เรื่องเด่น พระอดีตวงศ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มาตรัสรู้ในอดีตกาล

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 29 มีนาคม 2007.

  1. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    พุทธญาน-พลังจิต.jpg


    พระอดีตวงศ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ที่ได้มาตรัสรู้ในอดีตกาลอันยาวนานหาที่สุดไม่ได้

    พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า จำนวนพระพุทธเจ้ามีมากมาย
    กว่าจำนวนเม็ดทรายในมหาสมุทร

    เรียนเชิญผู้สนใจศรัทธาทุกๆท่านมาร่วม
    ศึกษาและหาข้อมูลเท่าที่พอจะหาได้เกี่ยวกับ
    พระพุทธเจ้าในอดีตกาลย้อนหลังไปอนึงเพื่อระลึกถึง
    พระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    ในอดีตที่ได้มาตรัสรู้อันเป็นกระแสสายธารแห่งพุทธวงศ์
    และเหล่าหน่อเนื้อพุทธภูมิมาจนถึงปัจจุบัน
    และเรื่อยไปถึงเหล่าพุทธวงศ์ในอณาคต​

    ทั้งนี้ขอเรียนเชิญท่านทั้งหลายมาศึกษา
    เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตกาล
    เพื่อได้รับทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตกาล
    และเพื่อน้อมถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ...​

    น้อมถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา
    แก่พระรัตตรัย แต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 สิงหาคม 2017
  2. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    พุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา.

    จากโพสนี้ไปผมจะขอลงข้อมูลเท่าที่หามาได้เป็นคนแรกในกระทู้
    และคาดหวังข้อมูลอันเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา จากทุกๆท่าน
    มาช่วยๆกันครับ เพื่อเป็นพุทธบูชา และเป็นประโยชน์แก่พระศาสนา
    สาธุชนที่เข้ามาอ่านเพื่อได้รับทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าในอดีตกาล

    -------------------------------------

    [​IMG]

    ขอนำเสนอเรื่องราวของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึงในอดีตที่เป็นที่รู้จักกันดี
    เรื่องของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และที่เกี่ยวข้องกับสุเมธดาบส(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์)ขอนำเสนอเป็นพุทธบูชา


    ในที่สุดสี่อสงไขยด้วยแสนกัปนับแต่นี้ ได้มีนครหนึ่งนามว่า อมรวดี ในนครนั้นมีพราหมณ์ชื่อสุเมธอาศัยอยู่ เขามีกำเนิดดี มีครรภ์อันบริสุทธิ์ทั้งทางฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดานับได้เจ็ดชั่ว ตระกูลใครจะดูถูกมิได้ หาผู้ตำหนิมิได้เกี่ยวกับเรื่องเชื้อชาติ มีรูปสวย น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณอันงามยิ่ง เขา ไม่กระทำการงานอย่างอื่นเลย ศึกษาแต่ศิลปะของพราหมณ์ บิดาและมารดาของเขาได้ถึงแก่กรรมเสียตั้งแต่เขารุ่นหนุ่ม ต่อมา อำมาตย์ผู้จัดการผลประโยชน์นำเอาบัญชีทรัพย์สินมา เปิดห้องคลังที่เต็มไปด้วยทองเงินแก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น บอกให้ ทราบถึงทรัพย์ตลอดเจ็ดชั่วตระกูลว่า ข้าแต่กุมาร ทรัพย์สินเท่านี้เป็นของมารดา เท่านี้เป็นของบิดา เท่านี้เป็นของปู่ตาและ ทวดแล้วเรียนว่า ขอท่านจงจัดการเถิด สุเมธบัณฑิตคิดว่า ปู่เป็นต้น ของเราสะสมทรัพยนี้ไว้แล้ว เมื่อจะไปสู่ปรโลกที่ชื่อว่าจะ ถือเอาทรัพย์แม้กหาปณะหนึ่งติดตัวไปด้วยหามีไม่ แต่เราควรกระทำเหตุที่จะถือเอาทรัพย์ไปด้วยได้ ดังนี้แล้วกราบทูลแด่พระ ราชา ให้ตีกลองป่าวร้องไปในพระนครให้ทานแก่มหาชนแล้วออกบวชเป็นดาบส ก็เพื่อที่จะให้ความนี้แจ่มแจ้งควรจะกล่าวสุเมธ ​

    กถาไว้ในที่นี้ด้วย แต่สุเมธกถานี้มีมาแล้วในพุทธวงศ์ติดต่อกัน แต่เพราะเล่าเรื่องประพันธ์เป็นคาถาจึงไม่ใคร่จะแจ่มชัดดีนัก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจักกล่าวพร้อมกับแสดงคำที่ประพันธ์ เป็นคาถาแทรกไว้ในระหว่างๆ ในที่สุดแห่งสี่องสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ได้มีพระนครมีนามว่า อมรวดี และอีกนามหนึ่งว่า อมร อึกทึกไปด้วยเสียง ๑0 เสียง ที่ท่านหมายถึงเสียงที่กล่าวไว้ใน พุทธวงศ์ ว่า​

    ในสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป มีพระนครหนึ่งนามว่า อมร เป็นเมืองสวยงามน่าดู น่ารื่นรมย์ สมบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ อึกทึกไปด้วยเสียง ๑0 เสียง

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสหิ สทฺเทหิ อวิวิตฺตํ ความว่า อึกทึกไปด้วยเสียงเหล่านี้คือ เสียงช้าง เสียงม้า
    เสียงรถ เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงสังข์ เสียงกังดาล เสียงที่ ๑ ว่า เชิญกิน เชิญขบเคี้ยว เชิญดื่ม ซึ่งท่านถือ เอาเพียงเอกเทศหนึ่งแห่งเสียง เหล่านั้นจึงกล่าวคาถานี้ไว้ในพุทธวงศ์ว่า

    กึกก้องด้วยเสียงช้าง เสียงม้า เสียงกลอง เสียงสังข์และเสียงรถ เสียงป่าวร้องด้วยข้าวและน้ำว่า เชิญขบเคี้ยว เชิญดื่ม

    แล้วกล่าวว่า
    พระนครอันสมบูรณ์ด้วยคุณลักษณะทุกประการ เข้าถึงความเป็นพระนครที่มีสิ่งที่ต้องการทุกชนิด สมบูรณ์ด้วยแก้วเจ็ดประการ ขวักไขว่ไปด้วยเหล่าชนต่างๆมั่งคั่งเป็นดุจเทพนารี เป็นที่อาศัยอยู่ของเหล่าผู้มีบุญ พราหมณ์ชื่อสุเมธ มีสมบัติสะสมไว้นั้นได้หลายโกฏิ มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนต์ ได้มาก เรียนจบไตรเพท ถึงความสำเร็จบริบูรณ์ในลักขณศาสตร์ อิติศาสตร์ และ สัทธรรม

    ต่อมาวันหนึ่ง สุเมธบัณฑิตนั้น ไปในที่เร้น ณ พื้นปราสาทชั้นบนนั่งขัดสมาธิคิดว่า นี่แน่ะบัณฑิตการเกิดอีกชื่อว่าการ ถือปฏิสนธิเป็นทุกข์ การแตกดับแห่งสรีระในที่ที่เกิดแล้วก็เป็นทุกข์เช่นกัน และเราก็มีการเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่ธรรมดา มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา ควรที่เราผู้เป็นเช่นนี้จะแสวงหาพระมหานิพพานที่ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่ มีทุกข์ มีแต่สุข เยือกเย็น ไม่รู้จักตาย ทางสายเดียวที่พ้นจากภพมีปรกตินำไปสู่พระนิพพานจะพึงมีแน่นอน ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

    เราเข้าไปสู่ที่เร้นนั่งแล้วในตอนนั้นได้คิดว่า ขึ้นชื่อว่า การเกิดใหม่เป็นทุกข์ การแตกดับของสรีระก็เป็น
    ทุกข์ เรามีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาเช่นกัน เราจักแสวงหา
    พระนิพพานที่ไม่แก่ ไม่ตาย เป็นแดนเกษม ไฉนหนอเราพึงไม่มีเยื่อใย ไร้ความต้องการทิ้งร่างกายเน่าซึ่งเต็มไป
    ด้วยซากศพนานาชนิดนี้เสียได้แล้วไปทางนั้นมีอยู่ จักมีแน่ ทางนั้นอันใครๆไม่อาจที่จะไม่ให้มีได้ เราจักแสวง
    หาทางนั้น เพื่อพ้นจากภพให้ได้ ดังนี้

    ต่อจากนั้นก็คิดยิ่งขึ้นไปอีกอย่างนี้ว่า เหมือนอย่างว่า ชื่อว่าสุขที่เป็นปฏิปักษ์ต่อทุกข์มีอยู่ในโลกฉันใด เมื่อภพมีอยู่แม้ สิ่งที่ปราศจากภพอันเป็นปฏิปักษ์ต่อภพนั้น ก็พึงมีฉันนั้น และเหมือนเมื่อความร้อนมีอยู่ แม้ความเย็นที่จะระงับความร้อนนั้น ต้องมีฉันใด แม้พระนิพพานที่ระงับไฟมีราคะเป็นต้นก็พึงมีฉันนั้น ธรรมที่ไม่มีโทษอันงามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมอันเป็นบาปอัน ลามก ย่อมมีอยู่ฉันใด เมื่อชาติอันลามกมีอยู่ แม้พระนิพพานกล่าวคือความไม่เกิด เพราะให้ความเกิดทุกอย่างสิ้นไป ก็พึงมีฉัน นั้น ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    เมื่อทุกข์มีอยู่ ขึ้นชื่อว่าสุขก็ต้องมีฉันใด เมื่อภพมีอยู่ แม้สภาพที่ปราศจากภพก็ควรปรารถนาฉันนั้น เมื่อความร้อนมีอยู่ ความเย็นอีกอย่างก็ต้องมีฉันใด ไฟสามอย่างมีอยู่ พระนิพพานก็ควรปรารถนาฉันนั้น เมื่อ
    สิ่งชั่วมีอยู่ แม้ความดีงามก็ต้องมี ฉันใด ความเกิดมีอยู่ แม้ความไม่เกิด ก็ควรปรารถนาฉันนั้น ดังนี้

    ท่านยังคิดข้ออื่นๆ อีกว่า บุรุษผู้จมอยู่ในกองคูถเห็นสระใหญ่ดาดาษไปด้วยดอกปทุมห้าสีแต่ไกล ควรที่แสวงหาสระนั้น คิดว่า เราควรจะไปที่สระนั้นโดยทางไหนหนอ การไม่แสวงหาสระนั้น หาเป็นความผิดของสระนั้นไม่ แต่เป็นความผิดของบุรุษ นั้นเท่านั้น ฉันใด เมื่อสระใหญ่คืออมตนิพพานเป็นที่ชำระล้างมลทินคือกิเลสมีอยู่ การไม่แสวงหาสระนั้นไม่เป็นความผิดของสระ ใหญ่คืออมตนิพาน แต่เป็นความผิดของบุรุษนั้นเท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่งบุรุษผู้ถูกพวกโจรห้อมล้อม เมื่อทางหนีมีอยู่ ถ้า เขาไม่หนีไป ข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางไม่ แต่เป็นความผิดของบุรุษนั้นเท่านั้นฉันใด บุรุษผู้ถูกกิเลสห้อมล้อมจับไว้ได้แล้ว เมื่อทางอันเยือกเย็นเป็นที่สู่พระนิพพานมีอยู่ แต่ไม่แสวงหาทางนั้น หาเป็นความผิดของทางไม่ แต่เป็นความผิดของบุคคลนั้น เท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน และบุรุษผู้ถูกพยาธิเบียดเบียน เมื่อหมอผู้รักษาความเจ็บป่วยมีอยู่ หากเขาไม่แสวงหาหมอนั้นให้รัก ษาความเจ็บป่วย ข้อนั้นหาเป็นความผิดของหมอไม่ แต่เป็นความผิดของบุรุษนั้นฉันใด ผู้ใดถูกพยาธิคือกิเลสเบียดเบียน ไม่ แสวงหาอาจารย์ผู้ฉลาดในการระงับกิเลสซึ่งมีอยู่ ข้อนั้นเป็นความผิดของผู้นั้นเท่านั้น หาเป็นความผิดของอาจารย์ผู้ทำกิเลส ให้พินาศไม่ ฉันนั้นเหมือนกันดังนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

    บุรูษผู้ตกอยู่ในคูถ เห็นสระมีน้ำเต็มเปี่ยม ไม่ไปหาสระนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของสระไม่ฉันใด เมื่อ
    สระคืออมตะในการที่จะชำระล้างมลทินคือกิเลสมีอยู่ เขาไม่ไปหาสระนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของสระคืออมตะ
    ไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน

    คนผู้ถูกศัตรูกลุ้มรุม เมื่อทางหนีไปมีอยู่ไม่หนีไป ข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางไม่ฉันใด คนที่ถูกกิเลส
    กลุ้มรุม เมื่อทาง ปลอดภัยมีอยู่ไม่ไปหาทางนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางที่ปลอดภัยนั้นไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน
    คนผู้เจ็บป่วยเมื่อหมอรักษาโรคมีอยู่ ไม่ยอมให้รักษาความเจ็บป่วยนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของหมอ
    นั้นไม่ ฉันใด คน ผู้ได้รับทุกข์ความเจ็บป่วยคือกิเลสเบียดเบียนแล้ว ไม่ไปหาอาจารย์นั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิด
    ของอาจารย์ผู้แนะนำไม่ ฉันนั้น เหมือนกัน

    ท่านยังนึกถึงแม้ข้ออื่นๆ อีกว่า คนผู้ชอบแต่งตัวพึงทิ้งซากศพที่คล้องไว้ที่คอไปได้อย่างมีความสุข ฉันใด แม้เราก็ควร ทิ้งกายอันเน่านี้ไม่มีอาลัยเข้าไปสู่นิพพานนครฉันนั้น ชายหญิงทั้งหลายถ่ายอุจจาระและปัสสาวะรดบนพื้นที่อันสกปรกแล้ว
    ย่อมไม่เก็บใส่พกหรือเอาชายผ้าห่อไป ต่างรังเกียจไม่อาลัยเลย กลับทิ้งไปเสียฉันใด แม้เราก็ควรจะไม่มีอาลัยทิ้งกายเน่านี้เสีย
    เข้าไปสู่นิพพานนครอันเป็นอมตะฉันนั้น และนายเรือไม่มีอาลัยทิ้งเรือลำเก่าคร่ำคร่าไปฉันใด แม้เราก็จะละกายอันเป็นที่หลั่ง
    ไหลออกจากปากแผลทั้งเก้านี้ ไม่มีอาลัยเข้าไปสู่นิพพานบุรี ฉันนั้น อนึ่ง บุรุษเอาแก้วนานาชนิดเดินทางไปพร้อมกับโจร จึงละทิ้งพวกโจร เหล่านั้นเสีย เพราะกลัวจะเสียแก้วของตน ถือเอาทางปลอดภัย ฉันใด กรชกาย ( กายที่เกิดจากธุลี ) แม้นี้ ก็ฉันนั้นเป็นเช่นโจรปล้นแก้ว ถ้าเราจักก่อตัณหาขึ้นในกายนี้ แก้วคือพระธรรมอันเป็นกุศล คืออริยมรรคจะสูญเสียไป เพราะฉะ
    นั้นควรที่เราจะละทิ้ง กายอันเช่นกับโจรนี้เสีย แล้วเข้าสู่นิพพานนคร ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่าน จึงกล่าวว่า

    บุรุษปลดเปลื้องซากศพที่น่าเกลียด ซึ่งผูกไว้ที่คอแล้ว อยู่อย่างสุขเสรี อยู่ลำพังตนได้ ฉันใด คนก็ควร
    ละทิ้งร่างกายเน่า ที่มากมูลด้วยซากศพนานาชนิดไปอย่างไม่มีอาลัย ไม่มีความต้องการอะไรฉันนั้น
    ชายหญิงทั้งหลายถ่ายกรีสลงในที่ถ่ายอุจจาระทิ้งไปอย่างไม่มีอาลัย ไม่มีความต้องการอะไร ฉันใด เราจะ
    ละทิ้งกายที่เต็มไปด้วยซากศพนานาชนิดนี้ไป เหมือนคนถ่ายอุจจาระแล้วละทิ้งส้วมไปฉะนั้น

    เจ้าของละทิ้งเรือเก่าคร่ำคร่าผุพัง น้ำรั่วเข้าไปได้ ไม่มีความอาลัย ไม่มีความต้องการอะไร ฉันใด เราจัก ละทิ้งกายนี้ที่มีช่องเก้าช่อง หลั่งไหลออกเป็นนิตย์ เหมือนเจ้าของทิ้งเรือเก่าไป ฉะนั้น
    บุรุษไปพร้อมกับโจรถือห่อของไป เห็นภัยที่จะเกิดจากการตัดห่อของจึงทิ้งแล้วไปเสียฉันใด กายนี้เปรียบ เหมือนมหาโจร เราจักละทิ้งกายนี้ไปเพราะกลัวจะถูกตัดกุศล ฉันนั้นเหมือนกัน

    สุเมธบัณฑิตคิดเนื้อความประกอบด้วยเนกขัมมะนี้ ด้วยอุปมาต่างๆ แล้ว สละกองแห่งโภคสมบัตินับไม่ถ้วนในเรือน ของตน แก่เหล่าชนมีคนกำพร้าและคนเกิดทางไกลเป็นต้น ตามนัยที่กล่าวมาแล้วแต่หนหลัง ถวายมหาทานละวัตถุกามและ
    กิเลสกามแล้ว ออกจากอมรนครคนเดียวเท่านั้น อาศัยภูเขาชื่อธรรมิกะในป่าหิมพานต์ สร้างอาศรม เนรมิตบรรณศาลาและที่ จงกรมเนรมิตขึ้นด้วยกำลังแห่งบุญของตน เพื่อจะละเว้นเสียจากโทษแห่งนิวรณ์ทั้งห้า นำมาซึ่งกำลัง กล่าวคืออภิญญาที่ ประกอบด้วนเหตุ อันเป็นคุณ ๘ อย่างตามที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า เมื่อจิตมั่นคงแล้วอย่างนี้ ดังนี้ และละทิ้งผ้าสาฎกที่ ประกอบด้วยโทษ ๙ ประการไว้ในอาศรมบทนั้น แล้วนุ่งห่มผ้าเปลือกไม้ที่ประกอบด้วยคุณ ๑๒ ประการบวชเป็นฤาษี ท่านเมื่อ บวชแล้วอย่างนี้ ก็ละบรรณศาลานั้น ซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยโทษ ๘ ประการ เข้าไปทางโคนต้นไม้ซึ่งประกอบด้วยคุณ ๑0
    ประการ เลิกละข้าวต่างๆอย่างทั้งปวง หันมาบริโภคผลไม้ที่หล่นเองจากต้น เริ่มตั้งความเพียรด้วยอำนาจการนั่งการยืนและ
    การเดินจงกรม ในภายในเจ็ดวันนั่นเองก็ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ท่านได้บรรลุกำลังแห่งอภิญญาตามที่ปรารถนาไว้นั้นด้วย
    ประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    เราคิดอย่างนี้แล้วได้ให้ทรัพย์นั้นได้หลายร้อยโกฏิ แก่คนยากจนอนาถา แล้วเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ ในที่ไม่
    ไกลแห่งป่าหิมพานต์มีภูเขาชื่อธรรมิกะ เราสร้างอาศรมอย่างดีไว้ เนรมิตบรรณศาลาไว้อย่างดี ทั้งยังเนรมิต ที่จงกรมเว้นจากโทษ ๕ ประการไว้ในอาศรมนั้น เราได้กำลังอภิญญาประกอบด้วยองค์แปดประการ เราเลิกใช้ผ้า สาฎกอันประกอบด้วยโทษ ๙ ประการ หันมานุ่งห่มผ้าเปลือกไม้อันประกอบด้วยคุณ ๙ ประการ เราเลิกละบรรณ ศาลาที่กล่นเกลื่อนไปด้วยโทษ ๘ ประการ เข้าสู่โคนไม้อันประกอบด้วยคุณ ๑0 ประการ เราเลิกละข้าวที่หว่านที่ ปลูกโดยไม่มีส่วนเหลือเลย หันมาบริโภคผลไม้หล่นเองที่สมบูรณ์ด้วยคุณเป็นอเนกประการ เราเริ่มตั้งความเพียร ในที่นั่งที่ยืนและที่จงกรมในอาศรมบทนั้น ภายในเจ็ดวันก็ได้บรรลุกำลังแห่งอภิญญา ดังนี้




    <CENTER>
    </CENTER>เมื่อสุเมธดาบสบรรลุอภิญญาพละอย่างนี้แล้ว ให้เวลาล่วงไปด้วยสุขอันเกิดจากสมาบัติ พระศาสดาทรงพระนามว่า ทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ในการถือปฏิสนธิ การอุบัติขึ้น การตรัสรู้และการประกาศพระธรรมจักร โลกธาตุหมื่นหนึ่งแม้ ทั้งสิ้นหวั่นไหวสะเทือนร้องลั่นไปหมด บุรพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้นแล้ว สุเมธบัณฑิตให้เวลาล่วงเลยไปด้วยสุขอันเกิดแต่ สมาบัติ ไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย ทั้งไม่ได้เห็นนิมิตแม้เหล่านั้นด้วย เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    เมื่อเราบรรลุความสำเร็จในศาสนาเป็นผู้มีความชำนิชำนาญอย่างนี้ พระชินเจ้าผู้เป็นโลกนายกทรงพระ นามว่าทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงถือกำเนิด เสด็จอุบัติขึ้น ตรัสรู้ แสดงพระธรรมเทศนา เราเอิบ อิ่มด้วยความยินดีในฌาน มิได้เห็นนิมิตทั้ง ๔ เลย

    ในกาลนั้นพระทศพลทรงพระนามว่าทีปังกร มีพระขีณาสพสี่แสนห้อมล้อมแล้ว เสด็จจาริกไปตามลำดับเสด็จถึงนครชื่อ รัมมกะ เสด็จประทับ ณ สุทัสนมหาวิหาร พวกชาวรัมมกนครได้ข่าวว่า ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ผู้เป็นใหญ่ กว่าสมณะ ทรงบรรลุอภิสัมโพธิอย่างยิ่ง ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จจาริกไปโดยลำดับ เสด็จประทับอยู่ที่สุทัสนมหา วิหาร ต่างพากันถือเภสัชมีเนยใสและเนยข้นเป็นต้น และผ้าเครื่องนุ่มห่ม มีมือถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ ณ ที่ใด ก็หลั่งไหลพากันติดตามไป ณ ที่นั้นๆ เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วถวายบังคม บูชาด้วยของหอม
    และดอกไม้เป็นต้นแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาแล้วทูลนิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น พากันลุกขึ้นจากที่นั่งแล้ว
    หลีกไป ในวันรุ่งขึ้นต่างพากันตระเตรียมมหาทาน ประดับประดานคร ตกแต่งหนทางที่จะเสด็จมาของพระทศพล ในที่มีน้ำเซาะ
    ก็เอาดินถมทำพื้นที่ดินให้ราบเสมอ โรยทรายอันมีสี ดังแผ่นเงิน โปรยข้าวตอกและดอกไม้ ปักธงชายและธงแผ่นผ้าพร้อมด้วย
    ผ้าย้อมสีต่างๆ ตั้งต้นกล้วยและหม้อน้ำเต็มด้วยดอกไม้ เรียงรายเป็นแถว ในกาลนั้นสุเมธดาบสเหาะจากอาศรมบทของตน มาโดยทางอากาศ เบื้องบนของพวกมนุษย์เหล่านั้น เห็นพวก เขาร่าเริงยินดีกันคิดว่า มีเหตุอะไรหนอ จึงลงจากอากาศยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ถามพวกเขาว่า ท่านผู้เจริญ พวกท่านพากัน ประดับประดาทางนี้เพื่อใคร ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    พวกมนุษย์มีใจยินดีนิมนต์พระตถาคต ในเขตแดนแห่งปัจจันตประเทศแล้ว พากันชำระสะสางทางเสด็จ ดำเนินมาของพระองค์ สมัยนั้นเราออกไปจากอาศรมของตน สะบัดผ้าเปลือกไม้ไปมาแล้ว ทีนั้นก็เหาะไปทางอากาศ
    เราเห็นชนต่างเกิดความดีใจ ต่างยินดีร่าเริง ต่างปราโมทย์ จึงลงจากท้องฟ้าไต่ถามพวกมนุษย์ทันทีว่า มหาชนยินดีร่าเริงปราโมทย์ เกิดความดีใจ พวกเขาชำระสะสางถนนหนทางเพื่อใคร

    พวกมนุษย์จึงเรียนว่า ข้าแต่ท่านสุเมธผู้เจริญ ท่านไม่ทราบอะไร พระทศพลทีปังกรทรงบรรลุสัมโพธิญาณแล้ว ประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จจาริกมาถึงนครของพวกเราแล้ว เสด็จพำนักที่สุทัสนมหาวิหาร พวกเรานิมนต์พระผู้มีพระ ภาคเจ้าพระองค์นั้นมา จึงตกแต่งทางนี้ ที่จะเป็นที่เสด็จมาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น สุเมธดาบสคิดว่า แม้เพียงคำ ประกาศว่า พระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากในโลก จะป่วยกล่าวไปไยถึงการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า แม้เราก็ควรจะร่วมกับมนุษย์
    เหล่านี้ตกแต่งทางเพื่อพระทศพลด้วย ท่านจึงกล่าวกะพวกมนุษย์เหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญถ้าพวกท่านตกแต่งทางนี้เพื่อพระ
    พุทธเจ้า ขอจงให้โอกาสส่วนหนึ่งแก่เราบ้าง แม้เราก็จักตกแต่งทางเพื่อพระทศพลพร้อมกับพวกท่าน พวกเขาก็รับปากว่า ดี
    แล้ว ต่างรู้ว่า สุเมธดาบสมีฤทธิ์ จึงกำหนดที่ว่างซึ่งมีน้ำเซาะให้กล่าวว่า ท่านจงแต่งที่นี้เถิด แล้วมอบให้ไป สุเมธดาบสยึดเอา
    ปีติซึ่งมีพระ พุทธเจ้าเป็นอารมณ์คิดว่า เราสามารถจะตกแต่งที่ว่างนี้ด้วยฤทธิ์ได้ แต่เมื่อเราตกแต่งเช่นนี้ ใจก็ไม่ยินดีนัก วันนี้
    เราควรจะ กระทำการรับใช้ด้วยกาย ดังนี้แล้ว ขนดินมาเทลงในที่ว่างนั้น เมื่อที่ว่างแห่งนั้นยังตกแต่งไม่เสร็จเลย พระทศพล
    ทีปังกร มีพระขีณาสพผู้ได้อภิญญา ๖ มีอานุภาพมาก สี่แสนรูปห้อมล้อม เมื่อเหล่ามนุษย์บูชาด้วยของหอมและดอกไม้ เสด็จ
    เยื้องกรายบนพื้น มโนสิลา ด้วยพระพุทธลีลาอันหาที่สุดมิได้ ประดุจราชสีห์ เสด็จดำเนินมาสู่ทางที่ตกแต่งประดับประดาแล้ว
    นั้น สุเมธดาบส ลืมตาทั้งสองขึ้นมองดูพระวรกายของพระทศพลผู้เสด็จดำเนินมาตามทางที่ตกแต่งแล้ว ซึ่งถึงความเลิศด้วย
    พระรูปโฉม ประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สวยงามด้วยพระอนุพยัญชนะ ( ลักษณะส่วนประกอบ ) ๘0 ประการ แวดล้อมด้วยแสงสว่าง ประมาณวาหนึ่ง เปล่งพระพุทธรัศมีหนาทึบมีสี ๖ ประการออกมาดูประหนึ่งสายฟ้าหลายหลาก ในพื้น
    ท้องฟ้ามีสีดุจแก้วมณี ฉายแสงแปลบปลาบไปมาเป็นคู่ๆ กัน จึงคิดว่า วันนี้เราควรกระทำการบริจาคชีวิตแด่พระทศพล เพราะ
    ฉะนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าได้ทรงเหยียบเปือกตม แต่จงทรงย่ำหลังของเรา เสด็จพร้อมกับพระขีณาสพสี่แสนเหมือน
    ทรงเหยียบสะพานแก้วมณีเถิด ข้อนั้นจักเป็นเพื่อประโยชน์เพื่อควมสุขแก่เราตลอกกาลนาน ดังนี้แล้วแก้ผมออก ลาดหนังเสือ ชฎาและผ้าเปลือกไม้วางลงบนเปือกตม ซึ่งมีสีดำ นอนบนหลังเปือกตมเหมือนสะพานแผ่นแก้วมณี เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าว
    ว่า

    พวกมนุษย์เหล่านั้น ถูกเราถามแล้วยืนยันว่า พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมเป็นพระชินะเป็นพระโลกนายกทรง พระนามว่า ทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก พวกเขาแผ้วถางถนนหนทางเพื่อพระองค์ ปีติเกิดขึ้นแล้วแก่เราทัน ใดเพราะได้ฟังคำว่า พุทโธ เราเมื่อกล่าวอยู่ว่า พุทโธ พุทโธ ก็ได้เสวยโสมนัสแล้ว เรายืนอยู่ในที่นั้นยินดี มีใจ เกิดความสังเวชจึงคิดว่า เราจักปลูกพืชไว้ที่นั้น ขณะอย่าได้ล่วงเลยเราไปเสียเปล่า ถ้าพวกท่านจะแผ้วถางหน ทางเพื่อพระพุทธเจ้า ก็จงให้ที่ว่างแห่งหนึ่งแก่เรา แม้เราก็จักแผ้วถาง ถนนหนทาง ทีนั้นพวกเขาได้ให้ที่ว่างแก่ เราเพื่อจะแผ้วถางทางได้
    เวลานั้นเรากำลังคิดอยู่ว่า พุทโธ พุทโธ แผ้วถางทาง เมื่อที่ว่างของเราทำไม่เสร็จ พระมหามุนีทีปังกร ผู้เป็นพระชินเจ้า พร้อมกับพระขีณาสพสี่แสนผู้ได้อภิญญา ๖ ผู้คงที่ปราศจากมลทินเสด็จดำเนินมาทางนั้น การ ต้อนรับต่างๆ ก็มีขึ้น กลองมากมายก็บรรเลงขึ้น เหล่าคนเหล่าเทวดาล้วนร่าเริง ต่างทำเสียงสาธุการลั่นไปทั่ว เหล่าเทวดาเห็นพวกมนุษย์และพวกมนุษย์ก็เห็นเทวดา แม้ทั้งสองพวกนั้นต่างประคองอัญชลีเดินตามพระตถาคต ไป เหล่าเทวดาที่เหาะมาทางอากาศก็โปรยปรายดอกมณฑารพ ดอกบัวหลวง ดอกปาริฉัตรอันทิพย์ไปทั่วทุกทิศ เหล่าคนที่อยู่พื้นดินต่างก็ชูดอกจำปา ดอก (สัลลชะ) ดอกกระทุ่ม ดอกกากระทิง ดอกบุนนาค ดอกการะเกดไปทั่ว ทุกทิศ เราแก้ผมออก เปลื้องผ้าเปลือกไม้และหนังเสือ ในที่นั้นลาดลงบนเปือกตมนอนคว่ำหน้า พระพุทธเจ้าพร้อม ด้วยศิษย์จงทรงเหยียบเราเสด็จไป อย่าได้เหยียบบนเปือกตมเลย ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เรา ดังนี้

    สุเมธดาบสนั้นนอนบนหลังเปือกตมนั่นแล ลืมตาทั้งสองเห็นพระพุทธสิริของพระทศพลทีปังกรจึงคิดว่า ถ้าเราพึงต้อง
    การ ก็พึงเผากิเลสทั้งปวงหมดแล้วเป็นพระสงฆ์นวกะเข้าไปสู่รัมมกนครได้ แต่เราไม่มีกิจด้วยการเผากิเลส ด้วยเพศที่ใครไม่รู้
    จักแล้วบรรลุนิพพาน ถ้ากระไรเราพึงเป็นดังพระทศพลทีปังกรบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณอย่างสูงยิ่งแล้วขึ้นสู่ธรรมนาวา ให้
    มหาชนข้ามสงสารสาครได้แล้วปรินิพพานในภายหลัง ข้อนี้สมควรแก่เรา ดังนี้แล้ว ต่อจากนั้นประมวลธรรม ๘ ประการกระทำ
    ความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วนอนลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    เมื่อเรานอนบนแผ่นดินได้มีความคิดอย่างนี้ว่า วันนี้เมื่อเราปรารถนาอยู่ก็พึงเผากิเลสของเราได้ จะมี ประโยชน์อะไรแก่เราเล่าด้วยการทำให้แจ้งธรรมในที่นี้ด้วยเพศที่ใครๆ ไม่รู้จัก เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณจัก เป็นพระพุทธเจ้าในโลกพร้อมทั้งเทวโลก จะมีประโยชน์อะไรแก่เราด้วยลูกผู้ชาย ผู้มีรูปร่างแข็งแรงข้ามฝั่งไปคน เดียว เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้วจักให้มนุษย์พร้อมทั้งเทวดาข้ามฝั่ง เราตัดกระแสน้ำคือสงสาร ทำลายภพ ทั้งสามแล้ว ขึ้นสู่ธรรมนาวา จักให้มนุษย์พร้อมทั้งเทวดาข้ามฝั่ง ดังนี้

    ก็เมื่อบุคคลปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่จะสำเร็จได้เพราะประมวลมาซึ่งธรรม ๘ ประการ คือความเป็นมนุษย์ ๑ ความถึงพร้อมด้วยเพศ ๑ เหตุ ๑ การเห็นพระศาสดา ๑ การบรรพชา ๑ การสมบูรณ์ด้วยคุณ ๑ การกระทำยิ่งใหญ่ ๑ ความพอใจ ๑
    จริงอยู่ เมื่อบุคคลดำรงอยู่ในภาวะแห่งความเป็นมนุษย์นั่นแหละปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนาย่อม สำเร็จ ความปรารถนาของนาค ครุฑหรือเทวดาหาสำเร็จไม่ ในภาวะแห่งความเป็มนุษย์เมื่อเขาดำรงอยู่ในเพศบุรษเท่านั้น ความปรารถนาจึงจะสำเร็จ ความปรารถนาของหญิงหรือบัณเฑาะก์กระเทยและอุภโตพยัญชนก (คนมีทั้งสองเพศ) ก็หาสำเร็จไม่ แม้สำหรับบุรุษความปรารถนาของผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุที่บรรลุอรหัต แม้ในอัตภาพนี้เท่านั้นจึงสำเร็จได้ นอกนี้หาสำเร็จไม่ แม้
    สำหรับผู้ที่สมบูรณ์ด้วยเหตุถ้าเมื่อปรารถนาในสำนักพระพุทธเจ้าเท่านั้น ความปรารถนาจึงจะสำเร็จ เมื่อพระพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว เมื่อปรารถนาในที่ใกล้เจดีย์หรือที่โคนต้นโพธิ์ ก็หาสำเร็จไม่ แม้เมื่อปรารถนาในสำนักของพระพุทธเจ้า ความ
    ปรารถนาของผู้ที่ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตเท่านั้นจึงจะสำเร็จ ผู้ที่ดำรงอยู่ในเพศคฤหัสถ์หาสำเร็จไม่ แม้เป็นบรรพชิต ความ ปรารถนาของผู้ที่ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ เท่านั้นจึงจะสำเร็จ ผู้ที่เว้นจากคุณสมบัตินี้ นอกนี้หาสำเร็จไม่ แม้ผู้ที่สมบูรณ์ ด้วยคุณแล้วก็ตาม ความปรารถนาของผู้ที่ได้กระทำบริจาคชีวิตของตนแด่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยการกระทำอันยิ่ง ใหญ่นี้เท่านั้น จึงจะสำเร็จ ของคนนอกนี้หาสำเร็จไม่ แม้ผู้ที่จะสมบูรณ์ด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่แล้วยังจะต้องมีฉันทะอันใหญ่ หลวง อุตสาหะ ความพยายามและการแสวงหาอันใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ความปรารถนา จึงจะสำเร็จ คนอื่นนอกจากนี้หาสำเร็จไม่
    ในข้อที่ฉันทะจะต้องยิ่งใหญ่นั้น มีข้ออุปมาดังต่อไปนี้ ก็ถ้าจะพึงเป็นไปอย่างนี้ว่า ผู้ใดสามารถที่จะใช้กำลังแขนของตน ข้ามห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้น ที่เป็นน้ำผืนเดียวกันหมดแล้วถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุควาเป็นพระพุทธเจ้าได้ หรือว่า ผู้ใดเดินด้วย เท้าสามารถที่จะเหยียบย่ำห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้นที่ปกคลุมด้วยกอไผ่แล้วถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้ หรือ ว่าผู้ใดปักดาบทั้งหลายลงแล้วเอาเท้าเหยียบห้วงจักรวาลทั้งสิ้นซึ่งเต็มไปด้วยฝักดาบสามารถที่จะถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความ เป็นพระพุทธเจ้าได้ ผู้ใดไม่สำคัญเหตุเหล่านั้นแม้เหตุหนึ่งว่าเป็นของที่ตนทำได้ยาก คิดแต่ว่าเราจักข้ามไปหรือไปถึงเอาซึ่งฝั่ง ข้างหนึ่งจนได้ ดังนี้ เข้าผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้ประกอบด้วยฉันทะอุตสาหะความพยายามและการแสวงหาอันใหญ่ ความปรารถนา ย่อมสำเร็จ คนนอกนี้หาสำเร็จไม่ ก็สุเมธดาบสแม้จะประมวลธรรมทั้ง ๘ ประการเหล่านี้ได้แล้ว ยังความปรารถนาอย่างยิ่ง
    ใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วนอนลง ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรเสด็จมาประทับยืนที่เบื้องศีรษะ ของสุเมธดาบส ทรงลืมพระเนตรทั้งสองอันสมบูรณ์ด้วยประสาทมีวรรณะ ๕ ชนิด ประหนึ่งว่า เปิดอยู่ซึ่งสีหบัญชรแก้วมณี ทอดพระเนตรเห็นสุเมธดาบสนอนบนหลังเปือกตมทรงดำริว่า ดาบสนี้กระทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อความเป็น
    พระพุทธเจ้า ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จหรือไม่หนอ ทรงส่งพระอนาคตังสญาณใคร่ครวญอยู่ ทรงทราบว่า ล่วงสี่อสง ไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้ เข้าจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคดม ยังประทับยืนอยู่นั่นแหละทรงพยากรณ์แล้วด้วยตรัสว่า พวกท่านจงดูดาบสผู้มีตบะสูงนี้ ซึ่งนอนอยู่บนเปือกตม ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็นแล่วพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดาบสนี้กระทำ ความปรารถนายิ่งใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า นอนแล้วความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วย แสนกัปนับแต่นี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าพระโคดม ก็ในอัตภาพนั้นของเขา นครนามว่ากบิลพัสดุ์จักเป็นที่อยู่อาศัย พระเทวีพระนามว่ามายาเป็นพระมารดา พระราชาพระนามว่าสุทโธทนะเป็นพระราชบิดา พระเถระชื่ออุปติสสะเป็นอัครสาวก พระโกลิตะเป็นอัครสาวกที่สอง พุทธอุปฐากชื่ออานนท์ พระเถรีนามว่าเขมาเป็นอัครสาวิกา พระเถรีนามว่าอุบลวรรณาเป็น อัครสาวิกาที่สอง เขามีญาณแก่กล้าแล้ว ออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่ รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑลจักตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสตถพฤษ์ ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ผู้ทรงรู้แจ้งซึ่งโลก ผู้ทรงรับเครื่องบูชา ประทับยืน ณ เบื้องศีรษะ ได้ตรัสคำนี้กะเราว่า พวกท่านจงดูดาบสผู้เป็นชฎิลผู้มีตบะสูงนี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกในกัปที่นับไม่ ถ้วนแต่กัปนี้ เขาเป็นตถาคตจะออกจากนครชื่อกบิลพัสดุ์อันน่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียร กระทำทุกกิริยา นั่งที่โคน ต้นอชปาลนิโครธประคองข้าวปายาสไปยังแม่น้ำเนรัญชราในที่นั้น พระชินเจ้าพระองค์นั้น ทรงถือข้าวปายาสไป ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จถึงโคนต้นโพธิ์โดยทางที่เขาแต่งไว้ดีแล้ว ลำดับนั้นพระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมียศใหญ่ มิมีใครยิ่งกว่ากระทำประทักษิณโพธิมณฑลแล้ว จักตรัสูรู้ที่โคนต้นโพธิ์ พระมารดาผู้เป็นชนนีของเขาจักมีนามว่า มายา พระบิดาจักมีพระนามว่า สุทโธทนะ เขาจักมีนามว่า โคดม พระโกลิตะและอุปติสสะจักป็นอัครสาวก ผู้หา อาสวะมิได้ปราศจากราคะแล้ว มีจิตอันสงบตั้งมั่น อุปฐากนามว่าอานนท์จักเป็นอุปฐากพระชินเจ้านั้น นางเขมา และนางอุบลวรรณาจักเป็นอัครสาวิกา ผู้หาอาสวะมิได้ปราศจากราคะแล้ว มีจิตสงบตั้งมั่น ต้นไม้ที่ตรัสรู้ของ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จักเรียกกันว่า อัสสัตถพฤษ์ ดังนี้

    สุเมธดาบสได้บังเกิดโสมนัสว่า นัยว่าความปรารถนาของเราจักสำเร็จดังนี้ มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระทศพล ทีปังกรแล้วต่างได้พากันร่าเริงยินดีว่า นัยว่าสุเมธดาบสเป็นพืชแห่งพระพุทธเจ้า เป็นหน่อแห่งพระพุทธเจ้าและพวกเขาเหล่า นั้นก็ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ธรรมดาว่าบุรุษเมื่อจะข้ามแม่น้ำ ไม่สามารถข้ามโดยท่าโดยตรงได้ ย่อมข้ามโดยท่าข้างใต้ฉันใด แม้พวกเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อไม่ได้มรรคและผลในศาสนาของพระทศพลทีปังกร ในกาลนั้นพวกเราพึงสามารถกระทำให้
    แจ้งซึ่งมรรคและผลในที่ต่อหน้าของท่านดังนี้ ต่างพากันตั้งความปรารถนาไว้ แม้พระทศพลทีปังกรทรงสรรเสริญพระโพธิสัตว์ ทรงบูชาด้วยดอกไม้ ๘ กำมือ ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จหลีกไป แม้พระขีณาสพนับได้สี่แสนต่างก็พากันบูชาพระโพธิสัตว์ ด้วยของหอมและพวงดอกไม้ กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นจากที่นอนในเวลาที่คนทั้งปวงหลีกไปแล้วคิดว่า เราจักตรวจตราดูบารมีทั้งหลาย ดังนี้ จึงนั่งขัดสมาธิบนที่สุดของกองดอกไม้ เมื่อพระโพธิ์สัตว์นั่งแล้วอย่างนี้ เทวดาในหมื่น จักรวาลทั้งสิ้นได้ให้สาธุการกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าสุเมธดาบส ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เก่าก่อนทั้งหลายนั่งสมาธิด้วยคิดว่า เราจักตรวจตราบารมีทั้งหลาย ชื่อว่าบุพรนิมิตเหล่าใดจะปรากฏ บุรพนิมิตเหล่านั้นแม้ทั้งหมดปรากฏแจ่มแจ้งแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย พวกเราก็รู้ในข้อนั้น นิมิตเหล่านั้นปรากฏแก่ผู้ใด ผู้นั้นจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วน
    เดียว ท่านจงประคองความเพียรของตนให้มั่นดังนี้ กล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์ ด้วยคำสรรเสริญนานาประการ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

    คนและเทวดาได้ฟังคำนี้ ของพระพุทธเจ้าผู้หาเสมอมิได้ ผู้ทรงแสวงหาคุณใหญ่ ต่างยินดีว่า ดาบสนี้เป็น พืชและเป็นหน่อพระพุทธเจ้า เสียงโห่ร้องดังลั่นไป มนุษย์พร้อมเทวดาในหมื่นโลกธาตุต่างปรบมือหัวเราะร่า ต่าง ประคองอัญชลีนมัสการ ถ้าพวกเราจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถ ก็จักมีอยู่เฉพาะหน้าท่านผู้นี้ในกาลไกลใน อนาคต มนุษย์เมื่อจะข้ามฝั่งพลาดท่าที่ตั้งอยู่เฉพาะหน้ก็จะถือเอาท่าข้างใต้ข้ามแม่น้ำใหญ่ต่อไปได้ฉันใด พวก เราแม้ทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าพ้นพระชินเจ้านี้ไปก็จักอยู่เฉพาะหน้าท่านผู้นี้ในกาลไกลในอนาคต พระพุทธ เจ้านามว่า ทีปังกร ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้ทรงรับเครื่องบูชา ทรงกำหนดกรรมของเราไว้แล้ว จึงทรงยกพระบาท เบื้องขวาเสด็จไป พระสาวกผู้เป็นพระชินบุตรเหล่าใดได้มีอยู่ในที่นั้น เหล่านั้นทั้งหมดได้ทำประทักษิณเรา คน นาค คนธรรพ์ ต่างกราบไว้แล้วหลีกไป เมื่อพระโลกนายกพร้อมด้วยพระสงฆ์ล่วงทัศนวิสัยของเราแล้ว มีจิตยินดี และร่าเริง เราจึงลุกขึ้นจากอาสนะในบัดนั้น ครั้งนั้นเราสบายใจด้วยความสุขบันเทิงใจด้วยความปราโมทย์ ท่วม ท้นด้วยปีติ นั่งขัดสมาธิอยู่ ทีนั้นเรานั่งขัดสมาธิแล้วคิดได้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ชำนาญในฌาน ถึงความเต็มเปี่ยม ในอภิญญาแล้วในโลกตั้งพันฤาษีที่เสมอกับเราไม่มี เราไม่มีใครเสมอในฤทธิธรรม จึงได้ความสุขเช่นนี้ ในการนั่ง ขัดสมาธิของเรา เทวดาและมนุษย์ผู้อาศัยอยู่ในหมื่นจักรวาลต่างเปล่งเสียงบรรลือลั่นว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า แน่นอน นิมิตใดจะปรากฏในการนั่งสมาธิของพระโพธิสัตว์ในกาลก่อนนิมิตเหล่านั้นก็ปรากฏแล้วในวันนี้ ความ หนาวก็เหือดหาย ความร้อนก็ระงับเหล่านี้ก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน โลกธาตุหมื่นหนึ่งก็ ปราศจากเสียง ไม่มีความยุ่งเหยิง เหล่านี้ก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน พายุใหญ่ก็ไม่พัด แม่น้ำลำคลองก็ไม่ไหล เหล่านี้ปราฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ดอกไม้ทั้งหลายที่เกิดบนบกและเกิด ในน้ำ ทั้งหมดต่างก็บานในทันใด ดอกไม้ทั้งหมดก็ผลิตผลในวันนี้ รัตนะทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในอากาศและตั้งอยู่ในพื้น ดิน ต่างก็ส่องแสงในทันใดรัตนะแม้เหล่านั้นก็ส่องแสงในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ดนตรีทั้งของมนุษย์ และเป็นทิพย์ต่างบรรเลงขึ้นในทันใด แม้ทั้งสองอย่างนั้นก็ขับขานขึ้นในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ท้อง ฟ้ามีดอกไม้สวยงาม ก็ตกลงเป็นฝนในทันใด แม้เหล่านั้นก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน มหาสมุทรก็ม้วนตัวลง โลกธาตุหมื่นหนึ่งก็หวั่นไหว แม้ทั้งสองอย่างนั้นก็ดังลั่นไปในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า แน่นอน พระอาทิตย์ก็ปราศจากเมฆหมอก ดาวทั้งปวงก็มองเห็นได้ แม้เหล่านั้นก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระ พุทธเจ้าแน่นอน น้ำพุ่งประทุขึ้นจากแผ่นดินโดยที่ฝนมิได้ตกเลย วันนี้น้ำก็ประทุขึ้นในทันใดนั้น ท่านจักเป็นพระ พุทธเจ้าแน่นอน หมู่ดาวก็สว่างไสวในท้องฟ้า พระจันทร์ก็ประกอบวิสาขฤกษ์ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในโพรงอาศัยอยู่ในซอกเขา ต่างออกมาจากที่อยู่ของตน วันนี้แม้สัตว์เหล่านั้นก็ทิ้งที่อยู่อาศัย ท่าน จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ความไม่ยินดีไม่มีแก่สัตว์ทั้งหลายเขาต่างถือสันโดษ วันนี้สัตว์แม้เหล่านั้นทั้งหมดก็ ถือสันโดษ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน คราวนั้นโรคทั้งหลายก็สงบระงับและความหิวก็พินาศไป วันนี้ก็ปรากฏ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน คราวนั้นราคะก็เบาบาง โทสะโมหะก็พินาศ กิเลสเหล่านั้นทั้งปวงก็ปราศจากไป ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน คราวนั้นภัยก็ไม่มี แม้วันนี้ข้อนั้นก็ปรากฏ พวกเรารู้ได้ด้วยนิมิตนั้น ท่านจักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่นอน ธุลีไม่ฟุ้งขึ้นเบื้องบน แม้วันนี้ข้อนั้นก็ปรากฏ พวกเรารู้ได้ด้วยนิมิตนั้น ท่านจักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่นอน กลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาก็ถอยห่าง มีแต่กลิ่นทิพย์ฟุ้งไปทั่ว วันนี้แม้กลิ่นก็ฟุ้งอยู่ ท่านจักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่นอน เหล่าเทวดาทั้งสิ้นเว้นอรูปพรหมก็ปรากฏ วันนี้เทวดาแม้เหล่านั้นทั้งหมดก็มองเห็นได้ ท่าน
    จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ขึ้นชื่อว่านรกมีเพียงใด ทั้งหมดนั้นก็เห็นได้ในทันใด แม้วันนี้ก็ปรากฏทั้งหมด ท่านจัก
    เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน คราวนั้นฝาผนัง บานประตู แผ่นหิน ไม่เป็นเครื่องกีดขวางได้ แม้สิ่งเหล่านั้นวันนี้ก็กลาย เป็นว่างหมด ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน การจุติ การอุบัติ ไม่มีในขณะนั้น วันนี้นิมิตเหล่านั้นก็ปรากฏ ท่าน
    จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ท่านจงประคองความเพียรให้มั่นอย่าได้ถอยกลับ จงก้าวหน้าไป แม้พวกเราก็รู้ข้อนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ดังนี้

    พระโพธิสัตว์ได้ฟังพระดำรัสของพระทศพลปีทังกรและถ้อยคำของเทวดาในหมื่นจักรวาล เกิดความอุตสาหะโดย ประมาณยิ่งขึ้นจึงคิดว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระดำรัสไม่ว่างเปล่า ถ้อยคำของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีเป็นอย่าง
    อื่น เหมือนอย่างว่า ก้อนดินที่ขว้างไปในอากาศจะต้องตก สัตว์ที่เกิดแล้วจะต้องตาย เมื่ออรุณขึ้นพระอาทิตย์ก็ต้องขึ้น ราชสีห์ ที่ออกจากถ้ำที่อาศัยจะต้องบันลืสีหนาท หญิงที่ครรภ์แก่จะต้องปลดเปลื้องภาระ [ คลอด ] เป็นของแน่นอน จะต้องมีเป็นแน่ แท้ฉันใด ธรรมดาพระดำรัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นของแน่นอนไม่ว่างเปล่าฉันนั้น เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    เราฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้า และของเทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสองฝ่ายแล้ว มีความร่าเริง
    ยินดีปราโมทย์ จึงคิดขึ้นอย่างนี้ในคราวนั้นว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เป็นพระชินเจ้าไม่มีพระดำรัสเป็นสอง
    มีพระดำรัสไม่ว่างเปล่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีพระดำรัสไม่จริง เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ก้อนดิน
    ที่ขว้างไปในท้องฟ้าย่อมตกบนพื้นดินแน่นอนฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรงแม้ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอน
    และเที่ยงตรง เมื่อถึงเวลาราตรีสิ้น พระอาทิตย์ก็ขึ้นแน่นอนฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐนั้นก็
    ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรง สัตว์ที่มีครรภ์จะต้องเปลื้องภาระ [ หญิงมีครรภ์จะต้องคลอด ]
    ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรง ดังนี้

    สุเมธดาบสนั้นกระทำการตกลงใจอย่างนี้ว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน เพื่อที่จะใคร่ครวญถึงธรรมที่กระทำให้เป็น พระพุทธเจ้า เมื่อตรวจตราดูธรรมธาตุทั้งสิ้นโดยลำดับว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่ ณ ที่ไหนหนอ เบื้องสูงหริอ เบื้องต่ำในทิศใหญ่หรือทิศน้อย ดังนี้ ได้เห็น ทานบารมีข้อที่ ๑ ที่พระโพธิสัตว์แต่เก่าก่อนทั้งหลายถือปฏิบัติเป็นประจำจึง กล่าวสอนตนอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญทานบารมีข้อแรกให้เต็ม เหมือนอย่างว่าหม้อน้ำที่
    คว่ำแล้วย่อมคายน้ำออกไม่เหลือไม่นำกลับเข้าไปอีกฉันใด แม้ท่านเมื่อไม่เหลียวแลทรัพย์ ยศ บุตร ภริยาหรืออวัยวะใหญ่น้อย ให้สิ่งที่เขาต้องการอยากได้ทั้งหมดแก่ผู้ขอที่มาถึงกระทำมิให้มีส่วนเหลืออยู่ จักได้นั่งที่โคนต้นโพธิเป็นพระพุทธเจ้าได้ดังนี้ ท่านได้อธิษฐานทานบารมีข้อแรกทำให้มั่นแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    เอาเถอะเราจะเลือกเฟ้นธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ทางโน้นและทางนี้ทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำ ตลอด สิบทิศ ตราบเท่าถึงธรรมธาตุนี้ ครั้งนั้นเมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่จึงได้เห็น ทานบารมีที่เป็นทางใหญ่เป็นข้อแรก ที่ท่าน ผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อนประพฤติสืบกันมาแล้ว ท่านจึงยึดทานบารมีข้อที่ ๑ นี้ทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็น ทานบารมี หากท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ หม้อที่เต็มน้ำใครผู้ใดผู้หนึ่งคว่ำลงก็จะคายน้ำออกจนไม่เหลือ ไม่ยอมรักษาไว้ แม้ฉันใด ท่านเห็นยาจกไม่ว่าจะต่ำทราม สูงส่งและปานกลาง จงให้ทานอย่าให้เหลือไว้ เหมือน หม้อน้ำที่เขาคว่ำลงฉันนั้นเถิด ดังนี้

    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญอยู่ยิ่งๆ ขึ้นด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้าไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้เห็น ศีลบารมีข้อที่ ๒ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญศีลบารมีให้เต็มเปี่ยม เหมือนอย่างว่า ธรรมดาว่าเนื้อจามรีไม่เหลียวแลแม้ชีวิต รักษาหางของตนอย่างเดียว ฉันใด จำเดิมแต่นี้ท่านก็ไม่เหลียวแลแม้ชีวิต รักษาศีล อย่างเดียว จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ดังนี้ เขาได้อธิษฐานศีลบารมีข้อที่สองทำให้มั่นแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้ จักหามีเพียงเท่านี้ไม่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้อย่างอื่นที่เป็นเครื่องบ่มโพธิ ญาณ ครั้งนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น ศีลบารมีข้อที่ ๒ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อนถือปฏิบัติเป็น ประจำ ท่านจงยึดถือศีลบารมีข้อที่ ๒ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นศีลบารมี หากท่านปรารถนาจะ
    บรรลุโพธิญาณ จามรี หางคล้องติดในที่ไหนก็ตามก็จะยอมตายในที่นั้น ไม่ยอมให้หางหลุดลุ่ย ฉันใด ท่านจง บำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ในภูมิทั้งสี่ จงรักษาศีลในกาลทุกเมื่อ เหมือนจามรีรักษาหาง ฉันนั้นเถิด ดังนี้

    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญอยู่ยิ่งๆ ขึ้นด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้าไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น เนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิตนับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญเนกขัมบารมีให้เต็มเปี่ยม
    เหมือนอย่างว่าบุรุษผู้อยู่ในเรือนจำ มิได้มีความรักใคร่ในเรือนจำนั้นเลย โดยที่แท้เขารำคาญอย่างเดียว และไม่อยากอยู่เลย
    ฉันใด แม้ท่านก็จงทำภพทั้งปวงให้เป็นเช่นเรือนจำ รำคาญอยากจะพ้นไปจากภพทั้งปวง มุ่งหน้าต่อการออกบวช ฉันนั้น
    เหมือนกัน ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยอาการอย่างนี้ ดังนี้ เขาได้อธิษฐานเนกขัมมบารมีข้อที่สามมั่นแล้ว เพราะฉะนั้นท่าน
    จึงกล่าวว่า

    ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่นที่เป็นเครื่องบ่ม โพธิญาณ คราวนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น เนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลายถือปฏิบัติเป็นประจำ ท่านจงยึดเนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นเนกขัมมบารมี หากท่านปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ บุรุษผู้อยู่ในเรือนจำนาน ลำบากเพราะทุกข์ มิได้เกิดความยินดีในที่นั้น ย่อมแสวงหาทางที่จะพ้นไปถ่ายเดียวฉันใด ท่านจงเห็นภพทั้งปวงเหมือนเรือนจำ จงตั้งหน้ามุ่งต่อการออกบวช เพื่อพ้นจากภพ ฉันนั้นเถิด ดังนี้

    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นๆไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น ปัญญาบารมีข้อที่ ๔ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญปัญญาบารมีให้มีบริบูรณ์ ท่านอย่าได้เว้นใครๆ เลยไม่ว่าจะเป็นคนชั้นเลว ชั้นปานกลางชั้นสูง พึงเข้าไปหาบัณฑิตมิได้เว้นตระกูลไรๆ ในบรรดาตระกูลที่ แตกต่างกันมีตระกูลชั้นต่ำเป็นต้น เที่ยวไปบิณฑบาตตามลำดับย่อมได้อาหารพอยังชีพโดยพลัน ฉันใด แม้ท่านก็เข้าไปหา
    บัณฑิตแล้วไต่ถามอยู่ จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ฉันนั้น ดังนี้ เขาได้อธิษฐานกระทำปัญญาบารมีข้อที่ ๔ ให้มั่น เพราะเหตุนั้นท่าน จึงกล่าวว่า

    ก็พุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่นที่บ่มโพธิญาณอีก
    ในกาลนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น ปัญญาบารมีข้อที่ ๔ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลายถือ
    ปฏิบัติเป็นประจำ ท่านจงยึดปัญญาบารมีข้อที่ ๔ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นปัญญาบารมี หากท่าน
    ปรารถนาที่จะบรรลุพระโพธิญาณ ภิกษุเมื่อขอเขาไม่เว้นตระกูลสูงปานกลางและต่ำย่อมได้ภิกษาพอเลี้ยงชีพ โดยอาการอย่างนี้ ฉันใด ท่านเมื่อไต่ถามชนผู้รู้ตลอดกาลทุกเมื่อ ถึงความเป็นปัญญาบารมีจักบรรลุสัมโพธิญาณ ได้ ดังนี้

    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น วิริยบารมีข้อที่ ๕ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญวิริยบารมีให้มีบริบูรณ์ให้เต็ม เปี่ยม เหมือนอย่างว่าราชสีห์พระยาฤคราชเป็นสัตว์มีความเพียรมั่นในทุกอริยาบถ ฉันใด แม้ท่านเมื่อเป็นผู้มีความเพียรมั่น มีความเพียรไม่ย่อหย่อน จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ เขาได้อธิษฐานวิริยบารมีข้อที่ ๕ กระทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้นท่านจึง กล่าวว่า

    ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้เลย เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ ครั้งนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ก็ได้เห็นวิริยบารมีข้อที่ ๕ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลายถือปฏิบัติเป็นประจำ ท่านจงยึดวิริยบารมีข้อที่ ๕ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นวิริยบารมี หาก
    ท่านปรารถนาบรรลุโพธิญาณ ราชสีห์พระยามฤคราชมีความเพียรไม่ย่อหย่อนมีใจประคับประคองตลอดเวลา ฉันใด ท่านประคองความเพียรให้มั่นในภพทั้งปวง ถึงความเป็นวิริยบารมีแล้ว จักบรรลุโพธิญาณ ฉันนั้นเหมือน กัน ดังนี้

    ลำดับนั้นเมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น ขันติบารมีข้อที่ ๖ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญขันติบารมีให้เต็มเปี่ยม พึงเป็นผู้อดทนได้ทั้งในความนับถือทั้งในความดูหมิ่น เหมือนอย่างว่า คนทั้งหลาย ทิ้งของสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้างบนแผ่นดิน แผ่นดินย่อมไม่กระทำความชอบใจ ไม่กระทำความแค้นใจ มีแต่อดทนอดกลั้นเท่านั้นฉันใด แม้ท่านเมื่ออดทนได้ในความนับถือ
    ก็ดี ในความดูหมิ่นก็ดี จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้ เขาได้อธิษฐานขันติบารมีข้อที่ ๖ เพราะทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้นท่าน
    จึงกล่าวว่า

    ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้เลย เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ ครั้งนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น ขันติบารมีข้อที่ ๖ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลายถือปฏิบัติเป็นประจำ ท่านจงยึดขันติบารมีข้อที่ ๖ นี้ กระทำให้มั่นก่อน มีใจไม่ลังเลในข้อที่นั้นจักบรรลุ สัมโพธิญาณ ธรรมดาแผ่นดินย่อมทนต่อสิ่งของที่เขาทิ้งลง สะอาดบ้างไม่สะอาดบ้างทุกอย่าง ไม่กระทำความแค้น ใจมีแต่เอ็นดู ฉันใด แม้ท่านเป็นผู้อดทนต่อความนับถือและความดูหมิ่นของคนทั้งปวงได้ ถึงความมีขันติบารมีแล้ว จักได้บรรลุโพธิญาณได้ ดังนี้

    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น สัจบารมีข้อที่ ๗ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญสัจบารมีให้เต็มเปี่ยม อย่ากระทำการพูดเท็จทั้งรู้ตัวอยู่ด้วยมุ่งทรัพย์เป็นต้น แม้เมื่ออัสนีบาตจะตกลงบนกระหม่อมของท่าน เหมือนอย่างว่า ธรรมดาดาวประกายพฤกษ์ในทุกฤดูหาเว้นทางโคจรของตนไม่ จะไม่โคจรไปทางอื่น โคจรไปเฉพาะในทางของตนเท่านั้น ฉันใด
    แม้ท่านไม่ละสัจจะ ไม่กระทำการพูดเท็จเด็ดขาด จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้ เขาได้อธิษฐานสัจบารมีข้อที่ ๗ กระทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

    ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ คราวนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น สัจบารมีข้อที่ ๗ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำกันมา ท่านจงยึดสัจบารมีข้อที่ ๗ นี้กระทำให้มั่นก่อน มีคำพูดไม่เป็นสองในข้อนั้น จักบรรลุ สัมโพธิญาณได้ ธรรมดาว่าดาวประกายพฤกษ์นั้นเป็นคันชั่ง (เที่ยงตรง) ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ย่อมไม่มีโคจรแวะ เวียนไปนอกทาง ไม่ว่าจะในสมัยหรือในฤดูและปีใด ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน อย่าเดินเฉไปจากทางในสัจจะ ทั้งหลาย ถึงความเป็นสัจบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ ดังนี้

    ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น อธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี ท่านอธิษฐานอย่างใดไว้ พึงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอธิษฐานนั้น เหมือนอย่างว่า ธรรมดาภูเขาเมื่อลมทั่วทุกทิศพัดกระทบอยู่ ย่อม
    ไม่สะเทือน ไม่หวั่นไหว ยังคงตั้งอยู่ในที่เดิมของตน ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในความตั้งใจมั่นของตน จักเป็น
    พระพุทธเจ้าได้ดังนี้ เขาได้อธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ กระทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

    ความจริง พุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้เหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ คราวนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น อธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำสืบกันมา ท่านจงยึดอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ นี้กระทำให้มั่นก่อน ท่านเป็นผู้ไม่หวั่น ไหวในข้อนั้นแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ ภูเขาหินไม่หวั่นไหวตั้งมั่นแล้ว ย่อมไม่สะทือนด้วยลมกล้า ย่อมตั้งอยู่ใน ที่เดิมของตนเท่านั้นฉันใด ท่านจงไม่หวั่นไหวในความตั้งใจจริงตลอดกาลทุกเมื่อ ถึงความเป็นอธิษฐานบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ ดังนี้

    ลำดับนั้นเมื่อเขาได้ใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย เขาได้
    เห็น เมตตาบารมีข้อที่ ๙ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญเมตตาบารมีให้เต็ม เปี่ยม ในสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลและมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลพึงมีจิตเป็นอย่างเดียวกัน เหมือนอย่างว่า ธรรมดาว่าน้ำย่อมกระทำ ให้เย็นแผ่ซ่านไปเช่นเดียวกัน ทั้งแก่คนชั่วทั้งแก่คนดีฉันใด แม้ท่านเมื่อเป็นผู้มีน้ำใจเป็นอันเดียวกันด้วยเมตตาจิตในสัตว์ทั้ง
    ปวง จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้ เขาได้อธิษฐานเมตตาบารมีข้อที่ ๙ กระทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    ความจริง พุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมเหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ คราวนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น เมตตาบารมีข้อที่ ๙ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน
    ทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำกันมา ท่านจงยึดเมตตาบารมีข้อที่ ๙ นี้กระทำให้มั่นก่อน ถ้าท่านปรารถนาจะ บรรลุพระโพธิญาณ ก็จงเป็นผู้ไม่มีใครเสมอด้วยเมตตา ธรรมดาน้ำย่อมแผ่ความเย็นไปให้คนดีและคนเลวเสมอ
    กัน ชะล้างมลทินคือธุลีออกได้ฉันใด แม้ท่านก็จงเจริญเมตตาให้สม่ำเสมอไปในคนทั้งที่เกื้อกูลและไม่เกื้อกูล
    ฉันนั้นเถิด ท่านถึงความเป็นเมตตาบารมีแล้ว จักบรรลุพระสัมโพธิญาณ ดังนี้

    ต่อมาเมื่อเขาได้ใคร่ครวญแม้ยิ่งขึ้นไปอีกด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย จึงได้
    เห็น อุเบกขาบารมีข้อที่ ๑0 ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี พึงวางใจเป็นกลางในสุขก็ดีในทุกข์ก็ดี เหมือนอย่างว่า ธรรมดาแผ่นดิน เมื่อคนทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ย่อมวางใจ เป็นกลางทีเดียวฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น เมื่อวางใจเป็นกลางได้ในสุขและทุกข์ก็จักได้เป็นพระพุทธเจ้า เขาได้อธิษฐานอุเบกขา บารมีข้อที่ ๑0 ทำให้มั่นแล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

    ความจริง พุทธธรรมเหล่านี้จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมเหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่ม
    โพธิญาณ คราวนั้นเราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็น อุเบกขาบารมีข้อที่ ๑0 ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำสืบกันมา ท่านจงยึดอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑0 นี้กระทำให้มั่นก่อน ท่านเป็นผู้มั่นคง ประดุจตราชู จักบรรลุพระสัมโพธิญาณ ธรรมดาแผ่นดินย่อมวางเฉยต่อของที่ไม่สะอาดและของที่สะอาด ซึ่งเขา ทิ้งลงไป เว้นขาดจากความโกรธและความยินดีต่อสิ่งทั้งสองนั้น ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น ควรเป็นประดุจตราชูในสุข
    และทุกข์ในกาลทุกเมื่อ ถึงความเป็นอุเบกขาบารมีแล้ว จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ดังนี้

    ต่อนั้นเขาจึงคิดว่า พุทธการกธรรมที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ มีเพียงเท่านี้เท่านั้น ยกเว้นบารมี ๑0 เสียธรรมเหล่าอื่น ไม่มี บารมีทั้ง ๑0 แม้เหล่านี้ แม้ในเบื้องสูง แม้ในอากาศก็ไม่มี ภายใต้แผ่นดินก็ดี ในทิศทั้งหลายมีทิศตะวันออกเป็นต้นก็ดี
    ก็ไม่มี แต่มีตั้งอยู่ภายในหทัยของเรานี้เองดังนี้ เมื่อเขาเห็นว่าบารมีเหล่านั้นตั้งอยู่ในหทัยแล้ว จึงอธิษฐานบารมีแม้ทั้งหมด กระทำให้มั่น พิจารณาแล้วๆ เล่าๆ พิจารณากลับไปกลับมา ยึดเอาตอนปลายทวนมาให้ถึงต้น ยึดเอาตอนต้นมาตั้งไว้ในตอน ปลาย และยึดเอาตรงกลางให้จบลงตรงข้างทั้งสอง ยึดที่ที่สุดข้างทั้งสองให้มาจบลงตรงกลาง ยึดเอาบารมี ๑0 อุปบารมี ๑0 ปรมัตถบารมี ๑0 คือ การบริจาคสิ่งของภายนอกเป็นทานบารมการบริจาคอวัยวะเป็นทานอุปบารมีการบริจาคชีวิตเป็น ทานปรมัตถบารมี ที่ตรงท่ามกลางแล้ว พิจารณาวกไปวกมาเหมือนคนหมุนเครื่องยนต์หีบน้ำมันไปมาพิจารณาคลุกเคล้าเข้า ด้วยกัน เหมือนคนกวนระคนกระทำยอดภูเขาใหญ่สิเนรุให้เป็นมหาสมุทรในห้องจักรวาลฉะนั้น เมื่อเขาพิจารณาบารมีทั้ง ๑0
    อยู่ ด้วยเดชแห่งธรรม แผ่นดินใหญ่นี้ที่หนาได้สองแสนโยชน์ยิ่งด้วยสี่นหุต เป็นราวกะว่ามัดต้นอ้อที่ช้างเหยียบแล้วและเครื่อง ยนต์หีบอ้อยที่กำลังหีบอยู่ ร้องดังลั่นหวั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด หมุนคว้างไม่ต่างอะไรกับวงล้อเครื่องปั้นหม้อและวงล้อ ของเครื่องยนต์บีบน้ำมัน เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    ธรรมที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณในโลกมีเพียงนี้เท่านั้น ไม่นอกไปจากนี้ ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ก็ไม่มี ท่านจงตั้งมั่น อยู่ในธรรมนั้น เมื่อเราไตร่ตรองธรรมเหล่านี้ พร้อมทั้งสภาวะกิจและลักษณะอยู่ ด้วยเดชแห่งธรรม แผ่นดินพร้อม โลกธาตุหมื่นหนึ่งสั่นสะเทือนแล้ว ปฐพีก็ไหวร้องลั่น ดั่งเครื่องยนต์หีบอ้อยที่หีบอยู่ เมทนีดลก็เลื่อนลั่นประดุจดัง วงล้อเครื่องยนต์บีบน้ำมัน ฉะนั้น ดังนี้

    เมื่อมหาปฐพีไหวอยู่ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในรัมมนครต่างมิสามารถทรงตัวยืนอยู่ได้ ประหนึ่งว่าศาลาหลังใหญ่ ที่ถูกลมบ้า
    หมู โหมพัดอย่างหนักพากันเป็นลมล้มลง ภาชนะของช่างหม้อมีน้ำเป็นต้น ที่กำลังทำอยู่ต่างกระทบกันและกันแตกเป็นจุรณ วิจุรณไป มหาชนสะดุ้งกลัวจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบข้อนั้น อย่างไรเลยว่า นี้นาคทำให้หมุนวน หริอว่าบรรดาภูตยักษ์และเทวดาพวกใดพวกหนึ่งทำให้หมุนวน อีกประการหนึ่ง มหาชน แม้ทั้งหมดนี้ถูกทำให้เดือดร้อน ความชั่วหรือความดีจักมีแก่โลกนี้ ขอพระองค์จงตรัสบอกเหตุนั้น แก่พวกข้าพระองค์เถิด พระศาสดาทางสดับถ้อยคำของพวกเขาแล้วตรัสว่า พวกท่านอย่าได้กลัวเลย อย่าคิดอะไรมากเลย ภัยจากเหตุนี้ไม่มีแก่พวก
    ท่าน วันนี้สุเมธบัณฑิตเราพยากรณ์ให้แล้วว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมในอนาคต บัดนี้เขาไตร่ตรองบารมีทั้งหลาย
    อยู่ เมื่อเขาไตร่ตรองอยู่ตรวจตราอยู่ เพราะเดชแห่งธรรม โลกธาตุทั้งสิ้นหมื่นหนึ่งสะเทือนและร้องลั่นไปพร้อมกันทีเดียวดังนี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    ในที่อังคาสพระพุทธเจ้า บริษัทมีประมาณเท่าใด บริษัทในที่นั้นมีประมาณเท่านั้น ต่างตัวสั่นอยู่ เป็นลมล้ม ลงบนแผ่นดิน หม้อน้ำหลายพันและหม้อข้าวหลายร้อยเป็นจำนวนมาก ในที่นั้นต่างกระทบกระแทกกันแตกละเอียด ไปหมด มหาชนต่างหวาดเสียวสะดุ้งกลัวภัย หัวหมุน มีใจว้าวุ่น จึงมาประชุมกัน เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทีปังกร กราบทูลว่าอะไรจักมีแก่โลก ดีหรือชั่ว หรือโลกทั้งปวงจะถูกทำให้เดือดร้อน ขอพระองค์ผู้เป็นดวงตาของโลก จงทรงบรรเทาเหตุนั้น คราวนั้นพระมหามุนีทีปังกรให้พวกเขาเข้าใจแล้วด้วยตรัสว่า พวกท่านจงวางใจเสียเถิด อย่าได้กลัวเลย ในการไหวของแผ่นดินนี้ วันนี้เราได้พยากรณ์แล้ว ถึงบุคคลใดว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้า บุคคล นั้นไต่ตรองถึงธรรมที่พระชินเจ้าถือปฏิบัติมาแล้วแต่เก่าก่อน เมื่อเขาไตร่ตรองถึงธรรม อันเป็นพุทธภูมิโดยไม่ เหลือเพราะเหตุนั้น ปฐพีนี้พร้อมหมื่นโลกธาตุในโลกพร้อมทั้งเทวโลกจึงไหวแล้ว ดังนี้

    มหาชนฟังพระดำรัสของพระตถาคตยินดีร่าเริงแล้ว พากันถือเอาดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ออกจากรัมมนคร เข้าไปหาพระโพธิสัตว์บูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น ไหว้กระทำประทักษิณแล้ว เขาไปยังรัมมนครตามเดิม ฝ่ายพระโพธิสัตว์ไตร่
    ตรองบารมีทั้งสิ้น กระทำความเพียรให้มั่นอธิษฐานแล้ว ลุกจากอาสนะที่นั่ง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า

    เพราะได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ใจเย็นแล้วทันใดนั้น ทุกคนเข้าไปหาเรา กราบไหว้แล้วอีก เรายึด มั่นพระพุทธคุณกระทำใจไว้ให้มั่น นมัสการพระทีปังกร ลุกจากอาสนะในกาลนั้น ดังนี้

    ลำดับนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นประชุมกันแล้ว บูชาพระโพธิสัตว์ผู้ลุกจากอาสนะ ด้วยดอกไม้และของหอมอัน เป็นทิพย์แล้ว ป่าวประกาศคำสรรเสริญอันเป็นมงคลเป็นต้นว่า ข้าแต่สุเมธดาบสผู้เป็นเจ้า วันนี้ท่านตั้งปรารถนาอย่างใหญ่ที่ บาทมูลของพระทศพลทีปังกร ขอความปรารถนาของท่านจงสำเร็จโดยไม่มีอันตราย ความกลัวหรือความหวาดเสียวอย่าได้ มีแก่ท่าน โรคแม้แต่น้อยหนึ่ง อย่าได้เกิดในร่างกาย ขอท่านจงบำเพ็ญบารมีให้เต็มโดยพลันแล้วบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ต้นไม้ที่จะเผล็ดดอกออกผล ย่อมเผล็ดดอกและออกผลตามฤดูกาลฉันใด แม้ท่านก็จงได้สัมผัสพระโพธิญาณอันอุดมโดยพลัน อย่าได้ล่วงสมัยนั้นเลยฉันนั้นเหมือนกัน เทวดาทั้งหลายครั้นป่าวประกาศอย่างนี้แล้ว ได้กลับไปยังเทวสถานของตนๆ ตามเดิม ฝ่ายพระโพธิสัตว์ผู้อันเทวดาสรรเสริญแล้วคิดว่า เราจักบำเพ็ญบารมี ๑0 แล้ว ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปจักได้เป็น พระพุทธเจ้า ดังนี้ อธิษฐานกระทำความเพียรให้มั่นแล้ว เหาะขึ้นไปยังท้องฟ้า ไปสู่ป่าหิมพานต์ทันที เพราะเหตุนั้นท่านจึง กล่าวว่า

    เหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างโปรยปรายดอกไม้อันเป็นทิพย์และอันเป็นของมนุษย์ แก่เขาผู้กำลัง
    ลุกจากอาสนะ ทั้งเทวดาและมนุษย์สองฝ่ายนั้นต่างก็ได้รับความยินดีทั่วหน้า ความปรารถนาของท่านยิ่งใหญ่ ขอ ท่านจงได้สิ่งนั้นตามที่ท่านปรารถนาไว้ ขอสรรพเสนียดจัญไรจงแคล้วคลาดไป ขอโรคภัยจงพินาศไป ขออันตราย จงอย่ามีแก่ท่านเถิด ขอท่านจงได้รับสัมผัสพระโพธิญาณโดยพลัน ข้าแต่มหาวีระ ขอท่านจงเบิกบานด้วยพุทธญาณ เหมือนต้นไม้ที่มีดอกเมื่อถึงฤดูกาลก็เผล็ดดอกฉันนั้นเถิด พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง พึงบำเพ็ญบารมี ๑0 ให้เต็มเปี่ยมฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงบำเพ็ญบารมี ๑0 ให้เต็นเปี่ยมฉันนั้นเถิด พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใด เหล่าหนึ่ง ตรัสรู้ที่โพธิมณฑลฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงตรัสรู้ที่โพธิมณฑลของพระชินเจ้าฉันนั้น พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งทรงประกาศพระธรรมจักร ฉันใด ของท่านจงประกาศพระธรรมจักรฉันนั้น พระจันทร์ในวันเพ็ญผ่องแผ้วย่อมรุ่งโรจน์ฉันใด ขอท่านจงมีใจเต็นเปี่ยมรุ่งโรจน์ในหมื่นโลกธาตุฉันนั้นเถิด พระอาทิตย์ที่พ้นจากราหูแล้ว ย่อมแผดแสงด้วยความร้อนแรงฉันใด ขอท่านจงปลดเปลื้องเรื่องโลกีย์ออกแล้ว สว่างไสวอยู่ด้วยสิริฉันนั้นเถิด แม่น้ำใดๆ ก็ตามย่อมไหลไปลงทะเลใหญ่ฉันใด ขอชาวโลกพร้อมทั้งเทวดาจงรวมลง ที่สำนักของท่านฉันนั้นเถิด ในกาลนั้นเขาอันเทวดาและมนุษย์ชมเชยและสรรเสริญแล้วยึดมั่นบารมีธรรม ๑0 เมื่อ จะบำเพ็ญบารมีธรรมเหล่านั้น เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์แล้ว





    <CENTER>
    กถาว่าด้วยพระทีปังกรพุทธเจ้าและสุเมธดาบส จบ

    </CENTER>​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1169359587.jpg
      1169359587.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.6 KB
      เปิดดู:
      29,636
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มีนาคม 2007
  3. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,442
    [​IMG]


    <O:p</O:p

    อนันตประทีป
    <O:p</O:p

    อนันตประทีปนั้นอุปมาว่าเหมือน ประทีปดวงหนึ่งสามารถเป็นสมุฎฐานจุดประทีปให้ลุกโพลงขึ้นอีกหลายร้อยหลายพันดวง ยังผู้ตกอยู่ในความมืดให้ได้รับแสงสว่าง และแสงสว่างนี้ก็มิรู้จักขาดสิ้นไปได้ โดยประการฉะนี้แลพวกเธอทั้งหลาย พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งๆย่อมเป็นผู้กล่าวแนะนำชี้ทางแก่สรรพสัตว์อีกหลายร้อยหลายพันไม่มีประมาณ ยังสรรพสัตว์เหล่านั้นให้ตั้งจิตมุ่งตรงต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีจิตที่มุ่งในการปฏิบัติธรรมไม่รู้จักขาดสิ้น แสดงพระสัทธรรมตามฐานะอันควร ยังสรรพกุศลสมภารของตนเองให้ทวีไพบูลย์ขึ้น นั้นแลชื่อว่า อนันตประทีป<O:p</O:p

    ที่มา : วิมลเกียรตินิทเทสสูตร<O:p</O:p


    ขออนุโมทนาในกุศลบารมีครั้งนี้ครับ ขอให้สำเร็จพระพระอนุตตตรสัมมาสัมโพธิญาณตามที่ปรารถนาครับ สาธุ
    (f) ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2007
  4. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    พุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา

    [​IMG]


    พระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้า คือ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามท่านผู้รู้ดีรู้ชอบด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นจากการมองเห็นชีวิตเป็นทุกข์ มองเห็นถึงการเกิด แก่ เจ็บและตาย เกิดจากการพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับชีวิต เพียรพยายามแสวงหาทางออกจากทุกข์ที่มองเห็นๆ อยู่ แสวงหาทางให้เกิดปัญญา การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น ยากเย็นนักเพราะต้องบำเพ็ญเพียร สร้างบุญบารมีมากมายเป็นระยะเวลานานแสนนาน ต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในวัฏฏสงสารจนเมื่อไหร่ก็ตามที่ความเพียรและบารมีเต็ม จึงจะได้เสด็จมาตรัสรู้บนโลกมนุษย์และได้โปรดสัตว์ สั่งสอนพระธรรมอันทรงตรัสรู้ดีตรัสรู้ชอบแล้วด้วยพระองค์เอง เพื่อให้สรรพสัตว์ผู้มีปัญญาได้รู้ทาง เห็นทางและเดินทางออกจากทุกข์ได้ ท่านว่าบางกัปป์ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าทรงบังเกิดเลยแม้แต่พระองค์เดียว
    ส่วนกัปป์ที่เรากำลังเป็นอยู่นี้ เป็นกัปป์ที่เจริญสูงสุด เพราะมีพระพุทธเจ้ามากที่สุดแล้วถึง ๕ พระองค์ เรียกว่าเป็น"ภัททกัปป์" พระสมณะโคดมพระพุทธเจ้าของเรา ณ ปัจจุบันนี้ เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ของภัททกัปป์นี้ และอีกนานในโลก ก็จะมีพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายแห่งภัททกัปป์นี้เสด็จมาตรัสรู้ นั่นก็คือ "พระศรีอาริยเมตตไตรย์"
    พระพุทธเจ้ามีกี่องค์

    พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า จำนวนพระพุทธเจ้ามีมากมายกว่าจำนวนเม็ดทรายในมหาสมุทร (อันนี้เป็นเรื่องน่าคิดว่าวัฏฏสงสารหรือสังสารวัฏนั้น ยาวนานขนาดไหน ไม่มีที่สิ้นสุด หาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้ เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เช่นกันว่าการ เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นมาแต่ละพระองค์นั้น เป็นเรื่องยากยิ่งนัก ใช้เวลา กว่าจะตั้งใจและบำเพ็ญบารมีจนได้ตรัสรู้นานมาก และพระพุทธเจ้าจะ มีได้ทีละพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีการเกิดพระพุทธเจ้าพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกันของสังสารวัฏ ในบางยุคสมัย บางกัปป์ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดเลย ที่เรียกว่าเป็น 'สุญญกัปป์' ก็มี)
     
  5. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    พุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา.

    [​IMG]

    พระพุทธเจ้า 25 พระองค์นั้น เป็นการนับแต่
    พระองค์แรกที่พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
    ได้ทรงพบและทรงได้รับการพยากรณ์
    ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า มีดังนี้

    1.พระทีปังกร
    - ในกาลนั้น ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร
    แผ่ไปกว้างขวาง ชนรู้กันมากมายมั่งคั่ง แพร่หลาย พระพุทธศาสนาก็เบิกบาน
    ด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ งามสง่า
    สำหรับพระทีปังกรนั้น ในนิทานกล่าวว่า อยู่ในนครชื่อรัมมวดี
    กษัตริย์ทรงพระนาม สุเมธ เป็นพระชนก พระชนนีทรงพระนามว่า สุเมธา
    มีปราสาทอย่างดีที่สุดสามหลัง ชื่อ รัมมะ สุรัมมะ และสุภะ พระมเหสีพระนามว่า ปทุมา
    พระราชโอรสพระนามว่า อุสภขันธกุมาร
    พระองค์ทรงเห็นนิมิต 4 ประการแล้ว เสด็จออกผนวชด้วยคชสารยานพระที่นั่งต้น
    ทรงบำเพ็ญเพียร อยู่ 10 เดือนเต็ม ครั้นทรงประพฤติปธานจริยาแล้ว
    ก็ได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ พระมหามุนีทีปังกร มหาวีรชินเจ้า
    ทรงประกาศพระธรรมจักร แล้วประทับอยู่ในนันทาราม ทรงปราบปรามเดี่ยรถีย์
    มีพระอัครสาวก คือ พระสุมังคละและพระติสสะ พระศาสดาทีปังกร
    มีพระอุปฐากนามว่า สาคระ มีพระอัครสาวิกา คือ
    พระนางนันทาและพระนางสุนันทา พระมหามุนีทีปังกรมีพระวรกายสูงได้ 80 ศอก
    มีพระชนมายุได้แสนปี พระองค์ทรงพระชนม์อยู่เท่านั้น

    2.พระโกณฑัญญะ
    3.พระมังคละ
    4.พระสุมนะ
    5.พระเรตวะ
    6.พระโสภิตะ
    7.พระอโนมทัสสี
    8.พระปทุมะ
    9.พระนารทะ
    10.พระปทุมมุตตระ
    11.พระสุเมธะ
    12.พระสุชาตะ
    13.พระปิยทัสสี
    14.พระอัตถทัสสี
    15.พระธัมมทัสสี
    16.พระสิทธัตถะ
    17.พระติสสะ
    18.พระปุสสะ
    19.พระวิปัสสี
    20.พระสิขี
    21.พระเวสสภู
    22.พระกกุสันธะ
    23.พระโกนาคมน์
    24.พระกัสสปะ
    25.พระโคตมะ

    ว่าด้วยพระพุทธเจ้า

    คัมภีร์พุทธวงศ์ 5 แห่งขุททกนิกายเสนอพระสัมมาสัม
    พุทธเจ้าไว้ 25 พระองค์ โดยนับแต่พระองค์แรกที่
    พระโคตมะได้ทรงพบและทรงได้รับการพยากรณ์ว่า
    จะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อาฎานาฏิยปริตร เสนอรายชื่อของพระสัมมาสัมพุทธ
    เจ้าไว้ 28 พระองค์ โดยเพิ่มจากคัมภีร์พุทธวงศ์อีก 3 พระองค์
    ก่อนพระทีปังกร คือ พระตัณหังกร พระเมธังกร และพระสรณังกร

    สำหรับบทสวดมนต์สมพุทเธ กล่าวถึงจำนวนของ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารวมแล้ว 3,584,192 พระองค์

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตขณะนี้เป็นพระโพธิสัตว์
    ต่อจากพระโคตมะ มี 10 พระองค์


    1.พระเมตไตย
    2.พระอภิภู
    3.สุภพราหมณ์
    4.พระรามผู้สูงสุด
    5.เทวดาชื่อทีฆโสณี
    6.โตเทยยพราหมณ์
    7.พระเจ้าปเสนทิโกศล
    8.จังกีพราหมณ์
    9.ช้างนาฬาคิรี
    10.ช้างปาลิเลยยกะ

    และหลังจากนี้ก็มีต่อไปในอณาคตอีกหาที่สุดมิได้
     
  6. KeLBeRoS

    KeLBeRoS Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,413
    ค่าพลัง:
    +6,367
    __/l\__
    อนุโมทนาสาธุ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai]
    *************************
     
  7. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    พุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา.

    [​IMG]

    เหตุ 8 ประการของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกัน
    ของ "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบหลังรับพุทธพยากรณ์นับแต่พระพุทธเจ้าทีปังกร"
    "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบ"
    พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์นี้ ๒๔ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าที่ระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบและพระโคดมพุทธเจ้าทรงได้รับพยากรณ์ว่า จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า นิยมนับรวมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเข้ารวมด้วยเรียกว่า "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์" นับแต่พระองค์แรกจนถึงพระโคดมพุทธเจ้า มีดังนี้

    ๑. พระทีปังกร
    ๒. พระโกณฑัญญะ
    ๓. พระสุมัคละ
    ๔. พระสุมนะ
    ๕. พระเรวตะ
    ๖. พระโสภิตะ
    ๗. พระอโนมทัสสี
    ๘. พระปทุมะ
    ๙. พระนารทะ
    ๑๐. พระปทุมุตตระ
    ๑๑. พระสุเมธะ
    ๑๒. พระสุชาตะ
    ๑๓. พระปิยทัสสี
    ๑๔. พระอัตถทัสสี
    ๑๕. พระธรรมทัสสี
    ๑๖. พระสิทธัตถะ
    ๑๗. พระติสสะ
    ๑๘. พระปุสสะ
    ๑๙. พระวิปัสสี
    ๒๐. พระสิขี
    ๒๑. พระเวสสภู
    ๒๒. พระกกุสันธะ
    ๒๓. พระโกนาคมนะ
    ๒๔. พระกัสสปะ
    ๒๕. พระโคตมะ (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)



    1. อายุต่างแห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้า"
    พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบ"
    จากมากไปน้อย

    100,000 พรรษา มี พระทีปักร พระโกณฑัญญะ
    พระอโนมทัสสี พระปทุม พระปทุมุตตร
    พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี พระสิทธัตถ พระติสส

    90,000 พรรษา มี พระสุมังค พระสุมน พระโสภิต
    พระนารท พระสุเมธ พระสุชาต พระปิยทัสสี พระปุสส

    80,000 พรรษา มี พระวิปัสสี

    70,000 พรรษา มี พระสิขี

    60,000 พรรษา มี พระเรวต พระเวสสภู

    40,000 พรรษา มี พระกกุสันธ

    30,000 พรรษา มี พระโกนาคม

    20,000 พรรษา มี พระกัสสป

    80 พรรษา มี พระโคดม (พระศรีศากยมุนีโคดม องค์ปัจจุบัน ส่วนพระศรีอารย เมตตรัยที่จะบังเกิดในอนาคตเบื้องหน้ามี 80,000 พรรษา)


    2. ความต่างแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้า

    พระสรีระสูง 80 ศอก มี พระทีปังกร พระเรวต พระปียทัสสี
    พระอัตถทัสี พระธัมทัสสี พระวิปัสสี

    พระสรีระสูง 60 ศอก มี พระสิทธัตถะ พระเวสสภู พระดิสส

    พระสรีระสูง 40 ศอก มี พระกกุสันธ

    พระสรีระสูง 37 ศอก มี พระสิขี

    พระสรีระสูง 30 ศอก มี พระโกนาคม

    พระสรีระสูง 20 ศอก มี พระกัสสป

    พระสรีระสูง 4 ศอก มี พระโคดม
    (พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)

    หมายเหตุ เทียบกับศอกของมนุษย์ปัจจุบัน 1 ศอก = 50 เซนติเมตร

    3.ความต่างแห่ง เวลาบำเพ็ญทุกกิริยา
    ในพระชาติสุดท้าย
    ทีได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    ใช้เวลา 6 ปี คือ พระโคดม(พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)

    ใช้เวลา 10 เดือน คือ พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ
    พระสุมน พระอโนมทัสสี พระสุชาต พระสิทธถ พระกกุสันธ

    ใช้เวลา 8 เดือน คือ พระสุเมธ พระสุมังคล พระติสส พระสิขี

    ใช้เวลา 7 เดือน คือ พระเรวต

    ใช้เวลา 4 เดือน คือ พระโสภิต

    ใช้เวลา 1 เดือน คือ พระปุสส พระปิยทัสสี พระโกนาคม พระเวสสภู

    ใช้เวลา ครึ่งเดือน คือ พระปทุม พระอัตถทัสสี พระวิปัสสี

    ใช้เวลา 7 วัน คือ พระปทุมุตตร พระนารท พระธัมมทัสสี พระกัสสป

    หมายเหตุ วันเดือนปีในที่นี้นั้นหมายถึงวันเดือนปี ของยุคนั้นๆ

    4. ความต่างแห่งพุทธรังสี
    (เทียบกับมนุษย์ปัจจุบัน หน่วยวัด 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร)

    พุทธรังสีสร้านไปไกล 1,000 โยชน์ คือ พระสุมังคล
    คำนวณได้ รัศมี 16,000 กม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(16,000)**2 = 804,556,800 ตรกม.

    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 80 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง
    30 ศอก หรือ 15 ม. คือ 1 รูปต่อ 3.1428*15*15 = 707.13

    ตรม.ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่
    นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ
    804,556,800*1000/707.13 = 1,137,777,777 รูป

    ----------

    พุทธรังสีสร้านไปไกล 12 โยชน์ คือ พระปทุมุตตร

    คำนวณได้ รัศมี 192 กม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(192)**2 = 115,856.18 ตรกม

    ----------

    พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ คือ พระกกุสันธ
    (สรีระสูง 40 ศอก)

    คำนวณได้ รัศมี 160 กม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(160)**2 = 80,455.68 ตรกม.

    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 40 ศอก
    จะได้รัศมีการนั่ง 18 ศอก หรือ 9 ม.
    คือ 1 รูปต่อ 3.1428*9*9 = 254.57 ตรม.

    ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่
    นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ
    ถึง 80,455.68*1000/254.57 = 316,046 รูป

    -----------

    พุทธรังสีสร้านไปไกล 6 โยชน์ กับ 400 เส้น คือ พระวิปัสสี
    คำนวณได้ รัศมี 112 กม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(112)**2 = 39,423.28 ตรกม.

    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 80 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 30 ศอก
    หรือ 15 ม.คือ 1 รูปต่อ
    3.1428*15*15 = 707.13 ตรม.

    ดังนั้นรังสีของ พระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่
    นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ
    ถึง 39,423.28*1000/707.13 = 55,751 รูป

    ----------

    พุทธรังสีสร้านไปไกล 3 โยชน์ คือ พระสิขี

    คำนวณได้ รัศมี 48 กม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(48)**2 = 7,241 ตรกม.

    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 37 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 16 ศอก
    หรือ 8 ม.คือ 1 รูปต่อ 3.1428*8*8 = 201.14 ตรม.

    ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่
    นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ
    ถึง 7241*1000/201.14 = 36,000 รูป

    -----------

    พุทธรังสีสร้านไปไกล 1 วา คือ พระศรีศากยมุนีโคดม

    คำนวณได้ รัศมี 2 ม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(2)**2 = 12.57 ตรม.

    ----------
    พุทธรังสีสร้านไปไกล สุดแต่พระองค์ประสงค์
    คือพระพุทธเจ้าที่เหลือ

    5.ความต่างแห่งตระกุล

    พระกกุสันธ พระโกนาคม
    พระกัปสสป เกิดในตระกุลพราหมณ์มหาศาล

    พระพุทธเจ้าที่เหลือ ในช่วง 4 อสงไขยเศษแสนมหากัป
    ที่ผ่านมา เกิดในตระกุลกษัตริย์

    6. ความต่างแห่งยานออกมหาภิเนษกรม

    ยานมีความต่างกัน 5 อย่าง

    1.ทรงคชยาน(ช้าง)
    2.ทรงรถยาน
    3.ทรงอัสวยาน(ม้า)
    4.ทรงสีวิกามาศราชยาน
    5.ทรงมณเฑียรมหาปราสาท

    ในบางประการยานที่ทรงออกมหาภิเนษกรม
    นั้นขึ้นอยู่กับยุคสมัยนั้นๆด้วย

    7. ความต่างแห่งไม้ที่ตรัสรู้

    8. ความต่างแห่งอปราซิตบัลลังก์

    -----------

    ความแตกต่างของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้


    1.พระกกุสันธพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,027 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)

    2. พระโกนาคมพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็น
    ครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,028 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

    3. พระกัสสปพุทธเจ้า หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,029 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

    4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
    เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
    พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
    พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ

    5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,032 พระองค์
    เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มีนาคม 2007
  8. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    พุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา.

    [​IMG]

    สรุปพระพุทธเจ้า
    [SIZE=+2]ที่พระโพธิสัตว์อดิตชาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน[/SIZE]
    [SIZE=+2]ทรงพบและได้สร้างบารมี[/SIZE] โดยละเอียดตั้งแต่ก่อนได้รับพุทธพยากรณ์
    และหลังได้รับพุทธพยากรณ์

    [SIZE=+2]สรุปจากหนังสือ สัมภาระบารมี ของท่าน นาคะประทีป และ ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพุทธเจ้า ของ พระเทพมุนี (วิลาศ ญาณวโร)[/SIZE]

    [SIZE=+2]อสงไขย พระพุทธเจ้าอุบัติ (ชื่อพระโพธิสัตว์ในอดิตของพุทธเจ้าปัจจุบัน)[/SIZE]

    [SIZE=+2]*** บารมีตอนต้น ตั้งความปารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ 7 อสงไขย[/SIZE]
    [SIZE=+2]องค์หญิงสุมิตตาเทวี(หรือ พระนางวิสุทธาเทวี ในหนังสือ พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นผู้หญิง " ของ อ. บารมี[/SIZE][SIZE=+2]) ชาติก่อนเริ่มต้นสร้างบารมีอย่างแท้จริง 100,000 มหากัป[/SIZE]

    [SIZE=+2]เริ่มต้น 0 พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า (องค์หญิงสุมิตตาเทวี)[/SIZE][SIZE=+2](หรือ พระนางวิสุทธาเทวี)[/SIZE]

    [SIZE=+2]เริ่ม พระพรหมเทวพุทธเจ้า (พระราชาอรตีเทวราช)[/SIZE]
    [SIZE=+2]นันทะอสงไขย 1 พระพุทธเจ้า 5,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]สุนันทะอสงไขย 2 พระพุทธเจ้า 9,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]ปัฐวีอสงไขย 3 พระพุทธเจ้า 10,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]มัณทะอสงไขย 4 พระพุทธเจ้า 11,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]ธรณีอสงไขย 5 พระพุทธเจ้า 20,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]สาคระอสงไขย 6 พระพุทธเจ้า 30,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]ปุณทริกะอสงไขย 7 พระพุทธเจ้า 40,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]รวมได้พบกับพระพุทธเจ้าใน 7 อสงไขย 125,000 พระองค์[/SIZE]

    [SIZE=+2]*** บารมีตอนกลาง กล่าววาจาปารถนาเป็นพระพุทธเจ้า 9 อสงไขย[/SIZE]
    [SIZE=+2]เริ่มต้น พระปุราณศรีศากยมุนีชินสีห์พุทธเจ้า(พระเจ้าสาครจักรพรรดิ์)[/SIZE]
    [SIZE=+2]สัพพถัททะอสงไขย 8 พระพุทธเจ้า 50,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]สัพพผุลละอสงไขย 9 พระพุทธเจ้า 60,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]สัพพรตนะอสงไขย 10 พระพุทธเจ้า 70,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]อสุภขันธะอสงไขย 11 พระพุทธเจ้า 80,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]มานีภัททะอสงไขย 12 พระพุทธเจ้า 90,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]ปทุมะอสงไขย 13 พระพุทธเจ้า 20,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]อุสภะอสงไขย 14 พระพุทธเจ้า 10,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]ขันธคมะอสงไขย 15 พระพุทธเจ้า 5,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]สัพพผาละอสงไขย 16 พระพุทธเจ้า 2,000 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]รวมได้พบพระพุทธเจ้าใน 9 อสงไขย 387,000 พระองค์[/SIZE]

    [SIZE=+2]*** บารมีตอนปลาย ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า 4 อสงไขย 100,000 มหากัปล์[/SIZE]
    [SIZE=+2]กัปแรก - พระตัณหังกรพุทธเจ้า ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์[/SIZE]
    [SIZE=+2]สารมัณฑกัป - พระเมธังกรพุทธเจ้า ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธเจ้า 4 องค์ - พระสรนังกรพุทธเจ้า ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์[/SIZE]

    [SIZE=+2]** ได้รับพยากรณ์ - พระทีปังกรพุทธเจ้า (สุเมธดาบส) พุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุขัยสมัยนั้นประมาน 100,000 ปี ศาสนาอยู่ในโลก ได้นานปี[/SIZE]
    [SIZE=+2]รวมเวลาจาก พระนางสุมิตตาถึงสุเมธดาบส 16 อสงไขย 1 แสนกัป[/SIZE]

    [SIZE=+2]เสละอสงไขย - เป็นสูญกัปไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 อสงไขย[/SIZE]
    [SIZE=+2]สารกัปมี 1องค์ - พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า (วิชิตาวีจักรพรรดิ ออกบวชมีอภิญญา)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุขัย 100,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]ภาสะอสงไขย - ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 อสงไขย[/SIZE]
    [SIZE=+2]ครบ 2 อสงไขย - พระสุมังคละพุทธเจ้า ( เป็นสุรุจิพราหมณ์โพธิสัตว์บวชมีอภิญ)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุขัย 90,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]สารมัณฑกับ - พระสุมนะพุทธเจ้า (เป็นพญานาคอดุลยวาสุกรีโพธิสัตว์)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุขัย 90,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธเจ้า 4 องค์ - พระเรวตะพุทธเจ้า (เป็นพราหมณ์ อติเทวมาณพโพธิสัตว์)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุขัย 60,000 พรรษา (อาจเป็นปัญญาพุทธเจ้า)[/SIZE]
    [SIZE=+2]- พระโสภิตะพุทธเจ้า (เป็นพราหมณ์ อชิตมาณพโพธิสัตว์)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุขัย 90,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]ชยอสงไขย - ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 อสงไขย[/SIZE]
    [SIZE=+2]วรกัป - พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า (เป็นพญายักขเสนาบดีโพธิสัตว์)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 100,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธเจ้า 3 องค์ - พระปทุมะพุทธเจ้า (เป็นพญาไกรสรราชสี)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 100,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]- พระนารทะพุทธเจ้า (เป็นมหาฤาษีโพธิสัตว์)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 90,000[/SIZE] [SIZE=+2]รุจิรอสงไขย - ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 อสงไขย[/SIZE]

    [SIZE=+2]** บารมีช่วง เศษแสนมหากัปที่เหลือ **[/SIZE]
    [SIZE=+2]มัณฑกัป แต่มี - พระปทุมมุตระพุทธเจ้า (เป็นนายบ้านชื่อ ชฏิลบวชเป็นดาบส)[/SIZE]
    [SIZE=+2](พระพุทธเจ้า 1 พระองค์) พระอสิติสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้รับพยากรณ์จากพระปทุม มุตระมากที่สุด ดังมีในพระไตรปิฏก อายุขัย[/SIZE]
    [SIZE=+2]100,000 พรรษา[/SIZE]

    [SIZE=+2]30000 มหากัป - เป็นสูญกัป ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น[/SIZE]
    [SIZE=+2]มัณฑกัป - พระสุเมธพุทธเจ้า (เป็น อุตตรมานพ ได้ออกบวชเป็นภิกษุ)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุขัย 90,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธเจ้า 2 องค์ - พระสุชาตะพุทธเจ้า (เป็น บรมจักรพรรดิ ได้ออกบวช)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุขัย 90,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]60000 มหากัป - เป็นสูญกัป ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น[/SIZE]
    [SIZE=+2]วรกัป - พระปิยทัสสีพุทธเจ้า ( เป็นกัสสปะมานพ)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุขัย 90,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธเจ้า 3 องต์ - พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า (เป็นสุสิมะดาบส)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 100,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]- พระธรรมทัสสีพุทธเจ้า (เป็นพระอินทร์)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 100,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]9904 มหากัป - เป็นสูญกัป[/SIZE]
    [SIZE=+2]สารกัปมี 1องค์ - พระสิทธัตถะพุทธเจ้า (เป็นมังคะฤาษี)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 100,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]2 มหากัป - เป็นสูญกัป[/SIZE]
    [SIZE=+2]มัณฑกัป - พระดิสสะพุทธเจ้า (เป็นพระเจ้าสุชาตะมหาราชดาบส)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 100,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธเจ้า 2 องค์ - พระมหาปุสสะพุทธเจ้า (เป็นพระเจ้าวิชิตกษัตริย์ได้ออกบวช)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 90,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]สารกัปมี 1องค์ - พระวัปัสสีพุทธเจ้า (เป็นภุชงคนาคราช)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 80,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]60 มหากัป - เป็นสูญกัป[/SIZE]
    [SIZE=+2]มัณฑกัป - พระสิขีพุทธเจ้า (เป็นพระเจ้าอรินทมะราชาธิราช)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 70,000 พรรษา[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธเจ้า 2 องค์ - พระเวสสภูพุทธเจ้า (เป็นพระเจ้าสุทัสสนะมหาราชได้ออกบวช)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขย 60,000 พรรษา (เป็นศรัทธาพุทธเจ้า)[/SIZE]
    [SIZE=+2]31 มาหากัป - เป็นสูญกัป[/SIZE] [SIZE=+2]ภัทรกัป(ปัจจุบัน) - พระกกุสันธะพุทธเจ้า(เป็นพระเจ้าเขมะนราธิราชได้ออกบวช)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขยมนุษย์สมัยนั้น 40,000 ปี ศรัทธาพุทธเจ้า[/SIZE]
    [SIZE=+2]พุทธเจ้า 5 องค์ - พระโกนาคมมะพุทธเจ้า(เป็นพระเจ้าบรรพตบรมขัตติยาภิกษุ)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขยมนุษย์สมัยนั้น 30,000 ปี ศรัทธาพุทธเจ้า[/SIZE]
    [SIZE=+2]- พระกัสสปะพุทธเจ้า (เป็นโซติปาลมาณพได้ออกบรรพชา)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขยมนุษย์สมัยนั้น 20,000 ปี ศรัทธาพุทธเจ้า[/SIZE]
    [SIZE=+2]- พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า (เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขยมนุษย์ 100 ปี ศาสนาตั้งอยู่ในโลก 5,000 ปี[/SIZE]
    [SIZE=+2]- พระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้า(เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตในกัปนี้)[/SIZE]
    [SIZE=+2]อายุไขยมนุษย์สมัยนั้น 80,000 ปี วิริยะพุทธเจ้า[/SIZE]
    [SIZE=+2]ถ้ากล่าวถึงบารมีตอนปลาย 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัปนั้นพระโพธิสัตว์พบพระพุทธเจ้าเพียง 27 พระองค์เท่านั้น น้อยกว่าบารมีตอนต้นและตอนกลางมาก ที่พระโพธิสัตว์พบพระพุทธเจ้าถึง ห้าแสนหนึ่งหมื่นสองพันพระองค์ (512,003) สามารถแยกบารมีตอนปลายได้ 2 ช่วงที่ได้พบพระพุทธเจ้า[/SIZE]
    [SIZE=+2]1 ในระยะเวลา 4 อสงไขย เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ ได้ทรงพบพระพุทธเจ้า 12 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]2. ในระยะเวลาหนึ่งแสนมหากัปนั้น ได้ทรงพบพระพุทธเจ้า 15 พระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+2]หมายเหตุ หลังสิ้นสมัยของพระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้าไปแล้ว อาจจะว่างจากพระพุทธเจ้าอีกนานเพราะเมื่อได้มีพระพุทธเจ้า บังเกิดขึ้น ติดต่อกัน หลังจากนั้นไปอีกก็จะว่างจากการบังเกิดพระพุทธเจ้าไปอีกนานแสนนาน อ้างอิงได้จากช่วง 4 อสงไขยกับ เศษแสนมหากับที่ผ่านมา เมื่อมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในกัปใดติดต่อกัน 3 หรือ 4 พระองค์ หลังจากนั้นจะเป็นสูญกัปไปอีกนานแสนนาน ซึ่งในกัปนี้มีพระพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ และในช่วง 100 มหากัปที่ผ่านมาถึงกัปปัจจุบัน มีพระพูทธเจ้า ถึง 11 พระองค์ ร่วมทั้งพระศรี อริยะเมตตรัยพุทธเจ้า ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมากที่สุด ของระยะเวลา 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัปที่ผ่านมา และจากการวิเคราะห์ หลังจากสิ้นสมัยพระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า(ปัจจุบัน)ไปแล้ว ซึ่งเป็นประเภทปัญญาพุทธเจ้า แล้วจะบังเกิดปัญญา พุทธะอีกสักพระองค์ในอนาคตเบื่องหน้า ต้องรอเวลาอย่างน้อยที่สุดหนึ่งอสงขัยกัป และต้องเป็นพระโพธิสัตว์ประเภทปัญญาที่ได้รับ พุทธพยากรณ์ครังแรก ในสมัยพระโกณฑัญญะพุทธเจ้าเท่านั้น ดังนั้นหลังจากปัจจุบันนี้จนถึงหนึ่งอสงขัยกัปเบื้องหน้า ก็จะมีแต่พระพุทธเจ้าประเภทศรัทธาและวิริยะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเท่านั้น ในอสงขัยนี้เพิ่งเริ่มต้นแสนมหากัปก็บังเกิดมีพระพุทธเจ้า เกิดขึ้น 16 พระองค์แล้ว ดังนั้นในอสงขัยนี้อาจจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเป็นร้อยเป็นพันพระองค์ก็คงเป็นไปได้ เพราะช่วง 4 อสงขัยที่ผ่านมามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นน้อยมากเพียง 15 (รวม พระ ตัณหังกร เมธังกร สรนังกร พุทธเจ้า) พระองค์เท่านั้น ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อเทียบระยะเวลาแล้วหนึ่ง อสงขัยเท่ากับจำนวนกัป ที่มากมายจนนับไม่ได้ แต่บังเกิดมีพระพุทธเจ้าเพียงหนึ่งหรือเป็นหมื่นพระองค์เท่านั้น ดังนั้นการที่จะบังเกิดมีพระพุทธเจ้าสักพระองค์นั้น เป็นสิ่งที่ยากแสนยากเป็นหนักหนา แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพุทธเจ้าอีกเลย เพราะในเมื่อธรรมชาตินั้นมีวัฏฏสงสารอันเป็นทุกข์ ก็ย่อมมีผู้ที่เพียร ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์นั้นจนได้ ก็คือพระอริยะเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน[/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มีนาคม 2007
  9. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]
    <TABLE width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    "พระนามของพระพุทธเจ้า"
    พระพุทธเจ้าในที่นี้หมายถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายหรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนั้นเอง มีคำเรียกกล่าวนามพระพุทธเจ้าของเรามากมาย ซึ่งพอจะนำมาประมวลไว้ได้ ดังต่อไปนี้

    ๑.พระบรมโพธิสัตว์, พระโพธิสัตว์ หมายถึงท่านผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งกำลังบำเพ็ญบารมี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐาน เมตา อุเบกขา
    ๒.อังคีรส หมายถึง มีรัศมีแผ่ซ่านจากพระกาย เป็นพระนามแรก เมื่อพราหมณ์ ๘ คน ผู้ทำหน้าที่ถวายพระนามและทำนายลักษณะพระกุมาร กล่าวถึงเมือพินิจจากลักษณะแรกพบเห็น
    ๓.สิทธัตถกุมาร เป็นพระนามที่พราหมณ์ ๘ คนผู้ทำหน้าที่ถวายพระนามและทำนายลักษณะพระกุมาร ตั้งถวาย "สิทธัตถ" แปลว่า มีความต้องการสำเร็จ หรือสำเร็จตามที่ต้องการ คือสมประสงค์จะต้องการอะไรได้หมด
    ๔.สิทธัตถะ , เจ้าชายสิทธัตถะ , พระสิทธัตถะ พระนามเดิมของพระพุทธเจ้าก่อนเสด็จออกบรรพชา
    ๕.พระมหาบุรุษ หมายถึง บุรุษผู้ยิ่งใหญ่เป็นคำใช้เรียกพระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้
    ๖.โคดม , โคตมะ , พระโคดม ,พระโคตมะ , พระสมณโคดม, โคดมพระพุทธเจ้า หมายถึง ชื่อตระกูลของพระพุทธเจ้า มหาชนเรียกพระพุทธเจ้าตามพระโคตรของพระองค์
    ๗.ตถาคต พระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกหรือตรัสถึงพระองค์เอง แปลได้ความหมาย ๘ อย่างคือ ๑. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ๒. พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น ๓. พระผู้เสด็จมาถึงตถลักษณะ ๔. พระผู้ตรัสรู้ตถธรรมตามที่มันเป็น ๕. พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น ๖. พระผู้ตรัสอย่างนั้น ๗. พรุผู้ทำอย่างนั้น ๘. พระผู้เป็นเจ้า
    ๘.ตถาคตโพธิสัทธา หมายถึง เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต
    ๙.ธรรมกาย หมายถึง ผู้มีธรรมในกาย เป็นพระนามอย่างหนึ่งของ พระพุทธเจ้า
    ๑๐.ธรรมราชา คือพระราชาแห่งธรรม หมายถึงพระพุทธเจ้า
    ๑๑.ธรรมสวามิศร, ธรรมสามิสร คือผู้เป็นใหญ่โดยฐานเป็นเจ้าของธรรม หมายถึง พระพุทธเจ้า
    ๑๒.ธรรมสามี คือ ผู้เป็นเจ้าของธรรม เป็นคำเรียกพระพุทธเจ้า
    ๑๓.ธรรมิศราธิบดี คือ ผู้เป็นอธิปดีโดยฐานเป็นใหญ่ในธรรมเป็นคำกวีหมายถึงพระพุทธเจ้า
    ๑๔.บรมศาสดา, พระบรมศาสดา คือ ศาสดาที่ยอดเยี่ยม พระผู้เป็นครูสูงสุด พระบรมครู หมายถึง พระพุทธเจ้า
    ๑๕.พระผู้มีพระภาคเจ้า หมายถึง พระนามของพระพุทธเจ้า
    ๑๖. พระพุทธเจ้า คือ พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม, ท่านผู้รูดีรู้ชอบด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาบ วาจา ใจ
    ๑๗.พระศาสดา หมายถึงผู้สอนเป็นพระนามเรียกพระพุทธเจ้า
    ๑๘. พระสมณโคดม เป็นคำที่คนภายนอกนิยมใช้เมื่อกล่าวถึงพระพุทธเจ้า
    ๑๙.พระสัมพุทธเจ้า, พระสัมมาสัมพุทธเจ้า,พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า,สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระผู้ตรัสรู้เอง หมายถึงพระพุทธเจ้า
    ๒๐. ภควา คือ พระนามของพระพุทธเจ้า แปลว่า ทรงเป็นผู้มีโชค คือหวังพระโพธิญาณก็ได้สมหวัง ประกาศพระศาสนาก็ชักจูงผู้คนให้ได้บรรลุธรรมสมปรารถนา มีผู้คิดร้ายก็ไม่อาจทำร้ายได้ คำแปลอีกนัยหนึ่งว่า ทรงเป็นผู้จำแนกแจกธรรม
    ๒๑. มหาสมณะ พระนามหนึ่งสำหรับเรียกสมเด็จพระสัมพุทธเจ้า
    ๒๒. โลกนาถ, พระโลกนาถ เป็นที่พึ่งแห่งโลก หมายถึงพระพุทธเจ้า
    ๒๓.สยัมภู,พระสัมภู พระผู้เป็นเอง คือตรัสรู้ได้เองโดยไม่มีใครสั่งสอน หมายถึง พระพุทธเจ้า
    ๒๔.สัพพัญญู, พระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า หมายถึง ผู้รู้หมด,ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ พระนามของพระพุทธเจ้า
    ๒๕.พระสุคต,พระสุคโต หมายถึง ผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]
    <TABLE width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    "พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ ใกล้กาลปัจจุบัน"
    พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ในอดีต ที่ใกล้กาลปัจจุบันที่สุด
    และคัมภีร์กล่าวถึงบ่อย ๆ คือ

    ๑. พระวิปัสสี
    ๒. พระสิขี
    ๓. พระเวสสภู
    ๔. พระกกุสันธะ
    ๕. พระโกนาคมนะ
    ๖. พระกัสสปะ
    ๗. พระโคดม (คือพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542


    [​IMG]
    <TABLE width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>"พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ในพระคัมภีร์ชั้นอรรถกถา"
    ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาแสดงย้อนหลังพระนามของพระพุทธเจ้ารวมกัน ถึง ๒๘ พระองค์ ซึ่งมักอ้างในบทสวดหรือในการประกอบพิธีหลายอย่างมีดังนี้
    <TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๑. พระตัณหังกร
    ๒. พระเมธังกร
    ๓. พระสรณังกร
    ๔. พระทีปังกร
    </TD><TD>(รวม ๔ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๕. พระโกณฑัญญะ </TD><TD>(เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๖. พระสุมังคละ
    ๗. พระสุมนะ
    ๘. พระเรวตะ
    ๙. พระโสภิตะ
    </TD><TD>(รวม ๔ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๑๐. พระอโนมทัสสี
    ๑๑. พระปทุมะ
    ๑๒. พระนารทะ
    </TD><TD>(รวม ๓ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๑๓. พระปทุมุตตระ </TD><TD>(เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๑๔. พระสุเมธะ
    ๑๕. พระสุชาตะ
    </TD><TD>(รวม ๒ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๑๖. พระปิยทัสสี
    ๑๗. พระอัตถทัสสี
    ๑๘. พระธรรมทัสสี
    </TD><TD>(รวม ๓ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๑๙. พระสิทธัตถะ </TD><TD>(เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๒๐. พระติสสะ
    ๒๑. พระปุสสะ

    </TD><TD>(รวม 2 พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๒๒. พระวิปัสสี </TD><TD>(เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๒๓. พระสิขี
    ๒๔. พระเวสสภู
    </TD><TD>(รวม 2 พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="40%">๒๕. พระกกุสันธะ
    ๒๖. พระโกนาคมนะ
    ๒๗. พระกัสสปะ
    ๒๘. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเราทั้งหลาย

    </TD><TD>(รวม ๔ พระองค์อุบัติแล้วในกัปนี้)</TD></TR></TBODY></TABLE>อนึ่ง ในกัปนี้เอง จักอุบัติขึ้นในอนาคตอีกหนึ่งพระองค์ คือ "พระเมตเตยยะ" หรือ "พระศรีอารยเมตไตรย" แต่มักเรียกกันว่า "พระศรีอารย์" ซึ่งจะอุบัติขึ้นหลังจากสิ้นศาสนา พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันแล้ว ในกาลนั้นมนุษย์ มีอายุยืน ๘๐,๐๐๐ ปี
    จะเห็นได้ว่าใน ๑๑ กัปที่ผ่านมาไม่มีกัปใดที่มีพระพุทธเจ้าเกิน ๔ พระองค์ แต่ในกัปปัจจุบันนี้ (คือกัปที่ ๑๒ นับจากพระพุทธเจ้าองค์แรก คือ พระตัณหังกร) จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง ๕ พระองค์ รวมทั้งพระศรีอารย์ จึงเรียกว่า "ภัททกัป" หรือ ภัทรกัป" แปลว่า กัปเจริญ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  12. KeLBeRoS

    KeLBeRoS Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,413
    ค่าพลัง:
    +6,367
    [​IMG]
    พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า

    หลังจากศาสนาของพระทีปังกรอันตรธานไป เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติถึงอสงไขยหนึ่ง เรียกว่า เสละอสงไขย ล่วงมาถึงสารกัปหนึ่ง จึงมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๑ พระองค์ ทรงพระนามว่า พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า
    พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นโกณฑัญญะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งรัมมวดีนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุนันทะ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางสุชาดา
    โกณฑัญญะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ รุจิปราสาท สุรุจิปราสาท และสุภะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า รุจิเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๐๐,๐๐๐ นาง
    วันหนึ่ง โกณฑัญญะราชกุมารทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
    เมื่อพระนางรุจิเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า วิชิตเสนะกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยราชรถเทียมม้า มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๑๐ โกฏิ
    โกณฑัญญะราชกุมารบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ บ้านสุนันทคาม เป็นเวลา ๑๐ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางยโสธราธิดาเศรษฐี และรับหญ้า ๘ กำจากสุนันทะอาชีวก ปูลาดใต้ต้นสาละกัลยาณี (ต้นขานาง) เป็นโพธิบัลลังค์ และได้ตรัสรู้เป็นพระวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนนั้น
    พระโกณฑัญญะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๑๐ โกฏิ ที่เทวะวัน กรุงอรุนธวดี ทำให้พระภิกษุ ๑๐ โกฏินั้นสำเร็จเป็นพระอริยบุคล

    ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระโกณฑัญญะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
    วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๒ แสดงธรรมแก่เทพบุตรในมหามงคลสมาคม
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๓ แสดงธรรมย่ำยีพวกเดียรถีร์
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๘๐,๐๐๐ โกฏิ

    พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
    ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    มีภัททมาณพ และสุภัททมาณพ ซึ่งบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นประธาน
    ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑,๐๐๐ โกฏิ มีวิชิตเสนะกุมารราชโอรส
    ซึ่งออกบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นประธาน
    ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐ โกฏิ มีพระเจ้าอุเทนซึ่งออกบวช
    และสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นประธาน

    พระโกณฑัญญะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
    พระอัครสาวก คือ พระภัททะเถระ และพระสุภัททะเถระ
    พระอัครสาวิกา คือ พระติสสาเถรี และพระสุอุปติสสาเถรี
    พระอุปัฏฐาก คือ พระอนุรุทธะ

    พระโกณฑัญญะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ที่พระวิหารจันทาราม หลังจากนั้นพุทธศาสนาของพระองค์ก็ดำรงอยู่ต่อมานานถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงอันตรธานไป
     
  13. KeLBeRoS

    KeLBeRoS Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,413
    ค่าพลัง:
    +6,367
    [​IMG]

    พระมังคละพุทธเจ้า

    หลังจากศาสนาของพระโกณฑัญญะพุทธเจ้าอันตรธานไป เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติถึงอสงไขยหนึ่ง เรียกว่า ภาละอสงไขย ล่วงมาถึงสารมัณฑกัปหนึ่งจึงมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๔ พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์แรกในสารมัณฑกัปนี้ทรงพระนามว่า พระมังคละพุทธเจ้า
    พระมังคละพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นมังคละราชกุมาร ในวงศ์กษัตริย์แห่งอุตตระนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าอุตตระ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางอุตตรา
    มังคละราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๙,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ ยสวาปราสาท รุจิมาปราสาท และสิริมาปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า ยสวดี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๐,๐๐๐ นาง
    วันหนึ่ง พระมังคละทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
    เมื่อพระยสวดีเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า สีลวากุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยม้าปัณฑระ มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๓ โกฏิ
    มังคละราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ บ้านอุตตรคาม เป็นเวลา ๘ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางอุตตรา ธิดาของอุตตรเศรษฐี และรับหญ้า ๘ กำจากอุตตระอาชีวก ปูลาดใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระวิริยาธิกะพุทธเจ้าในคืนนั้น
    พระมังคละพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๓ โกฏิ ที่ชัฏสิริวัน สิริวัฒนนคร ทำให้พระภิกษุ ๓ โกฏินั้นสำเร็จเป็นพระอริยบุคล

    ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระมังคละพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
    วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๒ แสดงธรรมบนดาวดึงส์เทวโลกโปรดพุทธมารดา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่พระเจ้าสุนันทะ
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๙๐ โกฏิ

    พระมังคละพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
    ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    มีคู่อัครสาวกเป็นประธาน
    ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ณ อุตตราราม
    ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐ โกฏิ
    มีพระเจ้าสุนันทะซึ่งออกบวชเป็นประธาน

    พระมังคละพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
    พระอัครสาวก คือ พระสุเทวะเถระ และพระธรรมเสนะเถระ
    พระอัครสาวิกา คือ พระสีวลาเถรี และพระอโสกาเถรี
    พระอุปัฏฐาก คือ พระปาลิตะ

    พระมังคละพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก มีพระรัศมีแผ่ไปทั่วหมื่นโลกธาตุ พระรัศมีนี้รุ่งเรืองกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดๆ เมื่อพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพานที่พระวิหารอุตตราราม
     
  14. KeLBeRoS

    KeLBeRoS Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,413
    ค่าพลัง:
    +6,367
    [​IMG]

    พระสุมนะพุทธเจ้า

    หลังจากศาสนาของพระมังคละพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสุมนะพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นในอันตรกัปถัดมาในสารมัณฑกัปเดียวกัน
    พระสุมนะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระสุมนะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งเมขละนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุทัตตะ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางสิริมา
    สุมนะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๙,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ สิริวัฒนะปราสาท โสมวัฒนะปราสาท และอิทธิวัฒนะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า พระนางวฏังสิกาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๖๐,๐๐๐ นาง
    วันหนึ่ง พระสุมนะทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
    เมื่อพระนางวฏังสิกาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า อนูปมะกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยคชยาน โดยมีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๓๐ โกฏิ
    สุมนะราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ อโนมนิคม เป็นเวลา ๑๐ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางอนุปมา ธิดาของอโนมเศรษฐี และรับหญ้า ๘ กำจากอนุปมาชีวก ปูลาดใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น
    พระมังคละพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๓๐ โกฏิ พร้อมสรณกุมารพระอนุชาต่างมารดา และภาวิตัตตมาณพบุตรปุโรหิต ที่ราชอุทยาน ในเมขละนคร ทำให้พระภิกษุ ๓๐ โกฏินั้น พร้อมพระอนุชาและบุตรปุโรหิต สำเร็จเป็นพระอริยบุคล

    ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระสุมนะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
    วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๒ แสดงธรรมย่ำยีพวกเดียรถีร์ ณ สุนันทวดีนคร
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑,๐๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๓ แสดงนิโรธปัญหาแก่พระเจ้าอรินทมะ
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๙๐,๐๐๐ โกฏิ

    พระสุมนะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
    ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑,๐๐๐ โกฏิ
    ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
    ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘๐,๐๐๐ โกฏิ

    พระสุมนะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
    พระอัครสาวก คือ พระสรณะเถระ และพระภาวิตัตตะเถระ
    พระอัครสาวิกา คือ พระโสณาเถรี และพระอุปโสณาเถรี
    พระอุปัฏฐาก คือ พระอุเทนะเถระ

    พระสุมนะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๙๐ ศอก เมื่อพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพานที่พระวิหารอังคาราม
     
  15. KeLBeRoS

    KeLBeRoS Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,413
    ค่าพลัง:
    +6,367
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระเรวตะพุทธเจ้า

    หลังจากศาสนาของพระสุมนะพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระเรวตะพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นในอันตรกัปถัดมาซึ่งเป็นสารมัณฑกัปเดียวกัน
    พระเรวตะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระเรวตะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งสุธัญญวดีนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าวิปุลราช และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางวิปุลาเทวี
    เรวตะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๖,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ สุทัสสนะปราสาท รตนัคฆิปราสาท และอาเวฬะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า สุทัสสนาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๓,๐๐๐ นาง
    วันหนึ่ง พระเรวตะทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
    เมื่อพระนางสุทัสสนาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า วรุณกุมาร จึงได้เสด็จออกบวชด้วยราชรถเทียมม้า โดยมีบุรุษ ๑ โกฏิออกบวชตาม
    เรวตะราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ อโนมนิคม เป็นเวลา ๗ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางสาธุเทวี และรับหญ้า ๘ กำจากอาชีวกผู้หนึ่ง ปูลาดใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น
    พระเรวตะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๑ โกฏิ ที่วิหารวรุณาราม ทำให้พระภิกษุ ๑ โกฏินั้น สำเร็จเป็นพระอริยบุคล

    ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระเรวตะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
    วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดาจำนวนเกินที่นับได้
    วาระที่ ๒ แสดงธรรมแก่พระเจ้าอรินทมะ
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑,๐๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๓ แสดงอานิสงส์แห่งนิโรธสมาบัติ
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐ โกฏิ

    พระเรวตะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
    ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกจำนวนเกินที่จะนับได้
    ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ ที่เข้าไปทูลถามอาพาธของพระวรุณเถระอัครสาวก

    พระเรวตะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
    พระอัครสาวก คือ พระวรุณเถระ และพระพรหมเทวะเถระ
    พระอัครสาวิกา คือ พระภัททาเถรี และพระสุภัททาเถรี
    พระอุปัฏฐาก คือ พระสัมภวะเถระ

    พระเรวตะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก มีพระรัศมีแผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ เมื่อพระชนมายุได้ ๖๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพานที่พระราชอุทยานมหานาควัน
     
  16. KeLBeRoS

    KeLBeRoS Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,413
    ค่าพลัง:
    +6,367
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระโสภิตะพุทธเจ้า

    หลังจากศาสนาของพระเรวตะพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโสภิตะพุทธเจ้า บังเกิดขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายในสารมัณฑกัปเดียวกัน
    พระโสภิตะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระโสภิตะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งสุธัมมนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุธัมมราช และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางสุธัมมาเทวี
    โสภิตะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ สุทัสสนะปราสาท รตนัคฆิปราสาท และอาเวฬะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า มขิลาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๗๐,๐๐๐ นาง
    วันหนึ่ง พระโสภิตะทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
    เมื่อพระนางมขิลาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า สีหกุมาร จึงได้ทรงเสด็จออกบรรพชาอยู่ในปราสาทนั้น โดยทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางมขิลาเทวี
    เมื่อบำเพ็ญเพียรได้ ๗ วันก็อธิษฐานให้ปราสาทลอยไปจากพระราชนิเวศน์ และเสด็จประทับใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) บำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้เป็นพระปัญญาธิกะพุทธเจ้า
    พระโสภิตะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระอนุชาต่างมารดา ๒ พระองค์ คือ อสมกุมาร และสุเนตตกุมาร ที่สุมธัมมราชอุทยาน ทำให้พระอนุชาทั้งสองสำเร็จเป็นพระอริยบุคล

    ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระโสภิตะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
    วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดาไม่อาจนับจำนวนได้
    วาระที่ ๒ แสดงธรรมบนดาวดึงส์เทวโลกโปรดพุทธมารดา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่ชัยเสนะ ราชบุตรแห่งกรุงสุทัสสนะ
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ

    พระโสภิตะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
    ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐ โกฏิ ณ สุนันทะวิหาร
    ในโอกาสที่พระเจ้าอุคคตะแห่งกรุงสุนันทะน้อมถวายสุนันทะวิหาร
    ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐ โกฏิ ณ เมขลนคร
    ในโอกาสที่ชาวนครถวายวิหารทาน
    ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘๐ โกฏิ ที่มาประชุมกัน
    เพื่อรอรับเสด็จพระโสภิตะพุทธเจ้าเสด็จกลับดาวดึงส์

    พระโสภิตะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
    พระอัครสาวก คือ พระอสมะเถระ และพระสุเนตตะเถระ
    พระอัครสาวิกา คือ พระนกุลาเถรี และพระสุชาดาเถรี
    พระอุปัฏฐาก คือ พระอโนมะ

    พระโสภิตะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก มีพระฉัพพรรณรังสีแผ่ไปทุกทิศดังอาทิตย์อุทัย เมื่อพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี จึงดับขันธปรินิพพานที่พระราชอุทยานมหานาควัน
     
  17. KeLBeRoS

    KeLBeRoS Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,413
    ค่าพลัง:
    +6,367
    [​IMG]

    พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า

    หลังจากศาสนาของพระโสภิตะพุทธเจ้าอันตรธานไป เป็นช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้าถึงอสงไขยหนึ่ง เรียกว่า ชัยยะอสงไขย ล่วงมาถึงวรกัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๓ พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์แรกทรงพระนามว่า พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
    พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระอโนมทัสสีราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งจันทวดีนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้ายสวา และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางยโสธรา
    อโนมทัสสีราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ สิริปราสาท อุปสิริปราสาท และสิริวัฑฒะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า สิริมาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๒๓,๐๐๐ นาง
    วันหนึ่ง พระอโนมทัสสีทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
    เมื่อพระนางสิริมาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า อุปวาณะกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยพระวอทอง มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๓ โกฏิ
    อโนมทัสสีราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ หมู่บ้านอนูปมพราหมณ์ เป็นเวลา ๑๐ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากธิดาอนูปมเศรษฐี และรับหญ้า ๘ กำจากอนูปมาชีวก ปูลาดใต้ต้นอัชชุนะ (ต้นกุ่ม) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น
    พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๓ โกฏิ ที่สุธัมมราชอุทยาน ทำให้พระภิกษุ ๓ โกฏินั้น สำเร็จเป็นพระอริยบุคล​

    ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
    วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๒ แสดงธรรมบนดาวดึงส์เทวโลกโปรดพุทธมารดา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๘๐ โกฏิ
    วาระที่ ๓ แสดงมงคลปัญหา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๗๘ โกฏิ​

    พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
    ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    โดยมีพระเจ้าอิสิทัตตะ ซึ่งออกบวชเป็นประธาน
    ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๗๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    โดยมีพระเจ้าสุนทรินธระ กรุงราธวดี ซึ่งออกบวชเป็นประธาน
    ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๖๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    โดยมีพระเจ้าโสเรยยะ กรุงโสเรยยะ ซึ่งออกบวชแล้วเป็นประธาน​

    พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
    พระอัครสาวก คือ พระนิสภะเถระ และพระอโนมะเถระ
    พระอัครสาวิกา คือ พระสุมนาเถรี และพระสุนทรีเถรี
    พระอุปัฏฐาก คือ พระวรุณะ​

    พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก มีพระรัศมีแผ่ออกไปเหมือนดวงอาทิตย์ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มีนาคม 2007
  18. KeLBeRoS

    KeLBeRoS Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,413
    ค่าพลัง:
    +6,367
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    พระปทุมะพุทธเจ้า

    หลังจากศาสนาของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระปทุมะพุทธเจ้า ซึ่งอยู่ในอันตรกัปถัดมาในวรกัปเดียวกัน
    พระปทุมะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระมหาปทุมราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งจัมปกะนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าอสมราช และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางอสมา
    มหาปทุมราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ในปราสาท ๓ หลัง คือ นันทุตตระปราสาท วสุตตระปราสาท และยสุตตระปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า อุตตราเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๓,๐๐๐ นาง
    วันหนึ่ง พระมหาปทุมทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
    เมื่อพระนางอุตตราเทวีทรงประสูติพระโอรส พระนามว่า รัมมราชกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยราชรถเทียมม้า มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๑ โกฏิ
    มหาปทุมราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่เป็นเวลา ๘ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางธัญญวดี ธิดาของสุธัญญเศรษฐี กรุงธัญญวดี และรับหญ้า ๘ กำจากติตถกะอาชีวก ปูลาดใต้ต้นมหาโสณะ (ต้นอ้อยช้างใหญ่) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น
    พระปทุมะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๑ โกฏิ ที่ธนัญชัยราชอุทยาน ใกล้กรุงธัญญวดี ทำให้พระภิกษุ ๑ โกฏินั้น สำเร็จเป็นพระอริยบุคล

    ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระปทุมะพุทธเจ้า บังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
    วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๒ แสดงธรรมแก่พระประยูรญาติ
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๙๐ โกฏิ
    วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่พระโอรส
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๘๐ โกฏิ

    พระปทุมะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
    ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    โดยมีพระเจ้าสุภาวิตัตตะ ซึ่งนำข้าราชบริพารออกบวชเป็นประธาน
    ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๓๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    ณ กรุงอุสภวดี ในพิธีกรานกฐิน
    ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๒๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    ซึ่งตามเสด็จมาประชุมในป่าใหญ่

    พระปทุมะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
    พระอัครสาวก คือ พระสาละเถระ และพระอุปสาละเถระ
    พระอัครสาวิกา คือ พระราธาเถรี และพระสุราธาเถรี
    พระอุปัฏฐาก คือ พระวรุณะ

    พระปทุมะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก มีพระรํสมีแผ่ออกไปทุกทิศ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน
     
  19. KeLBeRoS

    KeLBeRoS Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,413
    ค่าพลัง:
    +6,367
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    พระนารทะพุทธเจ้า

    หลังจากศาสนาของพระปทุมะพุทธเจ้าล่วงไป จึงได้ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระนารทะพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายในวรกัปเดียวกัน
    พระนารทะพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นนารทะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งธัญญวดีนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุเทวะ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางอโนมา
    นารทะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๙,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ วิชิตะปราสาท วิชิตาวีปราสาท และวิชิตาภิรามะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า วิชิตเสนาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๑๒๐,๐๐๐ นาง
    วันหนึ่ง พระนารทะทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
    เมื่อพระนางวิชิตเสนาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า นันทุตตรกุมาร จึงได้เสด็จด้วยพระบาทออกบรรพชาในธนัญชัยราชอุทยานนอกพระนคร โดยมีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๑ แสนคน
    นารทะราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ในพระราชอุทยานเป็นเวลา ๗ วัน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากพระนางวิชิตเสนาเทวีอัครมเหสี และรับหญ้า ๘ กำจากพนักงานเฝ้าอุทยาน ปูลาดใต้ต้นมหาโสณะ (ต้นอ้อยช้างใหญ่) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระปัญญาธิกะพุทธเจ้าในคืนนั้น
    พระนารทะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่พระภิกษุ ผู้บรรพชาตามจำนวน ๑ แสนในราชอุทยานนั้นเอง

    พระนารทะพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมาภิสมัยให้บังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
    วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๒ แสดงธรรมแก่พระยานาคโทณะ
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
    วาระที่ ๓ แสดงธรรมแก่พระโอรส
    ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๘๐,๐๐๐ โกฏิ

    พระนารทะพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
    ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
    ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
    ที่มาประชุมกันในสมาคมพระญาติ
    ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘,๐๐๐,๐๐๐
    ที่มาประชุมกันในคราวเสด็จโรงทานของพระยานาคชื่อ เวโรจนะ

    พระนารทะพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
    พระอัครสาวก คือ พระภัททสาละเถระ และพระชิตมิตตะเถระ
    พระอัครสาวิกา คือ พระอุตตราเถรี และพระผัคคุนีเถรี
    พระอุปัฏฐาก คือ พระวาเสฏฐะ

    พระนารทะพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก มีพระรัศมีวาหนึ่ง เมื่อพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน พระศาสนาดำรงมาได้อีก ๙๐,๐๐๐ ปีก็อันตรธาน​
     
  20. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    [​IMG]

    เกร็ดความรู้เพื่อศึกษาในบทต่อๆไป
    ลองมาดูกันถึงเรื่องของเวลาความยาวนาน
    เพื่อพิจารณาเห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ท่าน
    ได้เสียสละตรากตรำสร้างบารมีมานานแสนนานแค่ไหนเพื่อมาโปรดสัตว์


    ต่อไปจะเทียบระยะเวลา 1 กัป 1 อสงไขย และ 1 ปทุมะนรก

    ให้พิจารณากันดู เพื่อปลงสังเวชกับอัตตา(อวิชชา)ของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นค่าโดยประมาณ อาจจะมีความคลาดเคลื่อนมากกว่านี้ก็ได้ใครมีความรู้ในทางคณิตศาสตร์ ก็สามารถช่วยแสดงความคิดเห็น เพื่อจะได้ค่าที่ถูกต้องมากขึ้น
    เรื่องของกัปจากพระไตรปิฏกประมาณคำว่า 1 กัปได้ดังนี้
    สมมุติมีกล่องใบหนึ่ง กว้าง 100 โยชน์ ยาว 100โยชน์ และ สูง 100 โยชน์ ในเวลา 100 ปี ให้เอาเมล็ดผักกาด 1 เมล็ด ใส่ลงไปในกล่องนั้น ทำอย่างนี้จนเมล็ดผักกาดนั้นเต็มเสมอเรียบปากกล่องนั้นละจึงเท่ากับ 1 กัป
    (บางตำรากล่าวว่า กว้าง 1 โยชน์ยาว 1 โยชน์สูง 1 โยชน์)
    วิเคราะห์คำนวณ 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร
    ดังนั้นกล่องใบนี้มีปริมาตร = 1600X1600X1600 = 4,096,000,000 ลูกบาตกิโลเมตร
    ประมานว่า เมล็ดผักกาด มีขนาด .5 มิลลิเมตร
    1 กิโลเมตรเทียบเป็นมิลลิเมตรได้ดังนี้ 10X100X1000 = 1,000,000 มิลลิเมตร
    จะได้ 1 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = (1,000,000)/0.5 = 2,000,000 เมล็ด
    ดังนั้น 1600 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = 1600X2,000,000 = 3,200,000,000 เมล็ด
    ถ้าเป็นปริมาตร คือ กว้าง*ยาว*สูง ต้องใช้เมล็ดผักกาดทั้งหมด คือ
    3,200,000,000X3,200,000,000X3,200,000,000 = 32,768,000,000,000,000,000,000,000,000 เมล็ด
    ใน 100 ปี ใส่เมล็ดผักเพียง 1 เมล็ด ดังนั้นต้องใช้เวลาทั้งหมดคือ
    32,768,000,000,000,000,000,000,000,000X100 = 3,276,800,000,000,000,000,000,000,000,000 ปี
    จึงได้เวลา 1 กัป ประมาณ สามล้านสองแสนเจ็ดหมื่นหกพันแปดร้อยล้านล้านล้านล้านปี
    ประมาณ 3.3 X 10**30 ปี
    เครื่องหมาย ** เป็นเครื่องหมาย ยกกำลัง
    (หมายเหตุบางตำรากล่าวว่ากว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์สูง 1 โยชน์ จึงได้ 1 กัป ประมาณ 3.3
    X 10**24 ปี โดยเอา 0 ออกไป 6 ตัว จากค่าที่คำนวณได้ในครั้งแรก)


    เรื่องของอสงไขยจากหนังสือสัมภาระโพธิญาณ (จำไม่ค่อยได้) เป็นหนังสือเก่ามากแล้วค่าที่ได้ก็ตรงกับผู้ที่คำนวณไว้ก่อน สามารถนับ 1 อสงไขย และเทียบ

    กับหน่วยนับปัจจุบันได้ดังนี้
    สิบ สิบหนเป็น ร้อย 10**2
    สิบร้อยเป็น พัน 10**3
    สิบพันเป็น หมื่น 10**4
    สิบหมื่นเป็น แสน 10**5
    ร้อยแสนเป็น โกฏิ 10**7
    ร้อยแสนโกฏิเป็น ปโกฏิ 10**7 X 10**7 = 10**14
    ร้อยแสนปโกฏิเป็น โกฏิปโกฏิ 10**7 X 10**14 = 10**21
    ร้อยแสนโกฏิปโกฏิเป็น นนุตหนึ่ง 10**7 X 10**21 = 10**28
    ร้อยแสนนนุตเป็น นินนนุตหนึ่ง 10**7 X 10**28 = 10**35
    ร้อยแสนนินนุตเป็น อักโขภินีหนึ่ง 10**7 X 10**35 = 10**42
    ร้อยแสนอักโขภินีเป็น พินทะหนึ่ง 10**7 X 10**42 = 10**49
    ร้อยแสนพินทะ เป็น อัพภูทะหนึ่ง 10**7 X 10**49 = 10**56
    ร้อยแสนอัพภูทะ เป็น นิรพุทะหนึ่ง 10**7 X 10**56 = 10**63
    ร้อยแสนนิรพุทะ เป็น อหนะหนึ่ง 10**7 X 10**63 = 10**70
    ร้อยแสนอหนะ เป็น อพพะหนึ่ง 10**7 X 10**70 = 10**77
    ร้อยแสนอพพะ เป็น อฏฏะหนึ่ง 10**7 X 10**77 = 10**84
    ร้อยแสนอฏฏะ เป็น โสคันธิกะหนึ่ง 10**7 X 10**84 = 10**91
    ร้อยแสนโสคันธิกะ เป็น อุปละหนึ่ง 10**7 X 10**91 = 10**98
    ร้อยแสนอุปละ เป็น กมุมะหนึ่ง 10**7 X 10**98= 10**105
    ร้อยแสนกมุมะ เป็น ปทุมะหนึ่ง 10**7 X 10**105= 10**112
    ร้อยแสนปทุมะเป็น ปุณฑริกะหนึ่ง 10**7 X 10**112= 10**119
    ร้อยแสนปุณฑริกะ เป็น อกถานหนึ่ง 10**7 X 10**119= 10**126
    ร้อยแสนอกถาน เป็น มหากถานหนึ่ง 10**7 X 10**126= 10**133
    ร้อยแสนมหากถาน เป็น อสงไขยหนึ่ง10**7 X 10**133= 10**140
    ดังนั้น 1 อสงไขย = สิบยกกำลัง หนึ่งร้อยสีสิบ หรือ 1 ตามด้วย 0 จำนวน 140 มหากัป

    ข้อสังเกตจำนวนปีของมนุษย์โลกเทียบกับ 1 กัปนั้นยังมีความคลาดเคลื่อนอีกมากมายจึงไห้ถือกำหนดเอา โลกจักรวาลเมื่อก่อกำเนิดขึ้นจนกระทั้งพังทลายศูนย์หายไป 1 ครั้ง เป็น 1 กัปแต่จำนวน 1 อสงไขยมีกี่กัปนั้นเป็นจำนวนที่แน่นอนคือ 1 ตามด้วยเลข 0 จำนวน 140 ตัว หรือ 1 X 10**140 <O:p


    อายุขัยของเทวดาเทียบกับปีของมนุษย์โลก
    หนึ่ง 1 ปีทิพย์ของสวรรค์แต่ละชั้นเท่ากับ 360 วันทิพย์ของสวรรค์แต่ละชั้น
    ชั้นจาตุมีอายุ 500 ปีทิพย์ 1 วันทิพย์ เท่ากับ 50 ปีโลกมนุษย์ดังนั้นเท่ากับ 500X360X50 = 9,000,000 ปี
    ชั้นดาวดึงส์ " " 1000 " " 1 " " 100 " " เท่ากับ 36,000,000 ปี
    ชั้นยามา " " 2000 " " 1 " " 200 " " เท่ากับ 144,000,000 ปี
    ชั้นดุสิต " " 4000 " " 1 " " 400 " " เท่ากับ 576,000,000 ปี
    ชั้นนิมมา " " 8000 " " 1 " " 800 " " เท่ากับ 2,304,000,000 ปี
    ชั้นปรมิน " " 16000 " " 1 " " 1600 " " เท่ากับ 9,216,000,000 ปี


    อายุของพระพรหม รูปฌาน 1 ถึง รูปฌาน 4
    รูปฌาน 1 มีอยู่ 3 ชั้น
    สมาธิอย่างอ่อนปาริสัชนาพรหมมีอายุ 1/3 กัป
    สมาธิอย่างกลางปุโรหิตพรหมมีอายุ 1/2 กัป
    สมาธิอย่างสูงมหาพรหมมีอายุ 1 กัป
    รูปฌาน 2 มีอยู่ 3 ชั้น
    สมาธิอย่างอ่อนปริตตาภาพรหมมีอายุ 2 กัป
    สมาธิอย่างกลางอัปปมาณภาพรหมมีอายุ 4 กัป
    สมาธิอย่างสูงอาภัสสราพรหมมีอายุ 8 กัป
    รูปฌาน 3 มีอยู่ 3 ชั้น
    สมาธิอย่างอ่อนปริตตสุภาพรหมมีอายุ 16 กัป
    สมาธิยย่างกลางอัปปมาณสุภาพรหมมีอายุ 32 กัป
    สมาธิอย่างสูงสุภกิณหาพรหมมีอายุ 64 กัป
    รูปฌาน 4 มีอยู่ 2 ชั้น
    เวหัปผลพรหมมีอายุ 500 กัป
    อสัญญสัตราพรหมมีอายุ 500 กัป

    สุทธาวาสพรหมมี 5 ชั้น เป็นภพของพระอนาคามี
    1. อวิหามีอายุ 1,000 กัป
    2. อตัปปามีอายุ 2,000 กัป
    3. สุทัสสามีอายุ 4,000 กัป
    4. สุทัสสีมีอายุ 8,000 กัป
    5. อกนิฏฐามีอายุ 16,000 กัป
    อรูปพรหมมี 4 ชั้น
    1.อากาสานัญจายตนพรหมมีอายุ 20,000 กัป
    2.วิญญาณัญจายตนพรหมมีอายุ 40,000 กัป
    3.อากิญจัญญายตนพรหมมีอายุ 60,000 กัป
    4.เนวสัญญานาสัญญายตนาพรหมมีอายุ 84,000 กัป
    <O:p
    พิจารณาดูจะเห็นว่า เมื่อมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 1 พระองค์ ขณะที่พระองค์มีพระชนชีพอยู่แสงสว่างของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กระจายไปทั่วสากลจักวาลอย่างรวดเร็วเหมือนกับสายฟ้าแลบ และแสงสว่างแห่งธรรมนั้นยังคงสว่างสไหวอยู่
    เมื่อพระองค์ดับขันท์ปรินิพพานแม้อายุขัยของภพมนุษย์นั้นจะเพียงน้อยนิดแต่แสงสว่างในธรรมนั้นก็ค่อยทยอยดับอย่างช้าๆ เริ่มต้นจากโลกมนุษย์นี้ก่อนแล้วทยอยดับไปยัง สวรรค์ชั้นจาตุชั้นดาวดึงส์ชั้นยามาชั้นดุสิตชั้นนิมมาชั้นปรมิน
    แล้วทยอยดับไปที่รูปพรหมของฌานทั้ง 4 ซึ่งทยอยดับไปที่ละชั้น จนถึงสุทธาวาสพรหมทั้ง 5 ชั้นทยอยดับที่ละชั้นจนถึงอรูปพรหม ที่พระอริยะบางท่านจุติอยู่ ถ้ายังไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่บังเกิดขึ้นในโลกแสงสว่างของธรรมจากพระพุทธองค์นั้นเมื่อบังเกิดขึ้น แล้วทยอยดับจนหมดสิ้นใช้เวลาเป็นแสนกัปรอจนพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นมาใหม่ในโลก แสงสว่างแห่งธรรมนี้ไม่มีมนุษย์หรือเทพหรือพระพรหมองค์ใดจะกระทำได้ มีแต่เพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงทำให้บังเกิดขึ้นได้

    <O:p
    เปรียบเทียบอายุในอเวจีนรก 1 ปทุมนรก กับมนุษย์โลกได้ ดังมีในพระไตรปิฏกดังนี้
    เมล็ดงา 1 เกวียน มีอัตรา 20 ขารี 1 ขารีเท่ากับ 256 ทะนาน เมื่อล่วงไป 1 แสนปีเอาเมล็ดงาออกจากเกวียน 1 เมล็ดทำจนหมดจากเกวียน ก็ยังไม่ถึง 1 อัพพุทะในนรกเลยการเปรียบเทียบ 1 อัพพุทะ ตามมาตรตราปัจจุบันอย่างคล่าวๆ
    1 ทะนาน เท่ากับ 1 ลิตร
    1 ลิตร เท่ากับ 1000 ลูกบาศเชนติเมตร
    เมล็ดงา 1 เมล็ด ประมาณ 1 มิลิเมตร ดังนั้น 1 เชนติเมตร เอาเมล็ดงาเรียงกันได้ 10 เมล็ด
    จะได้ 1 ลูกบาศเชนติเมตร จะมีจำนวน เมล็ดงา ประมาณ 10 X10 X 10 = 1000 เมล็ด
    จะได้ 1 ลิตรมีเมล็ดงาประมาณ 1000X1000 ประมาณ 1,000,000 เมล็ด
    จะได้ 1 ทะนานจะมีเมล็ดงาประมาณ 1,000,000 เมล็ด
    จะได้ 1 ขารีจะมีเมล็ดงาประมาน 256 X 1,000,000 ประมาณ 256,000,000 เมล็ด
    จะได้ 1 เกวียนจะมีเมล็ดงาประมาณ 20 X 256,000,000 ประมาณ 5,120,000,000 เมล็ด
    จะได้เวลาทั้งหมดเมื่อหยิบเมล็ดงาออกหมดเกวียน ประมาณ 100,000 X 5120,000,000 ปี
    ประมาณ 512,000,000,000,000 ปี
    ซึ่งยังไม่ถึง 1 อัพพุทะแต่ก็ประมาณ 512,000,000,000,000 ปีหรือ 5.12 X 10**14 จึงเอาไปแทนค่าตามข้างล่าง
    20 อัพพุทะ เป็น 1 นิรัพพุทะ 20**1 X 5.12 X 10**14
    20 นิรัพพุทะเป็น 1 อพัพพะ 20**2 X 5.12 X 10**14
    20 อพัพพะเป็น 1 อหหะ 20**3 X 5.12 X 10**14
    20 อหหะเป็น 1 อฏฏะ 20**4 X 5.12 X 10**14
    20 อฏฏะเป็น 1 กุมุทะ 20**5 X 5.12 X 10**14
    20 กุมุทะเป็น 1 โสคันธิกะ 20**6 X 5.12 X 10**14
    20 โสคันธิกะเป็น 1 อุปปละ 20**7 X 5.12 X 10**14
    20 อุปปละเป็น 1 ปุณฑริกะ 20**8 X 5.12 X 10**14
    20 ปุณฑริกะเป็น 1 ปทุมะ 20**9 X 5.12 X 10**14
    และ 20**9 = 512,000,000,000 = 5.12 X 10**11

    ดังนั้น 1 ปทุมะนรก ประมาณ 5.12 X 10**11 X 5.12 X 10**14 ประมาณ 26.2144 X 10**25
    ประมาณ 2.62 X 10**26 หรือ 1 ปทุมะนรก ประมาณ 262,144,000,000,000,000,000,000,000 ปีมนุษย์โลก
    เมื่อเปรียบเทียบปีมนุษย์ กับ 1 ปทุมะนรก และปีของมนุษย์กับ 1 กัป ดังที่คำนวณมาแล้วจะเห็นว่า มีเวลายาวนานมาก ดังนั้นในตำราของพระพุทธศาสนาจึงกล่าวว่า ผู้ที่ตกนรกอเวจีต้องทรมานอยู่ตลอดกัป หรือชั่วกัปชั่วกัลป์ เหมือนดังพระเทวทัต ที่ตกอเวจีนรกและจะหมดกรรมจากอเวจีนรกก็เกือบจะสิ้นสุดของกัปนี้

    ทังหมดนี้คงจะทำให้ท่านปลงสังเวช กับความโง่ หรือ อวิชชา ที่หาเบื้องต้นไม่ได้ถ้ายังไม่ชำละอวิชชาออกไปด้วยปัญญา นิพพาน ก็ไม่รู้ว่าจะหาที่สุดได้เมื่อใด?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มีนาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...