กซีมา แล้วก็พาเราไปโรงพยาบาลต่อ(หัวเราะ)

    ทำยังไงดี อยากฝึกที่บ้าน
    ไม่ยากเลย นะครับ จำไว้เลยว่า ก่อนมาเคยทำยังไง กลับไปให้ทำยังงั้น ก่อนมานะครับ เคยเปิดประตู เปิดปิดซะเร็วเลย เปิดปิด มือยังไม่ทันออกมาเลย ประตูมันปิดซะแล้ว ก็เจ็บมือ (หัวเราะ)

    กลับไปเนี่ยะ ประตู เปิดปิดเหมือนเดิมแต่ใส่อะไรลงไปด้วย ใส่สติลงไป นะครับ
    เปิดหนอ แล้วก็ ขวาซ้าย ขวาซ้าย ปิดล็อค เหมือนเดิมเลยเห็นมั้ย

    ผู้ที่ขี้โมโห เป็นคุณแม่ขี้โมโห พอ ลูกลูกสาวทำผิด แก เรียกลูกมา ตบเปรี้ยง ลูกสาวสลบไป คุณแม่มีความรู้สึกไม่ค่อยจะดีตายแล้ว เราเป็นแม่ใจร้ายเข้ากรรมฐาน เข้ากรรมฐาน7วัน
    กลับไปบ้านลูกสาวแอบยิ้ม แม่ทำกรรมฐานมาแล้วไม่ตีแล้ว
    แต่ที่ไหนได้พอลูกสาวทำผิด คุณแม่บอก อยากตีหนอ (หัวเราะ) กวักหนอ(หัวเราะ) เห็นมั้ยครับ เหมือนเดิมแต่ใส่อะไรลงไปด้วย ใส่หนอลงไปด้วย ใส่สติลงไปด้วย กวักหนอ อ่า ทำผิดใช่มั้ยลูก หันก้นมา ยก แล้วก็ตีหนอ ยก แล้วก็ ตีหนอ อยู่ในบังคับของสติตลอดเวลา ลูกสาวพอโดนตีก็สะอึกสะอื้น คุณแม่ก็เหมือนกับว่า กำลังทุบกระท้อนที่ยิ่งทุบยิ่งหวานนะครับ คุณแม่ก็ สอนได้
    <O:p</O:p
    31 ภพภูมิ อ.วรากร ไรวา CD142_02sizeM.wmv

    ทำเหมือนเดิมแต่ใส่สติลงไป
    ที่ผมทำอยู่ ผมทำเป็น สติ 3ลักษณะ นะครับ

    1.ลักษณะแรกคือเราฝึก ช้าๆ กันอยู่อย่างเงี๊ยะ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ นะครับ ผมจะทำก่อนนอน เตียงอยู่ตรงนี้ ก่อนนอน15นาที ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ นี่ 15 นาที นั่ง พองหนอ ยุบหนอ 15 นาที ช้าๆ ใส่หนอได้ แต่ให้ทำก่อนนอน หรือทำตอนเช้า ตื่นขึ้นมาซักตีสี่ยังงี้ คนยังไม่ตื่นเราก็ทำของเราได้

    2.แต่พอเราจะไปทำงาน จะขึ้นเดิน ขึ้นรถไฟฟ้ายังงี้ ขวาย่างหนอ รถไฟฟ้าก็ฟู่ ไปแล้วอ่ะ (หัวเราะ) ทำไม่ได้ ทำยังไง จะต้อง เดี๋ยวไปทำงานไม่ทัน
    จะทำยังไง ไม่ต้องใส่หนอ อ่า ใส่แต่ปฏิกิริยาลงไปนะครับ ขวาซ้าย ขวาซ้าย เห็นมั้ยครับ ขึ้นรถไฟฟ้าไปเลย นี่แหล่ะ

    เมื่อไหร่เร็วนะครับ ใส่หนอไม่ทันไม่ต้องใส่ ใส่แต่ปฏิกิริยาลงไปเฉยๆ
    ดูดีดีนะ ที่มือนะ ถ้าช้า ยกหนอ ลงหนอ เห็นมั้ยครับ
    ถ้าเร็วขึ้นมา ยก ลง ยก ลง

    3.และถ้ายังงี้ล่ะ (แกว่งมือเร็วมากๆ ๆ ) พูดไม่ทัน ทำยังไงดีมันเร็วมาก คิดคำไม่ออก คำว่าอะไร จะพูดคำอะไรดี คิดคำไม่ออก ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น จับความรู้สึกเฉยๆ ให้รู้ว่า มือกำลังสั่นอยู่
    เห็นมั้ยครับ ผมไม่ได้พูดว่า ยกลงยกลงเลยนะ รู้เลยว่ามือกำลังสั่น

    ถามว่า ขณะที่ผมพูดบรรยายให้โยคีฟังนี้ กำหนดสติรึปล่าว ตอบว่า กำหนด ใช้ลักษณะไหน ใช้จังหวะไหนกำหนด 1 หรือ2 หรือ 3

    ตอบว่า 3 เวลามือทำยังงี้รู้ ปากขมุบขมิบนี่รู้ ไม่ปล่อยความรู้สึกออกไปจากร่างกายเลย รู้ตัวอยู่ที่นี่ตลอดเวลาไม่เหม่อไม่เผลอ

    วิธีการนี้เขาเรียกว่า สัมปะชัญญะ แปลว่า ความรู้ตัวทั่วพร้อมนะ สติกับสัมปชัญญะจะต้องไปด้วยกันตลอดเวลา

    มีสติสัมปะชัญญะอยู่ตลอดเวลา
    สติแปลว่าความระลึกได้ สัมปะชัญญะแปลว่า ความรู้ตัวทั่วพร้อม

    1.เอาล่ะนะ ผมจะฝึกให้โยคีทั้งหลายรู้จักวิธีการ พอผมนับ หนึ่งสองสามนะครับ ให้โยคีทั้งหมดเนี่ยะนะครับ ลุกขึ้น เร็วที่สุดที่จะเร็วได้นะครับ ลุกขึ้นยืนเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้นะครับ เตรียมตัว นึงส๋องซ่ำ ลุกครับ เอาล่ะครับ ลุกหมดทุกคนแล้วนะครับ ตอนนี้ผมนับ นึงส่องซ่ำใหม่ ให้โยคีทุกคนนี่ นั่งลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ นึงส่องซ่ำนั่งครับ นี่คือวิธีที่เรามีชีวิตอยู่กันทุกๆวัน ก็จะทำยังงี้ ลุกขึ้น ยืน นั่งลง เดิน อะไรยังงี๊

    2.แต่ตอนนี้ เรามาฝึกที่นี้แล้ว เราต้องมีสติสัมปะชัญญะ ให้ดี ให้เรียบร้อย ให้ครบ บริบูรณ์ทุกๆ ขณะ

    ผมจะนับหนึ่งสองสามใหม่ ให้โยคีทั้งหลายลุกขึ้น ขณะที่ลุกขึ้น ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น แต่ให้รักษาความรู้สึกของการลุกนี่ให้อยู่ที่ตัวตลอดเวลา ความเคลื่อนไหวจาก นั่งลง กำลังลุกจนขึ้นมาถึงยืนนี่นะครับ อย่าให้ความรู้สึกหลุดออกไปจากตัวเลยนะ แม้แต่นิดเดียวก็ห้ามนะ ต้องรักษาความรู้สึกอยู่กับตัวตลอดเวลา จะลุกเร็ว ช้าแค่ไหนไม่ว่ากัน ที่สำคัญคือ อย่าให้ความรู้สึกหลุดออกไปจากตัว เตรียมตัวครับ นึงส่องซ่ำ อย่าให้หลุดเลยนะครับ เอ่าล่ะ หนึ่งสองสามใหม่ ให้นั่ง ให้นั่งลงโดยไม่ให้ความรู้สึกหลุดออกไปจากตัวเลยในขณะที่นั่ง ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น นึงส่องซ่ำ

    ถามว่า การลุกขึ้นยืนครั้งแรก กับการลุกขึ้นยืนครั้งที่สอง เหมือนกันมั้ย เหมือนกันมั้ย ไม่เหมือนกัน

    ต่อจากนี้ไปในชีวิต ขอให้ทำอย่างคร้งที่สอง ให้เยอะ ๆ ไม่ว่าจะลุกนั่ง นอน เดิน อะไรต่างๆ เนี่ยะ เวลานั่งก็มีสติ ไม่ใช่ว่า นั่งพรวดนะครับ ค่อยๆ รู้สึกรอบๆ นะครับ ขยับขา ขยับไหล่

    ให้มันรู้ตัวตลอดเวลา ถ้ากำหนดได้เป็นคำก็กำหนดลงไป ถ้ากำหนดช้า เป็นหนอ ใส่หนอ ลงไป ถ้ากำหนดช้าไม่ได้ กำหนดเป็นคำเฉยๆ ลงไป

    ถ้ากำหนดเป็นคำไม่ได้ ใช้ความรู้สึกเลย ทำให้มันติดต่อกัน ติดต่อ ติดต่อกันตลอดเวลา เรียกว่า การปฏิบัติธรรม

    เราจะเข้าใจผิดนะครับ ว่าการที่ นุ่งขาว ห่มขาว สไปเฉียงแล้วก็ไปอยู่ที่วัด ทั้งคืนวันพระ แล้วก็ไปนินทากันทั้งคืนน่ะ เรียกว่าการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ นั้นเรียกว่าการเปลี่ยนที่นินทา

    การปฏิบัติธรรมทำที่ไหนก็ได้ ตราบใดที่สติสัมปชัญญะอยู่กับตัวตลอดเวลา

    ทำที่บ้านก็ได้ ในห้องครัวก็ปฏิบัติธรรมได้ หั่นหนอ หั่นหนอ หั่นหนอ เห็นมั้ยครับ

    เจียวไข่ปฏิบัติธรรมได้มั้ยเจียวไข่ ตอกหนอ ตอกหนอ แยกหนอ ปาหนอ เขวี้ยงหนอ ลงกระทะ ตอกหนอ เขวี้ยงหนอ หยิบหนอ หยิบส้อม ตีหนอ ตีหนอ ตีหนอ วางหนอ เห็นมั้ย เจียวไข่ปฏิบัติธรรมได้

    ทานข้าวปฏิบัติธรรมได้มั้ยทานข้าว ฝึกแล้วรึยัง ฝึกแล้ว ตัก ยก มา อ้า อม วาง เคี้ยว เคี้ยว เคี้ยว เคี้ยว กลืน ทำที่นี่ กลับบ้าน จะทำเหมือนเดิมมั้ย ไปทำงานต้องใช้เวลา 3ชั่วโมงทานข้าวปฏิบัติธรรม(หัวเราะ) ทำยังไงดี อยากใช้เวลาเหมือนคนอื่นเค้า แต่เราอยากปฏิบัติธรรมด้วย ง่ายนิดเดียว นะครับ ทำให้มันเร็วขึ้น จ้วงหนอ อั้มหนอ ตุ้ยหนอ ตุ้ยหนอ ตุ้ยหนอ กระเดือกหนอ (หัวเราะ)

    ใช้คำอะไรก็ได้ แต่ ต้องให้มันเข้าจังหวะพอดี ใช้คำของเราน่ะ เจี๊ยะ เจี๊ยะ ก็ได้ หรืออะไรก็ได้ก็แล้วแต่ เราเป็นคนชาติอะไร ก็ใช้คำนั้น นะครับ แต่ว่า เวลาเจี้ยะ ไม่ใช่ตักแล้วบอกเจี๊ยะนะครับ นั้นก็ไม่ใช่ แล้วแต่ว่าภาษาของชาติไหน แต่ให้มันตรง ให้มันตรงกับปฏิกิริยา ของเรา เข้าใจมั้ยครับ นั่นหล่ะครับ ใช่ได้ทั้งหมด ทานข้าวก็ปฏิบัติธรรมได้

    ทำความสะอาดบ้าน จับหนอ จับหนอ จับไม้ขนไก่ ปัดหนอ ปัดหนอ ปัดหนอ ก็ได้ ทำความสะอาดบ้านก็ปฏิบัติธรรมได้

    แล้วก็ห้องนี้ก็ปฏิบัติธรรมได้ เปิดหนอ ขวาซ้าย ขวาซ้าย ปิดหนอ ล้อคหนอ ขยับหนอ ขยับหนอ ถอดหนอ รูดหนอ ถอดหนอ ม้วนหนอ ม้วนหนอ ม้วนหนอ ย่อหนอ ย่อหนอ ย่อหนอ ย่อหนอ ถูกหนอ ถูกอะไร ถูกโถส้วม เย็นมั้ย ถ้าเย็นก็บอกว่าเย็นหนอนะครับ เบ่งหนอ เบ่งหนอ เบ่งหนอ เบ่งหนอ ออกหนอ พอออกแล้วมันดังตุ๊ม ก็กำหนดว่า ยินหนอ ความหนักออกเนี่ยะ ฉี่มันออก ก็กำหนดว่า ฉี่หนอเลย ในห้องน้ำก็ปฏิบัติธรรมได้

    มีที่ไหนปฏิบัติธรรมไม่ได้ ไม่มีเลย นี่ดู นี่เวลาจะนั่ง นั่งปฏิบัติธรรม

    ความรู้สึกให้อยู่กับตัว ความรุ้สึกอยู่กับตัวตลอดเวลา นี่แหล่ะครับคือการปฏิบัติธรรม

    เดี๋ยวครับ เอาไว้ก่อน จบแล้วนะครับ เวลา

    เวลาเราบูชาพระ เรามี
    การบูชาพระพุทธเจ้า อยู่สองอย่าง

    อย่างแรกเรียกว่า อามิสบูชา อามิสบูชา คือการบูชาด้วยธุป เทียน ของหอม หรือดอกไม้ วันนึงเราทำอามิสบูชาได้กี่หน เช้าหน เย็นหน วันนึงทำได้สองหน

    อย่างที่สองเรียกว่า การปฏิบัติบูชา วันนึงเราทำปฏิบัติบูชาได้กี่หน ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้เลยครับ ถ้าจะบูชาตถาคต แล้ว ให้บูชาด้วยการปฏิบัติบูชา

    และ การปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าก็คือ สติสัมปชัญญะอยู่กับตัวตลอดเวลา
    ไม่ว่าทำอะไรเนี่ยะ ความรู้สึกจะต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา ไม่หลุดไปข้างนอก ไม่เหม่อ ไม่เผลอ ระวังตัวอยู่ตลอดเวลา อยู่กับความความรู้สึกตัวตลอดเวลา นี่เรียกว่า การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง

    ทำวันนึงซักกี่นาที กี่ชั่วโมง ต้องทำตั้งแต่ตื่นนอนเช้าจนถึง หลับไปตอนกลางคืน และทำไปนานจนถึงเท่าไหร่ 3เดือน ปีนึง

    ทำไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตท่าน คือ ถ้าท่านจากโลกนี้ไปด้วยลมหายใจเข้า ก็กำหนดว่า เข้าหนอ แล้วก็เชิญตายไปเลย เป็นการตายที่สมบูรณ์แบบที่สุด

    เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที ไม่เสียชาติเกิด ทำไมถึงไม่เสียชาติเกิด

    เพราะสิ่งที่ท่านทำนทำนี้ สิ่งที่ท่านปฏิบัตินี้ สติปัฏฐานนี้ สติสัมปชัญญะ ที่ท่านปฏิบัตินี้ เอาข้ามภพข้ามชาติไปได้ เกิดมาเป็นมนุษย์ใหม่ก็ได้มาปฏิบัติยังงี๊ต่ออีก พอได้ฟังพูดปั๊บแล้วนี่ อ๋อ พอเข้าใจแล้วนี่ เพราะว่า มันฝังลึก อยู่ในใจของเราแล้วด้วยการฝึกปฏิบัติ ฝังลึกมาอธิบายแป๊บเดียว ทราบกันหมดแล้ว นี่แหล่ะครับ เป็นสิ่งเดียวที่เอาข้ามภพข้ามชาติได้ พวกที่ดิน บ้าน สร้อยคอทองคำ แหวนเพชร รถยนต์ เอาไปไม่ได้

    การฝึกสติสัมปชัญญะให้อยู่กับตัวตลอดเวลา เอาไปได้ แล้วยิ่งฝึกมากบอกได้เลยว่า มีแต่ความเจริญด้านเดียว ไม่มีความเสื่อม ชีวิตจะรุ่งเรือง

    การฝึกไม่ยาก เข้าใจแล้ว ตั้งใจปฏิบัติ เพราะปฏิบัติได้ตลอดเวลา ไม่มีขีดจำกัดของสถานที่

    เวลานอนอยู่ไม่สบายปฏิบัติได้มั้ย กระดิกนิ้ว กระดิกหนอ กระดิกหนอ กระดิกหนอก็ได้

    ได้ยินเสียงตุ๊กแกร้อง ตุ๊ก แก กำหนดว่า ยินหนอ ปฏิบัติธรรมแล้ว
    นะ เห็นมั้ยครับ ผู้ที่ฉลาด ยังปฏิบัติตลอดเวลา

    84,000 พระธรรมขันธ์ในพระไตรปิฏก คำสอนทางพระพุทธศาสนาแบ่งคำสอนออกเป็น 84,000คำสอน 84,000 คำสอนในพระไตรปิฏกรวบรวมแล้วเหลือ 1เดียว

    เหลือหนึ่ง โอวาทครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระพุทธเจ้ามีโอวาทครั้งสุดท้าย ตอนที่พระองค์กำลังไม่สบาย มีพระสงฆ์รายล้อมพระพุทธเจ้าเต็ม พระพุทธเจ้ามีโอวาทสุดท้ายแก่พระสงฆ์ที่รายล้อมพระองค์

    ภาษาบาลีว่าแบบนี้ ไวยะธัมมาสังขารา อัปปะมาเทนะสัปปาะเทถะ

    ภาษาไทยแปลว่า ภิกษุทั้งหลาย สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าอะไร มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ขอให้พวกท่านทั้งหลาย จงยังประโยชน์ให้ตัวเอง และยังประโยชน์ให้ผู้อื่น ให้เขาเหล่านั้นถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
    ไม่ประมาท

    แปลว่าอะไร ทราบมั้ยครับ มีสติอยู่นะเธอ และพระองค์ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน แปลว่า ตายแล้วไม่เกิดอีก

    เพราะฉะนั้น 84,000 พระธรรมขันธ์ในพระไตรปิฏก เหลือ หนึ่งเดียวเท่านั้นเองว่า อย่าเผลอตัวนะคุณ

    ความรู้สึกต้องอยู่ที่ตัว สติสัมปะชัญญะ จะต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร นะครับ ส่วนมากที่เราเผลอ เผลอ

    เพราะฉะนั้น เปลี่ยนชีวิตซะใหม่ จากชีวิตที่ธรรมดา วนเวียน วนเวียน ทุกข์สุข ทุกข์สุข อยู่ตลอดเวลา

    เปลียนเป็นชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะ ค่อยๆ สมบุรณ์ขึ้น ค่อยๆสมบูรณ์ขึ้น ค่อยๆทำไป มันไม่เหลือวิสัย ถ้าสิ่งนี้ คำสอนนี้เป็นคำสอนที่เหลือวิสัย พระพุทธเจ้าท่านคงไม่เอามาสอน

    เพราะฉะนั้น พวกเราเข้าใจแล้ว ขอให้ทำ ต้องจบปริญญาถึงจะทำได้ใช่มั้ย ไม่ใช่ ต้องมีสตางค์ถึงจะทำได้ใช่มั้ย ไม่ใช่

    ทำได้ทุกเพศทุกวัยไม่จำกัดเชื้อชาติหรือภาษา ทำได้หมดทุกศาสนา ศาสนาคริสต์ก็ทำได้ ไม่เกี่ยวข้องกับการทำความเคารพ

    แค่อิริยาบถ แพทเทิร์น ให้รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเอง ก็สามารถ พ้นทุกข์ได้เหมือนกัน

    สุดท้ายนี้ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายมีวิริยะอุตสาหะ นะครับ เมื่อทราบเข้าใจ สิ่งที่จะต้องทำ และสำคัญมากกับชีวิตของท่าน คือมันเป็นความเจริญและความเสื่อมของชีวิตเธอจริงๆ

    ถ้าทำได้ก็เจริญไปเลย นะครับ ถ้าทำไม่ได้ หรือ ยังไม่ทำ มันก็ยังเสื่อม อยู่อย่างนั้น

    ก็ เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ใช้วิธีการ ฝึก ไม่มีอะไรดีไปกว่าฝึก ไม่มีใครมาให้พรแล้วก็ ไม่ต้องฝึก เป็นไปไม่ได้ ต้องฝึกและต้อง อัตตาหิอัตโนนาโถ ต้องฝึกด้วยตนเอง ไปจ้างใครฝึกก็ไม่ได้ นะครับ เมื่อมันเป็นสิ่งไม่เหลือวิสัยแล้ว

    ขอให้ท่านทั้งหลาย ค่อยๆ ฝึกไป และก็ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต และความพ้นทุกข์ ก็จะมาถึงท่าน ในวัน ในอนาคตอันใกล้นี้ ก็ ขออนุโมทนา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ <O:p</O:p

    สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
    ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น
    ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
    ปัจฉิมโอวาท

    ปุจฉาวิปัสสนา สติสัมปชัญญะ ความเจริญแห่งชีวิต

    การกำหนดสติ มีหลักอย่างไร
    เอาหลักสำคัญเลยนะ ตัวสำคัญก็คือ ต้องรู้อยู่ที่ตัวตลอดเวลานะ
    ข้อสำคัญนะ อย่าเผลอตัว อันนี้คือจุดสำคัญล่ะ คือจะกำหนด
    ยินหนอ พอโป้งขึ้นมาเนี่ยะ กำหนดยินหนอนี่ รู้ตัวรึเปล่า ตอนกำหนดยินหนอ ก็ไม่ผิด แต่พอโป้งกำหนดยินหนอแล้ว สามารถมารู้ตัวว่ากำลังจะเดินอยู่ล่ะก็ต่อไปเลย ก็ต่อรู้ตัวตรงนี้ เหยียบหนอก็ได้ นะครับ
    แต่ขณะที่โป้งตรงนี้มันหลุดไปแล้วนะ ไปอยู่ทางนู้นแล้ว แต่ก็รู้ตัวว่ากำลังได้ยิน กำหนดยินหนอก็ไม่ได้เสียหายอะไร
    คือได้ทั้งไปกำหนดยินหนอหรือไม่กำหนดยินหนอก็ได้ทั้งสองอย่าง ไม่เสียหายอะไร
    แต่ว่า ขอให้รู้ตัวอยู่เท่านั้นเอง อย่าไปซีเรียสมาก เอาธรรมดา

    หลักก็คือว่า สตินะครับ ความระลึกได้ ความรู้ตัวเนี่ยะ และสัมปะชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อมจะต้องมีอยู่ตลอดเวลา นะครับ

    พูดง่าย ๆ ตอนนี้ เราเหม่อและเผลอมาก ทุกวันที่เราอยู่กันในชีวิตปัจจุบันเนี่ยะ วันวันนึงบางทีลืมตัวไป ลืมตัวไป บ่อยมากเลย ไอ้ตัวนี้ ที่สำคัญ

    ที่สำคัญก็คือ ให้ลืมน้อยลง ลืมตัวน้อยลง อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับตัวเองมากขึ้น รู้สึกตัวมากขึ้น รู้สึกตัวมากขึ้น อันนั้นแหล่ะครับคือ เจตนาที่จะฝึก ที่เรียกว่า วิปัสสนา ต้องให้รู้ตัวมากขึ้นก่อน นะครับ

    ส่วนการที่ยินหนอ เห็นหนอ นี่นะครับ ก็สมมุติว่า ถ้าเรายังไม่รู้อะไรเลยแล้วมาฝึกเนี่ยะ
    เวลาปกติพอได้ยินเสียงปึ้งเนี่ยะ ทุกคนก็จะตระหนกตกใจ บางคนวิ่งหยิบอะไรได้ก็คว้าไปแล้ว นะครับ อันนั้นเรียกว่า สติมันหาย
    งั้นที่ให้กำหนด พอได้ยินเสียงปึ้ง กำหนดว่ายินหนอเนี่ยะ เพื่อให้สติมันอยู่กับตัว ความรู้สึกตัวมันจะได้อยู่กับตัว มันไม่ได้หายไปไหน เหมือนกระต่ายตื่นตูมมันก็ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มันก็วิ่งไปเลย ป่าราบไปเลย ทั้งทั้งที่แค่ มะพร้าวตกเท่านั้นเอง อันนี้ก็แค่กำหนดยินหนอ หรือเห็นหนอเนี่ยะ เพื่อให้เรา ดึงกลับมาที่ตัว ดึงกลับมาที่ตัว อย่าหลุด อย่าเหมอ อย่าลอย ใจอย่าหลุดออกไปข้างนอก อันนั้นน่ะ คือ หลักสำคัญ

    ซาบซึ้งกับละครโทรทัศน์ ขาดสติหรือไม่ มีวิธีการกำหนดสติอย่างไร

    วิธีการนั่งดูละคร ผมก็ดูละครอยู่เหมือนกันนะ เวลานั่งดู ผมจะมีความรู้สึกว่าตัวเนี่ยะนะครับ ก้นก็จะติดกับเบาะ มันก็จะมีความรู้สึกขึ้นมาปกติ แขนท้าวกับเบาะก็มีความรู้สึกขึ้นมา แล้วก็ คือพูดง่าย ๆ ว่า

    ขณะที่ดูเนี่ยะ ก็รู้สึกว่าตัวเองเนี่ยะกำลังดูอยู่ คือรู้สึกว่ามีตัวนั่ง แล้วก็ดูอยู่ นะฮะ ก็ดูไป ถ้าสมมุติว่า ละครมันเศร้านะฮะ เรา เราก็น้ำตาจะไหลไหล เราก็ ต้องรู้สึกว่าน้ำตาเราไหลก็กำหนดว่าน้ำตาไหลหนอ หรือว่าเศร้าหนอก็กำหนดก็ได้
    แต่ว่าเรารู้สึกตัวอยู่ ถ้าเราพูดได้ถึงความรู้สึกของเราเนี่ยะว่า เศร้าหนอ ดีใจหนอ หรืออะไรเนี่ยะ ก็คือ เรายังรู้ตัวอยู่เนี่ยะ

    แต่ถ้าเราอินมากมาก จนเราไม่สามารถที่จะพูดออกมาเป็นคำพูด ได้ว่า ตอนนี้เศร้า มันหายไปกับละคร อันนี้เรียกว่าสติมันหลุด อันนั้นเรียกว่า ใช้ไม่ได้ ฝึกไม่เป็น

    คนที่ฝึกเป็นเค้าจะดู และก็ในขณะที่จิตใจมีความรู้สึกอะไรเนี่ยะ เค้าก็จะพูดขึ้นมาสักคำนึงว่า เศร้าหนอ ตื่นเต้นหนอ หรืออะไรก็ว่ากันไป นะฮะ

    อย่าไปอินจนสุดสุด เสียงกรี๊ดเนี่ยะแปลว่า เหม่อไปแล้ว ใจหลุดไปแล้ว
    พวกที่ตื่นเต้นนะ ส่วนมากจะหลุด สติจะเหมือนกับ เมามันน่ะ พวกเมามันน่ะ สติจะหลุดนะ
    ดูได้ละคร แต่ว่าดูในลักษณะที่ว่าอย่าให้สติสัมปชัญญะหรือใจเราน่ะลอยไปอยู่นอกตัว ให้อยู่ในตัว เราจะตรึงด้วยความรู้สึกที่อยู่ที่ก้นก็ได้ ตรึงมันด้วยความรู้สึกขยับมือ ขยับอะไรก็ได้ ตรึงมันเอาไว้แต่ก็ดูไปไม่ว่ากัน

    ทำเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ว่าขออย่างเดียว อย่าให้ความรู้สึกมันออกไปจากตัว


    พอใจกับอาการเหม่อลอยบ่อยๆ ดีหรือควรทำหรือไม่
    ถ้าเหม่อแล้วสติมันจะขาด แล้วอะไรเข้ามามันจะตกใจง่าย มันจะทุกข์ง่าย

    คือถ้าเราสุขง่าย มันจะทุกข์ง่าย

    ในโลกนี้มันจะมีตรงข้ามอยู่เสมอนะ
    สมมุติว่าเราไป เราไปชอบกับความสงบมากๆ เนียะนะครับ ใจเราเนี่ยะพูดจริงๆ แล้วเนี่ยะในกระแสของธรรมชาตินี่เนี่ยะ มันจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นะครับ สงบบ้าง ไม่สงบบ้าง
    ผมเคยขึ้นไปบนเขา ขึ้นไปภาวนาจนใจสงบมากเลย พอลงมาจากเขาปุ๊บเนี่ยะ ได้ยินเสียงรถวิ่งนิดเดียว ได้ยินเสียงรถบีบแตร ได้ยินเสียงคนคุยกันเนี่ยะ ผมไปกราบอาจารย์เลยบอกอาจารย์เลย ผมทนไม่ไหวแล้ว ขึ้นเขาอีก
    อาจารย์บอกไม่ได้ไม่ได้ ต้องทำ ต้องอยู่ให้ได้ในทั้งสองสภาพ นะครับ

    ธรรมชาตินี่มีสองสภาพ คือ ดีร้าย ได้เสีย
    เนี่ยะจะต้องมีสองสภาพตลอดเวลา เพราะงั้นคนที่เข้าใจธรรมชาติ มาฝึกสติเพื่อที่จะมองธรรมชาติ ให้เห็นจริงๆ ว่าจริงๆ ธรรมชาติมันเป็นยังไง งั้น เหมือนเรามาดูนี่นะครับ ธรรมชาติ

    ถ้าเราไม่มีสตินี่ เราก็จะเห็นธรรมชาติด้านที่เราชอบตลอดเวลา แต่พอด้านที่เราไม่ชอบมาเราก็จะเสียใจมาก และฝึกๆ ต่อไปเนี่ยะนะครับ

    กำหนดสติรู้อิริยาบถแล้วเนี่ยะ ต่อไปเราจะรู้ว่า ธรรมชาติตามความเป็นจริงมันเป็นยังไง

    ธรรมชาติตามความเป็นจริงนั้น เค้ามีคู่เสมอ มีดีมีร้าย มีได้มีเสีย ในชีวิตเราจะต้องน่ะทุกคนน่ะไม่มีใครเกิดมาแล้วก็จะมีดีอย่างเดียวไม่มี ใช่มั้ยครับ ต้องมีดีมีร้ายสลับกันไป ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วจะมีแต่รวยอย่างเดียวไม่มี ไม่มีจนไม่มี นายกก็เคยจนมาแล้ว มันจะต้องมีดีมีร้ายมีได้มีเสีย ตลอดชีวิตของเรา เพราะ

    ฉะนั้นถ้าเรามีสติดูอยู่ เราก็จะดูมันเป็นของว่าเป็นของธรรมดาไป อ๋อธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เอง
    แต่ถ้าคนไม่มีสติและไม่เข้าใจธรรมชาติ เวลาดีก็ดีใจใหญ่ แต่เวลาร้ายทนไม่ไหวถึงกับฆ่าตัวตายก็มี
    อย่างตอนฟองสบู่แตกเนี่ยะ บางคนที่เคยแบบมีสตางค์มาแล้ว แล้วเกิดเป็นหนี้เป็นสินเยอะเนี่ยะ เค้าเกิดทนไม่ได้เค้าก็ฆ่าตัวตาย เพื่อนผมก็หลายคน ครับ
    ก็แปลว่าเค้าไม่รู้จักดูธรรมชาติ
    การดูธรรมชาติคือต้องเอาสติดู ว่ามันขึ้นลงขึ้นลงตลอดเวลามันเป็นยังงี๊ ใจเราจะได้ไม่ ไม่ ไม่ซัดส่ายไปตามธรรมชาติ ไม่ซัดส่ายไปตาม คล้ายๆว่าไม่มีหลัก เพราะถ้ามีสติปั๊บ หลักมันจะมีอยู่แล้วว่า เดี๋ยวมันก็กลับมา กลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา

    โลกธรรม8
    ธรรมดาของโลก ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลก
    ลาภ เสื่อมลาภ
    ยศ เสื่อมยศ
    สรรเสริญ นินทา
    สุข ทุกข์

    ในโลกนี้มันมี เป็นโลกของของคู่นะครับ โลกของของคู่ ทุกๆ คนที่เกิดมาในโลกนี้จะเจอของอยู่สี่คู่ เค้าเรียกว่าโลกธรรม8 4คู่นี่ก็คือ 8อย่าง

    โลกธรรม8 เนี่ยะคือธรรมชาติ ประจำโลก 8อย่าง

    รรมชาติ ประจำโลก 8อย่างมีอะไรบ้าง
    มี 1.ลาภ ไม่ใช่ลาบที่กินกับข้าวเหนี่ยวนะครับ ลาภที่แปลว่าได้สตางค์ คู่กับอะไรทราบมั้ยครับ คู่กับเสี่อมลาภ แปลว่าเสียสตางค์
    2.ยศได้ตำแหน่ง คู่กับเสื่อมยศเสียตำแหน่ง
    3.สรรเสริญมีคนมาชม คู่กับ นินทามีคนมาด่า
    และก็ 4.สุขมีความสุข คู่กับอะไร คู่กับทุกข์

    4คู่8อย่างที่พูดมานี้ คือของประจำโลก เรียกว่าโลกธรรม ใครก็ตามที่เกิดมาในโลกนี้ ต้องเจอทั้ง4คู่8อย่าง เว้นไม่ได้เลย ไม่ว่าคุณจะเกิดมาในยุคไหน ในพ.ศ.ไหน เมื่อเกิดมาในโลกนี้แล้วต้องเจอทั้ง4คู่8อย่าง

    แต่ก็น่าเสียดายเวลาพวกเราทั้งหลายเนี่ยะ สวดมนต์ไหว้พระหรือไปถวายสังฆทาน นะครับ พอถวายสังฆทานเสร็จเราก็กราบพระและเราก็อธิษฐาน ผมถามหน่อยว่า ใน8อย่าง เราอธิษฐานขอกี่อย่าง

    เราขอกันก็4อย่าง ขอให้ฉันมีลาภ ขอให้ฉันมียศ ขอให้ฉันมีคนมาสรรเสริญ ขอให้ฉันมีความสุข ร้อยทั้งร้อยเลยผมพนันได้เลย ร้อยทั้งร้อยขอ4อย่าง

    แต่ผมก็จะถามว่า อีก4อย่างที่ไม่ได้ขอเนี่ยะ มันมามั้ย4อย่างหลังเนี่ยะ มามั้ยครับ มา มาแน่มั้ย มาแน่

    พราะฉะนั้นไหน ๆ ก็มาแล้ว ไหนๆ ก็ต้องมาแล้วนะ ต่อจากนี้ไปนะ เมื่อฝึกสติแล้วเนี่ยะ ก็ขอให้กล้า ๆ หน่อย ไหนๆจะขอแล้วก็ขอให้ครบทั้ง8อย่าง ขอให้ฉันมีลาภและเสี่อมลาภเถอะ ขอให้ฉันมีคนมาสรรเสริญและมีคนมานินทาเถอะ ถ้าใครทำได้ และขอได้ทั้ง8อย่างนะ ผมการันตีเลย คนนั้นจะมีความสุขที่สุดในโลก


    ทำชีวิตให้ก้าวหน้าได้อย่างไร
    ชีวิตของเราเนี่ยะ นะครับ จะเจริญก้าวหน้าอยู่ที่ดวง
    แต่ดวงเนี่ยะ ดวงของเราเนี่ยะ ไม่ใช่อยู่ที่ดาว ไม่ใช่ว่าอยู่เวลาราหูกับเสาร์มาชนกัน มาเล็งรักแล้วดวงเราจะดีนี่ไม่ใช่

    ดวงเราเนี่ยะ เราทำเอง ให้ดีหรือไม่ดี ดวงทำได้ นะครับ

    ดวงไม่ใช่ว่าเป็นลิขิตของเทวดาที่ไหนไม่ใช่

    ดวงนี่คือ ลิขิตชีวิตเราเอง

    เราลิขิตชีวิตเราเอง ทำดวงให้ดี จำไว้เลยนะ 3อย่าง ดวงจะดี ทำ3อย่างนี้

    1.ให้ทานสม่ำเสมอ เป็นไปได้ทุกวันให้ให้ทาน เราจะมีกินทุกวัน คนที่ให้นานๆให้ทีจะนานๆ มีกิน นะครับ คนที่ให้สม่ำเสมอก็จะมีกินทุกวัน
    ถ้าให้ทานได้ดวงจะดี25%

    อย่างที่2 รักษาศีล ศีล1ข้อเนี่ยะดวงจะดี 5%
    ถ้ารักษา5ข้อเนี่ยะดวงจะดี25% ฉะนั้นถ้าให้ทานรักษาศีลได้แล้วดวงท่านจะดี 50% ชีวิตจะเจริญ50%

    อย่างที่3 สำคัญมากเลย มีน้ำหนักถึง50% ทำความร่าเริงเบิกบาน ให้ใจเรา ให้ใจเราเนี่ยะให้ใจเราแจ่มใสทั้งวันทั้งวันเนี่ยะ

    อีก50% การทำให้ใจแจ่มใส ทำง่ายมั๊ย ถ้าไม่รู้จักวิธีทำเนี่ยะยาก ถ้าปล่อยไปตามกระแสเนี่ยะยาก แต่ถ้ารู้วิธีเนี่ยะ

    มีสติ เข้าใจธรรมชาติแล้ว จากเลวพลิกเป็นดีทันที จากวิกฤตพลิกเป็นโอกาสทันที แฮ๊ปปี้ตลอดเวลา อีก50%

    สรุปแล้วใครทำ ทาน ศีล ทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอทั้งวันได้ รุ่งเรืองอย่างเดียวครับ ไม่มีเสื่อม จริงๆ เห็นมั้ยครับ ถึงว่าใจเราสำคัญที่สุด รักษาอย่างอื่น แต่ว่าต้องรักษาให้ดีที่สุด ต้องรักษาใจของเรา

    ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2010
  2. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ยาวจังเลยค่ะ...............
     
  3. ปุณณา

    ปุณณา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +556
    อนูโมทนาค่ะ ยาวจังค่ะเดี๋ยวจะทยอยมาอ่านเรื่อยๆค่ะ

    อ่านเรื่องภพภูมิทีไรก็ขนลุกทุกที
    เมื่อต้นปี ลุงคนนึงที่รู้จักเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย นอนรอความตายอยู่กับบ้าน ซึ่งตอนนั้น
    ตนเองก็เพิ่งฝึกเจริญสติ อยากช่วยแต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี
    รู้มาว่าดวงจิตก่อนตายหากระลึกถึงความดีก็จะได้ไปเกิดในสุขคติภูมิ

    ก่อน 3 วันสุดท้ายที่ลุงจะเสียนั้น ขณะนอนหลับตาก็เห็นว่าตัวของลุงเองนั้นเข้าไปในป่า
    มืดทึบ แล้วลืมตาก็พบว่าตนเองยังนอนอยู่ที่บ้านของตน พอหลับตาอีก ก็เห็นป่าอีก

    พอมาศึกษาอ่านเรื่องภพภูมินั้น รู้ได้เลยว่าลุงต้องไปเกิดภพภูมิใด
    ขณะยังมีชีวิตก็ไม่เคยได้ทำบุญ เอาแต่ยิงนก ตกปลา มีชีวิตอยู่แค่นี้ บุญทานไม่เคยสนใจ
    นี้แหละหนอ เรามีกรรมเป็นของของตน
     

แชร์หน้านี้

Loading...