คาถาหัวใจเศรษฐี

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ชนสรณ์, 3 มกราคม 2011.

  1. ชนสรณ์

    ชนสรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +173
    โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
    เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

    Q2: ถ้าเราอยากเป็นเศรษฐีข้ามภพข้ามชาติ จะต้องปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใดบ้าง?
    Q3: มีหลักธรรมข้อใดบ้าง ที่จะทำให้ครอบครัวและวงศ์ตระกูลตั้งอยู่ได้นานอย่างมั่นคง?



    คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ เคยเห็นคนท่องหัวใจเศรษฐีคือ “อุ อา กะ สะ” เพราะเชื่อว่าจะทำให้รวยได้ อยากกราบเรียนถามว่า คาถานี้จะช่วยคนเราเป็นเศรษฐีได้จริงหรือไม่เจ้าคะ
    [​IMG]
    คำตอบ:คาถานี้หรือคาถาไหนก็ตาม หากไม่ทำตามอย่างจริงจัง คือไม่ทำความเข้าใจ และทำตามอย่างจริงจังแล้ว คาถานี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน แม้ทำตามคาถาอย่างเคร่งครัดแล้ว ก็ยังมีข้อแม้อีกคือ

    ๑. หากมีความขยันทุ่มเทไปเท่าไหร่ก็ตาม นั่นเป็นเพียงความเพียร พยายามในปัจจุบันเท่านั้น แต่มีอีกองค์ประกอบหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ไม่รู้คือ บุญเก่าที่มีติดตัวข้ามชาติมา ถ้าความเพียรในปัจจุบันมีมากพอ แต่ว่าบุญเก่าไม่พอ คือทุนเก่ามันน้อยไป บางทีติดลบข้ามชาติมาเสียอีก ในกรณีนี้ให้ทำความเพียรทุ่มเททำตามคาถาเข้าไป ผลที่ได้จะไม่ได้เท่าที่หวัง

    ในทางตรงกันข้าม พวกหนึ่งทุ่มเทความเพียรลงไป แล้วก็มีบุญเก่าด้วย พวกนี้อย่างไรก็ประสบความสำเร็จ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความสำเร็จตามคาถานั้น

    แต่มีพวกหนึ่ง ไม่ค่อยจะมีความเพียร แต่ว่าบุญเก่าของเขามันดี ทำอะไรไม่ค่อยมากแต่ก็สำเร็จเพราะบุญเก่ามาส่ง พูดง่ายๆ คือไม่เก่งแต่ว่า “เฮง”

    แต่ที่เราอยากได้จริงๆ เลย คือทั้งเก่งทั้งเฮง คือความเพียรก็มาก บุญเก่าก็เยอะ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทำอะไรนอกจากสำเร็จหมดแล้ว ยังเอาความสำเร็จไปต่อให้เกิดความสำเร็จใหม่ๆ เพิ่มขึ้นได้อีกมากเลย ตรงนี้เป็นหลัก

    คาถา “อุ อา กะ สะ” นั้นย่อมาจากภาษาบาลี ๔ คำด้วยกัน ถ้าแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ หัวใจเศรษฐี ๔ ข้อก็คือ
    ๑. หาเป็น ถ้าหาไม่เป็น สมบัติมันจะไม่มาให้เป็นเศรษฐีได้
    ๒. เก็บรักษาเป็น
    ๓. เลือกคบแต่คนดี เอามาเป็นที่ปรึกษา มาเป็นรั้วบ้านได้
    ๔. ใช้เป็น

    คำว่าหาเป็น ในที่นี้หมายถึง ประกอบอาชีพที่เป็นสัมมาอาชีวะ คืออาชีพที่ไม่ผิดศีลธรรม แล้วก็ขยันด้วย ฉลาดด้วย อย่างนี้คือหาเป็น

    ประการที่ ๒. เมื่อได้มาแล้ว เก็บรักษาเป็นด้วย ถ้าได้แล้วไม่เก็บให้ดี ก็ไม่ต่างกับเอาชะลอมตักน้ำแล้วก็ไม่ได้อะไร

    ประการที่ ๓. เลือกคบแต่คนดี ซึ่งความจริงแล้ว มันไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องหัวใจเศรษฐี แต่จริงๆ แล้วเกี่ยวกันมากเลย เลือกคบคนดีเข้าไว้ เราจะได้คนดี เพื่อนดี มาเป็นที่ปรึกษา มาเป็นรั้วบ้านให้ รั้วอะไรไม่สู้เท่ากับรั้วคน แต่รั้วเดินได้แบบนี้วิเศษนัก ถ้าเป็นรั้วของคนดี

    ยิ่งกว่านั้น วันหนึ่งนอกจากเป็นที่ปรึกษา มาเป็นรั้วบ้านให้แล้ว ยังอาจมาเป็นผู้ร่วมงาน กลายเป็นเครือข่ายคนดีเกิดขึ้นในสังคมอีกด้วย มันทำให้ในระหว่างที่ทำมาหากินอยู่นั้น มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย มีเพื่อนดีๆ เพิ่มขึ้นด้วย แล้วเราก็สามารถจะซึมซับเอาความดีจากคนเหล่านั้นมาไว้ในตัวได้อีกด้วย ก็เลยกลายเป็นว่า เรามีทั้งอริยทรัพย์กับโลกียทรัพย์ คือทรัพย์ทางธรรมกับทรัพย์ทางโลก เกิดขึ้นพร้อมๆ กันด้วย ตรงนี้สำคัญ

    จากนั้นจึงใช้เป็น คือไม่ใช้ในทางผิดศีลธรรมนั่นเอง เมื่อหาเป็นก็เก็บเป็น สร้างเครือข่ายคนดีก็เป็น แล้วยังใช้เป็นอีกด้วย แน่นอนมันน่ารวย เพราะความรวยของมนุษย์มีองค์ประกอบ ๒ อย่างคือ
    ๑. ความเพียร
    ๒. บุญเก่าหนุน

    สี่ข้อในหัวใจเศรษฐีที่ว่านั้น เป็นเรื่องของความเพียรในปัจจุบัน ยังไม่ได้พูดถึงบุญเก่า เพราะฉะนั้นเมื่อเพียรไปถึง ๔ ประการที่ว่านี้ ทำครบเครื่องดีแล้ว แน่นอนถ้ามีบุญเก่าอยู่ด้วย ต้องรวยแน่ๆ แต่ว่าถ้าบุญเก่ามันน้อยไปหน่อย มันไม่รวยหรอก แต่ถึงไม่รวยก็ตั้งตัวได้ มีกินมีใช้ ไม่ต้องไปแบมือขอใครให้เป็นภัยเป็นปัญหาของสังคม แม้เท่านี้ก็ถือว่า คาถา ๔ คำนี้ศักดิ์สิทธิ์แล้ว

    คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ แล้วถ้าเราอยากจะเป็นเศรษฐีข้ามภพข้ามชาติ จะต้องปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใดเจ้าคะ
    [​IMG]
    คำตอบ: เราต้องทำความเข้าใจในประเด็นนี้ก่อน คือ

    ประเด็นที่ ๑ บางคนรวยแล้วตั้งแต่ชาตินี้ แล้วเขาก็หวังว่าเขาจะรวยอีกในชาติต่อไปอีกด้วย นี่กรณีหนึ่ง

    อีกกรณีหนึ่ง ชาตินี้จนเหลือเกิน ก็ให้มันจนแค่ชาตินี้ อย่าจนข้ามชาติเลย ขอไปรวยชาติหน้า มี ๒ ประเด็นด้วยกัน
    ๑. รวยอยู่แล้ว ทำอย่างไรจะรวยต่อ
    ๒. ยังไม่รวย แต่ขอไปรวยเอาข้างหน้า

    สรุปคือ ต้องการจะไปรวยด้วยกันทั้งนั้น ข้างหน้าก็มีหลักง่ายๆ ว่าถ้าจะเป็นเศรษฐีไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน
    ๑. ต้องมีความเพียร มีความทุ่มเท ที่จะทำงานนั้นอย่างจริงจัง
    ๒. ต้องมีบุญเก่าติดตัวไปด้วย มีเสบียงติดตัวไปด้วย

    จะทำอย่างไร ในเมื่อชาตินี้เรารวยแล้ว และจะไปรวยชาติหน้าต่อ ก็แสดงว่าเรามี ๒ อย่างแล้วก็คือ
    ๑. มีนิสัยขยัน จึงมาทุ่มเททำงาน
    ๒. มีบุญเก่าเมื่อชาติที่แล้วก่อนเกิดติดตัวมาถึงชาตินี้ แต่เราไม่รู้ว่าบุญเก่าหมดหรือยัง

    พวกที่ตอนนี้ก็จนอยู่ รู้แล้วชาติที่แล้วบุญไม่ค่อยสร้าง บุญเก่าจึงไม่มีติดตัว พอรู้อย่างนี้ก็ใช้หลักการเดียวกัน ไม่ว่าชาตินี้จะรวยหรือไม่รวย นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เริ่มสร้างบุญใหม่ก็แล้วกัน เพื่อว่าบุญใหม่ชาตินี้จะได้เป็นบุญเก่าของเราชาติหน้า วิธีสร้างบุญตั้งแต่ชาตินี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักไว้ ๔ ข้อด้วยกัน คือ

    ข้อแรก ตั้งใจศึกษาทำความเข้าใจให้ดี ในเรื่องกฎแห่งกรรม ทำความเข้าใจให้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจเรื่องความดี ความชั่ว เรื่องบุญบาป เรื่องผิด ถูก เรื่องควรไม่ควรได้ชัดเจนตั้งแต่ชาตินี้ จะส่งผลให้เรารู้ว่า พอเกิดชาติหน้าเมื่อรู้ความจะมีใจที่ฉลาดในเรื่องบุญบาปติดไปเลย พอเกิดมาก็เข้าใจแล้วเรื่องบุญบาป เรื่องกรรม จึงมีศรัทธาในเรื่องกฎแห่งกรรม มีความศรัทธาที่จะละชั่ว ทำดี มีใจศรัทธาที่จะเลิกทำบาป มุ่งแต่จะทำบุญ ทุ่มเททำความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม จะทำให้เราได้บุญใหม่ ตั้งแต่ชาตินี้เป็นประการที่ ๑.

    ประการที่ ๒. ตั้งใจรักษาศีลให้ดี คือดีขนาดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เมื่อเรารักษาศีลแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน บุญที่จะส่งผลข้างหน้า ตั้งแต่ชาตินี้ บุคลิกของคนไม่ก่อเวร บุญนั้นมหาศาลนัก เกิดใหม่ก็ได้ร่างกายที่แข็งแรง บุคลิกดี ได้รูปสมบัติตั้งแต่วันเกิดเลย มันเป็นสมบัติขึ้นมา

    ๓. ตั้งใจทำทาน บริจาคทานของเราไปไม่ยั้งมือ ความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพมีเท่าไหร่ เราก็ทำของเราเต็มที่ เหลือกินเหลือใช้ หรือแม้ไม่เหลือ ก็เตรียมแบ่งเป็นงบเอาไว้ งบนี้จะทำทาน ทำมันไปเพื่อกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียวของเรา กำจัดความใจแคบของเรา แล้วไปทำให้เราใจกว้างเป็นทะเลเลย เมื่อใจกว้างเพราะอำนาจแห่งความตั้งใจทำทานอย่างนี้แล้ว เกิดชาตินี้ ชาติไหนก็ใจกว้าง เพราะเราทำของเราอย่างนี้ ชาติหน้าเกิดขึ้นมา ใจใหญ่ยิ่งกว่าทะเล เมื่อใจใหญ่กว่าทะเล ทรัพย์สมบัติทั้งแผ่นดินก็เตรียมจะไหลลงทะเลใจของเรา

    ประการที่ ๔. หมั่นไปวัดบ่อยๆ ความรู้ในเทคโนโลยี ทางด้านวัตถุมีมากล้นอยู่แล้ว ไม่ต้องเพิ่มมันอีก ไปเพิ่มพูนเทคโนโลยีทางด้านจิตใจ จากศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือไปฟังเทศน์ นั่งสมาธิ(Meditation) เป็นการเพิ่มพูนปัญญา เป็นการกลั่นกายใจให้ใสตั้งแต่ชาตินี้ เมื่อใจใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชร ตั้งแต่ชาตินี้ เกิดชาติต่อไปในเบื้องหน้า ใจก็สว่างขึ้นมาเลย ไม่มีอะไรมาบังปัญญาเราได้ เพราะฉะนั้น ๒ ข้างทางที่เดินผ่านไป มันเห็นช่องทางที่จะเปลี่ยน ไม่ว่าสิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่เราพบ ๒ ข้างทาง สามารถเปลี่ยนมันเป็นสมบัติได้หมด เพราะฉะนั้นถ้าจะให้รวยเป็นเศรษฐีข้ามชาตินั้นมี ๔ ข้อนี้

    ๑. ศึกษากฎแห่งกรรมให้เชี่ยวชาญ
    ๒. ตั้งใจรักษาศีล
    ๓. ตั้งใจทำทาน
    ๔. นั่งภาวนาให้ใจใสๆ เป็นแก้ว เป็นเพชร

    รวยด้วยอริยทรัพย์ตั้งแต่ชาตินี้ติดตัวไป ชาติต่อไปทั้งอริยทรัพย์ ทั้งโลกียทรัพย์เป็นของเราแน่นอน

    คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ อยากกราบเรียนถามว่าจะมีหลักธรรมข้อใดบ้าง ที่จะทำให้ครอบครัวและตระกูลตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง ไปตราบชั่วลูกชั่วหลานเจ้าคะ
    [​IMG]

    คำตอบ: คำถามนี้ก็เท่ากับจะถามว่า ทำอย่างไรแม้เป็นมหาเศรษฐีก็ยังล้มละลายเลย เพราะอย่างที่เราเห็นในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ช่วง IMF ทำอย่างไรเราจะไม่ไปเจอภาวะอย่างนั้นอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้เป็นหลักธรรมไว้ ๔ ประการด้วยกัน คือ

    ๑. ของหายให้รีบหา
    ๒. ของเสียให้รีบซ่อม
    ๓. ใช้จ่ายให้รู้จักประมาณ ไม่ให้เกินฐานะ
    ๔. ไม่ตั้งหัวหน้างาน ประเภทที่เรียกว่าเห็นแก่หน้า คือไม่คัดเอาคุณภาพ

    ถ้าของหายไม่รีบหา นั่นคือไม่รับผิดชอบต่อทรัพย์สมบัติที่หามาได้ อย่างนี้เหนื่อยฟรี

    ส่วนในการที่ของเสียแล้วไม่รีบซ่อม อันนี้ก็เป็นความไม่รับผิดชอบต่อทรัพย์สินสิ่งของที่เรามีอยู่ บุคคลที่ของหายไม่รีบหา ของเสียไม่รีบซ่อม เป็นประเภทตาบอดตาใส มีตาดีแต่แกล้งทำเป็นบอด ตาบอดตาใสประเภทนี้ สมบัติมีอยู่แล้วก็ไม่สนใจ หนักเข้าก็หาสมบัติไม่เจอ เพราะฉะนั้นระมัดระวังให้ดีด้วย

    ส่วนในเรื่องของการใช้จ่าย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินฐานะ อะไรไม่ควรใช้ก็อย่าใช้มัน เพราะมันมีหมดได้ ช่วง IMF เราจะเห็นว่าหลายคน ปกติมีรายได้ต่อเดือนเป็นแสนเป็นล้าน พอ IMF เข้า รายได้หายวับไปกับตา ทั้งที่ความสามารถก็ยังมีเท่าเดิม แต่ว่าทางแห่งทรัพย์สินที่จะเข้ามามันหมดไป เพราะฉะนั้น ใครอย่าได้ดูเบาเลยในเรื่องเหล่านี้ อย่าใช้จ่ายทรัพย์สินให้เกินฐานะ แม้ลงทุนเกินฐานะก็ระวังด้วย

    ส่วนในข้อที่ ๔. ไม่ตั้งหัวหน้างานเพราะเห็นแก่หน้า บางคนงานใหญ่โต กิจการกว้างขวาง ก็เอาแต่ญาติ เอาแต่คนสนิทซึ่งไม่มีคุณภาพไปเป็นหัวหน้างาน มันก็ทำให้งานล้ม เพราะฉะนั้นสมบัติในตระกูลก็มีแต่จะล้มละลายหายสูญไปด้วยเป็นธรรมดา แต่มีบางท่านก็จนใจจริงๆ คนอื่นก็ไว้ใจไม่ได้ จำเป็นจะต้องเอาลูกหลานที่คุณภาพไม่ถึง เอามาฝึกเสียก่อน ฝึกจนกระทั่งใช้งานได้ แล้วค่อยปล่อยเขามาเป็นหัวหน้า ถ้าไม่อย่างนั้น มันมีแต่จะล้มละลายจนหมด

    ถ้าอยากให้ตระกูลของเรา เป็นมหาเศรษฐีไปตลอด ต้องยึดหลักดังนี้

    ประการแรก เราต้องฝึกความรับผิดชอบตัวเราเองอย่างฉกาจฉกรรจ์ ให้ทุกคนในวงศ์ตระกูลดู รับผิดชอบอะไรบ้าง

    ๑. รับผิดชอบต่อความเป็นมนุษย์ของเรา คือมีศีลที่สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าร่ำรวยอย่างไร ก็ไม่ทำผิดศีล ไม่ไปจมอบายมุข

    ๒. รับผิดชอบทุกคนในครอบครัวของเรา ฝึกทุกคน มีลูกหลานแล้วอย่าปล่อยเลยตามเลย อย่าตามใจมาก ยิ่งฐานะดีเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นช่องเป็นโอกาสให้คนในครอบครัวของเรา มักง่าย เอาแต่สบาย ตามใจตัว เพราะว่าทรัพย์สมบัติมีมาก

    เพราะฉะนั้นทำให้เป็นตัวอย่างในการฝึกตัว แล้วก็ฝึกเขาไปด้วย เช่นจะนอนดึกหรือนอนหัวค่ำอย่างไร ก็ต้องตื่นแต่เช้ามืดมาเตรียมตัวที่จะทำความดี เตรียมตัวหาทรัพย์เพิ่ม เพราะมันต้องกิน ต้องใช้ เตรียมตัวที่จะตรวจสอบความบกพร่องของตัวเอง เพื่อเพิ่มพูนความดีในตัวให้ยิ่งๆ ขึ้นไป รับผิดชอบตัวเองและครอบครัวอย่างนี้อยู่เป็นประจำ แล้วตระกูลเราจะไม่มีล้มละลายเป็นอันขาด

    --------------------------
     

แชร์หน้านี้

Loading...