คำสอนในพุทธศาสนาที่ไม่มีในพระไตรปิฎก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Ron_, 27 เมษายน 2013.

  1. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เรื่องกัปมีอีกอัน คือ สาสปสูตร (สังยุตนิกาย นิทานวรรค ข้อ ๔๑๓ หน้า ๒๑๖ บาลีฉบับสยามรัฐ)


    ดูกรภิกษุ! เราตถาคตจะยกอุปมาให้เธอฟัง เหมือนอย่างว่า พระนครที่ทำด้วยเหล็ก มีความยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ซึ่งเป็นพระนครที่เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ยังมีบุรุษผู้หนึ่งพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากพระนครนั้น โดยกาลล่วงไป ๑๐๐ ปี ต่อเมล็ดหนึ่ง การที่เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น จะพึงถึงความหมดไป สิ้นไป เพราะความพยายามของบุรุษนั้นยังเร็วกว่า แต่เวลาที่เรียกว่า กัปหนึ่ง นั้น ยังไม่ถึงความหมดไป สิ้นไปเลย@ กัปหนึ่งนั้น นานอย่างนี้ ก็บรรดากัปที่นานอย่างนี้แหละ พวกเธอท่องเที่ยวไปมาอยู่ในวัฏสงสาร มิใช่ ๑ กัป มิใช่ ๑๐๐ กัป มิใช่ ๑๐๐๐ กัป มิใช่ ๑๐๐,๐๐๐ กัป ข้อนี้ เป็นเพราะเหตุใด? เพราะว่า วัฏสงสารนี้ กำหนดที่สุดและเบื้องต้นมิได้ ในเมื่อเหล่าสัตว์ทั้งหลายถูกอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น ถูกตัณหาผูกพันเขาไว้ ก็ย่อมจะต้องท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ โดยที่สุดและเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏเลย


    @เนื่องจากการบอกเล่าต่อๆกันไปทำให้เกิดความเข้าใจผิดเพี้ยนเกี่ยวกับ “ความยาวนานของกัป” ว่า 100 ปีเอาเมล็ดผักกาด 1 เมล็ดในกล่องกว้าง,ยาว,สูงอย่างละ 1 โยชน์ จนเต็มถือว่าเป็น 1 กัป บ้าง หรือ 100 ปีเอาผ้าบางมาลูบภูเขาทึบตันกว้าง,ยาว,สูงอย่างละ 1 โยชน์จนภูเขาแบนราบสนิทถือว่าเป็น 1 กัป บ้าง อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะดูจากหลักฐานดั้งเดิมคือพระไตรปิฏกสรุปได้ว่าการกระทำดังกล่าวข้างต้นยังไม่ถึง 1 กัปเลยและ 1 กัปยาวนานมากจนไม่อาจคำนวณเป็นตัวเลขอย่างชัดเจนได้
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมเห็นด้วยครับ "อรรถกถาส่วนใดขัดแย้งกับบาลี" ผมคิดว่าอะไรมีเท่าไหร่ไม่ใช่ปัญหาครับ
    หลายอย่างไม่มีบันทึกในพระไตรปิฏกก็อย่าพึ่งคิดว่าไม่มี พระองค์ทรงบอกว่าธรรมะที่พระองค์สอน
    มีเท่ากับใบไม้ในกำมือเทียบไม่ได้กับใบไม้ทั้งต้น สิ่งที่พระองค์ทรงรู้แต่ไม่ได้นำมาบอกสอนมีเยอะกว่ามาก
    แต่ไม่ได้เป็นไปเพื่อการรู้ธรรม พระองค์จึงไม่นำมาสอน พวกเราส่วนมากมาถกเถียงกันว่ามีเท่านั้นถูก มีเท่านั้นผิด
    มากว่าที่จะสนใจศึกษาธรรมหรือนำธรรมของพระองค์ไปปฏิบัติตาม
    ผมยกตัวอย่างเรื่องบัวมี ๓ เหล่า ที่บอกว่า "พระพุทธเจ้าบอกว่าพิจารณาบัวสามเหล่า แต่อรรถกถาเพิ่มเป็นสี่เหล่า"
    ลองอ่านเนื้อหาในพระสูตรแล้วพิจารณาดูครับ ถ้าแยกออกมาแล้วบัวมีแค่ ๓ เหล่า ในบทที่บอกว่ามีสี่เหล่าลองแยกออก
    ก็ยังนับได้แค่ ๓ เหล่า เรื่องของเรื่องคืออ่านแล้วติดอยู่แต่ชื่อพระสูตร ไม่ได้พิจารณาลึกลงไปที่เนื้อหาแล้วก็มาเถียงกัน
    เอาเป็นเอาตาย บางคนไม่เคยอ่านพระสูตรเลยแต่ก็เชื่อตามเขาไป และคนส่วนมากก็เป็นแบบนี้
     
  3. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ผมไม่ได้บอกว่า อะไรที่ไม่มีในพระไตรปิฎกเชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด ผมแค่แยกชั้นข้อมูลให้ชัดเจน ว่า บัวสามเหล่ามีที่มาจากไหน บัวสี่เหล่ามีที่มาจากไหน

    ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าเล่าพุทธประวัติด้วย
    พระองค์เอง ว่าพิจารณา ดอกบัว 3 เหล่า คือบัวปทุม
    บัวอุบล บัวบุณฑริก บางดอกของแต่ละเหล่า อยู่
    ในน้ำ 3 ระดับ คือ ในน้ำ ปริ่มน้ำ และ พ้นน้ำ

    แต่อรรถกถาเป็นแบ่งเป็น 4 เหล่าโดยแบ่งตาม
    ระดับที่อยู่ในน้ำ คือ พื้นน้ำ ในน้ำ ปริ่มน้ำ และ
    พ้นน้ำ เปรียบเทียบกับคน 4 จำพวกคือ ปทปรมะ
    เนยยะ วิปัจจิตัญญู และ อุคฆฏิตัญญู ตามลำดับ

    บัว 3 เหล่า หรือ บัว 4 เหล่า ? | drronenv

    เพราะเคยมีผู้อาวุโสท่านหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็น คุณประเวศ วสี) เคยไปพูดว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าบัวสามเหล่า คนที่ไม่รู้ก็ไปหัวเราะเยาะท่าน ว่าจำผิด เพราะคนส่วนใหญ่ได้ยินแต่บัวสี่เหล่าจนเคย แต่คนที่ไปหัวเราะเยาะนั้นหารู้ไม่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสถึงบัวสามเหล่าจริงๆ แต่อรรถกถาอธิบายเพิ่มเติมเป็น สี่เหล่าแบ่งตามระดับที่อยู่ในน้ำ

    นี่คือผลเสียจากการไม่ศึกษาให้ดีว่า อะไรมีที่มาจากไหน ได้ยินคำสอนในพุทธศาสนาอะไรก็ไปเหมาว่าพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ทั้งหมด ซึ่งไม่เป็นความจริง
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เปรียบบุคคลด้วยดอกบัว ๓ เหล่า
    ดูกรราชกุมาร ครั้นอาตมภาพทราบว่าท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนา และอาศัย
    ความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ. เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ
    ก็ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี
    มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยาก
    ก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง
    หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ

    บางเหล่ายังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้
    บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ
    บางเหล่าตั้งขึ้นพ้นน้ำ น้ำไม่ติด ฉันใด


    ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้น
    ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี
    มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยาก
    ก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี. ดูกรราชกุมาร ครั้งนั้นอาตมภาพ
    ได้กล่าวรับท้าวสหัมบดีพรหมด้วยคาถาว่า

    ดูกรพรหม เราเปิดประตูอมตนิพพานแล้ว เพื่อสัตว์ทั้งหลาย
    ผู้มีโสต จงปล่อยศรัทธามาเถิด เราสำคัญว่าจะลำบาก จึงไม่
    กล่าวธรรมอันคล่องแคล่ว ประณีต ในมนุษย์ทั้งหลาย.
    ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงเปิดโอกาส เพื่อจะแสดง
    ธรรมแล้ว จึงอภิวาทอาตมภาพ ทำประทักษิณแล้ว หายไปในที่นั้นเอง.

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์หน้าที่ ๓๔๙/๕๑๘

    _________________________________________________
    ทรงพิจารณาสัตวโลกเปรียบด้วยดอกบัว ๔ เหล่า
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงกราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัย
    ความกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ
    ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี ที่มีอินทรีย์
    แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี
    ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี.
    มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริก
    ที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ

    บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้
    บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ
    บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว.


    พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย บางพวก
    มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า
    บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการทราม บางพวกสอนให้รู้ได้ง่าย
    บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ ฉันนั้น
    เหมือนกัน ครั้นแล้วได้ตรัสคาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า ดังนี้:-
    เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว สัตว์เหล่าใดจะฟัง
    จงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกรพรหม เพราะเรา
    มีความสำคัญในความลำบาก จึงไม่แสดงธรรม
    ที่เราคล่องแคล่ว ประณีต ในหมู่มนุษย์.
    ครั้นท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม
    แล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้ว อันตรธานไปในที่นั้นแล.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๑๑/๓๐๔
     
  5. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    จริงอย่างคุณอุรุเวลาบอก
    เป็นข้อผิดพลาดจากการพิมพ์พระไตรปิฎก
    แล้วก็เถียงกันโดยไม่ดูเนื้อหาสาระ
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .......นั่นไง ว่าแล้ว ถ้า..อยากยกพระสูตรมาแสดง ยกมาเลย จะได้ประโยชน์...ยกอรรถกถา ยกมาเลยก็ได้ประโยชน์(เขียนกำกับไว้ก็ได้ว่ามาจากใหน)::cool:
     
  7. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ข้อ 14

    ชาติแรกสุดที่พระโคดมพุทธเจ้า ตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า คือ ตอนเป็น มานพ แบกแม่ว่ายข้ามมหาสมุทร (หนังสือมุนีนาถทีปนี ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า)

    เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้เองในพระไตรปิฎกว่า ท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก ตอนเห็นพระธุดงค์อยู่ป่า แล้วเข้าไปถวายท่อนผ้าเก่า

    และในหนังสือเล่มเดียวกันก็เล่าว่า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน นั้นเอ่ยปากอฐิษฐานปรารถนา ความเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก ต่อหน้าพระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นองค์หญิงสุมิตตาเทวี น้องสาวพระพุทธเจ้าองค์ก่อนโน้น (ชื่อพระบุราณทีปังกรพุทธเจ้า) แต่พระพุทธเจ้าองค์นั้นไม่ได้ตรัสพยากรณ์ว่าจะได้เป็นหรือไม่

    เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จเพราะไม่มีหลักฐานยืนยันในพระไตรปิฎกและอรรถกถา
    แต่คนส่วนใหญ่คิดว่าจริง จนกระทั่งเคยมีคนเขียนหนังสือเรื่อง พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นผู้หญิง มาแล้ว
     
  8. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ผมว่าน่าจะถกกันพอหอมปากหอมคอแล้วนะครับ

    ผมเห็นว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะแลกเปลี่ยนความเห็นกันในเรื่องนี้ครับ
    เพราะท้ายที่สุดก็ไม่มีใครชี้ขาดได้ครับ แถมการเอาข้อความในพระไตรปิฎกมาหักล้างกัน
    จะกลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัยเปล่า ๆ เสียงมากนะครับ

    ความเห็นส่วนตัว พระไตรปิฎกจะจริงหรือไม่จริง คนปฏิบัติเท่านั้นที่รู้ครับ
    ถ้าปฏิบัติแล้วได้ผล ก็ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้
    ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ก็ต้องดูว่ามีคนปฏิบัติแล้วได้ผลหรือไม่
    ถ้าปฏิบัติแล้วไม่มีใครสักคนได้ผล ก็แสดงว่าไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนครับ

    เอาแค่นี้ละกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2013
  9. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284

    คุณผู้ดูแล กระทู้นี้ ไม่ได้วิเคราะห์วิจารณ์พระไตรปิฎกว่า จริง หรือ ไม่จริง ดังที่บางกระทู้กล่าวหา แต่กระทู้นี้ ยกย่องพระไตรปิฎกไว้เหนือเศียรเกล้า ในการตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด ตามหลักมหาปเทส 4

    ประโยชน์ของกระทู้นี้ คือ แยกที่มาของข้อมูลให้ชัดเจนว่า คำสอนในพุทธศาสนา ต่างๆนั้น ใครเป็นผู้สอน เช่น อันนี้ พระพุทธเจ้าสอน อันนี้อรรถกถาจารย์สอน อันนี้ครูอาจารย์สอน อันนี้ไม่รู้ที่มา เป็นต้น ถ้าอะไรที่ผิดและค้านกับพระไตรปิฎก ก็ต้องบอก ต้องแจ้งว่า นี่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

    เพื่อป้องกัน คนที่ไม่รู้ที่มาแล้วไปอ้างว่าคำสอนที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอน ยิ่งคำสอนที่ผิดๆ ยิ่งแล้วใหญ่ เช่น คำสอนที่บอกว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง

    อภัยทาน เหนือกว่า ธรรมทาน อย่างที่คุณ komodo เคยพบมาแล้วในครั้งก่อน
    (และเมื่อเร็วๆนี้ยังมี คนที่ปรามาสคำสอนพระพุทธเจ้า โดยยกคำสอนแบบผิดๆว่า อภัยทานเหนือกว่าธรรมทาน เช่นกระทู้
    http://palungjit.org/threads/เนื้อน...ง-ก็ยังได้บุญน้อยกว่า-การถวายวิหารทาน.492252/ )

    เพราะอะไร เพราะเขาไม่ศึกษาในพระไตรปิฎกให้ดี จึงไม่รู้ว่า สิ่งนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน แถมยังจะมาขัดขวางไม่ให้คนศึกษาพระไตรปิฎกเสียด้วยมั๊ง

    ถ้าไม่คำสอนในพระไตรปิฎกมาเทียบเคียงว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมทานชนะทานทั้งปวง จะรู้ได้ยังไงว่า คำกล่าวอ้างพระพุทธพจน์ที่พูดๆกันนั้นถูกหรือผิด? ดังนั้นไม่รู้ที่มาจะยิ่ง เสี่ยงต่อการปรามาสพระพุทธเจ้ามากกว่าการนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ และเทียบเคียงกับคำสอนของอาจารย์รุ่นหลัง เพราะอะไร เพราะถ้าไม่รู้ที่มา ได้ยินอะไรก็เหมารวมหมดว่าพระพุทธเจ้าสอน ทั้งๆที่จริงๆแล้ว บางอย่างพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน แต่เป็นอาจารย์รุ่นหลังที่สอน (ไม่ได้บอกว่า คำสอนของท่านเหล่านั้นผิดเสมอไป)

    ผมเองยอมรับ คำสอน ของอาจารย์รุ่นหลัง ถ้าคำสอนนั้น เทียบเคียงลงได้ตามหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ตามหลักการตัดสินพระธรรมวินัย 8 ประการที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระนางปชาบดีโคตมี

    หวังว่าคงเคลียร์นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2013
  10. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ขอแถมอีกหน่อย

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ดูกรอานนท์ พระธรรมและวินัย นั่นและจักเป็นศาสดาแทนเราตถาคต เมื่อเราตถาคตได้ล่วงไปแล้ว

    ดังนั้นผู้ที่ชี้ขาดได้คือ พระธรรมวินัยที่บันทึกในพระไตรปิฎก นั่นแหละจะบอกว่าอะไรถูกอะไรผิด

    ส่วนจะมีบ้างที่ วิจารณ์พระไตรปิฎก ในกรณีที่ มีการพิมพ์ผิด พิมพ์ตกหล่น ดังที่สมาชิกบางท่าน กล่าว มา เพื่อประโยชน์ในการรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน
    แต่ไม่ได้วิจารณ์ว่า พระพุทธเจ้าสอนผิดประการใด ถ้าจะวิจารณ์ก็มีแต่วิจารณ์ว่า พระพุทธเจ้าสอนถูกต้อง เป็นคำสอนที่บริสุทธิ์บริบูรณ์พร้อมทั้ง อรรถะพร้อมทั้งพญัชนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2013
  11. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ข้อ 15

    คำสอนที่ว่า อภัยทาน เหนือกว่า ธรรมทาน (มีที่มาจากหนังสือวิธีสร้างบุญบารมี ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่ง)

    เรื่องนี้ ไม่เป็นความจริง เพราะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "สัพพะ ทานัง ธัมมะ ทานัง ชินาติ" แปลว่า ธรรมทาน เหนือกว่า ทานทั้งปวง"

    บางคนเข้าใจผิดว่า สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน เป็นผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่

    ความจริงคือ สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน เคยแต่งหนังสือ วิธีสร้างบุญบารมีเหมือนกัน แต่มีเนื้อหาอีกแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนกับ เล่มที่มีข้อมูลบิดเบือนพระพุทธพจน์ดังที่พูดถึงนี้
     
  12. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    คุยกันตามประสาเราๆท่านๆ ก็ต้องมีถกมีเถียงกันบ้างเป็นธรรมดาครับ
    ส่วนเรื่องตรงหรือไม่ตรงพระพุทธพจน์บทบาลี
    บางเรื่องก็ชัดเจน บางเรื่องก็ตีความ ก็ว่ากันไป
    เรื่องที่ชัดเจนมันก็ง่ายที่จะคุย
    ส่วนเรื่องที่ต้องตีความ อันนี้มันไม่จบ... เพราะเรายังเป็นผู้ไม่จบ
     
  13. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ถามนิดเดียว

    เวลาคุณโต้แย้งกระทู้ต่าง ๆ "ใจ" คุณเป็นอย่างไร

    แจ่มใส
    ขุ่นมัว
    มืดบอด


    สิ่งที่คุณทำ มันก็มีประโยชน์นะ แต่มันจะเกิดโทษกับตัวคุณ
    ถามใจคุณเองนะครับ การตามประกบ Saber มันเกิดอะไรขึ้นในใจคุณ

    ถ้าคุณสงสัยในหนังสือทุกเล่ม คำสอนของพระทุกรูปว่าตรงตามพระไตรปิฎกๆไหม คุณก็จะสงสัยไปไม่มีที่สิ้นสุดครับ

    ลองเก็บไปคิดดูนะครับว่า ใจของคุณได้อะไรจากสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่

    ผมตอบแค่นี้ละกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2013
  14. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ที่ผมทำก็เพื่อ ปกป้องพระธรรมวินัย ให้บริสุทธิ์ ไม่ให้ใครเข้าใจผิด ว่าอันนี้พระพุทธเจ้าสอน ทั้งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ก็แค่นั้น ถ้าผมเห็นว่าไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสดังบันทึกในพระไตรปิฎก ผมก็ช่วยบอกกล่าว ข้อเท็จจริงเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็เพื่อเป็นการให้ธรรมทานอันเป็นทานสูงสุดที่พระพุทธเจ้าบอกไว้

    อุดมการของผมกับของคุณ komodo หรือของชาวพุทธดีๆทั่วไปก็เหมือนกันแหละครับ คือ ไม่อยากให้ใครมาปรามาสพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ใช่ไหม
    บางทีการที่ ไม่รู้ข้อมูลข้อเท็จจริง ว่าอะไรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ บางทีพูดผิดไปหรือนำข้อมูลที่ผิดมาลง ก็กลายเป็นการเผยแพร่สิ่งที่ผิดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะมีผลอย่างใหญ่หลวง

    ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสในธรรมเพื่อความไม่เสื่อมว่า

    ไม่บัญญัติ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ ว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติ

    ผมจึงตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อรวบรวม ความเห็นหรือความเชื่อต่างๆ ในพุทธศาสนาที่พบได้บ่อยๆ มาเพื่อจัดหมวดหมู่ว่า คำสอนนี้ใครเป็นผู้สอน พระพุทธเจ้า หรือ อาจารย์รุ่นหลัง หรือมีที่มาจากไหน และเทียบเคียงคำสอนเหล่านั้นกับพระไตรปิฎกว่าอันไหนตรงทางหรือหลงทางหรือผิดถูกอย่างไร ก็แค่นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ saber นั่นเลย แต่เขากลับไปอ้างคำสอนของพระมาโจมตีใส่ร้าย ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นเช่นนั้น จนคุณผู้ดูแลเข้าใจผิด ก็แค่นั้นแหละ
     
  15. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    ผมอ่านอย่างละเอียดจะจบเล่มที่ 73 ของ 91เล่มแล้ว(ใช้เวลาผ่านมา 7 ปี) ครอบคลุมพระไตรปิฎก 80กว่า% แล้ว มีลักษณะการขยายความในอรรถกถา มากมายอย่างที่ถกเถียงกัน แต่สาระสำคัญยังคงครบถ้วน ไม่มีผลกระทบอะไร ตอบคำถามค้างคาใจได้ครบทุกเรื่อง ผมก็แจ้งให้เจ้าของเว็บบ์ 84000 เขาทราบในกรณีมีข้อสงสัย และผมเองก็บันทึกที่สำคัญๆเก็บไว้ด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2013
  16. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    อนุโมทนาครับ สำหรับกระทู้นี้ นอกจากอรรถกถาแล้ว ยังพยายามที่จะรวบรวม คำสอนและความเชื่อ จากตำราและหนังสือเล่มอื่นๆ มาพิจารณาตามหลักพระธรรมวินัยด้วยเช่นกัน
     
  17. tanaong2011

    tanaong2011 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    6,233
    ค่าพลัง:
    +7,421
    ขอแสดงความคิดเห็นแบบผู้เบาปัญญาด้วยคนนะครับ
    .
    .
    .

    ท่านสอนไม่ให้เชื่อตำรา ไม่ให้ยึดติด
    เพราะตำรานั้นเราก็ไม่รู้อีก ว่าถูกต้องทั้ง 100 เปอร์เซนต์หรือไม่
    ตำราได้ผ่านการ จดจำ มาหลายชั่วอายุคน กว่าที่จะมี ตัวอักษร เกิดขึ้น
    และก็ได้ผ่านการสังคยานามาอีกหลายต่อหลายครั้ง
    ถ้าตรงไหนไม่ตรงกัน ก็ให้รู้ว่าไม่ตรงกัน
    เราจะชี้ว่าอันนี้ผิดอันนี้ถูกเลยก็ ไม่น่าจะสมควรนะครับ
    ต้องให้เกียรติท่าน และ ต้องรู้พระคุณครูบาอาจารย์ท่าน
    ที่อุตสาหะบันทึกไว้ให้เรารุ่นลูกรุ่นหลาน
    ได้มีข้ออรรถข้อธรรมศึกษากัน

    เปอร์เซนต์ที่คลาดเคลื่อนกันก็เป็นส่วนปลีกย่อย
    ไม่ได้เป็นประเด็นหลักของพระไตรปิฏก
    คุณรณจักรเอามาแสดงให้ดูก็ น่าสนใจดีครับ....
    ถือเป็นอรรถรสในการศึกษาด้วยส่วนหนึ่ง

    ตราบใดที่เรากินแกงจืด แล้วยังเป็นแกงจืด ก็โอเคอยู่นะครับ
    แม้ในน้ำแกงจืดอาจจะมีตะกอนขุ่นๆบ้างเล็กน้อย ก็ไม่เป็นไรเนาะ

    แต่ถ้ากินแกงจืดแล้วกลายเป็นแพนงขึ้นมานี่ซิ อันนี้เริ่มยุ่งแล้ว
    ต้องให้ผู้รู้แก้ไข...
     
  18. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ถ้า อรรถกถา ไม่ตรงกับบาลี ต้องยึดบาลีเป็นหลัก
    แต่ที่ผมบอกหรือแจ้งนั้นไม่ได้ มีเจตนาตำหนิอรรถกถา

    เพียงแต่แจ้งจุดที่ผิด เหมือนกับที่เราเห็นหนังสือพิมพ์ผิด ก็ต้องบอก เพื่อเป็นข้อมูลที่ถูกต้องแก่คนที่มาอ่านทีหลัง (ในกรณีที่ ตัดสินได้ว่าผิดจริงจากการที่มีข้อมูลในพระไตรปิฎกยืนยัน)

    แต่อย่างบางกรณีที่ อรรถกถาขัดแย้งกันเอง และ ยังหาข้อมูลในพระไตรปิฎกมาพิจารณาว่าอันไหนถูกหรืออันไหนผิดไม่ได้ ผมก็แจ้งไว้ว่าไม่ตรงกัน

    ดังเช่นเรื่อง ปัจจัยสี่ของพระพุทธเจ้าถูกทำลายด้วยความพยายามของคนอื่นได้ หรือไม่ได้ เป็นต้น
     
  19. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ผมไม่สนใจคำ Saber หรอกครับ ผมตำหนิเขาไปด้วยซ้ำที่มาแก้ชื่อกระทู้ แล้วเอาธรรมมาใช้ในการตำหนิคนอื่น

    ผมว่าถ้าคุณตั้งใจชำระพระไตรปิฎก คุณไปติดต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติหรือมหาเถรสมาคมดีกว่าครับ เพราะแก้ในเว็บบอร์ดไม่มีผลอะไร นอกจากจะมานั่งโต้ตอบกัน เสียเวลาเปล่า ๆ ครับ

    สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราอย่าประมาทครับ เอาเวลาไปปฏิบัติดีกว่ามานั่งจับผิดว่าพระไตรฯ ฉบับไหนผิดนะครับ

    แล้วที่ผมไม่แย้งคุณเรื่องอภัยทานกับธรรมทานนั้น ก็เพราะอภัยทานเป็นธรรมทานขั้นปรมัตถทาน (ตามภาพ) ดังนั้นมัน คือ อันเดียวกัน

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คุณโคโมโดครับ

    ผมไม่ได้จะชำระหรือสังคายนาพระไตรปิฎก รวมถึงไม่ได้จะจับผิดพระไตรปิฎกแต่อย่างใด (นอกจากเจอโดยบังเอิญว่าพิมพ์ผิด ก็อาจจะนำมาโพสเพื่อบอกเป็นธรรมทาน เช่นที่คุณอุรุเวลาโพสบอกเรื่องบัวสี่เหล่า) เพียงแต่รวบรวม ความเห็น หรือคำสอน ที่หาไม่พบในพระไตรปิฎก แต่ได้ยินกันบ่อยๆ เช่น เรื่อง ขณิกกะ อุปจารระ อัปปนาสมาธิ เพื่อให้รู้ที่มาว่า มีที่มาจากไหน เพื่อที่คนจะได้ไม่อ้างผิดว่า พระพุทธเจ้าสอน ทั้งที่ท่านไม่ได้สอน และถ้าอันไหนผิดจากพระไตรปิฎก ผมก็บอกเป็นธรรมทาน แต่ถ้าไม่รู้หรือตัดสินไม่ได้ ผมก็บอกว่า แต่ละจุดไม่ตรงกัน แค่นั้น ซึ่งเป็นการบอกไปตามข้อเท็จจริง

    ส่วนเรื่อง แผนภาพเซตเรื่อง อภัยทานกับธรรมทาน ของคุณโคโมโดนั้นถูกต้อง แล้ว ตามที่อรรถกถาจารย์สอน เพราะอรรถกถาจารย์ท่านสอนว่า อภัยทานเป็นส่วนหนึ่งของธรรมทาน (แต่ไม่ใช่เหนือกว่าธรรมทาน)
     

แชร์หน้านี้

Loading...