เทศนาภาษาใจ ๕ หลวงปู่บุดดา ถาวโร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไม้ขีด, 24 มกราคม 2013.

  1. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    เทศนาภาษาใจ ๕ หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี
    โพสท์ในลานธรรมเสวนาโดยคุณ : โต [ 19 ม.ค. 2545] กระทู้ที่ 004107
    ลำดับนี้ ตั้งใจน้อมนมัสการคุณพระรัตนตรัย ด้วยกายพระนาม วจีพระนาม มโนพระนาม โดยสัจจะเคารพแล้ว น้อมพระธรรมเทศนาคำสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาแสดง เพิ่มพูนปัญญาบารมีชาวพุทธทั้งหลาย
    ขออำนาจแห่งคุณพระพุทธ คณพระธรรม คุณพระสงฆ์ จูงจิตใจของพี่น้องชาวพุทธให้เข้าสู่ธรรมวินัย ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    สวัสดีปีใหม่ให้เลิกเกิดเลิกตาย ถ้าไม่พ้นเกิดพ้นตายก็เป็นสัตวะ เวียนวายตายเกิดทั้งในรูปพรหม อรูปพรหม ก็ไม่พ้นเกิดพ้นตาย คือ เข้านิโรธ สู่พระนิพพาน
    ขอให้ชาวพุทธทั้งหลาย พ้นจากเกิดแก่เจ็บตาย พ้นจากการทุกข์กายทุกข์ใจ ความทุกข์กายทุกข์ใจ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นอย่าให้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย อย่างทิ้งวิริยะบารมี จนกว่าจะตรัสรู้ธรรมนะ ทำก้อนขันธ์ ๕ นี้ให้เป็นก้อนธรรมล้วน
    ตายที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั่น เมื่อไม่เกิดที่ไหนก็ดับทุกข์ที่นั่น เมื่อไม่ตายที่ไหน ก็ดับทุกข์ที่นั่น ให้พ้นจากความเกิด ความตาย โดยเข้าสู่ในธรรมะโลกุตตรธรรม ให้เข้าสู่พระนิพพานสมบัติโดยสวัสดี
    นามรูปมันก็เกิด ดับเหมือนลมหายใจนี่แหละ หายใจเข้าก็เกิดดับ หายใจออกก็เกิดดับ ถ้าไปนับอยู่ลมสั้น ลมยาว ลมหยาบ ลมละเอียด นั่นแหละถูกปรุงแล้ว ฟุ้งไปหมดนั่นแหละ ผู้ใดเจริญได้ทั้งวันทั้งคืน ทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว จะพ้นจากความเกิดตายด้วยสวัสดี
    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีแต่ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้รู้อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ โดยฉับพลัน ขออย่าได้มีความเวียนว่ายตายเกิด ให้เสวยแต่โลกุตตรธรรมโดยไม่เกิดไม่ตาย เมื่อไม่มีเกิดก็ไม่มีทุกข์นั่นเอง ขอให้สวัสดีในธรรมะพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยสวัสดี
    เออ สัตว์มันตายได้ แต่ธรรมะมันไม่ตาย นิโรธไม่มีตาย นิพพานไม่มีตาย ไม่มีเกิด อย่าได้เกิด อย่าได้ตายกัน ให้พ้นจากธรรมเกิดตายเสีย ให้พ้นจากธรรมกรรมดำกรรมดขาวเสีย กรรมไม่ดำไม่ขาวนี้ เป็นกรรมไม่เกิดกรรมไม่ตาย ขอให้เจริญในโลกุตตรกรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยสวัสดี
    จูงจิตใจให้เข้าสู่มรรค ผล นิพพาน ให้เข้าสู่ในความไม่เกิดไม่ตาย อย่าได้มาเวียนเกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ เกิดที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั้น
    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า แน่หรือยัง อย่าโกหกตัวเองว่าถึงแล้ว คนในโลกน่ะ มันไม่แน่ไม่นอน เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง สะระณัง คัจฉามิ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ ๓ วาระ แล้วไปไหว้ต้นไม้ ไหว้ภูเขา ไหว้ผีสางไปถูกอะไรล่ะ.....
    เอาพระพุทธเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่งนะ
    ขอถวายชีวิตแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้สั่งสอนเรา เราเป็นภาชนะของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถวายเรื่อยไป ถวายแล้วไม่เอาคืนหรอก ให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลย
    อย่าให้มีความหลงความลืม ให้มีความกำหนดดีๆ ในระหว่างเราเกิดมายุคนี้
    เราพบคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า จูงจิตใจเราให้เข้าสู่พระนิพพานได้ทุกเมื่อทุกเวลา
    เว้นไว้แต่เราหลงไปลืมไปเท่านั้นเอง ที่หลงไปแล้วลืมไปแล้วเอาคืนไม่ได้ เราต้องทำตัวตน ยังไม่ตายยังมีอยู่ มีอยู่ในตา ในหู ในจมูก ในลิ้น ในกาย ในใจนั้นเอง
    ชีวิตอยู่ได้เพราะ สันติสืบเนื่องดิน น้ำ ลม ไฟพอดี ทาน ศีล ภาวนา ตัวตรัสรู้
    ให้เห็นความเกิดและความเป็นโทษ ให้เห็นความไม่เกิดไม่ตายเป็นคุณธรรมทั้งหลาย ให้เห็นว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้เป็นเครื่องอาศัย ขอให้ศีลรักษาจิตไว้อย่าให้หลงอย่าให้ลืม
    ความเกิด แก่ เจ็บ ตายของสัตว์โลกมีจริง ความไม่เกิด ไม่ตายของพุทธศาสนามีจริง อริยมรรคมีจริง อริยผลมีจริง นิโรธธรรมมีจริง นิพพานมีจริง
     
  2. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องของโลกเขาไม่ใช่เรื่องของเรา
    จะเอากิเลสที่นอนเนื่องมานานไปฆ่าเสีย ย่อมเป็นทุกข์ลำบากมาก การปฏิบัติธรรมจึงเป็นการยากลำบาก เพราะไม่มีการตามใจกิเลส จึงลำบากในขณะปฏิบัติ
    กิเลสมันมาเป็นเจ้าของอวิชชา ตัณหา อุปทาน มันนึกว่าหนังของมัน เนื้อของมัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของมันที่ไหน มันมาอาศัยเขาเกิดยังว่าของมันอีก
    อยู่กับขี้กับเยี่ยวกับสิ่งปฏิกูลทั้งนั้น มีแต่เปียกแฉะทั้งนั้นยังจะอยู่อักหรือ แยกกายกับใจซิแบบสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีตัวใดที่จะชอบสภาพที่ตัวมันเป็น
    คนเรายึดถือแม้กระทั้งของเสียที่ถ่ายออกมาแล้ว ว่าเป็นของตัว นั่นแหละความหลง
    เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องของกายไม่ใช่เรื่องของจิต จิตไม่ได้ขี้ไม่ได้เยี่ยวไม่ได้กินไม่ได้เงินไม่ได้ตาย เจ็บปวด สุข ทุกข์เป็นเรื่องของกาย จิตไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ทุกข์ด้วย
    ยุงกัดไม่มีผู้รับรอง กัดก็กัดไปซิ กัดแผ่นดิน กัดดิน น้ำ ลม ไฟ กัดไปซิ กัดมหาภูตรูป ๔ อุปาทานรูป ๒๔ กิเลสหมดแล้วมันไม่มีเจ้าของ เจ้าของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ไม่มี เจ้าของผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็ไม่มี......... ผีหลอกไม่เป็นหร็อก มีแต่กิเลสมันหลอกเราอวิชชามันหลอก
    อย่าเสียดายอวิชชาเลย มันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ อย่าไปถือว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์มันทุกข์
    อวิชชาดับแล้วไม่มี ญาณวิชชามีแล้วไม่หาย
    หมดอวิชชาก็หมดโทษ มีแต่ธรรมะนำไป สัตว์ที่เกิด ตาย ก็เพราะหาบทุกข์สมุทัยไปด้วย
    ถ้าดับทุกข์ที่ใจเป็นกันก็ไม่ต้องมีโสกะ ปริเทวะ อุปายะ พิรี้พิไรรำพันทางใจ ไม่อัดอั้นตันใจ
    นิพพานสมบัติมีอะไรล่ะ ไม่มีนามรูป มันจะไปโกรธกันได้ยังไง กิเลสไม่มีอวิชชาไม่รู้ อุปาทานไม่มี มันข้ามไปหมดแล้ว นิพพานสมบัติมันไม่มีวิบัติ
    พระนิพพานไม่มีความเกิดความดับ จะว่านิพพานไม่มีอย่างไร ขอให้เจริญด้วยอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ตลอดถึงสิ้นไปแห่งความเกิดตาย
    เมื่อมีศีลก็มีอธิจิต อธิจิตเป็นผู้เว้นจากอกุศลแล้ว มั่นคงไม่มีบาป ไม่มีอกุศล มีแต่บุญกุศลอย่างเดียว
    ให้มีแต่บุญกุศลรักษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าสู่ในแดนโลกุตตรธรรม ให้เจริญในมรรค ๔ โดยสมบูรณ์ อย่าได้มีความเกิดความตายติดตามไป เพราะว่าอเนกชาติเราก็ได้ผ่านมาแล้ว
    ปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม มีอยู่ที่ปัจจุบันธรรม อย่าเอาอดีต อนาคตค้านตัวเองให้ยุ่งเลย เอาแค่ปัจจุบัน
    อดีตผ่านมาแล้วเราไม่ได้ เพราะไม่มีวิชชาไปรู้ไปเห็น
    รู้อยู่ตรงไม่ติดนั่นแหละ ไม่มีไฟราคะ โทสะ โมหะ จะมาเผาแล้ว เขาติดไม่ได้แล้ว
    ต้องพูดอย่างธรรม พูดอย่างคนจะขัดคอคนนะซิ ขัดคอเราไม่เป็นไร อย่าไปขัดคอเขาก็แล้วกัน
    มีคอไปให้เขาขัด เขาก็ขัดคอได้นะซิ ปูไม่มีหัว ปูมันปวดหัวหรือเปล่าล่ะ งูไม่มีขา งูมันปวดขาหรือเปล่าล่ะ
    ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตายนั่นแหละเป็นแก่นศาสนา
    ศาสนาเกิดอยู่ที่จิตนั่นเอง จิตหลงเมื่อไรมันก็เป็นอบายมุขบ้างอบายภูมิบ้าง
    พ้นเกิดแก่เจ็บตาย พ้นในปัจจุบันนี้แหละ ให้พ้นเกิดพ้นตาย จะได้ทำงานในพระศาสนา
    เออ อ้ายพวกนี้ มันมาติดเปลือก ติดหนามทุเรียนอยู่อย่างนี้ แล้วเมื่อไรมันจะได้กินเนื้อสักที่เล่า
    ทำไมคนจึงเกิด ที่เกิดก็เพราะยังโง่อยู่ ก็เพราะยังโง่นะซิ ถึงต้องเกิด
    เกิดที่ไรเป็นชายทุกที เกิดที่ไรมาเกิดกับผู้หญิงทุกที เราจึงได้รู้วามนุษย์เป็นอย่างนี้
    เราเกิดทีไร เกิดกับผู้หญิงทุกที เราจะไม่ประมาทพวกผู้หญิง ผู้หญิงมาเกะกะเราก็ไม่เอา เพราะแท้เราก็เป็นผู้หญิง ไอ้พวกผู้ชายมาชวนให้เป็นพวกปล้นสดมภ์ เราก็ไม่เอาเพราะพ่อเราเป็นผู้ชาย
     
  3. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    เกิดมา ๙๐ ปีแล้ว ไม่เห็นมีนางงามมีแต่นางขี้ พระเอกนางเอกไม่มีหรอก มีแต่พระเอกขี้ นางเอกขี้ ขี้เต็มตัว เต็มหู เต็มตา จะไปเอานางเอกที่ไหน เลือกเอาแต่ธรรมะซิ
    ธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช้ธรรมะของเรา ธรรมะของเราจะมีอะไร
    ธรรมะเป็นอย่างไร ธรรมก็หนังแผ่นเดียวนะซิ จิตก็จิตเดียวนะซิ นิพพานไม่สูญ แต่อาสวะสูญได้
    มีหนังแผ่นเดียว มีจิตดวงเดียวเท่านั้น ก็หนังแผ่นเดียวมันหุ้มอยู่ทั้งหมดกับทะลุ ๙ ช่อง
    นะวะทะวารัง ทะลุทางตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ทวารหนัก ทวารเบา
    หนังแผ่นเดียวนี้ก็ไม่มีเจ้าของ นามรูปไม่มีเจ้าของใช้ได้แล้ว เข้าทางแล้ว รูปฌานเป็นเจ้าของไม่ได้ อรูปฌานก็เป็นเจ้าจองไม่ได้
    จับก็จับไปซิ จับแต่หนัง ไม่ได้จับตัว ตัวมีที่ไหนล่ะ พออริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ทำงาน พอหมดแล้วไม่มีเจ้าของแล้ว...
    หนังแผ่นเดียวมันรักษาง่าย อยู่ในท้องก็มีเท่านี้แหละ ออกจากท้องมาแล้วก็มีเท่านี้แหละ หมดไป ๑๐๐ ชั่วโมง ๑๐๐ วัน ก็มีหนังแผ่นเดียวเท่านี้แหละ ตื่นขึ้นมาก็มีหนังแผ่นเดียว จะดับไปก็หนังแผ่นเดียว... จะมาเกิดอีกก็มีแค่หนังแผ่นเดียวเท่านี้ ยังไม่เชื่อกัน ไม่เชื่อธรรมะก็ตามใจซิ
    อยากดูหนังก็ให้ดูหนังเรามีให้ดูตลอดเวลา ดูตามนี้ธรรมะดีขึ้น หนังมันดีลง จะไปติดอะไรกับหนัง จะไปเสียดายอะไรกับหนัง แค่กระดาษห่อขนมปังเท่านั้นเอง คนรู้นะ เขาทิ้งกระดาษห่อขนมปังทั้งนั้น พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ท่านรู้อย่างนี้ ท่านไม่หลงไม่ลืม แล้วเราจะอวดดีไปหลงไปลืมทำไม
    คนมันชอบดูทุกอย่าง อะไรๆ มันก็จะดู แต่ไม่ชอบดูตัวเอง ลุกไปก็ไม่ดูตูด ตูดนั่งทับหนังตัวเองก็ไม่ดู พอจะดูตัวเองต้องส่องกระจกดู
    หนังไม่มีเจ้าของ ตา หู จมูกว่างเปล่า ไม่มีเชื้อกิเลสมาอาศัย นี่เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ไม่รู้จักเข็ด
    ไปไหนก็ทับหนัง ยินอยู่ก็ทับหนัง เดินอยู่ก็ทับหนัง นั่งอยู่ก็ทับหนัง นอนอยู่ก็ทับหนัง แหม ทำงานมากจริง มันอุทธรณ์ไม่ไหว ถ้าปากมันมี มันอุทธรณ์ได้
    จะเดินไปที่ไหนก็เอาไปด้วยหนังนี้ ยืนที่ไหนก็เอาหนังไปด้วย นั่งที่ไหนทับหนัง นอนที่ไหนทับหนัง อาบน้ำ ห่มผ้า ดื่มน้ำ ถ่ายมูตร ถ่านคูถ ไม่พ้นหนังสักที เลิกนั่งก็ลืมหนังทุกที ไม่พ้นหนังแต่ลืมหนัง ยังถามหาหนังอีกน่ะ เออ ยังไงนี่
    วิญญาณหมดอาสวะแล้ว ก็เป็นอันว่ากิเลสนิพพาน ขันธ์นิพพาน ธาตุบริสุทธิ์ไม่มีอาสวะ ไม่มีโลภมูล โทสมูล โมหมูลไปอาศัยได้ กิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ เข้าไปไม่ได้เลย
    โกรธมันไม่มี จะไปโกรธได้อย่างไรล่ะ มีเกลียดก็เกลียดได้ซิ มันไม่มีเกลียดได้อย่างไร ของมีจึงจะโกรธได้เกลียดได้ ต้องอาศัยกิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ ยังมีก็ทำได้ ต้องมีเหตุมันจึงมีผล
    หมดเกิดหมดตายก็เป็นธาตุบริสุทธิ์เหมือนกัน เมื่อไรได้ตรัสรู้แล้ว ดับอวิชชาปัจจัยการดับอวิชชาโอฆะ ดับอวิชชาสวะ ดับอวิชชาสังโยชน์ ดับอวิชชานุสัย มีแต่วิชชา
    จิตวิญญาณไม่มีวันสูญสิ้นเสื่อมสลาย ที่แปรเปลี่ยน คือ แต่เฉพาะธาตุ ๔ แต่จิตวิญญาณที่ธาตุรู้ไม่มีวันตาย
    ยกตัวอย่างธาตุ ๔ มีอยู่ที่เรา ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้สูญไปไหน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคมีอยู่ที่เรา ดินฟ้าอากาศภายในภายนอก ก็มีอยู่ตามเดิมตามสัตว์ตามบุคคลเสมอกัน รู้แจ้งอย่างนี้ เรียกว่า วิปัสสนาญาน
    กายก็ว่าง จิตก็ว่าง ภายนอกภายในนี้มีจริง วัฏฏะทุกข์ อวิชชาตามไม่ทัน กิเลสหมด ขันธ์ ๕ ก็ว่าง
    เราจะลืมไม่ได้ จะหลงไม่ได้ ถ้าเราลืมเมื่อไร หลวงเมื่อไร โลภะมูลก็เข้ามาปนกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร เข้ามาปน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้เร่าร้อนด้วยโลภมูล โทสมูล โมหมูล แล้วมันก็จ่ายไปทางกายกรรม วจีกรรม จ่ายมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    อย่าติดหน้า หลัง ซ้าย ขวา เดนธรรมะต้องสายกลาง เดินให้พอดี พอดีของกาย พอดีของจิต ต้องเดินกลาง อย่าให้ตึง อย่าให้หย่อน ไม่มีข้างหน้า ขางหลัง ต้องมัชฌิมา
     
  4. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    ของตัวก่อน ต้องสอบตัวเองก่อน ไม่มีชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย มีแต่ชีวิตของธรรม มีแต่ธรรมเป็นเองซิ บริกรรมไม่มีแล้ว
    อะไรมากระทบตา กิเลสไม่เกิดก็ใช้ได้แล้ว เข้าสายกลางแล้ว อะไรกระทบหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่ติดต่อกัน ส่วนเปรี้ยว หวาน มัน เค็มก็ตามเดิมนั่นแหละ
    ตามองไม่เห็นนั่งเทศน์ตลอด ตาไม่เห็น ก็ธรรมมันเห็นซิ
    ตาในมันเห็นจิตเห็นธรรมะ
    การเอาจิตถึงจิตนั้น ดีกว่าเอากายถึงกายมาก
    พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไม่เกิด ไม่ตาย
    เออ ไม่ให้อภัยก็ไม่ใช่ลูกพระพุทธเจ้าซิ พระพุทธเจ้าให้อภัยสัตว์เก่ง ลูกพระพุทธเจ้าเกิดด้วยศีล เกิดด้วยสมาธิ เกิดด้วยปัญญา เกิดแล้วไม่แล้วต้องตายเป็นทุกข์ ตายแล้วก็ไม่แล้วต้องเกิดเป็นทุกข์ ขอทุกข์อันนี้อย่าได้มีติดตาม อย่าได้ตามมาใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอให้พ้นไป
    ให้อภัยไม่ก่อเวรแก่สัตว์ทั้งภายนอกและภายใน เท่ากับให้ชีวิตเป็นธรรมทาน
    อภัยทานถึงนิพพานได้ จิตมีทาน ศีล ภาวนาไปได้เร็ว ทานภายใน อภัยทาน ธรรมทาน ทานภายในสูงสุดกว่าทานภายนอก
    คนมัวเมาแต่ภายนอก ไม่ค่อยเอาใจใส่ธรรมทาน อภัยทาน ไม่เห็นหน้าตาของจิตลำบาก เลือกเอาซิ จะอยู่มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือนิพพานสมบัติ
    เวลานั้นไม่มีภาษาอะไร ปริยัติไม่เกี่ยวข้างนอก ปฏิบัติไม่เกี่ยวข้างนอก ปฏิเวธก็ไม่เกี่ยวข้างนอก ไม่ได้เกี่ยวปิฎกใด มันต้องเกิดกับจิตเท่านั้น ดับทั้งปริยัตินอก ปริยัติในดับหมด
    เมื่อน้อมศีล สมาธิปัญญาใส่ใจแล้ว ใจที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีในที่นั้น
    ความตายไม่มี มีแต่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิด ดับ ภายในมันเกิด ดับของมันเอง ไม่มีกิเลส ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก มองเราก็ไม่มี มองเขาก็ไม่มี
    ผู้ค้านก็ไม่ผิด ผู้แปลก็ไม่ผิด ผิดแต่ผู้ไม่รู้
    ปฏิบัติก็ศีลซิ ศีล ๕ เป็นอย่างไรล่ะ ยิ่งชีวิตซิ สมุทเฉทซิ ไม่ต้องสมาทานซิ ศีล ๕ โลกุตตรแหละ เป็นสมุทเฉททุกองค์
    เกิดไม่ใช่เรา ตายไม่ใช่เรา เราอยู่กับศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ก็เป็นอรหันต์ไปได้เท่านั้น ศีลนี้แหละ มันพาให้รู้อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ให้จิตไปอยู่กับศีล อยู่กับสมาธิ อยู่กับปัญญา อยู่กับธรรมะ มันก็ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตายนะซิ พ้นเกิด พ้นตาย
    ศีล ๕ ก็ เข้าโลกุตตรได้ ศีล ๘ ก็เข้าโลกุตตรได้ ศีล ๑๐ เป็นเณรอรหันต์ได้ มันถึงได้ทั้งหมดแหละ โกนผมก็ได้ ไม่โกนผมก็ได้ มันไม่ได้อยู่ที่ผมนั่นหรอก มันอยู่ที่จิต.........
    มีสุขก็เพราะศีล มีโภคสมบัติก็เพราะศีล ถึงนิพพานสมบัติก็เพราะศีล ไม่เชื่อศีลแล้วไปเชื่อใครล่ะ ไปเชื่อคนเกิดคนตายรึ ก็โง่ซิ ฉลาดก็เชื่อศีลซิ
    ศีลบริสุทธิ์ที่จิต สมาธิตั่งมั่นที่จิต ปัญญาตรัสรู้ที่จิต
    เมื่อผู้ปฏิบัติจะพ้นได้ต้องสำรวจตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของตน อย่าให้ยินดียินร้ายและมั่นคงในศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ เมื่อเจตนาละเว้น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง เจตนาทำบาปไม่มีจึงพ้นจากอบายภูมิ
    ผู้ปฏิบัติต้องมีสติเพ่งบริกรรมอยู่ที่เราเสมอ เดิน ยืน นอน นั่งทุกลมหายใจเข้า ออก ทำเหตุอย่างนี้ติดต่อมาถึง ๔ พรรษา ถึงได้รู้แจ้งชัดในศีล สมาธิ ปัญญาว่า มีอยู่ที่เราทุกเมื่อ ผู้ปฏิบัติทำเหตุอย่างนี้ให้ติดต่อแล้ว คงได้รับผลเหมือนกัน
    พวกมีศีลธรรมปกครองง่าย พวกไม่มีศีลธรรมทะเลาะกันวันยังค่ำนั้นล่ะ ไม่ว่าประเทศไหน
    ตายกับไม่ตายขณะเดียวกัน มิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิ ขณะจิตเดียวกัน ถูกกับผิดก็ขณะจิตเดียวนั่นแหละ จิตเป็นแผ่นดินรองรับธรรมทั้งสอง
    อิริยาบถของกาย ๒๔ ชั่วโมง ต้องยืน เดิน นั่ง นอน ต้องอาบน้ำ ห่อผ้า ดื่มอาหาร ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ถ่ายออกมางามเมื่อไหร่นะ ไม่งามหร๊อก
    สมาธิที่แท้จริงต้องอยู่ในทุกอิริยาบถ นั่งนอน ยืน เดิน กินอาหาร ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ทุกลมหายใจเข้าออกและเป็นอารมณ์ในปัจจุบัน
     
  5. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    หลงไม่รู้จริงตามลักษณะของธาตุที่แข็งเป็นดิน ที่เหลวเป็นน้ำธาตุที่ร้อนอบอุ่นเป็นธาตุไฟ ธาตุที่พัดไปมาทั่วสรรพางค์กายลมหายใจเข้า ออก เป็นธาตุลมที่มีอยู่ในกายและภายนอกมีให้เห็นอยู่เสมอ ไม่เคยหลงไปตามที่ดีหรือชั่ว ควรใช้ปัญญาพิจารณาเสมอ เห็นตามเป็นจริงทั้งภายในและภายนอก เดิน ยืน นั่ง นอน พิจารณาทุกอิริยาบถทั้ง ๔ อย่าให้ขาด ตลอดถึงปัจจัยทั้ง ๔ ทุกสิ่งทุกประการ ไม่ว่าสัตว์บุคคลล้วนแต่เป็นธาตุ ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาเนืองๆ
    อาหารทุกอย่าง เป็นยาเลี้ยงเขาไป
    ทายาเสียก่อน ยากันตายน่ะ หายใจช่วยนะ รักษาแต่คนเป็นนะ คนตายรักษาไม่ขึ้นหรอก
    ตา เขาก็ไม่ได้ว่าเป็นของเขา หู เขาก็ไม่ได้ถือเป็นเจ้าของ ลิ้น เขาไม่ได้ยึดถือเป็นลิ้นเขา เขาทำตามธรรมชาติไปอย่างนั้นเอง ธรรมชาติเขาก็ทำหน้าที่ธรรมชาติของเขา คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอย่างนั้นเอง
    บวชแล้วสึกทำไม สึกไปก็ตาย บวชอยู่ก็ตาย ให้มันตายแต่สังขารซิ จิตใจไม่ตาย ศีล สมาธิ ปัญญาไม่ตาย ธรรมะไม่แพ้ กิเลสแพ้ ให้มีแต่ธรรมพ้นเกิดตาย
    บวชยังกลัวอยู่ก็กิเลสซิ มันบวชกับกิเลส ไม่ใช่บวชกับธรรมะ
    คนเรานี้บวชพระมานานได้ฟังเทศน์มานาน
    ภาวนาก็ได้กระทำมานานแต่ทำไมจึงไม่หายหลง ก็เพราะว่าธรรมะไม่แล่นเข้าไปถึงจิต มันไปติดปะทะอยู่แค่กายมันจึงเนิ่นช้า
    ฟังธรรมะไม่ใช่ฟังเทฟังทิ้ง ฟังแล้วเอาไปทำ ฟังเทมันก็ไม่รู้เรื่องซิ ฟังธรรมะต้องทำไปด้วยซิ
    มันไม่มีศีลจึงมาวัดไม่ได้ ห่วงกิน ห่วงขี้ ราคะมันเผาจิตใจและเผามาทางตา หู
    ตามีศีล หูมีศีล จมูกมีศีล
    พวกโสดาโลกุตตรนี้ทำงานได้มากกว่าใคร ทำงานเท่าไรก็ไม่เก้อเขิน อนาคาโลกุตตรทำงานได้มาก เข้าบ้านเข้าวังได้ แต่ไม่ยอมมีคู่ไง กายโสด จิตโสด โสดจากสังโยชน์ ๕ นี่เองล่ะ
    กายฉันเป็นธรรม จิตฉันก็เป็นธรรม จะเป็นธรรมได้ขึ้นอริยมรรคขั้นที่ ๓ อริยผลขั้นที่ ๓ โลกุตตรธรรมท่านสบายอย่างนั้น พระโสดาท่านทำงานเหน็ดเหนื่อยแค่กาย
    พระโสดานะพ้นโลกีย์ไป สกิทาคาพ้นจากโลกีย์ อนาคาก็ยังสังโยชน์ ๕ เบื้องบน สังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำตัดได้หมด ให้รู้อย่างนั้น ถ้าไม่รู้อย่างนั้นจะบวชทำไม บวชโง่ๆ งั่งๆ บวรทำไมล่ะ เกะกะบ้านเมืองเขา บวชแล้วฉลาดซิ...
    จะเข้าโสดา สกิทาคา อนาคา มัวแต่ทำการงานอยู่ในเรื่องกิเลสนั่นแหละ อุปทานเขายังไม่ขาด เทศน์ไปก็ติดกิเลสไปติดสังโยชน์ไป
    อาสวะดับหมดแล้ว เทศน์อยู่ ๔๕ พรรษา ไม่มีอวิชชาสวะ ไม่มีอวิชชาสังโยชน์ ไม่มีอวิชชานุสัย เป็นกิริยาเทศน์ต่างหากล่ะ
    อายุ ๓๒ ปี อวิชชาหนีจากเลย อวิชชาสังโยชน์ก็ไม่มาอยู่ อวิชชาอนุสัยก็ไม่อยู่ มันกายเดียวจิตเดียวกัน ทุกเข ญาณัง วิญญาณเห็นทุกข์ อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ กิเลสมันเห็นสว่างแล้ว มันเลยไปนิพพาน
    อยู่กับธรรมพูดธรรมะต่างหากล่ะ ไม่ใช่พูดหลอกลวงใคร
    อยู่บ้านอย่าติดบ้านนะ อยู่วัดอย่าติดวัดนะ อยู่ถ้ำอย่าติดถ้ำนะ ติดที่ไหนเป็นกิเลสที่นั้น
    มาวัดด้วยวิชชาก็ฉลาดสว่างไสว กลับไปบ้านไปสร้างอวิชชาขึ้น มันก็มืดไปอีกตลกคะนองไปอีก......... มาอยู่วัด วัดไม่ใช่ของเรา ของเรามีเพียงหนังห่อร่างกายอยู่เท่านั้น นั่นแหละของเรา
    คนเดินอ้อมไม่ถึงจิต ด้วยติดวัตถุเป็นสำคัญ
    ถ้าหลุดแล้วไม่มีกิเลสหรอก ให้หยุดซะอย่าคิด ภายนอกก็ธุดงค์ ภายในก็ธุดงค์ อยู่วัดก็ทำได้ อยู่ป่าก็ทำได้ อยู่ในกายก็ทำได้ อยู่นอกกายก็ทำได้ คนฉลาดต้องทำอย่างนี้ที่ใกล้ก็ได้ ที่ไกลก็ได้
    เข้าป่าก็ให้เข้าป่าไปเป็นปัญญา เข้าป่าไปโง่ๆ ก็ถูดงค์ไม่ใช่ธุดงค์
    เราเอาธรรมะอย่างเดี่ยว ยึดธรรมะ อยู่กับธรรมะ ให้ธรรมรักษา อยู่คนเดียวนี้มันสบายดี ไม่วุ่นวาย ถ้าธรรมะไม่ลงกันแล้ว ไปด้วยกันไม่ถูกกันหร็อก ไปองค์เดี่ยวถึงไม่มี
     
  6. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    ใครใส่บาตร ก็ไม่กลัวอด กลัวตาย กินแต่ผัสสาหาร คือความเป็นทิพย์ ไม่ต้องเคี้ยว ไม่ต้องกลืนมันกลืนเอง ไม่เด็ดยอดหญ้ายอดไม้กินเองเด็ดขาด...
    อธิปัญญาเป็นผู้ตรัสรู้ ด้วยว่าศีลกับสมาธินี้ ย่อมมีอยู่ด้วยกันที่จิตเดี่ยว ด้วยอำนาจกายนี้และจิตนี้ ให้ทรงไว้ซึ่งศีล ซึ่งสมาธิ ซึ่งปัญญาทั้งหลาย ศีล สมาธิ ปัญญานี่แหละ จึงรักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของชาวพุทธ
    ศีลบริสุทธิ์ที่จิต สมาธิบริสุทธิ์ที่จิต ปัญญาตรัสรู้ที่จิต
    เรามาวัดบ่อยๆ ก็สงบบ่อยๆ สงบกาย สงบจิต เรามาวัดเพื่อให้รู้ธรรม ไม่เกิดไม่ตาย จิตไม่เศร้าหมอง
    จิตไม่เศร้าหมอง เพราะเราไม่เอาอกุศลมาใช้
    ไม่มีเจตนาทำบาปเสียแล้วจิตไม่เศร้าหมองจึงปราศจากทุกข์ เจตนาละเว้นทุกลมหายใจเข้าออก ผู้ปฏิบัติจงน้อมไปปฏิบัติในกาย วาจา ใจของตน ธรรมของจริงก็จะบังเกิดทุกเมื่อ เป็นธรรมอันไม่ตาย ไม่แปรผัน เกิด แก่ เจ็บ ตายไม่มีในธรรม ด้วยอำนาจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ประดิษฐานอยู่ที่ใจ ศีล สมาธิ ปัญญาก็มีขึ้นที่ใจทุกเมื่อ
    เมื่อสติตั้งมั่นตื่นอยู่ไม่เศร้าหมอง ก็ปราศจากทางดีทางชั่ว ผู้ปฏิบัติรู้เท่าอารมณ์ดีชั่วเป็นกลางทางภายในภายนอก ก็ไม่หลงไม่ตามทางดีแลทางชั่ว ศีลของเราก็ดีเรียบร้อย
    มากับกุศล อยู่กับกุศล ก็ไปกับกุศล เรียกว่าไปโลกีย์ พ้นทางกุศลกรรมและอกุศลกรรมไปโลกุตตร
    มาวัดก็เป็นโสดาเต็มวัดเต็มโบสถ์เต็มศาสนา พอออกจากวัดไปก็เป็นบ้านกูของกูหมด เออ โสดาหายหมด วิ่งมาวัดหมด โสดาเฉพาะมาอยู่วัดคืนเดียววันเดียว กลับไปบ้านเป็นคนหมด
    เป็นคนอยู่ต้องมีงานไม่รู้จักจบ เป็นธรรมแล้วหมดไป กิเลสหมดไป หมดไปจากราคะ โทสะ โมหะ หมดไป อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ก็บริสุทธิ์ไป หมดสงสัย หมดเกิด หมดตาย ถ้ายังเกิด ยังตาย ก็ยังวนเวียนอยู่นั่นแหละ
    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ทำบาปก็เป็นบุญอยู่แล้ว กาย วาจา ใจไม่มีบาป ขอให้ว่างจากบาปจากอกุศลแล้ว จะได้ขึ้นสู่โดย มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม
    โลกุตตรธรรม โดยเร็ว ให้ถึงอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ โดยสมบูรณ์แล้ว ความเกิดย่อมไม่มีแก่ผู้ไปถึงแล้ว
    ศาสนาธรรมคืออยู่ที่ตาธรรม หูธรรม จมูกธรรม ลิ้นธรรม วาจาธรรม ใจธรรม
    ศาสนาอยู่ที่กายยาววาหนาคือกว้างศอกนี้เอง เห็นเป็นกลางทั่วไปทั้งภายในและภายนอก ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้เรียกว่าเห็นธรรม
    คนมันเขียนท้ายรถยนต์ทำได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ไอ้นั่นนะมันไม่รู้จักพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ มันเอาข้อวัตรของมันมาเอากิเลสอวด โอ่โธ่ พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้น ให้พ้นจากทุกข์เกิดแก่เจ็บตายนั่นแหละจึงได้เข้าศาสนาถูก
    ไม่มีเชื้อมันจะเกิดได้อย่างไร ข้าวเปลือกมีอยู่มันก็เกิดได้ ข้าวสารมันเกิดได้ไหม ก็ผุพังไปแล้ว กายสังขารก็หยุดงาน ตัวจิตสังขารก็หยุดหมด ดินน้ำลมไฟอากาศวิญญาณมันหยุดกันหมด ไม่มีสัตว์เกิด สัตว์ตาย ไม่มีใครดีใครชั่ว
    ธรรมที่พ้นทุกข์ย่อมไม่มีตาย ธรรมที่ยังเวียนเกิดเวียนตาย ยังทำให้เกิดเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ นี่เป็นทุกข์อยู่ใน ๓ ภูมิ กามภูมิจิต รูปภูมิจิต อรูปภูมิจิตยังมีเกิดมีตายอยู่
    เราดับเหตุของสมุทัยได้แล้ว เหตุให้เกิดทุกข์ก็ไม่มีทุกข์ดับแล้ว เหตุจะให้เกิดติดสุขทุกข์หนึ่งก็ไม่มี มีแต่ว่าดับเหตุได้แล้ว ได้รับผลไม่เกิดไม่ตายนั่นเอง
    หลงไปเกิดว่าเป็นเรา เราไม่ได้เกิด ก็ว่าเราเกิด เราไม่ได้ตาย ก็ว่าเราตาย ธรรมะไม่ตาย มันสัตว์ตาย สัตว์เกิดตายต่างหาก ธรรมะไม่เกิด ไม่ตาย
    ขันธ์พระธรรมนี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช้ตน สัตว์โลกทั้งหลายมีเกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเกิด เกิดไม่แล้วสักที
    อดีตของเราทุกคนนะ บางคนจะจำได้หรือไม่ก็ตามใจ
    สัตว์เป็นโลกเกิดตาย เกิดตายเป็นสัตว์โลกไป อยู่กับศีลกับธรรมแล้วไม่เกิดไม่ตาย
    มีแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ ทำงานกันเท่านั้น มีสัตว์ทีคนที่ไหนเล่า นิโรธมันไม่มีสัตว์มีคนนิ ไม่ใช่ชาติ ชรา พยาธิ มรณะอะไรนะ มันหมด
    มันไม่มีสัตว์มีคนซิ ไม่มีลำเอียงรักใคร่ใคร มานะสังโยชน์มันก็ไม่มี อุทธัจจะนุสัย อวิชชานุสัยไม่มี มันก็เข้าเส้นมัชฌิมาได้ ไม่ติดรูปฌาน อรูปฌาน ไม่ติดนามติดรูปแล้ว
     
  7. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    เกิดมาทำไมให้ต้องวนเวียน หนีซิ หนีเกิดไม่ต้องมาเกิด เกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์ ให้เคารพศรัทธามั่นในโลกุตตรธรรม
    ถ้าเลิกคะนองกาย วาจา ใจเสียแล้ว มันก็พ้นจากโลกีย์ โลกุตตรท่านสงบนี่ กานสงบ วาจาสงบ ใจก็สงบ
    แล้วเข้าใจโลกุตตรได้ง่าย
    กายสงบ จิตก็สงบ มันต้องอยู่ด้วยกัน เหมือนเงากับรูปนี้มันไปด้วยกัน เมื่อกายหยุด เงามันก็หยุดไหว เมื่อกายไหวไป เงาก็ไหวด้วย ก็ดูที่กายกินข้าว เงาก็ทำท่ากินข้าวด้วย มันมีข้าวเมื่อไร นั่นแหละ ไอ้ที่ดับกิเลสได้แล้ว
    มันต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนเงากับรูป ไม่ได้เกี่ยวกัน
    พอกายอาพาธ จิตไม่อาพาธจริงๆ ไม่หยุดเกิด มันหยุดตายไม่ได้หรอก หยุด ต้องหยุดกันหมด ตั้งแต่มนุษยโลก สวรรคโลก พรหมโลกน่ะ.........
    อย่าทิ้งศรัทธา สติ ปัญญา ญาณวิชชา ขอให้รู้ธรรมเห็นธรรมในธรรมที่เกิดดับก็มี ธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับก็มี ทั้งกรรมดำกรรมขาวก็มี กรรมไม่ดำกรรมไม่ขาวก็มี
    อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจ อย่าได้ทิ้งเด็ดขาด อย่ามัวแบกทุกข์อวิชชาอยู่เลย
    ตัดกิเลสได้ต้องอาศัยอริยสัจ และมีฌานเกิด ฌานจะเกิดต้องเดินตามโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ นิพพาน ๑ เกิดที่จิต นิโรธเกิดที่จิต
    พระพุทธเจ้าสร้างบารมีมา ๔ อสงไขยแสนกำไรมหากัปป์ แต่เวลาตรัสรู้ใช้เวลาวันเดียว......... ตัวอวิชชากิเลส อวิชชานี้แหละตัดออกเสีย ให้มีแต่วิชชาอย่างเดียว มันก็ทรงได้ของมันเอง ผมขนเล็บฟันหนัง มันก็เป็นพยานให้อยู่แล้ว
    เสริมสวยกายเท่าไรก็ไม่หาย มันชุ่มแฉะอยู่กับฟันผมขนเล็บหนัง
    มันไปแล้วไม่มาหรอก ฟันมันนิพพานหนีจากแล้วไม่มาแล้ว น้ำ ดิน ไฟ ลม อากาศเป็นรูปใหญ่ ฟันก็อาศัยรูปใหญ่นี่แหละ แต่มันไปก่อนเสียแล้ว ส่วนเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต้องอยู่กับกายวิญญาณ จิตวิญญาณ มโนวิญญาณ ทำงานร่วมกันอยู่ จิตนี่มันไม่มีเนื้อมีหนังนี่มันนามธรรมล้วน
    ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ เขาทำงานกันเองต่างหากเล่า มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ทำงานกันเท่านั้นแหละ มีสัตว์ มีคนที่ไหนเล่า อวิชชานั้นมันไม่เห็นตัวมันเอง
    ความทุกข์กายทุกข์ใจ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นอย่าให้มีความทุกข์ กายใจเลย
    ทุกข์เพราะเกิดดับมันมีอยู่แล้ว เอาราคะ โลภะ โทสะ โมหะมาเพิ่มยิ่งทุกข์ใหญ่
    อย่าให้ใจหลงงมงายไปตามโมหะความไม่รู้จริง ทำสติให้มั่นสัมปชัญญะความรู้ตัว ความสามัคคีจึงตั้งมั่นถาวร
    เราจะมาเกิดดับอยู่ทำไม มันไม่เที่ยง เกิดก็ไม่เที่ยง ตายก็ไม่เที่ยง เราจะมาเกิด เราจะมาตายทำไม
    ติดเกิดติดตายนั่นเอง นึกว่าเกิดของเรา ตายของเรา เกิดของเรา ตายของเรา ก็ติดแต้อยู่นั้น เวลาเข้าบรรพชา อุปัชฌาย์ก็บอกแล้วนะ ชาตะ รูปะ ระชะตา ยินดีไม่ได้นะยินร้ายไม่ได้นะ โลกีย์เป็นเจ้าของโลกีย์ ก็ติดอยู่โลกีย์
    สัตว์ไม่มี คนไม่มี นิโรโธนิพานังราคะหมด อวิชชาดับ ก็หยุดงานหมดซิ ตัดตั้งแต่กามาสวะ ภวาสวะ ทิฐาสวะ อวิชชาสวะ ดับให้เรียบหมด มันดับ ดับไม่เหลือ สังโยชน์ก็ไม่เหลือ อนุสัยก็ไม่เหลือต้องดับให้หมด
    เกิดดับเป็นหน้าที่ ตาก็เกิดดับ หูก็เกิดดับ รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะก็เกิดดับ ลมหายใจก็เกิดดับ วิตกวิจารก็เกิดดับ ตัวเวทนา สัญญาก็เกิดดับ ไม่เกิด ไม่ดับ คือ ทำพ้นจากกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร ที่มีอยู่
    จิตสังขารก็มาจากสัญญากับเวทนา เป็นตัวเป็นตนไม่ได้ เพราะมีเกิดดับอยู่ในตัวของกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารเอง ความเกิดดับมีอยู่ตามผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตับ ไต ไส้ พุง
    ไม่ใช่นามขันธ์ คือตัวไม่เกิดไม่ดับ ตัวเกิด ดับ จึงไม่มีสัตว์ ไม่มีคนเข้าไปปน อวิชชาหมดแล้วจากจิตจากกาย สมุทัยหมดจากกายหมดจากจิตด้วย นิโรธก็มีที่กายที่จิตด้วย สักกายนิโรธจิตนิโรธมีคู่กัน
    เชื่อกิเลสก็เป็นทุกข์นะซิ จิตของเราก็เป็นทุกข์ซิ กายของเราก็เป็นทุกข์ซิ ก็มันเป็นทุกข์จะไปเกิดมันทำไม ไปตายมันทำไม
     
  8. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    กิเลสกรรมวิบากมันไม่หมดหร็อก มัวเวียนเกิดเวียนตายอยู่นั่นแหละ มันต้องตัดอาสวะ ๔ อุปาทาน ๔ สังโยชน์ ๑๐ อนุสัย ๗ หมดแล้ว ไม่มีที่เกิดที่ตายแล้วหมด
    เขาจะมีทุกข์ยังไงล่ะ ทิ้งเหตุมันเสียแล้วกัน ดับแต่เหตุมันซิ
    ไม่มีใครช่วยเรานะ ไม่มีใครช่วยให้เราพ้นเกิดพ้นตายได้นะ ถ้าไม่พ้นเกิดพ้นตาย ก็ต้องทุกข์อยู่อย่างนี้แหละ กรรมวิบากวนเวียนอยู่นี่แหละจะเอาหรือ
    ดับหมดมันหยุดโรงงานหมด ไม่มีใครปรุงแต่งมันปกติหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันปกติหมด คนละหน้าที่กันหมดไม่มีใครทำไขว้เขวกัน
    แก้ทางจิตแก้ได้ แก้ไม่ให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย แก้ข้างนอก แก้ไม่ไหวหร็อก
    แก้ที่ตัวเราซิ คนอื่นก็ให้เขาแก้ของเขาเอง เมืองใครเมืองมัน บ้านใครใครอยู่ อู่ใครใครนอน ไม่ก้าวก่ายกันหร็อก...
    เราถูกคาดโทษไว้แล้ว คือ โทษ แก่ เจ็บ ตาย จงรีบแก้ไขตัวเองเสียให้จงได้ซิ
    จะให้ใครมาทำตัวอย่างให้ดูเล่า ตัวเองก็ต้องทำให้ตัวเองดูซิ กายกรรม ๓ ทำให้ตัวเองดู วจีกรรม ๔ ก็ทำให้ตัวเองดู มโนกรรม ๓ ก็ทำให้ตัวเองดู สอนตัวเอาเองซิ
    ทำกายวาจาใจอย่างนี้ ไม่ต้องไปถามคนอื่น บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์รู้ได้จำเพาะตน อานิสงส์ก็จะเกิดมีแก่เราทุกเมื่อ พ้นจากทุกข์ทั้งปวง อานิสงส์ใหญ่ไพศาลหาที่ประมาณ บ่ มิได้ อารมณ์เป็นสุข ทุกข์ อุเบกขา ต้องรู้ตนเอง ข้อปฏิบัตินำให้ถึงโลกุตตรธรรม ที่ไม่แปรผันไปตามเหตุปัจจัย
    พ้นจากเครื่องเศร้าหมอง คือ กิเลสทั้งปวง สังฆะหมายความประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ละทุจริตทั้ง ๓ ต้องทำให้ได้เสียก่อน ให้เป็นแบบอย่างของคนภายหลัง ไม่ว่าทางโลกและทางธรรม เราต้องทำเองให้มีให้เป็นเสียก่อน จึงสอนผู้อื่นได้
    ความทุกข์นั้นจะไม่มีแก่เรา เหมือนนายช่างไฟฟ้ารู้จักเปิดปิดไฟ เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลายได้รับแสงสว่างฉันใด ผู้ที่ทำประโยชน์ตนได้แล้ว ทำประโยชน์ผู้อื่นก็ฉันนั้น มีตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำตัวของท่านได้แล้ว
    เพราะท่านสงบตัวของท่านพ้นจากทุกข์เสียก่อน จึงมีประโยชน์โดยไม่มีประมาณ แม้สาวกทั้งหลายก็สงบตัวเสียก่อนทั้งนั้น จึงแผ่ศาสนาได้ไพศาลมากกว่าเม็ดดินเม็ดทรายในมหาสมุทร
    ทับถมตนเองทางดีทางชั่ว ดีก็ชอบใจ ชั่วก็ไม่ชอบใจ เรียกว่าแตกสามัคคี ศีลก็ตั้งไม่ได้ เพราะศีลขาดสมาธิ ความมั่นใจก็ไม่มี ปัญญาความรอบรู้ก็ไม่มี จะหาความสุขมาจากไหน เราเป็นโมหะไปทั้งหมด
    ตนได้ทำมาแล้วสมถกรรมฐาน ภาวนาเป็นประโยชน์ส่วนตัว ผู้ที่เข้าใจกำจัดกิเลสทั้ง ๖ ได้ ไม่ต้องเลือกว่าสูตรไหนบทไหน ทำให้จิตไม่เศร้าหมองใช้ได้ทั้งนั้น ได้กระทำมาอย่างนี้ จึงได้เห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านี่จริงๆ อยู่ทุกเมื่อที่ใจของเรา จึงมีสติมั่นคง ตั้งมั่นสัมปชัญญะความรู้ตัว นึกถึงกาย เวทนา จิต ธรรม มีอยู่ที่เรา ไม่ต้องไปถามผู้อื่น
    สอนเขาไปแล้ว เขาไม่เอา จะไปทำอย่างไรได้ พระธรรมสอนได้เฉพาะผู้ที่เขาจะเอาตะหากเล่า คนไม่เอา สอนเขาได้หรือ
    การปฏิบัติค้นหาพระสัทธรรมนั้น ต้องมีปัญญาเสียก่อน จึงจะรักษาศีลให้เกิดขึ้นได้ แล้วจึงจะเกิดสมาธิตั้งขึ้น เข้าถึงความสงบแห่งใจ จะเกิดมีปัญญา
    ที่เกิดขึ้นเพราะสมาธิอบรมแรกๆ ก็ไม่ค่อยชัดนักไม่ค่อยแหลมคมนัก มักไม่ทันสังขารและผัสสะ จะค่อยๆดีขึ้นคมขึ้น จนกระทั้งเป็นปัญญาที่รู้ทันผัสสะ และประหารกิเลสลงได้ที่จิตนั้นเอง
    ค้นพระไตรปิฏกพ้นยาก จิตกับอวิชชา มันอยู่ด้วยกัน ค้นที่ตัวนี้ดีกว่า เห็นอวิชชาเห็นจิตแล้วก็ง่าย
    เราจะเรียนพระไตรปิฎกกี่ชาติกี่ชาติก็ดี ตั้งแต่ปฐมสังคยนาจะเรียนถึง ๕,๐๐๐ ปี ก็ไม่จบอยู่นั่นเอง เพราะความเกิดความตายมันตาม อยู่ ทุกข์ มันมีอยู่ที่จิตที่ใจแล้วจะพ้นความทุกข์ที่ไหนได้ เมื่อจิตมันเป็นทุกข์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็พลอยทุกข์ไปด้วย
    ไม่มีใครเป็นเจ้าของวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก เข้าไปยึดเข้า มันก็เป็นอุปทานขันธ์ขึ้นมา
    คนนอนหลับไม่ยึดถือ พอตื่นขึ้นเท่านั้นแหละ นั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา
     
  9. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    ใครไปร้องไห้ตามสังขารก็เป็นคนโง่ต่างหากเล่า คนโง่ร้องไห้ คนฉลาดไม่ร้องไห้ อยากโง่ก็ร้องไห้ไปซิ อยากฉลาดก็หยุดร้องไห้เสียซิ
    หน้าเศร้าๆ เพราะมันไม่อยู่กับที่ ไม่อยู่กับหนัง กับจิต มันไปอยู่กับอารมณ์ ประเดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็หัวเราะ มันแน่นอนเมื่อไหร่น่ะโลกน่ะ ชอบใจก็หัวเราะ ไม่ชอบใจก็ร้องไห้ อวิชชามันบัง ผม ขน เล็บ ฟัน หนังมันบังไว้ซะ...
    อดีต จะไปรู้มันทำไม อนาคตจะไปรู้ทำไม รู้ปัจจุบันซิ จึงจะตัดกิเลสและหมดทุกข์ได้
    อดีตไม่รู้ รู้ปัจจุบันนี่ ธรรมะรู้ปัจจุบันนี้ อดีตเราไม่รู้นี่ ปู่กับย่าพระพุทธเจ้าชื่ออะไร โอ้โห ใครจะไปจำได้ ผู้ถามจำเอาเองซิ ผู้ตอบจำไม่ได้หรอก.........
    อยู่กับปัจจุบันก็ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมะไม่ใช้ตัวกิเลส รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไม่ยินดียินร้ายรู้เห็นเป็นกลางอยู่เสมอ อยู่กับศีล สมาธิ ปัญญาถึงเมื่อไรก็ไม่ตายเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นขออนุโมทนาด้วยนะ
    ธรรมะสว่างแจ้งขึ้นมาเอง ไม่มีตัวมีตน เห็นชัดว่าทุกอย่างรอบตัวว่าเป็นปรมัตธรรม สิ่งสมมุติขึ้นมา ทุกอย่างมันเป็นธรรมหมด ไม่ใช่ของใคร พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ถือเอาเป็นเจ้าของ พระอรหันต์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ สัพพัญญูพุทธะ ปัจเจกพุทธะ สาวกพุทธะ มันไม่มีตัวตนหรอก ธรรมต่างหากที่ทรงไว้ คงอยู่ในจิตของตนเอง พูดกันแต่เรื่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีใครชนะใครหรอก มันติดอยู่ในสมมุติบัญญัติต่างหากล่ะ
    ทุกข์เกิดกับจิตนั่นเอง สมุทัยเกิดกับจิตนั่นเอง นิโรธสัจเกิดกับจิตนั่นเอง นิพพานสมบัติเหนือนาม เหนือรูป
    ร่างกายมันแก่ ธรรมะไม่แก่ ร่างกายมันเหนื่อย ธรรมะไม่เหนื่อย
    ร่างกายเรานี้สักแต่ว่าเท่านั้น ธาตุ ๔ มันถูกยาเมา ยาเบื่อ มันก็แสดงอาการต่างๆนานา ส่วนจิตใจมันไม่ได้ถูกก็เลยไม่เป็นอะไร เหตุเพราะกายกับใจมันคนละเรื่อง รวมกันไม่ได้
    ร่างกายของหลวงปู่ทันก็เหมือนกัน ทำไมมันจะไม่เจ็บ แต่จิตใจต่างหากที่ไม่ได้เจ็บป่วยกับร่างกายด้วยเท่านั้น
    ร่างกายเขาหมดไป เพราะหมดอายุ มันหมดไปทุกๆ ขณะจิต เกิดเดี๋ยวนั้น จิตมันพ้นในปัจจุบัน พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วย
    อ๋อ มันไปทางนี้เอง ไปทางกายนิโรธ จิตนิโรธ ไม่ต้องเกี่ยวข้างหน้าข้างหลัง ปัจจุบันก็ไม่เกี่ยว
    ธรรมะยังอยู่อย่างเก่า ธรรมะยังธรรมชาติอยู่ มันแก่ที่ไหน มันไม่เกิดไม่ตาย มันจะแก้ได้อย่างไร ธรรมะมันธรรมชาตินี่
    มันไม่ใช้เนื้อหนัง ไม่ใช้สัตว์คน ไม่ใช้ต้นไม้ภูเขา พ้นนามพ้นรูปไปแล้ว มันเป็นธรรมะได้ ธรรมะมาจากไหนก็มาจากธรรมะนะซิ มาจากมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม มาจากอริยมรรค ๔ อริยผล ๔...
    เราเกิดขึ้นมาก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ มาสบทบกันให้เป็นอุปกรณ์ของเรา ให้เป็นมรรคเป็นผลให้ได้ ให้เป็น มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม
    โลกุตตรธรรมมันอยู่จิตเดียว จิตนี่ล่ะมันรับธรรมะ นอกจากกายกับจิตแล้ว จะไปรับที่ไหนล่ะ
    โลกุตตรธรรมนะตกค้างกันตั้งแต่ปฐมสังคายนาแล้ว อย่าตกค้างไปอีกนะ ตกค้างไปอีกเป็นทุกข์อีก เกิดอีกเป็นทุกข์อีกนะ
    เราจะถอยหลังดูตัวของตัวเอง เราผ่านมาแล้ว ๕,๐๐๐ ปี ไม่รู้จักจบ อะนากุลา จะ กัมมันตา เกิดแล้วไม่แล้ว ตายแล้วไม่แล้ว
    เป็นยังงั้นแหละ ไม่ใช่เป็นมาน้อยนี่ ๕,๐๐๐ ปี เขาเป็นอย่างงั้นแหละ เขาจะเอาอย่างงั้นอย่างงี้ จะเอาทางกิเลสกาม วัตถุกาม ทางศาสนา กิเลสกามก็ให้ละ วัตถุกามก็ให้ละ ละแล้วจึงจะเป็นอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ได้ ละได้ก็ถึงนิโรธธรรม นิพพานธรรม นิพพานสมบัติ คนเกิด ก็ไม่เอาไป คนตายก็ไม่เอาไป กระดูกก็ไม่เอาไป หนังก็ไม่เอาไป คืนให้โลกหมด......... อริยผล ๔ มีเจ้าของอยู่มันไม่ไปหร๊อก ต้องหมดเจ้าของ หมดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หมดเจ้าของรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์
    มันจะไปติด รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ยังไง ติดภายนอก ๖ ภายใน ๖ ได้ยังไง ติดไม่ได้นะ...
     
  10. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    เราเรียนมาก่อน อดีตนั่นนะ เราบวชมาตั้งแต่วันแรกนั่นแน่ มันอยู่แค่มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม กรรมฐานก็เรียน วิปัสสนาก็เรียน
    เรียนมาแต่อดีตชาติ ร้อยล้าน พันล้านชาติ ก็ไม่พ้นอวิชชา ตรัสรู้ทันทีก็จะพ้นอวิชชา พ้นแล้วก็ง่ายยังไม่พ้นก็ยาก...
    เรียนแล้วไม่แล้ว หลงๆ ลืมๆ ถ้าหากมาปัจจุบันนี่แหละไม่หลง ธรรมะปัจจุบัน พทธศาสนามีจริง ธรรมศาสนามีจริง สังฆศาสนามีจริง
    เรียนอะไรเรียนได้ เรียนวาง โลภมูล ๘ โมหมูล ๒ โทสมูล ๒ มันยาก
    เราทุกวันนี้เรียนโลกุตตรธรรม ก็เพื่อบุญกุศลนี้มารักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ตกไปในบาปในอกุศล ให้เจริญแต่บุญอย่างเดียว ความเกิดเป็นทุกข์ก็หมดไปเอง จะว่างจากกาย วาจา ใจไปเอง ทางกายเป็นทุกข์ก็ว่างไปเอง
    ก็เราเจริญมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม มาตั้งอเนกชาติแล้ว ทีนี้มันไม่หลุดออกไปเสียนี่ คราวนี้จะเข้าโลกุตตร มันก็ว่างเทกระจาดหมดเท่านั้น
    โลกุตตะธรรมมันอยู่จิตเดียว จิตนี่ล่ะมันรับธรรมะ นอกจากกายกับจิตแล้ว จะไปรับที่ไหนล่ะ
    กฎธรรมดาของธรรมะมีแต่เกิด ดับ เรียนเท่าไรก็ลงที่กฎนี้แหละ
    เรียนรูป รส กลิ่น เสียง เรียนทุกวันก็ไม่หายหลง มันเลยธรรมะไปหมด
    เขาจะเรียนหาเงินหาทอง เขาไม่เรียนหานิพพาน ผู้บอกก็บอกไปนิพพาน ผู้เรียนไปเรียนหาเงินหาทอง หายใจเข้าเป็นเงินเป็นทอง หายใจออกเป็นเงินเป็นทอง
    ตัวนั่นแหละตัวสำคัญ คือรูปเงินรูปทองนั่นแหละ
    ถ้าติดรูปเงินรูปทองก็ติดรูปเรานามเรา ก็ติดรูปอื่น นามอื่นลามปามไปหมด ติดเส้นหญ้าเส้นเดียวก็ติดได้ ติดผมเส้นเดียวก็ติดได้ ติดขนเส้นเดียวก็ติดได้
    ศีลโลกีย์ สมาธิโลกีย์ยังตัดไม่ได้ ปัญญาโลกีย์ยังไปไม่รอด จะไปนิพพาน จะหายเอาเงินเอาทองไปด้วยจะได้อย่างไร สละหมดแล้วจึงจะไปได้
    จิตมันรวมเป็นสมาธิเองแบบอัตโนมัติ สงบเป็นเอกัคตารมณ์ ถึงอัปปนาสมาธิเลย มาวันนี้ได้สัมผัสด้วยตนเอง จึงหายสงสัยตั้งแต่นั้นมาว่า "คำว่าสมาธิหัวตอคืออะไร มันมีแต่ความสงบ แต่ปัญญาที่ถ่านถอนละกิเลสมันไม่มี"...
    มโนกรรมมันรับได้ทั้งโลกียะธรรม โลกุตตรธรรม มันมีจิตใจวิญาณทำงานติดต่อกัน เราจะเรียนก็เรียน เวลาลมหายใจกำลังทำงานพัฒนาชีวิตอยู่ เราจะปฏิบัติก็เอาพร้อมในชีวิตนี้ รู้ไม่รู้ให้ได้ปฏิบัติ ปริยัติ เป็นทุนไว้ก่อนนะ ปฏิบัติธรรมมันจำกัดมันเฉพาะตัว กิเลสดับเมื่อไร มันก็รู้เมื่อนั้น ดูจิตมันทำงาน
    วันพระมีอยู่ในตัวของเราทุกวัน ตัวของเราอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าให้เลยไปจะดีแตก
    ปฏิบัติอยู่กับธรรมะ สวดมนต์ก็ธรรมะ ทำวัตรเช้าก็ธรรมะ ทำวัตรเย็นก็ธรรมะ หายใจเข้าเป็นธรรมะ หายใจออกเป็นธรรมะ
    สวดมนต์ ถ้าไม่รู้แก่นของ ทาน ศีล ภาวนา ก็ไม่รู้ธรรม
    ธรรมะนั้นไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีตายอยู่แล้ว เหนือนามเหนือรูปก็พ้นเกิดดับ
    บุคคลทุกประเภทถ้าหันเข้ามาหาพุทธคุณภายใน ธรรมคุณภายใน สังฆคุณภายใน ถึงไม่หมดไม่สิ้นก็เบาบาง เพราะตัวจริงมันแสดงเล่นกับมโน แล้วมันก็ฉายออกมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    จิต ที่ยังไปโน่นมานี่ ที่จริงมันไม่ได้ไปหร๊อก มันอัดฟิล์มมาเท่านั้น นึกภาพอะไรก็อัดมา คือ อัดไว้กับธรรมรมณ์...
    ภายในมันดับหมด ดับหมดไม่ให้เหลือ ก็ตานี่มันสัมผัสกับรูป มันไม่เหมือนเก่าแล้ว มันหยุดกันภายนอก ๖ ภายใน ๖ มันไม่รวมกัน จิตใจไม่ซึมกับความเย็นความร้อนความหนาวของตับไตไส้พุง
    มันหยุดหมด ภายนอกก็หยุด ภายในก็หยุด ภายนอก ๖ ภายใน ๖ มันเงียบหมด เหลือแต่ซากเปล่าๆ
    ในนามในรูปนี่ โลกุตตรธรรมก็อยู่ในนี้ พระปัจเจกพุทธก็อยู่ในนี้ สัพพัญญูพุทธะก็อยู่ในนี้ สาวกพุทธก็อยู่ในนี้ ภิกษุ ภิกษุณีอยู่นี่เอง ไปทำภายนอก ใครจะเป็นล่ะ
     
  11. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    ร่างกายของเราเป็นทุกข์ เพราะจิตเข้าไปยึดมั่น
    ยารักษาโรคทางตา ธรรมะรักษาโรคทางจิต พ้นเกิดพ้นตายได้
    ยาเรือไว้ ใช้ยาข้าวเหนียวข้าวเจ้ายาไว้ก่อน เรือมันรั่วก็ต้องยาเอาไว้ใช้ก่อน ใช้เสร็จแล้วทิ้งเลย
    ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เห็นเป็นไตรลักษณ์
    ขันธ์ ๕ ของกิเลสมันเกิดเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์อยู่แล้ว เป็นตัวอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว
    ทุกอย่างมันรู้มันเห็น แต่มันไม่ยึดถือมั่น เพราะขันธ์ ๕ มันหมดแล้ว มันเหลือแต่ธาตุ ๔ เท่านั้นเอง ขันธ์ ๕ มีอยู่ แต่ไม่มีสัตว์มีคนมาอาศัย ไม่มีสมบัติบัญญัติเข้าอาศัยได้ มีแต่ปฏิกิริยา เกิด ดับ
    เราเป็นคนงานของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำงานตามหน้าที่
    คนที่ทำงาน มันยึดงาน มันไม่ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ ชาวโลกมันไม่รู้เรื่องหรอก ทำเพื่อจะเอาการเอางานเอากำไร คิดเอากำไรอยู่นั่นแหละ
    โรคกายนั้นมันรักษาไม่หายหรอก โรคจิตรักษาหายได้ หมดอาสวะก็หมดโรค
    เราจะมัวเพิกเฉยอยู่ๆไม่ได้ จึงไม่เพลิน อยู่ตามอารมณ์ทาง ๖ นำมาซึ่งจิตเศร้าหมอง ไม่ลุ่มลวงละชั่ว ทำดีให้พ้นจากอารมณ์ที่ ๖ ทำให้มีศรัทธาอยู่เสมอ เชื่อกรรม เชื่อผล ผู้ปฏิบัติรู้เท่าอารมณ์ จึงได้ศรัทธาวิริยะ
    นิโรธมีอยู่ทุกวัน ภายใน ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่มีไปเกิดแล้ว ภายนอก ๖ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็ไม่มาเกิดแล้ว มันเป็นนิโรธทั้งนั้นแหละ
    รักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้หมดทุกข์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ก็จะได้ธรรมะโลกุตตรพ้นจากธรรมะโลกีย์... ทางโลกุตตรเสียสละหมด รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส กามารมณ์เสียสละหมดไปได้ ต้องเสียสละอายตนะ
    อายตนะภายนอกกับภายในมันรวมกันได้ มันมี จิต เจตสิก รูป นิพพาน เท่านั้นเอง เป็นเพียงสมมุติบัญญัติเท่านั้นเอง ไม่มีเจ้าของ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็เป็นสมมุติบัญญัติ
    ขึ้นมา พูดกันไม่รู้เรื่อง แต่พิจารณาดูได้ อ่านได้ เข้าใจได้ จนรู้ความเป็นจริง ความเป็นไปของสังขาร รู้ความเป็นจริงของโลก ก็หมดกัน ไม่มีปัจจัยอะไรส่งให้สัตว์ต้องมาเกิดอีก
    ราคะเผาจิต โมหะเผาจิต โทสะเผาจิต วิปัสสนาเผากิเลสหมดไป
    กรรมฐานทั้งหลายกำจัดกิเลสได้ทุกประเภท กำจัด ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธจริต ของตนได้ทั้ง ๖ จริต ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้
    พระกรรมฐานอย่าเลือก จะกินแล้ว กินแห้ง กินหวาน กินคาวมันเป็นอาหารทั้งนั้น ข้าวเจ้าจะไปเลือกทำไม ข้าวเหนียวจะไปเลือกทำไม กินข้าวสุกต่างหาก อย่ากินข้าวดิบ เดี๋ยวกินเจ เดี๋ยวกินเนื้อ เดี๋ยวกินอย่างโน้น กินอย่างนี้ นั้นกินตามภาษาสมมุติ กินอาหารตามมีตามได้ ไม่ใช่กินผัก กินเนื้อ กินอาหาร.........
    คนดีต้องหนีบ้าซิ บ้ากับบ้าก็ไปต่อยกันซิ สนามมวยต่อยกันไม่รู้จักเจ็บจักตาย สนามม้าก็เหมือนกัน สร้างเสร็จหมดเงินตั้งแสนตั้งล้าน มีทุนเท่าไรไปทุ่มเทในสนามม้าหมด เราบอกมันตรงๆ ไม่เชื่อหร็อก ไปสนามบ่อยๆ ระวังม้าเตะนะ ถุงขาดนะ กระเป๋าขาดนะ เงินหมดเลยเหลือแต่ร่างกาย
    ระวังคนดีแตก เพราะกิเลสความหลง หลงจนลืมดี
    กายเดียวจิตเดียว เอโกธัมโมไปไหนก็มีแต่ธรรมะ หายใจออกก็มีแต่ธรรมะ หายใจเข้าก็มีแต่ธรรมะจนเข้าถึงธรรมะ
    กายเดียวจิตเดียวนี้ ไปหาที่อื่นไม่เห็นหรอก นิพพานอยู่ตรงไม่เกิดไม่ตายนั้นแหละ
    หน้านิพพานเป็นอย่างไร หน้าไม่มีอวิชชา อวิชชาไม่มี เป็นหน้านฤพาน หู นั่นแหละไม่มีอวิชชา ตาไม่มีอวิชชา จมูก ไม่มีอวิชชา ปากไม่มีอวิชชา ลิ้นไม่มีอวิชชา มีแต่วิชชานั่นแหละ
    หน้าเหมือนหน้าวิชชา ตาเหมือนตาวิชชา จมูก หู เป็นวิชชาทั้งหมด นั้นแหละนิพพานเป็นอย่างนั้น เหมือนของคนผู้ถามนั่นแหละ เหมือนของคนผู้ฟังนั่นแหละ เหมือนของคนผู้ตอบนั่นแหละ
    นฤพานเป็นอย่างนั้น หน้าตาเป็นอย่างนั้นน่ะ อวิชชามาอยู่ในตาหูเขาไม่ได้
     
  12. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    รู้อยู่แต่มันรู้ไม่ตาย ไม่ตายก็ไม่เกิดด้วยนั้นแหละ ไอ้ตายก็ตายเขาหมายอย่างนั้นเองแหละ นิพพานหมายตายก่อนตาย
    รู้อยู่ตรงไม่ติดนั่นแหละ ไม่มีไฟราคะ โทสะ โมหะ จะมาเผาแล้ว เขาติดไม่ได้แล้ว
    ติดตำรา ติดธุดงค์ ๑๓ ติดอ่านหนังสือ ใครพูดใครบอกอะไรก็ไม่เชื่อ ถือลูกประคำห้อยคอ ถือรูปนามอยู่ พอท่านบรรลุธรรมก็เลิกหมดเลย ท่านสละสิ่งต่างๆที่มีอยู่ออกหมด ท่านเสียสละภายในออกได้ ภายนอกท่านก็เสียสละได้
    ให้ตายอย่างที่ผู้ที่เขารู้เขาถึงซิ จะได้รู้ได้ถึงกับเขาบ้าง
    ก็กิเลสนิพพานแล้วใครจะนิพพานล่ะ ขันธ์ของกิเลสก็นิพพานไปแล้ว ธาตุของกิเลสก็นิพพานไปแล้ว กิเลสก็ไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    มโนมกรรมมันละเอียดกว่ากายกรรม มโนกรรมมันรับได้หมดทั้งโลกีย์และโลกุตตรธรรม
    กายกรรมของท่านเป็นคุณธรรม วจีกรรมของท่านก็เป็นคุณธรรม มโนกรรมก็เป็นคุณธรรม เมื่อทำได้แล้วการเสื่อมไม่มี
    พระคุณของพระอรหันต์ไม่มีประมาณ ผู้ปฏิบัติควรทำกาย วาจา ใจ ตามแบบอย่างของพระอริยเจ้า อย่าให้หย่อนความเพียร ตั้งใจทำอย่าให้ท้อถอยต่อความเพียรจึงได้รับผล
    ไม่ว่าบรรพชิตคฤหัสถ์ก็ตามอาจพ้นทุกข์ด้วยกัน ต่างกันแต่จะช้าหรือเร็ว
    ทำงานโดยไม่มีเจ้าของทำงานโดยเป็นนิโรธธรรม นิพพานธรรม กิเลสมันเหนื่อย ธรรมะไม่เหนื่อยนะ
    ถ้าเชื่อคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา ก็เป็นอยู่ในวงศ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นภิกษุ สามเณร ก็อยู่ในวงศ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้ามีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณมาแจก
    อุบาสก อุบาสิกาที่ดีเขาพ้นไปแล้ว ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายแล้ว
    ไม่ว่าบรรพชิตคฤหัสถ์ก็ตามอาจพ้นทุกข์ด้วยกัน ต่างกันก็แต่จะช้าหรือเร็ว
    ธรรมะมันอยู่ที่เข้าใจแจ่มแจ้ง มันอยู่ที่เอาชนะกิเลสได้ รู้ถึงวิมุติล่วงรู้ถึงอริยสัจ ๔ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิโรธ นิพพาน ๑ โน้น
    สมาธินำความมั่นใจมาให้ ปัญญานำความตรัสรู้มาให้
    รู้เท่าความเป็นจริง จึงไม่เจือด้วยทุกข์ ทุกข์นั้นเกิดขึ้น ให้รู้จักทุกข์ ยืนก็ตาย นั่งก็ตาย เดินก็ตาย นอนก็ตาย มันเหลือนอกร่างกายนี้ กายในก็ลมหายใจ มันมีบุญมีบาปกับใครล่ะ
    ต้องรู้ว่าทุกข์แต่ไม่ยึดถือ รู้ว่าสุขแต่ไม่ยึดถือ
    นี้ให้รู้แจ้งเห็นจริง รู้ไว้เห็นไว้ ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามเมื่อไหร่ เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อให้รู้ให้เห็นเสียก่อน เราอย่าเพิ่งปฏิเสธทีเดียว
    ยืนอยู่ก็ธรรมะ นั่งอยู่ก็ธรรมะ นอนอยู่ก็ธรรมะ ไปก็ธรรมะ มาก็ธรรมะ จะไปทุกข์อะไรล่ะ
    บาปไม่มี บุญได้มาก ทำบุญไม่มีบาป มีแต่บุยอย่างเดียว
    จิตใจเราไม่มีธรรมะ ไม่มีมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม จิตใจก็ร้อนซิ ร้อนแล้วก็แสดงฉายความร้อนออกมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.........
    หากใจเรามีมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม อย่าว่าแต่สัตว์เลย แม้แต่เทวดาก็รู้กันได้ ยิ่งหากมีโลกุตตรธรรมแล้วรู้หมด อดีต อนาคต มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ กำหนดจิตได้
    รู้จักทุกข์แล้วปล่อยทุกข์ซะ อยากพ้นทุกข์ก็อยู่กับธรรมะ อยากเป็นทุกข์ก็ไปอยู่กับสัตว์โลก......... สัตว์โลกยังข้องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เป็นตัวตน ตายก็ว่าตัวตน อย่างนั้นจึงได้เป็นทุกข์
    แต่ก่อนเราไม่รู้จักถือเอารูปมาเป็นตน เอาตนไปเป็นรูปว่า เราดี เราชั่ว ว่าเราทำได้ ว่าเราเป็นผู้วิเศษ ว่าเราเป็นผู้พัน สักกายทิฏฐิก็ยังมีอยู่นั่นเอง
    ถ้าใจยังมีทุกข์อยู่ ไม่ใช่ธรรมนะ ใจไม่ทุกข์ เป็นธรรม ที่ไม่แปรผัน
    สังขารมันตายได้ ธรรมไม่ตาย ธรรมะของกลางนะ ไม่ใช่ของใคร
    ตัวเรา คือ ธรรมะ เป็นอมตะไม่เคยตาย
     
  13. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    ไว้ใจไม่ได้สังขารน่ะ มันเปลี่ยนแปลงนะ พระอรหันต์ไม่ประมาณอยู่แล้ว
    ไม่มีกิเลสอยู่แล้ว
    สุขเพราะความสงัด สุขเพราะไม่เบียดเบียน สุขเพราะปราศจากราคะก้าวล่วงข้ามกามเสียได้ สุขอย่างยอด คือการนำความถือตนออกเสีย
    เมากิเลสอยู่ทุกวันแล้ว ยังไปเมาสุราอีก
    อยู่กับสัตว์โลกมันก็เกิดตายซิ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่กับสัตว์โลก อยู่กับธรรมะไม่เกิด ไม่ตายเท่านี้แหละ
    ส่วนที่ต้องเกิดอยู่ ก็เพราะจิตใจผูกพันกับสิ่งที่ตนเป็นอยู่หลงว่าเป็นจริงเป็นของเรา
    ไม่เชื้อมันจะเกิดได้อย่างไร ข้าวเปลือกมีอยู่มันก็เกิดได้ ข้าวสารมันเกิดได้ไหม ก็ผุพังไปแล้ว กายสังขารก็หยุดงานตัวจิตสังขารก็หยุดงาน ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณมันหยุดกันหมด ไม่มีสัตว์เกิด สัตว์ตาย ไม่มีใครดีใครชั่ว
    เหมือนข้าวเปลือกพอตกดินแล้วก็งอก พอตกดินแล้วงอก ข้าวเก่าหมดไป ข้าวใหม่เข้ามามันไม่หมดสักที มันก็วนอยู่กับเกิดตายนั่นแหละ ทุกข์มันก็อยู่ที่นี่แหละ
    ยกตัวอย่างอดีตที่เราเคยผ่านมาแล้วที่เราถูกมา ที่เราจมอยู่ในครรภ์พระมารดา จมมูตรจมคูถอยู่ตั้ง ๑๐ เดือน ไม่เห็นแสงพระอาทิตย์พระจันทร์ ทนทุกข์เวทนาอย่างแสนสาหัสทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อมารดายืน เดิน นั่ง นอน เวลารับประทานอาหาร ถูกเผ็ด เค็ม ร้อน มีความเกิดดับอยู่นับชาติไม่ถ้วน......... ผู้หญิงน่ะมันมีคนหนึ่งเมื่อไร แม่ของเราทั้งโลก ย่าก็เป็นผู้หญิง แม่ก็เป็นผู้หญิง เราไม่มาเข้าท้องพวกนี้ ใครล่ะจะมาเป็นบุพพการีเรา
    ธรรมไม่มีแข้ง มีขา ไม่มีขี้ ไม่มีเยี่ยวน่ะ อันนี้ร่างกายต่างหากล่ะ ก้อนดินต่างหากล่ะ ก้อนน้ำต่างหากล่ะ ก็เปลี่ยนแปลงตามหน้าที่มันซิ น้ำก็เกิดดับ ดินก็เกิดดับ
    คนมีเวทนา ธรรมะมีเวทนาเมื่อไหร่ล่ะ มีขี้ มีเยี่ยวเมื่อไหร่ล่ะ ขี้มันก็อยู่กับกายเนื้อนี่ต่างหากล่ะ กายธรรมไม่มีขี้มีเยี่ยว จิตไม่มีขี้มีเยี่ยว
    เมื่อนอนอยู่ในครรภ์ เมื่อคลอดออกมาแล้ว เสวยวิบากอยู่เนืองนิตย์ พร้อมไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ เต็มไปด้วยอกุศลทางกาย วาจา ใจทุจริต และจิตเศร้าหมองพร้อมไปด้วยอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
    นี่เป็นผลของทุกข์กล่าวแต่เพียงเล็กน้อย
    มนุษย์นี้อุ้มท้อง ๑๐ เดือนคลอดแล้วคลอดอีก ถ่ายแล้วถ่ายอีกไม่รู้จักเจ็บรู้จักจำ เจ็บแล้วไม่จำ
    หนุ่มคนใดไม่อยากมีลูกก็อย่าไปแต่งงาน สาวคนไหนไม่อยากมีลูกไม่อยากอุ้มท้อง ๑๐ เดือนก็อย่าไปแต่งงานเข้านะ แต่งงานเข้าไม่ได้นะ เมื่อไปก่อเหตุ ผลมันก็ท้องโต ๑๐ เดือนนะ นั่นแหละ ผลของการแต่งงานล่ะ อย่าไปทำเหตุเข้านะ
    อริยมรรค ๓ อริยผล ๓ เข้าไม่แต่งงานแล้ว เขาไม่เกิดในท้องสัตว์ สัตว์มาเกิดกับเขาไม่ได้แล้ว
    มีแต่ธาตุสี่ประชุมกันเป็นรูปสมมุติว่าหญิงชาย หลงไม่รู้จริง จึงแตกสามัคคีนำมาซึ่งความทุกข์
    คนไทยนี่อะไรๆ ไม่เสียดายหรอก ในโลกนี้ให้หมดนะ อามิสน่ะ แต่มีข้อแม้ว่า ผัวดิฉันนะ ใครแตะไม่ได้นะ เอาตายเชียวนะ จะไปนิพพานจะเอาผัวไปด้วย ปัดโธ่ เขาไปนิพพานเขาเอาผัวเอาเมียไปที่ไหนกัน เขาเอาธรรมะไปต่างหากล่ะ
    อย่าไปหลงว่ากายสังขาราเป็นตัวเป็นตน เป็นธรรมะต่างหาก วจีสังขารเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ เป็นธรรมะอยู่ประจำชีวิตนี่เอง ความไม่เกิดไม่ตายก็มีอยู่ในธรรมะนั่นเอง
    ผู้ใดขยัน ผู้นั้นแหละเป็นลูกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ใดขี้เกียจ ขี้คร้าน เป็นลูกกิเลส
    ขยันก็สิ้นอาสวะเร็วหน่อย ขี้เกียจก็ถูกพญามารตามเล่นงานเอา เขาตามมาหลายชาติแล้ว ไม่สิ้นอาสวะเขาก็ไม่เลิกตาม
    ผู้ที่เขาไม่รู้ ไม่ถึง ไปตามอย่างเขาทำไมล่ะ
    ถ้ายังไม่ตรัสรู้เพียงใดจะทิ้งวิริยะบารมีไม่ได้นะ ขอเชิญชวนชาวพุทธทั้งหลายให้เจริญวิริยะให้มาก
     
  14. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    เราพาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าสู่บารมี ทศบารมี ทศอุปบารมี ทศปรมัตถบารมี ให้เต็มรอบเพียงใด เราก็จะได้พ้นภัยเกิดตายนั่นเอง การเกิดเป็นทุกข์ เราอย่าได้ถึงที่เกิดเลย การตายเป็นทุกข์ เราอย่าได้ถึงที่ตายเลย ขอให้ถึงธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ธรรมะจะเหนื่อยอย่างไร ๓ วัน ๗ วันอยู่ในป่าไม่ได้พูดกับใคร ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอนก็ยังไม่เหนื่อย ธรรมะไม่มีเหนื่อย
    เขาตีเรา ดีกว่าเราไปตีเขา เขาว่าเรา ดีกว่าเราว่าเขา เขาฆ่าเรา ดีกว่าฆ่าตัวเองตายนะ
    ความมั่นใจเป็นสมาธิ ความรอบรู้ในกองสังขารเป็นปัญญา ตัดตัวหลงตัวเดียว ตัดได้ทุกอย่างหมดทุกข์
    กิเลส ๑,๕๐๐ตัณหา ๑๐๘ ถูกวิปัสสนาเผาไปหมดเป็นขี้เถ้าไปหมด
    หมดตัณหาก็หมดอยากซิ หมดอยากก็หมดตัณหาซิ
    รูปนามของเราเป็นของสมมุติ เมื่อเห็นตามความเป็นจริง รูปนามของเราเป็นอยู่อย่างไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ...
    รูปนามเป็นธรรมเกิดขึ้น ปรากฏแล้วก็ดับลงเป็นธรรม เกิดขึ้นเป็นธรรม ดับลงเป็นธรรม เป็นธรรมะล้วนๆ มีเกิดมีดับ
    ขันธ์เปล่า มันว่างจากกิเลส มันหมดอนุสัย หมดสังโยชน์ มันไม่มีตัวไม่มีตน สักกายทิฎฐิไม่มี ตัวนิโรธมันเหนือรูปเหนือนาม เป็นรูปเป็นนามเมื่อไรเล่า ถึงตรงนี้พรหมจรรย์ก็ไม่มี
    ให้เห็นโทษของกามราคะกำหนัด รูปภายในกำหนัด รูปภายนอกกำหนัด ดับราคะอนุสัย สังโยชน์อนุสัยก็ดับเอง... ในรูปของตัวก็ไม่มี ราคะความกำหนัดก็ไม่มี ผลของการกระทำเกิดขึ้นอย่างนี้ จึงได้มั่นใจ ธรรมไม่มีกาล ไม่มีสมัย ไม่ให้คลายความเพียร
    เกิดดับก็ไม่มีความกำหนัด ไม่เกิดไม่ดับก็ไม่มีความกำหนัดนี่ จึงว่าวิราคธรรม พอกายสังขารสงบแล้ว ฟ้าผ่าไม่สะเทือนในระหว่าง ๗ วัน ไม่ถึงขีด ๗ วัน ไม่ออกมารับผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    ตัดหลงตัวเดียว ตัดได้ทุกอย่างก็หมดทุกข์ซิ
    อยู่กับธรรมะจะไปขี้ก็ไม่ลืมธรรมะ จะไปเยี่ยวก็ไม่ลืมธรรมะ ไปบิณฑบาตก็ไม่ลืมธรรมะ
    อยู่กับธรรมะซิไม่มีทุกข์ ธรรมะไม่มีสัตว์ ไม่มีคน อยู่กับคนก็ทุกข์นะซิ อยู่หลายคนก็ทะเลาะกัน อยู่คนเดียวก็ทะเลาะกับตัวเอง ทะเลาะกับมิจฉาทิฐิ อยู่กับธรรมะไม่ทะเลาะกับใคร
    อยู่กับธรรมะซิ จะไปอยู่กับคนได้ยังไงล่ะ อยู่กับคนมันก็เถียงกันนะซิ
    ถ้าอยู่กับคนก็ผีเข้าผีออกไปเรื่อย จะขนยังไงไหวล่ะ ก็ยังไม่มาจะขนยังไง ขนได้แต่คนมาต่างหากล่ะ
    ไปทำเหตุให้คน ผลก็ออกมาเป็นคนนั่นแหละ
    นี่แหละธรรมสมบัติ มันเป็นอย่างนี้แหละ ทำเหตุให้เป็นธรรม ผลก็เป็นธรรม
    ไล่ไปไล่มาหมดอาสวะแล้ว ก้อนนี้ก็เป็นก้อนธรรม
    ภูเขามันจมน้ำอยู่ เมื่อน้ำแห้งภูเขาก็ผุดขึ้น เวียนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้นเอง
    นอกจากไปพบพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระสาวก นั่นแหละจึงจะตรัสรู้ พ้นเกิด พ้นตาย
    ไม่มีที่เกิด ที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตาย พ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตายนั่นแหละ
    เป็นตัวพุทธศาสนา เป็นตัวพุทธศาสนา ธรรมศาสนา สังฆศาสนาเป็นอย่างนี้ เป็นความไม่ตาย เป็นความไม่เกิด
    เลิกกรรมดำประพฤติกรรมขาว ปฏิบัติประพฤติสัมมาทิฐิ สัมมาอาชีวะไปได้ทุกวัน ให้เจริญให้มาก ทำให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก
    หายใจเข้าเป็นธรรมะ หายใจออกก็เป็นธรรมะ
    มนุษยโลกเขาเป็นอย่างนั้นแหละ เขาเป็นธรรมดาของเขา ติเขาก็ไม่ได้ ชมเขาก็ไม่ได้ เราอย่าไปตามเขาก็แล้วกัน เขาจะเอาอย่างนั้นนี่ จะเอาทางกิเลสกาม วัตถุกาม
    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ทำบาป ก็เป็นบุญอยู่แล้ว
    ถ้าท่านไม่มีธรรมะอยู่ ท่านก็วุ่นวายซิ ถ้าไม่มีธรรมะก็ร้อนใจซิ เดี๋ยวจิตอวิชชา ตัณหา อุปาทาน กิเลส กรรมวิบาก
     
  15. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    สมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ เป็นสมบัติ เมื่อเลย อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ เป็นผู้ที่เหนือเกิดเหนือตาย ไม่ต้องมาเป็นทุกข์เพราะเกิดเพราะตาย อยู่กับจิต เจตสิก นิพพาน ในธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยมีสุขส่วนเดียว ขอให้มีความประเสริฐสุดอยู่ในความไม่เกิดไม่ตาย ให้สวัสดีในธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเทอญ
    นี่แหละด้วยอำนาจความปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา สำรวม ศีล สมาธิ ปัญญา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศีล สมาธิ ปัญญา หมายความประพฤติกาย วาจา ใจ สุจริต ผู้ปฏิบัติพึงน้อม กาย วาจา ใจ ไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งเพศ บรรพชิต และคฤหัสถ์ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง ด้วยอำนาจข้อปฏิบัติผู้ถึงธรรมพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง ขอให้สาธุชนทั้งปวงพ้นจากทุกข์ภัยแลเป็นสุข สมกับปณิธานความปรารถนา ของตนๆ ทุกเมื่อเหล่าทั่วหน้ากัน มีความเกษมสันต์ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวงเทอญ
    ขอให้เจริญในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก ให้ถึงในนิพพานสมบัติ
    ขอฝากไว้กับพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย
    ขอให้เจริญพุทธศาสนานี้เจริญงอกงามไปไม่มีที่สิ้นสุด
    *****************************
    เอกสารอ้างอิง
    - หนังสือศีลธรรม กลับมา ธรรมะออกจากใจ
    (อภินันทนาการพร้อมหนังสือพิมพ์ คู่แข่งธุรกิจ) ฉบับที่ ๑๘๐ วันที่ ๒๐-๒๖ มิ.ย.๒๕๓๗
    - หนังสือ กายเดียวจิตเดียว เทศนาภาษาใจ
    เนื่องใน เจริญอายุครบ ๘ รอบ (๙๖ ปี) ๕ ม.ค. ๒๕๓๒ วัดกลางชูศรีเจริญสุข
    - หนังสือ ๑ ศตวรรษ หลวงปู่บุดดาถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    อยากพ้นทุกข์ก็อยู่กับธรรมะ อยากเป็นทุกข์ก็ไปอยู่กับสัตว์โลก..(เลือกเอา)
     
  17. TaoTaoJung

    TaoTaoJung Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +47
    หลวงปู่ คือ พระสงฆ์ที่ผมเคารพ และทำให้ผมเข้าใจ ทางเดิน ที่ชัดเจนที่สุดเลย
    ธรรมของท่าน เข้าใจได้ง่าย และคลายความสงสัยในใจที่คั่งค้างมานาน
    ยังมีข้อธรรมอีกหลายประโยคจากท่าน ที่ประทับใจมากมาย

    "กาย ใจ เกิดดับตลอดเวลา เราจะข้องอยู่ไม่ได้"
    "กาย สักแต่ว่า ใจสักแต่ว่า ก็เท่านั้นแหล่ะ"
    "กินอยู่หลับนอนไม่มีราคะซิ"

    ท่านละสังขารไปนานมากกว่า 10 ปีแล้ว แต่กายหลวงปู่ยังอยู่ในโรงแก้ว ไม่เน่าเปื่อยน่ะครับ
    รู้สึก อยู่ที่วัดกลางชูศรี สิงห์บุรี

    ขออนุโมทนาสาธุนะคร๊าบบบบ
    ____/|\____
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...