ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    มิลินทปัญหา
    ปัญหาที่ 8
    ถามลักษณะมนสิการ

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่า
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
     
  3. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    วันนี้โอนไปปัจจัยไปเพิ่มอีก 700 บาท ครับ ของแฟนฝากมา 500 บาท (กฤษณา และทีมsale) ของผมเอง 200 คับ

    10/01/08 12.01 TMB T002B157 SCHQ SUBBR.ADM
    3725 FUND TFER
    700 B ครับ
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    กราบขอบพระคุณและโมทนาบุญกับคุณ nathaphat ด้วยนะครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ


    มรณกรรมฐาน

    มรณกรรมฐาน

    พระธรรมเทศนาของ พระญาณสิทธาจารย์
    (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)

    ณ บัดนี้เป็นต้นไป ได้เวลาถึงเวลานั่งสมาธิภาวนาปฏิบัติบูชา ทำความเพียรเพื่อละกิเลสราคะ ละกิเลสโทสะ ละกิเลสโมหะให้หมดสิ้นไปในจิตใจของเราทั้งหลายทุกๆ คน ฉะนั้น การนั่งสมาธิภาวนาจึงเป็นบุญเป็นกุศล นำความสุขความเจริญมาให้แก่ผู้ปฏิบัตินั้นๆ

    การที่เรามีชีวิตมาถึงวันเวลาที่เรานั่งภาวนาฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่นี้ ท่านว่าเป็นบุญเป็นกุศล เพราะว่าบางคนนั้นตายไปก่อนเวลาที่มาปฏิบัติอย่างนี้ก็เยอะแยะ เพราะชีวิตของคนเรานั้นจะกำหนดแน่นอนเอาเองไม่ได้ ถ้าบุญบารมีเก่าหมดไปเมื่อไร บารมีใหม่หมดเมื่อใด ชีวิตของคนเราก็ตายไป เราจะมาปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ฟังเทศน์ฟังธรรมนั่งอย่างนี้ไม่ได้ เพราะชีวิตมันดับไปหมดไป ตอนชีวิตยังมีอยู่คือยังมีลมหายใจอยู่ ยังฟังเทศน์ฟังธรรมได้ยินเสียงอยู่ นั่นแหละคือว่าเป็นบุญเป็นกุศล ที่เราฟังเสียงธรรมได้ยินอยู่ หรือเรานึกภาวนาพุทโธๆ ได้ยินเสียงพุทโธอยู่ในใจ หรือนึกว่า "มรณัง เม ภวิสสติ" เราต้องตาย ความตายของคนเรายุคนี้สมัยนี้นั้นไม่เกิน 100 ปี ยังไม่ถึง 100ปีก็ลำบาก ที่ตัวเราคนเรายังเหลือชีวิตได้มาปฏิบัตินั้น จึงชื่อว่าเป็นมหากุศลอันหนึ่ง ที่ควรประกอบกระทำ และควรทำความปีติยินดี เพราะว่าเมื่อกล่าวส่วนรวมแล้ว "มรณัง เม ภวิสสติ" ตัวเราต้องมีความตายเป็นผลที่สุด คนอื่นสัตว์อื่นตลอดไปจนถึงสัตว์สิ่งเดรัจฉานสัตว์บกสัตว์น้ำ หรือว่าคนเราอย่างนี้แหละ ความตายนั้นถ้าจัดในส่วนรวมมนุษย์คนเรา มีเรามานั่งภาวนา ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้นอนอยู่ในเสื่อในหมอน ไม่ได้หยอดน้ำอาหารการกิน ไม่ได้เอาช้อนตักอาหารเอาอากาศเข้าปาก นับว่าเป็นผู้ที่ยังมีบุญอยู่ เพราะว่าโรคภัยไข้เจ็บมันยังไม่ลุกลาม ยังไม่รุนแรง ยังยืนคนเดียวได้ นั่งคนเดียวได้ นอนคนเดียวได้ ทำอะไรๆ ได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าโรคภัยเจ็บไข้บังเกิดขึ้น จะแก่หรือจะเด็กจะหนุ่มก็ตาม ร่างกายสังขารนี้จะทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้ทั้งนั้น การที่เรายังภาวนาพุทโธได้อยู่ ยืน เดิน นั่ง นอน ไปมาได้ด้วยตนเอง อันนี้ท่านว่าเป็นบุญเป็นกุศล คนอื่นผู้อื่นเขาตายไป เรายังไม่ตายยังรอไปบิณฑบาตบ้านถ้ำอยู่ ยังหวังว่าจะได้กินอย่างนั้นจะได้ฉันอย่างนี้ อาหารเอร็ดอร่อยไม่เอร็ดอร่อยยังจะมีความรู้ต่อไป ท่านว่ายังมีบุญอยู่ยังไม่ตาย

    แต่ความตายนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์สอนไว้ว่าให้นึกบ่อยๆ นึกจนมันเห็น แล้วก็นึกจนมันเข้าใจลึกซึ้ง จนเกิดความสลดสังเวชในมรณะความตายของเราและของสัตว์ทั้งหลาย ของคนทั้งหลาย ถ้าผู้ใดภาวนามรณกรรมฐานจนเกิดขึ้น จิตใจสงบระงับตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนาก็ดี หรือมีความสลดสังเวชในมรณภัยคือความตายนี้ จิตใจจะเปลี่ยนแปลงไป ความโกรธก็จะเบาบาง เลิกได้ละได้ ความโลภความอยากได้ในใจก็จะได้เลิกได้ละได้ ความหลงในจิตในใจตัวเราก็จะเลิกได้ละได้ เพราะว่ามรณภัยคือความตายนั้น เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดผู้นั้นจำเป็นต้องตาย จะมาอ้างว่าข้าพเจ้ายังเด็กอยู่อย่าเพิ่งให้ข้าพเจ้าตายเลย ให้อยู่ไปดูโลกต่อไปก่อน ธรรมดาพระยามัจจุราชคือความตายมันไม่ได้ยกเว้น เมื่อได้วาระของผู้ใดผู้นั้นก็จำเป็นจำไปต้องตาย พระพุทธเจ้าท่านจึงให้นึกถึงมรณภัยคือความตายนี้ทุกลมหายใจเข้า ทุกลมหายใจออก "มรณัง เม ภวิสสติ" "มรณะ มรณัง" ก็แปลว่าความตาย หรือคือจะต้องตายด้วยกันทั้งหมดสิ้น "เม" ก็หมายถึงเรา เราทุกคนต้องตาย ต้องมองให้เห็นนึกให้ได้ ถ้านึกไม่ได้แล้ว จิตมันจะเป็นไปตามอารมณ์ต่างๆ ไม่สงบลงได้ ถ้ามองเห็นแจ้งในจิตในใจว่าอย่างไรเสียต้องตาย รอวันตายอยู่ทุกลมหายใจ ถ้ามาถึงเวลาหายใจเข้าไป บุคคลผู้นั้นก็ตายเวลาหายใจเข้า หรือถึงเวลาหายใจออก บุคคลนั้นก็ตายเวลาหายใจออก มรณภัยคือความตายนี้ใกล้ที่สุดแค่ลมหายใจนี่เอง อายุของคนเรานี้ไม่ใช่ตามที่เรานึกว่าเท่านั้นปีเท่านี้ปี 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 ปี 50 ปี 60 ปี 70 ปี 80 ปี 90 ปี อันนี้นับเอาเองแต่ความจริงมันไม่ถึง ไม่ถึงที่เรานับ ความตายมันมาถึงเสียก่อน

    มรณภัย คือความตาย จงพากันเพียรเพ่งดูให้รู้แจ้งด้วยปัญญาอันชอบ จิตใจมันจะถอนละถอนออกได้หมด ที่คนเราคิดว่าอารมณ์อย่างนี้เลิกไม่ได้ละไม่ได้ ถ้ามองเห็นมรณภัยคือความตาย ละได้หมด ดูคนเขาที่ตายไป ถ้าคนไหนได้เฝ้า พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติ มิตร สหาย ลูกเต้า หลาน เหลน ของตนใกล้จะตายเข้าไปนั่งดูเรียกว่าเฝ้าดูคนตาย มันสั้นเข้าไปทุกอย่างทุกประการ หมดไปสิ้นไปเวลาคนจะตาย แต่ก็เกี่ยวกับโรคบางอย่างบางประการ โรคบางอย่างบางประการนั้นมันสั้นเข้าไปหมดเข้าไป ตั้งต้นแต่บริโภคอาหารได้ เวลามันตัดเข้าไป เคยบริโภคอาหารก็บริโภคไม่ได้ จะต้องได้อาหารน้ำๆ จึงจะไหลลงคอไปได้ ตัดเข้าไปอาหารอย่างหนักก็กินไม่ได้แล้ว หนักเข้าก็ดื่มน้ำอย่างเดียว อาหารประเภทแข็งประเภทเหลวก็ไม่ได้ แต่ดื่มนมผงได้ ชงนมผงได้ ชงน้ำนมได้ โกโก้ กาแฟ อะไรที่มันไหลลงไปได้ ท้องไส้ของคนใกล้จะตายมันเป็นอย่างนี้แหละ นานเข้าไปตัดเข้าหมดไปๆ จนกระทั่งว่าน้ำที่จะดื่ม มันก็ไม่ลงคอ แต่ก็พูดจายังมีชีวิตอยู่ มองดูมันก็หิวโหยโรยแรงที่สุด คือว่าน้ำก็อยากกิน แต่มันกินไม่ได้ กินไม่ลง แสดงออกมาทางปากให้เห็น ทีนี้คนที่ยังไม่ตาย ก็ช่วยเอาสำลีชุบน้ำเอาไปบีบใส่ปากให้ ปากก็แสดงถึงว่าหิวอยากดื่มน้ำ ริมฝีปากก็เผยอเอาน้ำนั่น มันตัดเข้าไป ตัดเข้าไป มรณะ มรณกรรมฐาน เราอย่าได้ประมาท ทุกคนจะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของมรณกรรมฐาน ทีนี้ถ้ามันขยับเข้าไปอีก ไอ้ที่จะเผยอริมฝีปากรับเอาน้ำมันไม่ไหว แต่ยังมีลมหายใจอยู่ หายใจยาวๆ อยู่ หายใจยังได้สบายอยู่ หนักเข้าไปกว่านั้น หายใจไม่ไหวแล้ว เคยหายใจยาวๆ ตามธรรมดา ก็หายใจสั้น นั่นแหละมรณกรรมฐานใกล้ที่สุด เอาเข้าไปอีก หายใจยาวไม่ได้ หายใจสั้นๆ ในตัวในจิตใจของผู้นั้นก็กระวนกระวายที่สุด ลมหายใจเคยหายใจ ปอดเคยทำงาน ปอดก็ทำงานไม่ไหวแล้ว นี่แหละมรณกรรมฐาน นึกให้ได้ พิจารณาให้เห็นด้วยปัญญาอันชอบ ทีนี้เวลามันจะเอาให้หมดนั้น สะบั้นหมดร่างกาย สั่นสะเทือนกว่าดวงจิตจะออก แต่ก็เป็นไปตามโรคภัยไข้เจ็บของแต่ละคน เวลาดวงจิตดวงใจจะถอดออกจากร่างกาย หนีจากร่างกาย แสดงเส้นเอ็นทั้งร่างกายมันสะบั้น ลูกกะตานี้เขียวปื๋อเลย เขาให้ชื่อว่าตาผีตาย คนใจไม่แข็งก็กลัว กลัวผีมันมาหลอก แท้ที่จริงเขาดิ้นตายของเขาต่างหาก ตาไม่ใช่ตาคนธรรมดา เป็นตาผีไป หมดสะบั้นกระทั่งหมดร่างกายเส้นเอ็นแล้ว ทีนี้ก็จิตออกไปแล้ว ถอดไปแล้ว ก็เหลือแต่ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ธรรมดา นี่แหละมรณกรรมฐาน ซึ่งมันมีอยู่ในตัวของคนเราทุกคน แต่ผู้ปฏิบัติไม่ค่อยมาปฏิบัติเพียรเพ่งดูให้รู้แจ้งด้วยปัญญาอันชอบ จึงได้เกิดกิเลสตัณหามานะทิฏฐิ วุ่นวายไม่จบไม่สิ้น จงภาวนาให้เห็นแจ้งด้วยสติปัญญาของตัวเอง แล้วจิตใจมันจะได้กระเตื้องดีขึ้น ไม่หมกมุ่นอยู่ตามอารมณ์ต่างๆ

    "มร ณัง เม ภวิสสติ" ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันเป็นเรื่องใหญ่ มรณกรรมฐานไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่เขียนหนังสือ ไม่ใช่คาดคะเน เวลามรณภัยคือความตายมันจะมาถึง รุนแรงที่สุด พระพุทธองค์ท่านตรัสว่าความตายเป็นทุกข์ ไม่ได้หมายว่าจิตถอดออกไปแล้วมันเป็นทุกข์ ตอนจิตใจกำลังรับทุกขเวทนาต่างหาก อันนั้นแหละมันทุกข์ ที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยตั้งแต่เกิดมาจนถึงวัยแก่วัยชรา เจ็บไข้ได้ป่วยหลายครั้งหลายคราก็ตาม ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าความตายเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์มันทุกข์จนเหลือทน ทนไม่ได้ทนไม่ไหว เมื่อทนไม่ไหว ก็รับเสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส แล้วก็ตายไป นี่แหละทุกคนจะต้องตาย มรณกรรมฐานนี้ต้องนึกต้องเจริญไว้ให้ได้ในกายของตัวเอง ถ้าผู้ใดทำน้อยปฏิบัติน้อยยังถึงขั้นเลิกความหลงอะไรยังไม่ได้นั้น จะต้องกระวนกระวายที่สุด เพราะจิตอุปาทานความยึดในร่างกายสังขารเป็นรูปขันธ์นั้นมันมาก เจ็บน้อยมันก็เป็นเจ็บมาก เจ็บมากก็ตายไปเลย เพราะจิตมันยึดมั่นถือมั่น ถ้าจิตนี้ปล่อยได้วางได้เลิกได้ละได้อะไรๆ ก็ช่างมันเถอะ มันเกิดได้มันก็แก่ได้ มันเกิดมาได้มันก็เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดาได้ มันเกิดมาแล้วมันก็ตายได้ เวลาตายกำหนดไม่ได้ ลมเข้าไปออกไม่ได้ก็ตาย หายใจออกไปสุดเข้ามาไม่ได้ก็ตาย กลางคืนก็ตายได้ ตอนเช้าๆ อย่างเราอยู่นี้ก็ตายได้ กลางวันก็ตายได้ เดือนไหนก็ตายได้ วันไหนก็ตายได้ ไม่เลือกเวลา เมื่อจัดส่วนรวมแล้วเดี๋ยวนี้ก็มีคนตายเดี๋ยวนี้ก็มีคนเจ็บ หรือความเจ็บนี้บางคนก็มันเกิดขึ้นแล้วติดขึ้นแล้วเหมือนไฟไหม้บ้าน ว่าถ้าจะดับไหวหรือเอาได้หรือไม่ได้ ก็เหมือนกันที่เราว่าไม่สบายอย่างนั้นไม่สบายอย่างนี้ เปรียบเหมือนอย่างว่าไหม้บ้านไหม้เรือนไหม้กุฏิ ติดหลังคามาจะดับได้ดับไหวหรือไม่ไหว ก็แล้วแต่ตัวเองบุญบาปนั้นมันมีอยู่ในตัวนี้ แล้วก็ไม่เลือกเวลาด้วย ไม่ยกเว้นด้วย คนโบราณจึงตั้งชื่อความตายนี้ว่าเป็นพญาใหญ่ที่สุด ใครจะมารบราฆ่าฟันกับพญามัจจุราชนั้นไม่มีใครจะชนะได้ พ่ายแพ้ทุกรายไป

    พระพุทธองค์ท่านจึงให้กำหนดความตายนี้ให้ได้ทุกลมหายใจ คือว่ามันใกล้เข้าไปหมดไปสิ้นไป ถ้าว่าถึงคนทั้งโลกแล้วเดี๋ยวนี้ก็มีคนตาย ตายนับไม่ได้ก็มี ตายคนเดียวก็มี ตาย 2 คน 3 คนในขณะเดียวกัน หญิงก็ตายได้ชายก็ตายได้ ไม่ใช่ตายแต่คนเฒ่าคนแก่ เด็กๆ ยังไม่รู้อะไรก็ตายได้ นี่แหละมรณกรรมฐาน ผู้ภาวนานั้นไม่ต้องไปรู้อื่น ไม่ต้องไปเรียนนอก ให้เรียนใน เรียนในคือเรียนในกายวาจาจิตของตัวเอง ดูพิจารณาอะไรมันตาย อะไรมันยัง อะไรจะตายก่อน อะไรมันตายนานแล้ว กำหนดให้รู้ดูให้มันเห็นจิตใจ กิเลสมันจึงจะอยู่ยั้ง ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็พาให้ดิ้นรนวุ่นวาย กระสับกระส่ายภาวนาไม่ลง ภาวนาไม่สงบ มองไม่เห็นกำหนดไม่ได้ มืด 4 ด้าน 4 ทิศ มืด 10 ทิศ จะนึกภาวนาพุทโธก็ไม่ได้ นึกถึงความตายก็ไม่ได้ไม่เห็น

    จงเพียรเพ่งดูให้เห็นแจ้งด้วยสติปัญญาของตัวเอง อันผู้อื่นแนะนำสั่งสอนเป็นอีกคนหนึ่งเป็นการเตือนใจให้สติ ความจริงแล้วให้จิตใจของตัวเอง จิตผู้รู้นั่นแหละ มองเห็นตลอด ทั้งภายในและภายนอก มองเห็นตัวเองว่าตาย เดี๋ยวนี้ก็ตายได้ คนทั้งหลายที่เราเห็นว่าเขายังไม่ตาย ผลที่สุดก็ตายหมดไม่มีใครอยู่ เกิดแล้วต้องตาย

    ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมนั้นต้องกำหนดอยู่ทุกเวลา ต้องเตือนจิตใจของตนให้ได้ทุกเวลา จิตใจจึงจะมีพละกำลังความสามารถอาจหาญในการปฏิบัติบูชาภาวนาเพื่อเลิกละความ โกรธ ความโลภ ความหลงให้หมดไปสิ้นไป ดังแสดงมาก็สมควรด้วยกาลเวลา เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เป็นธรรมดาที่สังขารร่างกายของเราจะต้องเดินไปสู่ความเสื่อมสลาย แม้จะป้องกันแก้ไขอย่างไรก็เป็นแต่ยืดเวลาออกไปเท่านั้น ที่จะห้ามไม่ให้แก่ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายเลยนั้นไม่ได้
    ฉะนั้น จึงให้มุ่งเอาจิตเป็นสำคัญ คือบำรุงรักษาร่างกายพอประมาณ แต่บำรุงรักษาจิตให้มากๆ เป็นการหาสาระจากสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสารนั้นๆ ให้มากที่สุดที่จะทำได้ คือให้เร่งรัดบำเพ็ญกุศลเต็มสติกำลังทั้งทาน ศีล ภาวนา แม้ร่างกายจะแก่จะแตกจะตายก็ไม่วิตกกังวล เพราะสมบัติดีๆ มีไว้เตรียมไว้แล้วดังนี้ จะไปไหนก็ไม่ต้องกลัว.....
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE> ชีวิตของเราไม่เป็นของยั่งยืน เป็นของที่จะต้องตายลงโดยแน่นอน
    เวลานี้เราอาจได้ยินข่าวมรณกรรมของผู้อื่น ของพระอื่น
    แต่อีกไม่นาน ข่าวนั้นจะต้องเป็นของเราบ้าง
    เพราะชีวิตทุกชีวิต จะต้องเป็นไปในลักษณะนี้ทั้งนั้น
    ฉะนั้น อย่าประมาทเรื่อง
    ความตาย
    ให้เร่งภาวนาทำจิตใจให้หมดกิเลสหมดทุกข์หมดร้อนให้ได้ก่อนความตายมาถึ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณเว็บพุทธวงศ์ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล
    http://www.phuttawong.net
     
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    ปีเก่าปีใหม่..???

    เมื่อครั้งสมัยที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ยังดำรงขันธ์อยู่ ในช่วงหลังๆ ทุกช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลวงปู่ท่านจะต้องลงมายังกรุงเทพโดยมาพำนักที่"บ้านกรุงเทพภาวนา" สุขุมวิทซอย 36 โดยตลอด ด้วยมี"โยม"ท่านหนึ่งซึ่งอยู่แถวหมอชิตเก่า (ปัจจุบัน รื้อไปหมดแล้ว) "จอง"หลวงปู่ท่านไว้ว่า ทุกๆสิ้นปี จะนิมนต์ท่านมาทำบุญปีใหม่ตลอดไป จนกว่าจะ"ตายกันไปข้างหนึ่ง"เลยนั่นเทียว..!!??ด้วยเหตุดังนี้ บรรดาลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ เลยได้อานิสงส์ตรงนี้ไปด้วย จึงมีบุญได้ไปกราบไหว้ทำบุญกับหลวงปู่สิมท่านเป็นการ "Count Down" อย่างสำราญบานใจไปตามๆกัน......
    และแน่นอน แม้ "พุทธวงศ์"ก็ต้องไปคอยเฝ้าแหนชมบุญหลวงปู่สิมอยู่แทบจะทุกวันด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย.......
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    และคืนวันที่ 31 ธันวาคม อันเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น บรรดาศิษย์ทางกรุงเทพก็จะไปนมัสการกราบไหว้หลวงปู่สิมที่บ้านกรุงเทพภาวนากันอย่างแน่นขนัดทุกๆปี
    ในขณะที่อยู่ต่อหน้าหลวงปู่ ศิษย์บางคนบางท่านพูดคุยหรือแสดงกริยาท่าทางตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้า พลางวางแผนสะระตะต่อหน้าหลวงปู่นั่นเองว่า เมื่อกราบทำบุญกับหลวงปู่เสร็จ ก็จะไปเที่ยวฉลองปีใหม่ที่โน้นที่นี้ กับคนนั้น คนนี้บ้างให้สนุกสนานชื่นบานหนำใจเลยทีเดียว ฯลฯ...
    หนักเข้า ท้ายสุด หลวงปู่สิมท่านคงเห็นว่า บรรดาศิษย์บางหน่อบางนางนี้ ออกจะ"เลยเถิด"มากเกินไปแล้ว หลวงปู่ท่านเลยติด"ดิสเบรค" เข้าให้อย่างแรง จนหลายๆคนที่ยังตั้งหลักไม่ทัน ด้วยยังคิดจะ"สนุกสนาน"อยู่ ต้องถึงแก่การหน้าทิ่มหัวคะมำตำกันดูไม่จืด ได้แต่ยิ้มกระเรี่ยกระราดไปตามๆกันเลยทีเดียวว่า
    "เอ้อ..จะปีเก่าหรือปีใหม่ ก็วันเก่าคืนเก่าอันเดิมเรานี่แหละ จะไปอัศจรรย์ไปหลงติดในสมมุติโลกอะไรกัน...??? <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    นอกจากนี้ อาจจะได้ยินหลวงปู่ท่าน"ปรารภธรรม"แถมให้อีกหน่อยก็ได้ว่า
    "จะปีเก่าก็ดี จะปีใหม่ก็ช่าง...สิ่งที่ควรระลึกไว้ก็คือ วันเวลาที่ผ่านไปนั้น มันไม่ได้ผ่านไปเปล่าๆ แต่มันเอาอายุขัยของคนเราไปด้วย จะมัวพากันประมาทมัวเมาอยู่ไม่ได้น๊ะ..!!!!" <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>และสุดท้าย ก็สรุปด้วย"ยอดธรรม"ก็คือ
    "อย่าประมาทเรื่องกาลเวลา ให้แสวงหาสาระ คือบุญกุศลไว้เสมอๆ อย่าให้ชีวิตล่วงไปเปล่าประโยชน์" <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>และ
    "วันเวลาที่หมดไปสิ้นไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตัวเองบ้าง ในชีวิตที่เกิดมาในโลกและได้พบพระพุทธศาสนานี้ ช่างเป็นชีวิตที่น่าเสียดายยิ่งนัก
    เวลาแม้เพียงหนึ่งนาทีที่ผ่านเลยไปนั้น แม้ว่าจะทุ่มเงินจำนวนมหาศาลสักสิบล้าน ร้อยล้านบาท ก็ไม่สามารถซื้อกลับคืนมาได้
    ฉะนั้น สิ่งที่น่าเสียดายในโลกนี้ จะมีอะไรน่าเสียดายเท่ากับปล่อยให้วันเวลาผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าจะเพียงแค่นาทีเดียว..." <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้แล....
    สาธุ................ <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณเว็บพุทธวงศ์ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล
    http://www.phuttawong.net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2008
  6. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จากความทรงจำ
    ของดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

    เรื่องเล่า หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จากความทรงจำของ
    ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

    "เมื่อผมกลับมาจากต่างประเทศใหม่ๆ คุณแม่ก็บอกว่าจะพาไปให้พระรดน้ำมนต์ ให้เป็นศิริมงคลแก่ชีวิตยืนนาน ผมก็เป็นชาวพุทธคนหนึ่งซึ่งเลื่อมใสในหลักธรรม และปรัชญาของศาสนาพุทธ ดังนั้นผมจึงไม่ยอมขัดอัธยาศัยของคุณแม่ ไปก็ไป ... ไปหาพระหาเจ้านะย่อมเป็นของประเสริฐเสมอ มีแต่ความร่มเย็นเป็นนิจศีล แล้วเราทั้งสองคนก็ออกเดินทางไปยังวัด ที่เป็นสำนักของหลวงพ่อ ที่คุณแม่ชอบเรียกว่า "คุณพ่อ"

    วัดนั้นตั้งอยู่บนเขาเตี้ยๆ แต่เต็มไปด้วยความสะอาดร่มเย็น เมื่อผมกับคุณแม่ขึ้นไปถึงบริเวณนั้น ก็แลเห็นมีผู้คนจำนวนมากนั่งอยู่ก่อน ราวกับว่ามีงานบวชนาคก็ว่าได้ คุณแม่พาผมเลี่ยงไปทางด้านหลัง ที่มีประตูเหล็กแข็งแรงชนิดยืดได้แบบเดียวกับประตูของร้านค้าต่างๆ หลังจากล่วงพ้นประตูเหล็กเข้าไปแล้ว ก็ถึงซอกเล็กๆ ซึ่งค่อนข้างมืด จากนั้นยังจะต้องผ่านประตูไม้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะถอดสลักข้างในออกได้โดยช่องที่ทำซ่อนไว้ให้เร้นลับ ต่อจากนั้นก็ถึงประตูไม้แบบโบราณ ซึ่งปิดสนิทลั่นดานข้างใน

    คุณแม่เข้าไปเคาะแล้วเรียกค่อยๆ พร้อมกับบอกชื่อให้ทราบว่าเป็นใคร ข้างในประตูบังเกิดเสียงกุกกักอยู่เล็กน้อย ต่อมาสลักข้างในก็ถูกถอดออก พอประตูเปิดออก ผมแลเห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง รู้สึกว่าชราภาพมาก ท่านหันหลังให้เดินกลับไปข้างใน พร้อมกับสั่งให้ปิดประตูลั่นดานเสีย พอพ้นจากประตูก็ถึงห้องยาวๆ แต่ดูจะแคบที่สุด ห้องกั้นเป็นห้องเล็กๆ ขนาดเมตรครึ่ง ยาวสองเมตร ทุกอย่างเก่าคร่ำ ทั้งประตู และหน้าต่างปิดหมด ในห้องเล็กๆ ห้องนั้น เป็นที่อยู่ของพระภิกษุชรารูปนั้น ส่วนห้องด้านใน มีเตียงไม้เก่าๆ พร้อมด้วยผ้านวมบางๆ ปูต่างที่นอน ที่หัวนอนมีหิ้งพระมีพระพุทธรูปอยู่ 2-3 องค์ ติดๆ กับเตียงใกล้ทางเข้า มีโต๊ะไม้สีดำ บนโต๊ะเต็มไปด้วยข้าวของหลายอย่าง นับตั้งแต่ถ้ำชา ไปจนถึงตะบันหมาก

    ขณะนั้น ภิกษุชรานั่งอยู่บนเก้าอี้แบบโยกได้ กำลังนั่งเคี้ยวหมากอยู่ พิจารณาโดยถ้วนทั่วแล้ว ทำให้รู้สึกว่าท่านเป็นคนใจดี ใบหูยานเป็นลักษณะของคนเปี่ยมไปด้วยบุญ มือหนึ่งพาดที่ท้าวแขน อีกมือหนึ่งวางบนตัก ด้วยสำเนียงสุ้มเสียงที่ระบุบ่งว่า เป็นผู้มีอารมณ์เย็น ท่านเปล่งเสียงทักทายว่ามาตั้งแต่เมื่อไร สบายดีหรือ พร้อมกับถามถึงญาติคนโน้นคนนี้หลายๆ คน และยังเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในสมัยท่านให้ฟัง รู้สึกว่าท่านคุยสนุก และสนิทสนมกับเรามาก ในที่สุดจึงทราบว่าท่านสนิทชิดชอบกับที่บ้านมาก ตั้งแต่สมัยทวด และย่าทวด
    ตอนหนึ่งคุณแม่ถามว่า "ทำไมคุณพ่อถึงชอบอยู่อุดอู้ปิดหมดอย่างนี้ ไม่ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง" ท่านก็ยื่นหน้าตอบว่า

    "นี่คุณ คุณได้ยินเสียงนกเสียงการ้องบ้างไหม ข้างนอกน่ะ สมัยก่อนส่งเสียงกันให้แซ่ดไปหมด นกหนูมันยังทนอยู่กันไม่ได้แล้ว จะให้ฉันออกไปได้อย่างไร"
    ผมต้องคิดมากในคำพูดของท่าน และเมื่อคิดโดยรอบคอบแล้ว ก็กระทำให้ผมเข้าใจได้ในบัดนั้นว่า พระภิกษุชราที่อยู่ข้างหน้าผมนี้ ท่านตัดแล้ว สละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง ผมต้องคิดในเมื่อท่านเข้าใจพูด และโดยมากจะพูดแต่ถ้อยคำที่ล้วนแต่แหลมคมทั้งสิ้น

    ครั้งหนึ่งท่านถามว่า
    "เขาว่าหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดใช่ไหมวะ"

    ผมก็ตอบว่า
    "ใช่ครับ เขาว่ากันอย่างงั้น"


    หลวงพ่อจึงก้มลงมา บอกว่า
    "ฉันนี่เหยียบน้ำจืดเป็นน้ำทะเลได้"
    ผมฟังแล้วก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นของดี ท่านพูดต่อไปว่า

    "เหยียบที่ท่าน้ำในแม่น้ำนี้ แล้วก็เป็นน้ำทะเลที่ปากอ่าวโน่น"
    พูดจบท่านก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ที่หลอกพวกเราที่ไม่ทันท่าน
    ท่านพูดอีกว่า "
    ฉันน่ะ อายุ ๙๖ ก.ไก่ ก.กา ไม่เป็นสักตัวเดียว เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็รู้จักทั่วประเทศ ทีพวกคุณเรียนเมืองนอกเมืองนาเป็น ๑๐ ปี ปริญญา เอก โท พ่วงท้ายให้ยาวๆ แต่ก็ไม่เห็นมันดังเลย"

    ท่านพูดเตือนสติ เพื่อให้เรารู้จักประมาณตน ประมาณใจ ไม่ทระนง และไม่เห่อเหิม
    ครั้งหนึ่งเราบอกว่า
    "คุณพ่อจำวัดเถอะ เดี๋ยวจะเหนื่อย"

    ท่านกลับพูดว่า
    "ฉันอยู่วัดนี้มา ๗๐ กว่าปีแล้ว ฉันจำได้ย่ะ วัดฉัน ทำไมฉันจะจำไม่ได้"

    ต่อๆ มาผมก็ได้ไปหาท่านเสมอ ซึ่งก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง พอผมก้าวล้ำเข้าประตูไป ก็มีพวกที่นั่งอยู่บนวัด ซึ่งเขาอยากจะกราบนมัสการคุณพ่อบ้าง บางคนมาเฝ้าเป็นวันๆ ก็มี เขาเหล่านั้นตามผมพรูเข้าไป

    พอท่านเข้าที่นั่งของท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านถามว่า
     
  7. kittipongc

    kittipongc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +3,648

    ขอโมทนาบุญด้วยครับ ...

    พระที่จะมอบให้นั้นขอรับไว้พิมพ์ละ ๒ องค์
    สำหรับภรรยาผมด้วย
    ผมจะโอนค่าส่งไปให้คุณโสระ เพื่อแบ่งเบาภาระค่าจัดส่งครับ

    ดีใจด้วยนะครับที่ คุณพันวฤทธิ์ ตอนนี้มีสุขภาพเกือบจะปกติแล้วล่ะครับ;)

    ขออนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2008
  8. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    กราบขอบพระคุณและโมทนาบุญกับคุณ 16 ด้วยนะครับ เอาไว้ให้คุณโสระ
    กลับมาจากอินเดียก่อนนะครับจะให้จัดส่งพระไปให้รวมทั้งคุณ kittipongc ด้วยนะครับ แล้วจะรีบดำเนินการให้เรียบร้อยตามที่ขอมาครับ พระที่แจกให้นี้สำหรับเก็บไว้เป็นพุทธานุสติและเป็นที่ระลึกที่ได้ร่วมกันช่วยสงเคราะห์พระสงฆ์ที่ท่านกำลังอาพาธรักษาตัวอยู่และเป็นการช่วยบำรุงและสืบทอดพระพุทธศาสนากันต่อๆไปให้ยาวนาน
    พี่ใหญ่เคยบอกไว้ว่า
    "อิทธิฤทธิ์น่ะสู้บุญญฤทธิ์ไม่ได้หรอกเพราะ
    บุญญฤทธิ์น่ะสามารถติดตัวเราไปต่อถึงชาติภพหน้าได้"

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2008
  9. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    การเจริญวิปัสสนา เพื่อมีดวงตาเห็นธรรม ๖ (เจ้าคุณโชดก)
    <!--Main-->[SIZE=-1]

    [/SIZE]๓. ไม่ถือลัทธิหรือศาสนาอย่างผิดๆ

    ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนได้เห็นธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างฝังใจ เพราะได้เห็นเองแล้วว่า พระธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นของจริงแท้ ไม่มีธรรมใดจะยิ่งไปกว่า หรือแม้จะจริงเท่าก็ไม่มีเพราะฉะนั้น ที่จะไปนับถือลัทธิหรือศาสนาอย่างผิดๆ หรือจะไปนับถือลัทธิอื่นยิ่งกว่าพระพุทธศาสนา มันจึงเป็นไปไม่ได้


    ๔. ความริษยาสิ้นไป

    ความริษยา คือ เห็นคนอื่นได้ดีทนอยู่ไม่ได้ เกิดร้อนรน กระวนกระวายใจ ไม่ต้องการเห็นคนอื่นได้ดี กิเลสหนา บางทีก็หาทางทำให้เขาเสียหาย เมื่อเขาเสียหายตกต่ำลงไปได้ก็สบายใจ ความริษยา จึงเป็นความชั่วร้ายแรงอย่างหนึ่ง และมีประจำใจปุถุชนทั่วไป มากบ้างน้อยบ้าง แต่สำหรับผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ด้วยอำนาจแห่งธรรม ความริษยาจะสิ้นไป


    ๕. ความตระหนี่สิ้นไป

    ความตระหนี่ ก็เช่นเดียวกับความริษยา ย่อมมีอยู่ในดวงจิตของปุถุชนคนสามัญทั่วไป บางคนก็ตระหนี่ตัว คือ ถือตัว จะคบคนก็เฉพาะที่อยู่ในชั้นหรือฐานะใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นมูลเหตุก่อให้เกิดการเหยียดหยามซึ่งกันและกัน บางคนก็ตระหนี่ทรัพย์ ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใคร ไม่ทำบุญทำทาน บางคนตระหนี่เคหสถาน ไม่ต้องการให้ใครไปมาหาสู่ และบางคนก็ตระหนี่ความรู้ ไม่ต้องการให้ใครมารู้เท่าเทียมตน แต่สำหรับผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมจนสำเร็จ มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ความตระหนี่เหล่านี้ย่อมจะสูญสิ้นไป ก่อให้เกิดความมีน้ำใจกว้าง และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน


    ๖. ไม่ลบหลู่คุณคน ยกตัว โอ้อวด หรือมีเล่ห์กระเท่ห์

    การลบหลู่คนก็ดี การยกตัวก็ดี การโอ้อวดก็ดี เป็นของไม่ดี เพราะการลบหลู่คุณคน เป็นกิเลสที่กันไม่ให้ทำความดี และพาให้ทำความชั่วได้ การยกตัวและการโอ้อวดก็เป็นการก่อกวน ประสาทผู้อื่น และก่อการชวนวิวาทแต่กิเลสทั้งสิ้น ยังไม่ร้ายเท่าความมีเล่ห์กระเท่ห์หรือความมีมารยา ซึ่งได้แก่การปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยไม่มีความสุจริตใจ และอย่างไม่ตรงไปตรงมา แต่แฝงไว้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบาย ทั้งนี้เพื่อแสวงหาประโยชน์เพื่อตัวเอง หรือฝ่ายตนให้มากที่สุด เพราะความมีเล่ห์กระเท่ห์ หรือมายานี่เอง โลกทุกวันนี้จึงยุ่งเหยิงวุ่นวายและมากไปด้วยความเบียดเบียนกัน และความไม่ไว้ใจกัน แต่สำหรับพระโสดาบันนั้น ย่อมหมดแล้วซึ่งกิเลสเหล่านี้

    อาจมีผู้เห็นว่า ในวงการบางแห่งเช่น ในวงการเมืองจำเป็นจะต้องมีเล่ห์เหลี่ยม ขืนมัวซื่ออยู่ก็จะต้องประสบความล้มเหลว ฉะนั้น ถ้านักการเมืองผู้ใดเป็นพระโสดาบันไปเสียแล้ว ก็จะเป็นนักการเมืองไม่ได้ หรือเป็นได้แต่ไม่ดี ความคิดเช่นนี้ นับได้ว่าไม่ถูกต้อง ไม่มีความจำเป็นอย่างใดเลยที่นักการเมืองจะต้องมีเล่ห์เหลี่ยม เพื่อบรรลุผลสำเร็จในทางการเมือง คุณธรรมที่ดี เช่น ความรอบรู้ ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต และความมีธรรมในใจ ย่อมนำบุคคลไปสู่ความสำเร็จได้เสมอ โดยไม่ต้องอาศัยเล่ห์กระเท่ห์ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร มีหน้าที่อย่างไร เล่ห์กระเท่ห์ไม่ใช่อื่นไกล นอกจากเป็นกิเลส ซึ่งมีที่ไหน ที่นั่นย่อมจะมีความหวาดระแวง ความเบียดเบียน และความยุ่งเหยิงวุ่นวายในที่สุด



    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=taken&month=07-2007&date=21&group=1&gblog=9<!--End Main-->
     
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    ปกิณกะธรรม
    หลวงปู่หลอด ปโมทิโต
    คัดลอกจาก: ชีวประวัติ หลวงปู่หลอด ปโมทิโต
    ปกิณกะธรรมหลวงปู่หลอด
    ๑. อย่าถือวิสาสะ ให้รู้จัก กาล เวลา บุคคล และ สถานที่
    ๒. ความรักลูกเหมือนห่วงผูกคอ
    ความรักสิ่งของเหมือนปอผูกศอก
    ความรักไร่นาสาโทเหมือนปลอกสวมตีน
    ใครแก้สามอย่างนี้ไปนิพพานได้
    ๓. มีศิษย์คนหนึ่งเรียนถามปัญหาหนึ่งกับหลวงปู่ว่า
    "หลวงปู่ครับเคยมีฝรั่งที่ผมเคยเรียนภาษาอังกฤษด้วยเขาเป็นหมอสอนศาสนาคริสต์ เขาเคยถามผมว่าจิตเดิมมาจากไหน และสุดท้ายเขาก็ยัดเยียดความคิดให้ผมว่าพระเจ้าสร้างจิต แต่ผมไม่ยอมรับครับ ผมอยากทราบว่าจิตเดิมมาจากไหนครับหลวงปู่ ?"
    หลวงปู่ตอบว่า "จิตเดิม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามาจากความไม่รู้ คือ อวิชชา ความไม่รู้นั่นแหละเป็นตัวพาให้มันมาเกิด เมื่อเกิดมาแล้วก็ทำให้มันรู้ซะ จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก จำไว้ว่ามันเกิดจากอวิชชาทั้งนั้น ทั้งโลภ โกรธ หลง จำไว้นะให้ตอบเขาแบบนี้นะ "
    ๔. คนฉลาดอยู่กับที่ สู้คนโง่เที่ยวไปที่ต่าง ๆ ไม่ได้
    ๕. มีศิษย์คนหนึ่งเรียนถามปัญหาหนึ่งกับหลวงปู่ว่า
    "หลวงปู่ครับ พระอริยเจ้าเวลาท่านเข้านิโรธสมาบัติ ท่านจะบอกผู้คนไหมครับ"
    หลวงปู่เมตตาตอบว่า "ไม่หรอก ถ้าท่านบอก ก็จะบอกกับโยมที่ใส่บาตรว่า โยมไม่ต้องมาใส่บาตรนะ อีก ๗-๘ วัน อาตมาจะพักผ่อน"
    ลูกศิษย์ถามต่อไปว่า "อย่างนี้แปลว่า พระอริยเจ้าเวลาท่านเข้านิโรธสมาบัติ ท่านไม่บอกใช่ไหมครับ"
    หลวงปู่ตอบว่า "เพิ่นบ่อบอกดอก"
    ๖. มีลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างใหญ่ เรียนถามหลวงปู่ว่า
    "หลวงปู่ครับ เวลานั่งภาวนานาน ๆ ยิ่งปวดขึ้น เป็นเพราะร่างกายเราใหญ่โตหรือเปล่า ถึงทำให้ปวดเมื่อยถึงขนาดนี้ อยู่ที่ร่างกายสังขารคนด้วยหรือเปล่าครับ"
    หลวงปู่ตอบว่า "ไม่เกี่ยวหรอก กิเลสลากไปให้คิดว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ลองใหม่ดูสิ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ"
    ๗. มีลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเรียนถามหลวงปู่ว่า
    "หลวงปู่ครับ การปฏิบัติแบบรูป - นาม กับการปฏิบัติแบบพระป่า เหมือนกันไหมครับ"
    หลวงปู่เมตตาตอบว่า
    "เหมือนกันอเมริกาหรือเมืองไทยอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน การปฏิบัติก็เหมือนกัน อริยสัจตัวเดียวกัน"
    ๘. มีพระรูปหนึ่งเรียนถามหลวงปู่ว่า
    "หลวงปู่ครับ จิตของพระอรหันต์เวลาว่างท่านคิดอะไรครับ"
    หลวงปู่ตอบว่า "ไม่คิดอะไรทั้งนั้น คิดแต่วิหารธรรมอย่างเดียว"
    พระรูปนั้นถามย้ำว่า "มีแต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เท่านี้ หรือครับหลวงปู่"
    หลวงปู่ตอบว่า "อืม... กิเลสบ่อมีทางแทรกแซงได้เลย"
    ๙. ในแต่ครั้งมักมีผู้มาเรียนปรึกษาปัญหาต่าง ๆ กับหลวงปู่ แม้กระทั่งเรื่อง ปัญหา ในครอบครัว การหย่าร้าง หลวงปู่ท่านจึงเทศน์ชี้ทางดับปัญหานี้ "เอาล่ะ เราจะเทศน์ให้ฟัง เป็นคุณธรรมสำหรับ คนมีครอบครัว ผู้อยู่ร่วมกันอย่างไร มันก็ต้องกระทบกันบ้าง เป็นธรรมดา มนุษยธรรม ๔ ข้อ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ
    สัจจะ คือ ความซื่อตรง จริงใจต่อกัน ไว้วางใจกัน ไม่คิดว่าเขาจะนอกใจเรา ไม่คิดว่า เขาจะไป มีบ้านเล็กบ้านน้อย ให้อิสระแก่กัน เชื่อในเกียรติของกันและกัน ไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทุกข์ใจ ถ้ามีสัจจะต่อกันก็ไม่ต้องทะเลาะกัน
    ทมะ คือ ความอดกลั้นอารมณ์ ระงับอารมณ์ คนโกรธ โกรธเพราะไม่รู้จักระงับอารมณ์ คนเราอยู่ด้วยกัน ถ้าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่บ้านก็แตก มันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ คิดบ้างหรือเปล่าว่า ลูกเต้าจะเป็นอย่างไร
    ขันติ ความอดทน ทนลำบาก ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รักใคร่ปรองดองกัน จะยากจะจน ก็ทนกัน อย่าเอาความลำบากเป็นอารมณ์ อดทนต่อสิ่งที่เราไม่ชอบ เช่าเขากินเหล้าใช่ไหม เราบอก ให้เขาเลิก เขาไม่เลิก(เหล้า) เราก็ทนสู้ เพื่อลูก คิดดูให้ดี ถ้าเราอดทน แล้วปัญหาก็จะไม่เกิด ถ้าเกิดก็น้อยมาก
    จาคะ คือ การบริจาค ในที่นี้ไม่ใช่การบริจาคเงินทองอย่างเดียวนะ บริจาคกิเลสตัณหา ความโกรธ ความหึงหวงออกไป ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนียวเอาความมีกิเลสตัณหาไว้ เมื่อโกรธก็บริจาค ออกไป นี่แหละถ้าทำได้ทั้ง ๔ ข้อ ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ทะเลาะกัน นี่รักษาศีล ๕ ได้ไหม
    หลวงพ่อจะแถมให้ ถ้ารักษาไม่ครบ ๕ ข้อ ก็เอาแค่ ๒ ข้อ ก็พอ ข้อ ๓ กับ ข้อ ๕ ถ้าผิด ๒ ข้อนี้ ฆ่ากันได้นะ ไปยุ่งกับเมียเขา ผัวเขารู้โกรธเข้า ก็ฆ่านะซิ กินเหล้าพูดไม่เข้าหู ก็ฆ่ากันได้ แต่ถ้าจะว่า ๕ ข้อ ข้อใดบาปกว่ากัน ก็พอกันนั่นแหละ"
    ๑๐. การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ย่อมต้องมีศีลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ หลายท่าน ที่สนใจปฏิบัติธรรม ได้กราบเรียนถามธรรมะเพื่อการปฏิบัติ องค์หลวงปู่ท่านได้อธิบายไว้ว่า
    "ศีล ๕ นี้สำคัญ ศีล ๕ เป็นประธาน ศีลอื่นเป็นศีลบริวาร ศีล ๘ ศีล ๑๐, ๒๒๗ ข้อ ก็เป็นศีลบริวาร การปฏิบัติธรรมนั้นล้วนแต่ต้องประกอบด้วยศีลเป็นสำคัญ ศีล ๕ ขา ๒ แขน ๒ หัว ๑ จะฆ่าสัตว์ ก็เอาแขนทำ ขโมยของก็เอามือหยิบ ขาพาไป ผิดเมียเขา เอาทั้งกายทำ โกหกใช้ปากที่อยู่บนหัวพูด กินเหล้า ก็ใช้ปากกิน ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ ธรรมะปฏิบัติก็จะไม่เจริญ ปฏิบัติก็ไม่ไปไหน นี่สำหรับนักปฏิบัติ ศีลสำคัญมาก พึงรักษาไว้ให้ดี"
     
  11. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    แผนที่ตั้งแคว้นต่างๆสมัยพุทธกาล


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • buddha_map.gif
      buddha_map.gif
      ขนาดไฟล์:
      70.4 KB
      เปิดดู:
      3,942
  12. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="86%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>พึงห้ามจิตเสียจากบาป

    </TD></TR><TR><TD>
    บุคคลควรรีบขวนขวายในความดี
    พึงห้ามจิตเสียจากบาป
    เพราะว่า เมื่อบุคคลทำความดีช้าอยู่
    ใจจักยินดีในบาป
    ถ้าบุรุษพึงทำบาปไซร้ ไม่ควรทำบาปนั้นบ่อยๆ
    ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้น
    เพราะว่าความสั่งสมเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
    ถ้าบุรุษพึงทำบุญไซร้ พึงทำบุญนั้นบ่อยๆ
    พึงทำความพอใจในบุญนั้น
    เพราะว่าความสั่งสมบุญทำให้เกิดสุข
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
  14. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    [​IMG] [​IMG]

    หลวงพ่อลี ธมฺมธโร

    ธรรมโอวาท

    - คนที่จะพ้นตาย ต้องทำตนเหมือนคนตาย
    - คนกลัวตายจะต้องตายอีก
    - ผู้ที่จะพ้นจากภพก็ต้องเข้าไปอยู่ในภพ ผู้ที่จะพ้นจากชาติต้องรู้เรื่องของตัว จึงจะเป็นไปได้
    - ถ้าทุกคนมีความคิดเห็นถูกต้อง การปฏิบัตินั้นเป็นเหตุไม่เหลือวิสัย
    - ขณะเรานั่งสมาธิหลับตาภาวนานั้น ก็ให้หลับแต่ตา ส่วนใจเราต้องให้สว่างไสว

    ผู้จะต้องถึงมรรคผลนิพพานได้นั้น จะต้องทำทางใจ ถ้าไม่ทำทางนี้แล้ว จะทำการกุศลสักเท่าไร ก็ถึงมรรคผลนิพพานไม่ได้ นิพพานนี้จะต้องถึงด้วยข้อปฏิบัติทางใจเท่านั้น ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลเป็นเหตุแห่งสมาธิ สมาธิเป็นเหตุแห่งปัญญา ปัญญาเป็นเหตุแห่งวิมุตติ สมาธิเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นที่ตั้งแห่งปัญญาและญาณ อันเป็นองค์สำคัญของมรรค แต่จะขาดสมาธิไม่ได้ถ้าขาดแล้วก็ได้แต่จะคิดๆ นึกๆ เอา ฟุ้งซ่านไปต่างๆ ปราศจากหลักฐานสำคัญ

    สมาธิเปรียบเหมือนตะปู ปัญญาเปรียบเหมือนค้อนที่ตอกตะปู ถ้าตะปูเอียงไปค้อนก็ตีผิดๆ ถูกๆ ตะปูนั้นก็ไม่ทะลุกระดานนี้ฉันใด ใจเราจะบรรจุธรรมชั้นสูงทะลุโลกได้จะต้องมีสมาธิเป็นหลักก่อน แล้วจึงเกิดญาณ ญาณนี้จะได้แต่คนทำสมาธิเท่านั้น ส่วนปัญญาย่อมมีอยู่ทั่วไปแก่คนทั้งหลาย แต่ไม่พ้นจากโลกได้เพราะขาดญาณ ฉะนั้นท่านทั้งหลายควรสนใจ อันเป็นทางพ้นทุกข์ถึงสุขอันไพบูลย์
     
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    พระพุทธานุภาพ โดย ยศ วัชรเสถียร

    พระพุทธานุภาพ หรือ อานุภาพของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสามารถบันดาลสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ให้เป็นไปได้ อันเป็นเรื่องที่อัศจรรย์นั้น ชนชาติไทยเชื่อถือว่ามีจริงมาตั้งแต่พากันเป็นพุทธมามกะยึดถือพระพุทธศาสนาประจำชาตก็ว่าได้โดยไม่ผิด เพราะได้รู้ถึงพระประวัติขององค์พระบรมศาสดากันทั่วไป ซึ่งในพระพุทธประวัติบอกไว้ถึงที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงอานุภาพของพระองค์ให้ประจักษ์กันหลายครั้งหลายคราว แต่ละคราวเป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง เหลือวิสัยที่สามัญชนคนธรรมดาจะบันดาลให้เป็นไปได้
    ข้าพเจ้าขอนำมาเล่าในโอกาสนี้เท่าที่นึกได้คือ
    ครั้งแรก เมื่อพระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้เสด็จไปโปรดพระราชบิดา และ บรรดาพระประยูรญาติ เมื่อปรากฏว่าบรรดาพระประยูรญาติที่สูงอายุมีทิษฐิ ไม่ยอมอภิวันทนากราบไหว้เพราะพระองค์มีพระชนมายุเยาว์กว่ามาก พระองค์จึงแสดงอานุภาพของพระองค์เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ให้เห็นประจักษ์กันทั่ว โดยบันดาลให้พระสรีระของพระองค์ลอยขึ้นไปบนอากาศเสมือนจะยังละอองธุลีพระบาทเรี่ยรายลงบนเศียรเกล้าของบรรดาพระประยูรยาติที่มีทิษฐิเหล่านั้น ยังผลให้ทิษฐิสิ้นไปต่างก้มวันทากราบไหว้พระองค์ทั่วกันสิ้น
    ครั้งต่อมา เมื่อพระเทวทัตซึ่งเป็นพระญาติของพระองค์เอง ได้ร่วมคิดกับพระเจ้าอชาตศัตรูวางแผนการสังหารพระองค์ด้วยความริษยา โดยอาศัยช้างชื่อ นาฬาคิรี ซึ่งกำลังตกมันปล่อยออกไปให้ขยี้พระองค์ ในเวลาที่พระองค์เสด็จบิญฑบาตในนครราชคฤห์ พอถึงเวลากำหนดตามแผนก็ปล่อยช้างออก ช้างนี้นนอกจากจะเมามันตามธรรมชาติแล้วยังถูกมอมให้คลั่งดุร้ายยิ่งขึ้นอีก ด้วยเหล้าอย่างแรงถึง 16 หม้อใหญ่ ๆ ขณะที่สมเด็จพระพุทธองค์กำลังรับอาหารจากผู้ศรัทธาอยู่นั้น เสียงร้องแปร๋น ๆ ของช้างเมามันดังขึ้น ผู้คนที่คอยตักถวายอาหารพระองค์ต่างขวัญหายทิ้งภาชนะอาหารวิ่งแตกกระจายหนีเอาตัวรอด ส่วนสมเด็จพระพุทธองค์ทรงมันพระวรกายมาทางที่ช้างวิ่งมา ประทับยืนนิ่งอยู่ด้วยพระอาการสงบ พระอานนท์ พุทธอนุชา ซึ่งเป็นพุทธอุปฐากที่โดยเสด็จดุจเงาตามตัว ถลันออกไปยืนเบื้องหน้าพระพุทธองค์ ด้วยความตั้งใจป้องกันชีวิตของพระบรมศาสดาด้วยชีวิตของท่านเอง พระพุทธองค์ตรัสบอกด้วยพระอาการและพระสุรเสียงปกติว่า
     
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    จิตไม่ยอมนิ่ง ไม่ยอมสงบ"
    เวลาไปสนทนาธรรมหรือไปเป็นวิทยากรที่ไหนก็ตาม มักจะได้ยินคำถาม
    ที่ว่า...<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2008
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    [​IMG]


    ตอนนี้คุณโสระไปแสวงบุญอยู่ที่อินเดีย คิดว่าเมื่อกลับมาคงมีภาพ
    สังเวชนียสถานมาให้พวกเราได้ชมกันตอนนี้ก็ชมภาพนี้ไปก่อนนะครับ
    ดูหรือชมเพื่อเป็นพุทธานุสติน้อมระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐของ
    องค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ทรงเสียสละเวียงวังอันใหญ่โตหรูหราและความสุขความสบายออกมา เพื่อมาค้นหาสัจธรรมและนำมาประกาศสั่งสอนเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้พ้นจากกองทุกข์ จะไม่ต้อง
    กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก สาธุ สาธุ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • bhudda.jpg
      bhudda.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.7 KB
      เปิดดู:
      2,145
  18. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    พลิกนิดเดียว แล้วอยู่อย่างมีความสุข

    คนเราจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์อยู่ที่ความคิดนิดเดียว
    พลิกนิดเดียวเราก็จะไม่เป็นทุกข์
    พลิกนิดเดียวก็จะเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิ
    จากความคิดผิดเป็นความคิดถูก
    จากทางโลกมาสู่ทางธรรม
    พลิกนิดเดียวเราก็จะอยู่ได้อย่างไม่มีทุกข์
    อยู่กับปัจจุบันได้อย่างสงบ
    ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นแต่ละขณะอย่างสมบูรณ์
    การเจริญสติปัฏฐาน คือการอยู่อย่างไม่มีความทุกข์ที่จะต้องดับ **
    การเจริญสติปัฏฐาน หรือการเจริญสมาธิวิปัสสนา ก็เพื่อหัดเปลี่ยนจาก
    การอยู่อย่างมีทุกข์เป็นพื้นฐานมาเป็นการอยู่อย่างมีความสุขเป็นพื้นฐาน
    เพียงแต่มีชีวิตอยูกับปัจจุบันให้เต็มที่ในขณะนั้น ๆ
    ไม่อยู่กับอดีตบ้าง อนาคตบ้าง
    รับรู้และเสวยอารมณ์แต่ละขณะอย่างเต็มบริบูรณ์
    เห็นความงดงามของปัจจุบัน อย่ามัวแต่อยู่กับอดีตและอนาคต
    ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะอย่างสิ้นเชิง
    มีความสุขเต็มอิ่มอยู่ในตัวทุก ๆ ขณะ
    นี่คือการอยู่อย่างไร้ทุกข์
    มีความสุขบริบูรณ์อยู่ในตัวตลอดเวลา
    อยู่ในภาวะไร้ทุกข์ตลอดเวลา
    และก็ไม่มีทุกข์จะต้องดับ

     
  19. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099

    ขอเรียนถามครับ

    เริ่มต้นอย่างไร 1

    พบกับการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ต่อสภาวะภายใน และสภาวะภายนอก ทำอย่างไร 2

    ลำดับขั้นที่เพิ่มขึ้น รู้ได้อย่างไร ตัวชี้วัดประมาณไหน 3

    สุดท้ายขอตัวอย่างด้วยครับ 4

    สาธุในความกรุณาครับ[​IMG][​IMG][​IMG]
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,293
    ช่วงนี้ผมขอนำเสนอบทความในหนังสือ สันติวรบท ซึ่งเป็นโอวาทของท่านเจ้าพระคุณธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ ซึ่งเป็นโอวาทสั้นๆแต่ลึกล้ำด้วยหลักธรรม ที่สำคัญคือเป็นวิธีง่ายๆ สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเห็นผลจริงแท้



    [​IMG]


    สันติวรบท

    โอวาท ของ<O:p</O:p
    ท่านเจ้าพระคุณธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p



    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...