ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกร็ดความรู้ จากสารานุกรมไทย
    รังสีกัมมันตภาพ : เกร็ดความรู้ จากสารานุกรมไทย
    รังสีกัมมันตภาพ
    คือปรากฎการณ์ซึ่งนิวเคลียสของอะตอมของบางธาตุเกิดการแผ่รังสีออกมาได้ ธาตุซึ่งนิวเคลียสของอะตอมแผ่รังสีออกมาได้นั้น เรียกว่า ธาตุกัมมันตภาพรังสี และจะแผ่รังสีออกมาตลอดเวลา เช่น ธาตุยูเรเนียม เรเดียม

    นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสเป็นคนแรกที่สังเกตพบปรากฎการณ์กัมมันตภาพรังสี เมื่อปี พ.ศ.1439 ต่อมาในปี พ.ศ.2441 นักวิทยาศาสตร์ชาวโปแลนด์ สองสามีภรรยาได้แยกเอาธาตุเรเดียมออกมาได้สำเร็จ และพบว่าธาตุเรเดียมให้ปรากฎการณ์กัมมันตภาพรังสีได้แรงกว่าธาตุยูเรเนียม ต่อมาได้มีการดำเนินการวิจัย เกี่ยวกับปรากฎการณ์กัมมันตภาพรังสีของธาตุ และได้ค้นพบเรื่องราวที่มีประโยชน์มากมายเกี่ยวกับปรากฎการณ์นี้ จนทำให้เกิดวิชาเคมีขึ้นอีกแขนงหนึ่งคือ เคมีนิวเคลียร์

    อะตอมของธาตุทุกชนิดประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานหลายชนิด เช่น โปรตรอน นิวตรอน อิเล็กตรอน ฯลฯ องค์ประกอบที่สำคัญของอะตอมได้แก่

    1. นิวเคลียส ทำหน้าที่เสมือนเป็นแกนกลางของอะตอมและประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานที่สำคัญสองชนิดคือ โปรตอนและนิวตรอน (ยกเว้นอะตอมของธาตุไฮโดรเจนธรรมดาที่นิวเคลียส์มีแต่โปรตอนเท่านั้นไม่มีนิวตรอน) นิวเคลียสแสดงอำนาจไฟฟ้าบวกเนื่องมาจากโปรตอน

    โปรตอน คืออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบวก จำนวนโปรตอนที่นิวเคลียสของอะตอมเป็นสิ่งที่แสดงให้ทราบว่า อะตอมนั้น ๆ เป็นอะตอมของธาตุใด ทั้งนี้เพราะว่าธาตุต่างกันมีจำนวนโปรตอนที่นิวเคลียสของอะตอมไม่เท่ากัน ธาตุเดียวกันต้องมีจำนวนโปรตรอนที่นิวเคลียสของอะตอมเท่ากันเสมอ เรียกจำนวนโปรตรอนที่นิวเคลียสของอะตอมว่า เลขเชิงอะตอม นิวตรอน เป็นอนุภาคที่เป็นกลาง คือ ไม่มีประจุไฟฟ้า มีมวลซึ่งใกล้เคียงมวลของโปรตรอนที่สุด

    2. อิเล็กตรอน เป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบ บริเวณของประจุไฟฟ้าลบแต่ละอิเล็กตรอนมีอยู่นั้น เป็นปริมาณไฟฟ้าที่เท่ากับประจุไฟฟ้าบวกที่แต่ละโปรตรอนมีอยู่ อิเล็กตรอนที่มีอยู่ทั้งสิ้นจะเคลื่อนที่เป็นวงโคจรอยู่รอบ ๆ นิวเคลียสของอะตอมอยู่ตลอดเวลา โดยปรกติแล้วอะตอมของธาตุย่อมเป็นกลางเสมอ อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคไฟฟ้าลบที่สามารถเคลื่อนที่หลุดออกจากวงจรได้ ฉะนั้นถ้าหากว่าอิเล็กตรอนเคล่นที่หลุดออกจากอะตอมใดที่เป็นกลางเข้าไปสู่อะตอมอื่นที่เป็นกลางแล้ว อะตอมซึ่งสูญเสียอิเล็กตรอนไปก็จะแสดงอำนาจไฟฟ้าเป็นประจุไฟฟ้าเป็นประจุบวกทันที ส่วนอะตอมที่ได้รับอิเล็กตรอนเพิ่มขึ้นมา ก็จะแสดงอำนาจไฟฟ้าเป็นประจุลบทันที เะราเรียดอะตอมที่แสดงอำนาจออกมาเป็นประจุไฟฟ้าบวก หรือลบว่าไอออนบวก และไอออนลบตามลำดับ

    ธาตุกัมมันตภาพรังสีมีสมบัติพิเศษ คือ แผ่รังสีออกมาตลอดเวลา เมื่อแผ่รังสีออกมาแล้วก็จะแปรสภาพเป็นธาตุอื่น ซึ่งมีสมบัติทั้งทางกายภาพ และทางเคมีผิดไปจากเดิม เมื่อธาตุที่เกิดขึ้นใหม่ยังคงมีสมบัติเป็นธาตุกัมมันตรังสีอยู่อีก ก็จะแผ่รังสีต่อไปตัวเอง ก็จะแปรสภาพไปเป็นธาตุอื่นต่อไปอีกเรื่อยไปจนที่สุด เมื่อแปรสภาพไปเป็นธาตุที่เสถียรแล้วการแผ่รังสีก็เป็นอันสิ้นสุดลง เช่น ธาตุยูเนียม เมื่อแผ่รังสีออกมาแล้วก็แปรสภาพไปเป็นธาตุกัมมันตภาพรังสีอื่น ๆ ตามลำดับขั้นตอนต่าง ๆ ตลอดเวลา บางขั้นตอนใช้เวลาเพียงส่วนหนึ่งของวินามี เป็นนาที เป็นวัน เป็นเดือน เป็นหลายล้านปี ผลที่สุดก็แปรสภาพเป็นธาตุตะกั่วที่เสถียร การแผ่รังสีก็สิ้นสุดลงโดยสิ้นเชิง

    รังสีแผ่ออกมาจากธาตุกัมมันตภาพรังสีประกอบด้วยอนุภาคต่าง ๆ และพลังงานในรูปของคลื่น อนุภาคสำคัญที่มีปรากฎในรังสีแผ่ออกมาได้แก่ อนุภาคแอลฟา ซึ่งมีปรากฎอยู่ในรังสีแอลฟา อนุภาคบีตา ซึ่งมีปรากฎอยู่ในรังสีบีตาส่วนพลังงานที่อยู่ในรูปของคลื่นคือพลังงานของรังสีแกมมา

    รังสีแอลฟา ประกอบด้วย อนุภาคแอลฟา มีประจุไฟฟ้า +2 ประกอบด้วยโปรตรอน 2 อนุภาคและนิวตรอน 2 อนุภาค มีอำนาจในการทะลุทะลวงต่ำ สามารถเจาะทะลุผ่านอากาศได้ไกลกลายซม. เจาะทะลุผ่านแผ่นอะลูมิเนียมที่หนา 0.01 มม. ได้เมื่อผ่านรังสีแอลฟาเข้าไปในสนามแม่เหล็กหรือสนามไฟฟ้า เส้นทางเคลื่อนที่ของรังสีแอลฟาจะเบี่ยงเบนโดยจะเบี่ยงเบนเข้าหาขั้วใต้ของสนามแม่เหล็กหรือเบี่ยงเบนเข้าหาขั้วลบของสนามไฟฟ้า ทั้งนี้เพราะอนุภาคแอลฟามีประจุไฟฟ้าบวก

    เมื่อธาตุกัมมันตภาพรังสีใด แผ่รังสีแอลฟาออกมาแล้วก็เสมือนกับปล่อยนิวเคลียสของธาตุฮิเลียมออกมาจึงเป็นเหตุให้ธาตุกัมมันตรังสีนั้นมีเลขมวลน้อยลงไป 4 หน่วย และมีเลขเชิงอะตอมลดน้อยลงไป 2 หน่วย

    รังสีบีตา ประกอบด้วย อนุภาคบีตา คือ อิเล็กตรอนนั่นเองจึงมีประจุไฟฟ้าลบเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วสูงเกือบเท่าอัตราเร็วของแสง เมื่อผ่านเข้าไปในสนามแม่เหล็ก หรือสนามไฟฟ้า เส้นทางเคลื่อนที่จะเบี่ยงเบนเข้าหาขั้วเหนือของสนามแม่เหล็ก หรือเบี่ยงเบนเข้าหาขั้วบวกของสนามไฟฟ้า รังสีบีตามีอำนาจในการทะลุทะลวงปานกลาง สามารถเจาะทะลุแผ่นอะลูมิเนียมที่หนา 0.1 มม. ได้

    เมื่อธาตุกัมมันตรังสีใดแผ่รังสีบีตาออกมาแล้ว เสมือนกับนิวเคลียสของอะตอมของธาตุนั้นปล่อยอิเล็กตรอนออกมา จึงทำให้ธาตุใหม่ที่ได้ คงมีเลขมวลดังเดิม แต่มีเลขเชิงอะตอมเพิ่มขึ้น 1 หน่วย

    รังสีแกมมา เป็นพลังงานที่อยู่ในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีช่วงคลื่นสั้นมากมีอัตราในการเคลื่อนที่เร็วเท่า ๆ กับอัตราเร็วของแสง ไม่มีมวลและไม่มีประจุไฟฟ้า ฉะนั้นเมื่อผ่านเข้าไปในสนามแม่เหล็ก หรือสนามไฟฟ้า เส้นทางเคลื่อนที่จึงไม่เบี่ยงเบนจากแนวเดิม รังสีแกมมามีอำนาจในการเจาะทะลุทะลวงสูง สามารถเจาะทะลุผ่านแผ่นเหล็กกล้าที่หนา 25 ซม. ได้และเจาะทะลุผ่านแผ่นตะกั่วที่หนา 5 ซม.ได้
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จากบทความนี้ถ้าสมมุติฐานเป็นจริงแสดงว่าทุครั้งที่มีแสงออโรร่าให้เห็นกัน ก็จะมีกระแสอานุภาคเข้าสู่บรรยากาศโลกโดยการเบี่ยงเบนหมุนควงตามเส้นสนามแม่เห็กทางขั้วโลกเหนือ และใต้ล่ะสิ ผมว่าเราโชคดีน่ะครับที่ไม่ได้เห็นแสง ออโรร่าที่สวย แต่ก็ทีของฝากที่น่ากลัว เหมือนคำกล่าวว่าผู้หญิงยิ่งสวยยิ่งน่ากลัว ปรื๊อ

    แสงเหนือและใต้
    แสงประหลาดบนท้องฟ้าอาร์กติก ในบางคืนบางท้องฟ้าของตำบลซึ่งอยู่ในแถบละติจูดสูงทั้งทางซีกโลกภาคใต้ ชาวโลกแถบนั้นอาจได้เห็นแสงเรืองแวบวาบเป็นม่านย้อย หรือเป็นเส้นสายหรือคล้ายเปลวไฟมีสีต่างๆ ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ปรากฏการณ์เช่นนี้มักเกิดบ่อยครั้งในฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงและมีชื่อเรียกว่า แสงเหนือ หรือแสงใต้ แล้วแต่ว่าเกิดขึ้นในบริเวณใกล้ขั้วเหนือหรือขั้วใต้ของโลก การเกิดแสงเหนือแสงใต้ขึ้นในบรรยากาศของโลก มีความสัมพันธ์กับการปรากฏของกลุ่มจุดบนดวงอาทิตย์ แสงเหนือแสงใต้มักเกิดภายหลังปรากฏการณ์ลุกจ้า หรือการระเบิดบนดวงอาทิตย์ประมาณหนึ่งวัน ซึ่งทำให้สันนิษฐานว่า สิ่งที่มาทำให้เกิดแสงเหนือแสงใต้ขึ้นนี้ เดินทางมายังโลกจากบริเวณลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ ด้วยความเร็ว 1,600 กิโลเมตรต่อวินาที

    แสงเหนือแสงใต้ มีความสัมพันธ์กับสนามแม่เหล็กของโลก เพราะบริเวณที่ปรากฏแสงเหนือแสงใต้ ให้เห็นบนท้องฟ้าบ่อยที่สุดนั้น เป็นโซนห่างจากขั้วเหนือและใต้ของแม่เหล็กโลก จาก 20 ถึง 25 องศาโดยรอบ สำหรับตำบลที่มองเห็นแสงเหนือแสงใต้จากไกล จะปรากฏว่าศูนย์กลางความสว่างของแถบแสงอยู่ตรงทิศทางตามแนวของเข็มทิศพอดี นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า แสงเหนือแสงใต้เกิดจากการที่อนุภาคไฟฟ้า โดยเฉพาะโปรตอนและอิเลคตรอนซึ่งเดินทางมาจากดวงอาทิตย์ พุ่งเข้าชนบรรยากาศของโลกด้วยความเร็วนับร้อยหรือพันกิโลเมตรต่อวินาที อนุภาคเหล่านี้มีกำเนิดในบรรยากาศของดวงอาทิตย์บริเวณเหนือกลุ่มจุดและจะเกิดขึ้นมากมายมีความเร็วสูงขณะเมื่อเกิดการลุกจ้าหรือการระเบิดขึ้นในบริเวณนั้น กระแสอนุภาคเหล่านี้บางส่วนจะเคลื่อนที่มาทางโลกของเรา โดยเหตุที่โลกมีสนามแม่เหล็กห่อหุ้มอยู่รอบตัว อนุภาคไฟฟ้าไม่สามารถจะเคลื่อนที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็กเข้ามาตรงๆ ได้ จึงมีการเบี่ยงเบนหมุนควงตามเส้นแรงแม่เหล็ก เข้าสู่บรรยากาศของโลกทางขั้วเหนือและขั้วใต้ของโลก

    ที่มา. http://www.pipattana.ac.th/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การเกิดฝน ช่วงนี้ฝรตกบ่อย และตกแรงๆ ในหลายๆ ประเภทจนเกิดน้ำท่วมหนักเรามาศึกษาการเกิดฝนกันครับ

    เกิดจากอนุภาคของไอน้ำขนาดต่างๆในก้อนเมฆ เมื่อรวมตัวจนมีขนาดใหญ่ขึ้นจนไม่สามารถลอยตัวอยู่ในก้อนเมฆได้ก็จะตกลงมาเป็นฝน

    ฝนจะตกลงมายังพื้นดินได้นั้นจะต้องมีเมฆเกิดในท้องฟ้าก่อน เมฆมีอยู่หลายชนิด มีเมฆบางชนิดเท่านั้นที่ทำให้มีฝนตก ไอน้ำจะรวมตัวทำให้เกิด เป็นเมฆ เมฆจะกลั่นตัวเป็นน้ำฝนได้ก็ต้องมีอนุภาคแข็งตัว (Freezing nuclei) หรือเม็ดน้ำขนาดใหญ่ซึ่งจะดึงเม็ดน้ำขนาดเล็กมารวมตัว กันจนเป็นเม็ดฝนน้ำที่ตกลงมาจากท้องฟ้าอาจเป็นลักษณะของฝน หิมะ หรือลูกเห็บซึ่งเรารวมเรียกว่าน้ำฟ้า ซึ่งมันจะตกลง มาในลักษณะไหนก็ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของอากาศในพื้นที่นั้น

    พอฝนตกลงมาถึงพืน จะมีการไหลของฝนไปรวมตัวกันใต้ดิน ดูดซับไว้ที่ผิวดิน ลงแหล่งน้ำเป็นต้น แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาที่พื้นโลก
    จะทำให้ น้ำเหล่านี้ระเหยขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศอีกครั้ง ประกอบกับไอน้ำที่ได้จากกิจกรรมบางอย่างของสิ่งมีชีวิต เช่นการหายใจของพืช ไอน้ำในบรรยากาศนี้จะรวมตัวกันเป็นเมฆ และก่อให้เกิดฝนตามมาอีก เป็นวัฎจักรเช่นนี้เรื่อยไป

    ที่มา. http://www.pipattana.ac.th/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทุกท่านคงเคยเข้าร่วมพิธีปรุกเสกพระดังๆ หลายครั้งใช่ไหมครับ และมีการนำรูปพระอาทิตย์ทรงกดมาประกอบเพื่อให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิในพิธีกันครับ

    การเกิดอาทิตย์ทรงกลด
    การเกิดอาทิตย์ทรงกลดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด เกิดขึ้นจากบรรยากาศของโลกในชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) ซึ่งเป็นบรรยากาศชั้นล่างสุด และเป็นที่อยู่ของกลุ่มเมฆจำนวนมาก มีอากาศเย็นจัดตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น จนทำให้ละอองน้ำในอากาศ ณ เวลานั้นๆ แข็งตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งอนุภาคเล็กๆ จำนวนมหาศาลลอยอยู่บนท้องฟ้า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และส่องแสงทำมุมกับเกล็ดน้ำแข็งได้อย่างเหมาะสม จะเกิดการหักเหและการสะท้อนของแสง ทำให้เกิดเป็นแถบสีรุ้ง (spectrum) คล้ายการเกิดรุ้งกินน้ำหลังฝนตกขึ้น
    ส่วนแสงสีที่ตามองเห็นนั้น จะขึ้นกับการทำมุมของแสงอาทิตย์และเกล็ดน้ำแข็ง แต่โดยทั่วไปเรามักจะเห็นเป็นแสงสีเหลืองอ่อนๆ มากที่สุด ถ้าเกิดจากการสะท้อนของแสงจะปรากฏเป็นสีเขียว แต่ถ้าเกิดจากการหักเหของแสงจะเป็นสีแดงเพลิงในตอนกลาง และเป็นสีน้ำเงินปนแดงตามขอบนอก

    ขนาดของพระอาทิตย์ทรงกลดจะมีขนาดแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนมากจะมีขนาดเฉลี่ย 30 องศา โดยการลากเส้นตรง 2 เส้น มาบรรจบกันที่ดวงตาผู้มอง ได้แก่ เส้นตรงที่ลากจากกึ่งกลางของปรากฏการณ์มาที่ตาผู้มอง และเส้นตรงที่ลากจากขอบของปรากฏการณ์มาที่ดวงตาผู้มอง

    บางครั้งเกล็ดน้ำแข็งของละอองไอน้ำเหล่านี้ จะทำหน้าที่หักเหทางเดินของแสงอาทิตย์ และก่อให้เกิดภาพขยายขึ้น เช่นเดียวกับที่กระจกหรือเล์นูนนสทำให้เกิดภาพขยาย

    ที่มา. http://www.pipattana.ac.th/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การเกิดเมฆ

    1. การเกิดเมฆ

    เมฆ เกิดจากการควบแน่นของไอน้ำในอากาศ โดยเมื่อไอน้ำได้รับบความร้อนก็จะลอยตัวสูงขึ้น และเมื่อกระทบกับความเย็นของอากาศที่อยู่เบื้องบนก็จะควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ เกาะอยู่บนอนุภาคของฝุ่นละอองที่อยู่ในอากาศ ซึ่งอนุภาคของฝุ่นละอองจะช่วยให้ละอองน้ำรวมตัวกันมากขึ้น เกิดเป็นก้อนเมฆที่มีขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง

    รู้ไว้ใช่ว่า
    - ไอน้ำ เป็นน้ำในสถานะก๊าซ ไอน้ำเป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และมองไม่เห็น
    - เมฆ ที่เรามองเห็นเป็นหยดน้ำในสถานะของเหลว หรือเกล็ดน้ำแข็งในสถานะของแข็ง
    - อุณหภูมิ ณ จุดที่ไอน้ำควบแน่นเป็นละอองน้ำ เรียกว่า จุดน้ำค้าง (dew point)
    - การควบแน่นของไอน้ำในอากาศเพื่อเกิดเป็นเมฆ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าในบรรยากาศไม่มีฝุ่นละอองสำหรับเป็นแกนให้ละอองน้ำจับตัว

    ที่มา http://www.pipattana.ac.th/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อมูลจากเว็บภัยพิบัติ วันที่ 23 มิถุนายน 2556

    ซุปเปอร์มูนคืนนี้ ดวงจันทร์จะมีความสว่างที่
    แมกนิจูด -12.37
    ขนาดปรากฏ 0°33’17.5″
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Updated 06/23/2013 @ 05:10 UTC
    Aurora Watch
    จับตาดูแสงออร่า

    Good evening (early morning in most parts). The solar wind remains elevated above 600 km/s
    ลมสุริยะยังคงพัดแรงกว่า 600 กิโลเมตรต่อวินาที
    and combined with a south tilting Bz/IMF component,
    และมีการเบี่ยงใต้
    increased geomagnetic activity is being observed at high latitudes. Minor geomagnetic storming will be possible over the next 12-24 hours.
    กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกัยสนามแม่เหล็กโลกที่เพิ่มขึ้น ถูกพบ ณ ละติจูดสูง

    พายะสนามแม่เหล็กโลกระดับเล็ก มีความเป็นไปได้ว่าจะมีค่าเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ใน 12- 24 ชั่วโมงถัดจากนี้ ที่solarham ลงข้อมูลก็คือ

    06/23/2013 @ 05:10 UTC
    ถ้าเป็นเวลาประเทศไทยก็ วันที่ 23 มิถุนายน 2556 เวลา 12.10 น เวลาประเทศไทย ถัดไป 12 ชั่วโมง ก็วันที่ 24 มิถุนายน 2556 เวลา 00.10 น ครับ และถัดไป 24 ชั่วโมงก็ วันที่ 24 มิถุนายน 2556 เวลา 12.10 ครับ

    Updated 06/23/2013 @ 10:00 UTC
    Solar Update
    เพิ่มเติมข้อมูลดวงอาทิตย์

    Below is an updated image of the visible solar disk on Sunday morning. Solar activity is at very low levels despite the increased number of visible spot regions.
    กิจกรรมบนดวงอาทิตย์ยังอยู่ในระดับต่ำๆ ถึงแม้ว่าจะมีจุดดับเพิ่มขึ้น ที่เหลือก็เป็นแค่บอกการเคลื่อนตัว ภาพรวมปรกติครับ แต่บอกว่าสาเหตุ ที่เกิดพายุสนามแม่เหล็กโลก ก็คือ cme ที่เกิดจากการประทุระดับ M ครับ

    Sunspots 1772 (Beta-Gamma) and 1776 (Beta-Gamma) are making their way towards the west limb.

    Sunspot 1775 which is also a Beta-Gamma magnetic group, remains stable. There will remain a chance for at least C-Class flares on Sunday.

    Geomagnetic activity remains below minor storm threshold levels this morning (Kp=4). The solar wind streaming past Earth is currently near 600 km/s. The Bz component of the interplanetary magnetic field (IMF) continues to tip somewhat south at times. There will remain a chance for minor geomagnetic storming over the next 24 hours due to effects of a glancing blow CME impact from the M-Flare on June 21.

    Visible Solar Disk (Sunday) - Click to Open
    image.jpg
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 23 มิถุนายน 2556 เวลา 19.56 ค่าโปรตอนฟลักซ์ (เส้นแรงโปรตอน) ยังสูงอยู่ เลยครับลมสุริยะก็ยังมากว่า 600 กิโลเมตรต่อวินาที อะไรใช้เวลานานจัง ผมว่าน่าจะเกิน 1 วันแล้วน่ะครับ ที่ roton flux สูงครับ
    image.jpg
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ขณะนี้มีเหตุการณ์ข่าวลือเรื่องร้ายๆ จากนอกโลกเข้ามามากเช่นอุดฝกาบาต เอย ดาวหางเอยแต่พวกเรายังขาดอาวุธป้องกันตัว เรายังจำขุนแผน ยอดนักรบ และนักรักได้ไหมครับท่ารมีอาวุธวิเศษ 3 อย่าง คือดาบฟ้าฟื้น ม้าสีหมอก กุมารทอง แต่ม้าสีหมอกตัดไปเลยครับจะไปจากไหน ถึงได้มาก็ข่วยได้แต่คนขี่ และกุารทองอย่าไปยุ่งเลยครับสงสารเด็กเขาตายแล้วยังเอาเขาไปเผา และกักขังวิญญานอีก ก็เหลือตัวเลือกสุดท้ายคือดาบฟ้าฟื้น เคยดูในหนังใช่ไหมครับฟันออกไปเป็นคลื่น แรงมากถ้ามีดาบฟ้าฟื้นหลายเล่มจะได้เอาไว้ฟันอุกาบาต แทนใช้ขีปนาวุธใช้ยิงอุกบาตกัน ซึ่งการสร้างดาบฟ้าฟื้นก็สร้างตามคัมภีร์มหาศาสตร ครับ แต่ที่ผมเอามาลงให้ชม ผมว่ามีบาวส่วนถูกแก้ไข ถึงเอาไปสร้างก็ไม่ได้ดาบฟ้าฟื้นมาหรอกครับ

    คําภีร์มหาศาสตราคม ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน ลุประมาณปีพุทธศักราช 167 เมื่อขุนแผนได้กุมารทองแล้ว เกิดความคิดตีดาบไว้ปราบศรัตรู จึงไปหาเหล็กสําหรับทํามีดตามที่ระบุไว้ ในคําภีร์มหาศาสตราคมมาจนครบถ้วนคือ เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดประสาททวารามาประสม เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร หอกสําฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตาปูเห็ด พร้อมเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้ เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกําแพงนําพี้ทั้งเหล็กแร่ ทองคําสําฤทธิ์นากอะแจ เงินที่แท้ธาตุเหล็กทองแดงคงยังได้รวมด้วยเหล็กสารพัดบิ่น สารพัดหักอีก108ชนิดมาร่วมด้วย เมื่อได้เหล็กมาพร้อมแล้ว จึงตั้งมณฑลพิธีล้อมด้วยราชวัฏฉัตรธงทั้ง4มุม ตรงกลางตั้งพิธีดาดด้วยผ้าขาว ลงยันต์เพดานทั้งหน้าหลัง แล้วหาเครื่องกระยาสังเวย สําหรับบูชาเทพยดาอารักษ์และครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทอันประกอบด้วย มัจฉะมังษาหาร6ประการ พร้อมเครื่องกระยาบวช ขนมแห้ง ขนมหวานอีกผลไม้9 อย่าง เทียนเงินเทียนทองหนัก4บาท 1 คู่ เมื่อได้วันดีคือวันเสาร์ขึ้น 15 คํา จึงบูชาครูบาอาจารย์และเทพยดาฟ้าดิน จึงเริ่มพิธีตีดาบขึ้นทันที/ เอาสูบทั่งตั้งไว้ในพิธี เอาถ่านที่ต้องย่างวางในนั้น ช่างเหล็กมีฝีมือลือทั้งกรุง ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มดูคมสัน วงสายสิญจ์เศกลงเลขยันต์ คนสําคัญคอยดูซึ่งฤกษ์ดี ครั้นได้พิชัยฤกษ์ราชฤทธิ์ พระอาทิตย์เที่ยงฤกษ์ราชสีห์ ขุนแผนสูบเหล็กให้แดงดี นายช่างตีรีดรูปให้เรียวปลาย ที่ตรงกลางกว้างงามสามนิ้วกึ่ง ยาวหนึ่งศอกกํามาหน้าลูกไก่ เผาชุบสามแดงแทงตะไบ บัดเดี๋ยวใจเกลี้ยงพลันเป็นมันยับแล้วลงกั่นดาบข้างแบน ด้วยคาถาบารมีพระพุทธเจ้าคือ อายันตุโภนโต อิธะทานะ สีละเนกขัมมะ ปัญญา สะหะวิริยะขันติ สัจจาธิฎฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะโว คัณหะถะอาวุธานิ/ ลงกั่นดาบด้านสัน ด้วยพระคาถาหัวใจพระยาสมาสดังนี้ นานามุสะระ หะระ บัพพะตะคะรุ กะลิงคะระ สะระธนู คะทาสิโต มาระหัตถา มาระคะนาเอาทองแดงที่ใช้สําหรับห่อหุ้มกั่นดาบมาลงถมด้วยพระคาถา นวหรคุณ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ 108 ครั้ง แล้วลงถมด้วยพระคาถาต่างอีก พระคาถาพุทธนิมิตร์ ลงถม9ครั้ง พุทธัสสะ อิธิพุทธัสสะ พุทธะนิมิตตัง ปฏิมานะพุทโธ ธาตุพุทโธ นิมิตตะพุทโธ กายะพุทโธ สูญญะพุทโธ เอคะตานัง กายะรูปะสูญยัง พุทธะนิมิตตัง อิทธิฤทธิ์พุทธะ นิมิตตังลงถมอีก9ครั้งด้วยคาถา อะสิสัตติ ธนูเจวะ สัพเพเตอาวุทธานิจะ ภัคคะภัคคา วิจุณณานิ โลมังมาเมนะผุสสันติ/ ตามด้วยคาถาพรหมสี่หน้าลงถมอีก9ครั้งว่า สหัสสะสีเส ปิเจโปโส สีเสสีเส สะตังมุกขา มุกเข มุกเข สะตังชิวหา ชีวะกัปโป มหิทธิโก นะสักโกติ จะวัณเณตุง/ ตามด้วยคาถาลงถมอีก9ครั้งบารมี30ทัศน์ ว่าอิติปารมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโมลงถมด้วยคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า9ครั้งว่า อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิอิโสตังพุทธะปิติอิ/ และตามด้วยอรหันต์8ทิศ9ครั้งว่า อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรถินัง ปิสัมระโลปุสัตพุท โสมาณะกะริถาโธ ภะสัมสัมวิสะเทภะ คะพุทปันทูทัมวะคะ วาโธโนอะมะมะวา อะวิสุนุสานุติ/ แล้วตามด้วย พุทธังกันตัง ธัมมังกันตัง สังฆังกันตัง พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ/9ครั้ง แล้วลงถมตามด้วยคาถา นะผุด ผัดผิด ปฏิเสวามิ 9 ครั้งแล้วจึงลงประทับด้วยคาถานี้อีกครั้งหนึ่งว่า สัตถาธะนุง อากัตถิตุง ทัตวา วิสัชเชตุง นาทาสิ ( บทนี้เมื่อลงให้ผ่อนลมหายใจออกลงจบเดียว ) กัณหะเนหะ หายใจเข้า พุทธังปัจจุขาด ธัมมังปัจจุขาด สังฆังปัจจุขาด ( หายใจเข้าออก สลับกันไปทีละบท ) สําหรับแผ่นทองแดงด้านหลังนั้นลงประทับด้วยพระคาถานี้ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา ลงถม9ครั้ง แล้วตามด้วย นะโมพุทธายะ อิติปาระมิตาติงสา โนวะปะตานุภาเวนะ มาระเสนา อะติกกันตา มาระนิทรา ทัสสะปาระมิตา ทะมาระนิทรา ปาระชังฆานิทรา ทัสสะปาระมิตา โลหะกันตา นามะเตนะโม มาตาปิตุพุทธะคุณัง สัพพะสัตรูวิธังเสนตุ อะเสสะโต เอวังทัสสะวัณโณ ปฏิฐิตัง จักรวาฬะ สัพพะสัตตานุภาเวนะ มาราโมระอะติกกันตา ทัสสะพรหมมานุภาเวนะ สัพพะสัตรูวินาสสันติเมื่อลงทองแดงห่อกั่นดาบแล้ว จึงเอาเกษร108 และยามุกใหญ่มาบดให้ละเอียด เพื่อบรรจุในด้าม (ยามุกใหญ่คือยาสารพะดอย่าง ) หินซึ่งใช้บดยานั้นลงด้วยพระคาถา มหาโสฬสมงคล ลงถม9ครั้ง ตามด้วยคาถาหัวใจพระธรรมเจ็ดคําภีร์9ครั้ง คาถาพรหมสี่หน้า9ครั้ง คาถาพุทธนิมิต9ครั้ง คาถาพระเจ้า16พระองค์9ครั้ง คาถาอะระหันต์8ทิศ9ครั้ง คาถาบารมี30ทัศน์9ครั้ง คาถาหัวใจสนธิ งะญะนะมะ 9ครั้ง คาถาพระกรณีย์ จะภะกะสะ 9ครั้งขณะบดยาให้ภาวนาพระคาถานี้ งะญะนะมะ จะภะกะสะ อะระหังสุคะโตภะคะวา นะมะพะทะ อิกะวิติ อิสวาสุ นะโมพุทธายะ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ปะติลิยะติ พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ จนกว่าจะบดยาเสร็จด้ามมีดให้ใช้ไม้ ชัยพฤกษ์ แกะเป็นรูปท้าวเวสสุวรรณ เขียนคาถาเป็นตัวเลข ลงที่องค์ท่าน ลงเลข3ตรีนิสิงเหที่ปากท้าวเวสสุวรรณ ว่าด้วยสูตรคือ มะอะอุตรีนิสิงเห ลงเลข7ที่ตาทั้งสองของท่านว่าสูตรสะธะวิปิปะสะอุสัตตะนาเค ลงเลข5ที่อกของท่านว่า อาปามะจุปะปัญจะเพชรฉลูกัญเจวะ ลงเลข4ที่หัวไหล่ทั้งสองของท่านว่า นะมะพะทะจัตตุเทวา ลงเลข6 ที่ขาทั้งสองของท่านว่า อิสวาสุฉอวัชชะราชา ลงเลข5ที่ด้านหลังท่านว่า ทีมะสังอังขุปัญจะ อินทรานะเมวะจะ ลงเลข1 ที่ตาตุ่มทั้งสองข้างว่า มิเอกะยักขา ลงเลข9 ที่ศรีษะท่านว่า อะสังวิสุโลปุสะพุภะนวะเทวา ลงเลข5 ที่แขนซ้ายว่า สหะชะตะตรีปัญจะพรหมาสะหะบดี ลงเลข5 ที่แขนขวาว่า นะโมพุทธายะ ปัญจะพุทธานะมามิหัง ลงเลข2 ที่ศอกทั้งสองข้างว่า พุทโธทะเวราชา ลงเลข8 ที่สะโพกทั้งสองข้างว่า เสพุเสวะเสตะอะเส อัฏฐะอะระหันตาใช้พระคาถาท้าวเวสสุวรรณลงด้ามมีดให้ทั่วว่า เวสสุวรรโณมหาราชา สัพเพเทวาเสเจวะ อาฬะวะกาทะโย ปิจะขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ เวสสุวรรโณมหาราชา จัตตุโลกะปาลายัสสะสิโน อิติภูตา มหาภูตา สัพเพยักขาปะลายันติ/ลงกระบองท้าวเวสสุวรรณด้วย นะโมพุทธายะ
    สิทธิการิยะ ผู้ใดได้มีวาสนามีศาสตราวุธเล่มนี้แล้ว จะประเสริฐทุกประการ ปราบปรามศัตรูและภูติผีปิศาจได้ทุกชนิด แม้เข้าผจญสงครามก็ได้ชัยชนะต่อข้าศึก ใช้สะกดคนเป็นมหาจังงังอย่างแท้จริง ติดตัวไว้สารพัดคงกะพันชาตรีจากอาวุธทั้งปวง เรียกได้ว่าเป็นมีดมหาปราบ/ อนึ่งยาที่เหลือจากการบรรจุด้ามมีดนั้น เอามาผสมกับรักปั้นเป็นองค์พระภควัมบดี(พระปิดตา) ไว้ติดตัวเป็นมงคลอย่างประเสริฐ/ อนึ่งตํารามีดมหาศาสตราคมนี้เป็นของจริง ผู้ที่จะสร้างต้องเป็นสาธุชนคนดี จึงจะมีความเจริญ ถ้าเป็นมิจฉาชนคนชั่วแล้วก็ไม่จักเกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น โบราญจารย์ผู้เป็นเจ้าของตํารานี้ได้สาปแช่งไว้อย่างรุนแรงถ้าผู้มีมีดนี้ทําชั่ว/ ข้าพเจ้าขอลงไว้เป็นวิทยาทานแก่ชนรุ่นหลัง
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    บทความข้างล่างเอามาให้อ่านเพื่อเป็นความรู้ซึ่งผมว่าหายากเลยครับ


    ประกาศพระแสงศร ๓ องค์ (ปีขาล ฉศก พ.ศ. 2397)
    ข้าพระพุทธเจ้า ขอประนมน้อมนมัสการ อัญเชิญพระนารายณ์เป็นเจ้า เสด็จเนาในกระเษียรสมุทร ทรงครุฑเป็นพาหนาศน์ โดยอากาศวิถี
    พระหัตถ์ทั้งสี่ ทรงสังข์จักรคธาธรธรณี หนึ่งองค์พระศุลีจอมไกรลาศ ทรงเศวตรอุศภอาศน์ข้ามเขาหลวง สัพด้วยทิพาภรณ์ทั้งปวงอันเรือง
    รอง ทรงสังวาลนาคสภักจำนองเฉวียงไหล่ พระหัตถ์ถือไฟตรีกุณฑลเพชรปราบมาร หนึ่งพรหมญาณครรไลหงส์ ทรงทิพประทุมทองทั้ง
    แปดพระหัตถ์ จตุรพักตร์ประภัศรเรืองโรจน์ โชติชัชวาลทั้งสี่ทิศบพิตรสฤษดิโลทั้งสามเสร็จสมบูรณ์ บัดนี้มีพระบรมราชโองการมาณพระ
    บัณฑูรสุรสิงหนาทดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าประนมน้อมอัญเชิญเทพยทั้งสามพระองค์มาประชุมในสถานที่นี้ เพื่อขอประสิทธิ
    พระแสงศร เทพยแปดกรสถิตย์พระแสงพรหมมาศ พระวิสายเทวราชอยู่ ณ พระแสงอัคนี พระจักรีเนาพระแสงปลัยวาต จงประสาทเทพย
    สาตราวุธทั้งสามองค์ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฏสุทธสมมติเทพยพงศ์ วงษาดิศวรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม
    จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวราชรามวรังกูร สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย
    บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหารสุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคคล ประสิทธิสรรพ
    สุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมลศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฎิสาธุ
    คุณวิบุลยสันดาน ทิพยเทพวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษ สุตพุทธมหากระวี ตรีปิฎกาทิโกศล
    วิมลปรีชามหาอุดมบัณฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสาร สัสยามาทิโลกยดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพพิเศษ
    สิรินธรมหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิษิต
    สรรพทศทิศวิชิตวิไชย สกลมไหศวรินมหาสยามินทร มเหศวรมหินทร มหาราชาวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์
    อุกฤษฐศักดิอัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมมิกมหาราชาธิราช
    บรมนารถบรมบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเสด็จเถลิงถวลัยราชสมบัติ กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยาบรมราช
    ธานีนี้ จงปรากฎพระเกียรติยศสืบไปภายหน้า ขอเทพยดาอวยพระราชศิริสวัสดิ์ ขจัดเสียซึ่งศัตรูหมู่ร้ายอันเป็นปัจจามิตรในทิศานุทิศต่างๆ
    ให้พินาศรื่นราบ ขอเดชานุภาพปรากฏทุกนานาประเทศราชขอบขันธสิมาอาณาเขต ดังพระกฤษณุเทเวศร์รามาวตาร และเมื่อจะได้ทำการ
    พระราชพิธีตรุษสารทประชุมข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อย ถือน้ำพระพัทธสัจจาธิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามใน
    เบื้องหน้า ขอเทพยดาอันรักษาพระแสงศรและอัษฎาวุธ สำหรับพิชัยยุทธป้องกันพระราชอาณาจักร แลเทพยอันรังรักษ์สถิตในนพปดลมหา
    เศวตรฉัตร ทั้งเทพยอันเนาดุสิตมหาปราสาทรัตนราชมณเฑียรพิมาน อีกพระกาฬ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง หลักพระนคร อนึ่งเทพยนิกร
    ในจักรวาฬ เชิญมาช่วยอภิบาลพระแสงสราวุธ ถ้าผู้ใดมีจิตรประทุษฐมิได้ซื่อตรงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ผู้ทรงพระคุณธรรมอันมหา
    ประเสริฐ ขอเทพยเจ้าผู้เลิศด้วยเทวฤทธิ์ จงบันดาลผู้คิดผิดให้พินาศ ด้วยเทพสาตรและอัษฎาวุธคมกล้าอันมหาวิเศษ แล้วให้ผู้นั้นเป็น
    โรคันตรายภัยเภทพิบัติทำลายในกายต่างๆ ให้เห็นปรากฏ ถ้าผู้ใดมิให้คิดคดซื่อตรงดำรงอยู่ในสุจริต ขอเทพยผู้เรืองฤทธิ์ช่วยอภิบาลรักษา
    ผู้นั้นให้เจริญในฐานานุศักดิ์สืบตระกูลวงศ์ ดำรงฑีฆายุยืนนาน ทำราชการสนองพระเดชพระคุณสืบไปเบื้องหน้า อย่ามีโรคาภยันตราย ขอ
    เทพยทั้งหลายอันมาสโมสรสันนิบาตจงเจริญพรประสาททุกประการ ดังข้าพระพุทธเจ้ากล่าวอธิษฐานนี้ เทอญ ฯ

    คาถาบรรจุในพระแสงศรอัคนีวาต
    อัตฺถิพราหฺมณธัมฺเมสุ เทวเสฎฺโฐสมีริโต
    มเหสฺสโรสิโวติปิ ปายโตอิธวิสฺสุโต
    วิวิธานฺยัสฺสนามานิ นานัปฺปการญายโต
    ปรเมสฺสโรอีสาโน สูสีติโลจโนปิจ
    อุมฺมาปติปสุปติ สํกโรจันฺทเลขโน
    วามเทโวมหาเทโว กุณฺฑลีนีลโลหิโต
    อิจฺจาทิกานิวุตฺตานิ เตหิเตหิตหึตหึ
    เสโตอุสโภกิรัสฺส สิริมานิจฺจพาหโน
    วชีรัคฺยาทิเตเชน เตชวาปรมิทฺธิมา
    วุโตสฺสิทฺธานุถาโวว ติฏฺฐตํอัสฺมึสเร ฯ

    คาถาบรรจุพระแสงศรพรหมาศ
    อัตฺถิพราหฺมณธัมฺเมสุ พรหฺมานามสมีริตา
    โยมหาพรหฺมาอภิภู สยัมฺภูกมลาศโน
    เสฏฺโฐอนภิภูโตว สุรเชฎฺโฐปชาปติ
    อัญฺญทัตฺถํทโสวส วัตฺติโลกัสฺสนิมฺมิตา
    กัตฺตาสัชฺชิตาวิธาตา วสิปิตามโหปิตา
    ภูตานํภัพฺยานัญฺจ ธาตาโลกัสฺสสัพฺพทา
    จตุรานโนอัฎฺฐกโร สุวัณฺณหํสวาหโน
    อิจฺจาทีหากาเรหิ วัณฺณิโตวตหึตหึ
    เอกายังคุลิยาเยว โลกัสฺสโชตโกกิร
    วุตฺโตสฺสิทฺธานุภาโวว ติฎฺฐตํอัสฺมึสเร ฯ

    คาถาบรรจุในพระแสงปลัยวาต
    อัตฺถิพราหฺมณธัมฺเมสุ วุตฺโตเทโวมหิทฺธิโก
    นารายโนติปาเยน วิสฺสุโตวตหึตหึ
    นามานฺยัสฺสวิวิธานิ อีริตานิปิกัตฺถจิ
    เวกุณฺโฑสิริกโรจ วิณฺหุจักฺกกรีปิจ
    วาสุเทโวหริกัณโห จักฺกปาณีจเกสโว
    ทาโมจตุภุโชสํข ธโรอิจฺจาทิกานิจ
    ตัสฺโสตาโรติรัจฺฉาน มนุสฺเสสุกทาจิปิ
    สทโสวตารวัตฺถูสุ กถิโตปิตถาตถา
    รามาวตาโรสาเนสุ นานาวิธิทฺธิสิทฺธิโต
    วุตฺโตสฺสิทฺธานุภาโวว ติฎฺฐตํอัสฺมึสเร ฯ

    ประกาศฉบับนี้เป็นประกาศบรรจุคาถาใส่พระแสงศรสามองค์ สำหรับที่ใช้ในงานพระราชพิธี
    ศรีสัจปานกาล ก่อนจะเอาพระแสงศรไปชุบที่ทะเลชุบศร เมืองลพบุรี ในวันที่ศุกร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 10 ปีขาลฉศก พ.ศ. 2397

    พระแสงศรนั้น ยืมนามมาจากศรวิเศษของพระราม ในเรื่องรามเกียรติ์ คือศรพรหมมาศ และศรอัคนิวาต นั้นแล
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มาถึงจุดไคล์แม๊กซ์ของค่ำคืนวันอาทิตย์แล้วน่ะครับทุกท่านคงได้ยินข่าวของหลวงปู่เณรคำแล้วใช่ไหมครับ ซึ่งจากข่าวผมได้อ่นแล้ว ก็สงสัยอายุท่านยังน้อยๆ แต่ทำไมให้เรียกหลวงปู่ แต่ได้ยินมาว่าท่านละลึกชาติได้ และก็เลยมาปฏิบัติต่อจากชาติที่แล้ว หลวงปู่เณรคำองค์นี้เก่งมากครับทำในสิ่งที่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นองค์ศาสดายังทำไม่ได้เลย เพราะพระองค์ไม่เคยบอกว่าพระองค์ได้มาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีต่อจากชาติที่แล้วเลย แต่การที่เราจะไปกล่าวต่อว่าพระสงฆ์แรงเป็นสิ่งมิบังควร เพราต้องเคารพในพระรัตนตรัยที่พระพุทธองค์สร้างไว้รอสึกก่อนค่อยด่าครับ ซึ่งพระสงฆ์ในแบบนี้ก็มีแล้วในอดีต และต้องชดใช้กรรมเป็นมหาศิลาเปตรครับ
    พระสูตรก่อนนิทรา วันที่ 23 มิถุนายน 2556 ขอนำเสนอ


    อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ฉบับล้านนาไทย





    ความเป็นมาของมหาศิลาเปรต

    ………… ย้อนไปในอดีตกาลอันไกลโพ้น นับได้ ๙๒ กัปป์ที่ล่วงมาแล้ว ในสมัยนั้นแล
    ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า”
    เสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ล่วงพ้นวัฏฏสงสาร เฉกเช่นเดียวกับ
    พระสมณะโคดมพุทธเจ้าของเราในปรัตยุบันสมัยนี้………………


    ในครั้งนั้น ยังมีพระสาวกองค์หนึ่งในพระวิปัสสีพุทธเจ้า มีฐานะเป็นพระสังฆนายก
    ปกครองพระภิกษุเถรานุเถระเป็นจำนวนมาก แต่พระสังฆนายกองค์นี้ กลับแสวงหาปัจจัยทั้งสี่ อันได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานะปัจจัยมากเกินสมควรได้มีคำสั่งออกไปทั่ว สังฆมณฑลว่า “วัดของเรานี้ ไม่เหมือนวัดอื่นๆด้วยเป็นที่ชุมนุมของพระมหาเถระเจ้าทั้งหลาย อยู่เนืองนิตย์

    ฉะนั้น ขอให้พระภิกษุทั้งหลาย จงนำเอาปัจจัยสี่ อันเป็นของสงฆ์ทั้งหลาย อันได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานะปัจจัย รวมทั้งแก้วแหวนเงินทองทั้งปวง มาให้แก่วัดเรา เพื่อว่าเราจะได้นำมาถวายทาน แก่พระมหาเถระเจ้าทั้งหลายต่อไป” เมื่อพระภิกษุทั้งหลาย ได้รับคำสั่งของพระสังฆนายกดังนี้แล้ว


    ต่างก็ล้วนลำบากใจ แต่ไม่กล้าทักท้วงคัดค้าน ด้วยเกรงจะมีความผิด คงได้แต่จำใจนำของมามอบให้ ที่วัดของพระสังฆนายกจนเต็มโบสถ์ เต็มวิหารไปหมด ท้ายที่สุด เมื่อพระสังฆนายกองค์นั้นได้มรณภาพลงไปแล้ว ก็ได้ตกนรกจมลงไปหมกไหม้อยู่ในอบายภูมิทั้ง ๔ ตลอดกาลนาน ด้วยผลกรรมที่ได้เบียดเบียนพระสงฆ์ทั้งหลาย ให้ต้องได้รับความลำบาก เมื่อชดใช้กรรมในนรกแล้ว อดีตพระสังฆนายกองค์นั้น ก็ได้เกิดมาเป็นเปรต มีนามว่า
    “มหาศิลาหลวงใหญ่”(เปรตหิน) พูดวาจาใดๆไม่ได้ ด้วยสรีระกลายเป็นหิน





    พระพุทธเจ้ากกุสันโธ เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
    นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกาลเวลาได้ล่วงเลยมาถึง ๙๒ กัป ลุถึงสมัย “พระพุทธเจ้ากกุสันโธ”

    ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ ในมหาภัทรกัปป์นี้ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    ก็ได้เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรตแล้ว
    จึงทรงประทับรอยพระบาทไว้เหนือก้อนหินมหาศิลาเปรตนั้นเป็นรอยแรก และทรงมีพระมหากรุณาตรัสสอนมหาศิลาเปรต
    และให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “อัปปะกิจ โจ อัปปะกิจ โจ” ซึ่งหมายถึง เป็นนักบวชควรทำตนเป็นผู้มีภาระน้อย
    เพราะการมีภาระมาก ไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผลนิพพาน จะกลายเป็นมารมาผูกมัดจิตใจ
    ทำให้ตนต้องไปตกอยู่ในอบายภูมิ


    พระพุทธเจ้าโกนาคมโน เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
    ภายหลังที่พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็มาถึงสมัยของ “พระพุทธเจ้าโกนาคมโน”
    พระองค์ก็ได้เสด็จมาที่มหาศิลาเปรต และได้ตรัสสอนมหาศิลาเปรต ให้ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “สัลละหุ กะวุตติ “
    ไปตลอด จะได้หลุดพ้นจากความเป็นเปรตในภายภาคหน้า จากนั้น พระพุทธเจ้าโกนาคมโน
    ก็ได้ทรงประทับรอยพระบาทซ้อนไว้ในรอยพระบาทของพระพุท ธเจ้ากกุสันโธ เป็นรอยที่ ๒
    (ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ารอยที่ ๑ )



    พระพุทธเจ้ากัสสโป เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
    ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าโกนาคมโน ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็มาถึงสมัยพระพุทธเจ้ากัสสโป
    ซึ่งพระองค์ก็ได้เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต ด้วยเหตุผล ๒ ประการ
    คือเพื่อทรงชี้แนวทางตรงไปสู่พระนิพพานหนึ่ง และเพื่อให้มหาศิลาเปรตนั้น
    พ้นจากปิตติวิสัย(แดนของเปรต)อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้ากัสสโป จึงเสด็จมาโปรดที่มหาศิลาเปรต เป็นพระองค์ที่ ๓ และได้ทรงมีพระพุทธดำรัส ตรัสชี้แนะให้มหาศิลาเปรตนั้น
    ภาวนาบริกรรมคาถาว่า “อัปปะคัพโภ อัปปะคัพโภ” ด้วยทรงมีพระมหากรุณาให้พ้นจากความเป็นหิน
    แล้วจึงได้ทรงประทับรอยพระบาท ซ้อนไว้ในรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 2 พระองค์ ปรากฏเป็นรอยที่ ๓
    ขึ้นมา(ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ารอยพระพุทธบาททั้ง ๒ รอย)





    พระพุทธเจ้าโคตโม(องค์ปัจจุบัน) เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต
    ภายหลังจากที่ “พระพุทธเจ้ากัสสโป” ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
    ก็มาถึงพุทธสมัยแห่งพระศาสนาของ”พระพุทธเจ้าโคตโม”(พระสมณะโคดม) ได้เสด็จจาริกประกาศธรรมโปรดเวไนยสัตว์ไปตามสถานที่ต่างๆพร้อมด้วยพุทธสาวก ๕๐๐ องค์ มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอานนท์เป็นต้น

    จนกระทั่งเสด็จมายังปัจจันตประเทศ(ประเทศไทยมนปัจจุบ ัน) ถึงเทือกเขาตอนเหนือของประเทศ ชื่อเวภารบรรพต(สถานที่แห่งนี้) และได้แวะเสวยจังหัน อยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้

    เมื่อพระพุทธองค์เสวยจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั่น ก็ได้ทรงทราบด้วยพระญาณสมาบัติ
    ว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ก่อนใน ภัทรกัปป์นี้ ประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ พระองค์ก็ทรงเล็งดู รอยพระพุทธบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ

    พระพุทธเจ้ากกุสันโธ,พระพุทธเจ้าโกนาคมโน,พระพุทธเจ้ ากัสสโป……………
    ในวาระนั้น พระพุทธเจ้าโคตโม ได้มีพระพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่า
    “ดูกรอานนท์ ก้อนศิลาอันงามวิเศษ ที่เป็นเหตุโปรดสัตว์ทั้งหลายยังปรากฏมีอยู่ฤๅ”
    พระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก จึงกราบทูลว่า

    “ภันเต ภะคะวา ก้อนหินนี้ มีรอยพระพุทธบาทใหญ่ ๓รอย งดงามยิ่งนัก เหมือนรอยพระพุทธบาทของพระศาสดาพระพุทธเจ้าข้า “
    จากนั้น พระพุทธเจ้าโคตโม จึงได้ตรัสถึงอดีตกาลที่ได้ผ่านมาแล้วแต่ปางบรรพ์ประ ทานแก่พระอานนท์และพุทธสาวก ว่า……………




    “ดูกรอานนท์ ก้อนศิลานี้มิใช่ศิลาแท้จริงดอก แต่เป็นก้อนอสุรา ที่กลับกลายเป็นก้อนศิลา(เป็นศิลาเปรต) ศิลานี้เคยเป็นพุทธสาวกในพระพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี สมัยนั้นท่านเป็นพระสังฆนายก ถืออำนาจบาตรใหญ่ บังคับเอาของของคนอื่นมาเป็นของตน ตนเองเป็นพระภิกษุ แต่มักมาก

    ถือว่าตนเองฉลาดคิดว่าตนเองได้ของมาโดยบริสุทธิ์ โดยมิได้คำนึงถึงความผิดถูกตามพระธรรมวินัยถือว่าตนเองเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าแลเป็นใหญ่ เอาของของสงฆ์มาใช้ตามอำเภอใจ จึงทำให้เกิดเป็นศิลาเปรตอยู่ในบัดนี้ พระพุทธเจ้าทั้ง ๓พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ ทุกพระองค์

    และแม้พระศรีอริยเมตไตรย ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ และจักประทับรอยพระพุทธบาทสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว(คือประทับลบทั้งสี่รอยให้เหลือรอยเดียว)……….
    เมื่อพระพุทธองค์ตรัสแก้สาวกทั้งหลายเสร็จแล้ว

    พระองค์ก็เสด็จประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ แล้วก็ทรงอธิษฐานว่า ในเมื่อกูตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลาย ก็จักนำเอาพระธาตุ ของกู ตถาคตมาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทนี้ ในเมื่อกู ตถาคตนิพพานไปแล้ว ๒,๐๐๐ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ก็จักปรากฏแก่ปวงมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เพื่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย จักได้มากราบไหว้และสักการะบูชา เมื่อทรงอธิษฐานและทำนายไว้ดังนี้แล้ว จึงมีรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์

    จึงกำเนิดเป็นพระพุทธบาทสี่รอย………………
    เมื่อพระพุทธองค์ประทับรอยพระบาทแล้ว ก็เสด็จไปเชตวันอาราม อันมีในเมืองสาวัตถีนั้นแล




    เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลาย ก็นำเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์มาบรรจุไว้ที ่พระพุทธบาทสี่รอย และเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานล่วงแล้วประมาณ ๒,๐๐๐ วัสสา (ปี)

    เทวดาทั้งหลายต้องการให้พระพุทธบาทสี่รอยปรากฏแก่คนทั้งหลาย ตามที่พระองค์ทรงอธิษฐานไว้ ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้ง(เหยี่ยว)ตัวใหญ่ บินลงมาจากเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้ ไปจับลูกไก่ของชาวบ้าน(พรานป่า)ที่อาศัยอยู่เชิงเขาเวภารบรรพต แล้วบินกลับขึ้นไปสู่ยอดเขาพรานป่าโกรธมาก จึงติดตามขึ้นไป คิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็ติดตามไปค้นหาดู แต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้นอีก เห็นแต่รอยพระพุทธบาทสี่รอยอันอยู่บนพื้นใต้ต้นไม้และเถาวัลย์ พรานป่าผู้นั้นจึงทำการสักการะบูชา เสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่บ้าน ก็บอกเล่าแก่ชาวบ้านทั้งหลาย

    คนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชา และเรียกขานพระพุทธบาทนั้นว่า พระบาทรังรุ้ง(รังเหยี่ยว)……………

    บูรพมหากษัตริย์ในอดีตของล้านนาและเชื้อพระวงศ์และบูรพมหากษัตริย์ของไทย
    ที่เคยเสด็จไปกราบไหว้และสักการะบูชารอยพระพุทธบาทสี่รอย…………..




    ในสมัยนั้นมีพระยาตนหนึ่งชื่อว่า พระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงมีพระราชศรัทธาประสงค์จะเสด็จขึ้นไปกราบบูชาพระพุทธบาทสี่รอย ครั้นแล้วได้เสด็จพร้อมด้วยพระราชเทวีและเสนาอมาตย์พ ร้อมกับบริวารทั้งหลาย และเมื่อทรงกราบนมัสการเสร็จแล้ว พระองค์พร้อมด้วยพระราชเทวีและบริวารทั้งหลาย จึงเสด็จกลับสู่เมืองเชียงใหม่ เสวยราชสมบัติตราบเมี้ยน(สิ้น)อายุขัยแล้ว พระโอรสและพระนัดดา ที่สืบราชสมบัติต่อมา ก็เจริญรอยตามพระยุคลบาท ได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาททั้งสี่รอยทุกๆพระองค์ หลังจากนั้นมา พระบาทรังรุ้ง หรือ รังเหยี่ยว นี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็น “พระพุทธบาทสี่รอย “…………..
    __________________


    มาในสมัยยุคหลัง คนทั้งหลายจึงเรียกขานกันว่า พระพุทธบาทสี่รอย
    เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึงสี่รอย
    คือมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงมาแล้ว ในภัทรกัปป์นี้ คือ
    รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ซึ่งเป็นรอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว ๑๒ ศอก รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมโน เป็นรอยที่ ๒ ยาว ๙ ศอก
    รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสโป เป็นรอยที่ ๓ ยาว ๗ ศอก
    รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตโม(องค์ปัจจุบันนี้) เป็นรอยที่ ๔ รอยเล็กสุด ยาว ๔ ศอก
    เมื่อมาถึงพระยาธรรมช้างเผือก
    ผู้ครองนครเมืองเชียงใหม่พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คน ก็เสด็จขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาทสี่รอยและได้ สร้างพระวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราว โดยแต่เดิม
    ถ้าใครจะดูรอยพระพุทธบาทสี่รอยบนยอดหินก้อนใหญ่ ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไปดู ซึ่งก็คงขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ดังนั้น พระยาธรรมช้างเผือก จึงรับสั่งให้สร้างแท่นยืนคล้ายๆนั่งร้าน รอบๆก้อนหินที่มีพระพุทธบาทสี่รอยเพื่อที่ผู้หญิงจะไ ด้เห็นรอยพระพุทธบาทด้วยและได้สร้างหลังคาชั่วคราว มุ งไว้…………..

    ต่อมาพระชายาเจ้าดารารัศมีได้เสด็จขึ้นไปกราบนมัสการ พระพุทธบาทสี่รอย และได้มีศรัทธาก่อสร้างวิหารเพื่อเป็นการสักการะบูชา รอยพระพุทธบาทไว้ ๑ หลัง หลังเล็ก ถวายเป็นพุทธบูชา ปัจจุบันได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้ว ทั้งหลังจะเหลือไว้แต่ผนังวิหาร พื้นวิหาร
    และแท่นพระซึ่งยังเป็นของเดิมอยู่ ถ้าหากท่านใดมีโอกาสขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย

    ก็จะเห็นวิหารแห่งนี้…………….
    นอกจากนี้ หลักฐานในกาลวัตถุที่สำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่ง
    ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือโบราณ ”คำให้การของขุนหลวงหาวัด”
    ซึ่งเป็นหนังสือบันทึกเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยาตั้ง แต่ต้นจนอวสาน ที่พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่า




    มีพระบัญชาให้อาลักษณ์บันทึกจากถ้อยรับสั่งของเจ้าฟ้ าอุทุมพร(ขุนหลวงหาวัด)
    ภายหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เมื่อ ๒๓๑๐ ไว้อย่างละเอียด โดยตอนหนึ่ง ได้กล่าวถึง

    เมื่อคราวที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย(สมัยโบราณเรียก
    รอยพระพุทธบาทรังรุ้ง หรือ รอยพระพุทธบาทเขารังรุ้ง) ไว้อย่างชัดเจนว่า……………..

    “สมัยสมเด็จระนเรศวรยกทัพไปรบที่เมืองหาง พระองค์ทรงทราบว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขาเรียก ”เขารังรุ้ง” จึงได้เสด็จขึ้นไปนมัสการ ทรงเปลื้องเครื่องทรงทั้งสังวาลย์และภูษา
    แล้วทรงถวายไว้ในรอยพระพุทธบาทและทำสักการะบูชาด้วย ธง ธูป เทียน ข้าวตอก ดอกไม้
    มีเครื่องทั้งปวงเป็นอันมาก แล้วจึงทำการพิธีสมโภชอยู่เจ็ดราตรี “……………
    จากข้อความประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้เอง ทำให้เราได้ทราบข้อเท็จจริงในทางโบราณคดีเพิ่มเติมอี กประการหนึ่งว่า โดยแท้จริงแล้วรอยพระพุทธบาทในประเทศไทยรอยแรกที่คนไ ทยได้ค้นพบและรู้จักมักคุ้นนั้นก็คือ พระพุทธบาทสี่รอย อันประดิษฐานอยู่ ณ เขต อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ในปัจจุบันนี่เอง

    ในขณะที่รอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี ณ เขาสัจจพันธ์นั้น ได้รับการค้นพบเจอในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมซึ่งเป็นยุ คหลังจากรัชสมัยแห่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงกว่า 5 ศตวรรษ จากสาส์นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ทรงบันทึกไว้ว่า พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
    แม้กรุงศรีอยุธยาก็ยังจำลอง รอยพระพุทธบาทไปไว้ที่ ปราสาทนครหลวง ที่วัดจันทร์ลอย
    ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา………….

    พระอริยสงฆ์ที่สำคัญของล้านนาและของประเทศไทย
    ที่เคยธุดงค์เพื่อไปกราบสักการะบูชารอยพระพุทธบาทสี่ รอย………………..

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหาร ที่เจ้าพระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราวนั้นเสียแล้ว
    ได้สร้างวิหารใหม่ครอบรอยพระพุทธบาทไว้ และได้ฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทสี่รอย
    เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพุทธศาสนาสืบไปตลอดกาลนาน………… …….

    ด้วยวัดพระพุทธบาทสี่รอย เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ าถึง ๔ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระพุทธเจ้าโกนาคมโน พระพุทธเจ้ากัสสโป พระพุทธเจ้าโคตโม(องค์ปัจจุบัน)

    จึงนับได้ว่าเป็นปูชนียสถานที่มีความสำคัญมาก เป็นที่สักการะบูชาของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลายซึ่ งพระพุทธบาททั้งสี่รอยนี้ ครูบาอาจารย์ พระธุดงค์กรรมฐานสายครูบาเจ้าศรีวิชัย หลายองค์ อาทิเช่น ครูบาหน้อย ชยวํโส วัดบ้านปง,ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง,ครูบาอินแก้ว ,ครูบาดวงดี




    วัดท่าจำปี,ครูบาบุญปั๋น ธัมมปัญโญ วัดร้องขุ้ม,ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพรพุทธบาทห้วยต้ม,พระอาจารย์ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง,ครูบาเทือง นาถสีโล วัดบ้านเด่น เป็นต้น และพระธุดงค์กรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ได้แก่หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร,หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญญวิเวก นครพนม,หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง หนองคาย,หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง เชียงใหม่,หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ เลย,

    หลวงปู่สิม พุทธจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่,หลวงปู่จาม,พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป และอีกหลายองค์ ในสายพระอาจารย์มั่น นอกจากนี้ยังมีหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค นครสวรรค์ ( ได้ยาอายุวัฒนะจากบริเวณป่าใกล้วัดพระพุทธบาทสี่รอย) หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร,หลวงพ่ออุตตมะ อุตตมรัมโภ วัดวังก์วิเวการาม(ได้ธุดงค์ไปองค์เดี่ยว เพื่อไปกราบนมัสการเมื่อ ๔๐ กว่าปีมาแล้ว ราว พ.ศ. ๒๔๙๐ ) และหลวงพ่อสมควร

    วัดถือน้ำ นครสวรรค์,หลวงปู่เมฆ วัดป่าขวางพระเลไลย์ สงขลา ได้เคยเดินธุดงค์ขึ้นไปนมัสการแล้วและได้รับรองว่าเป ็นรอยพระพุทธบาทที่แท้จริง………………
    นอกจากนี้ ยังได้รับคำยืนยันรับรองของหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดอรัญญวิเวก จังหวัดนครพนมว่า

    รอยพระพุทธบาทดังกล่าว เป็นรอยพระพุทธบาท ๔ รอยของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ในมหาภัทรกัปป์นี้จริง และเป็นสัญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัปป์ ที่สำคัญสูงสุดในจักรวาล และรอยพระพุทธบาททั้ง ๔ รอยนี้ ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่………………………

    นอกจากนี้ หลวงปู่สิม พุทธจาโร ซึ่งเคยเดินขึ้นไปนมัสการมาแล้วเช่นกัน ดังธรรมเทศนาของท่านตอนหนึ่ง(คัดลอกมาจากหนังสือพุทธ าจารานุสรณ์ ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่สิมพุทธจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พุทธศักราช ๒๕๓๖ )……..

    “ในเขตเชียงใหม่นี้ ยังมีพระบาทสี่รอยอยู่ในเขตอำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขา
    หลวงปู่ผู้เทศน์ไปดูแล้ว ไปกราบไหว้ มันเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนสี่เหลี่ยม ขึ้นไปอยู่ข้างริมแม่น้ำ พระพุทธเจ้ากกุสันโธได้มาตรัสรู้ในโลก ท่านก็มาเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ในยอดหินก้อนนั้น ยาวขนาด ๑๒ ศอก เมื่อหมดศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันโธแล้ว พระพุทธเจ้าโกนาคมโน

    ก็มารื้อขนสัตว์ไปอีก ก่อนนิพพานท่านก็มาเหยียบไว้ที่พระบาทแม่ริมนี้เป็นร อยที่สอง(ขนาด)ลดลงมา มาถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโปมาตรัสรู้ ท่านก็มาเหยียบไว้ ได้สามรอย และพระพุทธเจ้าโคดมมาตรัสรู้ ก่อนที่ท่านจะนิพพาน



    ก็เหยียบรอยพระบาทไว้ในก้อนหินก้อนเดียวกัน จึงให้ชื่อว่า พระพุทธบาทสี่รอย ยังมีพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาตรัสรู้ แล้วโปรดเวไนยสัตว์ ก็มาเหยียบไว้อีก เรียกว่าแผ่นดินที่เราเกิดนี้ นับว่าเป็นแผ่นดินที่ร่ำรวยที่สุด แผ่นดินนี้ เรียกว่าภัทรกัปป์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตรัสรู้ได้ห้าพระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ใดมาตรัสสอนก็ตาม ก็สอนให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา ละกิเลสความโกรธ ความโลภ ความหลงอันเก่านี่แหละ

    เมื่อใดปฏิบัติภาวนาบารมีเต็มแล้ว ก็รู้แจ้งพระนิพพาน เมื่อรูปนามแตกดับแล้ว ไปสู่นิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกอันแสนทุรกันดารนี้อี กต่อไป “………….. สถานที่ประดิษฐานของพระพุทธบาทสี่รอยดั้งเดิมที่มีผู ้รู้บางท่านสันนิษฐานไว้…………….
    มีผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่า ความจริงแล้ว หินก้อนนี้อยู่ที่ป่าหิมพานต์ แต่นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า หินนั้นได้ตั้งอยู่ ณ ที่นี้ ส่วนผู้ที่จะกล่าวแก้ควรบอกว่า ป่าก็ดี เขาก็ดี ที่มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ไม่ขาด ทั้งกลางวันและกลางคืน ที่แห่งนั้น จึงได้ชื่อว่า ป่าหิมพานต์ ธรรมชาติของเปรตทั้งหลาย ไม่เคยมีตัวมีตนในเมืองมนุษย์

    แต่ธรรมชาติของเปรตทั้งหลาย ย่อมเกิดเป็นตัวเป็นตนในป่าหิมพานต์เท่านั้น หากแต่พระอริยสาวกทีมีอิทธิปาฏิหาริย์ ได้อัญเชิญมาด้วยกำลังฤทธิ์ เพื่อที่จะให้เป็นที่กราบไหว้และสักการะบูชาแก่ชาว “ตามิละ “(ลัวะ)…………… พวกชาวเขา(ลัวะ)และคน”ยาง” หากมารักษาและสักการะรอยพระพุทธบาทแล้ว ฝนฟ้าก็จักตกต้องตามฤดูกาลเป็นอันดี ด้วยพุทธานุภาพ และแม้ในกาลอนาคต พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่หินก้อนนี้อีก เป็นรอยที่ ๕ จนล่วงไปอีกราว ๒,๐๐๐ ปี หินก้อนนี้ก็จะแตกสลายลง บังเกิดเป็นมนุษย์ขึ้น ซึ่งมนุษย์คนนี้ จะได้บวชในพระพุทธศาสนา สำเร็จมรรคผลนิพพานในสมัยพระศาสนาแห่งพระศรีอริยเมตต ไตรยพุทธเจ้านั่นแล ฯ

    ยังมีพระผู้รอบรู้พระไตรปิฎกองค์หนึ่ง ถามว่า “พระบาท ๔ รอยนี้ จะเจริญรุ่งเรืองเมื่อใด “…………..




    ผู้ที่จะกล่าวแก้ปัญหาควรกล่าวว่า “ดูกรท่านทั้งหลาย อันบาลีแห่งพระพุทธเจ้า กล่าวไว้ว่า ปฐมเบื้องต้น มัชฌิมะเบื้องกลาง ปัจฉิมะเบื้องปลาย เหตุบาลีว่า อาทิกัลยาณัง งามในเบื้องต้น มัชเฌกัลยาณัง งามในท่ามกลาง ปริโยสานากัลยาณัง งามในที่สุด งามในที่แล้ว(ที่สุด)แห่งศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธบาท ๔ รอยนี้ จักเจริญรุ่งเรืองงามในท่ามกลางศาสนาจริงแล ฯ

    “ ดังนั้น ก็นับว่าพระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นปูชนียสถานที่สำคัญ เป็นที่สักการะบูชามาช้านานถ้าหากว่าผู้ใดมีจิตศรัทธ าที่จะขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย ก็ควรที่มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ ้า

    เมื่อไปถึงแล้ว ก็ควรที่จะสำรวมกาย วาจา ใจ ให้มันเป็นปกติ ก็ชื่อว่ารักษาศีล ก็ทำให้เกิดสมาธิ ให้มีจิตใจที่ตั้งมั่น ทำให้เกิดปัญญา และจักได้ชื่อว่าเจริญตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค ์อย่างแท้จริงการที่มีคนศรัทธาเดินทางขึ้นไปกราบนมัส การรอยพระพุทธบาท ก็เหมือนกับว่ามีดวงจิต ดวงใจ อยู่ในสมาธิ ภาวนา

    มีพุทธานุสติเกิดขึ้นในจิตใจ และประกอบไปด้วยความศรัทธาและความเพียร ขันติ ความอดทน
    การที่จะขึ้นไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ถนนหนทางไม่สู้จะสะดวกเท่าไร เป็นทางขึ้นเขา ทางเดินแคบขึ้นได้สะดวกก็ช่วงฤดูแล้ง ช่วงฤดูฝนก็ลำบาก จึงเป็นการวัดถึงจิตใจของพุทธศาสนิกชน ว่าจะมีคนที่ศรัทธา และวิริยะ ที่จะขึ้นไปเพื่อกราบไหว้และสักการะเพียงใด ถ้าหากว่าใคร ได้ไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทแล้ว ก็นับว่าเป็นศิริมงคล และจะได้รับผลานิสงส์เป็นอย่างมาก……………..

    ดังนั้น ขอให้พุทธบริษัททั้งหลาย ที่ได้มากราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอยแล้ว
    หรือผู้ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ พระพุทธบาทสี่รอยแล้ว
    ก็ใคร่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายว่า การที่พระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์เสด็จมาประทับรอยพระ บาทไว้ที่นี้

    ก็เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย เพื่อเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน ดังนั้นการที่เราได้กราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ด้วยเครื่องสักการะบูชา มีดอกไม้ ธูป เทียน

    ก็ยังไม่ได้เจริญตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค์ เพราะพระพุทธองค์ทรงมุ่งหวังให้เราทั้งหลาย เจริญรอยตามพระพุทธองค์ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ ภาวนา ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงโปรดให้พ้น จากกองทุกข์ทั้งหลาย โดยเฉพาะการเจริญสมาธินั้น พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่ามีอานิสงส์กว่าการให้ทาน ซึ่งเป็นหนทางสู่มรรค ผลนิพพาน โดยแท้จริง……………..

    วาระสุดท้ายนี้ ท่านผู้ใดที่ได้อ่านประวัติความเป็นมาของพระพุทธบาทสี่รอยนี้แล้ว กรุณาใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ และให้ถึงศรัทธาในดวงจิต ดวงใจให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหล ายที่เดินทางขึ้นมา กราบพระพุทธบาทสี่รอยอาตมาขอให้ท่านทั้งหลาย ที่ได้เดินทางมากราบพระพุทธบาทสี่รอยแล้ว หรือได้อ่านประวัติพระพุทธบาทสี่รอย จงประสบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้าในทาน ศีล ภาวนา มีปัญญารู้แจ้งในอริยสัจสี่ พ้นจากกิเลส กองทุกข์ทั้งหลาย จงมีแด่ทุกท่านด้วยเทอญ….สาธุ………….

    พระพรชัย ปิยะวัณโณ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาท ๔ รอย





    คำไหว้พระพุทธบาทสี่รอย


    “สาธุ โกสัมพิยัง อะวิทูเร เวภาระปัพพะเต กะกุสันโธ……………….


    โกนาคะมะโน กัสสะโป โคตะโม……………


    ปาทะเจติยัง ชินะธาตุ จะฐะเปตวา อะหัง วันทามิ ทูระโต “


    รูปพระพุทธบาท ๔ รอย


    รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงมา แล้ว ในภัทรกัปป์นี้คือ……..
    รอยแรก……..รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ
    รอยที่ ๒………รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
    รอยที่ ๓………รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
    รอยที่ ๔………รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตมะ


    ด้วยอานิสงส์แห่งบุญบารมีในการเผยแพร่ประวัติความเป็ นมาของพระพุทธบาท ๔ รอยและพระพุทธธรรมต่างๆ เพื่อเป็นธรรมทาน ในเว็บไซต์แห่งนี้ คณะผู้จัดทำขออุทิศบุญกุศลถวายแด่….พระพุทธเจ้าทุกๆพ ระองค์ พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันตเจ้าทุกๆพระองค์……


    .คุณบิดา มารดา ทุกภพทุกชาติ คุณครูอุปัชฌาจารย์ทุกภพทุกชาติ เจ้ากรรมนายเวร โรคกรรม โรคเวรทุกภพทุกชาติ ตลอดจนถวายเป็นพระราชกุศลแด่บูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้ าของไทยทุกๆพระองค์ พระสยามเทวาธิราช ขุนศึก นักรบที่ต่อสู้ป้องกันเพื่อรักษาชาติไทยตั้งแต่โบราณ กาลถึงปัจจุบันทุกๆคน รวมทั้งเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย……..ขอให้ทุกท่านได้ถึงซึ่ง มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ตามความปรารถนาทุกประการ เทอญ…….นิพพานะ ปัจจโย โหตุ สาธุ ๆ ๆ………..
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 23 มิถุนายน 2556 เวลา 22.28 น

    ข้อมูลจากเฟสบุ๊ก Piyacheep S.Vatcharobol
    Fears Grow of a Himalayan Tsunami as Glaciers Melt | TIME.com

    เวลามานั่งเย็นกะจะพัก เพื่อนก็โพสข่าวัยอีกแล้ว ภัยมาสูงทางเหนือ

    ข่าวจาก Time รายงานนัดวิชาการว่าอุณหภูมิภูเขาหิมาลัยสูงขึ้น ๐.๖ องศา
    แนวสโนวท์ไลน์ หดสูงขึ้นไปอีก ๑๘๐ เมตร ทะเลสาบน้ำแข็งกว่า ๒ หมื่นแห่ง
    ละลายตัวรวดเร็วกว่าเดิม อันอาจการสึนามิจากภูผาสู่มหานธี

    แนวหิมาลัยที่มีทะเลสาบน้ำแข็งยาวจาก อัฬกานิสถาน อินเดีย ธิเบต ภูฐาน เนปาล บังกลาเดส จีน ถึงพม่า นะครับ ส่วนที่ไม่มีน้ำแข็งเกิดยุดเดียวกันก็ยาวลงปลายตะนาวศรี ระนิง พังงา สุราษฎร์ นคร กันนะครับ

    ปีนี้น้ำจะมาแบบ ๕๔ ไหม ข้อมูลด่อนหน้านี้ผมวิเคราะห์ว่าไม่
    แบบฝนตกที่ไกน น้ำท่วมสูงที่บริเวณนั้นๆทันที ไม่ไหลบ่าจากเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ลงมาภาคกลางออกอ่าวไทย

    แต่พอมาพบข้อมูลนี้ ผมคงเปลี่ยนการคาดการณ์ที่คาดการณ์ไปว่าไม่เหมือนปี ๕๔ เป็น มีโอกาสเหมือนปี ๕๔ ที่น้ำใต้ดินจากจีนไหลลงสุวรรณภูมิ และน้ำบนดินจากน้ำแข็งที่พิมาลัยละลาย มีโอกาสมากที่จะลงมาทางพม่า สารวิน อิรวดี ซึมซับมาสุวรรณภูมิ (ต้องตามข่าวข้อมูลการเคลื่อนที่ของภูเขาน้ำแข็งในพม่า)

    แต่ที่แน่ๆ หิมะ และ น้ำแข็งที่จะละลายจากหลายร้อยทะลสาบ ลงสู่แม่น้ำโขงแน่
    หากน้ำมามากเกิน อละก็น่าจะมากเกินเขื่อนต่างๆในจีนรับไหว
    จีนก็ต้องปล่อยน้ำออกจากเขื่อนอย่างรวดเร็ว เชียงราย พะเยา น่าน รับไปเต็มๆ

    ลาวเองก็ต้องเร่งระบายน้ำที่กำลังสร้างเขื่อน เพื่อให้เขื่อนที่สร้างยังไม่เสร็จไม่พัง
    ภ่าคอีสานตอนเหนือ เลย หนองบัวลำพู อุดร หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ อุบล ก็มีปลกระทบอันดับ หนึ่ง แนวอม่น้ำชี แม่น้ำมูล อันดับสอง
    อาจมีผลกระทบย้อนตลอดแนวลำน้าไปถึงโคราชอละวังน้ำเขียวด้วยนะครับ

    ขอเตือนล่วงหน้า ไม่ได้ขู่หรือสร้างข่าว ว่าปลายปีนี้เผาจริง เพราะข้อมูลสามารถคาดการณ์มีแนวโน้มไปได้เช่นนั้น เตรียมพร้อมไว้ก็ลำบากน้อยลง
    ไม่เกิดไม่กลัวเสียชื่อหรือกลัวมีคนด่า เพราะเพื่อนร่วมชาติจะไม่เดือดร้อน

    แต่ว่าแต่ละข่าวสารมันบ่งบอกมาเป็นเช่นนั้น หากตามข่าวสารกันมาเรื่อยๆจะทราบว่า เราเตือนภัยหลัง ๒๑ ธันวาคมว่าหนักๆคือ พฤษภาคม กันยายน และธันวาคม

    แม้นพฤษภาคมจะไม่เกิดหนักหนาสาหัสดั่งที่คาดการณ์กันไว้ชนิดปากกาหัก
    แต่คนตามข่าวจะพบว่าข้อมูลสถานการณ์ผลิกผันจริงๆ ซึ่งเราก็ไม่ได้เป่านกหวีด
    เพราะมันจะไม่เกิดใหญ่จริงๆตามข้อมูล ณ ช่วงนั้น

    การคาดการณ์เดือนกันยายน และธันวาคม ผมก็ยืนยันว่าน่าจะเกิดภัยใหญ่ ไปหาใหญ่มากที่สุดในเดือนธันวาคม ตามข้อมูลที่มีอยู่และเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆนี้

    จะรวบรวมข้อมูลเพื่อใก้แน่ใจก่อนเป่านกหวีดในเดือนพฤศจิกายนเป็นหลักนะครับ
    ภัยจราจลฆ่ากันตาย สงครามทั่วประเทศ บิบัติภัยน้ำท่วมดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ เขื่นแตก เป็นรองนะครับ

    สุดท้ายอยากจะบอกว่า หากทุกท่านทุกครอบครัวเตรียมพร้อมตามที่เตือน สิน บอกไปแล้ว ภัยไหนๆ เกิดเมื่อไหร อย่างไร ท่านทำตามที่เตรียมไว้ก็จะรอดปลอดภัย ลำบากน้อยลง และยังสามารถช่วยเพื่อนร่วมชาติ แบ่งเบาพระราชภาระได้อีกด้วยนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.6 KB
      เปิดดู:
      82
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ธารน้ำเเข็งบนหิมาลัยละลาย หวั่นเกิดภัยพิบัติ

    เทือกเขาหิมาลัย
    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3

    นักปีนเขาเจ้าของสถิติโลก เตือน ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยกำลังละลาย เกิดทะเลสาบขนาดใหญ่ และบางแห่งกำลังจะแตก หวั่นอาจเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่

    เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า อาปา เชอร์ป้า ผู้ครองสถิติพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสกว่า 21 ครั้ง และเป็นมัคคุเทศก์ในการนำนักปีนเขาปีนขึ้นสู่เทือกเเขาหิมาลัย ได้ออกมาบอกว่า เทือกเขาหิมาลัยกำลังเปลี่ยนไปจากเดิม เนื่องจากหิมะได้ละลายลงอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดทะเลสาบหลายแห่งในบริเวณนั้น ซึ่งดูเหมือนว่า พนังกั้นของทะเลสาบบางแห่งกำลังจะแตก และน้ำก็ไหลลงไปที่หุบเขาอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากเกิดขึ้นมาก ๆ ก็เป็นไปได้ว่า น้ำจากหิมะละลายจะกวาดเอาหมู่บ้านกว่า 100 บริเวณหุบเขาไปจนเรียบ

    อาปา กล่าวว่า เมื่อครั้งที่เขาปีนขึ้นมาพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสเป็นครั้งแรก บริเวณนี้มีแต่หิมะและน้ำแข็ง ซึ่งนักปีนเขาสามารถใช้เกาะไว้ได้ แต่ในตอนนี้ ทางขึ้นเขาหลายแห่งเป็นเพียงพื้นดินเปล่า ๆ และมีหินโล้นแทรกขึ้นมา ซึ่งทำให้เกิดอันตรายเนื่องจากนักปีนเขามาจะลื่นลงมา อาปาได้เห็นธารน้ำเเข็งที่กำลังละลาย และสิ่งที่เขากังวลอย่างมากในตอนนี้คือ เหตุการณ์ภัยพิบัติขนาดใหญ่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า นอกจากนี้ อาปายังกล่าวว่า ในปี 1985 ธารน้ำเเข็งที่ละลายได้ทำลายบ้านของเขา คร่าชีวิตผู้คนในหมู่บ้านไปกว่า 7 คน สะพานในหมู่บ้านและโรงผลิตไฟฟ้าแห่งใหม่ก็พังลงเช่นกัน

    ทั้งนี้ สิ่งที่อาปากังวลมากที่สุดคือ มีธารน้ำแข็งแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ธารน้ำแข็งอิมจา กำลังละลายและทำให้เกิดทะเลสาบอิมจา ที่มีขนาดใหญ่กว่า 47 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเมื่อ 50 ปีก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีทะเลสาบอิมจามาก่อน

    นอกจากนี้ ฟูนูรู เชอร์ป้า เจ้าของธุรกิจอินเตอร์เน็ตคาเฟ่บนเทือกเขาหิมาลัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ แถวนี้จะเป็นน้ำเเข็งทั้งหมด ตัวเขาเองได้เห็นธารน้ำแข็งค่อย ๆ ละลาย และเห็นทะเลสาบค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งนี่เป็นหลักฐานชัดเจนว่า ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยกำลังละลายลงอย่างรวดเร็ว โดยสาเหตุน่าจะมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น

    ข้อมูลจากกระปุกดอตคอม



    นเำแข็งเป็นต้นกำเนิดของแหล่งน้ำจือของโลกจริงหรือ

    คำตอบก็คือ ร้อยละ 75 ของแหล่งน้ำจืดที่เราใช้สะสมอยู่ในรูปของน้ำแข็ง

    เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ?

    เพราะว่าธารน้ำแข็งบนยอดเขาหลายแห่งทั่วโลกเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญหลายสาย ดังที่ ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กล่าวไว้ว่า น้ำแข็งมีความสำคัญกับระบบนิเวศอย่างมาก โดยทำหน้าที่คล้าย "ป่า" ในเขตหนาว

    หากว่าป่าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่คอยอุ้มน้ำ แล้วค่อยๆ ปล่อยน้ำออกมา "น้ำแข็ง" ก็เป็นเสมือนฟองน้ำที่ชะลอการไหลบ่าของกระแสน้ำด้วยความเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็ง และเมื่อถึงฤดูร้อน น้ำแข็งก็ละลายเป็นน้ำไหลไปรวมเป็นลำธารและแม่น้ำสายต่างๆ หล่อเลี้ยงผู้คนทั่วโลก


    เทือกเขาหิมาลัยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญๆ ถึง 8 สาย

    ขนาดของธารน้ำแข็งจะมีการขยายและหดตัวตามฤดูเป็นวัฏจักรธรรมชาติ โดยปกติธารน้ำแข็งบนภูเขาจะละลายลงในฤดูร้อนในอัตราที่สมดุลกับการเกิดทดแทนของหิมะในฤดูหนาว ปริมาณน้ำที่ไหลลงมาตามแม่น้ำจึงขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำแข็งที่มีการสะสมไว้ในฤดูหนาว ดังนั้นการที่น้ำต้นทุนบนยอดเขาจะมีปริมาณมากหรือน้อยก็ขึ้นกับว่าหิมะที่ตกในฤดูหนาวมีสะสมมากหรือน้อย หากในอนาคต ฤดูหนาวมีระยะสั้นลง หิมะก็อาจจะตกน้อยลง น้ำแข็งที่สะสมบนยอดเขาก็น้อยลงไปด้วย ส่งผลให้น้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำน้อยลงไปตามกัน

    น้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 8 สาย ได้แก่ แม่น้ำโขง แม่น้ำอิรวดี แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำคงคา แม่น้ำสินธุ แม่น้ำพรหมบุตร แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำเหลือง แหล่งน้ำจืดสำคัญที่หล่อเลี้ยงประชากรกว่า 2,000 ล้านคนในทวีปเอเชีย

    ประมาณกันว่ามีน้ำจืดกักเก็บอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยในรูปของน้ำแข็ง 12,000 ลบ.กม. แต่ทุกวันนี้ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยมีการละลายอย่างรวดเร็ว เช่นธารน้ำแข็งแห่งหนึ่งบนเทือกเขาหิมาลัย ชื่อ Gangotri นักวิทยาศาสตร์พบว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ.1842-1935 ธารน้ำแข็งนี้ได้ละลายหายไปหรือหดสั้นลงเฉลี่ยปีละ 7.3 เมตร ทว่าตั้งแต่ปี ค.ศ.1985-2001 ธารน้ำแข็งนี้ได้ละลายหายไปเฉลี่ยถึงปีละ 23 เมตร

    หากอัตราการละลายยังเป็นเช่นนี้อยู่ คาดกันว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยที่มีอยู่ 15,000 กว่าแห่งจะละลายเกือบหมด

    เช่นเดียวกับธารน้ำแข็งบนยอดเขาคิริมันจาโรได้ลดลงอย่างรวดเร็ว และกำลังส่งผลกระทบต่อระดับน้ำในแม่น้ำไนล์ แม่น้ำสายสำคัญที่สุดของชาวแอฟริกัน

    ทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับว่า ธารน้ำแข็งถาวรบนยอดเขาเกือบทุกแห่งทั่วโลก เช่นบนยอดเขาหิมาลัย ยอดเขาแอนดีส ยอดเขาคิริมันจาโร แม้แต่บนยอดเขาที่ปาปัวนิวกินี มีขนาดลดลงอย่างชัดเจนมากเมื่อเปรียบเทียบกับภาพถ่ายในช่วงเวลาเดียวกัน ที่เคยมีผู้ถ่ายไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน ปรากฏการณ์นี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยยืนยันว่าอุณหภูมิของโลกน่าจะสูงขึ้นจริง

    และยังเป็นสัญญาณบอกว่า ภายใน 50 ปีข้างหน้า ประชากรทั่วโลกจะเผชิญปัญหาการขาดแคลนน้ำจืดอย่างรุนแรง ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย

    ข้อมูลจาก MyFirstBrain.Com - โลกร้อน ความจริงที่ทุกคนต้องรู้ : น้ำแข็งเป็นต้นกำเนิดของแหล่งน้ำจืดจริงหรือ ?
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พื้นผิวของน้ำแข็งขั้วโลกทำหน้าที่สะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์กลับสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึงร้อยละ 90 ขณะที่น้ำในมหาสมุทรกลับดูดเอาความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ถึงร้อยละ 90 เช่นกัน พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งโลกมีพื้นผิวน้ำแข็งน้อยลงเท่าใด โลกก็ร้อนมากขึ้นเท่านั้น

    สาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายเร็ว เพราะเป็นเพียงแผ่นน้ำแข็งที่ลอยอยู่เหนือมหาสมุทรอาร์กติก เมื่อพื้นที่น้ำแข็งลดลง การสะท้อนความร้อนสู่ชั้นบรรยากาศก็ลดลง ขณะที่น้ำทะเลกลับดูดซับความร้อนส่วนใหญ่เอาไว้ เมื่อน้ำทะเลอุ่น น้ำแข็งก็ยิ่งละลายเร็วขึ้น และเมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้น น้ำทะเลก็ยิ่งมีอุณหภูมิสูงขึ้นเช่นกัน
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    A.1

    Updated 06/24/2013 @ 00:00 UTC
    ปรับปรุงข้อมูล วันที่ 24 มิถุนายน 2556 เวลา 7.00 น. เวลาประเทศไทย
    M-Flare and Radiation Storm
    เกิดการประทุ ระดับ M และเกิดพายุรังสี

    Good evening. Solar activity increased to moderate levels today with an impulsive M2.9 solar flare around Sunspot 1778 at 20:56 UTC Sunday evening.
    สวัสดีตอนเย็น กิจกรรมบนดวงอาทิตย์เพิ่มสูงจึ้นถึงระดับปานกลาง ในวันนี้ ด้วย การระเบิด solar flare ระดับ M 2.9 รอบๆ จุดดับ 1778 เมื่อเวลา 03.56 น. เวลาประเทศไทย


    Proton levels streaming past Earth reached the minor S1 Level Radiation Storm threshold.
    ระดับโปรตอน ซึ่งกระแสจะผ่านมายังโลก ถึงระดับ พายุรังสีระดับ S1

    This is unrelated to the latest M-Class flare today,
    ซึ่งสิ่งที่เกอดจึ้นนี้ไม่สัมพันธ์กับการเกิดการประทุระดับ M2.9 ระดับ m ลูกสุดท้ายที่เพิ่งเกิด

    ผมขอเพิ่มความเห็น
    ผมว่ามันก็ผิดปรกติตั้งแต่ที่เกิดการปรพทุระดับ M เมื่อวันเสาร์แล้วเพราะวันนั้น ค่า ทุกอย่างจากการตรวจจับได้ออกไปในทิศตรงข้ามกับโลก แต่กลับมีผมทำให้ โปรตอนสูง และลมสุริยะมีความเร็วมากกว่า 600 ขึ้นไป และยังมาบอกอีกว่าเกิดจาก cme ถ้าเกิดจาก cme ก็ควรจะรายงานตั้งแต่แรกแล้ว ส่าลูกไฟได้ออกไปยังทิศทางตรงข้ามกับโลก แต่มี cme บางส่วนมุ่งตรงมายังโลก

    however most likely continued effects from the M2.9 event on June 21st.
    แต่ยังไงก็ตามผลที่เกิดจึ้นจากการประทุระดับ M2.9 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2556 จะยังคงเกิดอย่างต่อเนื่อง

    ความเห็นส่วนตัว
    มันจะไม่ต่อได้ไงของเดิมก่อนจะประทุลูกใหม่ยังมีท่าทีแรงขึ้นเลย พอของใหม่มามันก็ต้องไปทำให้สิ่งที่เกิดไม่หายล่ะสิครับ

    There will remain a chance for minor geomagnetic storming within the next 24 hours should an expected glancing blow CME impact be observed.
    มีโอกาสที่จะเกิด พายุสนามแม่เหล็กโลกระดับเล็กๆ ใน 24 ชั่วโมงถัดไป ก็วันที่
    25 มิถุนายน 2556 เวลา 7.00 น. เวลาประเทศไทย แต่ก็ควรสังเกตผลกระทบที่เกิดจาก cme ที่ตรวจพบด้วย

    M2.9 Solar Flare (Sunday) - SDO
    image.jpg
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดูน่ะครับที่เขาบอกว่าระดับกิจกรรมบนดวงอาทิตย์สูงขึ้นเรื่อยๆ จนประทั ระดับ m อันใหม่ ผมเลยขอเอาข้อมูลการประทุระดับ m ที่เกิด วันที่ 21 มิถุนายน จนถึงลูกปัจจุบันว่ากิจกรรมบนดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้น ตรงไหน สงสัยครับ อย่าคิดว่าคนอ่านไม่คิดตามน่ะครับ


    28 gev_20130621_0230 2013/06/21 02:30:00 03:43:00 03:00:00 M2.9 S14E73 ( 1778 )
    29 gev_20130621_0915 2013/06/21 09:15:00 09:22:00 09:18:00 C1.6 S21W29 ( 1772 )
    30 gev_20130621_0925 2013/06/21 09:25:00 09:35:00 09:31:00 C3.1 S21W29 ( 1772 )
    31 gev_20130621_1019 2013/06/21 10:19:00 10:36:00 10:33:00 C1.3 S21W30 ( 1772 )
    32 gev_20130621_1201 2013/06/21 12:01:00 12:07:00 12:05:00 C1.3 S21W31 ( 1772 )
    33 gev_20130621_1219 2013/06/21 12:19:00 12:24:00 12:22:00 C1.1 S26W00 ( 1775 )
    34 gev_20130621_1643 2013/06/21 16:43:00 16:51:00 16:47:00 B9.3 S15E65 ( 1777 )
    35 gev_20130621_1802 2013/06/21 18:02:00 18:09:00 18:06:00 C1.0 N12W33 ( 1776 )
    36 gev_20130621_2100 2013/06/21 21:00:00 22:39:00 22:17:00 C2.1 S27E88
    37 gev_20130621_2123 2013/06/21 21:23:00 23:08:00 22:17:00 C2.2 S27E88
    38 gev_20130621_2323 2013/06/21 23:23:00 23:30:00 23:27:00 C1.5 S21W38 ( 1772 )
    39 gev_20130622_0041 2013/06/22 00:41:00 00:50:00 00:45:00 B9.9 S21W39 ( 1772 )
    40 gev_20130622_0500 2013/06/22 05:00:00 05:16:00 05:05:00 C1.3 S27W10 ( 1775 )
    41 gev_20130622_0902 2013/06/22 09:02:00 09:17:00 09:10:00 C1.1 S21W44 ( 1772 )
    42 gev_20130622_1030 2013/06/22 10:30:00 10:35:00 10:33:00 B7.6 S22W42 ( 1772 )
    43 gev_20130622_1731 2013/06/22 17:31:00 17:46:00 17:36:00 C1.5 N04W28 ( 1773 )
    44 gev_20130623_1202 2013/06/23 12:02:00 12:59:00 12:32:00 B8.0 S26W65 ( 1769 )
    45 gev_20130623_2048 2013/06/23 20:48:00 20:59:00 20:56:00 M2.9 S18E63 ( 1778 )
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    :Solar Flare Probabilities (%)

    :3-Day Outlook
    Class_M 40 30 20
    Class_X 5 5 5
    Proton 60 40 20
    #
    # Region Flare Probabilities for 2013 Jun 24
    ความเป็นไปได้ที่จะเกิด flare ในพื้นที่บนดวงอาทิตย์ สำหับวันที่ 23 มิถุนายน 2556 วันที่ตามเวลาสากลครับ
    # Region Class C M X P
    :Reg_Prob: 2013 Jun 23
    1770 10 1 1 1
    1772 50 5 1 1
    1773 35 1 1 1
    1774 20 1 1 1
    1775 75 30 5 1
    1776 40 5 1 1
    1777 20 1 1 1
    1778 35 5 1 1
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คัดลอกข้อมูลจากเฟส อาจารย์ปิยะชีพ วันที่ 24 มิถุนายน 2556 เวลา 18.29 น.


    Piyacheep S.Vatcharobol
    RADIATION STORM: A minor solar proton storm is underway around Earth. Registering "S1" on NOAA storm scales, the storm is not yet intense enough to have a significant effect on satellites or air travelers. It is, however, trending upward, so the situation could change. SWx alerts: text, voice.
    พายุกัมมันภาพรังสีที่โนอาว่าผ่านไปแล้ว แต่อาจกลับขึ้นมาใหม่
    ผมตรวจสอบอย่างไรก็ยังไม่หมดไป แต่โนอาประกาศลดจบไปแล้ว
    เอา warning time line ไปดูก่อนนะครับ ว่าปัจจุบันยังไม่จบ
    พลังมาพร้อม Super Moon ก็ยังคงต้องมีผลกระทบไปอย่างน้อยก็ ๒๖
    แต่ดูจากการระเบิดด้านหลังดวงอาทิตย์แล้วก็มาต่อเนื่อง
    นี่ยังไม่นับฝนอุกาบาต หรือ สะเก็ตดาวตกที่ลงมาดาดดื่น

    ฟ้าฝนช่วงลดรังสีให้เรามาก อาจทำให้ฉะล่าใจ อย่าประมาทนะครับ
    เจริญสติ ประกอบสัมมาอาชีวะ ด้วยความพร้อม
    พร้อมที่ออกทันที ไม่ต้องเก็บของ ไม่ต้องพวงหน้าพวงหลัง
    จัดเป้ให้พร้อมหยิบฉวยได้ในทันที แม้ยังไม่เกิดตอนนี้
    แต่ต้องฝึกให้เป็นนิสัยให้เคยชินนะครับ สำคัญมาก
    Piyacheep S.Vatcharobol's Photos in Timeline Photos · 1 hour ago ·
    image.jpg

    View Full Size · Report Photo
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำหรับันที่ 24 มิถุนายน 2556 ตั้งแต่เช้าจนถึงขณะนี้ก็มีแต่การเกิดการประทุจากจุดดับบนดวงอาทิตย์ขนาด M2.9 ซึ่งผลจะมาถึงโลกก็คง 2 วัน ส่วนตอนนี้ความเร็วลมสุริยะก็ลดลง แต่ค่าโปรตอนฟลักซ์ก็ยังคงสูงเหมือนรูปก่อนหน้าที่ผมนำมาลงครับ ดังนั้น ในเมืาอเหตุการณ์ต่างๆ ปรกติดี เพื่อให้เราชาวพุทธได้ใกล้ชิดองค์ดระพุทธ พระสูตรก่อนยิทราสำหรับวันที่ 24 มิถุนายน 2556 จึงขอนำเสนอ

    พระสูตรสุขาวดียูหสูตร

    แปลโดย

    สุโชโวภิกขุ วัดกันมาตุยาราม

    ขอนบน้อมแต่พระสรรเพ็ชญ์เจ้า

    ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเสด็จ สำราญพระอิริยาบถ อยู่ในเขตวนารามของท่านอนาถปิณฑกะ ใกล้กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ คือภิกษุ 1250 รูป ผู้แตกฉานในอภิญญา เป็นพระเถระมหาสาวกล้วนแต่พระอรหันต์เจ้า เช่น พระศาริบุตรเถระ, พระมหาเมาทคัลยายนะ, พระมหากาศยปะ, พระมหาศุทธิปัถกะ, พระนันทะ, พระอานันทะ, พรารหุละ, พระความปติ, พระภรัทวาชะ, พระกาโลทยิน, พระวักกุละและพระอนิรุทธะ กับพระสาวกอื่นอีกมากหลาย ตลอดจนพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ เป็นอันมาก เช่น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์, พระกุมารภูติโพธิสัตว์, พระอชิตโพธิสัตว์, พระคันธหัสดีโพธิสัตว์, พระนิตโยทยุกตโพธิสัตว์และพระอนิกษิปตธุรโพธิสัตว์, กับพระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ อื่นอีกมากมายและ ท้าวศักระจอมเทพ , ท้าวสหัมบดีพรหม กับเทพบุตรอื่นๆเป็นอันมาก นับจำนวนแสนนยุตะ (1นยุต100,000โกฏิ)

    ณ สถานที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระศาริบุตรผู้มีอายุว่า ดูก่อนศาริบุตร ในทิศภาคเบื้องตะวันตก นับแต่พุทธเกษตรนี้ไปแสนโกฏิพุทธเกษตร มีโลกธาตุหนึ่ง นามว่า สุขาวดี อันเป็นที่ประทับอยู่แห่งพระอมิตาภะตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ยังทรงพระชนม์และแสดงธรรมอยู่ในกาลบัดนี้ ศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤาโลกธาตุโลกธาตุนั้นจึงได้นามว่าสุขาวดี ศาริบุตรเอย สัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุนั้น ไม่มีทุกข์กายทุกข์ใจเลย มีแต่เหตุแห่งสุขอันหาประมาณมิได้อย่างเดียว เหตุดังนั้น โลกธาตุนั้นจึงได้นามว่าสุขาวดี.

    ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง สุขาวดีโลกธาตุประดับประดาแวดล้อมไปด้วยกำแพง 7 ชั้น ต้นตาล 7 แถว และข่ายกะดึงทั้งหลายงดงามน่าดูด้วยรัตนะ 4 ประการคือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

    ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง สุขาวดีโลกธาตุมีสระโบกขรณีทั้งหลายอันแล้วด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิม มรกต และบุศราคัม เปี่ยมด้วยอัษฎางคิกวารี (น้ำประกอบด้วยองคแปด) มีท่าน้ำอันเรียบราบ พอที่กา(จะก้มลง)ดื่มได้ รายระยับไปด้วย ทรายทองและมีบันได 4 บันไดโดยรอบทั้ง 4 ทิศ งดงามน่าดูด้วยรัตนะ 4 ประการ คือทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก มีรัตนพฤกษ์อันงดงามน่าดูด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิม มรกตและบุศราคัม ขึ้นอยู่รายรอบสระโบกขรณีเหล่านั้น มีดอกประทุมอันมีธรรมชาติ สี แสง ความน่าดู เขียว เหลือง แดง ขาวและสลับสีใหญ่ประมาณเท่ากงเกวียน. ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

    ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง ในพุทธเกษตรนั้นมีทิพยดนตรีอันบรรเลงอยู่เป็นนิตย์ และมหาปฐพีก็มีสีเพียงดังทองน่ารื่นรมย์ มีฝนดอกมณฑารพอันเป็นทิพย์ตกคืนละ 3 ครั้ง วันละ 3 ครั้ง สัตว์ที่เกิดในพุทธเกษตรนั้น ย่อมไปสู่โลกธาตุอื่น ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแสนโกฏิพระองคชั่วเวลาก่อนอาหารคราวหนึ่ง ใช้ฝนดอกไม้แสนโกฏิเกลี่ยลงบูชาพระตถาคตเจ้าแต่ละพระองค แล้วกลับมาสู่โลกธาตุนั้นแลอีก เพื่อพักผ่อนในกลางวัน. ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

    ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง ในพุทธเกษตรนั้น มีหงส์ นกกะเรียน นกยูง ประชุมกันขับประสานเสียงของตน คืนละ 3 ครั้ง วันละ 3 ครั้ง เสียงของปวงนกที่ประสานกันนั้น ย่อมเปล่งประกาศอินทรีย์(ธรรมอันเป็นใหญ่) พละ (ธรรมเป็นกำลัง)และโพชฌงค์ (ธรรมเป็นองคแห่งการตรัสรู้) มนุษย์ทั้งหลายในพุทธเกษตรนั้น ฟังเสียงนั้นแล้วย่อมเกิดมนสิการในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นว่า สัตว์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดในกำเนิดดิรัจฉานกระนั้นหรือ เธอไม่พึงเห็นอย่างนั้นเลย ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤา ศาริบุตร แม้แต่ชื่อแห่งนรก กำเนิดดิรัจฉานและยมโลก ก็ไม่มีในพุทธเกษตรนั้น หมู่นกเหล่านั้น พระอมิตาภะยุตถาคตเจ้าทรงนิรมิตขึ้นให้เปล่งเสียงประกาศพระธรรมต่างหาก ศาริบุตร พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

    ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง แถวต้นตาลและข่ายกระดึงทั้งหลายในพุทธเกษตรนั้น เมื่อลมโชยมากระทบ ย่อมเปล่งเสียงไพเราะจับใจดุจเสียงทิพยดนตรีมีเครื่องประกอบแสงโกฏิ อันอารยชนบรรเลงแล้ว. มนุษย์ในพุทธเกษตรนั้น สดับเสียงนั้นแล้วย่อมพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังหานุสสติตั้งอยู่ในกาย. ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้

    ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤา พระตถาคตเจ้านั้นจึงได้พระนามว่า อมิตายุ. ศาริบุตรเอย พระตถาคตเจ้าและมนุษย์เหล่านั้น มีประมาณแห่งอายุอันกำหนดนับมิได้. เหตุดังนั้น พระองค์จึงได้พระนามว่า อมิตายุ. อนึ่ง พระตถาคตเจ้านั้นตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้วได้ 10 กัลป์

    ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤา พระตถาคตเจ้านั้นจึงได้พระนามว่า อมิตาภะ รัศมีแห่งพระตถาคตเจ้านั้น (สว่างไป) ไม่ติดขัดในพุทธเกษตรทั้งปวง. เหตุดังนั้น พระองค์จึงได้พระนามว่า อมิตาภะ อนึ่ง พระอรหันตสาวกสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ของพระตถาคตเจ้านั้น หาประมาณมิได้ ไม่เป็นการง่ายที่จะกล่าวประมาณ ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

    ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ที่เกิดขึ้นในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเกี่ยวเนื่องอยู่เพียงชาติเดียว การนับประมาณพระโพธิสัตว์เหล่านั้น มิใช่ทำได้โดยง่าย นอกจากจะนับว่า "อประไมย" (ประมาณไม่ได้) "องสไขย" (นับไม่ได้) อนึ่ง ศาริบุตร สัตว์ทั้งหลายควรตั้งประณิธาน(ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรนั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าที่ไหนเล่า การได้อยู่ร่วมกันสัตบุรุษเห็นปานนั้นจึงจะมีได้ (เหมือนในสุขาวดีนี้) ศาริบุตร สัตว์ทั้งหลาย ย่อมบังเกิดในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า มิใช่ด้วยกุศลมูลเพียงเล็กน้อย ศาริบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาไรๆ จักได้สดับพระนามของพระอมิตายุคถาคตเจ้านั้น ครั้นสดับแล้วจักมนสิการ จักมีจิตต์ไม่ซัดส่าย มนสิการตลอดราตรีหนึ่ง หรือ 2 ราตรี หรือ 3, 4, 5, 6, 7,ราตรี เมื่อกุลบุตรหรือกุลธิดานั้นจักสิ้นชีพ พระอมิตายุคถาคตเจ้านั้น อันสาวกสงฆ์แวดล้อมมีหมู่พระโพธิสัตว์ตามหลัง จักปรากฏเบื้องหน้าเขาผู้กำลังสิ้นชีพ เขาย่อมมีจิตต์สงบสิ้นชีพไป ครั้นสิ้นชีพแล้วก็จะไปเกิดในสุขาวดีโลกธาตุอันเป็นพุทธเกษตรของพระอมิตายุคถาคตเจ้านั้นแล. ศาริบุตรเอย เหตุดังนั้นแหละ เราเห็นอำนาจประโยชน์นี้ จึงกล่าวว่า กุลบุตรหรือกุลธิดาพึงตั้งจิตตประณิธาน (ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรนั้นโดยเคารพ.

    ดูก่อนศาริบุตร เราประกาศเรื่องโลกธาตุนั้นอยู่ในบัดนี้ฉันใด พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศบูรพาเป็นต้นว่า พระอักโษภยตถาคต พระเมรุธวัชตถาคต พระมหาเมรุธวัชตถาคต พระเมรุประภาสตถาคต พระมัญชุธวัชตถาคต กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายในทิศบูรพา อุปมาด้วยเกล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้นแล ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจิตไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง

    ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศทักษิณเป็นต้นว่า พระจันทรสูรยประทีปตถาคต พระยศประภะตถาคต พระมหารุจิสกันธตถาคต พระเมรุประทีปตถาคต พระอนันตวีรยตถาคตกับพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายในทิศทักษิณ อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง

    ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศประจิมเป็นต้นว่า พระอมิตายุคถาคต พระอมิตสกันธตถาคต พระอมิตธวัชตถาคต พระมหาประภะตถาคต พระมหารัตนเกตุตถาคต พระศุทธรัศมิประภะตถาคต กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายในประจิม อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง"

    ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศอุดรเป็นต้นว่า พระมหารจิสกันธตถาคต พระไวศวานรนิรโฆษตถาคต พระทุนทุภินิรโฆษตถาคต พระอาทิตยสมภพตถาคต พระชโลนิประภะตถาคตกับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายในทิศอุดร อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง"

    15 ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศเบื้องต่ำ เป็นต้นว่า พระสิงหตถาคต พระยศตถาคต พระยศประภาสตถาคต พระธรรมตถาคต พระธรรมธรตถาคต พระธรรมธวัชตถาคต กันพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายในทิศเบื้องต่ำ อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง"

    16 ดูก่อนพระศาริบุตร พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศเบื้องบน เป็นต้นว่า พระพรหมโฆษตถาคต พระนักษัตรราชตถาคต พระอินทรเกตุธวชตถาคต พระคันโธตตมตถาคต พระคันธประภาสตถาคต พระมหารจิสกันธตถาคต พระรัตนกุสุมสังปุษปิตถาตรตถาคต พระสาลินทรราชตถาคต พระรัตนโนตปลศรีตถาคต พระสรวารถทรศตถาคต พระสุเมรุกาลปตถาคต กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าในทิศเบื้องบน อุปมาด้วยเมล็ดทรายในคงคานทีก็ฉันนั้น ต่างอธิบายประกาศทั่วพุทธเกษตรของพระองคว่า "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันประกาศซึ่งคุณเป็นอจินไตย อันได้นามว่า ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง"

    17 ดูก่อนศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤา ธรรมบรรยายนี้จึงได้นามว่า "ได้รับความคุ้มครองแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง" ศาริบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาไรๆ จักได้สดับนามแห่งธรรมบรรยายนี้ และจำทรงจำพระนามแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น กุลบุตรกุลธิดาทั้งปวงนั้น จักเป็นผู้อันพระพุทธเจ้าคุ้มครองจักไม่กลับกลายในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ศาริบุตร เหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟัง อย่าสงสัยต่อเราและพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ศาริบุตร กุลบุตรหรือกุลธิดาไรๆ จักทำหรือทำแล้วหรือกำลังทำซึ่งจิตตประณิธาน (ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตผู้มีพระภาคนั้น กุลบุตรหรือกุลธิดาทั้งปวงนั้น จักไม่กลับกลายในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และจักเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดขึ้นในพุทธเกษตรนั้น ศาริบุตร เหตุนั้นแล กุลบุตรหรือกุลธิดาผู้มีศรัทธา จึงควรทำจิตตประณิธานให้เกิดขึ้นในพุทธเกษตรนั้น

    18 ดูก่อนศาริบุตร เราประกาศคุณอันเป็นอจินไตยของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ในกาลบัดนี้ฉันใด พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมทรงประกาศคุณอันเป็นอจินไตย แม้ของเราอย่างนี้ว่า พระศากยมุนีผู้มีพระภาค ผู้เป็นอธิราชแห่งศากยะทรงทำกรรมที่ทำได้โดยยากยิ่ง ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในสหาโลกธาตุ (โลกธาตุอันเต็มไปด้วยทุกข์ซึ่งจะต้องอดทน) แล้วทรงแสดงธรรมอันให้ผลแก่โลกทั้งปวง" ใน (ท่ามกลาง) ความเสื่อมแห่งอายุ ความเสื่อมเพราะกิเลส.

    ดูก่อนศาริบุตร ข้อที่เราตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในสาโลกธาตุ แล้วแสดงธรรมอันให้ผลแก่โลกทั้งปวง" ใน (ท่ามกลาง) ความเสื่อมแห่งสัตว์ ความเสื่อมแห่งทิฏฐิ ความเสื่อมเพราะกิเลส ความเสื่อมแห่งอายุ ความเสื่อมแห่งกัลป์นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งแม้ของเรา

    พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องนี้จบลงแล้ว พระศาริบุตรผู้มีอายุ ภิกษุและพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ตลอดจนสัตว์โลกกับทั้งเทวา มนุษย์ อสูร คนธรรพ์ก็พากัน มีใจยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    จบสุขาวดียูวหสูตร
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,698
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Update จาก solarham
    ปรับปรุงวันที่ 24 มิถุนายน 2556 เวลา 29.40 น. เวลาประเทศไทย

    Solar activity has been moderate with most activity detected around Sunspot 1778.
    กิจกรรมบนดวงอาทิตย์มีอยู่พอสมควร ส่วนมากจะตรวจพบที่รอบๆ จุดดับที่ 1778

    This region is showing signs of growth and was responsible for an impulse M2.9 flare at 20:56 UTC Sunday evening and a C9.9 flare this morning at 11:32 UTC.
    พื้นที่นี้กำลังแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของการขยายตัว และสอดคล้องกับ การประทุระดับ m2.9 และ c9.9 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2556 เวลา 18.32 น. เวลาประเทศไทย

    All other regions remain fairly stable.
    ทุกๆพื้นที่บนดวงอาทิตย์ยังคงเสถียร

    Sunspot 1773 decayed to a spotless plage. Sunspots 1772 and 1776 continue to make their way towards the west limb. There will remain a chance for C-Class flares and perhaps another isolated M-Class event.
    ข้อความนี้บอกให้ทราบถึงสถานะ และการเคลื่อนตัวของจุดดับ 1773 1772 1776 ซึ่งมีโอกาสที่จะประทุระดับ c แต่บางทีอาจมีพื้นที่อื่นอาจจะประทุระดับ m ก็ได้


    Multiple Coronal Mass Ejections were seen leaving the Sun during the past 24 hours, but none appear to be Earth directed.
    การปล่อย cme หลายครั้งระกว่า 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่ไม่มีการปล่อยครั้งใดปรากฎว่าตรงมายังโลก

    Sunspot 1778 (Monday) - SDO

    image.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...