กลั้นลมหายใจ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 20 สิงหาคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พวกเราทั้งหลายให้ฟังเสียงพุทธนะ เสียงพุทธคือเสียงศาสดาองค์เอกผู้ประกาศธรรมเป็นพระองค์แรกในพุทธศาสนาของเรา ให้ฟัง เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนรื้อถอนขึ้นมามากมายก่ายกอง แม้สัตว์ที่ต่ำกว่าที่ในนามมนุษย์นี้ยังได้ ทำไมมนุษย์เราและชาติไทยของเราเป็นชาติแห่งชาวพุทธ ทำไมพระพุทธเจ้าจะยกไม่ขึ้น มันจะหนักเอามากมายเกินไปหรือมนุษย์เราชาวพุทธเราในเมืองไทยนี่ เรายังแน่ใจอยู่ตลอดมาว่าไม่หนัก เพราะพร้อมที่จะฟังอยู่แล้วฟังโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า พร้อมที่จะเป็นคนดีอยู่แล้ว ไม่มีใครตั้งหน้าจะเป็นคนชั่วด้วยกัน ยิ่งมีธรรมเป็นเครื่องเปิดทางให้แล้ว ก็พร้อมที่จะเดินตามนั้นด้วยกันทุกคนชาวพุทธเรา ให้ฟังเสียงธรรมก็แล้วกัน

    พระพุทธเจ้าประกาศกังวานสอนทวยเทพเทวดา ตลอดถึงพวกเปรตพวกผี สอนมาเป็นลำดับลำดาได้ ทำไมจะสอนเมืองไทยเราไม่ได้ เมืองไทยเราก็ในนามแห่งลูกของพระพุทธเจ้า สอนไม่ได้มีหรือ ก็เราตั้งใจจะปฏิบัติตามอยู่แล้วจะสอนไม่ได้มีหรือ ต้องได้ นี่เราแน่ใจอยู่ แล้วจะค่อยกระเตื้องขึ้น ๆ ให้พากันตั้งอกตั้งใจทุกคน ความรักชาติเป็นอันดับหนึ่ง ความพร้อมเพรียงสามัคคีนี้กลมกลืนกันกับความรักชาติ จากนั้นก็เป็นความเสียสละ ทีนี้รวมยอดแล้วจากการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามารวบรวมปรับปรุงตัวเอง ขยายไปทางไหนให้เป็นธรรม ๆ ชุ่มเย็นไป ขยายไปทางไหนเป็นส้วมเป็นถานเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันแหลกนะ อย่าให้มีในเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ

    ไม่มีใครฉลาดเกินกว่าพระพุทธเจ้าในสามแดนโลกธาตุนี่ มีพระพุทธเจ้าเท่านั้น ขุดค้นธรรมที่เลิศเลอขึ้นมานี้ก็คือพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก ขนาดสลบไสลนะ พระพุทธเจ้าถึงขนาดสลบไสล ทรงอดพระกระยาหารเรื่องราวมัน บางคนก็จะไม่เข้าใจว่าทรงสลบไสลเพราะอะไร ทรงอดพระกระยาหาร ไม่เสวยพระกระยาหารอยู่ถึง ๔๙ วัน จนพระโลมานี้หลุดออกจากพระกาย พระโลมาหลุดลอยออกไปเปื่อยไปบางแห่งนะ ถึงขั้นสลบ ความปรารถนาที่จะเป็นศาสดาองค์เอกเพื่อรื้อขนสัตวโลกนี้ไม่มีถอย สลบก็สลบ ฟื้นมาแล้วเอาอีก สลบ ๓ หนฟังซิ นี่ละตัวอย่างอันดีเลิศของเราซึ่งเป็นชาวพุทธ จนได้ตรัสรู้ขึ้นมาเพราะความไม่ถอย

    ที่ว่าอดพระกระยาหารนี้เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงมีการภาวนา คือทรงบำเพ็ญไปตามนิสัยของสยัมภู คือพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์จะต้องตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ไม่ต้องไปศึกษาไต่ถามจากผู้ใด ในเหตุผลที่จะบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ต้องเป็นสยัมภู ทรงขวนขวายเอง ทรงรู้เองเห็นเองด้วยกันทุก ๆ พระองค์ พระพุทธเจ้าของเราท่านก็ทรงทดลองทางนั้นทางนี้ เพราะทางไม่เคยเดินก็อย่างว่า แม้จะเป็นสยัมภูจะตรัสรู้เอง การที่จะไปถึงจุดที่ตรัสรู้ก็ต้องมีทางแยกทางแยะ ไม่ทราบไปทางไหนถูกทางไหนผิด โดยลำพังพระองค์เองไม่ได้ถามใคร เพราะฉะนั้นจึงต้องมีวิธีการหลายอย่าง ที่ทำให้พระองค์ผิดพลาดไปบ้างตามทางซึ่งไม่เคยเดิน เหมือนกับเรา ๆ ท่าน ๆ เดินไปที่ไหนก็ต้องมีผิดมีพลาด แต่ไม่ถอย

    ทรงอดพระกระยาหารอยู่ถึง ๔๙ วัน คือตั้งใจจะให้ตรัสรู้ด้วยการอดพระกระยาหาร ไม่มีทางด้านจิตใจเข้าแฝงเลย จึงไม่ได้ตรัสรู้ แล้วจึงมาพิจารณาย้อนหลังถึงคราวเสด็จไปแรกนาขวัญกับพระราชบิดา ทรงระลึกได้ คือตอนเสด็จไปแรกนาขวัญนั้น ประทับนั่งภาวนา กำหนดอานาปานสติ พระจิตนี้สว่างจ้าไปหมดเลย นั่นละตอนเป็นพระราชกุมาร แต่เวลามาบำเพ็ญนี้ไม่ทรงระลึกนั้นเสีย ไม่ได้เกี่ยวกับจิตเสีย วิธีการต่าง ๆ อะไร เช่นอย่างกลั้นลมหายใจบ้างอะไรบ้างดังที่บอกไว้ในพุทธประวัติ จนกระทั่งถึงอดพระกระยาหาร ก็ทำไปแบบไม่เกี่ยวกับจิตใจเลย มันก็ไม่สำเร็จ

    จึงได้ทรงย้อนไปหาที่พระราชบิดาพาเสด็จไปแรกนาขวัญ ทรงบำเพ็ญธรรมอยู่ที่นั่น เกิดความสว่างกระจ่างแจ้งอัศจรรย์ ระลึกนั้นได้ เอ นี่ชะรอยจะเป็นทางแล้ว แสดงความแปลกประหลาด ซึ่งตั้งแต่เราดำเนินมาถึงขั้นสลบไสลนี้ก็ไม่เห็นความแปลกประหลาดอย่างนั้น ทรงยึดอันนั้นมาเป็นหลักละที่นี่ ทรงแน่พระทัยว่าจะตรัสรู้ในทางนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นจึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานที่ใต้ร่มโพธิ์ พอทรงแน่พระทัยแล้วทีนี้จะปักหลักละนะ สละเป็นสละตายลงกับความแน่พระทัย ที่ตรัสรู้กับที่ตายจะเป็นที่เดียวกันเอาละนะ ใต้ร่มโพธิ์ประทับนั่งที่นั่น โสตถิยพราหมณ์เอาหญ้าคา ๘ กำมือมารองให้พระองค์ประทับนั่งภาวนา ทรงตั้งสัจจอธิษฐานว่า จะประทับนั่งอยู่ที่นี่จนกระทั่งตรัสรู้ ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ตายก็ให้ตาย เรียกว่าสถานที่ตายกับที่ตรัสรู้อยู่ในที่เดียวกัน

    ทรงตั้งสัจจอธิษฐาน ทรงบำเพ็ญอานาปานสติ จับหลักได้ปึ๊บก็พุ่ง ๆ เลย นั่นเห็นไหม นี่ละจิตตภาวนา ท่านอดพระกระยาหารทีแรกท่านไม่เกี่ยวข้องกับภาวนา ก็พุ่งเลยในคืนวันนั้น จับได้ในคืนวันนั้นเลย ก็พอดีพระสรีระทุกส่วนเบาหวิว ๆ ไม่มีอะไรที่จะมากีดขวางต้านทานในการบำเพ็ญสมณธรรมทางด้านจิตใจ พระองค์พิจารณาทางอานาปานสติ ร่างกายก็เบาหวิว ๆ ประหนึ่งว่าเป็นเครื่องเสริมกัน เรียกว่าเป็นเครื่องเสริมกัน ดังที่พระท่านอดอาหารทุกวันนี้ท่านมีภาวนา แต่สำหรับพระองค์ไม่มี

    วันนั้นพอท่านเริ่มตัดสินพระทัยเสวยพระกระยาหาร ก็เป็นเวลาอดอาหารหยุดวันนั้น พระสรีระทุกส่วนเบาหวิว ถึงขั้นสลบไสลไม่เบาหวิวได้ยังไง จะเอาอะไรมาต้านทาน กำลังของธาตุขันธ์ที่จะมากีดขวางทางเดินของสมณธรรมในทางจิตใจของพระองค์ไม่มี ก็พุ่งเลย เบื้องต้นก็บรรลุธรรม ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ปฐมยาม คือหัวค่ำถึง ๔ ทุ่ม ทรงบำเพ็ญตั้งแต่หัวค่ำถึง ๔ ทุ่ม บรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงระลึกชาติของพระองค์ย้อนหลังได้ตลอด ที่ไหน ๆ ถึงไหนถึงกัน เกิดมากี่ภพกี่ชาตินับไม่ได้เลย นั่นเป็นอันดับแรก พอทรงพิจารณาพระองค์แจ้งชัดว่าเป็นนักเกิดแก่เจ็บตายมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว พึ่งมาทราบกันในวันนี้ย้อนหลัง

    ทีนี้ก็มาพิจารณาดูสัตว์ทั้งหลายอีก พอถึงมัชฌิมยาม บรรลุจุตูปปาตญาณ ทรงทราบเรื่องความเกิดความตายของสัตวโลกทั้งหลายเป็นยังไงบ้าง เราเป็นมาอย่างนี้ ๆ กี่ภพกี่ชาติ พิจารณาย้อนหลังรู้หมด ทีนี้พอมัชฌิมยาม ทรงบรรลุธรรม จุตูปปาตญาณ รู้ความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลาย ความท่องเที่ยวของสัตว์ทั้งหลายในเวลานั้น พิจารณาดูนี้ โอ๋ย ที่นี่ยิ่งเอาอีกละนะ ถ้าภาษาของเราเรียกว่าดูไม่ได้ว่างั้นเถอะ แต่พระองค์เดียวเท่านั้นภพชาติของพระองค์มากขนาดไหน ทีนี้สัตวโลกมีมากขนาดไหน พอกำหนดดูสัตวโลกนี้เรียกว่าจะดูไม่ได้เลย แน่นหนาเต็มโลกธาตุ มีแต่สถานที่เกิดที่ตายของสัตว์ทั้งนั้นเลยไม่มีว่าง ดินฟ้าอากาศไม่ว่าง ที่เกิดที่ตายของสัตว์มีทั่วไป ใต้น้ำบนบกที่ไหนมีหมดเลย ไม่เลือกป่าช้าคือสัตว์ทั้งหลายเกิดตาย นี่ไม่มีป่าช้า เป็นป่าช้าของผู้นั้น ๆ ตายที่ไหนเป็นป่าช้าที่นั่น

    พระองค์ก็มาพิจารณาทั้งสองอย่างนี้ประมวลเข้ามา เรื่องเกิดตายไม่หยุดไม่ถอยนี่เป็นมาเพราะอะไร ที่นี่จะเข้าถึงรากแก้วมันนะ ทีแรกพิจารณา ปฐมฌาน พอจิตสงบแล้วญาณก็หยั่งทราบย้อนหลัง ๆ พิจารณาดูสัตว์ทั้งหลายไม่มีอะไรสงสัยแล้ว สามแดนโลกธาตุนี้คือป่าช้าของสัตว์ ความเกิดตายกับกองทุกข์ที่หามพะรุงพะรังกันไป พระองค์ไม่สงสัยแล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นมาจากอะไร พิจารณาค้นหาสาเหตุก็พบ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเป็นตัวรากฐานสำคัญมาก ตัวฟืนตัวไฟอยู่ที่นี่ไม่ใช่ตัวไหน เวลาจะเปิดมันต้องเอานี้เป็นไฟ ไม่เป็นไฟปล่อยไม่ได้ จะถือว่าเป็นข้าวต้มขนมกินกลืนตายอยู่ในนั้น มันเป็นเหยื่อล่อ ๆ อยู่ในข้าวต้มขนม มันเป็นไฟใครจะไปกลืนมัน มันก็ปล่อยผึงเดียวมันก็โดดเลย นั่น

    พอพิจารณาถึงอวิชชา อวิชชามันเป็นยังไง อวิชชาทำให้เกิดสังขาร อวิชชาเป็นตัวสมุทัยอันใหญ่หลวง สังขารก็สังขารคือความคิดปรุงในเรื่องต่าง ๆ ออกจากสมุทัยแตกกิ่งก้านไปเรื่อย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ เรื่อยไปเลย มันแตกกิ่งแตกก้านออกไป พอเป็นต้นแล้วต้องแตกความหมายก็ว่างั้น อวิชชาพาให้เกิดเป็นต้นเป็นลำขึ้นมา พอเป็นต้นเป็นลำแล้วก็แตกกิ่งแตกก้านขึ้นไปถึงสุดยอดแห่งกิ่งก้านสาขา พรรณนาไปหมด ท่านก็ประมวลเข้ามาว่า เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ รวมแล้วทุกข์ทั้งมวลเกิดมาจากสมุทัยคือกิเลสอวิชชาตัวนี้เท่านั้น

    พอพิจารณาอย่างนี้แล้วก็ย้อนกลับมารู้สมุทัยนี้ดับพึบ เรียกว่า อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เมื่ออวิชชาดับเท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างดับหมด ถอนรากแก้วขึ้นมาเท่านั้น ไม่มีกิ่งก้านสาขาดอกใบตรงไหนจะงอกเงยขึ้นไปได้ต่อไป พังด้วยกันหมดเลย อวิชชาพังอันเดียวทุกสิ่งทุกอย่างพังหมด ความทุกข์ สมุทัยดับเสียอย่างเดียว ทุกข์ทั้งมวลดับหมด ภพชาติดับหมด อย่างนั้นนะท่านพิจารณา ท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมาด้วยสยัมภู

    แต่ท่านไม่ได้ทรงสั่งสอนพระให้อดอาหารอย่างนั้นอย่างนี้นะ ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ทำมาแล้วท่านก็ไม่สอน ท่านส่งเสริม แต่ไม่เป็นคำสอนจริง ๆ สั่งบังคับหรือเป็นกฎ เช่นอย่างธุดงค์ ๑๓ ข้อ เป็นข้อ ๆ เครื่องดำเนิน การอดอาหารไม่ได้มีในธุดงค์ ๑๓ แต่มีในบุพพสิกขา นั่นอย่างนั้นนะ คือแยกออกไปหลายเล่ม คัมภีร์มีมากนี่นะ เรามันเห็นนี่ว่าไง บุพพสิกขาท่านถอดออกมาพูดถึงเรื่องการอดอาหาร พระองค์ว่าการอดอาหารนั้นมีทั้งโทษทั้งคุณ ถ้าอดเพื่อความโอ้อวด เรียกว่าเป็นแบบกิเลส ปรับอาบัติทุกอิริยาบถความเคลื่อนไหว ปรับหมด ฟังซิอดอาหาร อดอาหารเพื่อโอ้เพื่ออวดเป็นกิเลสตัณหาท่านปรับอาบัติทุกอิริยาบถ ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้วอดเถิดเราตถาคตอนุญาต นั่นเห็นไหม ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้วอดเถิดตถาคตอนุญาต นี่อันหนึ่ง

    อันหนึ่งบอกไว้ตอนที่พระสาวกทั้งหลายมาเฝ้า ท่านบอกว่าการขบฉันอาหารน้อย ๆ รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างธาตุขันธ์ก็เบา จิตใจก็สะดวกสบาย บรรดาพระสงฆ์ที่เข้าเฝ้าท่าน เออ ถูกแล้วเราตถาคตก็ทำอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน นั่นเห็นไหม ถ้าเวลาฉันมากมันอึดอัด นั่นฟังซิ พวกนี้อึดอัดไหม พวกเรานี้ใต้ถุนศาลานี้เวลานี้มันอึดอัดไหม หรือว่าพุงนี้มันกางแล้วก็ไปหาเอาเข่งใหญ่ ๆ มาพันกับข้างนี้อีก ใส่พุงนี้เต็มแล้วก็ใส่เข่งนี้ ๆ

    พวกเรามันเป็นยังไง พระพุทธเจ้าว่ามันอึดอัด พวกเราไม่อึดอัด ถ้าได้มากจะพอใจ พวกนี้พวกเข่งติดตัวเต็มตัว มองไปเห็นคนไหนมีแต่เข่งเต็มตัว ๆ เข่งข้าวต้มขนม กล้วยหอมกล้วยไข่เต็มไปหมดนั่นแหละ กระต่ายเราเลยจะตายมันเอาอาหารไปปรนเปรอกันจากเข่งใหญ่ ๆ นั่นแหละ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงชมเชย ฉันน้อยดีท่านว่า ตอนอดอาหารท่านก็บอก อดเถิดเราตถาคตอนุญาต นั่นเห็นไหม ถ้าตอนที่ฉันน้อยนี้เราตถาคตปฏิบัติอย่างนั้นอยู่แล้ว ยิ่งเวลาว่าง ๆ แล้วตถาคตจะไม่ฉันมากเลย เพื่อความสะดวกในธาตุในขันธ์ ท่านไม่ได้แก้กิเลสตัวใดนะพระพุทธเจ้า ระหว่างขันธ์กับจิตที่อาศัยกันอยู่นี้ โลกสมมุติทั้งมวลจะมาอยู่ในขันธ์กับจิตเท่านั้น ที่รับทราบรับผิดชอบกันอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าไม่ได้แบกอะไรรับทราบอะไรมากมายนัก ยิ่งกว่าเรื่องของขันธ์

    ขันธ์ ๕ คือ รูปกายของเรา เวทนา ความสุข ความทุกข์ เฉย ๆ มันเกิดขึ้นจากร่างกาย สัญญา ความจดจำ สังขาร ความคิดความปรุงในเรื่องต่าง ๆ วิญญาณ การรับทราบก็เข้ามาตา หู จมูก ลิ้น กาย รับทราบอะไรมานี้ ทั้ง ๔-๕ อย่างนี้มันสัมผัสสัมพันธ์ให้ใจซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบนี้รับทราบตลอดเวลา อันนี้คือธรรมชาติที่กวนใจพระอรหันต์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น นอกนั้นไม่มากวน ขันธ์เท่านั้นมากวน พากินอยู่หลับนอนพาไปพามาพาขับพาถ่าย นี้มีแต่เรื่องของขันธ์กวนทั้งนั้น ฟังให้ดีนะ ไม่มีอะไรมากวนมีแต่เรื่องของขันธ์ มันหากเป็น ไม่ได้บอกว่ามันกวนเรานะ มันก็แสดงตามเรื่องของมัน แต่จิตผู้รับทราบก็รับทราบตลอดเวลา ถึงไม่แบกไม่หามไม่เป็นอุปาทานก็รับทราบ ก็จัดว่าเป็นภาระอันหนึ่งในเมื่อขันธ์ยังมีอยู่

    เพราะฉะนั้นท่านว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ผู้ที่จิตถึงพระนิพพานแล้วแต่ยังครองธาตุครองขันธ์อยู่ คือยังรับผิดชอบขันธ์ ๕ นี้อยู่ อนุปาทิเสสนิพพาน ผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้ว พร้อมกับธาตุขันธ์ซึ่งเป็นส่วนสมมุติดับพึบลงไปพร้อมกันหมดเท่านั้น ก็เป็นอันว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย สมมุตินี้ดับหมดเลย ท่านว่านิพพานดับ นิพพานแปลว่าดับ ดับอะไร ดับสมมุติเครื่องก่อกวนทั้งหลาย ไม่มีอะไรในจิตของพระธรรมธาตุ หรือธรรมธาตุของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ นั่นฟังให้มันชัด ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดจะว่าไง นี่ละเรื่องสมมุติทั้งมวลมาอยู่ในขันธ์ ที่พระอรหันต์ทั้งหลายท่านรับทราบ เรียกว่ารับภาระก็ถูก รับทราบอยู่ตลอดเวลา ไม่รับภาระยังไง พากินไม่กินไม่ได้ พาถ่ายไม่ถ่ายไม่ได้ เวลามันปวดนี้ไม่พามันไปขี้แตกป้าดออกไปว่าไง นั่นต้องพามันไปเข้าใจเหรอ นี่ก็เป็นภาระ ปวดขี้ปวดตด ตดไม่ค่อยเท่าไร เป็นแต่เพียงว่าเวลาจะตดก็มองนั้นมองนี้ มีใครเห็นเราไหมก็ค่อยใบ้ออกมา

    ฟังให้ถึงใจนะ ธรรมชาตินี้มีอยู่กับทุกคน เราเอามาพูดนี้ผิดที่ไหนเข้าใจหรือ ไม่มีใครพูดมีแต่อาย อายอะไร เอาไว้หน้ากิเลสเข้าใจไหม ไว้หน้ากิเลส ให้เกียรติกิเลส ถ้าจะตดก็(หมาเริ่มเห่า) หมานี้มันมากวนกูมันเป็นยังไงหมานี่ กูกำลังจะเทศน์หมัดเด็ดมันมากวนอะไรกูนี่ ฟาดปากหมาให้กูหน่อยน่ะ กูโมโหกูกำลังจะลงหมัดเด็ด ๆ นี้เลยเถลไถลไปไหนไม่รู้นะ มาตั้งขึ้นใหม่มันไม่ขลังเข้าใจไหม ถ้ามันกำลังขึ้นนี้ขลังมากนะ อันนี้หมาดัดสันดานมันเลยแฉลบ เอาละปล่อยอันนี้ไม่เอา คงแสดงว่าไอ้หมีมันไม่เห็นด้วยเพราะกลัวศาลาแตก ไอ้หมีไม่อยากให้ศาลาแตก ไอ้นี่ไม่เห็นด้วย เอาละมึงไม่เห็นด้วยกูก็ไม่เอาละ กูผ่านไปทางใหม่

    นี่พูดถึงเรื่องขันธ์มันเป็นของมันอยู่ในจิตกับขันธ์นี้เท่านั้น นอกนั้นไม่ยุ่งเลย นี่ละที่เกี่ยวข้องกับพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสแล้วอยู่ตลอดเวลามีเท่านี้ อันนี้เป็นต้นแห่งสมมุติทั้งหลายอยู่ที่จิตรับผิดชอบ พออันนี้ขาดพึบลงไปหมดขันธ์ เพราะอันนั้นดับอยู่แล้ว อันนี้พึบเดียวหมด ทีนี้สมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านเรียกว่าอนุปาทิเสสนิพพาน เรียกว่าสิ้นโดยสิ้นเชิง ไม่มีสมมุติแม้เม็ดหินเม็ดทรายเข้าไปเกี่ยวข้องเลย ท่านจึงเรียกว่านิพพานล้วน ๆ เรียก อนุปาทิเสสนิพพาน สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้ว ตัดขันธ์ออกไปขาดสะบั้นไปหมด เหลือแต่ธรรมชาติวิมุตติหลุดพ้นล้วน ๆ นั้นแหละเรียกว่านิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
    (คัดลอกบางส่วน)
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เเค่กำหนดรู้ความเป็นไปของลมหายใจ ใช่หรือไม่ครับ!?!!
     
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    นี่ไม่ใช่การกั้นหายใจอย่างที่คิด นี่เป็นเทคนิคตามพระสูตรที่ว่าเราจะเป็นผู้ระงับการสังขารมีสติหายใจออก ชัดเจนในบทพยัญชนะ ไม่ใช่ตั้งใจกั้นเอาเป็นเอาตายเพื่อความหลุดพ้น
     
  4. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    มั่วนิ่มจริงคุณนิว..........
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ใช่ครับ ในตำราบอกไว้ว่าให้มีสติหายใจเข้า ให้มีสติหายใจออก การกลั้นลมหายใจพระพุทธเจ้าทรงทดลองมาแล้วไม่สำเร็จ ในตำรามีครับ
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณ newamazing ต้องรู้จักวางสิ่งที่รู้มา สิ่งที่รู้มาอาจจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ อย่าคิดว่าเราถูกคนเดียว
    คุณเอาทิฐิของคุณไปตอบโต้คนอื่นทำไม ความจริงมันมีทั้งถูกและผิด เพียงแต่ว่าคุณจะรู้หรือไม่รู้
    บางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาประกาศให้คนทั่วไปรับรู้ คนที่รู้จริงเขาไม่พูดเขาไม่ประกาศกันครับ
     
  7. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ผมต้องการให้คนที่เขายังไม่ได้ในสิ่งที่เขาแสวงหา คุณเข้าใจของคุณอย่างนั้นคุณก็ไม่เคยทดลอง เราจะเป็นผู้ระงับกายสังขารของคุณทำอย่างไรก็อธิบานมาซิครับ
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    การระงับกายสังขารต้องใช้สติ ไม่ใช่การกลั้นลมหายใจ การเจริญอานาปานสติหมายถึงการเอาสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นเบื้องต้นของการทำสมาธิ เมื่อทำสมาธิมากเจริญให้มาก กายเบาจิตเบา ลมหายใจละเอียดมากขึ้นตามลำดับ ผมใช้คำว่าละเอียดมากขึ้นตามลำดับ ผู้ที่ทำได้จะเข้าใจได้เองว่าผมหมายถึงอะไร บางคนไปเข้าใจว่าความสงบจิตเป็นสมาธิ จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งไปคิดว่านี่เป็นนิพพาน ยังก่อนครับมันไม่ง่ายขนาดนั้น ไม่งั้นฤาษีโยคีในสมัยโบราณก็บรรลุธรรมกันหมดแล้วไม่ต้องฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า สมัยพุทธกาลพวกฤาษีโยคีส่วนมากทำศีลเจริญสมาธิบรรลุอภิญญาห้าอภิญญาหกกันมากมาย แต่ไม่มีใครบรรลุธรรมเพราะไม่ได้เดินทางปัญญา เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจึงสามารถบรรลุธรรมกันอย่างรวดเร็ว บางท่านฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงบทเดียวก็บรรลุธรรม บางท่านพระพุทธเจ้าทรงอธิบายขยายความจึงบรรลุธรรม บางท่านต้องนำธรรรมไปปฏิบัติหนึ่งวันบ้าง เจ็ดวันบ้างจึงบรรลุธรรม การปฏิบัติต้องปล่อยเป็นไปตามลำดับ 1 2 3 4 ไม่ใช่ 1 แล้วไป 4 ไปด้วยความอยากไปด้วยการกลั้นลมหายใจ ผมอ่านกระทู้ที่คุณโพสต์ไม่ต้องได้ฌานก็บรรลุธรรมเรื่องหนึ่ง เรื่องกลั้นลมหายใจเรื่องหนึ่ง ทั้งสองเรื่องนี้ผิดทั้งปริยัติและปฏิบัติเป็นมิจฉาทิฏฐิ หายใจเข้าไม่หายใจออกเท่ากับตายหายใจออกไม่หายใจเข้าเท่ากับตายเหมือนกัน การกลั้นลมหายใจก็ดีการอดอาหารก็ดี พระพุทธเจ้าทรงทดลองมาแล้ว ทางนี้ไม่ใช่สายกลาง ไม่ใช่ทางตรัสรู้ พระอาจารย์ของคุณยึดตำรายิ่งกว่าสิ่งใด คุณกลับมาบอกว่าไม่ต้องกางตำรา อย่าทำตัวเป็นไม้หลักปักเลนเลยครับ ขายตัวเองเปล่าๆ ครับ
     
  9. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เราจะเป็นผู้ระงับการสังขารมีสติหายใจออก เราจะเป็นผู้ระงับการสังขารมีสติหายใจเข้าทำอย่างไร ในการปฎิบัติอานาปานสติ ส่วนจิตที่ละเอียดที่เป็นผลจากการปฎิบัตินั้นมันเกิดขึ้นจากอะไรถ้าไม่ใช่การปฎิบัติ และนี่ก็เป็นเพียงเทคนิคที่พระองค์แสดงไว้ เราจะเป็นผู้ระงับกายสัวขานมีสติหายใจออก เราจะเป็นผู้ระงับการสังขารมีสติหายใจเข้า ตรงนี้ไม่ใช้การกลั้นหายใจเพื่อการบรรลุ ตรงนี้เป็นเพียงเทคนิคของอานาปานสติสูตรเพื่อได้มาซึ่งฌานขั้นต่างๆเข้าใจด้วยนะครับ ส่วนเรื่องวิปัสนาเพื่อเข้าสู่การบรรลุนั้นมันรู้เฉพาะตนครับก็ทำกันไปตามความคิดตนเองเถอะครับมีสอนไว้มากแล้วแต่ใครจะคิดว่าทำอย่างไร พูดไปมีใครเชื่อใครล่ะครับ
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    การเป็นผู้ระงับกายสังขารมีสติหายใจออกมีสติหายใจเข้าผู้ที่ทำตามย่อมรู้ได้เองว่าปฏิบัติได้ถึงขั้นไหน แต่เทคนิคที่คุณใช้กลั้นลมหายใจแล้วเข้าใจว่าได้ฌานกับอีกเทคนิคหนึ่งบรรลุธรรมโดยไม่ต้องทำฌาน เข้าใจว่าบรรลุธรรมแล้วนำมาสอนคนอื่นพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อเพราะเป็นแค่วิปัสสนึกครับ
     
  11. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ถ้าท่านถึงขั้นระงับกายสังขารได้จริง ไม่มีแล้วลมหายใจคุณจะรู้ได้ไงว่าลมหายใจเข้าหายใจออก ฮึอ ขั้นตอนนี้นั้นเขาให้ทำดั่งที่ผมว่าครับ ส่วนที่ว่าบรรลุโดยไม่ได้ฌานก็อีกเรื่องหนึ่งแต่ใคาทำอานาปานจะต้องได้ฌานกันทุกคนครับ เพราะปีติ สุขที่เกิดขึ้นในเวทนาที่เป็นฐานนั้นคือการพิจารณาในองค์ฌานครับ
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สองอย่างแรกเป็นวิปัสสนูผิดทั้งปริยัติผิดทั้งปฏิบัติ การระงับกายสังขารหมายถึงการมีสติรู้อยู่กับลมหายใจ เมื่อทำให้มากเจริญให้มากลมหายใจจะละเอียดขึ้นตามลำดับ ลมหายใจจะละเอียดขึ้นๆ จนถึงขั้นไม่มีลมหายใจ การระงับกายสังขารแบบนี้ไม่ใช่การกลั้นลมหายใจอย่างที่ท่านทำ อันที่สามทำอานาปานสติได้ฌานทุกคนไปฟังใครมาครับ ทำอานาปานสติร้อยคนไม่ได้ฌานไม่ได้ปิติสุขทุกคน สิ่งเหล่านี้ผู้ที่ได้ฌานต้องปฏิบัติสะสมบุญบารมีกันมาตามลำดับหลายภพชาติไม่ใช่แค่ชาติเดียว ทำอานาปานสติชาตินี้ชาติเดียวแล้วได้ฌานเลยยากมากครับ ผู้ปฏิบัติต้องทำพร้อมกันทั้งรักษาศีล ทำสมาธิ เจริญปัญญา ไม่ได้บรรลุด้วยศีลอย่างเดียว สมาธิอย่างเดียว หรือปัญญาอย่างเดียว ต้องประกอบพร้อมกันครบทั้งศีลสมาธิและปัญญาครับ บางคนไม่เคยทำสมาธิมาเลย อยากทำสมาธิ สอนยังไงก็ทำไม่ได้คนประเภทนี้มีเยอะไปสอบถามวัดที่สอนกรรมฐานได้ครับ
     
  13. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ระงับกายสังขาร มีสติหายใจเข้า(ออก)
    หมายถึง กลั้นหายใจแป๊บนึง ก่อนหายใจเข้า(ออก)

    โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด
     
  14. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    การมีสติอยู่กับลมหายใจเหรอครับคือ การที่กล่าวว่าเราจะระงับกายสังขารด้วยการหายใจออก และหายใจเข้า ถ้าอย่างนั้นการพิจาณาขั้นที่1และ2ก็น่าจะเพียงพอแล้วซิครับ จะมีขั้นที่3และขั้นที่4ทำไมครับ การทำอานาปานสติจะต้องได้ทุกคนนั้นหมายความว่าถาทำได้สำเร็จ ส่วนคนที่ทำแล้วไม่ได้ฌานปีติ สุขไม่เิกิดอย่างมากก็เรียกว่าฝึกอานาปานสติครับ ไม่ใช่เรียกว่าทำอานาปานสำเร็จครับ ส่วนใครจะได้ในชาติไหนก็อีกเรื่องหนึ่งครับเข้าใจมั้ยครับ และสิ่งที่ผมบอกนันแหล่ะครับคือสิ่งที่จะทำให้ได้มาซึ่งอานาปานสติ เพราะขั้นที่3ก็ยังไม่รูกันเลยว่าทำอย่างไร และขั้นที่4ก็ยังว่าไม่ใช่อีกมันก็เลยได้แค่นั้นไง
     
  15. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ถ้าท่านรู้ว่าใครเป็นคนสอนแล้วจะร้องว่าพระเจ้าช่วยกล้วยทอดไม่ออกนะ เพราะคำสอนนี้ไม่ได้มาจากผม ผมเพียงเป็นผู้นำมาปฎิบัติแล้วได้ผลดี
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เอาแล้วไง...

    ระวังโดนข้อหา กลายเป็นเดียรถีย์นอกพุทธศาสนา มาบิดเบือนคำสอนพระพุทธองค์...

    อานาปานสติ ฝึกเพื่อให้เกิดสติเพื่อได้รู้เท่าทันในสิ่งปรุงแต่งทั้งปวง

    ไอ้นี่หยิบเอาธรรมะของพระพุทธองค์ เอามาบอกว่า ฝึกแล้วต้องได้ฌาน ไม่งั้นไม่สำเร็จ...

    พยายามจะทำอะไรเหรอครับ? จะดึงคนออกจากทางไปนิพพานเหรอครับคุณ?
     
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อ้าว หมวดเวทนาไงที่ปิติ สุขเกิดไงถ้าใครไม่เกิดจะเรียกอานาปานสติที่เริ่มได้ผลเหรอ อย่างมากก็แค่กำลังฝึกอานาปาน
     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มั่วอีกแล้วครับคุณ

    เวทนานุปัสสนา ในสติปัฏฐาน 4 ไม่มีปีติ ครับ

    มีสุขเวทนา ทุกขเวทนา

    คุณทำฌานแบบไหนของคุณเหรอครับ ทำแล้วเกิดทุกขเวทนา?

    เลิกบิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์เถอะครับ นี่คุณจะบิดเบือนสติปัฏฐาน 4 นี่ยิ่งร้ายกาจกว่าบิดเบือนข้อคำสอนปลีกย่อยอื่นๆ เยอะนะครับ
     
  19. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ไปเอาคนสอน แล้วยกคำอธิบายของเขามาด้วยจ๊ะ
     
  20. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ดูเอาเธอย่อมทำาการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
    เฉพ�ะซึ่งปีติ(ปีติปฏิสำเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้
    พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”;
    เธอย่อมทำาการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม
    เฉพ�ะซึ่งสุข (สุขปฏิสำเวที) หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้
    พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก
     

แชร์หน้านี้

Loading...