เฮอร์เมทิคา วรรณคดีโบราณของอียิปต์ เชื่อกันว่าเขียนขึ้นโดยเทพเจ้าธอธ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 2 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เฮอร์เมทิคา

    <!-- /firstHeading --><!-- bodyContent --><!-- tagline -->จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /tagline --><!-- subtitle -->
    <!-- /subtitle --><!-- jumpto -->
    <!-- /jumpto --><!-- bodytext -->เฮอร์เมทิคาเป็นวรรณคดีโบราณของอียิปต์ เชื่อกันว่าเขียนขึ้นโดยเทพเจ้าธอธซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรเฮียโรกลิฟฟิก ชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าองค์นี้เป็นองค์เดียวกับเทพเฮอร์มีสของตน จึงเรียกงานเขียนของเทพธอธว่าเฮอร์เมทิคา
    ประวัติ

    ต้นกำเนิดของคัมภีร์เฮอร์เมทิคายังไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะสืบทอดมาจากปรัชญาอียิปต์โบราณ ผลงานที่เหลือเป็นงานเขียนในภาษากรีก ภาษาละตินและภาษาคอปติก เคยมีต้นฉบับอยู่ในหอสมุดอะเล็กซานเดรีย จนกระทั่งห้องสมุดถูกทำลายในสมัยที่จักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันที่นับถือศาสนาคริสต์สั่งปิดวิหารของพวกเพเกินทั่วจักรวรรดิ ทำให้งานเขียนของพวกเพเกินรวมทั้งเฮอร์เมทิคาหายสาบสูญไป
    จนกระทั่งในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ จึงมีการค้นพบต้นฉบับเฮอร์เมทิคาอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2003 ทำให้มีการศึกษาคัมภีร์นี้มากขึ้น อย่างไรก็ตามใน พ.ศ. 2157 ไอแซค กาโซบง ได้เสนอความเห็นว่าคัมภีร์เฮอร์เมทิคาที่เหลือรอดในยุคปัจจุบันไม่ได้เขียนขึ้นในยุคอียิปต์โบราณ แต่น่าจะเขียนขึ้นในช่วงก่อนคริสตกาลเพียง 200 -300 ปี เมื่อวิเคราะห์ไวยากรณ์ คำศัพท์ของภาษาที่ใช้เขียนคัมภีร์นี้
    คัมภีร์เฮอร์เมทิคามีการแปลเป็นภาษาไทยโดยกิ่งแก้ว อัตถากร โดยแปลจากฉบับภาษาอังกฤษของทิโมธี ฟรีค และปีเตอร์ แกนดี้
    เนื้อหา


    เนื้อหาของคัมภีร์เฮอร์เมทิคาในฉบับภาษาอังกฤษของทิโมธี ฟรีค และปีเตอร์ แกนดี้เป็นการสรุปปรัชญาของเฮอร์เมทิคา 18 เล่มซึ่งมีเนื้อหาแบ่งเป็นตอนๆ ดังนี้
    • เฮอร์เมทิคาเป็นปรัชญาว่าด้วยการสัมผัสกับพระจิตของจักรวาล เพื่อเข้าใจความลับของธรรมชาติ แต่ปรัชญาเหล่านี้นานไปก็จะสูญและสับสน มนุษย์จะเคารพบูชาจักรวาลน้อยลง ศาสนาของอียิปต์ถูกละเลย อียิปต์จะกลายเป็นดินแดนที่ถูกเทพเจ้าทอดทิ้ง
    • เฮอร์มีสได้ยินเสียงพระมหาเทพหรือองค์อาตมตรัสกับท่าน ได้เห็นแสงสว่างและเงาที่พลุ่งพล่านเหมือนน้ำสีดำ ซึ่งหมายถึงพระจิตของพระมหาเทพและพลังงานที่พระมหาเทพใช้สร้างจักรวาล การก่อกำเนิดจักรวาลจากทั้งสองสิ่งนี้
    • พระมหาเทพคือความเป็นหนึ่งเป็นพระจิตประเสริฐสูงสุด ส่วนจิตมนุษย์คือภาพลักษณ์ของพระจิตประเสริฐสูงสุดนั้น
    • จักรวาลคือร่างของพระมหาเทพและจักรวาลเป็นผลงานของพระมหาเทพมิได้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ
    • ความเป็นหนึ่งเดียวของพระมหาเทพคือเป็นทั้งแสงสว่างและชีวิต แล้วทั้งสองนี้กลายมาเป็นจิตและวิญญาณ
    • จักรวาลมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เวลาของจักรวาลกำหนดโดยการโคจรตามจักรราศีของดวงดาวและดวงอาทิตย์ กาละเป็นสิ่งไม่แน่นอนและไม่ยั่งยืน
    • ดาวฤกษ์ทั้งหลายคือเทพเจ้าผู้ควบคุมชะตาชีวิต ดวงอาทิตย์เป็นฉายาของพระมหาเทพในการส่งพลังงานมายังพื้นโลก
    • การสร้างจักรวาลของพระมหาเทพมีหลักการและความเป็นระเบียบ จักรวาลนั้นมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    • การสร้างมนุษย์ของพระมหาเทพ ซึ่งมีธรรมชาติเป็น 2 แบบคือวิญญาณที่ไม่ตายและร่างกายที่ตายได้
    • มนุษย์มีบทบาทในการสร้างจักรวาลโดยได้รับความรู้จากเทวีไอซิสและเทพโอสิริสทำให้เกิดวัฒนธรรมของมนุษย์ขึ้นมา
    • มนูษย์เป็นสิ่งที่พบกันระหว่างระหว่างจิตวิญญาณและวัตถุ จิตเป็นฉายาของพระมหาเทพและเป็นอมตะ ร่างกายเป็นสิ่งที่ตายได้และถูกควบคุมด้วยชะตาชีวิต
    • เทพเจ้าทั้งหลายท้วงติงว่ามนุษย์อาจใช้อำนาจมากเกินไป จึงต้องควบคุมด้วยการสร้างจักรราศีเพื่อกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์
    • มนุษย์ทุกคนมีลักษณะร่วมของความเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์แต่ละคนก็มีลักษณะเป็นของตนเอง
    • ร่างมนุษย์แต่ละร่างเป็นบ้านสำหรับวิญญาณลงมาอาศัย ลักษณะเฉพาะของแต่ละคนถูกกำหนดโดยคุณสมบัติของเทพที่เข้าเวรดูแลจักรราศีในขณะที่เกิด
    • ความตายเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะถูกพิพากษา วิญญาณที่บริสุทธิ์จะขึ้นสู่สวรรค์ วิญยาณที่โง่เขลาจะกลับมาเกิดอีก
    • การมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์คือโอกาสที่จะฝึกฝนจิตวิญยาณเพื่อเข้าถึงพระมหาเทพ
    • จิตของมนุษย์คือแสงสว่างอันเป็นทิพย์ที่แยกออกมาจากพระมหาเทพ มนุษย์จึงมีศักยภาพที่จะสัมผัสกับจิตของพระมหาเทพ
    • การเกิดใหม่คือการทำตนให้บริสุทธิ์พ้นจากอวิชชาเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์
    • คำสอนของเฮอร์มีสเป็นคำสอนที่ถูกปกปิดเป็นความลับ เฉพาะศิษย์ร่วมสำนักเท่านั้นที่ได้รับการถ่ายทอดและไม่เปิดเผยต่อบุคคลภายนอก
    • การสดุดีพระมหาเทพของเฮอร์มีส
    เฮอร์เมทิคา - วิกิพีเดีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2010
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลองเทียบกับคัมภีร์มรกต ที่เชื่อกันว่า ผู้เขียนคัมภีร์มรกตนี้ เป็นชาวแอตแลนติส ชื่อ โธท
    หรือเรียกอีก อย่างหนึ่งว่า เฮลมอส มันก็แปลกๆดีนะ ไม่รู้ว่าเรื่องมันเชื่อมโยงกันหรือเปล่า
    หรือแค่มีชื่อพ้องใกล้เคียงกันเฉยๆ

    ความเป็นมาของคัมภีร์มรกต จาก ดร.มูเรียล โดเรียล

    "…ที่มาของคัมภีร์มรกตที่ผมแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษนี้ ช่างน่าพิศวงเหลือเกิน เพราะมันมีอายุเก่าแก่มาก ถึงสามหมื่นหกพันปี ก่อนคริสต์กาลทีเดียว ผมรับรองว่า พวกนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไม่มีทางยอมเชื่อในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ผู้เขียนคัมภีร์มรกตนี้ เป็นชาวแอตแลนติส ชื่อ โธท หรือเรียกอีก อย่างหนึ่งว่า เฮลมอส ภายหลังจากที่ทวีปแอตแลนติสล่มสลายจมลงใต้สมุทรแล้ว โธทได้ไปสร้างอาณานิคมแห่งหนึ่งของแอตแลนติสที่อียิปต์โบราณ โธทนี่แหละ ที่สร้างมหาปิรามิดแห่งกีซา แต่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผลงานของพระเจ้าคีออปส์ โธทได้บรรจุองค์ความรู้และภูมิปัญญาโบราณ ของตนซ่อนเอาไว้ใต้มหาปิรามิด พร้อมกับบันทึกของแอตแลนติสและเครื่องมือต่างๆ…" "โธทปกครองอียิปต์โบราณ เป็นเวลา 16,000 ปี ในช่วง ห้าหมื่นปีถึงสามหมื่นสี่พันปีก่อนคริสต์กาล เขาได้ฉายาจากผู้คนว่า เป็นเทพผู้อมตะ คัมภีร์มรกตถูกเก็บเอาไว้ในมหาปิรามิด และได้รับการดูแลโดยเหล่าศิษย์ของโธท หลังจากที่โธทจากอียิปต์ไปแล้ว ซึ่งคัมภีร์นี้มีอยู่ทั้งหมด 12 แผ่น ต่อมาในราว หนึ่งพันสามร้อยปีก่อนคริสต์กาล เกิดความวุ่นวายในอียิปต์ กลุ่มพระผู้ดูแลมหาปิรามิด ได้นำคัมภีร์มรกตไปที่อเมริกาใต้ ที่เป็นที่ตั้งของอาณานิคมของแอตแลนติสเหมือนกัน นั่นคือชาวเผ่ามายา"

    "ในศตวรรษที่ 10 ชาวเผ่ามายาได้อพยพไปที่อื่น คัมภีร์มรกตได้ถูกซ่อนไว้ใต้แท่นบูชาของวิหารที่บูชาพระอาทิตย์" "มหาปิรามิดแห่งกีซามิใช่ห้องเก็บศพของพระราชา แต่เป็นอารามถ่ายทอดวิชาเร้นลับต่างหาก ตัวผมได้บุกป่าฝ่าอันตรายคนเดียวเข้าไปพบคัมภีร์มรกตนี้ที่ ประเทศเม็กซิโก เมื่อปี 1925 แต่ผมไม่ได้รับอนุญาตให้นำฉบับจริงออกมา จึงได้แต่คัดลองคัมภีร์นี้กลับมาแทน"

    แน่นอนว่า มีแต่ ดร.โดเรียลคนเดียวเท่านั้น ที่อ่านรู้เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ผมคิดว่า ยังสู้ของ เอ็ดการ์ เคซี่ที่มีผลงาน "การอ่าน" ในอดีตพิสูจน์ยืนยันไม่ได้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งสองท่าน พูดเหมือนกันว่า มหาปิรามิดถูกสร้างโดยชาวแอตแลนติสที่ชื่อ เฮลเมส"

    กล่าวถึง ความเป็นมาของชาวแอตแลนติสชื่อโธท โดยโธทเล่าเรื่องตัวเองว่า เขาต้องการบันทึกองค์ความรู้อันยิ่งใหญ่ของ แอตแลนติสไว้ให้คนรุ่นหลัง


    โธทบอกว่า ทุกๆพันปี และทุกๆห้าสิบปี เขาจะทำการ "อวตาร" และชุบร่างกายให้หนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง โดยเข้าไปในอารามศักดิ์สิทธิ์และนอนใต้ "ดอกไม้แห่งชีวิต" หรือ อาบ "ไฟแห่งชีวิต" ตอนที่โธทเขียนคัมภีร์เล่มนี้ เขามีอายุ ห้าหมื่นปีแล้ว โธทบอกว่า เขาสามารถตั้งจิตให้ดวงวิญญาณของเขา ไปเกิดในร่างอื่นหรือชีวิตอื่นได้ โดยร่างเดิมของเขายังนอนหลับอยู่ เขาจึงสามารถเดินทางไปทั่วจักรวาลได้โดยเพ่งจิตไปที่หัวใจของตน เพราะที่นั่นมีความเร้นลับอันยิ่งใหญ่ดำรงอยู่ โธทและผู้ติดตามนั่ง "จานบิน" ไปยังอียิปต์และใช้ "ไม้เท้าวิเศษ" ที่ควบคุมโดยอำนาจจิต สามารถปล่อยแสงปล่อยพลังได้ต่างๆนานา สะกดให้ผู้คนที่นั่น ยอมรับในตัวเขาคือเทพเจ้าและเป็นบุตรของพระอาทิตย์

    โธทบอกว่า ที่ตั้งของอารามศักดิ์สิทธิ์ที่เขาใช้ชุบร่างกายทุกห้าสิบปี นั้น อยู่ใต้ทวีปแอตแลนติส ณ ที่อารามนั้น เป็นศูนย์รวมของ "พลังชีวิต" ที่ค้ำจุนสรรพชีวิตบนพื้นโลก ที่เรียกว่า "ดอกไม้แห่งชีวิต" ซึ่งทำหน้าที่เดียวกับ "โซล่าเพลกซัส" (จักรสะดือ) ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นตำแหน่งเก็บพลังชีวิตของมนุษย์ โดยมีทางเข้าของพลังอยู่ที่กลางกระหม่อม (จักรมงกุฎ)

    เมื่อโธทได้ฝึกฝน "พลังชีวิต" (ปราณ) จนตัวเขาบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้แล้ว เขาสามารถเลือกวิธีแห่งการทำงานของเขาได้อย่างเสรี จะไปอยู่ดวงดาวอื่นหรือภพอื่น หรือจักรวาลอื่นก็ย่อมได้ดังใจปรารถนา แต่ตัวเขากลับตัดสินใจอยู่ในโลกนี้ต่อ และทำงานให้โลกนี้ต่อ เพื่อเป็นผู้นำแห่งการชี้นำจิตวิญญาณของหมู่มนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความมืดมิด และฟื้นฟู "ความเป็นเทพ" หรือ "ความเป็นพระเจ้า" กลับคืนให้แก่มวลมนุษย์

    โธทกล่าวถึงกุญแจที่จะไขไปสู่ "ปัญญา" ที่จะนำมาซึ่ง "พลัง" และพลังจะทำให้เกิดปัญญาว่าอยู่ที่ความถ่อมตัว เพราะ ผู้ที่ยะโสหลงตัวเองคือคนโง่ที่ปฏิเสธที่จะเรียนรู้

    คนเราพึงปฏิบัติตามคำสั่งของ "คุรุ" หรือสิ่งที่อยู่ในตัวเรา หรือ "อาตมัน" ทรัพย์สมบัติเป็นเพียงวิธีการ ไม่ใช่เป้าหมาย เมื่อความต้องการทางวัตถุได้รับการตอบสนองแล้ว ควรหันมาสนใจยกระดับจิตวิญญาณ "อาตมัน" หรือ "ใจที่แท้" ตั้งอยู่ในบริเวณกึ่งกลางของหัวใจ ที่เชื่อมโยงกับต่อมไพนีลในสมองได้ "ใจที่แท้" นี้ไม่แค่สนใจแสวงหาเรื่องความมั่งคั่งเลย มันสนใจแต่เรื่อง "ความเป็นพระเจ้า" หรือ "ความบริสุทธิ์ของจิตเท่านั้น"

    "ความรัก" เป็นจุดเริ่มต้นของ "ทาง" และเป็นจุดสิ้นสุดของ "ทาง" โธทเน้นความเป็นเอกภาพของทุกๆสิ่งในจักรวาล ที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วย "ความรักอันยิ่งใหญ่" ความสงบเงียบ คือกุญแจสำคัญไปสู่ความรุดหน้า จงใช้ความสงบเงียบรักษาพลังภายในตัวเราไว้ อย่าหลงตัวเอง ว่าเรายิ่งใหญ่กว่าใครอื่น เพราะทุกคนต่างก็เป็นเพชร ต่างกันที่บางคนเป็นเพชรที่ยังไม่เจียระไนเท่านั้น ร่างกายเป็นธาตุดินที่หยาบ จิตเป็นธาตุไฟที่ละเอียด ก่อนที่จิตวิญญาณจะเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับ "พระอาทิตย์ดวงแม่" (พระอาทิตย์ในโลกทิพย์) จิตวิญญาณจะต้องละจากร่างกายที่เป็นวัตถุหยาบเสียก่อน

    พลังสร้างสรรค์เกิดจากการเปิดตาที่สามหรือต่อมไพนีล คนธรรมดาตาที่สามจะเปิดอยู่เล็กน้อย ต้องฝึกฝนให้ตาที่สามเปิดกว้างเต็มที่ เพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปรมาตมันได้ มีแต่ความเพียรกับประสบการณ์เท่านั้น ที่จะทำให้จิตใจหลุดพ้นจากความมืดมิดได้ วัตถุเป็นเพียงรูปการที่แสดงออกมาของจิตเท่านั้น ขั้นสุดท้ายวัตถุกับจิตจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

    สรรพสิ่งล้วนอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มนุษย์เพียงใส่ "จิต" เข้าไปในกฎของธรรมชาติเท่านั้น "ปัญญา" จะมาหาแก่ผู้แสวงหามัน สิ่งสำคัญคือ "โลกทางวัตถุคือมายาที่เกิดจากใจของผู้ที่มีอวิชชา แต่โลกวัตถุนี้ก็เป็นการสำแดงตนของพระเจ้าผู้สร้างโลกด้วยเช่นกัน (กฎของจักรวาล) ไม่ว่าจะเป็นยุคใดก็ตาม "ผู้ที่ตื่นแล้ว" จะได้รับแสงสว่าง ปัญญา และความเร้นลับเสมอ

    จากเนื้อความข้างต้นหากท่านได้อ่าน หัวข้อ ฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ กับศาสนาตะวันออก คงพอเห็นถึงความ "เหมือน" ของสิ่งที่ศาสนาตะวันออก ได้ "สำแดง" ออกมา

    โธทได้กล่าวถึงประสบการณ์ทางจิตในการท่องจักรวาล จนเขาได้พบกับ "จิตสำนึกแห่งจักรวาล" และได้เรียนรู้ว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึงของจิตสำนึกแห่งจักรวาลนี้ ดุจความสัมพันธ์ระหว่างสมองกับเซลล์สมอง โธทได้แนะวิธีถอดกายทิพย์ออกจากกายหยาบว่า วิธีที่ดีที่สุดคือการขยาย "โซล่าเพลกซีส" (จักรสะดือ) หรือ "ดอกไม้แห่งชีวิต" ในกายคนให้ใหญ่ขึ้น จนพลังชีวิตไหลเข้ามากระตุ้นกายหยาบให้ทำงานอย่างมีชีวิตชีวา เพื่อเป็นการเตรียมให้จิตออกจากร่างได้ราบรื่น ต่อไป ทำการอดอาหารในช่วงสั้นๆ ราวๆหนึ่งวัน เพื่อตัดความรู้สึกภายนอกและไม่พูดจาใดๆ อยู่ในความสงบ เมื่อความสงบบรรลุถึงภาวะสมบูรณ์ โดยผ่านการโน้มนำแห่งจิตแล้ว ให้เพ่งจิตไปที่ต่อมไพนีล ที่เป็นที่ตั้งของจิตวิญาณ ก่อนที่จะนึกถึงสถานที่ที่กายทิพย์ต้องการจะไป โดยจะต้องทำการสั่นขึ้นที่ต่อมไพนีล จากนั้นให้จิตหมุนภายในสมอง แล้วให้จิตเคลื่อนที่ออกนอกศีรษะไปตามเส้นโค้งที่เกิดจากการหมุนข้างในนั้น (เป็นหลักการที่เหมือนกันอย่างน่าทึ่ง ของ "สมาธิหมุน" (สมาธิหมุน หรือมังกรจักรวาลภาค 1 เขียนโดย ดร.สุวินัย) กับสิ่งที่โธทกล่าว)

    การสั่น (Vibration) เป็นความเร้นลับอันยิ่งใหญ่ สรรพสิ่งล้วนเป็นความสั่นของคลื่นทั้งสิ้น การสั่นของคลื่น เป็นกุญแจของการสร้างจิตที่หลุดพ้น หากอยากเข้าถึงปัญญา ก็ต้องหมั่น "ภาวนา" เพราะการภาวนาเป็นการปรับการสั่นของคลื่น ให้สอดคล้องกับพระผู้เป็นเจ้า

    (การสั่น = การปรับคลื่น จูนคลื่น เพื่อเข้าสู่ความถี่ความถี่หนึ่ง ที่ยังเข้าไม่ถึง และไม่สามารถมองเห็น)


    [​IMG]

    โธท กล่าวถึง เหล่าที่พำนักอยู่ที่เกาะอุนาล ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดเกาะของดินแดนแอตแลนติส และเล่าถึงการพาชาวแอตแลนติสกลุ่มหนึ่ง รวมทั้งเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ขึ้นจานบินมาที่อียิปต์ ก่อนที่ทวีปแอตแลนตีสจะล่มสลาย หลังจากที่ทำให้ชาวอียิปต์นับถือบูชาได้แล้ว โธทก็ได้สร้าง ปิรามิดกับสฟิงส์ขึ้นมา

    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 6

    โธทถ่ายทอดเคล็ดลับการเอาชนะพลังมืดเอาไว้ หากเป็นพลังมืดจากภายนอก ให้เข้าไปอยู่ในห้องมืด และปิดวงกลมล้อมรอบตัวเองไว้ เพราะวงกลมสามารถ มีพลังป้องกันภูตร้ายได้ จากนั้นก็ท่องชื่อ คุรุทั้งเจ็ด ดังนี้ Untanas , Quertas , Chietal , Goyana , Huertal , Semveta , Ardal

    แต่ถ้าเป็นพลังมืดภายในจิตใจ ให้สร้างความสั่นขึ้นภายในต่อมไพนีล ก่อนที่จะขับออกไปจากร่างกายพร้อมกับลมหายใจออก


    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 7

    โธทบอกว่า ชีวิตคนเต็มไปด้วยอุปสรรค มีหลุมพลางต่างๆ ที่คอยฉุดให้มนุษย์ลงสู่หนทางที่ตกต่ำ

    ดังนั้น ผู้แสวงหาทุกคน ควรตั้งเป้าหมายชีวิตไว้กับการเป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกแห่งจักรวาล จงเพ่งกระแสจิตและความคิด ไปข้างในตัวเอง เพื่อค้นพบ "จิตวิญญาณที่เป็นแสง" อยู่ข้างใน และเมื่อนั้น ตัวเราก็จะเป็น "คุรุ" ของตัวเรา


    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 8

    โธทบอกว่า ในสัญลักษณ์ต่างๆ จะมีกุญแจไปสู่ปัญญา ได้โดยที่ปัญญาก็คือความรู้เกี่ยวกับ "การประยุกต์ใช้กฎแห่งจักรวาล" นั่นเอง บางครั้งปัญญาก็แฝงอยู่ในความมืด ต้องใช้ความพยายามเสาะหาเอง ความเป็นแสง ซ่อนตัวอยู่ในความมืดฉันใด ปัญญาที่แท้จริง ก็มักจะซ่อนตัวอยู่ในความมืดฉันนั้น


    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 9

    โธทบอกให้แสวงหาความเป็นวงกลม เพราะวงกลม (จักร) เป็น สัญญลักษณ์ที่แสดงถึง ความสมบูรณ์ของการเป็นช่องทางให้พลังจักรวาล ไหลผ่านศูนย์ต่างๆในร่างกาย การใช้ภาษาก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะภาษาคือคลื่นหรือความสั่น ที่ปลดปล่อยพลังออกมา มนุษย์ นั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่วัตถุ แต่คือแสงหรือพลังงานที่เปล่งมาจากต้นตอ ที่เป็นนิรันดร์ต่างหาก แต่คนเราเห็นเป็นวัตถุไปเอง

    เพราะสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนั้น จริงๆแล้วก็คือแสงเช่นกัน แต่คนเห็นเป็นวัตถุไป (หากได้อ่าน ฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ กับศาสนาตะวันออก คงพอเข้าใจถึงความสัมพันธ์ ดังกล่าว) คนเรามีปัญญาอยู่แล้ว ก็ควรที่จะแสวงหาปัญญาเพิ่มอยู่เสมอ

    มนุษย์สามารถทำตัวเองให้เป็นได้ทั้งเทพและมารและโธทได้ให้มนตร์ในการปลุกพลังภายในตัวเอง คือ "Zin Uru"



    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 10

    โธทบอกว่า จิตวิญญาณที่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจักรวาลได้แล้ว จะเป็นเหมือน "พระอาทิตย์ในหมู่แสง" สิ่งที่ชี้นำชะตาชีวิตของคนเรานั้น ก็คืออาตมันของผู้นั้น ซึ่งเป็นเสียงแห่งความสงบเงียบของจักรวาล

    ร่างกายคนเราเกิดมาจากขั้วสองขั้ว หากขั้วใดขั้วหนึ่งเสียสมดุล จะทำให้เกิดโรคภัย แต่ถ้าร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุลโดยสมบูรณ์ ระหว่างสองขั้วนี้ คนผู้นั้นจะปลอดโรคและไม่ตาย สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ร่ายกายเสียสมดุล เกิดจากการเสียสมดุลของใจแทบทั้งสิ้น ทำให้ต่อมไร้ท่อบกพร่อง

    ถ้านอนเอาศีรษะหันไปทางทิศเหนือ(ขั้วบวก) ให้วางจิตอยู่ระหว่างช่วงหน้าอกถึงศีรษะ

    ถ้านอนเอาศีรษะหันไปทางทิศใต้(ขั้วลบ) ให้วางจิตอยู่ระหว่างช่วงหน้าอกถึงปลายเท้า

    หากฝึกเช่นนี้ได้ จะช่วยให้เกิดสมดุลภายในร่างกาย เมื่อถึงเวลาใกล้ตาย แล้วต้องรักษาความทรงจำในชาตินี้ ให้ไประลึกได้ในชาติหน้า โธทบอกให้ทำดังนี้ จงผ่อนคลายร่างกายอย่าให้เกิดความตึงเครียดใดๆ เป็นอันดับแรก ต่อจากนั้น เอาจิตสำนึกของตน ไปตั้งไว้ที่หัวใจ ก่อนที่จะโน้มนำอย่างรวดเร็ว ไปที่ต่อมไพนีล(บริเวณกึ่งกลางของสมอง) ตั้งใจไว้ที่ต่อมไพนีลชั่วครู่ แล้วค่อยเคลื่อนจิตไปที่ต่อมพิตทูอิทารี บริเวณกึ่งกลางหัวคิ้ว ซึ่งเป็นที่ควบคุมความทรงจำของชีวิต กำหนดจิตไว้ที่จุดนี้ จนกระทั่งความตายมาพาตัวเราไป

    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 11

    โธทบอกว่า วิถีของจิตวิญญาณ มีอยู่ 3 ด้วยกันคือ พัฒนาจากมนุษย์ที่เป็นสัตว์โลก ไปเป็นจิตสำนึกที่บริสุทธิ์ก่อนแล้วค่อยพัฒนาเป็น "แสงสว่าง" หรือเทพเจ้า

    และอุปสรรค ก็มีอยู่ 3 อย่างคือ ขาดความเพียรพยายามในการแสวงหาธรรมไม่เอาใจใส่ในพระผู้เป็นเจ้าและหมกมุ่นอยู่กับความชั่วช้า

    พลังในการสร้างสรรค์สรรพสิ่ง ก็มีอยู่ 3 อย่างคือการมีความรักอันศักดิ์สิทธิ์ การมีปัญญาในการใช้วิธีการทั้งปวงและการมีความมุ่งมั่น ที่จะผนึกความรักอันศักดิ์สิทธิ์ กับปัญญาอันศักดิ์สิทธ์เข้าด้วยกัน

    การพิชิตพลังแห่งความมืด ไม่ใช่การต่อสู้กับความมืด แต่คือการเปล่งแสงแห่งอาตมัน หรือความเป็นพระเจ้าในตัวเราให้เจิดจ้าออกมาต่างหาก

    คำสอนเหล่านี้ อย่านำไปสอนต่อผู้มีใจไม่สะอาด และผู้มีใจอ่อนแอเลย มันจะเป็นความสูญเปล่าโดยแท้


    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 12

    โธทบอกว่า บทนี้เป็นสุดยอดแห่งความลับทั้งปวง

    เพราะเขาจะถ่ายทอดพลัง เพื่อการเป็น "เทพมนุษย์" ให้แก่ผู้เป็นศิษย์เขา การเป็น "เทพมนุษย์" คือการสำแดงออกซึ่งความเป็นแสงสว่าง ของพระเจ้าที่อยู่ในตัวมนุษย์นั่นเอง อันที่จริง "ความมืด" กับ "ความสว่าง" เป็นสิ่งต่างกันแค่ภายนอกเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นสองด้านของสิ่งที่เป็นธาตุแท้เดียวกัน ที่มาจากต้นตอเดียวกัน

    ความมืดคือความไร้ระเบียบ ความสว่างเป็นความมีระเบียบ หากเกิดการเปลี่ยนแปลง ความมืดย่อมกลายเป็นความสว่างได้ และนั้นคือเป้าหมายของชีวิตคนเรา การที่จะรู้ความเร้นลับเกี่ยบกับธาตุแท้ของมนุษย์ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ร่างกายคนเราประกอบด้วยกายหยาบ กายทิพย์ และกายละเอียดที่สุด(mental body) ในร่างกายมีช่องทางต่างๆ ให้ปราณไหลผ่าน เพื่อค้ำจุนชีวิตเอาไว้ การไหลเวียนของปราณ อยู่ภายใต้การควบคุมของจิต มนุษย์ขณะที่อยู่บนโลกนี้ เขาจะถูกผูกมัดจองจำให้เป็น "ทาส" ของเวลาและสถานที่ การจะปลดปล่อยตัวเองให้ "หลุดพ้น" จากการถูกจองจำนี้ เคล็ดลับอยู่ภายในตัวเขาผู้นั้น คนเราจะค้นพบเสรีภาพที่แท้จริงจากภายในตัวเราเองเท่านั้น

    ในตอนที่ผู้ฝึกต้องการหลุดลอยออกจากกายหยาบ ไปยังที่ไกลๆสุดขอบฟ้า ขอให้เขาบริกรรมมนตร์ "Dor-E-Ul-La" เอาไว้ในใจ ก่อนอื่นต้องทำใจให้สงบนิ่ง ผ่อนคลายร่างกายตั้งจิตมุ่งมั่น ที่จะปลดปล่อยตนเองออกจากกายหยาบ หากต้องการพาดวงจิตขิงตนไปที่ใด ก็ขอให้นึกถึงเสรีภาพแห่งดวงจิต พร้อมบริกรรมมนต์ต่อไปนี้ "la Um-I-L-Gan" (ลาอุมอีลูกาน)

    หากต้องการจะถอดจิต ไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ของแอตแลนติส ก็ให้บริกรรมมนตร์ต่อไปนี้ โดยไม่ออกเสียง
    1. Me-Kut-El-Shab-El
    2. Hale-zur-Ben-El-Zabrut
    3. Zin-Efrim-Quar-El

    และหากต้องการถอดจิตไป "ศัมภาลา" ก็ขอให้บริกรรมมนต์ต่อไปนี้ เพื่อเปิดทวารเข้าสู่ศัมภาลา "Edom-El-Ahim-Sabbe-Rt-zur-Adom"


    และทั้งหมดนี้คือ คำแปลโดยย่อ ของคัมภีร์มรกต

    --------------------------------------------------------------------------------

    ดร.โดเรียลผู้แปลและขยายความ "คัมภีร์มรกต" ได้พูดถึงลักษณะคัมภีร์ว่า

    เป็นแผ่นโลหะสีมรกต 12 แผ่น ที่ไม่มีวันเป็นสนิมหรือผุกร่อน ร้อยด้วยห่วงสีทอง อักษรที่จารึกเป็นภาษาแอตแลนติสโบราณ


    "
     

แชร์หน้านี้

Loading...