ถาม-ตอบ ..เรื่อง การแยกจิต ออกจากกาย Telwada....อธิบายว่า นั่งสมาธิ แล้วถอดจิต ไม่มีผู้ใดถอดจิตได้เพราะเพียงแค่การนั่งสมาธิดอกขอรับ เว้นแต่คิดเอาเองเท่านั้น กายกับจิต ถ้าดับ ก็ดับพร้อมกันขอรับ เพราะสิ่งที่ไม่ดับในทางพุทธศาสนา คือ วิญญาณ(นิวเคลียส) ขอรับ ไม่ใช่จิต (จิตในที่นี้หมายถึงหัวใจนะขอรับ) เพราะข้าพเจ้าอธิบายไปแล้วว่า จิตกับใจ คือสิ่ง สิ่งเดียวกัน เพียงแต่ถ้าหากพิจารณาในอีกทางหนึ่ง เช่นหากพิจารณาในเรื่องของ จิต,เจตสิก ,รูป, นิพพาน และ พิจารณาในเรื่องของ สติปัฎฐาน ๔ ก็จะต้องพิจารณาแยกรายละเอียด เกียวกับจิตให้ลึกลงไปอีก เพราะเป็นชั้นของการพิจารณา ญาณ(ยาน) เพี่อให้รู้และเข้าใจในอันที่จะบรรลุนิพพานขอรับ ไม่มีใครแยกจิตออกจากการได้ขอรับ ที่มันคุยๆกันนั้นมันอวดอุตริฯ กายกับจิตจะอยู่ติดกันตลอด ถ้าไม่มีกาย ก็ไม่มีจิต ถ้ามีจิต ก็ต้องมีกาย จิตและกายจะเป็นอย่างไรนั้นว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บอกว่า ถ้านั่งสมาธิ แล้วจะตาย เพียงแต่อธิบายว่า ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแยกจิตออกจากกายได้ และไม่สามารถแยกกายออกจากจิตได้ การปฏิบัติสมถกรรมฐาน ไม่ใช่เป็นการแยกจิตออกจากกาย แต่เป็นการฝึกเพื่อควบคุมมิให้เกิดความคิดฟุ้งซ่าน อันก่อให้เกิดจิตใจสงบ ไม่อธิบายต่อนะขอรับ เพราะยังมีอีกเยอะ การปรุงแต่ง(สังขาร)ของมนุษย์ Telwada ตอบ..... การปรุงแต่ง เกิดจากทุกส่วนภายในร่างกาย โดยเฉพาะใจและสมอง ถ้าคุณหมายถึงการปรุงแต่งทางความคิด อารมณ์ ความรู้สึก หรือ การระลึกนึกถึง การปรุงแต่ง จะเกิดขึ้นจากความจำอันเกิดจากการที่ได้ประสบมา และมีข้อมูลอยู่ในสมอง เมื่อใจมีอารมณ์ มีความรู้สึก (กิเลสนั่นแหละ) ก็จะส่งคลื่นกลับไปที่สมองเกิดการปรุงแต่ง เป็นความคิด เป็นอนาคต เป็นอดีต ฯลฯ ส่วนที่คุณกล่าว ดวงจิตที่ออกจากร่างกาย ทางพุทธศาสนา เรียกว่า "วิญญาณ" ยังสามารถปรุงแต่งได้ คุณเอาอะไรมาพิสูจน์ พิสูจน์ได้ไหม ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ก็เอาเท่าที่เห็นก็พอแล้ว อย่าฟุ้งเฟ้อ เพ้อเจ้อ ไกเกินสมองสติปัญญาของคุณเลยขอรับ ข้าพเจ้าเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่อง "ตายแล้วไปไหน" ลองหาอ่านดู ก็อาจจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับจิตที่ออกจากร่างกายเวลาตายไปแล้วได้
คุณฏำลังจะบอกว่าจิตวิญญาณที่ไร้ไม่มีร่ายกายมนุษย์ ปรุงแต่งไม่ได้ คิดไม่ได้ จำไม่ได้ ร้อนไม่ได้ หนาวไม่ได้หรอ แต่ต้องแข็งทื่อเหมือ่นท่อนไม้หรอ
จิตวิยญาณที่ออกจากร่างหากไม่ได้นิพพาน (ยกตัวอย่างผี) มันยังมีรัก มีเกลียด อาฆาตอยากแก้แค้นคู่กรรม มีทุกข์ ตกนรกก็รู้สึกทรมาร ต้องการส่วนบุญ บ้างไรบ้าง มีความคิดถึงลูกหลาน ห่วงหาอาทร มีความอยากพ้นทุกข์ บ้างก็อยากเกิดไม่อยากเกิด แม้แต่จิตวิญญาณพวกเทวดาไม่มีกายมนุษย์ก็ยังอยากสร้างบารมี ไม่อยากสร้างกรรม ยังมีความคิด อย่างนี้ไม่เรียกจิตวิญญารสามารถคิดได้ อยากได้ไม่อยากได้หรอ คุณบอกว่าเป็นศาสดาสามารถมองเห็นผี จะเรียกมาคุยเมื่อไหร่ก็ได้ ก็น่าจะหัดคุยกับผีบ้างนะ 555+ ท่านผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน
จิตวิญญาณที่เสวยผลแห่งกรรมในภพต่างๆนั้น มีการรับรู้ และ การนึกคิด โดยมีกายที่ละเอียดมากกว่าร่างกายของมนุษย์ หาใช่ว่าไม่มีร่างกายแล้ว นอกจากร่างกายของมนุษย์ ภพของสัตว์เดรัจฉานก็มีร่างกายที่หยาบดั่งเช่นมนุษย์ อวัยวะภายในไม่ต่างจากร่างกายมนุษย์เลย สาธุครับ
..................การปรารภขันธิ์ ในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ย่อมหมายถึง ปัจจัยรูป-นาม เท่านั้น....หรือสิ่งใดเกิดแต่เหตุ(เหตุปัจจัย).........ส่วนเป็น หมา แมว คน เทวดา ถ้าบุคคลที่สามเป็นผู้มองเห็น (หรือเราเองเป็นผู้เห็น นั่นหมายถึง เรารับรู้ทางอายตนะใดอายตนะหนึ่งทำให้เกิดเป็นรูป หรือ สัญญา(ว่าเป็น)สำหรับเรา.....ถ้าจะเอาสัมมาทิฎฐินะส่วนตัวเราถ้าเป็น เทวดาเสียเอง คงทราบเอง ว่าตัวเองมีกี่ ขันธิ์
การที่เราเข้ามาแสดงความเห็นในกระทู้ต่างๆ ใน เวปพลังจิตก็ด้วยเหตุแห่งกรรมเป็นปัจจัยทั้งสิ้น อย่างเช่นทำไมสิ่งที่ได้รู้มาปัจจุบันนี้พระโพธิสัตที่จักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่าพระศรีอริยะเมตรัยท่านยังอยู่ที่ชั้นดุสิตเล่า ท่านไม่เห็นบอกว่าจะลงมาเกิดในมนุษยโลกเลย บ้างช่วงท่านยังเทศน์ให้เหล่าเทวดาชั้นดาวดิงส์ฟังที่ธรรมสภา ตามการทูลเชิญขององค์อัมรินทร์อยู่ที่นั้นเล่า และธรรมเทศนาท่านสอนให้รักษาศีลกรรมบท เพื่อให้เตรียมพร้อมที่จะได้เกิดในสมัยของท่านและบรรลุธรรม เข้าสู่พระนิพพานได้โดยง่าย ไม่เห็นท่านจะลงมาเพื่อบำเพ็ญบารมีใดๆ เพิ่มอีกเพราะที่ได้รู้มาจากท่านนั้นบารมีท่านเต็มแล้ว และจะลงมาเกิดอีกเพียงชาติสุดท้ายอีกเพียงชาติเดียวเท่านั้น เพราะ ณ เวลานี้ท่านคือสันตดุสิตเทพบุตร แล้วที่อ้างว่าเป็นท่านนั้นคือพระศรีอานไหนกัน สาธุ (ผมก็เป็นผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อประโยชน์ตนและสัพพสัตว์เช่นกัน)
ขอตอบจากการฝึกปฏิบัติส่วนตัวนะครับ อาจจะไม่เกี่ยว หรือ ตอบได้ไม่กระจ่างเท่าท่านอื่น แต่หากเห็นเป็นมิจฉาทิถิ รบกวนชี้แนะด้วยนะครับ กาย+จิต เป็นของคู่กันครับ แยกออกจากกันไม่ได้ แต่เราสามารถกำหนดจิตให้เป็นตัวผู้รู้ หรือทำหน้าที่บริกรรม หรือ ภาวนาได้ กายในกาย ก็คือจิตในกาย ร่างกายคนเราเป็นแค่กายหยาบ หัวใจคือก้อนเนื้อมีหน้าที่ของมัน คือ สูบฉีดเลือด สมองแค่ไขมัน มันเป็นปัญหาตรงที่ว่า ทำไม ใจเราแค่ก้อนเนื้อ ถึงรู้สึกสุข ทุข เจ็บ ฯลฯ สมอง แค่ไขมันก้อนนึง ทำไมคิดได้สรตะมากมาย ลองพิจารณาดีๆ หากสิ่งที่ทำหน้าที่เหล่านี้ ไม่ใช่สมอง ไม่ใช่หัวใจหล่ะ ถ้าเป็นมิจฉาทิถิ ต้องขออภัยและขอคำชี้แนะด้วยนะครับ
แยกจิตออกจากกาย(จขกท.บอกจิตในที่นี้หมายถึงหัวใจ) ถ้าจิตของคุณศาสดาเจ้าของกระทู้หมายถึงหัวใจแสดงว่า โรคหัวใจกับโรคจิตก็คงเป็นโรคเดียวกันซินะ 555+ และพึ่งรู้นะเนี้ย ว่าจิตแท้จริงแล้วคือก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจ แหมๆๆ หาตั้งนานจิตนึกว่าจิตอยู่ตรงไหน กายแตกจิตจะดับไปด้วย งั้นที่เขาบอกว่า จิตที่ท่องเทียวไปในวัฏสงสาร คงเป็นไปไม่ได้ซินะเพราะมันดับพร้อมกาย แล้วที่เขาบอกกันว่าสภาวะจิตเกิดดับเกิดดับ มันคงเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจซินะ เวลาที่จิตสว่างหัวใจคงมีแสงซินะ และเวลาที่จิตบริสุทธิ์ หัวใจคงสะอาดน่าดู จิตนิพพานก็คือหัวใจหลุดพ้นจากกิเลสรูปนามขันธ์ เพราะจิตแท้จริงแล้วคือหัวใจ55+ ทีนี้ก็คงจะมีแต่ผีกระสือที่แยกจิตออกจากกายได้ เพราะมันถอดหัวกับหัวใจตับไตใส้พุงออกหากินยามวิกาล ส่วยกายมันทิ้งไว้บ้าน ได้ความรู้ใหม่อีกแล้วท่านศาสดา ของเขาดีจริงๆ ความรู้ใหม่ขอบใจนะท่านศาสดา อย่าพึ่งโกรธผมนะ อย่าพึ่งสั่งรถถังมายิงผมล่ะ
จิตมีคุณสมบัติรู้....คำว่าแยกกาย แยกจิต อาจจะหมายถึงรู้รูป รู้ นามของใครบางคน...เช่น.....รู้ลักษณะของกายหรือรูป(จากคุณสมบัติของกาย เช่น แข็งอ่อน สี ร้อน เย็น) ส่วนที่เป็นนาม เช่นสิ่งที่มีลักษณะเป็นนามธรรมต่างต่างกันตามคุณสมบัติ(แยกด้วยคุณสมบัติลักษณะ)เช่น สัญญาความจำ เวทนา(สุข ทุกข์ เฉย)...ความคิดปรุงแต่ง(สังขาร กิลสตัณหา ต่างต่าง ราคะ โทสะ)...ok..มีจิตตั้งมั่นพอควร(ผู้รู้ มีสติ)จึงจะเห็นคุณสมบัติที่ต่างกันของ สิ่งเหล่านี้
ส่วนการเห็นทุกข์ ทุกข์สัจ ว่ารูป-นาม ขันธิ์5(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน)ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนที่เที่ยง....คือเห็นคุณ(อัสสาทะรสอร่อยของขันธิ์5) เห็นโทษ(อาทีนวะ ความไม่เที่ยง) เห็นนิสรณะ(อุบายพ้นไปจาก สิ่งนี้)....ยังต้องรู้จักสมุทัย นิโรธและ มรรค..ตามลำดับ...สำหรับการยกจิต หนีของบางท่าน จะต้องเป็นการดำเนินตามมรรค8ถึงจะตรงกับที่พระศาสนาว่าไว้.....(อันนี้เป็นความเห็นของผมเท่านั้น)
จิตนั้นจะนึกคิดได้ต้องมีใจประกอบด้วย จึงจะนึกคิดได้ หาไม่แล้วย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เพราะจิตมีหน้าที่แค่รับรู้ และ จดจำ ถึงจะอธิบายมากไปกว่านี้ก็เท่านั้น มีแต่จะทำให้เกิดประเด็นเท่านั้นเอง สาธุครับ
วิญญาณ หรือจิต คือผู้ที่รับรู้สิ่งทั้งปวง คือรับรู้ความรู้สึกต่างๆ และเป็นผู้รับรู้ถึงส่วนที่เป็นรูปขันธ์ทั้งหลายด้วย อันได้แก่เป็นผู้รับรู้สิ่งทั้งหลาย ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง รวมถึงเป็นผู้รับรู้ในสภาวะแห่งนิพพานด้วย จิต ต้องการผู้นำทาง คือ ใจ จิตขับเคลื่อนร่างกาย และใจเป็นผู้ควบคุม เช่น การเคี้ยวอาหาร การขับรถ ทุกกิจกรรมของร่างกายล้วนเป็นการทำงานของจิต จิตแม้จะเป็นพลังงานแต่ไม่ได้ขีดเส้นให้เราเดิน ตัวเรา(ใจเรา)ต่างหากที่เป็นผู้กำหนดอนาคต เมื่อใจเรา ตัวเราเลือกทางเดินใดจิตก็จะมุ่งไปในทิศทางนั้น ดังนั้นไม่ว่าเราจะมีกรรมที่เลวร้ายหรือกรรมดี เรา(ใจ)ก็ยังคงต้องทำงานร่วมกันกับจิตอย่างสร้างสรรแบบนี้หรือเปล่า ถ้าใช่จิตกับใจก็คือไม่ต่างจากสิ่งเดียวกัน และเมื่อเป้นสิ่งเดียวกันก็ย่อมมีความคิด เวลาคนตายสิ่งที่ออกจากร่างคือจิตวิญญาณ ไม่ได้ดับไปพร้อมกาย แต่ออกมาทั้งจิตวิญญาณ ใช่แบบนี้ป่าว