ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ด้วยในปัจจุบันพระภิกษุสงฆ์อาพาธตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น รพ.สงฆ์ ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็นเนื้อนาบุญของเรา ดังคำกล่าวที่ว่า"ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงรักษาภิกษุป่วยไข้" ด้วยเหตุและปัจจัยแห่งเนื้อนาบุญอันมีอานิสงส์ที่ประมาณมิได้นี้ ประกอบกับเป็นการเชิดชูครูอาจารย็ที่ได้อบรมความรู้ และถ่ายทอดประสบการณ์ในเรื่องอภิญญาจิต และความรู้เรื่องพระพิมพ์สกุล วัดพระแก้ววังหน้า พระพิมพ์สกุลบรมครูเทพโลกอุดรของ ท่าน อ.ประถม อาจสาคร กระผมและคณะจึงได้ก่อตั้งกองทุนขึ้นมาในรูปแบบของทุนนิธิ เพื่อรวบรวมเงินบริจาคที่จะได้มานำไปบริจาคให้หรือรักษาไข้แก่พระภิกษุสงฆ์อาพาธที่ยากไร้ ตามโรงพยาบาลต่างๆ หรือบำรุงศาสนกิจที่จำเป็นตามที่คณะกรรมการของกองทุนจะได้พิจารณาขึ้น ดังนั้น กระผมและคณะจึงใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพุทธศาสนา ด้านการรักษาสงฆ์ หรือศาสนกิจอื่นๆ โดยการบริจาคเข้า บัญชี "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" (pratom foundation) บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส) บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9


    พร้อมนี้ คณะทำงานมีพระพิมพ์ที่แจกให้ฟรีเพื่อเป็นกำลังใจในการทำความดีของแต่ละคน ไม่เกี่ยวกับการบริจาคหรือไม่บริจาคในกระทู้นี้ เป็นพระพิมพ์ตามรูปข้างล่างนี้ ซึ่งพระพิมพ์ดังกล่าวนี้สำคัญนัก อ.ประถมฯ บอกว่าข้างในยังเป็นเนื้อผงยาวาสนาซะด้วย แถมด้วยพลังบารมีของท่านผู้อธิษฐานจิตไม่เป็นรองใคร จึงหายห่วงเรื่องพลังกฤตยาคม
    <!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    </FIELDSET>

    โมทนาทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิฯและทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ
     
  2. thanyaka

    thanyaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +2,497
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ โสระ [​IMG]
    รายชื่อที่จัดส่งแล้ว
    1. mea
    2. thanyaka
    3. Choke mu-7
    4. asies 2497
    5. noom_bua
    6. newcomer
    7. เพชร
    8. พุทธันดร
    9. กุ้งมังกอน
    10.ตั้งจิต
    11.นว

    ท่านใดได้รับพระแล้วมีชำรุดหรือยังไม่ได้รับตามรายชื่อด้านบนแจ้งมาที่ผมได้ครับไว้จะจัดส่งให้ใหม่<!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ได้รับพระแล้วไม่มีชำรุดค่ะ ขอบคุณค่ะ ขอโทษที่แจ้งช้า เพราะไม่ค่อยสบาย
    เพิ่งอ่านเจอเรื่องคุณพันวฤทธิ์ ขอให้หายไวๆ สุขภาพแข็งแรง
    อนุโมทนากับผู้บริจาคไตด้วย
     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    ขอรายงานเรื่องสุขภาพของคุณพันวฤทธิ์สักหน่อยนะครับว่าตอนนี้อาการทั่วๆไปไม่มีปัญหาอะไร สามารถพูดคุยได้แล้วเมื่อวานก็ได้คุยกันนิดหน่อย ตอนนี้ก้ต้องพักผ่อนให้มากๆเท่านั้นแหละครับ สรุปว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับซึ่งก็น่าดีใจที่สามารถฟื้นตัวได้เร็วส่วนหนึ่งก็มาจากบุญกุศลที่คุณพันวฤทธิ์ได้สร้างเอาไว้และอีกส่วนหนึ่งก็มาจากความห่วงใยและคำอวยพรของทุกๆท่านก็ต้องกราบขอบพระคุณทุกๆท่านมา ณ.ที่นี้ด้วยครับ

    ตอนนี้ก็ยังมีท่านผู้เมตตาบริจาคเข้ามาเรื่อยๆก็ต้องขอกราบขอบพระคุณและโมทนาในบุญกุศลที่ทุกๆท่านได้ร่วมกันสร้างด้วยนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    108 แก่นธรรมจากพระกรรมฐาน

    การฝึกจิตทุกคนให้ใช้ปัญญานะ อย่าสักแต่ว่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาเหตุผลของตัวเองที่บำเพ็ญไปเป็นยังไงต่อยังไงให้เทียบ นี้ได้พิจารณามาตลอดดังที่เคยพูดให้ฟัง จิตเจริญแล้วเสื่อมๆ มันเป็นยังไง ปีกับห้าเดือนเราก็ไม่ลืม คือมันเป็นอย่างนั้นแล้วมันสดๆ ร้อนๆ นะ ทุกข์ที่สุดผู้ที่มีสมาธิภาวนาแล้วจิตเสื่อมลงไปนี้ ทุกข์มากยิ่งกว่าคนที่เขาไม่เคยภาวนานะ คือมันเห็นผลเป็นที่พอใจแล้ว เหมือนว่าเราได้เงินเป็นล้านๆๆ นะ ทีนี้มาเสื่อมไปหมดเลยไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เหมือนเขามีเงินเป็นล้านๆ ล่มจมไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง แม้จะมีเงินอยู่ในบ้านในเรือนเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่มีความหมาย จิตมันไปเกาะอยู่กับสมบัติที่ล่มจมไปนั้นเป็นกองทุกข์มาก
    ทีนี้ภาวนาของเราก็เหมือนกัน เวลาจิตเสื่อมนี้ไม่มีอะไรในตัว หมดเนื้อหมดตัว มีแต่กองทุกข์สุมอยู่ทั้งวันทั้งคืน พยายามตั้งขึ้นๆ ๑๔-๑๕ วัน ตั้งขึ้นได้เพียงสองคืนแล้วเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา เสื่อมลงอย่างอุตลุดเลยไม่ได้ฟังเสียงใคร จึงเอามาทดสอบดู เอ๊ะ มันเป็นยังไง เราก็พยายามดันขึ้น ไปถึงนั้นแล้วเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา เป็นอย่างนี้มาได้ปีกับห้าเดือน ทุกข์มากที่สุดนะ คนผู้มีจิตเจริญแล้วเสื่อมนี้ทุกข์มากที่สุด ยิ่งกว่าเขาไม่เคยภาวนานะ คือมันเคยเห็นรายได้มาแล้ว มันไปล่มจมเอาเสียด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังที่กล่าวตะกี้นี้ว่าเหมือนเขามีเงินล้านนั่นละ ไปล่มจมเอาเสียทุกข์มากนะ คนนี้ทุกข์มากยิ่งกว่าตาสีตาสาหากินอยู่ตามท้องนาเป็นไหนๆ
    คือเวลาจิตมันเจริญแล้ว มันเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ในใจประจำตลอด แต่เสื่อมลงไปแล้วมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้มันทุกข์มาก จึงได้มาทดสอบมันเป็นเพราะเหตุไร เราก็ตั้งสติพยายามทั้งวันทั้งคืนมันก็เจริญขึ้นไป ถึง ๑๔-๑๕ วันเจริญ ถึงนั้นแล้วอยู่เพียงสองคืน คืนสามนี้เสื่อม เหมือนกลิ้งครกลงมาจากภูเขาอะไรห้ามไม่อยู่ ผึงเลย ไม่มีอะไรติดตัว หมดกำลัง เอ้า เอาอีกๆ อยู่อย่างนั้น เป็นอย่างนั้นตลอดมา พอถึงสองคืนสามคืนแล้วไม่อยู่ เสื่อม ทีนี้จึงมาพิจารณาทดสอบเหตุผลกลไก เอ๊ นี่จะเป็นเพราะเราขาดคำบริกรรมภาวนา สติอาจจะเผลอไปตอนนั้นก็ได้จิตถึงได้เสื่อม เอ้า ทีนี้ตั้งใหม่ มีข้องใจอยู่จุดนี้เท่านั้นแหละ ทีนี้จะเอาคำบริกรรมติดกับใจ
    เพราะไม่มีงานอะไรมีแต่งานภาวนาอย่างเดียว แล้วอยู่คนเดียวเสียด้วย เอาละที่นี่พิจารณาลงตัวแล้ว คือจะเป็นเพราะขาดคำบริกรรม สติอาจจะขาดไปตรงนั้นก็ได้จิตถึงได้มีเวลาเสื่อมได้ คราวนี้จะเอาคำบริกรรมให้ติดกับจิต และสติให้ติดแนบอยู่กับคำบริกรรมไม่ยอมให้เผลอเลย เอา ทีนี้มันจะเสื่อมไปทางไหนให้รู้กันตรงนี้ พอลงใจแล้วก็เอาละที่นี่ แต่มันจริงจังมากนะเรา เหมือนระฆังดังเป๋งนี้ต่อยกันแล้วนักมวย คำบริกรรมกับคำไม่ให้เผลอ พอเอาละที่นี่ระฆังเป๋งก็ใส่ปุ๊บเลย ไม่ให้เผลอ ตั้งแต่เริ่มปั๊บไม่ให้เผลอเลย ทั้งวันไม่ยอมให้เผลอไปไหน ให้อยู่กับคำบริกรรมคือพุทโธ เราชอบพุทโธ ติดอยู่กับคำบริกรรม โลกนี้เหมือนไม่มี มีแต่คำบริกรรมติดกับหัวใจอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวัน
    มันอยากคิดอยากปรุงนี้เหมือนอกจะแตกนะ ถึงรู้ได้ชัดว่าสังขารนี้สำคัญมากมันดันออกมา สังขารเป็นสังขารสมุทัย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารสมุทัยมันดันออกอยากคิด พอมันคิดมันปรุงมันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาเรา นั่นละเสื่อมตรงนั้น ทีนี้ไม่ยอมให้คิด มันอยากจะคิดอกจะแตก เอ้า แตก ไม่ยอมให้คิดเลย ให้คิดแต่คำว่าพุทโธอันเป็นงานของธรรมเท่านั้น วันแรกเหมือนอกจะแตก วันหลังรู้สึกจะเบาลง แต่ไม่เผลอเหมือนกัน ความเผลอไม่ให้มีเลย ทั้งวันนี้ไม่ให้เผลอเลย ทุกข์มากไหม ตั้งสติไม่ให้เผลอทั้งวันไปเลยเชียว เรื่องเผลอไม่ให้เผลอเลย กี่วันก็ตามไม่ให้เผลอ
    พอสามวันไปแล้วค่อยอ่อน ความดันอยากปรุงอยากคิดอะไรนี้ค่อยอ่อนลงๆ ๓-๔ วัน ๕ วัน ทีนี้สงบ นั่น ทีนี้เปลี่ยนละที่นี่เป็นใจสงบละ เรื่องสังขารไม่กวน สังขารความคิดความปรุงไม่กวน ต่อไปจิตก็ค่อยก้าวขึ้นๆ ละเอียดเข้าไปๆ จนกระทั่งไปถึงที่ที่มันเคยเสื่อม มันจะเสื่อมที่นี่ เอ้าๆ เสื่อมไปบอกเลย ได้หักห้ามกันพอแล้ว ยังไงมันก็ไม่อยู่คราวนี้ปล่อยเลย เอา อยากเสื่อมเสื่อมไป แต่คำบริกรรมกับสตินี้จะไม่ยอมปล่อย มันจะเสื่อมที่ตรงไหนให้รู้กัน พอไปถึงนั้นแล้วก็ปล่อยเลย แต่พุทโธกับสติไม่ยอมปล่อย
    พอถึงนั้นแล้วจะเสื่อม เอ้า เสื่อม พอถึงขั้นมันแล้วนะ ถึงนั่นแล้วมันจะเสื่อม ทุกครั้งๆ เป็นอย่างนั้น ทีนี้ปล่อยเลย เอ้าๆ เสื่อมไป แต่คำบริกรรมกับสตินี้จะไม่ยอมปล่อย ติดกับคำบริกรรมเลย พอไปถึงนั้นแล้วว่ามันจะเสื่อมไม่ห่วงใย ปล่อยเลย เอ้า จะเสื่อมให้เสื่อมไป พอถึงนั้นแล้วทีนี้ไม่เสื่อมนะ เอ้า เสื่อมบอกเลย มึงอยากเสื่อมมึงเสื่อมไป กูไม่ยอมเสื่อมกับคำบริกรรมกับสติซัดขึ้นไป ทีนี้ไม่เสื่อม แล้วขึ้นไปเรื่อยๆ แทนที่ไปถึงนั้นแล้วจะลงไม่ลง ขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไปจนกระทั่งจิตแนบสนิทๆ จนกระทั่งที่ว่าจิตเรานี้ภาวนาๆ พุทโธๆ อยู่นี้ เวลาจิตละเอียดจิตอิ่มตัวแล้วคำว่าพุทโธหายนะ พอไปถึงนั้นแล้วพุทโธหายเงียบเลย ปรุงไม่ขึ้น คิดอะไรก็ไม่มี เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดแน่วกับสติ
    อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ สงสัยนะ ก็พุทโธๆ ติดกันมาตลอดตั้งแต่วันตั้งคำบริกรรม แล้วนี้มันหายไปไหนเงียบเลย ตั้งไม่ขึ้น จิตมันละเอียดเต็มที่ เรียกว่ามันอิ่มตัว อิ่มคำบริกรรมเข้าพัก พูดง่ายๆ พัก ไม่ปรุงอะไรเลย คิดอะไรก็ไม่ออก อย่าว่าแต่พุทโธ จะคิดเรื่องใดก็ไม่ออก หมดความปรุง เอ้า อยู่นี้ก่อน คำว่าหมดคำบริกรรมนี้จิตมันละเอียดนะ ให้สติจับอยู่กับนั้น จับอยู่กับความรู้ที่ละเอียด ส่วนสตินี้ไม่ให้เผลอ ทีนี้พอมันได้จังหวะนี้มันก็คลี่คลายออกมา คือจิตสงบเหมือนเราตื่นนอน พอมันคลี่คลายออกมานึกคำบริกรรมได้ นึกพุทโธได้พุทโธต่อเรื่อยเลย
    ทีนี้ก็เลยรู้จักวีธี พอถึงขั้นจิตอิ่มตัวจิตสงบมันจะปล่อยคำบริกรรม นึกก็ไม่ออก ปล่อยเสียเวลานั้น แต่ความรู้นั้นกับสติให้ติดกันไปเรื่อย มันเลยไม่เสื่อม นี่ละวิธีการปฏิบัติต้องทดสอบตัวเอง นี่เราได้ทดสอบอย่างนั้น แล้วก็ไม่เสื่อมตั้งแต่นั้นมาเรื่อยเลย ไม่เสื่อม ขาดสตินี่จับได้ชัดเจน อ๋อ สติสำคัญมาก พอขาดสติจิตเสื่อมได้ๆ เมื่อไม่ขาดสติแล้วไล่มันเสื่อมมันก็ไม่เสื่อม เราเป็นแล้วนี่ จึงบอกว่า เอ้า เสื่อมไป อยากเสื่อมไปไหนเสื่อม เราหึงหวงห่วงใยมันพอแล้วมันไม่ได้ฟังเสียงเรา คราวนี้ปล่อยเลย เอ้า เสื่อม แต่คำบริกรรมกับสติจะไม่ยอมปล่อย มันก็เลยได้กับอันนี้ไปเรื่อยๆ เจริญเรื่อย นี่เราพูดแต่ต้นไปถึงขั้นไม่เสื่อม ทีนี้ก้าวหน้าละที่นี่ เรียกว่าตั้งรากตั้งฐานได้เพราะสติดี
    ใครมีสติดีแล้วตั้งได้ ถ้าขาดๆ วิ่นๆ เผลอๆ เผลๆ อะไรไป นึกได้เมื่อไรถึงมาระลึกไม่เป็นท่านะ ถ้าลงได้เอาจริงเอาจังพ้นมือเราไปไม่ได้ละ เราทำแล้ว ตั้งแต่นั้นมาจิตเราก็ไม่เคยเสื่อมอีกเลย ทะลุไป จนกระทั่งนั่งหามรุ่งหามค่ำ นั่นเห็นไหมล่ะเมื่อไม่เสื่อมแล้วมันก็ก้าวใหญ่ เอาใหญ่เลย จากนั้นมาก็ก้าวทางวิปัสสนาพิจารณาทางด้านปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ทุกสัดทุกส่วนในสกลกาย ของสัตว์ของบุคคลของเขาของเรา ของหญิงของชายพิจารณากระจายออกไป ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนังละที่นี่ ถลกออกไปหนังน่ะ มันสวยมันงามอยู่ที่หนัง ถลกหนังออกแล้ว เอ้า ดู นั่นน่ะปัญญา เข้าใจไหม ดูเป็นหญิงเป็นชายที่ไหน น่ารักน่าชอบใจที่นี่มันเป็นเพราะหนัง
    จากหนังดูเข้าไปกระดูกสวยอะไร ดูเข้าไปข้างในเท่าไรสวยที่ไหนงามที่ไหน มันก็เห็นชัดด้วยปัญญาละซิ เมื่อเห็นชัดแล้วมันก็ค่อยปล่อยของมันไปเองๆ นี่วิปัสสนาทางด้านปัญญา เมื่อพิจารณาทางด้านปัญญาเห็นผลแล้วมันเพลินนะ ทางด้านปัญญานี้มันจะไม่เข้าพักสมาธิ มันเพลิน หมุนติ้วๆ เลย จนกระทั่งเจ้าของเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ให้หยุดพักทางปัญญาเสีย เข้าสู่สมาธิ เวลามันเพลินทางปัญญามันไม่สนใจสมาธินะ ไม่สนใจก็ตาม เอาคำบริกรรมติดเข้าไปให้มันเข้าสู่สมาธิได้ จิตเป็นหนึ่งได้ ใครบริกรรมคำไหนก็เอาคำนั้น บริกรรมพุทโธก็เอาพุทโธๆ ให้อยู่กับพุทโธๆ จิตก็แน่วลงไปสู่สมาธิ มีกำลังวังชาเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม นี่ละพักเอากำลังเป็นอย่างนั้น
    พอได้โอกาสแล้วรู้ว่าจิตนี้แน่นหนามั่นคงได้กำลังพอแล้ว ก้าวออกทางวิปัสสนานี้มันพุ่งเลยเทียว มันอยากออกยิ่งกว่าอะไร มันไม่สนใจกับสมาธิ มันหาว่าสมาธิไม่ใช่ธรรมแก้กิเลส ตีกิเลสให้ตะล่อมเข้ามาต่างหาก แก้กิเลสคือปัญญา นั่นมันไปอย่างนั้น มันก็จะเห็นคุณของปัญญาโดยถ่ายเดียวไม่เห็นโทษของสมาธิ เพราะฉะนั้นจึงให้รู้วาระ วาระนี้เราทำงานเพื่อผลประโยชน์ด้วยปัญญา วาระนี้เราจะพักจิตของเราเพื่อจะเอากำลังวังชาเพื่อวิปัสสนาต่อไป ให้พัก
    พักมันไม่อยากพัก
    ลำพังจะบังคับไว้เฉยๆ ไม่อยู่นะ มันจะพุ่งๆ ทางปัญญาตลอด ต้องเอาคำบริกรรมให้ติดกับนั้นปั๊บเลย เอ้า บริกรรมพุทโธๆ ถี่ยิบเข้าไปลง ที่นี่จิตลง ลงแน่วมีกำลังวังชากระปรี้กระเปร่าแล้วก็เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม โอ๋ ทีนี้สบายเบาหมดเลย นี่จิตพักงาน พอได้กำลังเต็มที่แล้ว พอรามือเท่านั้นมันจะพุ่งออกทางด้านปัญญา ให้ทำอย่างเก่านี้ต่อไปเรื่อยๆ นี้เรียกว่าปฏิปทาที่ถูกต้องดีงาม พากันจำเอาไว้นักปฏิบัติ
    มีใครจะสอนที่ว่าถูกต้องแม่นยำ นี้แน่ใจการสอนว่าไม่ผิดเพราะเราผ่านมาแล้ว ทายผิดทายถูกอะไรเราผ่านมาหมด คัดเลือกมาหมดแล้วมาสอน ตั้งแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ให้นำไปปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นไม่ได้เรื่อง ภาวนากี่ปีกี่เดือนไม่มีหลักมีเกณฑ์ไม่ได้เรื่องนะ ต้องให้มีหลักมีเกณฑ์ ตั้งได้จิตขอให้มีหลักเกณฑ์เถอะ การภาวนาๆ ท่านพูดกว้างๆ นี่สอนกันก็สอนทั่วโลกเรื่องภาวนา ไม่ทราบภาวนายังไงตั้งหลักตั้งเกณฑ์ยังไง ไม่มีหลักมีเกณฑ์มันก็ไม่ได้เหตุได้ผลได้อรรถได้ธรรม ให้มีหลักมีเกณฑ์อย่างที่ว่าซิ เอาทำอย่างนี้ละ ตั้งได้ๆ ขึ้นได้ไม่สงสัย ที่สอนนี้ไม่ผิด ดังที่ว่าคำบริกรรมเป็นสำคัญ สติเป็นพื้นฐานสำคัญมากทีเดียว ต่อจากนั้นจิตก็สงบๆ เรื่อยๆ ควรพักพัก ควรจะออกทางวิปัสสนาออก จำให้ดีเหล่านี้ ดำเนินมาแล้วไม่ผิด ได้ผลมาแล้วจึงมาสอน สอนด้วยความได้หลักได้เกณฑ์นี้ ผู้ยึดก็ยึดได้หลักได้เกณฑ์ ที่สอนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง ผู้ปฏิบัติก็ไม่ทราบจะยึดเอาตรงไหนๆ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไม่ได้เรื่อง เหลวไหลทั้งนั้น จำให้ดี เอาละเท่านี้
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอขอบพระคุณข้อมูลจากเว็บพุทธวงศ์
    http://www.phuttawong.net
     
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    เกร็ดธรรมพระดี

    ธรรมะจากพระเกจิดัง

    ธรรมะจากหลวงพ่อเกษม เขมโก
    สุสานไตรลักษณ์ อ. เมือง จ. ลำปาง
    " ถ้าต้องพูดกับคนทุกคนแล้ว ..คงไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมแน่.." "..ไม่กินก็อยาก ไม่ปากก็ใจ สารพัดยัดเข้าไป ..ถ้าเจ็บท้องไม่ร้องหาใคร นอนอยู่ในป่าช้าผู้เดียว.." " การเห็นเป็นเหตุแห่งการคิด การคิดเป็นเหตุแห่งการเห็น...ถ้าคิดดีก็เป็นทางเย็น ถ้าคิดไม่เป็นก็เย็นสบาย .." " ตายเป็นเหม็นเน่า เราเขาเหมือนกัน...อยู่ไปทุกวัน ใครได้ก็ดี ใครมีก็ได้ !" " พระนิพพาน..ความรู้พิเศษ.. พระนิพพานเปรียบเหมือนคุกของอากาศ..อธิบายว่า..อากาศมีคุณ 10 ประการ
    1. ไม่รู้จักเกิด
    2. ไม่รู้จักแก่
    3. ไม่รู้จักตาย
    4. ไม่กลับเกิดอีก
    5. ไม่จุติ
    6. ใครจะข่มเหงลอบลักเอาไปไม่ได้
    7. เป็นของดำรงสภาพไว้ได้โดยไม่ต้องอาศัยอะไร
    8. สำหรับฝูงนกบินไปมา
    9. ไม่มีอะไรมากางกั้น..แล
    10. ที่สุดไม่ปรากฏ



    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา

    วัดพระพุทธบาทห้วยต้น
    อ.ลี้ จ. ลำพูน
    " อย่าเข้าใจ ว่า มาทำบุญที่นี่จะตัดบาปตัดกรรมตัดเวรได้นะ ตัดไม่ได้ เว้นแต่กรรมที่เบาหรืออโหสิกรรมตัดได้ พวกนั้นตัดได้ ก็พระพุทธเจ้ายังตัดไม่ได้ พระมหาโมคคัลลาน์มีฤทธิ์สุดขีด ไม่มีองค์ไหนจะมาเทียมถึง ก็ตัดไม่ได้ จึงขอฝากไว้ อย่าหลับหูหลับตาฟังแต่คนไม่รู้หาว่าท่านครูบาหลวงพ่อวัดพระพุทธบาทจะมาตัดกรรมตัดเวรตัดไม่ได้หรอกแต่ถ้าเป็นอโหสิกรรมได้ทำผิดพูดผิดต่อใคร ๆ เจ้าตัวเองต้องขอตัดเอาเอง อโหสิกรรมถือว่าตัดได้ก็ต้องตัดเอง จะต้องขอเอง ให้คนอื่นไปขอไม่ได้ ไม่พ้นจากกรรม เราต้องขอเอง ต้องอ่อนน้อมกล่าวคำสารภาพกับตัวเขา เขาจึงจะอโหสิงดโทษให้เรา...."


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส

    วัดป่าพระสถิต
    ต. พรานพร้าว อ. ศรีเชียงใหม่ จ. หนองคาย
    " อาจารย์ท่านสอนปฏิบัติภาวนา จิตสงบแล้วก็เห็นของจริง คือ..ทุกข์..จิตสงบลงแล้วก็รู้ทุกข์มันหยุด อยู่ตรงนั้นเพราะทุกข์มันเป็นของหยาบ..นี่ พระพุทธเจ้าท่านถึงพูดว่า..ทุกขสัจ..ท่านสอนให้เรากำหนด รู้ตรงนี้..พอจิตสงบอยู่ เราก็รู้ที่อยู่ของมันเลย.. ผู้ที่ว่าจิตสงบๆ ..แต่ไม่พบตัวทุกข์ละก็..ยังสงบไม่จริง..พูดไปเปล่า ๆ เท่านั้นยังอีกไกล กว่าจะเห็น มันตัวทุกข์แท้ ๆ นี่... คนเราเดี๋ยวนี้นะ..ร้องโอ๊ย ! พอร้องแล้วก็ยิ้มร่า อย่างนี้มันไม่มีสติไม่มีปัญญานะเออ..จำไว้..!ไม่รู้จัก ตัวทุกข์หรอก..นี่
    การปฏิบัตินั้น..เราทั้งหมดนี้ต้องทำจริง ๆ อย่าทำเล่น ๆ มันจะไม่ได้อะไร...ครูบาอาจารย์นั้นท่าน
    เมตตาสอนเราด้วยดีเสมอ แต่เราต้องอาศัยทุนเอาหน่อย...อาตมานี้ดื้อนะ..อยู่กับครูอาจารย์ ฆ่าก็ไม่
    หนี ตีก็ไม่วิ่ง ... ต้องทำใจอย่างนี้นะจึงจะกว้างขวางมีสายตาก้าวไกล..เอาละ.."



    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงปูอ่อนสา สุขกาโม

    หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโม
    วัดประชาชุมพล ต. บ้านตาด อ. เมือง จ. อุดรธานี
    " การที่มาขอธรรมะนโยบายปฏิบัตินั้น..ในสมัยพระอาจารย์ใหญ่ท่านก็ให้ ถ้าได้มาขอท่านก็บอกอุบาย อันแยบคายให้..แต่นั่นก็เป็นธรรมะท่ออกมาจากจิตใจของท่าน มันยังไม่ใช่ธรรมะที่ออกจากจิตใจเรา โดยแท้..แม้จะเอาของดีไปก็ไม่สามารถรักษาให้อยู่กับตัวได้ บางทีขอไปวันนี้ พรุ่งนี้ก็ลืมวางไว้ที่ไหน ก็ไม่รู้นะ..! ก็ไม่ใช่ของเรานั่นเอง..ถ้าเป็นของเราแล้วจะอยู่กับเราตลอด จำได้แม่นยำ เราตื่นก็มีอยู่ เราหลับก็มีอยู่เราตายไปธรรมนั้นก็ตามไปกับจิตเราด้วยเสมอ..ก็เหมือนกับสภาวะปัจจุบัน ไหนใคร ลองบอกมาหน่อยซิว่า..วันนี้เป็นโชคของเรา..ไม่มีใข่ไหม?..ถ้าเป็นของเราละก็ มันต้องอยู่กับเรา ตลอดไป ถ้ากลางวันก็ต้องอยู่อย่างนี้ จะมืดค่ำไม่ได้ต้องอยู่กับเรา ฉะนั้นธรรมะก็เช่นนั้..ทุกวันนี้พวกเราชาวพุทธนักปฏิบัติเขาว่าอย่างนั้นนะ เที่ยววิ่งขอธรรมะแต่ไม่ ยอมปฏิบัติเลยสักที เหลาะ ๆ ..แหละๆ เดี๋ยวน้ำ เดี๋ยวแห้งไม่เอาจริงสักที...ระวังเน้อ.สะสมธรรมะมาก ไม่ดี พุงจะแตกเอา..! ต้องนำออกมาระบาย คือการพิจารณาแยกเหตุแยกผล ของธรรมะบ้าง เราเรียก ว่า..วิปัสสนาก็ได้..เอาลองดูซิ ความจริงธรรมะนั้นไม่มีใครเขาให้มากหรอก มันจะฟุ้งซ่าน บางทีเกิดลังเลสงสัย..ต้องแสดงเลย ความลังเลจึงจะหมด แล้วจะคลายสงสัยได้เด็ดขาดเลย...


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน

    พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
    วัดป่าบ้านตาด อ. เมือง จ. อุดรธาน
    " ผู้มีสติปัญญานย่อมรู้ธรรมขั้นละเอียดอ่อนได้ไม่ยากนัก สามารถรู้เล่ห์เหลี่ยมกิเลสภายในจิตใจไม่ ว่าซอกไหนมุมใด ท่านจะจับออกมาสับโขกอย่างไม่ปราณี..กิเลสเป็นตัวโรคร้ายและไม่สามารถมองมัน เห็นด้วยตาเปล่าหรือกล้องส่อง..เมื่อใครมีกิเลสส่วนใดชนิดใดแล้วภายในตัวกิเลสมันจะกัดกินใจของ บุคคลนั้นอย่างไม่มีวันพอง.จนตายนั้นแหละมันจึงจุปล่อย..! ธรรมะเป็นอาวุธสำคัญที่กิเลสที่หวั่นไหวเกรงกลัว เพราะรู้ทันกลอุบายของมัน...ผู้ปฏิบัติจะมีความ อิ่มแห่งธรรมเหมืออิ่มอาหาร จะเข้าใจกันเองไม่ต้องถาม..เพราะธรรมเป็นของอิ่มของพอ แต่กิเลส มันไม่ค่อยมีความอิ่มมันหิวกระหายอยู่เป็นนิจ คนเราถ้ามีกิเลสเต็มต้วแล้ว..มันก็เหมือนหมูเราดี ๆ นี่เอง กินแล้วนอน ๆ จนอ้วนพีเขาก็นำไปขึ้น เขียงสับบั่นเท่านั้น !. ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมเขาจึง ไม่เลี้ยงกิเลส..เขาทำลายกิเลสกันทั้นนั้น.. พระอริยเจ้าทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมา ท่านรู้ทันกิเลส..เมื่อกิเลสโผนมา ธรรมะโผนไปง.กิเลสโหด ร้าย ธรรมะโหดดี..อยากทราบต้องออกแนวรบ นักปฏิบัติคือนักรบ เป็นต้องเป็น ตายต้องตาย จึงจะเอา กิเลสอยู่..กิเลสมีเท่าไหร่ ธรรมะต้องมีเท่านั้น..!


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงพ่ออุตตมะ(พระราชอุดมมงคล)

    วัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ. กาญจนบุรี
    ..น้อมระลึกอยู่เสมอในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งพระอง์ทรงตรัสไว้ดังนี้ว่า..
    " ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งล่วงไปแล้วมาตาม ไม่ควรหวังสิ่งซึ่งยังมาไม่ถึง เพราะว่าสิ่งใดล่วงพ้นไป แล้ว สิ่งนั้นอันเราละเสียแล้ว...อนึ่งสิ่งใดซึ่งมาไม่ถึงเล่า สิ่งนั้นก็ยังไมามาถึง ..เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาจึงไม่ควรให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้วมาตาม ไม่ควรหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง ..ก็ผู้มี ปัญญาได้มาเห็นธรรมเป็นปัจจุบันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าแจ้งชัดอยู่ในที่นั้น ๆ ใครจะพึงรู้ว่าความตายจักไม่ มีในวันพรุ่งนี้...เพราะว่าสู้ความหน่วงเหนี่ยว ความผูกพันด้วยมฤตยูความตาย ซึ่งมีเสนาใหญ่นั้น มิได้ เลย.. ฉะนั้น ควรเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน อันผู้มีปัญญาควรทำเสียในวันนี้เลยทีเดียว ไม่มีความ เกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างนี้ ผู้นั้นแลเป็นผู้มีราตรีเดียวเจริญดังนี้ ..
    " ให้เชื่อในกฏแห่งกรรม...ทำกรรมอย่างใดย่อมส่งผลอย่างนั้น..คือกรรมชั่วย่อมส่งผลชั่ว และกรรม ดีย่อมส่งผลดี ผู้ใดทำกรรม..ผลกรรมนั้นย่อมตกแก่ตัวผู้ทำไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้..ใครทำกรรมดีผลกรรมที่ดีต้อง ตกแก่คนผู้นั้น..ใครทำกรรมชั่ว...ผลกรรมชั่วก็ย่อมตกแก่ผู้นั้นเช่นเดียวกัน.."


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    พระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )
    วัดท่าซุง อ. เมือง จ. อุทัยธานี
    หลวงพ่อสอนลูกๆ ทุกคน
    " จงมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด ในเวลานั้นก็ชื่อว่าเรายังไม่เป็น คนดี เราจะพยายามเก็บความชั่วทุกอย่างที่มันขังอยู่ในจิต ทำลายให้มันตายสนิท อย่าให้เกิดขึ้นมา เมื่อกิเลส คือความชั่วตายหมด ชื่อว่าจิตว่างจากความชั่วจงทรงไว้แต่ความดี และก็ว่างจากความทุกข์ จะทรงไว้แต่เพียงความสุขอย่างเดียว หวังว่าลูกรักของพ่อคงจำไว้ ขึ้นชื่อว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ว่า ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนที่เราจะตายจงคิดว่าเราจะตายครั้ง นี้เป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีการตายต่อไป นั่นคือพระนิพพานพ่อมั่นใจในกำลังและความดีของลูกว่า พระนิพพานสมบัติ จะไม่ขาดไปจากกำลังจิตของลูก และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลูกของพ่อต่องได้แน่นอน นี่เป็นความหวังของพ่อ.. แต่ทว่าถ้าลูกรักของพ่อลืมความดีนี้เมื่อไรจิตใจพัวพันอยู่ในราคะก็ดี ความ หลงก็ดีเป็นอันว่าลูกกับพ่อนี้ต้องแยกทงเดินกัน ไม่ใช่พ่อโกรธลูก แต่ว่าเวลาตายจรีง ๆ เราตามกันไม่ ไหว ในสายตาคนอื่นเขาอาจจะเห็นว่าลูกเลว แต่ขอลูกทั้งหลายจงคิดว่า นั่นเป็นเรื่องความรู้สึกนึกคิด ของบุคคลแต่ละคน แต่พ่อเองมีความรู้สึกว่า " คนจะดีหรือคนจะเลว มันขึ้นอยู่กับ กฏของกรรม " ก่อนที่เราจะเกิดมานี่ เราทำทั้งกรรมดี และกรรมชั่วขณะใดถ้ากรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผล ขณะนั้นลูก ของพ่อก็อาจจะมีความคิดผิด พูดผิดกระทำผิดไปได้เป็นของธรรมดา แต่ขณะใดกรรมที่เป็นกุศล ให้ผล บรรดาลูกรักของพ่อก็จะทำถูก คิดถูก พูดถูกอยู่เสมอ เรื่องนี้ถึงแม้ว่าตัวของพ่อเองก็ประสบมา มากจึงไม่มีความรู้สึกเมื่อลูกรักบางท่าน บางคน คิดพลาด พูดพลาด กระทำพลาดไปถือว่านั้นเป็นกฏ ของกรรมเดิมที่เราทำมาแล้วม่ดี ในชาตินี้เรามาแก้ตัวกันใหม่พยายามทำความดีเสียทุกอย่างเพื่อเป็น การหักล้างความชั่วเดิม เพื่อผลที่เราจะพึงได้ต่อไป นั้นก็คือพระนิพพาน "


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร)

    หลวงพ่อชา สุภัทโท(พระโพธิญาณเถร )
    วัดหนองป่าพง อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี
    " ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้น จะเป็นความอยากที่ขวางกั้นการหลุดพ้น... พยายามมากเกินไป แต่ขาดปัญญา เป็นการเคี่ยวเข็ญตนเองไปสู่ความทุกข์ยากโดยไม่จำเป็น ..เดินทางสายกลาง คือสงบ วางสุข วางทุกข์ หน้าทีร่ของเรานั้น ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา..ถ้าเราดำเนินชีวิต โดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้วทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา.. จิตของคนตามธรรมชาตินั้นไม่มีความดีใจเสียใจ..ที่มีความดีใจเสียใจนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นอารมณ์ ที่มาหลอกลวง จิกก็หลงไปตามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์.ผู้ใดตามดู จิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงของมาร การกระทำจิตให้สงบนั้น อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามาทำวันเดียวหรือสองวันมันจะสงบได้..จะต้องพยายาม ทำเรื่อย ๆ ไปให้เห็นความสงบเกิดขึ้นมาต้องพยายามทำให้มาก ทำบ่อย ๆ ยืน เดิน นั่ง นอน ต้อง มีสติอยู่เสมอ "


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงปู่ศรี มหาวีโร

    หลวงปู่ศรี มหาวีโร
    วัดประชาคมวนาราม ( ป่ากุง ) อ. เมือง จ.ร้อยเอ็ด
    ่" เอาชีวิตนี่แหละเป็นเดิมพัน...เพื่อแลกกับความดี" การนั่งสมาธิภาวนาอย่างขั้นอุกฤษฏ์ คือ..นั่งภาวนา 24 ชั่วโมง จะเปลี่ยนอิริยาบถเพียง 2 ครั้งเท่า นั้น เพื่อดูทุกขเวทนาในตนเอง...โอ..นรก 8 ขุม มันเกิดยกกนมาที่นีทั้งหมด เออ..มันยกทัพกันมา ดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งร่างกาย เรานี่แหละสู้กับมันจนทุกขเวทนาปรากฏอย่างเด่นชัด และรู้เล่ห์ เหลี่ยมของกิเลสมารที่มารบเร้าจิตใจจนหมดสิ้น....ขอให้มีสติดีเสียอย่างเดียวมันจบได้..คือความเจ็บ ปวดทั้งหลายนั้น มันจะไม่เกิดอีกเลย..นี่นักปฏิบัติต้องเอาชนะให้ได้ ..ถ้าไม่ได้ แพ้มันเด็ดขาด." นักปฏิบัติธรรมต้องมีสติพร้อมเสมอ..ถ้าสติอ่อน มันจะติดสัญญาภาพเก่า ๆ ที่เราได้จดจำมาแล้วทั้ง สิ้น แล้วธรรมที่เกิดนั้น มันก็ยังเป็นของคนอื่น ยังมิใช่ของเราแท้นะ..ระวังกิเลสมันจะหลอกล่อจิตใจ เราให้ลุ่มหลงเพ้อพกไปได้..! แม้อาตมาเอง มันยังหลอกให้หลงอยู่กับนิมิตเกือบ 6 ปี เพราะนิมิต ตัวเดียวแท้ ๆ .สำหรับบทปฏิบัตินั้น..ถ้าสติไปถึงจิตเมื่อไร เมื่อนั้น พวกกิเลสหรือนิวรณ์ทั้งหลายนี่
    มันจะถอยหนีไปหมดเลย...


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะพระอาจารย์คำพอง ติสฺโส

    พระอาจารย์คำพอง ติสฺโส
    วัดป่าพัฒนาธรรม
    ต. หนองอ้อ อ. หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    " ลูกเอ๋ย...ความเมตตาปราณี พรหมวิหารธรรมย่อมต้องมีอยู่ในจิตใจของทุก ๆ คนั้นแหละนะ แต่บางคราว เจ้ากิเลสตัวเชื้อโรคนี้ มันฝังตัวฝังหัวลงบนจิตใจมนุษย์เข้าไปแล้ว จะไม่ไล่ไม่เข้าย่ำยี มันบ้างเลยนั้น ต่อไปมันจะเคยตัวนะ.. ฉะนั้น เวลาถางป่ารก ๆ ...โดยเฉพาะป่ากิเลสนี้เราต้องฟันหนัก ๆ หน่อย มิเช่นนั้นต้นรากเหง้ามัน ไม่ขาด..ไม่ขุดรากถอนโคน ไม่ช้ามันก็งอกเงยขั้นอีกไหมล่ะ...ยิ่งพวกเรานี่นะชอบเลี้ยง ชอบขุน รด น้ำพรวนดินอยู่เป็นประจุ ๆ ...มันจะกลับงามขึ้นอีกประไรเล่า ..! ถ้ารู้ตัวเจ้ากิเลสนี้ มันจะอยู่จะอาศัยอะไรอยู่..ก็ตัองฟันให้มันกระเทือนเลย มันจะได้ รู้สึกตัว. "


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงปู่ดูลย์ อตุโล (พระราชวุฒาจารย์)

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    (พระราชวุฒาจารย์ )
    วัดบูรพาราม อ. เมือง จ.สุรินทร์
    " จิตนี้คือพุทโธ จิตนี้คือธรรม เป็นสภาวะพิเศษที่ไม่ไป ไม่มา เป็นความบริสุทธิ์ล้วน ๆ จิตนี้เหนือ ความดีและความชั่วทั้งปวง ซึ่งไม่อาจจัดเป็นลักษณะรูปหรือนามได้ หลักธรรมที่แท้จริงคือจริง..จิตของเราทุกคนนั้นแหละคือหลักธรรมสูงสุดที่อยู่ในจิตใจเรา นอกจาก นั้นแล้ว มันไม่มีหลักธรรมใด ๆ เลย จิตนี้แหละคือหลักธรรม ซึ่งนอกไปจากนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่จิต แต่จิต นั้นโดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต ดังที่ท่านปรารถว่า จิตนั้นมิใช่จิตดังนี้ นั่นแหละย่อมหมายถึง สิ่งบางสิ่งซึ่ง มีอยู่จริง ขอให้เลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้นเราอาจกล่าวได้ว่าคลองแห่งคำพูด ได้ถูก ตัดขาดไปแล้ว พิษของจิตก็ได้ถูกถอนขึ้นจนหมดสิ้นส จิตใจจิตก็จะเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ซึ่งมีอยู่ ประจำแล้วในทุกคน" คติประจำใจ ..." อย่าส่งจิตออกนอก.."
    ปริศนาธรรม " ..หยุดคิด...หยุดนึก.."
    ธรรมะ...." จงเข้าไปสู่สิ่งสงบเงียบให้ได้ลึกซึ้ง โดยการลือต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เรานี้แหละ (สติ) คือสิ่ง ๆนั้นในอัตราที่เต็มทีทั้งหมด ทั้งสิ้น และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้เลย..!


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ

    หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ
    (พระราชสังวราภิมณฑ์)
    วัดประดู่ฉิมพลี เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
    " ทางไปสู่ความไม่เกิด..เอ้อแล้วทำไมจึงจะพ้นจากขันธ์ 5 เหล่านี้นะ.. ก็พระท่านว่าไม่เกิดแหละ ดี ไม่เกิดเป็นตัวเหตุ..ไม่เกิด เออ ไม่เกิดนี้แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด..ทานบ้าง ศีลบ้าง ภาวนาบ้าง ปัญญาบ้างและอื่น ๆ ..ทานให้แก่ใครไม่ทราบที่เรียกว่าทำทาน...ท่านทำทานของท่านจบแล้วหรือยัง? ท่านรักษาศีลชของท่านจบแล้วหรือยัง? ท่านเจริญสมาธิของท่านแล้วหรือยัง? ปัญญาของท่านเกิดขึน แล้วหรือยัง ?!


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
    วัดดอยแม่ปั๋ง
    อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
    " คนเรามันรักสุข เกลียดทุกข์นี่ หนักก็หนักอยู่ตรงนี้แหละไม่รับความจริง " เราเกิดมา นินทา สรรญเสริญก็ดี อย่าไปรีบเอามาหมักไว้ในใจ ปล่อยผ่านไปเสีย..ความรัก ความชัง ความโลภ ความ หลง เกิดขึ้นก็เพราะกิเลสมันเสวนากันอยู่..จาโค ปฏินิสฺสคฺโค สละคืนถอนออกจากใจนี้เสีย..ตัณหา ทั้งหลายก็ไหลมาจากเหตุ ให้ละวางเสียให้หมด ให้ตั้งอยู่ในศีล ในทาน ในการบำเพ็ญกุศล ละบาป เสียให้หมดทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจที่ทุจริตละเสียให้หมด ...รักษากาย วาจา ใจที่สุจริตไว้ เมื่อนำทุจริตออกหมดแล้ว จะเหลือแต่สุจริตธรรมตั้งอยู่ในศีล กายก็เป็นศีล วาจาก็เป็นศีล ใจก็เป็น ศีล เป็นธรรม เป็นมรรค เป็นผลตั้งขึ้นใจจิตใจ สุจริตธรรมตั้งอยู่แล้วก็เบาสบาย.... " ...อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน ตัด
    ตัณหา ตัดกิเลส ตัดมานะทิฏฐิ ตัดความยึดมั่นถือมั่นของตนให้เสร็จลงก็สงบได้.."


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงพ่อโอภาสี (พระมหาชวน มลิพันธ์)

    หลวงพ่อโอภาสี
    ( พระมหาชวน มลิพันธ์)
    สวนอาศรมบางมด
    เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
    " ฉันน้อย ทำความเพียรมาก ขัดเกลากิเลสออกจากจิตใจ ไม่คำนึงถึงลาภสักการะยศฐานบรรดา ศักดิ์...ขอกำจัดพญามาร และเสนามารน้อยใหญ่ ที่คอยมารบเร้าจิตใจให้ราบคาบสิ้นไปเท่านั้น..."


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงปู่กินรี จนฺทิโย

    หลวงปู่กินรี จนฺทิโย
    วัดกัณตศิลาวาส
    ต.ฝั่งแดง อ. เมือง จ.นครพนม
    " พุทโธ อยู่ที่ไหน ?...ไม่ต้องไปมองที่อื่น อยู่ที่ใจเรานี่เอง..."
    " พุทโธ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ..ตื่น รู้เบิกบานในใจเมื่อไร..เมื่อนั้น จิตใจก็งดงาม.."
    " งาม..แปลว่า ดี ถ้ามันดีแล้ว มันก็เกิดความพอดีงามให้มันบริสุทธิ์จริง ๆ เพราะนั่นเป็นทาง มนุษย์ สวรรค์ และพระนิพพาน "


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะครูบาอินทจักรรักษา (พระสุธรรมยานเณร)

    ครูบาอินทจักรรักษา
    ( พระสุธรรมยานเถร )
    วัดวนาราม (วัดน้ำบ่อหลวง)
    ต. สันกลาง อ. สันป่าตอง จ.เชียงใหม่
    " พระพุทธเจ้าสอนไว้แจ่มแจ้ง..กินน้อย นอนน้อย ปฏิบัติมาก เป็นความจริง..เพราะบางวันมีข้าว 2 ก้อน เอาเกลือเหน็บก็กิน โอ...มีรสชาติดี..นั่งสมาธิก็ไม่ง่วง เดินจงกรมก็ไม่เมื่อย ..กินน้อย นอน เพียงชั่วโมง..สองชั่งโมงก็ตื่น...เร่งภาวนาต่อไปอีก.."
    " จงรักษาจิตอย่างเดียว อะไร ๆ ก็ดีหมด "


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ

    หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ
    วัดราษฏรสงเคราะห์
    บ้านหนองแซง อ. หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    " การปฏิบัติมี สติ ตัวเดียวเท่านี้..มันจะแจ้งหมดโลก"
    " ผีมันนอนดูเราทำบาป..เราฆ่าหมูฆ่าไก่ให้มันกิน สังเวยมัน มันไม่มีบาปเพราะมันไม่ใช่คนทำ ..เราเองเป็นคนฆ่า บาปกรรมก็ตกอยู่ที่เรา.. !


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงปู่บุดดา ถาวโร

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    วัดกลางชูศรีเจริญสุข
    อ. บางระจัน จ. สิงห์บุรี
    " ขันธ์ 5 ของกิเลสมันเกิดเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์อยู่แล้ว เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว..
    คนไทยนี่อะไร ๆ ไม่เสียดายหรอก ในโลกนี้ให้หมดนะอามิสนะ.. แต่ ..แต่มีข้อแม้ว่า.." ผัวดิดฉันนะ..ใครแตะไม่ได้นะ เอาตายเชียวนะ.. " ..จะไปนิพพานจะเอาผัวไปด้วย..ปัดโธ่...เขาไปนิพพานเขา เอาผัวเมียไปที่ไหนกัน เขาเอาธรรมะไปต่างหากล่ะ..
    " คนมันเขียนท้ายรถยนต์..ทำดีได้ดีมีที่ไหนทำชั่วได้ดีมีถมไป.***นั่นนะมันไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเอาข้อวัตรของมันมาเอากิเลสอวด...โอโธ่..พระพุทธเจ้าไม่ด้พูดอย่างนั้น...!


    --------------------------------------------------------------------------------

    ธรรมะหลวงพ่อแพ เขมังกโร

    หลวงพ่อแพ เขมังกโร (พระธรรมมุนี)
    วัดพิกุลทอง ต. ถอนสมอ อ.ท่าช้าง จ. สิงห์บุรี
    " อาสวะกิเลส เปรียบเหมือนกับความมืดที่เราจมอยู่ มันเป็นการตัดหนทางดีของเราที่สำคัญ ที่สุด....เราจึงต้องมานั่งภาวนากำจัดมันเสียให้ได้โดยเด็ดขาด เมื่อนั้นจิตจึงจะผ่องแผ้วสว่างไสว แล้วจะเห็นแจ้งในธรรมทั้งปวง ดังนั้น ..เมื่อเรารู้หนทางบ้างแล้ว ก็ควรระงับกรรมเวร มิให้สืบต่อไปอีกเลย.....



    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    1. อย่าเอาจิตออกนอก
    2. ดีที่สุดในโลกคือปาก เลวที่สุดในโลกคือปาก
    3. อวิชชาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดมนุษย์
    มนุษย์เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์
    ทุกข์เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดพุทธะ
    4. ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยการลงมือทำ

    สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังษี
    การเป็นคนให้เหมือนคน
    ต้องเป็นคนไม่ถือตน เมื่อถือตนย่อมเป็นคนไม่ถึงคน
    การเป็นคนต้องเป็นคน ไม่หยามคน เมื่อหยามคนย่อมถึงกาลเป็นพาลชน
    ย่อมพาลคนทั่วทุกทิศ เมื่อพาลคนวาระจิต ย่อมเศร้าหมอง
    ถือทิฐิ อกุศล วาระกรรม วิบากขึ้น
    ย่อมสนองคนพาลเอย


    ครูบาอิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง
    การปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนามีทั้งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน การปฏิบัติทาน ศีล ภาวนาเป็นกำไรของชีวิต จิตเป็นไปตามสภาวะอารมณ์โดยเอาสติมากำกับ พระพุทธองค์นั่งสอนวิปัสสนาทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต เมื่อลดละเลิกกิเลสได้ก็ไม่ตกสู่อบายภูมิ การเกิดในอบายภูมิยิ่งเป็นทุกข์ จงเอาธรรมะเข้ากำจัดกิเลส คือความโลภ โกรธ หลง บุญกุศลจะนำวิญญาณไปสู่สุคติ
    ปัจจุบันประเทศของเรากำลังร้อน หากใช้ธรรมะก็จะทำให้เย็นได้ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อไป

    หลวงปู่ตื้อ วัดบ้านข่า นครพนม
    ขี้คือพระพุทธ เยี่ยวคือพระธรรม น้ำลายคือพระสงฆ์ ขี้สำคัญ ถ้าไม่ขี้ไม่ตาย ไม่เยี่ยวก็ตาย ขี้ไม่ออกเยี่ยวไม่ออกต้องตาย น้ำลายต้องพึ่งมัน ใช้กลืนกับอาหาร ไม่กลืนไม่กินก็ตาย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ต้องเป็นที่พึ่งเสมอ


    หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์
    ป่าเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติไม่ได้บอกให้เราคิดเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน แต่มนุษย์ไม่ได้ทำตามหน้าที่ตามธรรมชาติ คิดเก่ง คิดชอบ คิดไร้สาระ คิดเอาแต่ใจ ไม่รู้จักจบ มนุษย์ทำเกินหน้าที่ของตัว ไมืทำตามธรรมชาติ เมื่อใดมนุษย์ถือมั่น ความทุกข์ก้ไม่มี มีแต่ประโยชน์ ที่สำคัญธรมรชาติยังมีกฏของไตรลักษณ์ ลักษณะสำคัญคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จงใช้สติไม่ไปถือมั่นกับสิ่งเหล่านี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    พระปัญญานันทภิกขุ สวนโมกขธรรม
    อย่าประมาท สิ่งเลวทราม อย่าอยู่ด้วยความประมาท
    อย่ายึดถือความเห็นผิด อย่าทำตนเป็นคนรกโลก
    ลุกขึ้นเถิด จงประพฤติสุจริตธรรม
    เพราะผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เย็นเป็นสุข
    ทั้งโลกนี้ และโลกหน้า


    พระธรรมดิลก วัดเจดีย์หลวง ศิษย์พระอาจารย์มั่น
    ศาสนามีองค์ประกอบสำคัญ คือศาสนาธรรม ศาสนาบุคคล ศาสนาวัตถุ และศาสนาพิธี หากบุคคล วัตถุ และพิธีเสื่อมถอยไป หรือไม่ได้รับการศรัทธา ไม่ได้หมายความว่าสิ้นศาสนา หรือศาสนาเสื่อม เพราะศาสนาที่แท้จริงคือศาสนธรรม คำสั่งสอนของศาสนายังดีอยู่ จึงไม่ควรยึดถือในตัวบุคคล แต่ให้ถือเอาแบบอย่างการประพฤติตามธรรมะของพุทธศาสนา ปลาเป็นว่ายทวนกระแสน้ำ ปลาตายลอยตามกระแสน้ำ เปรียบเสมือนคนมีธรรมะย่อมไม่ปล่อยชีวิตไปตามกระแสโลก ขณะที่คนไร้ธรรมะลอยไปอย่างไร้แก่นสาน


    หลวงพ่อจรัญ ฐิติธัมโม วัดอัมพวัน
    ชีวิตคืออะไรกันแน่ คนไทยชอบสะสมแต่บุญ ชอบทำบุญแต่ไม่ชอบปฎิบัติ บางคนลงทุนฝังตะกรุดเข้าตัว สุดท้ายไม่ได้ผล เพราะมันไม่ใช่แนวทางของพระพุทธศาสนา บุญที่แท้จริงคือความสุข ความสุขเกิดได้2อย่างคือการชำระใจให้สะอาด กับความสุขสงบ ธรรมะก็คือความสุข สุขอันเกิดจากแนวทางศึกษา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คนแก้ปัญหาไม่เหมือนกันแล้วแต่การพิจารณาจิต บางครั้งสภาพทางจิตบ่งออกทางกาย และกรรมฐานนี้ยังรักษาโรคได้อีกด้วย
    อาตมาจึงขอเชิญชวนทุกท่าน สวดมนต์ไหว้พระเป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน ทั้งกินทั้งทาท่านจะสุขสบายอีกหลายประการ มีความสุขถึงลูกถึงหลานท่าน จะทำกิจการอะไรก็สำเร็จทุกประการ

    ขอขอบพระคุณข้อมูลจากเว็บพุทธวงศ์
    http://www.phuttawong.net
     
  6. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    ขอให้พี่พันวฤทธิ์หายเร็วๆปลอดภัยทุกประการ
    ขออนุโมทนาบุญกับท่านที่บริจาคไตด้วย
     
  7. นว

    นว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +2,445
    คุณพ่อคุณแม่ของผม, ผมและน้องชาย ขอร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ จำนวน 300 บาท โอนวันที่ 20/12/50
     
  8. โกเปี๊ยก

    โกเปี๊ยก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +14
    ถึงคุณพันวฤทธิ์

    วันนี้ ผมนายพิสิษฐ์ อนุสรณ์นรการได้โมธนาบุญและโอนเงินไปแล้ว 200 บาท
     
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้ขอเล่าเกร็ดเล็กๆที่เป็นธรรมะใหญ่ๆเกี่ยวกับการผ่าตัดของพี่พันวฤทธิ์ให้ฟังกันครับ

    เมื่อวันที่พี่เค้าเข้าไปห้องผ่าตัดแล้วผมก็โทรไปคุยกับพี่ที่เป็นภรรยาพี่พันวฤทธิ์ถึงเรื่องต่างๆวนมาถึงเรื่องพระพิมพ์พระเครื่องต่างๆที่พี่เค้าใส่ไว้ ภรรยาพี่พันวฤทธิ์ว่าพยาบาลใส่ถุงออกมาคืนให้ทั้งหมดไม่สามารถนำเข้าไปได้เลย

    ในใจจึงเกิดความคิดว่าการผ่าตัดของพี่พันวฤทธิ์คงมีแต่บุญเท่านั้นที่ตามไปรักษาให้สำเร็จราบรื่นหาใช่พระพิมพ์ต่างๆเลย ถ้าเกิดการผ่าตัดไม่สำเร็จพี่เค้าก็คงมีแต่บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งนำไปที่ดีหาใช่วัตถุมงคลใดๆเลย

    วัตถุมงคลนั้นดีสำหรับเป็นที่พึ่งยามสมบูรณ์เป็นปกติและเป็นพุทธานุสติให้ระลึกถึงคุณความดีของรัตนตรัยประมาณไม่กี่ปีที่เรามีอายุขัยอยู่

    เราท่านจึงควรหมั่นสะสมบุญทานเป็นของตนให้มากไว้เป็นที่พึ่งยามมีชีวิตและยามจากไปจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าอย่างสมบูรณ์ไม่บกพร่องในเรื่องต่างๆ

    โมทนากับทุกๆท่านที่เป็นห่วงพี่พันวฤทธิ์ในการผ่าตัด และโมทนากับผู้บริจาคไตด้วยครับ
     
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    "โลกสมมุติ"

    [​IMG]
    หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร วัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง ชลบุรี


    ในระหว่างที่ผมได้ไปวัดมาตลอดช่วงสิบปีมานี้ สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้คือ วัดถ้ำยายปริกนี้มีอะไรๆให้เราเปรียบเทียบทางธรรมได้หลายอย่าง หลายครั้งหลายคราที่ทำให้ผมได้ฝึกฝนปัญญาและสมาธิ ทั้งนี้ก็ด้วยคำสอนของหลวงพ่อฯ ที่ก้องหูผมอยู่เรื่อยๆนั่นเอง

    ตัวอย่างของการเปรียบเทียบทางธรรมที่ผมจะกล่าวถึงก็คือ ในอดีตช่วง ๒๐ ปีมานี้ สิบปีแรก ผมได้ไปคลุกคลีปฏิบัติในสายวัดป่า เคยได้ตระเวนกราบครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง มีศีลาจารวัตรที่งดงามน่าเลื่อมใส ที่สำคัญก็คือ มีหมู่ชนให้การเคารพนบนอบนับถือมากมายทั่วไป ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า บรรยากาศแห่งการปฏิบัติธรรมกับท่านเหล่านั้น ย่อมเป็นไปด้วยความขรึม ขลัง และดูมีพลังเป็นอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างก็คือการปฏิบัติในสายหลวงปู่มั่นและพระป่าทั้งหลาย แต่ย้อนมาดูที่วัดถ้ำยายปริก หากจะให้ผมเล่าให้ทุกท่านทราบโดยแท้จริงก็คือ ในช่วงแรกๆที่ผมเข้าวัดนี้ ผม​
     
  11. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    สุขภาพของคุณพันวฤทธิ์วันนี้สามารถทานอาหารแข็งได้บ้างแล้วหลังจากที่ต้องให้แต่น้ำเกลือมาหลายวัน พูดคุยได้เยอะขึ้น สีหน้าแจ่มใส ซึ่งก็ต้องขอกราบขอบพระคุณเป็นสูงนะครับสำหรับท่านผู้ที่เป็นห่วงอาการและสุขภาพ
    ของคุณพันวฤทธิ์ และต้องขอกราบขอบพระคุณและโมทนาบุญกับทุกๆท่านอีกครั้งนะครับที่ช่วยกันบริจาคเข้ามาเรื่อยๆยอดเงินบริจาคณ.ตอนนี้ที่ Update ยอดล่าสุดเมื่อ 21 ธ.ค. 2550 เป็นจำนวนเงิน

    26,114.00

    แต่ที่ยังไม่ได้แสดงสมุดบัญชีตอนนี้เพราะมีท่านผู้เมตตาบริจาคโอนเงินเข้ามาอยู่ 2 ยอด คือ 300 บาททั้ง2 ยอดเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2550 แต่ยังไม่ทราบท่านใดเป็นผู้โอน ขอความกรุณาถ้าท่านใดเป็นผู้โอนช่วยแจ้งให้ผมหรือคุณโสระทราบด้วยนะครับจะได้ลงบัญชีให้ถูกต้องกราบโมทนาบุญครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ

    สำหรับโครงการทำบุญในเดือนหน้า(มกราคม 2551) ก็ได้พูดคุยเตรียมการกันไว้ส่วนหนึ่งแล้ว เอาไว้สรุปผลเรียบร้อยก็จะรีบนำมาเสนอกันนะครับเผื่อท่านใดที่มีความประสงค์ไปร่วมกลุ่มทำบุญด้วยกันจะได้หาเวลาเตรียมตัวได้ทันนะครับ
     
  12. teerins

    teerins เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,796
    ผลบุญที่พี่พันวฤทธิ์ ทำบุญต่างๆ ที่ผ่านมา และเป็นผู้ริเริ่มบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ ร่วมกับคุณโสระ และอาจารย์ปุ๊ ซึ่งเป็นบุญสังฆทานไม่เจาะจงพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นบุญมหาศาลทำให้ได้รับผลบุญทันตาเห็น จากการได้รับบริจาคไต และไม่มีผลข้างเคียงจากการผ่าตัด สุขภาพแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

    ขออนุโมทนาบุญกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งมวล ในการบริจาคไต และคุณหมอ, พยาบาลที่รักษาพี่พันวฤทธิ์ให้มีสุขภาพดีขึ้นด้วยครับ สาธุ
     
  13. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    รายชื่อผู้แจ้งความประสงค์รับพระพิมพ์ที่แจกครับ

    รายชื่อที่ได้แจ้งความประสงค์รับพระที่แจกครับ
    teerins
    Chaideerek
    OhmegaO
    littlelucky
    drmetta
    Pichet-m
    kwok
    onimaru_u
    aries 2947
    sak-pkg
    ใจสติปัญญา
    ราชันย์
    เทพารักษ์
    ศ.รุ่งเรือง
    จักรพันธ์ 2514
    วีระวัฒน์
    ภญ จินดา
    จตุพรjt
    สร้างบารมี
    เสรีพิสิษฐ์
    ท่านอื่นๆต้องการพระที่แจกกรุณาส่งข้อความส่วนต้วมาที่ผมได้ครับ คงเริ่มส่งพระได้หลังจากพี่พันวฤทธิ์ออกจากโรงพยาบาลครับอาจต้องประมาณกลางเดือนมกราคม เมื่อถึงสิ้นเดือนมกราคมทางคณะทุนนิธิฯจะหยุดแจกพระไว้ก่อนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ธันวาคม 2007
  14. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ว่าด้วยเรื่องของบุญ/ทาน

    บุญกิริยาวัตถุ

    เมื่อได้ยินคำว่า บุญ เวลานี้ผู้คนทั้งหลายแทบจะลืมเลือนความหมายที่แท้จริงของมันไป ที่แย่ยิ่งกว่านั้น คนจำนวนมากไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าบุญมีจริง จึงไม่ใส่ใจในการประพฤติดี ขณะเดียวกันยังมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งอาศัยความไม่เข้าใจในเรื่องบุญของผู้คนเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ซ้ำเติมกันเข้าไปอีก วันนี้จึงขอโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องบุญ ตามประสบการณ์จริง และการเรียนรู้จากครูบาอาจารย์มาเล่าสู่กันฟัง
    บุญคือเครื่องยังให้เกิดความสำเร็จ มีคุณลักษณะที่เอิบอาบ ชุ่มชื่น สงบ สันติและ ฉลาด บุญทำให้บุคคลธรรมดา ๆ กลายเป็นพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า พระราชาได้ บุญมีลักษณะที่เป็นพลังงาน แต่คงไม่สามารถเขียนออกมาเป็นสมการคณิตศาสตร์ได้ กระนั้นก็ดี เราสามารถรับรู้ทราบถึงพลังงานแห่งบุญได้ เช่น ผู้มีบุญ ผู้ใจบุญ ถ้าอยู่ใกล้ใคร เขาก็จะให้พลังที่สงบสุข และสันติต่อผู้อยู่ใกล้

    บุญมีกรรมเป็นผู้ควบคุม มีกรรมเป็นนาย บุญมีลักษณะพิเศษอีกแบบหนึ่ง คือน้ำท่วมไม่หาย ไฟไหม้ไม่หมด โจรปล้นไม่ได้

    พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเราทำบุญ 10 อย่าง
    1.ให้ทาน
    2.รักษาศีล
    3.เจริญภาวนา
    4.แผ่เมตตา
    5.ฟังธรรม
    6.ทำหน้าที่ของพ่อแม่ ลูก และหน้าที่อื่น ๆตามสถานภาพ
    7.อ่อนน้อมถ่อมตน
    8.ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำดี(อนุโมทนา)
    9.ปฏิบัติธรรม
    10.ทำความเห็นของตนให้ตรง และถูกต้อง

    1. ทาน พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทานมีความมุ่งหมาย 2 ประการ คือ
    1.1. เป็นเครื่องมือที่จะลดความตระหนี่ เป็นเครื่องลดความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งถ้าไม่ซ้อมที่จะลดความยึดมั่นถือมั่นไว้ ชีวิตหลังความตายย่อมผูกอยู่กับสิ่งที่ยึดถือนั้น
    1.2. เป็นเครื่องสร้างสัมพันธภาพกับสรรพสิ่งรอบ ๆตัวเรา ทั้งที่มองเห็นและไม่เห็น
    ทาน แบ่งเป็นหมวดต่าง ๆได้แก่
    ก. วัตถุทาน ได้แก่ทรัพย์สินเงินทอง เสื้อผ้าอาหาร รวมถึงวัตถุธาตุทุกชนิด จัดเป็นทานขั้นต่ำสุด
    ข. ทานจากการบริจาคอวัยวะ เลือดเนื้อ เป็นทานที่สูงขึ้นมาอีกขั้น
    ค. อภัยทาน เป็นทานที่สูงขึ้นมาอีก
    ง. ธรรมทาน จัดเป็นทานขั้นสูงสุด มีคำกล่าวว่า สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง หรือแม้การสนับสนุนให้ผู้อื่นแสดงธรรมก็ถือว่าได้ร่วมในธรรมทานเช่นกัน


    ในเรื่องผลของทานนี้จะเกิดมากน้อยมีปัจจัยควรพิจารณาหลายประการ

    1. ผู้รับ ผู้รับที่มีความดีมาก หรือมีความบริสุทธิ์มากย่อมเป็นเนื้อนาบุญอันดี ทำน้อย ได้ผลมาก เช่น พระอรหันต์ บิดามารดา ซึ่งมักให้ผลมากและทันที ผู้ทรงฌาณ ผู้ทรงศีล 227 ผู้ถือศีล 8 ผู้ทรงศีล 5 ผู้ไม่มีศีล สัตว์เดรัจฉาน ตามลำดับ
    2. ผู้ให้ ผลของทานเกิดขึ้นเรียงตามลำดับชั้นแบบเดียวกัน คือผู้ให้ที่มีศีลมาก ทำทานย่อมมีผลมากกว่าผู้มีศีลน้อยกว่า
    3. วัตถุทานที่นำมาเป็นทาน มีข้อพิจารณา คือ
    3.1 ความบริสุทธิ์ของการได้มา เงินที่โกงมาทำบุญย่อมไม่ได้บุญสักเท่าไร
    3.2 ความจำเป็นของผู้รับทานนั้น เช่นถวายผ้าผืนแรกแก่พระภิกษุ ผ้าผืนนี้ย่อมได้อานิสงส์มากกว่าผืนที่สอง หรือถวายอาหารมื้อแรกแก่พระผู้ออกจากนิโรธสมาบัตินับเป็นมหาทาน
    3.3 ความสำคัญของวัตถุนั้นต่อผู้ให้ ถ้าสิ่งนั้นยิ่งสำคัญต่อเจ้าของมากเมื่อสละให้ได้ ย่อมเกิดกุศลมาก

    2. การรักษาศีล ศีล แปลว่า สภาวะปกติ แล้วแต่ว่าปกติของผู้ใด จะเป็นของผู้ใดก็ตามข้อกำหนดกติกานั้นต้องไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน เช่น ศีล 5 สำหรับความเป็นมนุษย์ ศีล 8 สำหรับผู้ถือบวชเบื้องต้น ศีล 227 สำหรับพระภิกษุ อริยะกันตะศีล เป็นศีลที่พระอริยะเจ้าชอบใจ
    ศีลนั้นเป็นบุญอย่างไร ยกประเด็นง่าย ๆ แต่ละข้อ เช่นผู้ไม่ละเมิดศีล 5ข้อ 1 เรื่องการฆ่า หรือทำร้ายชีวิตอื่นและตนเองย่อมเป็นผู้มีร่างกายดี สุขภาพใจดี มีอายุยืนยาว ไม่ถูกอาฆาตปองร้าย ผู้ไม่ละเมิดศีล ข้อ 2 ข้อว่าลักทรัพย์ และ ข้อ 4.ข้อที่ว่าด้วยเรื่องวาจา ย่อมเป็นที่เชื่อถือ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แม้จะทำการค้าขายก็ย่อมได้เครดิตดี ผู้ไม่ละเมิดศีลข้อ 3.ข้อว่าการผิดต่อบุตร ภรรยา ผู้อื่น ย่อมไม่เป็นที่หวาดระแวง เกลียดชังของสังคมรอบข้าง ส่วนผู้ไม่ละเมิดศีลข้อ 5ว่าด้วยเรื่องสุรา และยาเสพติด และยังหมายรวมถึงการเสพสิ่งมึนเมาอื่น ๆ ย่อมเป็นผู้ที่มีร่างกาย ไม่ถูกเบียดเบียนจากโรค ทรัพย์ไม่ถูกเบียดเบียน ที่สำคัญ สติ และปัญญาย่อมบริบูรณ์อยู่ตามสภาพที่มันเป็น โอกาสทำผิดพลาดย่อมน้อยลง เหล่านี้ย่อมเป็นผลบุญที่เกิดกับผู้ถือศีล แม้กระทั่งในตอนท้ายบทให้ศีลของพระ ยังยืนยันว่า ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ ศีลทำให้สู่สุขคติ และศีลเป็นเครื่องมือสู่พระนิพพาน

    3. เจริญภาวนา การเจริญภาวนาเป็นบุญอย่างไร คำตอบคือเมื่อเจริญภาวนา ด้วยความตั้งใจ แล้วจิตเข้าถึงภาวะที่ฉลาด สว่าง สะอาด สงบ นั่นคือบุญที่เกิดกับจิตเช่นกัน จะสังเกตเห็นว่า ภาวะจิตที่เป็นบุญนั้นจะเหมือนกัน คือมีความสงบเป็นพื้น และความสงบสุขลักษณะนี้จะเป็นสุขที่ยั่งยืน เพราะเป็นสุขที่ไม่อิงอามิส ไม่พึ่งวัตถุ

    4. แผ่เมตตา การแผ่เมตตาเป็นบุญอย่างไร หลายท่านคงมีประสบการณ์ในการแผ่เมตตา ไม่มากก็น้อย หลังจากได้ทำทาน หรือหลังจากสวดมนต์ และหลายท่านอาจไม่ทราบได้ว่าที่ทำนั้น ทำไปเพื่ออะไร การแผ่เมตตาหรือการอุทิศส่วนกุศลนั้น เป็นบุญเพราะเราได้แบ่งบุญของเราซึ่งได้มายาก ทำได้ยาก ให้แก่ผู้อื่น เป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่ง เป็นกระบวนการ ทำทาน ได้บุญแล้วเอาบุญไปแจกต่อ ถามว่าเช่นนี้บุญที่เราอุตส่าห์ทำมาจะน้อยลงหรือไม่ คำตอบคือไม่ และนอกจากบุญส่วนเดิมไม่น้อยลงแล้ว ยังได้ตอบแทนต่อสรรพสัตว์ ญาติของตน เทวดาฟ้าดิน และอื่น ๆ อีกมากมายที่เรามองเห็นและไม่เห็น เมื่อเทวดา และสรรพสัตว์เหล่านี้ มาเวียนเกิดเวียนตายเกี่ยวเนื่องกับเรา เราผู้เคยเป็นผู้ให้ย่อมได้รับผลตอบแทนทางดีเสมอ ผลก็คือได้บุญ 2 ต่อนั่นเอง
    การแผ่เมตตาที่ได้บุญมากคือมีอานิสงส์มากได้แก่การแผ่เมตตาไปโดยไม่ประมาณ กล่าวคือผู้รับมีจำนวนมาก ส่วนการแผ่เมตตาอย่างเฉพาะเจาะจง เช่นต่อญาติ ผู้ใหญ่ มิตรสหาย นั่นก็นับว่าดีอยู่ แต่บุญที่ผู้ให้จะได้จะไม่มากเท่ากับการแผ่เมตตาโดยมิประมาณ
    ส่วนผลต่อจิตของผู้ทำ ย่อมนำมาซึ่งความปล่อยวาง นำมาซึ่งเมตตาธรรมในดวงจิต และนำมาซึ่งกุศลจิตคือจิตที่ฉลาด สะอาด สว่าง ของผู้ทำ โดยเฉพาะผู้ที่แผ่เมตตาให้แก่ทุกคนแม้แต่ศัตรู อย่างจริงใจ ไม่เสแสร้ง ย่อมมีอานิสงส์ให้จิตนั้นมีความสะอาด ฉลาด เป็นจิตที่เป็นกุศลมากมหาศาล ตรงกับคำสอนของศาสนาคริสต์ซึ่งสอนให้อภัยต่อศัตรู (อย่างจริงใจ)
    ปริมาณอานิสงส์ของการแผ่เมตตานั้นมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่าผู้ที่เจริญเมตตาแม้ชั่วงูแลบลิ้น มีอานิสงส์มากกว่าสร้างพระมหาเจดีย์เสียอีก (แต่ต้องเป็นเมตตาจิตอย่างจริงใจ) ผู้เจริญเมตตาก่อนตายย่อมไปเกิดในที่ดี เกิดท่ามกลางกัลยาณชน เกิดเป็นผู้มีทรัพย์ มีปัญญา แต่การที่จะเป็นผู้เจริญเมตตาก่อนตายได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้ทำสิ่งนี้บ่อยๆ ครั้ง มิใช่นาน ๆ ทำที
    ตัวอย่างของคำแผ่เมตตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2007
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    เกิด ดับ กีสาโคตมีเถรี

    สมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงปรารถเรื่อง นางกีสาโคตมี ความพิสดารว่า นางกีสาโคตมี เป็นสะใภ้เศรษฐีคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์ วันหนึ่งบุตรของนางซึ่งกำลังน่ารักน่าชังได้ถึงแก่ความตายลงไปอย่างกะทันหัน ก็มีความโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง วงศาคณาญาติจะนำศพไปเผาตามประเพณีนางก็ไม่ยินยอม แย่งเอาร่างบุตรน้อยมากอดไว้แนบอก เที่ยวถามหายาที่จะช่วยชุบชีวิตบุตรของตน มิใยใครจะหาว่าเป็นบ้าไปแล้วหรือ การจะไปหายามาทำให้คนที่ตายไปแล้วกลับฟื้นนั้นมีที่ไหน แต่นางก็ไม่ยอมเชื่อ ก็คงร้องไห้ฟูมฟาย อุ้มร่างลูกน้อยกระเซอะกระเซิงไปตามถนน ร้องครวญคร่ำพร่ำหายาวิเศษมาช่วยชีวิตลูกน้อย
    มีคนสงสารนาง จึงแนะนำให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะเชื่อว่าพระองค์คงจะมีพระพุทโธบายช่วยให้นางเข้าใจหลักธรรมในชีวิตได้ โดยหลอกว่าพระศาสดาองค็จอมไตรนั้นคงจะมียาวิเศษที่จะช่วยชุบคนตายไปแล้วให้กลับฟื้นคืนชีวิตได้ นางกีสาโคตมีก็ดีใจ รีบอุ้มร่างลูกไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลขอยาวิเศษ พระบรมศาสดา ทรงมีพุทโธวาทว่า ยานั้นพระองค์มี จะประทานให้ได้แต่ขอให้นางไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาให้พระองค์สักฟายมือหนึ่งก่อน นางกีสาโคตมีได้ฟัง ก็ดีใจ คิดว่า ยาอะไร แค่เมล็ดพันธุ์ผักกาดเพียงฟายมือเดียว
     
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    "แคล้วคลาดดีเหลือใจ....ไม่เจ็บตัว"

    คำกล่าวของ"หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี" ดังกล่าวนี้ ดูจะสมจริงว่า"เหมาะสม"กับยุค"อันตระวิวัฏฏะ"(ยุคมืดยุคเสื่อม) ที่สรรพาวุธทั้งหลาย มีอำนาจ"ทำลายล้าง"สูงยิ่งเป็นที่สุด จึงขอแจ้งให้ทุกๆท่าน หา"ของดี"ที่โดดเด่นทางด้าน"แคล้วคลาด"มาห้อยคอบูชากันโดยด่วนที่สุดทั่วกันเถิด หากว่า "กรรม"ของท่าน ไม่"หนักหนาสาหัส"จนเกินไป หรือ"ถึงคราว"จริงๆ ก็อาจจะพอ"รักษาตัวรอด"ได้บ้าง ด้วยอำนาจของ"พระปริต"และ"พระพุทธคุณ".....
    เท่าที่นึกได้ตอนนี้ วัตถุมงคลที่ดีเด่นทางด้าน"แคล้วคลาด"อย่างดียิ่งก็มี
    1.พระเครื่องของพ่อแม่ครูบาอาจารย์กรรมฐาน สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งขึ้นชื่อทางด้านนี้มานาน ด้วยพระคาถา"โมรปริต" (นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุตติยา)
    2.พระมงคลมหาลาภ วัดสารนาถธรรมาราม ระยอง พ.ศ. 2499 ที่มีพระอริยะสายกรรมฐานรุ่นอาวุโสมานั่งปรกมากเป็นร้อยๆองค์ อาทิ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม,พระอาจารย์กงมา,หลวงปู่ดูลย์ อตุโล,หลวงปู่ขาว อลาลโย,หลวงปู่ฝั้น อาจาโร,พระอาจารย์วัน อุตตโม ฯลฯ.... และมี"คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม" เป็นเจ้าของงานและเจ้าพิธี ซึ่ง"อาจารย์ประถม อาจสาคร"กล่าวรับรองมานานแล้วว่า
    "..แคล้วคลาดจริงๆ...ไม่ต้องไปหาพระรอดมหาวันให้เหนื่อยยาก..!!!!!"
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบพระคุณข้อมูลจากเว็บพุทธวงศ์
    http://www.phuttawong.net
     
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    "ทำดี"แล้ว"ดีจริง" ต้องทำแบบไหน

    ทำความดีด้วยใจว่างจากกิเลส

    ทำความดีอย่างสบาย ๆ อย่างมีอุเบกขา คือ ทำใจเป็นกลางวางเฉย ไม่หวังผลอะไรทั้งสิ้น

    การตั้งความหวังในผลของการทำดีเป็นธรรมดาของสามัญชนทั่วไป ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ก็จะถูกต้องกว่าหากจะไม่ตั้งความหวังเลย เมื่อรู้ว่าเป็นความดีก็ทำเต็มความสามารถของสติปัญญา ไม่เดือดร้อนให้เกินความสามารถ ไม่มุ่งหวังให้ฟุ้งซ่าน ไม่ผิดหวังให้เศร้าเสียใจ การทำใจเช่นนี้ไม่ง่าย แต่ก็เป็นสิ่งทำได้ ถ้าทำไม่ได้พระพุทธเจ้าก็จะไม่ทรงสั่งสอนไว้

    ทำดีด้วยความโลภและหลง จักไม่อาจให้ผลสูงสุด

    การทำดีหรือทำบุญกุศลที่จะส่งผลสูงสุด ต้องเป็นการทำด้วยใจว่างจากกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง ความผูกพันในผลที่จะได้รับเป็นทั้งความโลภและความหลง ความผูกพันในผลที่จะได้รับเป็นทั้งความโลภและความหลง จึงไม่อาจให้ผลสูงสุดได้ แม้จะให้ผลตามความจริงที่ว่า ทำดีจักได้ดี แต่เมื่อเป็นความดีที่ระคนด้วยโลภและหลง ก็ย่อมจะได้ผลไม่เท่าที่ควร มีความโลภหลงมาบั่นทอนผลนั้นเสีย

    ทำดีแล้วต้องได้ดีแน่นอนเสมอไป

    ทำดีไม่ได้ดี ไม่มีอยู่ในความจริง มีอยู่แต่ในความเข้าใจผิดของคนทั้งหลายเท่านั้น ทำดีแล้วต้องได้ดีแน่นอนเสมอไป

    ที่มีเหตุการณ์ต่าง ๆ นานาปรากฏขึ้น เหมือนทำดีไม่ได้ดีนั้น เป็นเพียงการปรากฏของความสลับซับซ้อนแห่งการให้ผลของกรรมเท่านั้น เพราะกรรมนั้นไม่ได้ให้ผลทันตาทันใจเสมอไป แต่ถ้าเป็นเรื่องภายในใจแล้ว กรรมให้ผลทันทีที่ทำแน่นอน เพียงแต่ว่า บางทีผู้ทำไม่สังเกตด้วยความประณีตเพียงพอจึงไม่รู้ไม่เห็น ขอให้สังเกตใจตนให้ดี แล้วจะเห็นว่าทันทีที่ทำกรรมดี ผลจะปรากฏขึ้นในใจเป็นผลดีทันทีทีเดียว

    ทำกรรมดีแล้วจิตใจจักไม่ร้อนเร่า

    ทำกรรมดีแล้วใจจักไม่ร้อน เพราะไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะได้รับผลไม่ดีต่าง ๆ

    ความไม่ต้องหวาดวิตกหรือกังวลไปต่าง ๆ นั้น นั่นแหละเป็นความเย็น เป็นความสงบของใจ เรียกได้ว่าเป็นผลดีที่เกิดจากกรรมดี ซึ่งจะเกิดขึ้นทันตาทันใจทุกครั้งไป เป็นการทำดีที่ได้ดีอย่างบริสุทธิ์แท้จริง

    ส่วนผลปรากฏภายนอกเป็นลาภยศสรรเสริญต่าง ๆ นั้น มีช้า มีเร็ว มีทันตาทันใจ และไม่ทันตาทันใจ จนเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดกันมากมาย ว่าทำดีไม่ได้ดีบ้าง ทำชั่วได้ดีบ้าง

    ควรทำดีโดยทำใจให้เป็นกลาง ไม่มุ่งหวังสิ่งใด

    ทำดีได้ดีแน่นอนอยู่แล้ว บรรดาผู้ทำความดีทั้งหลายซาบซึ้งในสัจจะ คือ ความจริงนี้ ดังนี้ก็ไม่น่าจะลำบากนักที่จะเชื่อด้วยว่า ควรทำดีดโดยทำใจเป็นกลางวางเฉลยไม่มุ่งหวังอะไร ๆ ทั้งนั้น

    การที่ยกมือไหว้พระด้วยใจที่เคารพศรัทธาในพระรัตนตรัยสูงสุดเพียงเท่านี้ ได้ผลดีแก่จิตใจยิ่งกว่าจะยกมือไหว้พร้อมกับอธิษฐานปรารถนาสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปด้วยมากมายหลายสิ่งหลายอย่าง หรือการจะบริจาคเงินสร้างวัดวาอาราม ด้วยใจที่มุ่งให้เป็นการบูชาคุณพระรัตนตรัยเพียงเท่านี้ ก็ได้ผลดีแก่จิตใจ ยิ่งกว่าจะปรารถนาวิมานชั้นฟ้า หรือบ้างช่องโอ่อ่าทันตาเห็นในชาตินี้ หรือการจะสละเวลากำลังกาย กำลังทรัพย์เพื่อช่วยเหลืองานพระศาสนา โดยมุ่งเพื่อผลสำเร็จของงานนั้นจริง ๆ เพียงเท่านี้ก็ได้ผลดีแก่จิตใจยิ่งกว่าปรารถนาจะได้หน้าได้ตาว่าเป็นคนสำคัญ เป็นกำลังใจให้เกิดความสำเร็จ หรือการคิดพูดทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยใจที่มุ่งเทิดทูนรักษาอย่างเดียวเช่นนี้ ให้ผลดีแก่จิตใจยิ่งกว่าหวังได้ลาภยศหน้าตาตอบแทน

    ทำความดีอย่างบริสุทธิ์ สะอาดจริงเถิด

    ทุกวัน เรามีโอกาสทำดีด้วยกันทุกคน ดังนั้นจึงขอให้พยายามตั้งสติให้ดี ใช้ปัญญาให้ควร อย่าโลภ อย่าหลง อย่าทำความดีอย่างมีโลภมีหลง ให้ทำความดีอย่างบริสุทธิ์สะอาดจริงเถิด

    มีวิธีตรวจใจตนเองว่า ทำความดีด้วยใจปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คือ กิเลส โลก โกรธ หลง หรือไม่ ก็คือให้ดูว่าเมื่อทำความดีนั้น ร้อนใจที่จะแย่งใครเขาทำหรือเปล่า กีดกัดใครเขาหรือไม่ ฟุ้งซ่านวุ่นวายกะเก็งผลเลิศในการทำหรือเปล่า ต้องการจะทำทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถจะทำได้ แล้วก็น้อยเนื้อต่ำใจหรือโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทอุปสรรคหรือเปล่า

    ถ้าเป็นคำตอบปฏิเสธทั้งหมดก็นับว่าดี เป็นการทำดีอย่างมีกิเลสห่างไกลจิตใจพอสมควรแล้ว สบายใจ เย็นใจในการทำความดีใด ๆ ก็นับว่ามีกิเลสห่างไกลใจในขณะนั้นอย่างน่ายินดียิ่ง จะเป็นเหตุให้ผลอันเกิดจากรรมดีนั้นบริสุทธิ์ สะอาด และสูงส่งจริง

    ทำให้ไม่มีตัวเราของเราได้...วิเศษสุด

    ไม่มีตัวเราของเราแล้วไม่มีความทุกข์ เพราะไม่ถูกกระทบ ไม่มีอะไรให้ถูกกระทบ

    เหมือนคนไม่มีมือ ก็ไม่เจ็บมือ, คนไม่มีขา ก็ไม่เจ็บขา ดังนั้น การทำให้ไม่มีตัวเราของเราได้จึงวิเศษสุด แต่ก็ยากยิ่งนักสำหรับบุถุชนคนสามัญทั้งหลาย ฉะนั้นขอให้มีเพียงเราเล็ก ๆ มีเราน้อย ๆ ก็ยังดี ดีกว่าจะมีเราใหญ่โตมโหฬาร มีของเราเต็มบ้านเต็มเมือง

    เมื่อบุถุชนไม่สามารถทำตัวเราให้หายไปได้ ยังหวงแหนห่วงใยตัวเราอยู่ ของเราจึงยังต้องมีอยู่ด้วย ของเราจะหมดไปก็ต่อเมื่อตัวเราหมดไปเสียก่อน นี้เป็นธรรมดา

    ถ้ายังมีตัวเราของเราอยู่ ยังต้องกระทบกระทั่งอยู่ ยังหวงแหนรักษาตัวเราของเราไว้ ก็ควรอย่างยิ่งที่จะหวงแหนรักษาให้ถูกต้อง จะได้ไม่ต้องรับโทษทุกข์ของการมีตัวเราของเรามากเกินไปอย่างเดียว แต่มีโอกาสที่จะได้รับคุณรับประโยชน์บ้างจากการมีตัวเราของเรา นั่นก็คือต้องระวังรักษาปฏิบัติต่อตัวเราของเราให้ดี ให้เป็นตัวเราของเราที่ดี

    (ตอนหนึ่งพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร....)
     
  18. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    ของดีดี(พระดีๆ)รับปีใหม่

    ใกล้ปีใหม่เข้าไปทุกที หลายๆท่านก็อาจจะนึกอยากได้"ของดี"ไว้บูชาเป็นสิริมงคลแก่ตัวแก่ใจบ้าง ซึ่ง"พุทธวงศ์"ก็ได้เลือกสรร"ของดีดี"มาฝากให้เลือกบูชากันตามกำลังและอัธยาสัยในหลากหลายรูปแบบและค่านิยม โดยรายได้หลักจากการนี้ จะนำเข้าสนับสนุนเวปไซต์สืบต่อไปครับผม....

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระสมเด็จ 2509 พิมพ์ฐานคู่ วัดสัมพันธวงศ์ กทม. <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]


    สร้างโดยพระครูชินเทพ ชินเทโว วัดสัมพันธวงศ์ เมื่อปีพ.ศ. 2509 ด้วยผงหลักคือผงพระกรุวัดใหม่บางขุนพรหม ของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)และผงโสฬสมหาพรหม วัดสารนาถฯ ระยอง พ.ศ. 2499 ด้วยจำนวนที่น้อยเพียงหลักร้อยปลายๆ โดยท่านพระครูชินเทพได้นำไปขอบารมีจากเจ้าคุณนรรัตน์ฯ วัดเทพศิรินทร์อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวส่วนตัวเป็นการเฉพาะเจาะจงเป็นกรณีพิเศษสุดหลายวาระด้วยกันในฐาน"ศิษย์พี่ศิษย์น้อง" ร่วมสถาบันเดียวกันมาแต่ก่อน(เจ้าคุณนรรัตน์ฯ เป็นรุ่น 1 รัฐศาสตร์จุฬาสมัยที่ยังเป็นโรงเรียนมหาดเล็กหลวง) ส่วนพระครูชินเทพเป็นรัฐศาสตร์จุฬา รุ่น 4) <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระ"สมเด็จ 09 เจ้าคุณนรรัตน์ฯ" รุ่นนี้ เมื่อสร้างเสร็จ พระครูชินเทพจะอุ้มไปขอให้ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯเสกเป็นการส่วนตัวเสมอๆ โดยบางครั้ง ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯจะถึงสั่งให้พระครูชินเทพนั่งสมาธิไป ส่วนองค์ท่านธมฺมวิตกฺโกก็นั่งเสกแบบ"สายตรง" โดยการจับกล่องพระเสกกันแบบจะๆเน้นๆตรงๆแบบเต็มๆ (ไม่ใช่โยงสาญสิญจน์แล้วหันหลังเสกเหมือนรุ่นหลังๆ)ไปตามอัธยาสัย"เป็นชั่วโมงๆ" น่าเลื่อมใสที่สุด.... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบพระคุณข้อมูลจากเว็บพุทธวงศ์
    http://www.phuttawong.net
     
  19. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    มนุษย์เกิดมาได้อย่างไร ?

    <TABLE width="95%" align=right border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom>[FONT=BrowalliaUPC, AngsanaUPC]มนุษย์เกิดมาได้อย่างไร ?[/FONT]




    </TD></TR><TR><TD><DD>มนุษย์เรานี้มันเกิดมาจาก อวิชชา ตัณหา กรรม อาหาร ปัจจัย ๔ อย่างนี้ทำให้เกิดขึ้นมา <DD>แต่เริ่มแรกจริง ๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่า มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร แม้พระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสไว้ว่า

    <DD>มนุษย์เกิดขึ้นได้อย่างไรเพราะโลกนี้เมื่อย้อนหลังคืนไปแล้ว ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีสิ้นสุดเลย เรียกว่าเบื้องต้นไม่ปรากฏ <DD>ไม่ทราบมันเกิดมาแต่เมื่อใด
    พระองค์ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ ทรงมีพระญาณไม่มีที่สิ้นสุด <DD>แม้กระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้พยากรณ์เอาไว้ว่า จิตวิญญาณของมนุษย์มาจากอะไร และมาแต่ไหน <DD>เบื้องต้นจริงๆ ไม่มี พระองค์ก็ไม่ได้พยากรณ์ไว้ พระองค์ทรงพยากรณ์ว่า ชีวิตมนุษย์


    <DD>ได้อาศัยอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
    <DD>นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา <DD>ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดความแก่ <DD>พยาธิความเจ็บไข้ มรณะความตาย โสกะความโศกเศร้า ปริเทวะความร้องไห้ร่ำไร ทุกข์โทมนัส<DD>ความคับแค้นใจ อุปายาสความเหี่ยวแห้งใจ เป็นอันว่าความทุกข์ทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นด้วยอาการดังนี้ <DD>สรุปแล้วมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ถ้าพิจารณาตามปฏิจจสมุปบาทอันนี้ แล้ว ร่างกายและจิตใจของคนเรา<DD>ที่ยังมีอวิชชาตัณหาหุ้มห่ออยู่นี้ แต่คนหารู้แจ้งด้วยปัญญาอันนี้ไม่ ก็เลยหลงติดสุขชั่วคราวทำให้ <DD>หัวใจโล่งไปชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น


    เรียบเรียงจากธรรมกถาของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

    <DD>






    <DD>ที่มา http://www24.brinkster.com/thaniyo/kham.html











    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2007
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    สุขภาพคุณพันวฤทธิ์ช่วงนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆนะครับ ก็เริ่มขยับเนื้อขยับดัวได้บ้างแล้ว
    และตอนนี้พยาบาลก็ให้ทำกายภาพบ้างแล้ว อีกไม่นานก้คงจะหายดี ก็ขอขอบพระคุณอีกครั้งครับสำหรับท่านที่ห่วงใยคอยสอบถามอาการคุณพันวฤทธิ์

    วันนี้จะขอนำสมุดบัญชีธนาคารที่ได้มีการ Update เมื่อวันที่ 21/12/2550
    มาให้ชมกันนะครับ

    [​IMG]



    ตรงลูกศรชี้เป็นยอดที่ถูกรวมสามารถแยกเป็นรายบุคคลได้เพราะไม่ได่ไป Update รายการบ่อยนักแต่จะพยายามแจกแจงรายชื่ออีกครั้งในตอนที่ลงสมุดบัญชีเล่มใหญ่และจะนำมาแสดงอีกครั้งนะครับ

    [​IMG]

    ยอด Update ล่าสุดนะครับ 26,114.00 บาทก็ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงและโมทนาบุญกันอีกครั้งนะครับสำหรับท่านที่ได้เมตตาบริจาคเข้ามา สาธุ สาธุ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...