ความทรงจำนอกมิติ จิตวิญญาณ-เมื่อแก่นของศาสนากับวิทยาศาสตร์พบกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 28 ธันวาคม 2010.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]

    ทำไม? ศาสนากับวิทยาศาสตร์ถึงพูดจากันไม่ได้? ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 วินัยต่างก็อธิบายธรรมชาติด้วยกันว่าคืออะไร? ทำงานอย่างไร?

    และทำไมถึงมีธรรมชาติขึ้นมาในโลก? บทความวันนี้จะแสดงให้เห็นตรงกันข้าม ซึ่งความรู้สึกและประสบการณ์ที่เรามีขึ้นมาตั้งแต่ต้น

    ตั้งแต่มนุษย์คนแรกเกิดขึ้นมาบนโลกแล้วค่อยๆ สะสมปรากฏการณ์มาตลอดเวลาในอดีต นั่น คือ มนุษย์แยกออกจากธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง

    เมื่อมนุษย์ละทิ้งต้นไม้และป่าเขา มาอยู่ที่ราบและลุ่มน้ำ นั่นคือความรู้สึกอันแรกสุดของมนุษย์ที่กลายเป็นความเชื่อหรือความรู้ในตอนนั้น

    แต่ถ้าหากเรามองดูเรื่องทั้ง 2 ในเรื่องศาสนาและวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดและรอบด้านก็จะพบว่ามนุษยชาติเป็น เผ่าพันธุ์เดียว

    ท่ามกลางสัตว์ที่มากหลายนับเป็นล้านๆ เผ่าพันธุ์ - ที่เรารู้ด้วยวิทยาศาสตร์ว่ามนุษยชาติก็เป็นสัตว์ที่ได้มีวิวัฒนาการทาง ชีววิทยาของชีวิตมาจนถึงจุดสุดยอด

    ที่ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลายทั้ง ปวงหลากหลายเหล่านั้น - เพียงเพราะอย่างเดียวโดดๆ

    นั่นคือ มนุษย์เป็นสัตว์โลกประเภทเดียวหรือเผ่าพันธุ์เดียวที่รู้ว่าตนมีจิตของตนแตกต่างไปจากสัตว์ทั้งหลายที่ - จิตรู้เพราะ - ตนคือผู้ที่รู้นั้น


    ผู้เขียนไม่ได้และไม่เคยดูถูกดูแคลนผู้ที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ที่เคร่ง ศาสนา หรือเป็นผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องอะไรๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของตน

    หรือศาสนาที่ตนนับถืออยู่ ไม่ว่าศาสนาอะไร รวมทั้งพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าคนไทยผู้ที่นับถือพุทธเป็นส่วนใหญ่ที่คิดว่าตนรู้จัก

    พุทธศาสนาดีหรือเป็นพุทธมามกะเหล่านั้นจะรู้จักแก่นแกนที่แท้จริงของพุทธ ศาสนาสักกี่เปอร์เซ็นต์ หรือมีจำนวนเท่าใด

    ซึ่งซีดีของหลวงพ่อปราโมช ครูผู้สอนวิปัสสนาสมาธิบอกว่า ไม่รู้ว่าทั่วประเทศไทยจะมีถึงหมื่นๆ คนหรือไม่?


    ที่หลวงพ่อปราโมชกล่าวมานั้นสำคัญทีเดียว นั่นแปลว่าผู้นับถือพุทธของบ้านเราที่มีมากกว่า 50 ล้านคน

    ล้วนแล้วแต่ - หากไม่ใช่เพราะเกิดในประเทศไทยที่คนส่วนใหญ่มากๆ นับถือพุทธ ฉะนั้นจึงเป็นพุทธอยู่แล้ว

    ต้องถือว่าอย่างดีก็รู้จักแต่กระพี้ของพุทธศาสนา ดี - ไม่ดี - รู้จักแต่อะไรก็ไม่รู้?! -

    เพราะฉะนั้น ที่อ้างกันว่าคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นผู้รู้พุทธศาสนาเป็น อย่างดี

    แต่ความจริงแล้วบ้านเราล้วนเต็มไปด้วยผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นไปเช่นนั้นโดยอัตโนมัติ

    หรือไม่ก็มีแต่ผู้ที่มีความงมงายไสยศาสตร์ปราศจากแก่นแกนของศาสนาเลยแม้แต่น้อย

    อย่าลืมว่าพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่เกิดมาในลัทธิพระเวทกับลัทธิก่อนพระ เวท (pre-vedic culture)


    [​IMG]


    ที่มีมาก่อนพุทธศาสนานานนับเป็นพันๆ ปี และลัทธิพระเวท - ก่อนพระเวทที่มีมาก่อนนานนักหนานั้น

    มีอยู่ 2 ส่วน คือ พรหมนาส (brahmanas หรือวิถีชีวิตในบ้านในเมือง) กับอรัญยากา (aranyaka หรือวัฒนธรรมในป่าในเขา)

    ส่วนหนึ่งหรือครึ่งหนึ่ง ได้แก่ พรหมนาสทั้งหมดและอรัญยากาส่วนน้อยนิด

    ซึ่งด้วยกาลเวลา - ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นศาสนาพราหมณ์อันประกอบด้วยพิธีกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่มากๆ

    ได้ทำให้นักปรัชญาปัญญาชนและนักคิดของอินเดียทั้งหลายในตอนนั้นอึดอัดใจ

    รวมทั้งพระพุทธองค์ก่อนที่จะได้บรรลุนิพพาน

    บรรดานักคิดนักปรัชญาเหล่านี้จึงเชื่อว่าต้องแสวงหาความจริงที่แท้จริง - ของธรรมชาติที่มองเห็น เช่น จักรวาล โลก ภูเขา และวัตถุธาตุอย่างหนึ่ง

    กับธรรมชาติที่มองไม่เห็น เช่น จิต จิตวิญญาณ พระเจ้าและเทพเทวดาอีกอย่างหนึ่งล้วนอีกครึ่งหนึ่งหรือส่วนหนึ่ง ได้แก่ อรัญยากา หรือการปฏิบัติตามป่าตามเขา

    ซึ่งนักคิดนักปรัชญาสนใจมากกว่าการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงแท้ ด้วยวิธีการภายในท่ามกลางความสงบของธรรมชาติของป่าของเขา (การทำสมาธิ)

    หรืออรัญยากาอันเป็นวิธีที่ทำให้ผู้ปฏิบัติด้วยความตั้งใจจริงๆ อาจสามารถเข้าถึงความจริงแท้ได้

    อรัญยากาและการทำสมาธิหรือโยคะจึงเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงที่ แท้จริงและหลุดพ้นได้

    อรัญยากาที่เน้นเฉพาะการทำสมาธิสู่การหลุดพ้น (transcendence) หรือตรัสรู้ (enlightenment)

    จึงยังคงเป็นวิถีปฏิบัติของทุกศาสนาที่เกิดจากลัทธิพระเวท รวมทั้งศาสนาพราหมณ์ เช่น ของมหาวีระ และพุทธศาสนา ฯลฯ


    [​IMG]

    คัมภีร์ หรือฤคเวททั้ง 4 เวท และอุปานิษัทที่ตามมาของลัทธิพระเวท (ที่พัฒนามาเป็นศาสนาพราหมณ์สายตรง)

    ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่ได้มาจากปรัชญาบวกกับญาณ หยั่งรู้ (intuition หรือปัญญาในทางศาสนา อันหมายถึง ภาวนามัยปัญญาที่เป็นพื้นฐานของ wisdom)

    บวกกับความเชื่อศรัทธาและพิธีกรรมของพระเจ้าผู้สร้างตามพรหมนาส - ที่นับวันก็ยิ่งมีมากมายยิ่ง จนกระทั่งนักคิดนักปรัชญาหลายๆ คนอึดอัดใจ

    รวมทั้งพระพุทธเจ้าดังได้กล่าวมาแล้ว - เรารู้มาว่าในสมัยที่พระพุทธองค์ก่อนจะได้หลุดพ้นและการตรัสรู้นั้น

    พระองค์ได้ทรงศึกษาลัทธิพระเวททั้งหมด รวมทั้งอุปานิษัท

    (ที่มีอยู่ในสมัยนั้นเพียง 5 เล่ม และเขียนเสร็จในช่วงต่อมาในขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่อีก 3 เล่ม อย่างช่ำชองยิ่ง)

    และจากที่พระองค์ได้ศึกษามาทั้งลัทธิพระเวทและจากคัมภีร์และหนังสือทั้งของ

    อินเดียโบราณและจากที่อื่นๆ เท่าที่มีอยู่ในสมัยนั้น พระองค์จึงเป็นผู้ที่รอบรู้ในความรู้ทั้งหมดของโลกอย่างแท้จริง

    สมกับสมญานามที่ทุกๆ คนเรียกหาพระองค์ว่าเป็นสัพพัญญูชนของโลก


    ไม่มีใครรู้ว่า ใครที่อินเดียเป็นผู้เขียนหรือรวบรวมลัทธิพระเวท และโดยเฉพาะวัฒนธรรมก่อนพระเวท (pre-vedic culture) มาจากไหน?

    หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่น่าจะเอามาคิดต่อ มีว่าวัฒนธรรมก่อนพระเวทไม่ได้มาจากเอเชียกลางหรือเผ่าอารยัน

    แต่มาจากแอฟริกา มาตั้งแต่ทะเลอาหรับยังเป็นพื้นดิน ซึ่งหมายความว่าเมื่อความหนาวเย็นของยุคน้ำแข็ง (ice-age)

    ครั้งสุดท้ายถึงจุดสูงสุด เมื่อแผ่นดินอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึงกว่า 400 ฟุต เมื่อ 18,000 ปีก่อน

    ซึ่งเป็นช่วงก่อนตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานบ้านช่องของมนุษย์ตามที่นักโบราณคดี วิทยาศาสตร์เชื่อ
    ก่อนไอน์สไตน์ - กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับบทความของวันนี้

    คือ ไบรอัน กรีนแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กับมิชิโอะ กากุแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กซิตี

    นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยา ต่างกรรมต่างวาระกัน (2004 and 2005)

    ทั้ง 2 คนต่างก็ได้เขียนหนังสือที่ขายดีมากๆ คนละเล่มเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่

    ทฤษฎีซูเปอร์สตริง และมิติของจักรวาล เพราะฉะนั้นก่อนไอน์สไตน์ไปหลายพันปี

    ศาสดาของลัทธิพระเวทได้บอกกับเราตลอดมาว่า จักรวาลมีกลุ่มของมิติ (หรือภูมิ หรือชั้นของชีวิต หรือที่ว่างของการดำรงอยู่)

    ออกเป็นกลุ่มๆ โดยมีมิติเกี่ยวกับสถานที่หรือที่ว่างโดยตรง 3 กลุ่มและมิติที่เวลาเกี่ยวกับอย่างน้อยอีก 3 กลุ่ม

    ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่ามีความสอดคล้องกับพุทธศาสนาที่มาจากลัทธิพระเวทเหมือนกัน

    [​IMG]

    เรา - ท่านและผู้ที่อยู่ในพุทธศาสนาทุกๆ คนรู้ดีว่าภูมิหรือระดับจิตหรือขั้นของชีวิตจิตรู้นั้นจะประกอบด้วยกลุ่ม 6 กลุ่ม ดังนี้คือ

    อบายภูมิ (4) มนุสสภูมิ (1) สวรรค์ขั้นต่ำ (6) รูปพรหม หรือสวรรค์ชั้นสูง (16) สุทธาวาส (1) อรูปพรหม (4)

    เราจะเห็นว่ามนุษยภูมิซึ่งก็คือภูมิ (หรือมิติแห่งกายกับระดับจิตรู้ ซึ่งเป็นความรู้หรือจักรวาลวิทยาใหม่ในปัจจุบันที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ๆ ที่สุด

    และยอมรับกันจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เพียง 10 ปีมานี้เอง)


    ภูมิในวิชาจิตวิทยานั้น ผู้เขียนคิดว่าน่าจะตรงกับชั้น (stages) หรือระดับของจิตของชีวิต

    หากคิดเช่นนั้น มนุษย (มนุสส) ภูมิ คือภูมิซึ่งอยู่ระหว่างนรก (อบาย) กับสวรรค์

    และมนุษยภูมิจะมีความเป็นพิเศษอยู่ที่เป็นมิติทางจิตเพียงภูมิหนึ่งเดียวที่ มนุษย์โลกมีหนทางเลือกและเตรียมตัว (intentional choice)

    ที่จะเลือกหนทางไปนรกหรือสวรรค์ หรือไปสู่มิติที่สูงกว่านั้น - ไปตามกรรมของตน - มิติของโลก

    หรือจักรวาลที่มีมนุษย (1) นรก (4) และสวรรค์ (6) นั้นจะเป็นมิติที่สัตว์โลกมีรูปร่างกายภาพที่ (physical ที่มี space occupying property)

    ซึ่งทางพุทธเรียกว่า กามาวจรภูมิ ซึ่งมิติหรือภูมิเหล่านี้ (ยกเว้นนรกที่เป็นเรื่องของจิต)

    จะมีวิวัฒนาการของกายกับจิต หรือมีมิติของทั้งที่ว่างกับเวลาทั้ง 2 มิติ ส่วนมิติที่ 4 หรือสวรรค์ชั้นสูงภูมิแห่งรูปพรหม (16)

    มิติที่ 5 สุทธาวาส (1) และมิติที่ 6 (4) เป็นมิติของเวลา หรือมิติอื่นๆ ที่ลัทธิพระเวทไม่ได้พูด จะเป็นมิติแห่งเวลา (time) เท่านั้น


    น่าสนใจที่ศาสนาแห่งลัทธิพระเวทที่ตรงกับพุทธศาสนา - ตามที่ผู้เขียนคิดและเชื่อว่าสวรรค์และนรกมีจริงๆ - ว่าในมิติ

    ที่มีมนุษย์ภูมิลงมาจะเป็นสถานที่ที่เป็นมิติหรือภูมิจะมีแต่ วิวัฒนาการทางกายต่อเนื่องหรือชีววิทยา

    เพราะฉะนั้น มิติที่สูงกว่านั้นหรือจากสวรรค์ชั้นหรือรูปพรหมทั้ง 16 ชั้น สุทธาวาส และอรูปพรหมอีก 4 ชั้น

    จะเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ จึงไม่จำเป็นต้องมีมิติของ ที่ว่าง (space)

    ฉะนั้น ภูมิหรือมิติที่อยู่สูงกว่าที่กล่าวมานั้น รวมทั้งที่กล่าวก่อนบรรทัดสุดท้ายว่าต่างเป็นมิติที่มีแต่เวลาอย่างเดียว

    นั้นจึงล้วนแล้วแต่ไมมีรูปร่างกายภาพ (physical) แบบที่เราคิดและรู้จักเลยด้วย แม้แต่ในชั้นที่เรียกว่า รูปพรหม (16) ก็เป็นเช่น

    นั่นก็คือ ชั้นของสวรรค์ชั้นสูงหรือรูปพรหม (16) และชั้นสุทธาวาส (1) จะประกอบด้วยแสงที่มีรูปประดุจดาว (astral) ที่มีรัศมีน้อย

    คืออยู่กับดาวดวงนั้นเท่านั้น โดยไม่ได้แผ่กระจายสู่ที่ว่างที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วย มิติที่ 6 หรืออรูปพรหมจะมีแสงที่มีรัศมีมากไปทั่วที่ว่างของภูมินั้น

    ชั้นต่างๆ ทั้งหมดจึงเป็นมิติที่มีแต่วิวัฒนาการ ทั้งกายและจิตที่ต่อเนื่อง (ระหว่างภพภูมิต่างๆ ของชีวิต)

    ซึ่งในชั้นสูงจะมีแต่วิวัฒนาการเฉพาะจิตวิญญาณ (spirituality) ที่ไล่ต่อๆ ไปถึงนิพพานการตรัสรู้อันเป็นเป้าหมายของการดำรงอยู่ของชีวิตและจักรวาล


    ลัทธิพระเวทบอกว่า มิติที่ 4 จะเป็นมิติของจิตยามฝันที่ตัวเองจะมีความรู้เหนือธรรมชาติอย่างล้ำลึก และสามารถจะแยกตัวเองเป็น 2 ร่างไปไกลขนาดไหนก็ได้

    ทั้งยังมองเห็นได้ไกลเป็นปีที่แสงเดินทางได้ด้วยตาที่ 3 เหมือนกับพระอินทร์ส่องดูโลกด้วยกล้องทิพยเนตร

    ส่วนมิติที่ 5 จะเหมือนกับอยู่กับโลกในระหว่างที่เราฝันและความหลับลึก พร้อมกับมีความสามารถมองเห็นกาลเวลาที่ห่างไกลได้

    และสามารถติดต่อกับมิติต่างได้ด้วยจิต มิติที่ 5 จึงไม่ต้องมีภาษาใช้

    ส่วนมิติที่ 6 เป็นมิติที่มีอัตตาอหังการแยกออกไปอยู่ต่างหาก ทำให้รู้จริงๆ ว่าที่แท้นั้น แม้แต่อัตตาตัวตนอหังการก็ไม่ใช่ว่าจะมีตัวตนจริง




    [​IMG]

    ในทางวิทยาศาสตร์ใหม่นั้น ทฤษฎีสตริง ซูเปอร์สตริง และสุดท้าย เอ็ม-ธีออรี่ (M-theory)

    ซึ่งได้มาจากสตริงธีออรี่หนึ่งเดียวกัน จึงได้เกิดมีจักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่ขึ้นมา และยอมรับกันเพียงไม่ถึง 10 ปีมานี้เอง

    หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ภายในสหัสวรรษนี้ นั่นคือ "ทฤษฎีที่อธิบายทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง" (theory of everything)

    ซึ่งก็คือแรงที่รวมแรงทั้ง 4 แรงให้เป็นหนึ่งเดียว (grand unified theory) ที่นักฟิสิกส์ค้นหามานานนักหนา

    รวมทั้งอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และสตีเฟน ฮอว์กิง ทฤษฎีซูเปอร์สตริงบอกว่า

    สิ่งที่เราคิดว่าเป็นคลื่นอนุภาค เช่น อิเล็กตรอน ควาก นิวตริโนส์ ฯลฯ

    ซึ่งในสภาพหนึ่งเป็นอนุภาคหรือมีลักษณะที่เป็นจุดนั้น หากแยกต่อไปโดยทฤษฎีซูเปอร์สตริง

    (ซึ่งมีเพียงแต่ทางคณิตศาสตร์อย่างเดียว เพราะว่าในปัจจุบันนี้ ความรู้หรือเทคโนโลยีสำหรับการทดสอบทางห้องทดลองยังล้าหลัง

    การทดสอบทางห้องวิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้) มันก็จะพบว่ามันแทนที่จะเป็นจุด

    มันกลับกลายเป็นสายสตริงที่เล็กละเอียดมาก - เพราะเล็กกว่าอะตอมถึง 3 เท่า - ที่สั่นระรัว (vibration)

    การสั่นระรัวสั่นสะเทือนแต่ละรูปแบบเหมือนกับโน้ตดนตรีที่จะให้อนุภาคแต่ละ ตัวออกมา

    จักรวาลจึงเป็นดุจการประสานเสียง (harmony) ของดนตรีที่มีแต่ไวโอลิน (หรือ strings) มากมาย

    หรือเป็นซิมโฟนีเราดีๆ นี่เอง และโดยทฤษฎีซูเปอร์สตริง หรือเอ็ม-ธีออรี่ (M = membrane หรือหนังที่ขึงหน้ากลอง)

    ที่อธิบายเพิ่มเติมว่า จักรวาลนั้นไม่ใช่มีเพียงหนึ่งเดียวคือจักรวาลของเราเท่านั้น

    [​IMG]

    แต่ยังมีจักรวาลอื่นๆ เยอะแยะไปหมด (pleuniverses or multiverses) ซ้อนๆ กับจักรวาลของเรา

    เพียงห่างไปเป็นมิลลิเมตรเท่านั้น แต่เรามองไม่เห็น เพราะต่างมิติกัน

    และทฤษฎีซูเปอร์สตริงยังบอกต่อไปว่า - ประหนึ่งเป็นการยืนยันลัทธิพระเวท - อาจจะมีทั้งหมด 10 (หรือ 11 มิติของที่ว่างบวก 1 มิติของเวลา)

    โดยมิติยิ่งสูงยิ่งสั่นระรัวน้อยจนกระทั่งถึงมิติที่ 10 (11) ถึงจะไม่มีการสั่นหรือแทบจะไม่มีการสั่นเลย

    เพราะมิตินั้นคือมิติที่วิวัฒนาการของจิตวิญญาณ ได้มาถึงจุดสูงสุด หรือคือนิพพานนั่นเอง (มีชิโอะ กากุ)

    จากทฤษฎีสตริงและจากลัทธิพระเวท - สำหรับผู้เขียน - เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า

    มิติยิ่งต่ำจะมีการสั่นสะเทือนมาก และอบายภูมิคือสิ่งที่กล่าวมานั้น

    ในขณะที่มิติยิ่งสูงยิ่งจะมีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณหรือมีการสั่นน้อยลงๆ และความ หยาบหรือรูปกายวัตถุ ก็จะยิ่งน้อยลงด้วย

    ด้วยการมองเห็นได้จากสวรรค์ชั้นสูงกับสุทธาวาสและอรูปพรหมจนถึงนิพพาน.


    ที่มา: ความทรงจำนอกมิติ จิตวิญญาณ-เมื่อแก่นของศาสนากับวิทยาศาสตร์พบกัน | ไทยโพสต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010
  2. bhuddhany

    bhuddhany Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +26
    ผมว่ามีความเป็นได้อยู่เหมือนกันนะครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากครับที่ให้ความรู้:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2010
  3. เมตต

    เมตต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +240
    เรื่องแบบนี้พระพุทธเจ้าท่านทรงเล่าให้ฟังแล้ว แต่จะเป็นในแนวให้เหล่าพุทธสาสนิกชนนำเอาไปปฏิบัติเพื่อให้เลือกปฏิบัติว่าจะทำความดีเพื่อไปสู่สุขคติ หรือจะทำความชั่วเพื่อไปสู่อบายภูมิ หรือจะยิ่งกว่าก็ไปนิพพาน ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเลยเป็นเรื่องธรรมชาติล้วนๆ ใครปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธเจ้าสั่งสอนมากก็รู้มาก ใครปฏิบัติน้อยก็รู้น้อย
     
  4. Sarikanon

    Sarikanon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +22
    จับแพะชนแกะ ลากแม่น้ำทั้ง 7 (5สายคงไม่พอ)

    ตูม! เลยออกมาเป็นโกโกครั้น

    555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2010
  5. เดมีดี

    เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    เป็นความรู้ที่ดีค่ะ สามารถอธิบายสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้...เพื่อการเรียนรู้และเข้าใจต่อไป
    ขอถือโอกาสคัดลอกไปใช้งานค่ะ และขอข้อมูลเพิ่มเติมด้วยค่ะ ถ้ามีอีก
     
  6. worrapod saensree

    worrapod saensree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +310
    ศาสนา และวิทยาศาสตร์ ก็สามารถเชื่อมเข้าหากันด้วยเพียงคำว่า "รู้"

    "ผู้รู้" คือ "พุทธะ"

    แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การอธิบายในแง่นี้ยังคงเป็นการอธิบายในเชิง "รูปธรรม"

    น่าจะหาทฤษฎีของผู้รู้ในเชิง "นามธรรม" มาประกอบกัน ผมว่าน่าจะทำให้เข้าใจได้มาก
    ยิ่งขึ้นกว่าเดิม

    และเป็นที่น่าประทับใจที่พุทธศาสนาของเราได้อธิบายไว้ทั้งทาง "รูป" และ "นาม" บัณฑิตผู้ใคร่รู้หาผู้ใดมีข้อโต้แย้งต่อคำสอนของพุทธองค์ได้


    รบกวนผู้รู้ช่วยเสริมในแง่นามธรรมด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2010
  7. Phusaard

    Phusaard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +349
    ขอบคุณมากครับสำหรับ บทความดีๆที่เอามาให้ได้ศึกษา
     
  8. มีดพิภพ

    มีดพิภพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +83
    ขอขอบคุณมากครับที่ให้ข้อมูลดีๆแบบนี้ จะคอยติดตามอ่านข่าวสารของคุณสันโดษต่อไปครับ
     
  9. ศิษย์hitler

    ศิษย์hitler Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +77
    1+1=0
    คิดให้ดีคิดให้ได้แล้วจะรู้ทำไมได้ศูนย์
     
  10. tanaxxir

    tanaxxir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +190
    ขอบคุณครับ ที่นำเรื่องนี้มาแบ่งปันกัน แต่มันเกินสติปัญญาผม จึงขอไม่วิจารณ์ครับ
     
  11. สีคราม

    สีคราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +182
    ขอบคุณสำหลับความรู้ดีๆ
     
  12. pasit_99

    pasit_99 การเวียนว่ายตายเกิดนั้นน่ากลัว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,674
    ค่าพลัง:
    +3,472
    ผมก็เคยอ่านเรื่อง super strings มานานแล้ว แต่ยังงงๆ เรื่องมิติที่สูงกว่ามิติที่ 4
    เพราะมันเล็กมากๆ จนแทบไม่มีตัวตน
     
  13. t_zara

    t_zara Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณครับ ได้ความรู้มากขึ้นทีเดียว เรื่องทำนองนี้ผมก็เคยคิดอยู่เหมือนกัน(เป็นความคิดแบบเด็กๆ ไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนี้) ว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว สักวันวิทยาศาสตร์กับศาสนาต้องมาบรรจบกัน
     
  14. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ที่ทั้ง2 อย่างคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะว่า

    พุทธศาสนา 1+1=0
    วิทยาศาสตร์ 1+1=2 หรือมากกว่านั้น (ถ้าเหตุให้เป้นไปได้เป้นไปได้ ยิ่งมากยิ่งดี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2011
  15. namotussa

    namotussa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,470
    อนุภาคที่สั่นสะเทือนอย่างมากในตัวเรานั้น มิใช่อื่นไกลก็คือ ความอยาก นั่นเอง ต่อเมื่อเราได้ดวงตารู้แจ้งเห็นธรรม เข้าถึงการปฏิบัติอย่างจริงจังและจริงใจ(ศรัทธา) ทางด้าน ทาน ศีล ภาวนา ก็จะสามารถลดการสั่นสะเทือนของอนุภาคในตัวเราให้สามารถตกผลึกคือแทบไม่สั่นสะเทือน (ดับซึ่งความอยาก) เราสามารถสังเกตได้จากผลึกของน้ำ น้ำที่ได้ผ่านพิธีการสวดมนต์นั่งสมาธิ หรือ น้ำมนต์ เมื่อนำไปส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์จะเห็นว่าเป็นผลึกที่สวยงามเป็นอย่างมาก (การตกผลึกคือการหยุดซึ่งการสั่นสะเทือน) แบบนี้แหละที่เป็นบทสรุปที่ว่า การที่กล่าวว่าความทุกข์นั้นคือการที่จิตใจของเราเกิดความร้อนรุ่ม การที่จิตใจเกิดความร้อนรุ่มนั้นก็เนื่องจากการสั่นสะเทือนของอนุภาคในจิตใจจะมากน้อยขึ้นอยู่กับว่าทุกข์นั้นมากน้อยเพียงใด ดังนั้นเราจะต้องแสวงหา ความสะอาด ความสว่าง และ ความสงบ (การทำให้จิตใจตกผลึก) โดยปฏิบัติตามที่ได้แนะนำไว้เบื้องต้น แล้วตั้งจิตมั่นให้การปฏิบัติดังกล่าวไปสามารถต่อเชื่อมไปยังภพภูมิข้างหน้า หรืออนาคต เพื่อจิตใจจะได้มีความแน่วแน่แห่งศรัทธา (คนละแบบกับการยึดมั่นถือมั่น) ในการน้อมนำไปสู่ นิพพาน ดังนั้นถึงแม้ว่าภพภูมิในชาตินี้จะยังไปสามารถก้าวไปสู่ นิพพาน แต่ภายในจิตใจก็เหมือนกับว่าได้มีแผนที่ เส้นทางการเดินทางที่ชัดเจน ขอเพียงอย่างเดียวจงอย่าได้ประมาท ติดกับดักของมารแห่งความอยาก เพียงใส่บาตรทำบุญทำทานบ้าง ถือศีลอย่างน้อย ศีล 5 พร้อมทั้ง ทำการสวดมนต์ภาวนานั่งสมาธิวิปัสสนาบ้าง ยิ่งปฏิบัติมากก็ยิ่งก้าวสู่หนทางนิพพานได้เร็วขึ้น ด้วยการพยายามดับความอยากทั้งหลาย ที่สำคัญอย่าลืมเด็ดขาดต้องหมั่นอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล และอธิษฐานขอให้เรามีดวงตาเห็นธรรมน้อมนำไปสู่การเข้าถึงซึ่งทางนิพพาน
     
  16. fais

    fais Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +26
    ขอบคณมากค่ะ สำหรับความรู้ที่ดี...
     
  17. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    พุทธศาสนา เป็นเรื่องของโลกทางจิต ฟิสิกส์ เป็นโลกวัตถุ แต่ก็ลึกไปเรื่อย คือพลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในทางควอนตั้มแมคคานิกส์--ฟิสักส์ชั้นสูง จะมีทฤษฎีที่คล้ายกับทางพุทธเยอะ เช่นหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบอร์ก ที่กล่าวมามันไม่รวมกัน อย่างเช่นทฤาฎี รวมทุกอย่าง ยูนิฟาย ฟิลด์ ก้ไม่ใช่ทางสตริง มันมาทีละครั้ง แต่ก็เหมือนจะเติมเต็ม แต่ก็อยู่บนคณิตศาตร์คนละแบบ
    ----พุทธศษสนา ก็ไม่ได้มาจากพระเวท เพียงแต่มีความสอดคล้องเรื่องภพ เรื่องเทพ
    จะเป็นการกล่าวลบหลู่ องค์ญาณที่บริบูรณ์ของท่านไป
    --อันนี้ไม่เจตนามาลบหลู่คำกล่าวของ จขกท. แต่อยากบอกว่า การเขียนให้เข้าใจในสิ่งที่ยาก ด้วยข้อความสั้นๆ นั้นทำได้ยาก แต่ จขกท. ก็ทำได้ดีแล้วครับ ขออนุโมทนา
    ---อจ.ผม บอกว่า พุทธกับวิทยาศาตร์ อาจเป็นดั่งเส้นขนาน ไม่มีทางบรรจบกัน แต่จากเส้นขนานนั้น เราก็สามารถลากเส้นมาถึงกันได้ครับ
    ----แถมนิดนึง นักวิทย์รัสเซีย พบว่า ดีเอ็นเอ เหมือนคอมพิวเตอร์ที่สร้างภาพลวงตาได้
    โดยได้มีการสกัดดีเอ็นเอ แล้วใช้เลเซอร์ยิงผ่าน จะมีลูกคลื่นของรูปแบบพลังงานขึ้น
    ต่อมา เขาได้เอาดีเอ็นเอออก แต่รูปคลื่นก็ปรากฏเหมือนเดิม ทำหลายครั้ง สรุปได้ว่า
    ดีเอ็นเอเหมือนมีชีวิต ได้ จำลองตัวเองไปอยู่ตรงนั้นแทน หรือทำโฮโลแกรมสามมิติของตัวเองขึ้นมา--บางคนก็บอกว่า โลกที่เราอยู่เป็นภาพฉายสามมิติ ที่มีความชัดเจน และรายละเอียดอย่างสูงดีมาก แต่ต้นเหตุ --ต้นเค้าของโฮโลแกรมนี้อยู่ที่ไหน.... ถ้าไม่มีพระพุทธองค์ เราก็ต้องโง่กันไปอีกนานแสนนาน (นึกๆไป...การทดลองนี้ ถ้าเราใช้สิ่งมีชีวิตแทน จะสรุปไดว่า คน-สัตว์ สามรถทำภาพลวงตา หรือแปลงกายเป็นสิ่งอื่นได้ เช่นเสือสมิงแปลงร่างเป็นหญิงสาว ก้น่าจะเป็นไปได้สิ... ทางตะวันตกก็ยอมรับการทดลองนี้แล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2011
  18. apple_lin

    apple_lin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +704
  19. ZiNon_PR

    ZiNon_PR สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +6
    โอ่ อยากรู้ว่าสรรจธรรมที่แท้จริงคืออะไรจัง
    - - ใครรู้ส่งข้อความมาคุยกะผมหน่อยเด๋อ
     
  20. ZiNon_PR

    ZiNon_PR สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +6
    อยากรุๆๆๆๆๆ ส่งข้อความมาคุยกันหน่อยคร๊าฟ
     

แชร์หน้านี้

Loading...