ของสำคัญสำหรับนักปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 25 สิงหาคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]

    วันนี้เป็นวันมงคลอันยิ่งใหญ่วันหนึ่งเหมือนกัน โดยมีอาจารย์แบน วัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นประธาน มาถวายมหากุศลในวัดป่าบ้านตาด เพื่อช่วยเหลือโลก ทำประโยชน์ให้โลกซึ่งมีความขาดแคลนเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร ไม่มีใครสมบูรณ์พูนผล นี่กองอรรถกองธรรมกองบุญกองกุศลไปเฉลี่ยเผื่อแผ่ เพื่อบรรเทาทุกข์ทั้งหลายซึ่งมีอยู่ทั่วๆ ไป ที่ควรจะสงเคราะห์ได้มากน้อยจะได้สงเคราะห์กันไปโดยอรรถโดยธรรม แต่ทางเรื่องกิเลสนั้นได้เท่าไรก็ไม่พอ เศรษฐีก็ไม่พอถ้าไม่มีธรรมในใจ ถ้ามีธรรมในใจแล้วเศรษฐีก็เป็นสุข คนทุกข์คนจนก็เป็นสุข คนมีความรู้ความฉลาดฐานะสูงต่ำมากน้อยเพียงไร มีความสุขๆ ถ้ามีธรรมภายในจิตใจ จะมีระดับที่พอดีติดอยู่ในนั้น ถ้ามีแต่กิเลสจะเป็นน้ำล้นฝั่งตลอด ไหลเตลิดเปิดเปิงไม่มีเวลาหยุดยั้ง สุดท้ายตายไปด้วยความล่มจม นี่ละกิเลสกับธรรมต่างกันอย่างนี้

    วันนี้ก็เป็นวันมงคลที่ท่านอาจารย์แบนนำหมู่คณะลูกศิษย์ลูกหาศรัทธาญาติโยมผู้ใจบุญทั้งหลายมาบำเพ็ญมหากุศล เพื่อผลประโยชน์แก่ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ของเรา เพราะจะเฉลี่ยถึงกันหมดนั่นแหละ วันนี้จึงถือว่าเป็นมงคล แล้วพระเณรก็มีจำนวนมาก พระที่มาในวันนี้รู้สึกจะมีแต่พระป่าล้วนๆ พระป่านี้คือพระในครั้งพุทธกาล ขอให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้ พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญอยู่ในป่า เสด็จออกจากพระราชวังในเมือง ออกอยู่ในป่าทรงบำเพ็ญ ความเป็นอยู่ปูวายของกษัตริย์ที่มาตกทุกข์ได้ยากในป่าในเขา ไม่มีใครเกินศาสดาของเรา ท่านอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญพระองค์ที่ทุกข์ทรมานอยู่เต็มที่เต็มฐานนั้นเป็นเวลา ๖ ปี นี้เป็นเวลาที่ทรมานมากที่สุดเลยแหละ ๖ ปี ก็ได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกขึ้นมาในโลก ในท่ามกลางแห่งป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสีนั้นแหละ

    พอตรัสรู้ขึ้นมา โลกธาตุสะเทือนสะท้านกันไปหมดถึงหมื่นโลกธาตุ จากนั้นก็เป็นศาสดาสอนโลกทั่วๆ ไป สามแดนโลกธาตุนี้คือศาสดาพระองค์นี้เองเป็นผู้สั่งสอนโลกเรื่อยมา ทรงประทับอยู่ในป่าตั้งแต่ทรงบำเพ็ญ ตรัสรู้ จนกระทั่งปรินิพพาน ทรงประทับอยู่ในป่าเป็นประจำ ถ้าว่าสถาบันก็คือสถาบันแห่งพุทธศาสนา นี้คือสถาบันแห่งป่า อยู่ในป่าตั้งแต่องค์ศาสดาลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย มีแต่อยู่ในป่าๆ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในป่า ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ธรรมที่เลิศเลออัศจรรย์เกินโลกเกินสงสารนั้น ได้ปรากฏขึ้นในพระทัยของพระพุทธเจ้าในป่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ บรรดาพระสงฆ์ที่เข้าไปอบรมศึกษากับพระพุทธเจ้าอยู่ในป่าในเขา สำเร็จเป็นผลขึ้นมาโดยลำดับลำดา ตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกคือความเชื่อมั่น อจลศรัทธาในธรรมทั้งหลาย ก้าวเข้าไปถึงพระโสดา พระสกิทา พระอนาคา พระอรหันต์ กลายเป็นสรณะของโลกขึ้นมา จากการบำเพ็ญในป่าของท่านนั้นแล

    เพราะฉะนั้นพระที่มาจากในป่าในเขา จึงเป็นพระที่สืบเนื่องมาจากสกุลของศาสดาเราดั้งเดิมจนกระทั่งบัดนี้ ถ้าผู้ยังมีความรักใคร่ใฝ่ธรรมอยู่แล้ว ต้องเป็นผู้รักผู้สงวน บำเพ็ญในป่าอยู่เสมอไป มรรคผลนิพพานไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ท่านเรียกว่าอกาลิโก คือไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาเป็นอุปสรรคกีดขวางได้เลย ถ้าผู้บำเพ็ญเป็นไปตามอรรถธรรมของพระพุทธเจ้า ที่สั่งสอนไว้แล้วด้วยความชอบธรรม ที่เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว อยู่อย่างนี้แล้วจะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลตลอดมาแล้วก็ตลอดไป เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบ สม่ำเสมอ ถูกต้องในธรรมทุกขั้นทุกภูมิตลอดไปถึงมรรคผลนิพพาน ไม่นอกเหนือไปจากสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้เลย

    บรรดาพระที่ท่านมาวันนี้ ส่วนมากมีตั้งแต่มาจากป่าจากเขา เป็นโอกาสอันดีงามอันหนึ่งก็คือ ท่านตามครูตามอาจารย์มาบำเพ็ญกองการมหากุศล เพื่อประโยชน์แก่โลกและแก่ตนที่เป็นต้นเหตุ แล้วก็เป็นโอกาสอันดีงามที่จะได้มาเยี่ยมครูบาอาจารย์สักครั้งหนึ่งๆ เช่นในวันนี้ เราก็อยู่ในฐานะเป็นอาจารย์ของบรรดาพระทั้งหลายตลอดมา เวลานี้ก้าวเข้าถึงขั้นอาจารย์ จากขั้นอาจารย์ก็ขึ้นขั้นหลวงตา เดี๋ยวนี้อยู่ในขั้นหลวงปู่บัวแล้ว นี้ไม่นานหลวงปู่บัวนี้ก็จะตายเช่นเดียวกับโลกทั้งหลายเขาตายกัน

    แต่เรื่องความตายนี้เป็นเรื่องสภาวธรรมที่มีประจำอยู่ในโลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สำหรับใจนั้นไม่มีอดีตอนาคต ปัจจุบันไม่มี เรื่องเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล สละปัดออกโดยสิ้นเชิงจากการบำเพ็ญธรรมในป่าในเขาลำเนาไพร มาตั้งแต่วันออกขึ้นเวทีต่อกรกับกิเลส หลังจากศึกษาเล่าเรียนได้ตามความปรารถนาแล้ว เป็นเวลา ๗ ปี จากนั้นก้าวขึ้นสู่เวทีแชมเปี้ยนเลย กิเลสเป็นแชมเปี้ยนอันใหญ่หลวง แล้วธรรมะยังไม่ขึ้นแชมเปี้ยน จะเป็นมวยเลี้ยงควายหรือมวยวัดก็ตาม ก็ฟัดกันไปฟัดกันมา ก็กลายเป็นนักมวยแชมเปี้ยนขึ้นมา ต่อกรกับกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ

    จิตใจกลายเป็น อกาลิโก แล้วที่นี่ ธรรมจ้าขึ้นมาจากการปฏิบัติของตนเอง ตั้งแต่บัดนั้นมาเราก็หายสงสัยในธรรมทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วมากน้อย ไม่มีสงสัยอะไรเลย กราบพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์อย่างราบเรียบ ประหนึ่งว่าพระองค์ประทับอยู่บนศีรษะของเราทุกๆ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในที่นี่ จิตใจกราบท่านอย่างเรียบราบ หาที่สงสัยไม่ได้ในธรรมที่ตนทรงไว้จากการบำเพ็ญมา และที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วตั้งแต่ต้นมาทุกๆ พระองค์ เฉพาะอย่างยิ่งศาสดาของเราองค์นี้ ได้สอนไว้แล้วด้วยความถูกต้องแม่นยำ เวลานำมาปฏิบัติก็เห็นผลประจักษ์ใจตลอดมา จึงว่า อกาลิโก คือธรรม

    พระที่ท่านมาเหล่านี้ท่านอยู่ในป่าในเขา ในป่าในเขาเป็นที่สงบงบเงียบ ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอารมณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งก่อกวนจิตใจ ให้ดำเนินทางด้านอรรถธรรมไม่สะดวก ท่านจึงชอบอยู่ในป่าในเขา อารมณ์ก็น้อย ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ไม่เป็นภัยเหมือนเข้ามาคละเคล้ากับโลกมนุษย์เรา มนุษย์เรานี้มีบริษัทบริวารของมนุษย์มากมายขนาดไหน มากต่อมากเรียกว่าเป็นภัยทั้งนั้นสำหรับผู้โง่เขลาเบาปัญญาต่อกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ มันจะฉุดลากไปเรื่อยให้พากันล่มจมๆ แต่เรื่องธรรมนั้นฉุดลากขึ้นมา

    เพราะฉะนั้นพระที่อยู่ในป่าในเขา ท่านจึงชอบอยู่ในสถานที่เช่นนั้น เพื่อไม่ให้กิเลสมันฉุดลากไปได้อย่างง่ายดาย มีธรรมเป็นเครื่องสกัดลัดกั้นต้านทานกันไว้ด้วยการบำเพ็ญภาวนา มีสติปัญญาประจำอิริยาบถของตน สติเป็นของสำคัญสำหรับนักปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆ แล้ว สติเป็นพื้นฐานอันสำคัญมากทีเดียว ขอให้พระลูกพระหลานจำเอาไว้ หลวงตาได้เคยดำเนินมาแล้วไม่สงสัย สติเป็นพื้นฐานตั้งแต่ธรรมขั้นพื้นๆ จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น เรียกว่า มหาสติมหาปัญญา ฆ่ากิเลสขาดสะบั้นหั่นแหลกไม่มีอะไรเหลือจากสติ จากนั้นก็เป็นปัญญา ต่อไปสติปัญญากลมกลืนกันเป็นอันเดียวแล้ว กิเลสมาที่ไหนขาดสะบั้นไปหมดๆ เพราะความมีสติ

    การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาถือเอาสติเป็นสำคัญ อย่าไปถือเอาการเดินหย็อกๆ แหย็กๆ นั่งสมาธิเหมือนหัวตอ ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยเหมือนหัวตอ หัวตอเขาไม่มีใจ แต่หัวตอคนใจโง่ใจเขลาเบาปัญญา ใจเซ่อๆ ซ่าๆ อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ นั่งอยู่ให้มีสติ เดินมีสติ อิริยาบถทั้งสี่ให้มีสติเป็นเครื่องประคับประคองจิตใจซึ่งเป็นตัวดีดดิ้น เนื่องจากกิเลสฉุดลากไปทางโน้นฉุดลากไปทางนี้ ธรรมสกัดลัดกั้นเอาไว้ด้วยสติ ด้วยปัญญา ศรัทธา ความพากเพียร ความอดความทน อดกลั้นขันตีให้ดี บังคับสติให้อยู่

    กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตาม สติจะเป็นกำลังอันยิ่งใหญ่ต้านทานกระแสของกิเลสได้ทุกกระแสไม่ให้แสดงตัวออกมาได้เลย เช่นจิตของเราธรรมดานี้มันจะเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ความอยากคิดอยากปรุง อยากรู้อยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเต็มหัวใจด้วยกันนั่นแหละ นี่คือทางเดินของกิเลสมันราบรื่นไปหมด ทีนี้เอาทางเดินของธรรมเข้ามาสกัดลัดกั้นทางเดินของกิเลส ไม่ให้มันคิดมันปรุงเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งเป็นกิเลสล้วนๆ แต่ให้คิดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรม

    เช่นผู้บำเพ็ญภาวนาถ้าสติดี เอา กิเลสมันจะผลักดันออกมาขนาดไหน อยากคิดอยากปรุงเหมือนอกจะแตกก็ตาม แต่สติบังคับเอาไว้ไม่ยอมให้คิด ความผลักดันของกิเลสที่เกิดขึ้นมาจาก อวิชฺชาปจฺจยา เป็น สงฺขารา เป็นสมุทัยด้วยกัน มันจะออกมาไม่ได้ สติจับเอาไว้ติดเอาไว้ปิดเอาไว้ แล้วเอาคำบริกรรม ผู้ที่ตั้งรากตั้งฐานเบื้องต้นให้เอาคำบริกรรมคำใดก็ตามติดไว้นั้น เช่นชอบคำบริกรรม พุทโธบ้าง ธัมโมบ้าง สังโฆบ้าง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา บ้าง หรือมรณัสสติบ้าง ตามแต่จริตนิสัยชอบ นี้แลคืออารมณ์แห่งธรรม นำมากำกับไว้กับจิตเป็นคำบริกรรมของจิต แล้วสติติดแนบอยู่กับคำบริกรรมนี้ ไม่ยอมให้สังขารที่มันคิดเป็นสมุทัยนั้นโผล่ขึ้นมาได้ บังคับไว้

    เอาให้หนักทีเดียวนะ ผู้ที่จะตั้งรากฐานได้ทีแรกต้องเป็นผู้มั่นคงในสติ นี่ได้ดำเนินมาแล้วพูดให้ท่านทั้งหลายฟังอย่างอาจหาญชาญชัย เพราะเคยฟัดเคยเหวี่ยงกันมาแล้ว เป็นนักมวยเหมือนว่าล้มลุกคลุกคลาน เวลาเอากันอย่างหนักก็หนักถึงขนาดล้มลุกคลุกคลาน แต่ไม่ยอมให้เผลอสติ เอาให้ติดแนบสติ สุดท้ายกิเลสที่มันผลักดันออกมาให้ล้มลุกคลุกคลานก็ค่อยอ่อนตัวลงๆ สติดีขึ้นๆ อารมณ์ที่ผลักดันก็ค่อยเบาไปๆ เน้นหนักสติให้มากขึ้นๆ จิตจะเข้าสู่ความสงบได้ จำให้ดีนะผู้ปฏิบัติธรรม นี่การตั้งรากฐานในเบื้องต้นตั้งด้วยสตินะ เอาให้จริงให้จังกับสติ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปมาที่ไหน อิริยาบถทั้งสี่เป็นไปด้วยสติติดแนบกันตลอดเวลาเลย นี่เรียกว่าผู้ประกอบความเพียรเพื่อความพ้นทุกข์โดยแท้จริง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วตั้งได้สติ จิตนี้เป็นรากฐานขึ้นมาได้เลย

    เริ่มต้นตั้งแต่ความสงบ เมื่อกิเลสไม่กวน สติรักษาอยู่จิตก็สงบได้ เมื่อสงบแล้วก็เย็นขึ้นมา จากนั้นแสงสว่างไสว เลยจากนั้นไปก็จิตเป็นสมาธิ คือสมถะความสงบใจก่อน สงบใจหลายครั้งหลายหนก็สั่งสมพลังขึ้นมากลายเป็นสมาธิ ความแน่นหนามั่นคงขึ้นภายในใจได้ แต่สติไม่ยอมถอย จากนั้นสมาธิของเราคือความแน่นหนามั่นคง เรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ อยากคิดอยากปรุงเรื่องอะไรๆ แต่ก่อนมานั้นจนอยู่ไม่ได้ทนไม่ได้ กลับไม่อยากคิด ความคิดปรุงต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสสมุทัยนั้นสงบตัวลงไปเพราะอำนาจแห่งสมาธิคือความสงบใจของธรรมบังคับมันไว้ จิตติดอยู่กับสมาธิ เพลิดเพลินในสมาธิ อยู่คนเดียว อารมณ์อันเดียว เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์อันเดียวแน่วอยู่อย่างนั้น เลยสงบเย็นไปหมด

    จากนั้นออกทางด้านปัญญา นักปฏิบัติภาวนาอย่าหนีจากร่างกายนะ กายคตาสตินี้เป็นสำคัญมาก เรือนอริยสัจ มีทั้งทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค กิเลสกับธรรมอยู่ด้วยกันในกายนี้เป็นฐานสำคัญฐานหนึ่ง ให้พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ แยก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ฟาด อสุภะอสุภังให้มันพังไปหมดทั้งเขาทั้งเรา ทั้งหญิงทั้งชาย สัตว์ทั่วโลกดินแดน เป็นสภาพอันเดียวกันนี้หมด พิจารณาเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง ที่มันติดภูเขาภูเราอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ก็คือติดเราติดเขานั่นแหละ ฟาดลงไปด้วยกฎแห่งอสุภะอสุภัง ตีลงไปๆ แยกธาตุแยกขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก แยกสัดแยกส่วนออกไปมันเป็นอะไร มันเป็นสัตว์ที่ตรงไหน บุคคลที่ตรงไหน เป็นหญิงเป็นชายที่ตรงไหน เป็นของสวยของงามที่ตรงไหน

    ไล่เข้าไป ดูเข้าไป มันก็ไม่เห็นมีอะไร นี่ละปัญญาสอดส่องเข้าไปหาความจริง กิเลสมันจอมปลอมมันหลอกว่าดีทั้งหมด อะไรดีทั้งหมด เพียงหนังกำพร้าที่หุ้มห่อร่างกระดูกนี้ไว้มันก็ว่าสวยว่างาม เพียงหนังกำพร้าบางๆ ปิดได้ตามนุษย์เรา โง่มาก ติดได้สบาย หลงกันทั่วโลกดินแดน เอาปัญญาส่องเข้าไป ผิวหนังกำพร้า ฟาดเข้าถึงเนื้อถึงเอ็นถึงกระดูก ตับไตไส้พุงทะลุไปหมด นี้คือปัญญาส่องแสงเข้าไปแล้วเรื่องสัตว์เรื่องบุคคล เรื่องหญิงเรื่องชาย เรื่องสวยเรื่องงามพังลงไปหมด เพราะสติปัญญานี้ตีเข้าไปๆ จากนั้นจิตใจก็มีแต่ความสงบเย็น แล้วก็มีความแยบคายทางด้านปัญญา หาแต่ทางที่จะออกให้หลุดพ้นจากภาระคือภูเขาภูเรานี้โดยถ่ายเดียว แล้วพิจารณาเร่งเข้าไป

    ปัญญาเมื่อถึงขั้นอสุภะอสุภังนี้แล้วต้องหมุนให้ชำนาญนะ อย่าว่าทำแล้วทำเล่าหลายครั้งหลายหน อย่าเอาเที่ยวเอาครั้งมาพูด เอาความชำนาญเข้ามาพูดถึงจะถูก เหมือนเขาคราดไร่คราดนา คราดไปหลายครั้งหลายหน ถือเอาความพอเหมาะพอดีของมูลคราดมูลไถเป็นสำคัญ ถ้ามูลคราดมูลไถยังไม่แหลกไม่สมควรแก่การปักดำ ต้องคราดต้องไถกลับไปกลับมาอยู่นั่นเอง นี่ถ้ายังไม่ละเอียดในความเป็นอสุภะอสุภัง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ยังไม่ประจักษ์กับปัญญาอย่างชัดเจนแล้ว เอา พิจารณากลับไปกลับมาเหมือนเขาคราดนา เอาจนกระทั่งเรื่องร่างกายทั้งหลายอสุภะอสุภัง เมื่อมันชำนิชำนาญไปที่ไหนมันเห็นหมดนะ ไม่ว่าเขาว่าเรามันจะไม่เห็นละว่าเป็นหญิงเป็นชายเป็นนั้นเป็นนี้ ใครชำนิชำนาญในอะไรมันจะเห็นชัดเจนในอันนั้น เช่นเนื้อ เช่นหนัง เช่นกระดูก ตับไตไส้พุง ใครชำนาญทางไหนมันมองเห็นอันนั้นละก่อนๆ

    เอาให้ชำนาญ มองดูที่ไหนเป็นเรื่องอย่างนี้ทั้งนั้นๆ ประจำในจิตหรือในปัญญาขั้นนี้ๆ เอาให้แน่นหนามั่นคง เมื่อพิจารณาลงไปเต็มที่ๆ แล้ว รวมอสุภะอสุภังทั้งหมดเข้ามาตั้งไว้ต่อหน้าตัวเอง เอา มันจะเป็นยังไงอสุภะอสุภัง อสุภะเขาก็ตาม อสุภะเราก็ตาม เอามาตั้งไว้ตรงหน้านี้ มันจะเคลื่อนไหวไปมาที่ไหนอสุภะอสุภังตัวนี้ เอ้า ดูตัวนี้อีก ถ้าดูตัวนี้มันยังไม่เคลื่อนไหวไปมาที่ไหนเลยเหรอ เอ้า ทำลาย ที่มาดูตัวนี้ก็เพื่อดูความเคลื่อนไหวของมัน มันจะเคลื่อนไหวเข้าข้างในหรือจะออกข้างนอก หรือมันจะไปทางไหน ดูความจริงของมัน

    ทีนี้เมื่ออสุภะอสุภังมีความชำนิชำนาญพอตัวแล้วนั้น เรากำหนดอสุภะภายนอกเข้ามาอยู่ต่อหน้าต่อตานี้แล้วเพ่งดูอสุภะอันนี้ อสุภะอันนี้จะหมุนเข้ามาภายในใจของเรา ถูกจิตนี้กลืนเข้ามาๆ อสุภะภายนอกเลยกลายเข้ามาเป็นอสุภะภายใน เพราะอสุภะภายในนี้กลืนเข้ามา สุดท้ายก็ตัวจิตนี้เองเป็นสุภะคือความสวยความงามก็ดี เป็นอสุภะคือความไม่สวยไม่งามก็ดี คือสังขารตัวนี้เองหลอกเรา พอจับนี่ได้แล้วอสุภะภายนอก สุภะภายนอก จะกระจายไปหมด สุภะอสุภะภายนอกทั้งหลายนั้นจะไหลเข้ามาสู่อสุภะภายใน อยู่ในจิตใจของตัวเอง เพ่ง จากนี้พอมันเข้าใจชัดเจนแล้วว่านี้คือสังขารหลอกเรา อสุภะตัวชำนาญนี้พิจารณาให้ชัดเจน แล้วจะรู้ว่าอสุภะอันนี้เป็นตัวสังขารที่ออกไปหลอกเรา เข้ามาสู่ภายในเลยกลายเป็นอสุภะภายในใจไป ปัดอสุภะภายนอกออกได้หมด ทีนี้จิตก็ขาดไปจากราคะตัณหาตัวยุ่งเหยิงวุ่นวาย ตัวก่อกวน ตัวกดตัวถ่วงไปโดยลำดับ

    นี่วิธีการพิจารณา เอาอสุภะอสุภังให้ชำนิชำนาญ แล้วก็มาตั้งดู เพ่งดูมันจะไปไหน เราจะหาความจริงจากอสุภะตัวนี้ อสุภะตัวนี้มาจากไหน พอเวลาเต็มที่ของมันแล้วอสุภะนี้จะไม่ไปไหน มันจะหมุนเข้าภายใน แต่อย่าไปคาดนะ ให้ดูความจริงของมันมันจะเคลื่อนไหวไปไหน ถ้าคาดหมายไม่ถูก ดูตามหลักความจริงในปัจจุบัน ถ้ามันพอตัวของมันแล้วจะหมุนเข้ามาสู่ภายใน จิตนี้จะกลืนอสุภะนั้นเข้ามาๆ จนกลายเป็นจิตอสุภะอยู่ภายใน ภายนอกมันก็ปัดหมด

    ทีนี้ก็ยกอสุภะที่เคยเป็นนี้ขึ้นมาฝึกซ้อมแล้วมันก็จะกลืนเข้ามา ฝึกซ้อมแล้วกลืนเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งความฝึกซ้อมอสุภะภายนอกกลืนเข้ามาเป็นอสุภะภายใน เร็วเข้าไปๆ สุดท้ายกลายเป็นแสงหิ่งห้อยหรือฟ้าแลบเท่านั้น แย็บ ปรุงขึ้นพับดับปุ๊บๆ ดับที่ใจๆ ฟังให้ดีนะผู้ปฏิบัติทั้งหลาย จากนั้นแล้วก็ว่างไปเลย ทีนี้พอว่างแล้ว เรื่องร่างกายทั้งหมดที่ว่าภูเขาภูเราก็หมดปัญหา เอาอันนี้เป็นการฝึกซ้อม ไม่หมดเพียงที่ว่ามันมากลืนอยู่ภายใน ยังไม่แล้ว เอาอสุภะที่ตั้งไว้นั้นมาฝึกซ้อมให้มันกลืนเข้ามาๆ จนกระทั่งมันชำนิชำนาญ อสุภะภายนอกนั้นเข้ามาภายในเป็นเหมือนกับฟ้าแลบ ดับไปๆ ทีนี้อสุภะอสุภังหมดไปเลย จิตก็กลายเป็นนามธรรมไปเลย เรื่องสังขารร่างกายหมดปัญหา มีแต่พิจารณาเรื่อง สัญญา สังขาร วิญญาณ ความคิดความปรุงแต่งอะไร

    แต่พื้นฐานที่จะฝึกซ้อมกันอยู่เรื่องอสุภะนี้ต้องมีอยู่เสมอ มันหากรู้ในตัวเองผู้ปฏิบัติ จนกระทั่งมันว่างไปหมด จิตว่างจากอสุภะอสุภังเป็นอากาศธาตุ ว่างไปหมด ดูอะไรว่างไปหมดๆ แต่ยังไม่ว่างภายใน นั่น อันหนึ่งนะ

    พอพิจารณาชัดเจนเข้าไปแล้วภายนอกก็ว่าง พิจารณาเข้าภายในระหว่างสัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มันคิดมันปรุงจากอวิชชานี้ มันไหลเข้าไปสู่อวิชชาซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ แล้วตามเข้าไปๆ ก็ไปถึงอวิชชา พอถึงอวิชชาแล้วสิ่งเหล่านี้มันก็ปล่อยผึงนี้ว่างหมด นั่น ว่างภายนอก แต่ยังไม่ว่างภายในตัวเอง

    ทีนี้พิจารณาตัวเองจนกระทั่งถึงอวิชชาตัวขวางโลกอยู่นั่นขาดสะบั้นลงไป ว่างไปหมดที่นี่ ข้างนอกก็ว่างข้างในก็ว่าง วางทั้งข้างนอกวางทั้งข้างใน ปล่อยทั้งข้างนอกปล่อยทั้งข้างใน นั่นแลถ้าเป็นศัพท์พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าตรัสรู้ ศัพท์ของสาวกเรียกว่าบรรลุธรรม ถึงแล้วซึ่งแดนพ้นทุกข์

    ทีนี้อสุภะอสุภัง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทั้งหลายที่เคยก้าวเดินมา ก็เหมือนเราก้าวเดินจากบันไดนี้ขึ้นถึงบ้านแล้ว บันไดก็ปล่อยกันไปๆ นี่ทางก้าวเดินเข้ามาตั้งแต่อสุภะอสุภังนี้เป็นทางทั้งนั้น พอถึงขั้นนามธรรม นามธรรมก็เป็นทางก้าวเดินอีกทางหนึ่ง ถึงขั้น อวิชฺชาปจฺจยา เรียกว่าถึงบ้าน ฟาดอวิชชาขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วไม่มีอะไร นั่นถึงบ้านโดยแท้จริง คือวิมุตติหลุดพ้น ทีนี้อสุภะอสุภัง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งเป็นเส้นทางหมดความหมายไปทันที

    ให้พากันปฏิบัติอย่างนี้นะ วงกรรมฐานเราให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ อย่าอยู่เฉยๆ อยู่ป่า พวกกวางพวกฟานหมูหมาเป็ดไก่เขาอยู่ในป่าได้ ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร ต้องอยู่แบบพระกรรมฐาน ให้มีสติปัญญา อย่าไปตื่นโลกสงสาร มันมีแต่เกิดกับตายกับความยุ่งเหยิงวุ่นวายจากอวิชชาฉุดลากไปทั้งนั้นแหละ ถ้ามีธรรมแล้วจะคัดค้านต้านทานเข้าสู่ความสงบเย็นใจความแน่นหนามั่นคงได้ ให้ลูกหลานทั้งหลายเอาไปพิจารณานะ เทศน์วันนี้ก็เพียงเท่านี้แหละ เทศน์มากกว่านี้เหนื่อย ลำบาก ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย ทั้งพระลูกพระหลานประชาชนทั้งหลาย ให้มีความสงบร่มเย็นโดยทั่วกันเทอญ

    เช็คที่อาจารย์แบนถวายมาวันนี้ทั้ง ๒ ฉบับคิดเป็นเงินแล้ว ๑ ล้านบาท เงินสด ๑ แสน ๕ หมื่นบาท (สาธุ)

    ทองคำเราก็ได้สมมักสมหมายถึงเป้าหมายเลยนะ ทองคำได้ถึง ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่งเข้าสู่คลังหลวงเรียบร้อยแล้ว ดอลลาร์ ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่าเข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว เวลานี้พวกทองคำอะไรนี้กำลังไหลซึมเข้ามา เราก็จะรวบรวมอันนี้หลอมอีก จะสมทบเข้าไปๆ สู่คลังหลวงของเราๆ ในครั้งนี้

    ให้พร ยถา วาริวหาฯฯ

    พอใจวันนี้พอใจในกองบุญใหญ่นะ พอใจกับกองบุญใหญ่ วันนี้ไม่ใช่กฐินก็ฟาดเป็นล้านขึ้นไปแล้วว่าไง ของเล่นเมื่อไร วัดดอยธรรมเจดีย์ทำหนักมือทุกที เริ่มช่วยชาติทีแรกได้กฐินยกมาให้หมดช่วยชาติ ปีที่ ๒ ได้กฐินยกมาให้หมดช่วยชาติ ครั้งที่ ๓ มานี้พอดีหลวงตาสู้ไม่ไหวเป็นลมกำลังเทศน์ พอดีมองไปเห็นศาลากำลังหมุนนี่กำลังจะล้มนะ พอรู้สึกตัวแล้วปุ๊บปั๊บต้องกดเส้นนี้ทันที ไม่อย่างนั้นล้มในเวลาเทศน์นะ เพราะมันแย็บยังไงไม่ทราบนะ มองไปศาลาหลังนี้กำลังหมุนติ้วๆ นี่มันกำลังจะล้มเจ้าของรู้เสียก่อน พอรู้ก็รีบมากดเส้นนี้ก็ค่อยเบา นี่เป็นครั้งที่ ๓ อาจารย์แบน วัดดอยธรรมเจดีย์มานี่ถวายเงิน ๕ ล้านของเล่นเมื่อไร ครั้งที่ ๓ ห้าล้าน ครั้งนี้ตั้งล้านกว่าๆ เข้าใจไหม ของเล่นเมื่อไร หนักมือทั้งนั้นแหละ

    เอาละหลวงตาขอขอบคุณและอนุโมทนา กับทางวัดดอยธรรมเจดีย์กับพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกัน ขอให้มีความสุขความเจริญทั่วหน้ากันนะ

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมคณะวัดดอยธรรมเจดีย์ ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ (บ่าย)
     

แชร์หน้านี้

Loading...