เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อตามลูกสาว

    เมื่อคืนนี้ไปพักที่บ้านจ่าปัญญา มีคนอยู่คู่หนึ่งลุยมาจากสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจ้าของโรงสี มาก็ไม่รู้จักว่าบ้านนี้อยู่ที่ไหน เขาบอกว่าอยู่ปทุมธานีก็มาเลย เจอกับพระที่วัดมาหนหนึ่ง บอกว่า ถ้าไม่เห็นกับตาฉันไม่เชื่อเด็ดขาด

    พอมาถึงบ้าน เจ้าของบ้านก็บอก อย่าตั้งใจมากเกินไป อย่าเอาถึงขนาดนั้นเลย ก็คุยให้ใจมันโรยลงมาหน่อย ตอนกลางคืนเราก็ออกไปนั่งคุย ถามว่าอยากจะเห็นกับตาเลยใช่ไหม เขาก็บอกว่า ใช่

    ก็คุยกันบอกว่า เอ..บ้านอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี อำเภออะไร เขาบอกว่า อำเภอสามชุก ที่บ้านไหว้พระหรือเปล่าล่ะ บอกไหว้ ใส่บาตรทุกวันเลย เอ๊ะ เขาว่า พระพุทธรูปถ้าหันหน้าไม่ถูกต้อง จะทำมาหากินไม่ขึ้น บ้านโยมหันหน้าพระพุทธรูปไปทางไหน เขาก็นั่งนึก บอกว่า หันไปทางทิศเหนือ โยมเห็นไหม บอกเห็น เออ..ตายาวจริงนะ บ้านอยู่สามชุกนั่งอยู่ที่ปทุมฯเห็นบ้านได้ จะเห็นได้ยังไงล่ะ ไกลตั้งหลายสิบกิโล ลืมตาอยู่นี่ เขาก็บอกว่า เออ..จริง ไม่ใช่ตาเห็น แต่ใจมันเห็น ใจมันรู้

    ทีนี้พระอาจินต์ก็เอาไปฝึก กลับมาก็เห็นน้ำตาไหลหน่อยๆ ถามเป็นไง เป็นไงบ้าง อูย...เห็นหลวงพ่อแจ่มไปหมดเลย หลวงพ่อบอก อีหนูมาไวๆ ไม่ต้องรอใคร เขามากับสามีเขา คงจะรอสามีต้วมเตี้ยมอยู่ แล้วก็คุยหมด หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่ายังไง ถามว่าเห็นใครไหม บอกว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมีอะไรรัดอยู่ที่แขน ห่มผ้าสไบเฉียง ผมยาว ถามว่าสวยไหม สวย แหม...เนื้อเต่งตึงสีชมพูเลย ถามว่าใครคนนั้น ไม่รู้ละ เขาบอกให้เรียกท่านแม่นี่ ถามว่าเวลาไปกราบ ท่านทำยังไง ท่านลูบศีรษะ ถามว่าอบอุ่นใจไหม บอกว่าดีใจมาก แกเสียใจว่า ตอนหลวงพ่ออยู่ไม่ได้ไปกราบ บอกไม่เป็นไรหรอก หลวงพ่อคงตามมาละ ขนาดไม่เชื่อนะ เจอหลวงพ่อแจ๋วไปเลย

    เขาเล่าให้ฟังอีกว่า ตอนไปกราบหลวงพ่อ ใครจะหาว่าฉันบ้าหรือเปล่าไม่รู้ หลวงพ่อท่านลุกออกมาจากโลงเลย นั่งเลย บอกว่าคุยที่นี่เขาไม่หาว่าบ้าหรอก แต่คุยนอกบ้านนี้เขาหาว่าบ้าแน่ ก็แปลก หลวงพ่อท่านยังตามเก็บอยู่นะ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่149 เดือนกรกฏาคม 2536 หน้า 101)

    ผีพนัน

    "หลวงพ่อคะ ที่คนเขาชอบเล่นการพนัน ที่เขาลือว่ามีผีพนันเข้าสิงนี่ จริงหรือเปล่าคะ ?"

    จริง !

    "ผีพนันมีตัวตนด้วยเหรอคะ"

    ก็ผีพนันก็คือตัวอยากเล่นน่ะ คุณหมอลูกสาวถามว่า คนเล่นการพนันน่ะ ที่เขาลือ
    กันว่ามีผีพนั้นเข้าสิงน่ะจริงไหม (หัวเราะ) ฉันตอบว่า จริงไอ้หนู ผีพนันคือตัวอยาก
    อยากเล่น

    "เป็นความอยากของคนคนนั้นใช่ไหมคะ ?"

    ใช่ ! (หัวเราะ) ก็ผีมันมองไม่เห็นตัวใช่ไหมล่ะ เป็นความอยาก

    "หลวงพ่อคะ และสาเหตุที่เขาอยากเล่นเป็นเหตุเพราะกรรมใดหรือเปล่าคะ ?"

    ใช่แน่

    "ส่วนไหนคะ ?"

    ก็ อทินนาทาน ตัวทำลายทรัพย์สินของคนอื่นเขามาก่อน ก็สังเกตนะ การพนันที่รวย
    จริงๆ มีไหม

    "ไม่มีค่ะ"

    ไม่มี ต้องทำลายทรัพย์ตัวเองด้วย คือไม่มีใครเว้น ใครเขาไม่ทำลาย ตัวเองก็ต้อง
    ทำลายทรัพย์ของตัวเองไป ให้มันเกิดความหมด

    "ศีลข้อไหนคะ ?"

    ศีลข้อ 2 อทินนาทานา เวรมณี (หัวเราะ)

    เล่นการพนันมันต้องตีตั๋ว ต้องขออนุญาตไปขโมยเล่นนี่มันผิดศีลข้อที่ 2 ไอ้กรรมที่เรา
    ผิดมาในอดีตก็คือ กรรมตัวที่ 2 เมื่ออดีต ถ้ามันไม่ผิดศีล ก็ศีลขาด ศีลขวางหน้าชน
    ปังเข้าเลย ถ้าผิดซะแล้วศีลไม่บริสุทธิ์ ศีลไม่มีคือศีลที่ขาดใช่ไหม (หัวเราะ) มีอะไรอีก
    ไหม

    "แล้วมีทางแก้ให้คนเขาไม่ชอบเล่นได้ไหมคะ ?"

    ก็เล่นมันซะให้หมดตัวมันก็เลิกเอง

    "พอหมดแล้วเขาก็ไปกู้เขามาอีก"

    ใช่ ถ้าไปกู้ยืมเขาแล้วไม่มีใครเขาให้กู้ มันก็เลิก คนพวกนี้ถ้ากรรมเดิมเขายังไม่สิ้น

    นี่ เขาไม่รู้สึกตัว หลวงพ่อเคยเห็นมาแล้ว คนที่เขาเลิกเมื่อไหร่ก็เกลียดเมื่อนั้น เกลียด
    อาการนั้น ถือว่ากรรมมันหมดไป

    "ต้องรอจนกว่ากรรมจะหมดหรือคะ ?"

    ใช่ๆ มันไม่มีทางแก้ แก้ได้อย่างเดียว คือ เผา ไอ้ก่อนที่เราจะจับเขาเผา ดีไม่ดีเขา
    จะจับเราเผาชะก่อน (หัวเราะ) คือ เราไม่ต้องไปแก้เขาหรอก ถ้าขืนเราไปพูดเข้าอารมณ์ไม่ดี ดีไม่ดีเขาโกรธเรา

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 290 เดือนพฤษภาคม 2548 หน้า 19)


    พระคลุมพระสงฆ์

    "ถ้าพระสงฆ์องค์ใดมีพระคลุมพระสงฆ์องค์นั้น ท่านจะทราบหรือไม่ ? แล้วญาติโยมที่
    กำลังฟังพระองค์นั้นเทศน์ จะทราบหรือไม่ว่าพระสงฆ์องค์นั้นมีพระคลุม (ดูด้วยตาเนื้อ) ?"

    สำหรับฉันน่ะไม่รู้นะ ไม่ทราบเลย ถ้ารู้ก็รู้อย่างเดียว คือไม่ได้ใช้สมอง คือรู้ว่าทุกอย่าง
    มันราบรื่นไปได้ มันไปเอง ไม่ได้ใช้สมองไม่รู้ว่าใครเท่านั้นเอง

    แต่มีรู้อยู่คราวหนึ่งเหมือนกันตอนยกฉัตรองค์ปฐม เราก็ดูพระในอก เอ...องค์นี้ใครนะเห็นสีทอง ไอ้เราก็อยากรู้ ตอนพิธียกฉัตรองค์ปฐมนึกว่าองค์ปฐมท่านจะมา

    พอถามพระ พระท่านก็บอกว่าตอนนี้เป็นเขตของฉัน อ้อ...ขององค์ปัจจุบันนี่ ก็ถามว่าทำไมงานองค์ปฐมทำไมท่านไม่มา ไม่เสด็จมาเป็นแม่งาน

    ท่านก็บอกว่า ที่ฉันทำนี่ถือว่าเป็นพ่อฉัน ทำถวายครูบาอาจารย์ฉัน ทำถวายองค์ปฐม เราก็นึก เราก็คิด ทำไมไม่เป็นองค์ปฐม ท่านก็บอก เป็นเขตของฉัน นี่ฉันก็ไหว้พ่อไหว้แม่ฉันเหมือนกัน เออ...ลงตัวกัน เราก็คลายใจ

    "ญาติโยมได้ยินทุกคนแล้วนะครับ ว่างานไหนมีแม่งานองค์ไหนควบคุมกำกับ"

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 156 เดือนกุมภาพันธ์ 2537 หน้า 99)


    เรื่อง พระผู้ใหญ่พูดเรื่องมโนมยิทธิของวัดท่าซุง

    คือ มีพระอยู่องค์หนึ่ง

    "เป็นยังไงครับ"

    ก็เทศน์ด่าหลวงพ่อออกทีวีอยู่เรื่อย เรื่องมโนมยิทธิบ้าง อะไรอย่างนี้นะ ลูกศิษย์ลูกหาไปหาก็พูด พูดว่า ไอ้มโนมยิทธินี่มันเพ้อฝันไป แล้วก็ เป่ายันต์เกราะเพชรก็..นั่นไป อะไรก็ว่าไปเรื่อย

    เราก็เอ๊ะ..เป็นพระผู้ใหญ่ พูดไปแสดงว่า ตาบอดคลำช้างแล้ว ทุกคนน่ะ กรรมฐานกองใดกองหนึ่งมันก็จบกิจได้นี่ เพียงแต่ท่านอาจจะเข้าใจของท่าน แต่ของคนอื่นผิด

    "หรือไม่ก็ถนัดมาทางสุกขวิปัสสโกละมั้ง"

    ท่านก็มีทิพจักขุญาณเหมือนกัน

    "มีแต่ไม่จริง แล้วเป็นฌานโลกีย์"

    ใช่ๆๆ

    "ฌานโลกีย์นี่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เลยหรือครับ"

    (ดร.ปริญญา พูดเสริมว่า) "แน่นอนไม่ได้ แต่ว่าเนื่องจากว่าเป็นพระผู้ใหญ่ เป็นเจ้าคุณ แล้วก็บวชอีกสายหนึ่งเสียอีก ตัวมานะก็เลยเยอะ ใครๆก็ว่าฉันเเน่ แต่ลุงพุฒบอกว่า อย่างนี้ต้องไปอยู่ขุมที่ 4"

    มีอยู่คราวหนึ่ง เขาไปถ่ายแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เอ๊..คนมันคอยจะว่าฝึกมโนมยิทธิเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ คนไม่เท่าไรหรอก พระซิ พระเป็นยังงั้น เอ๊..กำลังจะเขียนบทจะพูด แวะไปเสียหน่อย ไม่ได้ๆ เดี๊ยวมันจะเตะเราเข้า ไม่กล้า เดี๋ยวจะยุ่ง

    "ถ้าเผื่อว่าคนก็ไม่เท่าไหร่หรอก แหม...หลวงพี่เหลืองนี่ เหลือร้าย"

    คือจริงๆนี่ มโนมยิทธินี่ในพระไตรปิฎกมีอยู่เลย เคยอ่านเจอ ท่านก็บอกว่าเหมือนถอดหญ้าปล้อง ถอดหญ้าปล้องออกมา มันอยู่ในหนึ่งในอภิญญา หนึ่งในอภิญญา 5

    หลวงพ่อท่านเกาะแบบตลอดมาเลย ไม่ว่าจะเทศน์ที่ไหนต้องอ้างตลอด ทีนี้คนไม่เคยทำนี่ก็ยุ่งเหมือนกัน

    แต่สมเด็จวัดสามพระยา ท่านคลังตำรา ท่านยังยอมรับ ใช่ไหม บอกหลวงพ่อ ที่คุณเขียนนี่ถือว่าเป็นตำราปฏิบัติได้เลยนะ เป็นตำราใหญ่

    ถ้าเราพูดกันเองภายในก็ถือว่ายกย่องครูบาอาจารย์ แต่ว่าจริงๆเป็นอย่างนั้นจริงๆ หนังสือทุกเล่มอ่านง่าย

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 163 เดือนตุลาคม 2537 หน้า 91)


    บุคคลผู้ประพฤติถูกแต่อมกิเลส


    นิโครระปริพาชกทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ตรัสถึงบุคคลผู้ประพฤติเพื่อ
    การละกิเลสไว้มากมาย อยากจะทราบว่า จะทำอย่างไรให้การปฏิบัตินั้นเข้าถึงความ
    บริสุทธิ์ผ่องใส ครบถ้วนบริบูรณ์

    1. พระพุทธเจ้าตรัสว่า "นิโครระ ผู้มีการประพฤติปฏิบัติ เพื่อการตัดกิเลส
    ทำถูก ทำตรงตามวิถีทางการละการตัดกิเลส แต่จิตใจยึดมั่น ถือมั่น ดีใจ คิดว่าการ
    ปฏิบัติเพียงเท่านี้ดีแล้ว จบแล้ว ไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบ ก็เป็นอุปกิเลส คือจิตเข้าไปกอดความชั่วของผู้นั้น"

    2. คนที่ปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรงนั้นยึดมั่น ถือมั่น ในปฏิปทานั้น ยกตนข่มผู้อื่นว่า
    "ฉันดีกว่าเธอนะ" อย่างนี้ก็มีกิเลสท่วมหัว

    3. ผู้ปฏิบัติถูก ผลเกิดจากการปฏิบัติพอสมควร เมื่อมีคนสรรเสริญ ก็ติดในคำ
    สรรเสริญ เขาให้ลาภก็ติดในลาภ อย่างนี้ก็เป็นผู้เข้าไปกอดความสกปรกของกิเลสไว้

    4. ผู้ปฏิบัติถูก ผลของการปฏิบัติมีพอควร เมาในผลของการปฏิบัตินั้น คิดว่า
    เท่านี้พอแล้ว ก็เป็นอันว่าตกอยู่ในหลุมอุจจาระ คืออุปกิเลส

    5. ผู้ปฏิบัติถูก ได้ลาภ ได้รับคำสรรเสริญ ติดในลาภและสรรเสริญ เลยเอาความมีลาภและมีคนสรรเสริญข่มขู่ ยกตนข่มผู้อื่น โดยคิดว่าพวกเธอมีลาภไม่เท่าฉัน
    ฉันรวยกว่า ฉันมีคนเคารพมากกว่านะ อย่างนี้ท่านก็ถือว่า มีความสกปรก คือกิเลส
    เลยหัว เช่นเดียวกันเหมือน กปิลภิกขุ และสุนัขปากเปราะ

    6. ผู้ปฏิบัติถูก มีผลปฏิบัติพอสมควร มีคนเคารพนับถือมาก เขานำลาภสักการะ
    มาถวายมากมาย ลืมสติลืมตัว เลือกรับของอะไรที่ตนชอบ ก็บอกว่าอย่างนี้ใช้ได้ ที่
    ไม่ชอบก็บอกว่า อย่างนี้ผิดวินัย พระพุทธเจ้าห้ามรับ ไม่หวังเจริญศรัทธาตามปกติ
    ท่านก็ตรัสว่า มีอุปกิเลสมาก คือความเลวเหลือล้น

    7. ผู้ปฏิบัติถูก แต่เมาในโภชนะ คือ อาหาร ติดว่าอาหารประเทนี้ควร อาหาร
    ประเภทนี้ไม่ควร เลือกเฉพาะที่ชอบใจ เพราะติดในรสอาหาร ท่านกล่าวว่า ยังสะสม
    ความชั่ว ถืออุปกิเลสไว้มาก

    8. ผู้ปฏิบัติถูก เมื่อได้รับความเคารพนับถือจากพระมหากษัตริย์ หรือข้าราชการ
    ชั้นผู้ใหญ่ เป็นตัน ลืมตัวหลงคิดว่าตนมีศักดิ์รีสูงส่งกว่าคนที่มีพระมหากษัตริย์ เป็นตัน
    ไม่ได้เข้าไปแสดงความเคารพสักการะ ท่านก็ว่าผู้นั้นเป็นผู้สะสมอารมณ์ชั่ว ถืออุปกิเลส

    9. ผู้ปฏิบัติถูก ริษยาผู้อื่นว่า กินไม่เลือก รับไม่เลือก เพราะท่านเหล่านั้นมี
    คนเคารพ และได้ลาภสักการะ ก็เกิดอารมณ์ริษยา ท่านว่า เขาเป็นผู้สะสมความชั่ว
    คืออุปกิเลสไว้มาก

    10. ผู้ปฏิบัติถูก มีผลบ้างเบื้องต้นเห็นท่านอื่นที่ปฏิบัติมีผลดีกว่า มีคนเคารพ
    มาก ก็หาทางโพนทนาด่าว่าเปรียบเปรย นินทา ให้เกิดความเสื่อมเสีย หรือเสียหาย
    ท่านว่า คนเช่นนี้เป็นผู้จอมสะสมความชั่ว คือมีอุปกิเลสมาก

    11. พระองค์ตรัสว่า ผู้ปฏิบัติพื่อละกิเลส นั่งสมาธิ จริยาแสดงว่า ท่านี้ฉันทำ
    สมาธินะ หรือแต่งกายเป็นการแสดงออกให้เข้าใจชัดว่า ฉันเป็นนักปฏิบัติเพื่อตัดกิเลสนะ

    (ข้อนี้ผู้เขียนคิดว่า ท่านที่นิยมสวมลูกประคำจะเข้าข่ายนี้หรือไม่..)

    ท่านว่า การแสดงตนอย่างนี้เป็นการโชว์เพื่ออวด ท่านว่ามีอุปกิเลสมาก

    12. และบางพวกชอบอวดว่า "ฉันนิยมปฏิบัติอย่างนี้นะ.... าง บางพวก
    ปกปิดจริยาชั่ว ทำตัวเรียบร้อย ด้วยมรรยาท และบางพวกมักโกรธ ผูกโกรธ คือ
    อาฆาต บางพวกชอบลบหลู่ ตีเสมอ ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด ขับไล่ มีจริยากระด้าง
    ถือตัวจัด มีความปรารถาลามก มีอารมณ์เห็นผิด คัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    อย่างนี้เป็นตัน ท่านกล่าวว่า เป็นผู้สะสมกิเลส คือความชั่วไว้สูงเลยหัว

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 74 เดือนเมษายน 2530 หน้า 143-144)


    ตัดสังโยชน์ตัวต้น

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ ได้อ่านหนังสือกรรมฐานของ
    หลวงพ่อเกี่ยวกับเรื่องการตัดสังโยชน์บอกว่า ถ้าสามารถชนะตัวต้นได้แล้ว ตัวอื่นก็ง่ายหมด ถ้าหากว่าชนะตัวต้นไม่ได้แล้ว ตัวอื่นๆก็ค่อนจะยาก

    ที่ลูกสงสัยก็คือว่า ขณะนี้ตัวต้นของลูกยังแย่หน่อยคือสักกายทิฏฐิปราบได้เป็นบางครั้ง แล้วก็กลับฟูมาเป็นอย่างเดิม หลวงพ่อมีวิธีขั้นเด็ดขาดไหมคะ ถ้ามีโปรดแนะนำเลยค่ะ ลูกจะจัดการโปรดแนะนำลูกด้วยเถิด

    หลวงพ่อ : ไม่ยากๆๆ เอาอย่างท่านโคธิกะตัดสินใจว่าร่างกายเป็นศัตรู
    ที่เรามีความทุกข์นี่เพราะร่างกายเป็นหตุใช่ไหม ต่อนี้ไปขึ้นชื่อว่าร่างกายอย่างนี้จะไม่มีต่อไปอีก เชือดคอเลย

    ผู้ถาม : อ๋อ อย่างนี้ชื่อว่าเด็ดขาดหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ท่านโคธิกะทำอย่างนี้นะ...อยากโง่

    ค่อยๆทำ ค่อยๆไป ชนะบ้างแพ้บ้างไม่ช้าก็ชนะเรื่อย ถ้ามันเผลอก็แพ้ ถ้าไม่เผลอเราก็ชนะ หนักเข้าๆก็เผลอน้อยลงไปๆ ในที่สุดก็ไม่เผลอ เขาทำกันแบบนั้นนะ

    ผู้ถาม : อ๋อ...ต้องไล่ตั้งแต่ค่อยๆไปก่อน

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 116 เดือนตุลาคม 2533 หน้า 19)






     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2020
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    3 จบ 9 จบ ต่างกันอย่างไร

    คุณพุฒิชัยถามว่า "หลวงพ่อครับ เวลาที่ภาวนาคาถาเงินล้าน ที่หลวงพ่อบอกว่า
    ให้บูชา 9 จบ ทีนี้ผมอยากทราบว่า มันแตกต่างกับบูชา 3 จบอย่างไรครับ ?"

    หลวงพ่อตอบว่ายังไง หลวงพ่อตอบว่า

    "ก็มันเหนื่อยไม่เท่ากัน"

    เท่านี้แหละคุณกาหลงและพรรคพวกหัวเราะกิ๊ก บอกคุณพุฒิชัยว่าไม่น่าถามเลย ปัญหาอย่างนี้ก็ถามด้วย

    หลวงพ่อก็โปรดเมตตาตอบให้ใหม่ว่า

    "ที่ให้ภาวนา 9 จบ ในช่วงนั้นขณะภาวนา จิตจะไม่ทรงตัวเสมอกัน ถ้าก่อนถึง 9 จบจุดใดจุดหนึ่ง อาจจะถึงฌานก่อน"

    เท่านี้แหละคุณพุฒิชัยร้อง อ๋อ ผมต้องการแค่นั้นแหละครับ ไม่เฉพาะแต่คุณพุฒิชัยเท่านั้น ข้าพเจ้าเองก็เพิ่งเข้าใจเหมือนกัน จึงนับเป็นคำถามที่ดี


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 7 ฉบับที่ 63 หน้า 118)


    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Events2014/th224.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Events2014/th224.jpg" border="0" alt=" photo th224.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Events2014/th225.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Events2014/th225.jpg" border="0" alt=" photo th225.jpg"/></a>

    ถ้ำเชียงดาว/ถ้ำผาปล่อง


    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0090_3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0090_3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0090_3.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0092_4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0092_4.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0092_4.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0101_9.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0101_9.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0101_9.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0104_3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0104_3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0104_3.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0106_5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0106_5.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0106_5.jpg"/></a>



    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0114_2.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0114_2.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0114_2.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0115_3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0115_3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0115_3.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0005_3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0005_3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0005_3.jpg"/></a>


    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0126_1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0126_1.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0126_1.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0130_3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0130_3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0130_3.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0134.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0134.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0134.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0139_1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0139_1.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0139_1.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0009_5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0009_5.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0009_5.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0153_1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0153_1.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0153_1.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0159_1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0159_1.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0159_1.jpg"/></a>

    (จากธัมมวิโมกข์ พฤษภาคม 2533 หน้า 61 - 75)

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Events2014/_28_205.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Events2014/_28_205.jpg" border="0" alt=" photo _28_205.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Events2014/_25_493.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Events2014/_25_493.jpg" border="0" alt=" photo _25_493.jpg"/></a>


    อารมณ์พาลไม่อยากทำบุญ

    "แล้วอย่างเวลาอารมณ์โง่หรืออารมณ์พาลเกิดขึ้นนี่ บางทีไม่อยากจะทำบุญ ไม่อยากจะสวดมนต์ ไม่อยากที่ดี ๆ อารมณ์อย่างนี้มีเป็นมีบางท่าน หลวงพ่อมีคำแนะนำจะแก้ไขหรือเปล่าครับ หรือวิธีแก้ไขผ่อนผัน บางทีมันก็มีเหมือนกันนะครับหลวงพ่อ"

    ก็ไม่ต้องแก้ไขอะไร เดี๋ยวก็โปร่งใหม่ เวลานั้นอกุศลเก่าเข้ามาสิงใจ มันก็ตัดความดี
    ประเดี๋ยวมันก็ถอยไป กุศลเข้ามาใหม่ก็สร้างความดี ไอ้นี่เป็นของธรรมดา

    "ในหมู่คนทุกคนก็มักเป็นอย่างนี้ตลอดเลยซิครับ ?"

    ใช่ๆๆ ทั้งนี้ก็เว้นไว้แต่พระอริยเจ้าเท่านั้น

    "ตั้งเต่พระโสดาขึ้นไป"

    ใช่ๆๆ ขี้เกียจทำความดีน่ะ ถ้าหากว่าเป็นพวกปฏิบัดิพระกรรมฐาน ท่านเรียกว่ากิเลสมาร มารนี่แปลว่าผู้ฆ่า ใช่ไหม ความ
    ชั่วที่เข้ามาฆ่าความดี อย่างฉันนี่เขาเรียก
    ขันธมาร ร่างกายไม่ดี การเจ็บไข้ไม่ได้การป่วยไข้ไม่สบายเป็นขันธมาร มันก็ริดรอน
    ความดี ถ้ากำลังใจไม่ดีนะมันจะตัดเป็นยาทุกขเวทนา

    "ที่ว่ากิเลสมารเกิดขึ้นตอนปฏิบัติ หรือยามปกติธรรมดา เบื่อไม่อยากจะทำความดี
    อย่างปฏิบัติกรรมฐานนี่เขาเรียกอะไรมารนะครับ"

    เขาเรียกกิเลสมารเหมือนกัน เวลาทำบุญมันมีทุกเวลาใช่ไหมล่ะ ไม่ใช่เฉพาะเวลาปฏิบัติ ปกติเราอยู่เราเคยไหว้พระ เราเคยสวดมนต์ ไอ้ตอนไหว้พระสวดมนต์นั่นคือ
    ปฏิบัติกรรมฐาน คนไม่รู้จักเอง

    "ผมนึกว่ากรรมฐานต้องขาขวาทับซ้าย"

    โอ๊ย ไม่มีความจำเป็นหรอก นั่นเป็นพิธีกรรม เพราะคนสอนไม่ได้ซิถึงสอนยาก
    คำว่าสมาธิ เวลาที่เราบูชาพระก็ต้องมีสมาธิอยู่แล้ว สมาธิแปลว่าการตั้งใจ เวลานี้
    เราตั้งใจจะบูชาพระแล้วเราก็บูชาด้วยดี นี่มันเป็นสมาธิ ไม่มีอะไรใช่ไหม เราจะใส่
    บาตร ตั้งใจว่าจะใส่บาตร สมาธิมันเริ่มตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้ใส่บาตรแล้วก็ใส่จริง สมาธิก็
    ทรงตัว

    "นี่ได้ตั้งเเต่วันนี้"

    ตั้งแต่วันเริ่มคิด ว่าวันนี้ใส่ไปแล้ว พรุ่งนี้เอาอะไรดีหว่า ไอ้นี่มันจาคานุสสติกรรมฐานเป็นฌานนะ ความจริงกรรมฐานนี่ถ้ามีความเข้าใจนี่มันไม่ยากจริงๆ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 133 เดือนมีนาคม 2535 หน้า 19)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2020
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ความเป็นมาของการลอยกระทง/ประวัติการลอยกระทง/ประวัตินางนพมาศ

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0082_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0082_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0082_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0091_4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0091_4.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0091_4.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0097_3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0097_3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0097_3.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0105_5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0105_5.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0105_5.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0107_1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0107_1.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0107_1.jpg"/></a>

    (จากธัมมวิโมกข์ พฤศจิกายน 2537 หน้า 106 - 110)
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    380.jpg

    การวางอารมณ์

    ขอพูดย่อๆ อารมณ์ที่ทำนี่ ไม่ใช่ต้องนั่งหลับตา ท่านเดินไปเดินมานั่งทำอะไรอยู่ นอนอยู่ ยืนอยู่ แล้วก็เดินอยู่ ทำอะไรก็ตาม มองดูสภาพของความจริง เห็นต้นหญ้าที่มันร่วงโรยลงไป ก็คิดว่า โอหนอ ชีวิตของ
    คนเราก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ก็คิดมันวนไปวนมา ถอนกำลังใจให้มันติด

    คือว่าเมื่ออาการอย่างนั้นเกิดขึ้น เราเห็นอะไรขึ้น ถ้าอาการของความทุกข์
    เกิดขึ้น ความขัดข้องเกิดขึ้นเราก็เฉย ที่เรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ มัน
    อะไรจะมาก็ช่างมัน มันจะแก่ก็เชิญแก่ ใจสบายๆ ถือว่าหนีความแก่ไม่ได้
    ถ้าความป่วยไข้ไม่สบายมันเกิดขึ้น ทุกขเวทนามันมี เราก็ต้องรักษา ใจเราก็เฉย รักษาหายก็หายไม่หายก็ช่างมัน อยากจะตายเมื่อไหร่ก็เชิญ
    เกิดมาเพื่อตาย

    ใครเขาด่าใครเขานินทาเราก็เฉย ไอ้การชมการสรรเสริญ
    ก็ดี การด่าการนินทาก็ดี เราไม่ได้เป็นไปตามปากของเขา เราจะดีหรือจะชั่วมันอยู่ที่กำลังใจของเราเท่านั้น รวบรวมกำลังใจไว้อย่างนี้นะขอรับ เราก็เฉยต่ออาการทั้งหมด หนุ่มก็เฉยไม่ดีใจในความเป็นหนุ่ม แก่ก็เฉยไม่เสียใจในความเป็นคนแก่ มันจะตายก็เฉยเพราะว่าเราจะต้องตาย ตายแล้วไปไหน เราภูมิใจได้ว่าตายแล้วเราไปนิพพาน


    (จากหนังสือโอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 1 หน้า 83-84)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2020
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อบอกว่า ปีใหม่นี้ ขอให้อธิษฐานไว้เสมอ ๆ
    ว่า "ขอคำว่า ไม่มี จงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า"
    แล้วจะมีผลจริง ๆ
    ก่อนวันขึ้นปีใหม่ หลวงพ่อยังแนะนำ
    ให้อธิษฐานอย่างนี้เลยว่า "ขอความซวย
    จงหายไปกับปีเก่า และความรวย ความ
    โชคดี จงมากับปีใหม่" ที่มาของคำอธิษฐาน
    ก็เป็นอย่างนี้

    คำอธิษฐานปีใหม่

    ผู้ถาม : ที่หลวงพ่อบอกว่า ให้นั่งหน้าพระพุทธรูปแล้วอธิษฐานว่า ความรวยจงปรากฏ มันเป็นอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : ล้อ "เจ้าขวัญ" มันว่า ถ้าอยากรวยก็เอาแบบนี้ซิ 5 ทุ่ม 45 นาทีใกล้ๆจะ 6 ทุ่มใช่ไหมเล่า ก็ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป บูชาพระ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ เทวดา และพรหมทั้งหมด ครูบาอาจารย์ ผู้มีคุณทั้งหมด บูชาท่านขอลาภ

    ''ขอให้ความซวยทั้งหมด ความยากจน จงไปกับปีเก่า

    แล้วความรวย ความดี ความโชคดี จงมากับปีใหม่ ''

    หลังจากนั้นก็ภาวนาคาถาเงินล้านเรื่อยๆไป พอนาฬิกาตีเป๊ง ขึ้นปีใหม่

    "ขอให้ความซวย จงหายไปพร้อมกับปีเก่า ฉันต้องการความรวยจากปีใหม่"

    ผู้ถาม : อ๋อ หลวงพ่อพูดกับ ขวัญ เหรอ ?

    หลวงพ่อ : ใช่

    ผู้ถาม : แล้ว ลูกๆหลานๆ ที่ไม่ใช่ขวัญ จะได้ไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : ก็มีขวัญนี่ ลองก้มหัวดู คนไหนไม่มีขวัญทำไม่ได้ ความจริงไม่ต้องรอดึกก็ได้ ถึงวัด ถึงบ้าน อาบน้ำ สวดมนต์ไหว้พระ ก็อธิษฐานก่อนนอนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอถึงเวลานั้น


    คำอธิษฐานได้ผล


    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2531 นี้ ลูกได้ทำตามคำแนะนำของหลวงพ่อที่อธิษฐานว่า " ความซวยจงหมดไป พร้อมกับปีเก่า และขอความร่ำรวย จงมาพร้อมกับปีใหม่ 2532 นี้ " ปรากฏว่าวันนี้การค้าของลูกคล่องตัว ลูกอยู่ในโอวาท (แหม..นี่แกคงจะดีใจว่า ลูกอยู่ในโอวาทนะ) หากลูกจะอธิษฐานอย่างนี้ทุกคืนๆ ไป จะผิดกฏที่เทวดาเขาสงเคราะห์อยู่ในเวลานี้หรือเปล่าเจ้าคะ ?


    หลวงพ่อ : ดีมาก ถ้าทำตามนั้นนะ จะดีมากเลย จะมีการทรงตัว เงินจะเหลือใช้ เอาทุกวันดีกว่า ไม่ใช่ทำวันเดียว

    ผู้ถาม : อ๋อ..ยิ่งว่าบ่อยๆ ยิ่งดีหรือครับ

    หลวงพ่อ : ใช่ ทำเป็นสมาธิแบบนั้น ก็ไม่ต้องใช้เวลาใกล้ 2 ยาม เวลาไหนก็ได้ที่เราเห็นสมควร ที่ว่าใกล้ 2 ยาม เพราะปีเก่าจะไป ปีใหม่จะมา เวลานี้เป็นเวลาของปีใหม่ ก็ใช้ได้ทุกเวลาตามที่ชอบใจ นั่นดีมากนะ ต่อไปจะรวยใหญ่ เมื่อทุกคนรวยใหญ่ ฉันก็สบายใจ สร้างวัดอีก 10 วัด (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : นี่ก็เป็นผลดีแก่แม่บ้านนะ มีผัวอยู่ในโอวาท เอ..ถ้าผู้ชายว่าบ้าง ลูกเมียจะอยู่ในโอวาท หรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : เราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา " วันทโก ปฏิวันทนัง " ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ " ปูชา ลภเตปูชัง " ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ในเมื่อเราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา



    (จากคอลัมภ์ "หลวงพ่อตอบปัญหา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 96 เดือนกุมภาพันธ์ 2532 หน้า 6-7)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2020
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ขนมไข่จิ้งหรีด

    ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ตอนเช้าๆกระผมชอบไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็ทำจิตให้เป็นสมาธิ พอจิตเป็นสมาธิทันทีทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏว่าได้ยินเสียงเขาพูดว่าอย่างนี้

    ให้เอาข้าวสุกคลุกกับน้ำตาลผสมเกลือและมะพร้าวขูด ผสมด้วยกล้วยน้ำว้า 3 ลูก ใส่บาตรถวายท้าวมหาชมพูเพื่อป้องกันโรคไวรัส

    หลวงพ่อ : เขาเรียกขนมไข่จิ้งหรีด

    สมัยก่อนฉันเคยทำ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันถ้าจะใส่บาตร อย่าใส่ลงไปในบาตรนะ ให้ห่อหรือใส่ปิ่นโต หรือ ใส่ห่อพลาสติกก็ได้ถวายพระท่านไป อย่าไปผสมกับข้าวในบาตร อันนี้ดีญาติโยมทุกคนจำไว้นะมีประโยชน์มาก

    เพราะว่าในสมัยที่อยู่กับหลวงพ่อปานถ้าโรคระบาดมันจะเกิด ท่านมักจะสั่งพระไปบิณฑบาตว่า "พระ เอ้ย เวลาไปบิณฑบาตบอกชาวบ้านด้วยนะ ทำข้าวต้มลูกโยนไปไว้หลังบ้าน ทำขนมจีนบ้าง" แต่ละคราวไม่เหมือนกันนะ

    ก็ถามท่านว่า ทำ ทำไมครับ ?

    ท่านบอกว่า "โรคระบาดจะเกิดขึ้นฉันพบหัวหน้าเขา เราไม่ต้องการให้คนที่ใส่บาตรเราเป็นโรค และเขาขอของอย่างนี้"

    อันนี้ก็ดี ท่านมาบอกก็ดีแล้ว ไวรัสเวลานี้มันยุ่งมาก

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 85 เดือนมีนาคม 2531 หน้า 15)


    เรื่อง ต้นโพธ์ที่อินเดีย

    คือ ตันโพธิ์ที่ว่านั้น ถ้าจริงต้องต้นโพธิ์วันนั้น แล้วก็พระแท่น พระแท่นที่นั่งใครเขา
    ทำกันอย่างนั้นล่ะ ถ้าพระพุทธเจ้านั่งจริงๆละเจ็บตูดตายเลย ทำเป็นดอกทำเป็นดวง เป็นโลหะ (หัวเราะ) พระแท่นเวลานั้นใครไปหล่อให้พระพุทธเจ้าเล่า หญ้าคา ก็ทำโกหกทั้งนั้นแหละ แล้วยังไปเชื่อการโกหกกันอีก ไอ้เราไปก็เฉยๆ

    แต่ไอ้แขกมันโกหกเก่งนะโยมนะ ถ้าโกหกต้องยกให้แขกนะ วิธีหลอกลวงมันหนึ่ง
    ในตองอูนะ ไอ้ไทยบ้าๆบอๆ ก็ไปเชื่อส่งเดชนั่นละ ที่พระพุทธจ้าประสูติล่ะ ที่เนปาลน่ะ
    ขุดดินลงไปลึกเท่านั้นน่ะ พื้นแผ่นดินเวลานั้นลึกเท่านั้น อ้าวไอ้เราก็เชื่อ เออ..ก็ดีเหมือนกัน ถ้ามันโกหกได้ผล มันก็ต้องพยายามโกหก ใช่ไหมเล่า พวกมันได้สตางค์น่ะ

    "ผมยังนึก เอ้อ..ไอ้ไทยนี่ ที่สร้างวัดในประเทศไทยนี่ มันต้องสร้างวัดในเมืองแขก แขกไม่นับถือพระพุทธศาสนา ไอ้นี่ต้องถือเป็นโรคอุปาทาน ใช่ไหม"

    คือไปเมืองแขก ถ้าแขกมาไหว้พระพุทธรูป เราก็ต้องดูก่อน ต้องถามก่อนว่าเป็นแขก
    พุทธ หรือแขกฮินดู คือไอ้ศาสนาฮินดูมันพยายามทำลายพระพุทธศาสนา แต่มันทำลายไม่ลง มันก็ทำไง เอาลงหมดไม่ได้ มันต้องเอาสายอื่น ไอ้นักปราชญ์คนหนึ่งมันก็เขียนประวัติขึ้นมา บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของพระนารายณ์ที่อวตารลงมา เขานับถือพระนารายณ์ มันมาไหว้พระพุทธรูป มันถือว่าไหว้พระนารายณ์ ต้องไปดูกันก่อน

    ถ้าไปเมืองแขกเห็นมีหนุมาน ไอ้พวกเขาละ ต่างคนต่างถือกันคนละศาสนา ถ้าพวก
    ธิเบตแน่นอน พวกธิเบตเคารพมาก แล้วเวลามันมาเจอะพระพุทธคยาละคืบมานะ ไม่เดินเรียกคืบ ลุกขึ้นนอนทาบ ตัวยืด เอาเท้าเลื่อนมาที่มือ ทาบเรื่อยมา เหมือนพวกทากน่ะ

    พวกเราไปถึงที่พุทธคยา เห็นเขามีกระดานอยู่แผ่นหนึ่ง ของเขาน่ะ เขานั่งคืบนอนคืบบนกระดาน เป็นมันเลื่อม แล้วอีกพวกก็เดินตามกำแพง คืบตลอด

    เราก็นึกในใจว่า ถ้ามันจะคืบแบบนี้น่ะ มานั่งทำวิปัสสนาสบายๆ ยังดีกว่าเลย แต่เป็นกำลังใจเขานึกว่าได้บุญ ถ้าบุญประเภทนั้นนะ มันจะไปแค่กามาวจรกับพรหม นี่แกไปได้ แกถือทางกายมากเกินไป คือไม่ถือทางใจ

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 164 เดือนพฤศจิกายน 2537 หน้า 26-27)


    พระพม่า

    เออ...พูดถึงพม่าข้าก็ดีใจนะ พระพม่านี่กอดผู้หญิงก็ได้

    "พระพม่าน่ะหรือคะ"

    อ้าว..กินข้าวได้ตลอดเวลา ทีนี้มันมีปัญหาว่า สู้พระญี่ปุ่นไม่ได้ พระญี่ปุ่นมีเมียได้ (หัวเราะ) คือเดี๋ยวนี้พระพม่าน่ะเขามีสองนิกาย สองนิกายก็หมายความว่า สอง
    พวก พวกหนึ่งอยู่ในเกณฑ์เคร่งครัด อีกพวกหนึ่งอังกฤษมันคงไปปล่อยน่ะ มันทำให้เสื่อม

    วันนั้นเห็นเดินควงแขนกับผู้หญิง ควงแขนกับผู้หญิงได้ เราก็แปลกใจนั่งดู ทีนี้พระพวกนั้น เณรพวกนั้นน่ะ ถ้าจะเข้าดูหนังดูละครโรงไหน ต้องให้เข้าฟรีนะ ถ้าใครไม่ให้เข้าชาวบ้านแอนตี้เลย นี่เขามีพวกหนึ่ง แต่อีกพวกหนึ่งเขาเคร่ง เขามีสองพวก

    สมัยอังกฤษมันครองมันก็ปล่อยให้เสื่อม ถ้าทำแบบนี้จะได้เสื่อม เขาก็เลยไม่เสื่อม ชาวบ้านเห็นควรไปด้วย อ้าว..ชาวบ้านเห็นทำได้ ก็เลยไปกันใหญ พระกินข้าวต้มตี 4 ตี 4 ตีระฆังกินข้าวต้ม พอกินข้าวต้มเสร็จก็ประมาณตี 5 แหละ ก็ทำวัตร พอสว่างดีก็เรียนอภิธรรม 4 โมงเช้าก็บิณฑบาต ความจริงมันบิณฑบาตเวลาไหนก็ได้ กินข้าวต้มตี 4 แล้ว

    ตอนเย็นไปบ้านกะเขา ญาติโยมเขาชงน้ำชามาให้หรือไอ้ปลาชะโดเค็มน่ะ เคล้าให้ดี คลุกๆให้ดี ก่อนจะเอามาให้ พระพม่าก็กินสบาย พระไทยนั่งน้ำลายไหล กินไม่ได้ (หัวเราะ) เสียท่า หลวงพ่อไปตอนนั้นนึกเสียดาย แหม..เรามาบวชที่พม่าดีกว่า (หัวเราะ)

    ไปเห็นพระโกนหัวให้ชี นั่งกอดคอกันบ้าง ล้อกันบ้างเล่นกันบ้าง เอ๊ะ..มันยังไงกันแน่หว่า นึกเอ๊เรามาบวชพม่าก็ดีเหมือนกันนะ เราบวชผิดที่นะ (หัวเราะ) บวชผิดที่นี่หว่า อุปัชชาย์ก็สอนผิดไปอีก

    ตามหลักน่ะเขามุ่งจะทำให้เสื่อม อังกฤษมันจะปล่อยให้เสื่อม บังเอิญไอ้คนมันยังเกาะติด ก็เลยไม่เสื่อม เขาถือว่าไม่เป็นไร ก็คนของเขาเคารพเสียก็หมดเรื่อง ถ้าถามว่าความเป็นพระมีไหม ก็ต้องตอบว่าไม่มี ก็ถือว่าเป็นนักบวชประเภทหนึ่ง จะจัดว่าเป็นภิกษุน่ะไม่ได้ พระเราทำอย่างนั้นไม่ได้ จะถือว่าประเทศไหนเขานิยมแบบไหนน่ะมันไม่ได้ นิยมประเพณีไม่ได้ วินัยต้องเป็นวินัย

    แต่ทำไมเขาจึงไม่ว่ากัน พอเขาบวชเข้ามาแล้วแทนที่จะเรียนวินัย เขาเรียนอภิธรรมเลย ก็เลยไม่ต้องรู้เรื่องกันสิ วินัยไม่เรียนไปเรียนอภิธรรมเลย วินัยก็เลยไม่ต้องรู้เรื่อง ทำยังไงก็ได้

    ชาวบ้านก็เรียนมาอย่างนั้นเหมือนกัน คือข้อห้ามต่างๆก็ไม่มี ขี่เกวียนแต่เสือกมุ่งนิพพาน อะไรๆเป็นอนัตตาหมด เขาบอกนี่น่ะหลุด (หัวเราะ) ดีไหม (หัวเราะ)

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 164 เดือนพฤศจิกายน 2537 หน้า 27-28)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2020
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0008_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0008_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0008_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0017_9.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0017_9.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0017_9.jpg"/></a>

    (จากธัมมวิโมกข์ กุมภาพันธ์ 2532 หน้า 127-128)

    หลวงพ่อไม่ได้ตั้งใจมาวัดท่าซุงตั้งแต่แรก


    ความจริงก็ไม่ได้มุ่งว่าจะมาสร้างวัดสร้างวานะ ความประสงค์จริงๆจะออกจากวัด
    บางนมโคแล้วเข้ากรุงทพฯไปตามเดิม แล้วจะเดินทางต่อเข้าป่าไปเลย มันเบื่อสังคม สังคมคนไม่เบื่อเท่าไร เบื่อสังคมพระ ไอ้สังคมพระนี่มันไม่ค่อยจะเอาไหน

    (มีโยมคนหนึ่งสงสัยหลวงพ่อเล่าเรื่องพระมาบิณฑบาตโปรดโยมที่จังหวัดสมุทรสาคร ถามว่ามาได้อย่างไร หลวงพ่อจึงตอบให้เข้าใจดังต่อไปนี้)

    คือนั่นท่านไม่ใช่พระปกตินะโยม คือเข้าใจว่าท่านจะมีตัวมีตนจริงๆหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลยแบบนั้นน่ะ อย่าลืมว่าเราอยู่ป่าหลังเมืองกาญจนบุรีออกไปใกล้เขตพม่าใช่ไหม แล้วการที่จะไปบิณทบาตจังหวัดสมุทรสาครเดี๋ยวเดียวมันไปไม่ได้หรอก เดินสมัยนั้นน่ะ เดินมันถึงหรือเปล่าหว่า (หัวเราะ) มันบุกป่าฝ่าดงออกไปได้รึ

    คือว่านั่นท่านมาสงเคราะห์ต่างหากล่ะว่าของจริงมันมี ท่านก็มาแสดงความจริงให้เราทราบว่า ของจริงในศาสนาน่ะมีแบบนี้ ใช่ไหมเล่า มาทีเเรกก็ทำเป็นพระแทงปลาไหล มีพระแทงปลาไหล จีวรเคียนหัว มีส้อมแทงปลาไหล ลากปลาไหลไปตั้งพวงเบ้อเร่อ ไอ้ปลาไหลที่ลากมาก็ดิ้นแด๊กๆๆ แล้วก็ส้อมไปแทงปลาไหลก็ไม่แทงละ ไอ้เชิงเขามันก็เป็นหิน เสือกแทงเข้าไปได้ส้อมน่ะ (หัวเราะ) ท่านทำให้เราดูนะ

    เราก็นอนคุยกันว่า ไอ้คนที่มันบ้าจริงมีทางรักษาหาย ถ้าไอ้คนแกล้งบ้ามันรักษาไม่หาย ถามมึงว่าใครว๊ะ ก็ว่าคนที่รับ ใครคนไหนรับมันก็บ้า หนักเข้าว่ายังไง ไอ้แทงปลาไหลแทงจริงๆ มันแทงไม่ได้หรอก นี่มันโกหก แทงไปยังไงบนหินน่ะ แทงไปบนหิน แทงเข้าไปได้ปลาไหลติดมาด้วยนะ แน่ ! เป็นยังงั้นด้วยนะ ไอ้ส้อมมันก็ไม่ใช่ขอ ส้อมมันแทงถูกมันต้องขุดตามใช่ไหม ไอ้ส้อมแทงเข้าไปดึงขึ้นมาปลาไหลติดขึ้นมา มันมีที่ไหนล่ะ ปลาไหลดิ้นแด๊กๆๆ

    คุยไปคุยมา บอกเลิกก็ได้วะ เหวี่ยงส้อมปัง เป็นกิ่งไม้ เหวี่ยงไอ้พวงปลาไหล เป็นรากไม้กับเถาวัลย์ ไอ้ที่เป็นพวงก็เถาวัลย์ ก็แสดงให้รู้ว่านี่น่ะเรื่องของอภิญญาเขามีจริง มันไม่ใช่เรื่องพูดกันเล่น ใช่ไหม

    จากนั้นมาท่านก็เอาจีวรห่ม ตอนนั้นคุยดีมาก โอ...เวลาสอนจริงๆ ท่านสอนง่ายมาก
    เลยโยม สอนเข้าใจง่าย ง่ายๆสั้นๆ ไม่ได้พูดเลอะเทอะอย่างพวกเราพูดกันหรอก เวลา
    นั้นพูดอะไร ก็พูดกันในแนวปฏิบัติอย่างเดียวเพราะมันอยู่ในป่า ก็ไม่ต้องใช้สำนวน ไอ้เรื่องสำนวนประเล้าประโลมกันไม่ต้องมีแล้ว เพราะอะไร เพราะคนมุ่งเอาจริงแล้ว ไอ้คนจะกินแกง ไม่ต้องอธิบายว่าแกงนี้ใส่อะไรบ้าง คือว่าเอาช้อนมาตัก หรือเอาตะเกียบมาคีบ เราก็กินได้ ใช่ไหม ถ้าไม่มีช้อนก็ยกถ้วยมาซด จะกินน้ำก็ว่ากันตามนั้นเลย พูดกันง่ายๆ เลยว่าเขากินแบบนี้ ของแห้งกินแบบนี้ ของมีน้ำกินแบบนี้ ก็หมดเรื่องหมดราวไปเท่านั้นเอง ก็สอนกันตรงไปตรงมา

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 173 สิงหาคม 2538 หน้า 8-9)

    พิจารณาเกิด-ดับ

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกอยู่ประเทศออสเตรเลีย แต่ก็มีโอกาสได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์เป็นประจำ ก็มีความสงสัยอยากจะใคร่เรียนถามข้ามทวีป มาดังต่อไปนี้

    ข้อที่ 1. การพิจารณาการเกิดดับนั้น เขาพิจารณากันแบบไหน ขอหลวงพ่อได้โปรดแนะนำด้วยเถิดเจ้าค่ะ ?

    หลวงพ่อ : เอ๊ะ นี่พูดไปเขาจะได้ยินหรือเปล่า นี่ฉันตอบไปนี้เขาคงไม่ได้ยินละมั้ง

    พิจารณาเกิดดับเหรอ พิจารณาแบบไหนดีล่ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราเกิดมาแล้วมันเหลือแต่เวลาดับ ให้ดูคนอื่น ดูคนอื่นดูสัตว์อื่นว่าเขาเกิดมาแล้วในที่สุดเขาก็ตาย เราก็มีสภาพเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดมาแล้วไม่ช้าก็ตายเหมือนกัน ดูแค่นี้ก็แล้วกัน ไปดูตามตำราดูไม่เห็นหรอก ต้องดูแบบนี้นะ เวลาปฏิบัติจริงเขาดูกันแบบนี้ ไม่ใช่ตามตำรา

    ผู้ถาม : ข้อที่ 2. วิธีพิจารณาร่างกายให้เห็นว่าเป็นที่น่ารังเกียจปฏิกูลนั้น จะต้องใช้ปัญญาและอารมณ์แบบไหนเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องใช้มาก สังเกตข้าว อาหารที่กิน เลือกแล้วเลือกอีกใช่ไหม พอเป็นกากไหลออกมาดูไม่ได้ แล้วเป็นขี้ นี่อยู่ในร่างกาย ฉะนั้นของในร่างกายทั้งหมด มันเต็มไปด้วยของสกปรก ไม่ใช่ของดี

    อย่างเลือดที่เราต้องการให้มีเลือดมากๆ ใช่ไหม แต่ว่าพอเลือดไหลออกมาแล้วเราก็รังเกียจเลือด ใช่ไหม แล้วก็สำหรับในปากน้ำลายมีอยู่เราอมได้ พอบ้วนมาเราแตะต้องไม่ได้ แสดงว่าข้างในร่างกายไม่มีอะไรดี มีแต่สกปรกอย่างเดียว เท่านั้นไม่ยาก

    ผู้ถาม : อ๋อ แค่นี้เอง แต่ฝรั่งนี่แปลกจริงๆ มันดูดกันได้นะ ไม่ปฏิกูลน่าเกลียด

    หลวงพ่อ : คนไทยเขาก็มีดูดนะ หนังสือพิมพ์ลงบ่อยๆ (หัวเราะ)

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 98 เดือนเมษายน 2532 หน้า 19-20)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2020
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2020
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Hd-Nature-Wallpapers-Wallpapers-For-Ipad-Pics-Cool-303.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Hd-Nature-Wallpapers-Wallpapers-For-Ipad-Pics-Cool-303.jpg" border="0" alt=" photo Hd-Nature-Wallpapers-Wallpapers-For-Ipad-Pics-Cool-303.jpg"/></a>
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2021
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2020
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ท้าวมหาชมพู เคยเป็นท้าวเวสสุวรรณ มาก่อน ปลุกเสกผ้ายันต์ฯ ท้าวมหาชมพูมาปิดท้าย

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0107_2.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0107_2.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0107_2.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0116_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0116_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0116_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0123_2.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0123_2.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0123_2.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0127_2.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0127_2.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0127_2.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0135_3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0135_3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0135_3.jpg"/></a>


    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 7 หน้า 432 - 436)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2021
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2020
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2020
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2020
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    บางส่วนจาก "สนทนาที่ชิคาโก" วันเสาร์ที่ 14 เมษายน 2527

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0031_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0031_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0031_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0035_8.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0035_8.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0035_8.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0040_9.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0040_9.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0040_9.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0041_7.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0041_7.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0041_7.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0050_5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0050_5.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0050_5.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0053_7.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0053_7.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0053_7.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0060_5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0060_5.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0060_5.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0065_10.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0065_10.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0065_10.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 382 - 389)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2020
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2016
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC_0012_11.jpg

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0020_4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0020_4.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0020_4.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0024_4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0024_4.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0024_4.jpg"/></a>

    DSC_0018_4.jpg

    DSC_0019_8.jpg

    DSC_0026_9.jpg

    DSC_0031_7.jpg

    DSC_0035_9.jpg

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 33 - 40)

    969301_10152048620320211_966521193_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2021
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อเล่าให้ฟังเรื่องสายน้ำมันในประเทศไทย

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0029_9.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0029_9.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0029_9.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0034_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0034_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0034_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0036_5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0036_5.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0036_5.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0040_10.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0040_10.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0040_10.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0045_5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0045_5.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0045_5.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0052_8.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0052_8.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0052_8.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0056_14.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0056_14.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0056_14.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0057_3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0057_3.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0057_3.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 10 หน้า 49 - 56)




    วัยเบญจเพศ

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกชะตาไม่ดีเสียแล้วเพราะขณะนี้ลูกเข้าวัยเบญจเพศ ไม่รู้อะไรๆมันเข้ามาประดังประเดไปหมด เดี๋ยวไอ้นี่มีอันจะตกเสียเงิน ทำให้สุขภาพร่างกายไม่ดี ลูกเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว ก็รู้สึกว่าเบาลงไปครึ่งหนึ่ง ก็อยากจะให้เบญจเพศนี่หายขาด ขอบารมีหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ลูกสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : เอางี้ซิ ถือขันติ สันโดษ มีอะไรอยู่แล้วพอใจในของที่มีอยู่ อย่าดิ้นรนเกินไป ความจริงเบญจเพศนี่มันไม่มีความสำคัญตรงไหน

    ผู้ถาม : เบญจเพศเกี่ยวกับชะตาราศี

    หลวงพ่อ : มันไม่เกี่ยว ทุกคนนี่เลยเบญจเพศมาตั้งเยอะแยะแล้ว ฉันก็เบญจเพศมาก่อน

    ผู้ถาม : ตกลงเรื่องเบญจเพศนี่ไม่ต้องห่วงอะไรเลยหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ไม่มีอะไร ไม่ถือเป็นเคราะห์ร้ายหรอก ถือกันไปเอง เป็นเรื่องของ "หมอจ๋า"


    เป็นโรคเจ็บหัวใจ


    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อเดือนที่แล้วปรากฏว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งป่วยแบบประเภทที่เรียกว่าประหลาด คือไปหาหมอโรงพยาบาลไม่บอกอาการ เอ็กซเรย์ก็แล้ว ตรวจก็แล้วปรากฏว่าไม่มีโรคอะไรเลย แต่จริงๆแล้วเด็กเจ็บที่หัวใจเป็นอย่างมาก

    ก่อนที่เด็กจะเจ็บนี้ปรากฏว่ามีผู้ชาย 2 คนแต่งตัวมีเครื่องประดับมาไล่จับด็กผู้หญิงคนนี้ บอกให้ใส่เครื่องประดับซะจะได้กลับไปที่เดิม แต่ว่าไม่ยอมอยากกลับอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป

    2 เทวดาโมโหมากบอกว่า แล้วค่อยดูกันว่าใครจะแน่กว่ากัน ก็ปรากฎว่าตั้งแต่นั้นมาเด็กก็เลยเจ็บป่วยรักษาไม่หายแก้ไม่ตก

    หลวงพ่อขอรับ มีทางเมตตาที่จะแนะนำแก้ไขได้บ้างหรือไม่ขอรับ ?

    หลวงพ่อ : ไม่ยากหรอก

    ผู้ถาม : วัดนี้ไม่เคยมีอะไรยากเลยนะ

    หลวงพ่อ : ก็สบายไม่มีปัญหา (หัวเราะ) วัดก็ไม่ยาก เท่าที่พูดมานี่น่ะมองเห็นนก มองเห็นไก่ มองเห็นปลา ให้ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยไก่ ไม่จำกัดตัวนะ อย่างละตัวก็ได้ใช้ได้

    แล้วก็บอกว่าขออยู่ต่อจนกว่าจะครบอายุขัย นั่นแหละเขาเป็นเจ้าของเก่า


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 116 เดือนตุลาคม 2533 หน้า 16-17)



    สนทนาเรื่อง น้ำมันชาตรี

    (เมื่อวันศุกร์ที่ 26 กรกฏาคม 2534)

    หมอจรูญ ซึ่งเป็นหมอประจำอาตมาเอง หมอประจำอาตมาน่ะมี 7 คน แต่หมอจรูญนี่ขาบวมมาก งอขาไม่เข้า แกรับหมากไป 2 คำ พอไปถึงบ้านตอนดึกตีหนึ่งกว่าๆ ก็ปรากฏว่าเจ็บมาก แกก็ตั้งใจจะเอาหมากมาละลาย กับ น้ำมันหลวงพ่อปาน ทา

    แต่ในที่สุดตัดสินใจว่ากินดีกว่า เลยกินหมากเข้าไปคำหนึ่ง ไปห่อหนึ่ง ไว้ห่อ ห่อเล็กๆนะ พอกินหมากเข้าไปสักครู่เดียว ปรากฏว่างอขาได้ พอเช้าขาที่บวมหายหมด แต่เจ็บภายในนิดหน่อย รุ่งขึ้นเช้ากินอีกเม็ดหนึ่ง หายเลย

    กลับมาหาอาตมางอขาได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเร็วๆนี้ วันนี้มาหรือเปล่าไม่ทราบ ญาติโยมนครราชสีมา มาบอกให้ทราบ บอกว่าติดยา คำว่าติดยานี่ไม่ใช่ติดยาฝิ่น หมายความว่าต้องกินยาทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ได้กิน วันนั้นไม่สบาย แกบอกว่าไม่รู้จะทำอย่างไร

    อาตมาทำใหม่ๆ พระพุทธเจ้าให้ทำ ก็บอกว่าลองเอาหมากไปกินก็แล้วกัน แกก็เอาไปสองคำ เอาไปกินแล้วปรากฎมันดีขึ้น อาการดีขึ้นมาก ไม่ต้องกินยาเดิม

    เป็นว่าเอาหมากคราวนี้จะเหมาหมด เผอิญหมากเรามีน้อย เลยเอาไปร้อยคำ ร้อยคำนี่หมื่นบาทนะ หมากนี่คำละร้อยนะโยมนะ แพงหน่อยนะ แพงไหม ถ้าแพงก็ขึ้นเป็นสองร้อย หากใครหาว่าถูกก็ลดไปห้าสิบบาท

    แล้วก็สำหรับ น้ำมันชาตรี นี่ยังไม่มีใครทำกัน ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อปาน ก็ทำเฉพาะ อาจารย์ศรีโภคา อาจารย์ศรีโภคาท่านทำไว้ อาตมาก็ไปขโมยมาหน่อย สมัยนั้นเป็นพระรุ่น พระพรรษาเดียวนะ ขโมยมาหน่อยหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่ค่อยสบายกินเข้าไปแล้วมันหาย

    สำหรับน้ำมันชาตรีนี่ทำยาก ในชีวิตอาตมานี่ ตั้งแต่เกิดมาตั้งแต่เด็กๆ นอกจากเห็นที่
    อาจารย์โภคาทำแล้ว ก็ไม่เคยเห็นใครทำกัน ก็คิดว่าทำอย่างไรจะทำน้ำมันชาตรีได้ ก็ว่าดี

    เมื่อเที่ยวที่แล้ว เดือนที่แล้ว ไปค้างที่จังหวัดปทุมธานี จะไปกรุงเทพฯ ตอนเช้ามืด หลวงพ่อปานท่านมา ท่านบอกว่าให้ขอพรสมเด็จองค์ปฐมว่า ทำหมากก็ดี ทำน้ำมันก็ดี ให้เป็น น้ำมันชาตรี ด้วย น้ำมันชาตรี นี่ ญาดิโยมที่รู้นะ ก็เงียบๆไว้นะที่รู้เรื่อง ที่ไม่รู้เรื่องก็ขอบอกว่า น้ำมันชาตรี นี่ รักษาโรคทุกอย่าง

    คือว่าเมื่อคืนวานนี้ถามท่าน บอกว่าโรคเอดส์รักษาหายไหม ท่านบอกเรื่องเล็ก รักษาหาย หายจริงๆนะ ใครเป็นเอดส์บ้าง อาจารย์หง่า น่ากลัวเป็นเอดส์แล้ว หัวเราะก้ากเลย แล้วถามว่ามะเร็งล่ะขอรับ บอกมะเร็งเรื่องเล็ก เป็นเรื่องเล็ก แล้วก็โรคอื่นๆก็หาย

    ให้ทาก็ได้ ใช้กินก็ได้ ควรทาก็หา ควรกินก็กิน

    ถ้ากินนี่ต้องกินไม่น้อยกว่าหนึ่งช้อนกาแฟในหนึ่งวันนะ หนึ่งวันแค่หนึ่งช้อนกาแฟ

    ถ้าได้ไปแล้วหนึ่งขวด ขวดหนึ่งเขาจำหน่ายร้อยบาท ญาติโยมไม่ต้องกลับมาเอาใหม่
    ไปถึงแล้วก็เอาน้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าวก็ได้ มาแล้วมากๆ แล้วก็เติมลงไป เติมกี่ร้อยครั้งก็ตาม คุณสมบัติจะไม่เสื่อม จะมีคุณสมบัติเท่าเดิม ไม่ต้องเสียสตางค์บ่อย นี่ที่ทำคราวนี้ก็ทำไม่มาก ทำเพียงแค่สี่แสนขวด

    ทำไมล่ะ อาจารย์หง่า นี่หัวน้ำมันนะญาติโยม ทำไปแล้วก็อย่าลืมว่าไปซื้อน้ำมันงามาให้มากๆ แล้วก็เติมลงไป ถ้าใช้พอจวนจะหมดก็เทน้ำมันออกจากที่ เอาใส่ภาชนะอื่น เอาน้ำมันใหม่มาใส่ในที่เดิม แล้วเอาน้ำมันนั่นเดิมลงไป

    อย่าเติมทับน้ำมันนะ ต้องเอาน้ำมันนี่ทับน้ำมันใหม่ อย่างนี้เติมเท่าไหร่ก็ไม่เสื่อม ใช้ได้ผลทุกอย่าง

    ทีนี้ท่านแนะนำบอกว่า การรักษาโรคจะกินก็ดี จะทาก็ดี ให้สังเกตว่าท่านเป็นโรคอะไรก็ตาม ถ้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกร้อน จะรู้สึกว่าน้ำมันนี่รักษาโรคนั้นไม่หาย ถ้ากินหรือทา ถ้ารู้สึกว่าเย็นหรือธรรมดาๆ รักษาโรคนั้นหายแน่ ให้เป็นที่สังเกตตามนี้นะ จะมีหนังสืออธิบายไว้สำหรับหมากก็รักษาโรคเหมือนกันตานี้ เป็นบางคน

    ท่านบอกว่า ถ้าญาติโยมทุกคนต้องการให้เป็นมงคลประจำตัว มงคลประจำตัวนะหมายความว่าจะไม่มีอัปมงคล นั่นคือ ตอนเช้าขึ้นมาเอาไม้ก้านรูปก็ได้ หรือไม้ขีดก็ได้ จิ้มลงไปนิดเดียว ก่อนจะจิ้มลงไปก็ว่า นะโม ตัสสะฯ เสียก่อน นึกถึงพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด เขามีคำอธิบายอยู่แล้ว แล้วก็ปลุกด้วย อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด อย่างนี้เขามีหนังสือแจก

    จะกินก็ตาม จะทาก็ตาม ก่อนจะแตะศีรษะว่าอย่างนี้ก่อน แล้วก็แตะที่ศีรษะ เพียงทำอย่างนี้ทุกวัน จะเป็นมงคลแก่ท่านทุกคน

    แล้วก็ถ้ามียวดยานพาหนะ ต้องการให้รถของท่านเรือของท่าน ยวดยานพาหนะต่างๆ ปลอดภัย ก็เอาไปเจิมที่รถของท่านหรือพาหนะของท่าน ทีนี้ยวดยานพาหนะของท่านจะปลอดภัย

    น้ำมันนี่ทำได้ยาก ขออนุญาติพระพุทธเจ้าท่านทำ ถ้าท่านไม่ช่วยนี่ทำไม่ได้นะ ท่านบอกว่าของทำได้ยาก จะทำบ่อยๆนี่ไม่ได้ เมื่อวานซืนก็ถามว่าในชีวิตผมนี่จะทำได้สักกี่ครั้ง ท่านบอกทำครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ หรืออย่างเก่งก็จะได้เป็นครั้งที่สอง

    และท่านบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทถ้าได้ไปแล้วอย่าปล่อยให้หมดนะ ไม่จำเป็นต้องมาเสียสตางค์ใหม่ กลับไปถึงบ้านไม่ต้องกลัวจาง แต่ถ้ากลัวจางก็เติมไปสักครึ่งขวด เอาเก็บไว้ครึ่งขวด จะมีผลเสมอกัน

    เป็นอันว่าวันนี้เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ถ้าญาติโยมอยู่พร้อมก็มาร่วมพิธีกรรมได้ เวลาที่มาร่วมพิธีกรรม เวลาเขาปลุกพระ อาตมาปลุก ก็นึกว่า ขอให้พุทธานุภาพไปในตัวข้าพเจ้าด้วยนะ ก็การปลุกน้ำมันคราวนี้ การปลุกหมากคราวนี้ก็ตาม ขอข้าพเจ้ารับด้วย ตั้งใจภาวนาพุทโธ อย่างนี้จะมีผลแก่ท่าน

    แล้วก็สำหรับ น้ำมันชาตรีนี่ ไม่มีการประกาศเพราะว่า นึก มันใช้เวลากระชั้นมากเกินไป เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง กลับมา ไปขอท่านอนุญาติ ที่ ซอยสายลม กลับมาก็หาซื้อน้ำมัน เผอิญชื้อน้ำมันมาได้ มาได้ไม่มาก ได้แค่ห้าร้อยปีบ ใส่ขวดได้ประมาณ สี่แสนขวดนิดหน่อย ใครจะเอามากไม่ได้นะ เอาไปคนละร้อยขวดได้ (หัวเราะ) ทำไมล่ะ มากกว่านั้นไม่มีให้นะ


    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 12 หน้า 502-504)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2021
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อเล่าเรื่องทองคำในเขตภาคใต้

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0069_4.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0069_4.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0069_4.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0075_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0075_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0075_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0079_7.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0079_7.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0079_7.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0085_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0085_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0085_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0088_5.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0088_5.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0088_5.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0092_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0092_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0092_6.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0100_1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0100_1.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0100_1.jpg"/></a>

    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Doc2015/DSC_0102_6.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Doc2015/DSC_0102_6.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0102_6.jpg"/></a>

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่ม 10 หน้า 57-64)


    ปราบไวรัสของคนโบราณ


    คำว่า "สุนัขป่วย" หมายความว่าอาตมานี่มีสุนัขอยู่มาก ความจริงมัน 2 ตัวพ่อแม่ แต่ว่าในที่สุดมันก็กลายเป็นหลายสิบตัว แค่ 2 ตัวพ่อกับแม่เท่านั้นทั้งลูกทั้งหลานมากมาย

    เจ้าสุนัขนี่ก็เหมือนลูก ถ้ามันออกใหม่ๆ ไอ้เจ้าแม่ก็ต้องพามา เวลาออกใหม่ๆ ลูกยังเดินไม่ค่อยได้ เวลากลับมาจากรับแขก เจ้าแม่ก็ไปคอยดักหน้าประตู พอเข้าประตูบริเวณกุฏิมันก็เดินนำหน้าพาไปหาลูก ไอ้เจ้าลูกก็มานอนบนตัก ตัวเล็กๆ ตักก็นอนหลายตัว ถ้าหลายแม่ แต่ละแม่ก็มาคอย ออกจากแม่นี้ แม่นั้นก็พาไปห้องของตัว มันเป็นอย่างนี้ สุนัขคล้ายลูกก็มีความรักในมัน มันมีความซื่อสัตย์สุจริตดี แต่เจ้าสุนัขพวกนี้มันตายไปหลายตัว อาการที่เป็นก็คือว่า วิ่งเล่นอยู่ดีๆมีแรงมาก พออาการไข้จับปั๊บมันจะหมดแรงทันที และก็ลุกไม่ขึ้น ท้องอืด ถ่ายไม่ออกในที่สุดก็ตาย รักษาไม่หาย

    ก็พอดีหมอจรูญ หมอมนตรี หมอชนะ อะไรก็ตาม แล้วก็มีท่านสัตวแพทย์ท่านหนึ่งจาก
    กรุงเทพฯ ไม่รู้ชื่อท่าน แก้ชีวิตหมาไว้มากหลายตัว กำลังจะแย่ หมอพวกนี้ไปถึง
    ให้การเยียวยารักษาหาย ความดีของท่านลืมไม่ได้ เป็นความดีสูงสุด

    เมื่อพูดถึงหมาหรือสุนัข อาการของสุนัขเป็นอย่างนั้น ตอนที่ไปป่วยที่ชิคาโกก็มีความรู้สึกว่าอาการที่เป็นอย่างนี้เหมือนสุนัขจริงๆ ทั้งๆที่มีแรงอยู่ เป็นปุ๊บปั๊บก็ล้มฉับพลัน ก็คิดในใจก่อนที่จะหลับว่า อาการอย่างนี้อาจจะมาจากเชื้อของสุนัขที่เป็นไข้ก็ได้ ซึ่งหมอมนตรีเคยเตือนไว้กับจำปีว่า ไอ้ไวรัสที่มันเป็นกับสุนัขอาจจะระบาดมาติดหลวงพ่อได้ ควรจะเอาสุนัขไปอยู่ข้างนอก แต่อย่างไรก็ทำไม่ได้ เพราะไปอยู่ที่ไหนสุนัขมันก็
    ล้อม ถ้าวันไหนแกไม่ได้เห็นรู้สึกว่าแกไม่สบายใจ วันไหนไปเลี้ยงอาหารถ้าไม่ไปด้วยสุนัขแกก็เหงา

    ก็รวมความว่าสุนัขก็เหมือนลูก ยังไงๆ ก็แยกกันไม่ได้ แต่ก่อนจะภาวนาจะหลับก็คิดว่า ไอ้เชื้อของสุนัขที่สุนัขมันป่วย ไอ้คำว่า "ไวรัส" เขาแปลเป็นภาษาไทยว่าอย่างไรไม่ทราบ เขารัสก็รัสกับเขาด้วย คำว่า "ไวรัส" เขาไม่ได้แปลไว้ ที่ไหนก็รัสๆ อาตมาจะวินิจฉัยศัพท์ก็ต้องถือว่า มันรัดไวๆ นั่นหมายความว่ามันรัดปั้บก็ล้มปุ๊บ ขยับตัวไม่ได้ รัดเสียแน่นแล้วก็ไม่ยอมปล่อย คราวนี้อาจจะเป็นเพราะไวรัสประเภทนั้น

    เมื่อจิตตวัดถึงไวรัสก่อนจิตก็เคลิ้มลง ภาวนาก็เคลิ้มลงก็หมดความรู้สึก ก็น่าจะเป็นหลับ หลับหรือไม่หลับก็ช่าง ฝันแล้ว ขณะที่หลับลงไปก็มีความรู้สึกว่าเห็นพระท่านมา พระท่านมาอยู่ข้างหน้า

    ท่านก็ถามว่า "สงสัยเรื่องอาการโรค ใช่ไหม"

    ก็กราบเรียนท่านบอกว่า "ใช่" ฝันนะญาติโยมทั้งหลาย อย่าลืมว่านี่เรื่องฝัน ท่านก็บอกว่า "เธอสงสัยเรื่องไวรัส ใช่ไหม" ก็ตอบท่านว่า "ใช่"

    ท่านบอกว่า "คำว่า ไวรัส หรือ เชื้อโรคประเภทนี้มันมาทางอากาศ และก็โรคที่เธอเป็นนี้ก็เป็นความจริง มันก็เป็นเชื้อที่มาจับกับสุนัข หรือจับกับหมา ทำให้หมาป่วย แต่ว่าไม่ใช่หมาส่งโรคให้กับเธอ แต่ว่าการที่จะป่วยไข้ได้เจ็บ ก็ต้องเป็นเรื่องกฎของกรรมมาจากเศษของปาณาติบาต ฉะนั้นโรคชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้นไม่ควรจะโทษสุนัข เธอจะมีสุนัขอยู่ใกล้หรือไม่มีสุนัขอยู่ใกล้ เธอก็ต้องป่วย เจ้าโรคประเภทนี้ไม่ใช่ออกมาจากสุนัข ไม่ได้เกิดจากสุนัข มันอยู่ในอากาศ"

    ท่านก็ชี้ให้ดูในบริเวณกุฏิ แหงนหน้าขึ้นไปใกล้เพดาน ในอากาศมีไวรัสเต็มหมด มันเต็มขนาดที่เรียกว่ายัดกันแน่นเอียดหาช่องว่างไม่ได้ ท่านบอกภาพของไวรัสมันมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันเยอะ มีหลายพวกไม่เหมือนกัน จำได้ 3-4 พวก

    คือพวกหนึ่ง ตัวยาวๆ คล้ายไส้เดือนแต่ไม่ยาวมาก ยาวนิดหน่อย ลักษณะการยาวกลม

    ลักษณะที่ 2 ลักษณะกลม กลมบ่องกลมเหมือนกระสุน

    ลักษณะที่ 3 เป็นตัวเหลี่ยม แต่ก็ไม่ใช่สี่เหลี่ยม มันเป็นเหลี่ยมเหมือนข้าวหลามตัดแบนๆ เหมือนข้าวหลามตัด

    ลักษณะที่ 4 เท่าที่จำได้ หัวโตๆและก็เรียวไปนิดหน่อย ไม่ยาว จากตอนกลางก็ไปเป็นเกลียว

    ท่านบอกว่า "ลักษณะที่เธอเป็นคราวนี้ อาการของไข้จากไวรัสตัวเกลียวมันร้ายแรงมาก"

    ก็ถามท่านว่า "ถ้าไวรัสมีลักษณะอย่างนี้ การสูดเข้าไปทางลมหายใจ ทางหลอดคอก็ดี ทางปากก็ดี ทางจมูกก็ดี เข้าไปแล้วมันจะทำอะไร ก็เหมือนกับละอองฝนที่ไปปะจุดใดจุดหนึ่ง"

    ท่านบอกว่า "ไม่ใช่อย่างนั้น มันจะเข้าไปเกาะกินเม็ดเลือด และตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้ประสาททรุดโทรม (เล่นประสาท) ประสาทจะหมดกำลัง และการเข้าไปมันมาก"

    ก็ขอดูการเข้าไปว่ามันอยู่ที่ไหนมาก มันอยู่มากมายเหลือเกิน ก็เลยถามท่านว่า "แค่เข้าไปแตะอย่างนี้จะมีโทษอย่างไร มันไม่มีกำลัง"

    ท่านก็บอกว่า "เท่าที่เห็นนี้มันป็นเพียงเปลือกนอกของมันเท่านั้น จริงๆแล้วเฉพาะไวรัสที่มันกินเธอ มันเข้าไปทำลายเธอเวลานี้ รูปร่างลักษณะของมันเป็นอย่างก็เห็นเป็นตัวมีหัวเหมือนกับ ฮอ. (เฮลิคอปเตอร์) และมีขายาว มีก้าม และมีเขี้ยว แล้วก็มีหางยาวๆหน่อยๆ ท่าทางเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ท่านบอก "ลักษณะของมันจริงๆเป็นอย่างนี้"

    แล้วก็ถามท่านว่า "การทำลายและป้องกันจะทำอย่างไร"

    ท่านบอกว่า "วิธีป้องกันก็ดี ทำลายก็ดี วิธีของโบราณนี่ดีที่สุด"

    ก็กราบเรียนถามท่านว่า "วิธีโบราณเขาทำอย่างไร"

    ท่านก็บอกว่า คนที่มีความยากจนเขามีความยากจนและก็อยู่ไกล ไม่ใช่ไกลความเจริญ ไกลแบ็งค์ ไกลเงินเหรียญ ไกลธนบัตร เขาอยู่ไกลธนบัตร ไกลเงินเหรียญ ที่บ้านหาธนบัตรไม่ได้ หาเงินใช้ไม่ได้ก็แล้วกัน เมื่อหาเงินใช้ไม่ได้ทำอย่างไร เวลาจะนอนมุ้งก็ไม่มีจะกาง ยุงก็กินลูกกินตัว เจ้าสุนัขที่เลี้ยงไว้มันช่วยเป็นยามรักษาบ้าน มันก็ไม่มีมุ้งจะนอน เจ้าของก็สงสาร เจ้าวัวและควายเป็นพาหนะที่เลี้ยงชีพ (มันเลี้ยงคน) วัวและควายนี่มันมีชีวิตนี่ อยู่เพื่อการเลี้ยงคนจริงๆ มันก็ไม่มีมุ้ง มันหนาว หามุ้งไม่ได้ เจ้าของทำอย่างไร ตัวเองก็ลำบาก ยุงกัด สุนัขก็ยุงกัด เจ้าวัวหรือควายเป็นพาหนะใหญ่ก็ยุงกัด

    ในที่สุดก็ต้องสุมไฟให้เป็นควัน ไฟที่เป็นควันรมเข้ามาในบ้าน รมเข้าไปในคอกควาย ไล่ยุง ควันหนาจริงๆ ยุงทนไม่ไหวยุงก็หนีไป อาการอย่างนี้ท่านบอกว่า "คนที่เขา
    มีความร่ำรวย ที่ถึงความเจริญแล้วมันเป็นภัย ควันอาจจะเป็นเหตุให้เกิดโรคทางปอด
    เช่น วัณโรค หรือมะเร็งได้

    แต่คุณค่าของควันมีประโยชน์ใหญ่มาก นั่นคือทั้งป้องกันและทำลายไวรัส"

    ก็นึกในใจว่า มันเป็นความจริงอย่างไร

    ท่านบอกว่า "ควันเข้าไปถึงไหน ทางไหนถ้าควันหนา ไวรัสที่นั่นตายหมด อยู่ในช่วงนั้นตายหมด ถ้าลอยเข้ามาใหม่ก็ตายอีก ควันมันจะดึงดูดแบคทีเรียที่อยู่ในวงใกล้
    ไม่ไกลนักเข้ามาเผาผลาญล้มตายหมด แต่ว่าถ้าไฟที่เป็นเปลวนี่จะเป็นช่องว่างทำลาย
    ไวรัสได้ดีมาก"

    ท่านก็บอกต่อไปอีกว่า "อย่าเอาไฟไปจุดบ้านนะ เพียงแค่สุมไฟให้เป็นเปลว ไวรัสจะลงมาตายมากแล้วดึงไวรัสใกล้ๆ อากาศจะเกิดช่องว่าง หรือว่าอากาศว่างไม่หนาแน่นไปด้วย ตัวไวรัสยัดเยียดกัน ความว่างเกิดขึ้นอากาศก็มีความเคลื่อนไหวนั่นคือลม พอลมมาแล้วก็ดึงเอาไวรัสต่างๆที่ไหลอยู่ไม่ไกลเกินไปนักมาลงในกองไฟ ไวรัสก็ตายหมด แต่จะให้หมดโลกนั้นหมดไม่ได้ หมดในช่วงนั้น

    ต่อมาเมื่อเปลวไฟหมด เจ้าของก็เอาของเปียกๆชุ่มๆมาโปะทับเข้า ควันก็เกิด ตอนนี้ก็ทำลายไวรัสอีกตอนหนึ่ง

    ก็รวมความว่า ท่านบอกว่า "วิธีของโบราณ และก็อยู่ไกล ไม่ใช่ไกลความเจริญ
    แต่ไกลแบ็งค์ ไกลธนบัตร ไกลเงิน ไกลทอง เขาไม่มีความรู้ในการทำลายไวรัส ไม่รู้
    จักคำว่าไวรัสคืออะไร"

    แต่ความจริงไม่ใช่แต่คนโบราณนะ อาตมาเองก็โบราณ 70 ปีเศษ ไม่ไกลนัก
    ก็ยังไม่รู้จักไวรัสเลย รูปร่างจริงๆ เป็นอย่างไรเพิ่งเห็นตอนพระท่านให้ฝัน พระท่านชี้ให้ก็เห็นมันเต็มไปหมด

    ในที่สุดเมื่อทราบวิธีป้องกันและทำลาย ตามความรู้สึกในความฝันในคราวนั้น ท่านบอกว่า "หมอมาแล้ว เตรียมเครื่องสวนปัสสาวะมาด้วย มากับพยาบาล เธอตื่นสักที
    ลืมตาได้ หมอมาแล้ว"

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 77 เดือนกรกฏาคม 2530 หน้า 15-18)

    หลวงพ่อแนะวิธีรมควัน

    พระแก่นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เลยลืมห่วงใยคนอื่น เวลานั้นร่างกายรู้สึกมันดีขึ้น อาการปวดต่างๆก็คลายตัว เมื่อคุณหมอลากลับไปแล้ว ก็บอกกับพรนุช คืนคงดี ว่าให้ลองสุมไฟในห้องนี้

    พระท่านแนะนำไว้ ใช้ถาดใส่น้ำรอง เอาเตาถ่านมาตั้งบนถาดที่มีน้ำ แล้วก็เอาถ่านใส่ แล้วก็เอากาบมะพร้าวใส่ให้เป็นควัน ท่านสั่งให้ปิดประตูหน้าต่างให้หมด ปล่อยควันให้อบอยู่ประะมาณสัก 1 ชั่วโมง แล้วก็เปิดหน้าต่างประตูดับไฟเสีย แล้วก็เอาเตาไปเก็บที่อื่น เปิดพัดลมให้ควันกระจายออก

    อย่างนี้ท่านบอกเชื้อโรคภายในจะสลายตัว

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 77 เดือนกรกฏาคม 2530 หน้า 19)

    บุคคลผู้ประพฤติถูกแต่อมกิเลส

    นิโครธะปริพาชกทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ตรัสถึงบุคคลผู้ประพฤติเพื่อ
    การละกิเลสไว้มากมาย อยากจะทราบว่า จะทำอย่างไรให้การปฏิบัตินั้นเข้าถึงความ
    บริสุทธิ์ผ่องใส ครบถ้วนบริบูรณ์

    1. พระพุทธเจ้าตรัสว่า "นิโครธะ ผู้มีการประพฤติปฏิบัติ เพื่อการตัดกิเลสทำถูก ทำตรงตามวิถีทางการละการตัดกิเลส แต่จิตใจยึดมั่น ถือมั่น ดีใจ คิดว่าการปฏิบัติเพียงเท่านี้ดีแล้ว จบแล้ว ไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบ ก็เป็นอุปกิเลส คือจิตเข้าไปกอดความชั่วของผู้นั้น"

    2. คนที่ปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรงนั้นยึดมั่น ถือมั่น ในปฏิปทานั้น ยกตนข่มผู้อื่นว่า "ฉันดีกว่าเธอนะ" อย่างนี้ก็มีกิเลสท่วมหัว

    3. ผู้ปฏิบัติถูก ผลเกิดจากการปฏิบัติพอสมควร เมื่อมีคนสรรเสริญ ก็ติดในคำสรรเสริญ เขาให้ลาภก็ติดในลาภ อย่างนี้ก็เป็นผู้เข้าไปกอดความสกปรกของกิเลสไว้

    4. ผู้ปฏิบัติถูก ผลของการปฏิบัติมีพอควร เมาในผลของการปฏิบัตินั้น คิดว่า
    เท่านี้พอแล้ว ก็เป็นอันว่าตกอยู่ในหลุมอุจจาระ คืออุปกิเลส

    5. ผู้ปฏิบัติถูก ได้ลาภ ได้รับคำสรรเสริญ ติดในลาภและสรรเสริญ เลยเอาความมีลาภและมีคนสรรเสริญข่มขู่ ยกตนข่มผู้อื่น โดยคิดว่าพวกเธอมีลาภไม่เท่าฉัน
    ฉันรวยกว่า ฉันมีคนเคารพมากกว่านะ อย่างนี้ท่านก็ถือว่า มีความสกปรก คือกิเลส
    เลยหัว เช่นเดียวกันเหมือน กปิลภิกขุ และสุนัขปากเปราะ

    6. ผู้ปฏิบัติถูก มีผลปฏิบัติพอสมควร มีคนเคารพนับถือมาก เขานำลาภสักการะ
    มาถวายมากมาย ลืมสติลืมตัว เลือกรับของอะไรที่ตนชอบ ก็บอกว่าอย่างนี้ใช้ได้ ที่
    ไม่ชอบก็บอกว่า อย่างนี้ผิดวินัย พระพุทธเจ้าห้ามรับ ไม่หวังเจริญศรัทธาตามปกติ
    ท่านก็ตรัสว่า มีอุปกิเลสมาก คือความเลวเหลือล้น

    7. ผู้ปฏิบัติถูก แต่เมาในโภชนะ คือ อาหาร ติดว่าอาหารประเทนี้ควร อาหาร
    ประเภทนี้ไม่ควร เลือกเฉพาะที่ชอบใจ เพราะติดในรสอาหาร ท่านกล่าวว่า ยังสะสม
    ความชั่ว ถืออุปกิเลสไว้มาก

    8. ผู้ปฏิบัติถูก เมื่อได้รับความเคารพนับถือจากพระมหากษัตริย์ หรือข้าราชการ
    ชั้นผู้ใหญ่ เป็นตัน ลืมตัวหลงคิดว่าตนมีศักดิ์รีสูงส่งกว่าคนที่มีพระมหากษัตริย์ เป็นตัน
    ไม่ได้เข้าไปแสดงความเคารพสักการะ ท่านก็ว่าผู้นั้นเป็นผู้สะสมอารมณ์ชั่ว ถืออุปกิเลส

    9. ผู้ปฏิบัติถูก ริษยาผู้อื่นว่า กินไม่เลือก รับไม่เลือก เพราะท่านเหล่านั้นมีคนเคารพ และได้ลาภสักการะ ก็เกิดอารมณ์ริษยา ท่านว่า เขาเป็นผู้สะสมความชั่ว คืออุปกิเลสไว้มาก

    10. ผู้ปฏิบัติถูก มีผลบ้างเบื้องต้นเห็นท่านอื่นที่ปฏิบัติมีผลดีกว่า มีคนเคารพ
    มาก ก็หาทางโพนทนาด่าว่าเปรียบเปรย (นินทา) ให้เกิดความเสื่อมเสีย หรือเสียหาย
    ท่านว่า คนเช่นนี้เป็นผู้จอมสะสมความชั่ว คือมีอุปกิเลสมาก

    11. พระองค์ตรัสว่า ผู้ปฏิบัติพื่อละกิเลส นั่งสมาธิ จริยาแสดงว่า ท่านี้ฉันทำสมาธินะ หรือแต่งกายเป็นการแสดงออกให้เข้าใจชัดว่า ฉันเป็นนักปฏิบัติเพื่อตัดกิเลสนะ (ข้อนี้ผู้เขียนคิดว่า ท่านที่นิยมสวมลูกประคำจะเข้าข่ายนี้หรือไม่..) ท่านว่า การแสดงตนอย่างนี้เป็นการโชว์เพื่ออวด ท่านว่ามีอุปกิเลสมาก

    12. และบางพวกชอบอวดว่า "ฉันนิยมปฏิบัติอย่างนี้นะ...." บ้าง บางพวกปกปิดจริยาชั่ว ทำตัวเรียบร้อย ด้วยมรรยาท และบางพวกมักโกรธ ผูกโกรธ คือ อาฆาต บางพวกชอบลบหลู่ ตีเสมอ ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด ขับไล่ มีจริยากระด้าง ถือตัวจัด มีความปรารถนาลามก มีอารมณ์เห็นผิด คัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นตัน ท่านกล่าวว่า เป็นผู้สะสมกิเลส คือความชั่วไว้สูงเลยหัว

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 74 เดือนเมษายน 2530 หน้า 143-144)

    ทรายเสกทำน้ำมนต์

    ผู้ถาม : ลูกไม่สบายใจเลยเจ้าค่ะ เวลาเอาข้าวสารเสก ทรายเสกของหลวงพ่อไปใช้ จะเอาไปโปรยไปหว่านที่บ้านก็กลัวจะเหยียบย่ำ

    ลูกมีความคิดใหม่ เอาทรายกับข้าวสารผสมน้ำ เอาน้ำไปพรมเหมะๆตามพื้นบ้าน เมื่อทำไปแล้วก็มาคิดว่า จะมีผลเหมือนเอาทรายไปหว่านหรือไม่เจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : ถ้าทำด้วยจิตเคารพ ได้ผล ถือเป็นน้ำมนต์จากทรายและข้าวสาร ทรายก็ดีข้าวสารก็ดี เขาเสกด้วย นะโมพุทธายะ ใช้ได้เลยนะ

    (อาจจะมีคนสงสัยว่าทรายเสกเขาใช้ทำอะไร ให้ป้องกันผีร้ายและสัตว์ร้ายไม่ให้เข้า
    มาในบ้านได้ยังไงนะ)

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 เดือนมีนาคม 2538 หน้า 75)


    แหวนเพชรรักษาโรค

    ผู้ถาม : ลูกซื้อแหวนเพชรจากวัดไป บังเอิญคนที่บ้านไม่สบาย ลูกก็เอาแหวนเพชรแช่น้ำ แล้วก็อาราธนาบารมีหลวงพ่อช่วย ปรากฏว่าโรคต่างๆหายอย่างปลิดทิ้ง

    ต่อมาลูกเห็นคนข้างเคียงเขาจะออกลูกอยากจะเรียนถามว่า ถ้าเอาแหวนเพชรไปแตะที่ท้องแล้วลูกจะออกง่ายหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : คือ ท่านแก้ทุกอย่าง พระพุทธเจ้าท่านทำทุกอย่าง ฉันไม่ได้ทำเอง

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 74 เดือนเมษายน 2530 หน้า 18)


    ลูกกรอกแมว

    หมากับแมวนี่มันจะไม่ถูกกัน ท่านมีลูกกรอกแมวนะ แมวท่านออกลูกกรอก ท่านก็เอาไปใส่ตู้ไว้เลี้ยง รู้ว่ามันเป็นยังไง ตัวนี้เป็นลาภอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่คนสมัยใหม่เกินไป ไม่ใช่ลูกกรอกคนนะ แมว ท่านก็พูดกับมันรู้เรื่อง เรื่องแมวนี่นะ ทีเรกเราไม่รู้เรื่อง เรานึกว่าท่านวิชชาสาม

    ทีนี้ก็ หลวงพ่อมากรุงเทพฯมานี่น่ะ กลับไปอยู่นู่นก็โยมอาด ไปถึงโยมอาด หลวงพ่อก็บอก โยมอาด แมวกินข้าวดีไหมล่ะ ไม่ค่อยดีค่ะ ข้ารู้แล้วละแกให้ปลาน้อย เขามาฟ้องว่าแกให้ปลาเขาน้อยนี่ มันจะฟ้อง

    แล้วมีแมวอยู่ตัวชื่อไอ้นิล ไอ้นี่มันเคยเป็นยักษ์มาก่อน แมวที่อื่นมันกัดตายหมดเลย โอ้ หมาที่เก่งๆนะ เวลาเจอไอ้นิลก็วิ่งปรี๊ด ไปถึงไอ้นิลนี่มันเบรกๆ (หัวเราะ) หมากลัวแมว ไอ้นิลมันเก่ง

    เวลาทำกุฏิหลวงพ่อนี่ เรียกมันมาหานะ เพราะมันกัดเขาเรื่อยนี่ พระก็จะตีมันน่ะสิ พอหน้ากุฏิหลวงพ่อ เรียกนิล มาพันแข้งพันขา ถ้าห่างกุฏิหลวงพ่อ ไม่มีทางเรียกได้ แมวตัวนี้ยักษ์มาเกิด เป็นยักษ์มาก่อนหรือไงนี่ กัดแมวตายหมด ตัวมันใหญ่ ตอนหลังไปโดนที่อื่นเขากัดตายหรือไงนี่

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 174 เดือนกันยายน 2538 หน้า 82)

    มาอยู่กับหลวงพ่อใหม่ๆ

    สมัยก่อนมาอยู่กับท่านพรรษาแรกๆนี่ ไอ้เราก็อยู่วัดบ้านนอกมาใช่ไหม เช้าก็เอน เพลก็นอน ตอนนั้นไม่มีทีวี บ่ายก็พักผ่อน เย็นก็ทำวัตรนิดหน่อย ก็นอนอีก พออ่านประวัติหลวงปู่ปานเราก็ โอ้โห ตื่นเต้นอยากจะมา มาจริงๆที่นี่เขาให้ทำงานนี่ ไอ้เราก็เคยนอน
    มา

    แหม...อีตอนบ่ายมันง่วง เราก็ศิษย์ใหม่ด้วย มาใหม่ ไอ้จะนอนก็เกรงใจเขา จะนอนเดี๋ยวเขาจะหาว่ามาใหม่แล้ว เขาทำงานกัน ดันไปนอน จะโดนไล่กลับเสียอีก อู๊ย กวาดน้ำหินขัดนี่นะ มันง่วงจริงๆ เอ้านอนไม่ได้ ต้องทำกับเขาไป สัก 7 วันมันก็คืน ก็ไม่ง่วงก็อยู่ได้

    ทีนี้หลวงพ่อก็บอก เออ พวกทำงานนี่นะ หลวงพ่อไม่มีอะไรเลี้ยงนะ ให้เบี้ยเลี้ยงวันละ 5 บาท (หัวเราะ) ไปซื้อกาแฟกินกันนะ ไปซื้อโอวัลตินกิน ข้าไม่มีกาแฟอะไรเลี้ยงพระ ใครทำงานก็ให้ 5 บาท ถวายทีหนึ่ง 10 บาท 20 บาทอะไรอย่างนี้ ไอ้เราก็ไปซื้อนมมา ซื้อโอวัลตินมา ของใครของมัน ซื้อไว้

    "อ้าว แล้วกัน"

    มีเบี้ยเลี้ยงแล้วนี่ มีเบี้ยเลี้ยงคนละ 5 บาท ทุกองค์นะ ใครทำงานมี 5 บาท

    "อ๋อ 5 บาทใช่ไหม"

    ซื้อนมมา 2 กระป้อง 3 กระป๋อง มันทำงานเหมือนกรรมกรนี่แหละ

    "พระนะ"

    คือภาวนาตอนนั้นพระมันสนใจน้อยเหมือนกัน คือตอนเย็นก็นั่งกรรมฐาน เช้าก็บิณฑบาต บิณฑบาตฉันแล้วก็ทำงาน มีจอบมีอะไรก็ทำ คุณโยมด๊อกเตอร์ปริญญายังไปช่วยเลย โยมดำรงน่ะไปช่วยท่าน อยู่ด้วยกันนี่นะ

    ไอ้เราก็เอ้อ บอกหลวงพ่อครับ ผมยังไงผมก็ต้องทนอยู่จนได้ครับ ตอนนั้นมันกล้าๆกลัวเหมือนกัน เออดี ศรัทธาเท้

    "ท่านชมเลยเหรอ ปลื้มใจไหมครับ"

    ปลื้มไม่เท่าไรหรอก กลัวท่าน พอกลางคืนก็นั่งอย่างนี้น่ะ เราทำไม่ดีท่านก็เอาอีกล่ะ แต่ท่านไม่ได้ผูกอะไรนะ ด่าแล้วก็ด่าไป เราทีนี้ก็ ท่านไม่ว่าแต่เรากลัวท่านน่ะสิ กลัว ทีนี้ไม่ต้องเห็นกันแล้ว เห็นหลวงพ่อมามุมนู้นเราหลบมุมนี้ (หัวเราะ) ไม่ใช่หลวงพ่อเจ้าขาเจ้าเขอ ไปหาอย่างนี้ไม่ได้ พอเห็นมานู่น เราหลบมุมนี้แล้ว มันกลัวเสียจริงๆเลย กลัวจนพูดกันไม่รู้เรื่องน่ะ พูดไม่รู้เรื่องเลย

    "แล้วเวลาหลวงพ่อเรียกเข้าไปหาสั่งงานสั่งการ จะทำยังไงครับ พูดกันไม่รู้เรื่อง"

    หลวงพี่โอนี่อยู่ด้วยกัน ท่านก็รู้ว่าเราไม่รู้เรื่องนี่ ท่านจะสั่งคนนี้แล้วสั่งคนนี้อีก งานชิ้นเดียวกันน่ะสั่งสามสี่คน รู้แล้วมันไม่ค่อยรู้เรื่อง มันกลัวเสียจนลาน เขาเรียกว่ามันลานไง กลัวจนลาน

    "หูอื้อไปหมด"

    ท่านมีวิธีสอนคน สอนแบบ...อย่างคนไม่สนิทนี่จะสอนอย่างนี้ก็ไม่ได้

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 174 เดือนกันยายน 2538 หน้า 81-82)



    เมื่อวันที่ 4 กพ ที่ผ่านมานี้ ตรงกับวันสาร์ห้า ขึ้น 5 ค่ำ ทางวัดมีพืธีพุทธาภิเษกมีธงสามเหลี่ยม สำหรับกันเพลี้ยกระโดดในนาด้วย


    ตัดสักกายทิฏฐิ

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ เมื่อปีที่แล้ว น้องชายของกระผมขอร้องให้กระผมตัดสักกายทิฏฐิของเขา กระผมก็ทำท่าอยากจะตัดอยู่ ก็ไม่รู้วิธีจะตัดแบบไหนประการใด จึงมากราบเรียนขอคำแนะนำจากหลวงพ่อ ช่วยตัดให้หน่อยเถิดขอรับ

    หลวงพ่อ : ไปหาเจ๊กขายหมูซิ มีดคมดี

    ผู้ถาม : อื้อ ตัดต้องใช้มีดหมูหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ใช่ ตัดสักกายทิฏฐิ ต้องตัดร่างกายยังไงล่ะ กร๊วบทีเดียวขาดเลย

    สักกายทิฏฐิ ถ้าตัดขาดก็เป็นพระอรหันต์ จำให้ดีนะ คือว่าสักกายทิฏฐิเขาตัด 3 ชั้น

    อย่างพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ใช้ปัญญาเล็กน้อย สมาธิเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ แค่มีความรู้สึกว่าร่างกายจะต้องตาย

    ถ้าอนาคามีเห็นร่างกายสกปรกโสโครก มีความเบื่อหน่ายเกิดนิพพิทาญาณ

    ถ้าอรหันต์เห็นว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

    มี 3 ชั้น ไปเทศน์แบบนั้นชาวบ้านก็ไม่ต้องทำกันละ ต่างคนต่างท้อ อย่างเด็กจะแบกน้ำทั้งปีบไม่ไหว มันต้องใช้กระป๋องเล็กๆ ใช่ไหม พอกับแรงเด็ก

    ผู้ถาม : ถ้างั้นคนที่มีบุญน้อย ก็ใช้มินิสังฆทานไปก่อน

    หลวงพ่อ: มันเป็นยังไงนะ

    ผู้ถาม : อย่างชุดละ 100 เขาเรียก มินิสังฆทานครับ

    หลวงพ่อ : อ๋อ ยังงั้นเหรอ

    ผู้ถาม : ตกลงว่า ถ้าระดับโสดาบันก็..

    หลวงพ่อ : มีความรู้สึกว่า ร่างกายจะต้องตาย นึกว่ามันตายแน่ จะตายเมื่อไรก็ช่างเถอะ

    ผู้ถาม : เอ๊ะ พระโสดาบัน จะว่าตัดก็ไม่ตัดนี่ครับ

    หลวงพ่อ : ตัดมันไม่หนัก แต่ยกมันจึงหนัก ท่านบอกแล้วว่าพระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ นิดเดียวไม่ได้ใช้มาก

    พระโสดาบันก็เหมือนกับชาวบ้านธรรมดาแต่อยู่ในขอบเขตของศีล 5 และกรรมบถ
    10 เท่านั้นเอง

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 98 เดือนเมษายน 2532 หน้า 18-19)

    ถูกกระทำไสยศาสตร์

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง วันนี้ขอสักครั้งเถอะ ขอพึ่งบารมีหลวงพ่อ คือว่าลูกเป็นครูสอนหนังสือ ถูกกระทำไสยศาสตร์ทุกรูปแบบที่เขากระทำมา เป็นเหตุให้ครอบครัวเดือดร้อนเหลือเกิน แก้หลายแห่งไม่หาย กันหลายที่ก็ไม่อยู่ วันนี้จึงบากหน้ามาพึ่งเพื่อผ่อนคลาย ถ้าหลวงพ่อไม่ช่วยคราวนี้ลูกคงม้วยแน่เจ้าข้า

    หลวงพ่อ : เขาไม่ได้เขียนยังงั้นละมั้ง

    ผู้ถาม : ต่อให้อีกหน่อย

    หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ฉันก็แก้ไม่เป็น

    เวลาบูชาพระก็ภาวนาว่า "สัมปติฉามิ" สัก 7 ครั้ง แค่นี้กันได้เลย

    ผู้ถาม : ติ หรือ จิต ครับ

    หลวงพ่อ: ติ ก็ได้ ติต ก็ได้

    ผู้ถาม : มันมี 2 คำ นะครับ จิตก็มี

    หลวงพ่อ : อ๋อ จิตนั้นย้อนกลับ

    "สัมปติตฉามิ" หรือ "สัมปติฉามิ" นี่กัน กันทุกอย่าง (รวมกันโรคระบาดด้วย)

    ถ้า "สัมปจิตฉามิ" ถ้าเขาทำมากลับไปหาเขาเอง


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 98 เดือนเมษายน 2532 หน้า 24-25)


    นักปราชญ์รุ่นใหม่

    อันนี้ล่ะคุณ อ่านหนังสือพวกนักปราชญ์รุ่นใหม่นี่ความรู้มันมากไป คือความรู้มากไป
    เพราะอะไร เพราะว่าเวลาบางทีแกก็บวช แกก็บวชแต่ตัวเท่านั้นแหละ ถ้าไปถามแกดูว่า ไอ้นิวรณ์ 5 เวลาแกบวชน่ะ แกชนะหรือเปล่า

    นี่เนกขัมมะเบื้องต้นมันอยู่ที่นิวรณ์ 5 ความหมายของคำว่าถือบวช

    พระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงเรียกคนที่บวชเข้ามาแต่ยังไม่ได้พระโสดาบันว่าพระ เรียก
    ว่า สมมุติสงฆ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบังเอิญไปศึกษามากเข้าด้วย ในช่วงการศึกษานี่บางทีจิตลืมคิดว่าเบ็นพระ มุ่งจะเอานักธรรมชั้นนั้น อยากจะได้เปรียญชั้นนี้ อารมณ์พลาดไปเลย อย่างอาจารย์คุณนี่ชุดเดียวกัน ชุดเดียวกับหลวงพ่อนะ (หัวเราะ)

    "ท่านบอกว่าท่านยังไม่ไปนิพพานนะ"

    คนนั้นเขาว่ายังไง เขาบอกว่าต่อมาเขาสงสัยใช่ไหม...พรรษาที่เท่าไหร่ ที่ไปฝึกให้เขาเห็นเทวดาได้ มันก็เลยมั่นตั้งแต่ตอนนั้น อันนี้พอเรียนไปๆ มันชักเลอะเหมือนกัน คือชักเฝือ เฝือไปดูหนังสือมากไป จิตก้าวมากไปในด้านปริยัติ ถ้าขาดปฏิบัติ จิตก็ชักจะเลอะเลือนก็ตีกัน ดีไม่ดีไปอ่านอรรถกถาจารย์บ้าง ฎีกาจารย์บ้าง เกจิอาจารย์บ้าง อะไรพวกนี้ ก็เลยชักยุ่งซิ ปลิ้นออกนอกลู่นะ

    อย่าง ตติยสามนต์ นี่ ผมแปลๆไปว่าไอ้นี่เอาแค่สอบไล่ได้เท่านั้นอีเล่มนี้ ถามทำไม บอกผิดหมด...แก้เอาหลักฐานเดิมไม่ได้เลย

    อธิบายออกมาเอาเรื่องอะไรไม่ได้เลย ถ้าเราฟัง ถ้าเราไม่จำต้นเราก็ได้ ถ้าจำต้นมาเลยถึงปลาย แกจะค้านกัน คือธรรมะพระพุทธเจ้าไม่มีการค้าน เลยบอกว่าหนังสือเล่มนี้เอาแปลแค่สอบได้ และก็ไม่ต้องการจะจำ แม้จะจำได้บ้าง ก็ไม่จำไปเทศน์ ขืนเทศน์เราก็ลงนรกล่ะซิ

    "หลวงพ่อครับ ถ้ายังงั้นพวกที่ศึกษาทางด้านพระปริยัติ ถ้าศึกษาดีก็อาจจะพอคุ้มตัวไป"

    ใช่...

    "ถ้าพลาดก็อกุศลจิตเข้าเต็มที่"

    ก็ไม่แน่นะ ศึกษาดีว่าจะช่วยคุ้มตัวนะ มันคุ้มหรือไม่คุ้ม พระน่ะมีอะไร มันมีข้อหนึ่งที่เราพูดย้ำกับพระวัดเราอยู่เสมอ อาหาเรปฏิกูลสัญญา นะ ไอ้ตัวนี้มันลงนรกกันแหงๆทุกองค์ ถ้าฉันอาหารไม่พิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญาก่อน ตกนรกแน่นอน เสร็จ..

    ศึกษาไปแค่ไหนก็เสร็จ อย่างศึกษาไปมาก อารมณ์เลอะมาก ทะนงตัวมากว่าฉันนี่เรียนสูง ฉันนี่ได้เปรียญได้ปริญญา เป็นหมาแล้ว เป็นด๊อก ด๊อกเตอร์ไง คำว่าด๊อก ภาษาอังกฤษเขาแปลว่าหมาใช่ไหม ไม่ใช่คนเล้ว เสร็จ...

    "ตัดรสใช่ไหมครับหลวงพ่อ เมื่อพิจารณาแล้ว"

    คือรสไมได้ตัด แต่ว่าไม่ติดรส ของเขาตัดไม่ได้ แต่มันไม่ติด กินเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปให้ทรงอยู่เท่านั้น กินเพื่อทำความดี มันต้องการเปรี้ยวก็กินเปรี้ยว ต้องการเค็มก็กินเค็ม กินเท่าที่มันจะหาได้ ถ้าบังเอิญมันไม่มีในที่นั้นแล้ว ให้คนวิ่งไปหาที่อื่นน่ะมันใช้ไม่ได้แล้ว ใช้ไหม

    เราจะกินมันเท่าที่เขาประเคนมา กินมันไป กินเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่อทรงอยู่เพื่อความดี เป็นการตัดกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหาเรปฏิกูลสัญญานี่ ถ้าพิจารณาทุกวันนะ ไม่ช้าเป็นพระอรหันต์ เพราะพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา มันเข้าไปถึง กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐาน

    เพราะพระอริยะทุกองค์ถ้าไม่ผ่าน กายคตานุสสติ เป็นอรหันต์ไม่ได้ นี่จุดใหญ่ที่สุด ถ้าไม่มี กายคตานุสสติอยู่ ส้กกายทิฏฐิ มันก็อยู่ไม่ได้

    "ครับ"

    ท่านยันเลยว่าพระทุกองค์ต้องผ่านกายคตานุสสติ ถ้าองค์ไหนไม่ผ่านกายคตานุสสติ จะเป็นพระอริยะเบื้องสูงไม่ได้ ตั้งแต่อนาคามีนี่เป็นไม่ได้ เสร็จ...

    ทีนี้อาหาเรปฏิกูลสัญญามีอะไร อาหารมาจากพื้นฐานแห่งความสกปรก สัตว์ทุกตัวสกปรกหมด พืชทุกอย่างนะ มีอาหารที่จะเลี้ยงมันขึ้นมา ไอ้ปุ๋ยทุกอย่างสกปรกหมด ใช่ไหม... และที่อยู่ของมันก็สกปรก กินเข้าไปแล้ว ไอ้ร่างกายเราก็สร้างมาด้วยความสกปรก แล้วร่างกายสะอาดไหม หันเข้าไปดูในท้องบ้าง กินเข้าไปแล้วขี้ออกมาก็ไม่อยากมอง ใช่ไหม...

    ทีนี้อาหารที่จะกินก็เลือกแล้วเลือกอีก แต่ว่าถ่ายออกมาก็ไม่อยากมอง แสดงว่ามันก็มีสภาพสกปรก ในเมื่อร่างกายมันถูกสร้างขึ้นมาด้วยของสกปรก แล้วร่างกายมันจะสกปรกหรือสะอาด ฮึ... เห็นไหม..อันนี้แหละตัวอนาคามี ตัวตัดกามฉันทะ

    ตัวต้นของ อาหารเรปฏิกูลสัญญา กับ กายคตานุสสติ เป็นตัวตัดกามฉันทะ

    ในเมื่อเห็นว่าสภาวะมันสกปรกแล้วก็ดูต่อไปว่า มันทรงตัวไหม มันมีการทรงตัวหรือมันเสื่อมไปทุกวัน ในที่สุดก็จะเห็นว่ามันไม่มีการทรงตัว และไม่ช้ามันก็ตายไปในที่สุด หา
    สาระไม่ได้ เพราะฉะนั้นร่างกายนี้จึงชื่อว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม..อันนี้เป็นวิปัสสนาญาณเสร็จ ขยับ 2 ที่ถึงอรหันต์เลย

    แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ถ้าพระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ก่อนจะฉันอาหาร
    ไม่พิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญาก่อน ให้กินก้อนเหล็กเผาแดงโชนแล้วดีกว่า ใส่ปาก ปากพัง ถึงอก อกพัง ถึงท้อง ท้องพัง ตาย เพราะกินเข้าไปแล้วมันร้อน ร้อนมันก็ตาย พอตายแล้วมันก็หายร้อน

    แต่ว่าการไม่พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาก่อนจะกิน ตายแล้วมันลงนรก มันร้อนมากว่านั้นมาก เพราะไอ้นั่นมันร้อนเดี๋ยวเดียว แต่ถ้าลงนรกมันร้อนนานกว่านั้นมาก

    นี่เราจะเห็นว่าการไม่ละเมิดพระวินัย แต่ขาดธรรมข้อนี้ข้อเดียวลงนรก เสร็จ..ไม่บวชดีกว่า

    ตอนที่เราบวชเราเปล่งวาจาว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา" ซึ่งแปลว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

    แล้วที่นี้ก็มานั่งเบ่งละซิ แกได้นักธรรมชั้นไหนล่ะ แค่ฉันไหม..ฉันได้ชั้นเอกนะ แกได้แค่ชั้นโทชั้นตรี สู้ฉันไม่ได้ นี่มานะมาแล้ว ลงนรก แกเป็นเปรียญชั้นไหน ?
    ฉันเป็นเปรียญชั้นไหนล่ะ แกเปรียญ 8 นี่ ฉันเปรียญ 9 นะ ฉันโตกว่าแก ลงนรกอีตอนนี้

    สนใจกันหรือเปล่าว่า ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา พระที่บวชเข้ามาแล้วมีกฏข้อบังคับอยู่ 3 อย่าง คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา นี่คือกฏบังคับตายตัว

    1. ต้องมีศีลบริสุทธิ์
    2. ต้องมีฌานสมาบัติ
    3. ต้องมีปัญญา ยอมรับนับถือกฏของความเป็นจริง หรือเรียกว่าวิปัสนาญาณ

    นี่เป็นตัวบังคับเลยนะ ไม่ใช่ตัวหลอกๆ

    ไม่ใชบวชตามประเพณี ใช่ไหม...

    ในระหว่างที่เรียนหนังสือจะเอาชั้นนั้นชั้นนี้ ได้พิจารณาหรือเปล่า ได้เคยถามเขา เขาบอกไม่มีเวลา ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็เชิญลงนรกไปตามสบายก่อน ฉันไม่ไปกับแกหรอก

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 159 เดือนพฤษภาคม 2537 หน้า 21-23)


    3 จบ 9 จบ ต่างกันอย่างไร


    คุณพุฒิชัยถามว่า "หลวงพ่อครับ เวลาที่ภาวนาคาถาเงินล้าน ที่หลวงพ่อบอกว่า
    ให้บูชา 9 จบ ทีนี้ผมอยากทราบว่า มันแตกต่างกับบูชา 3 จบอย่างไรครับ ?"

    หลวงพ่อตอบว่ายังไง หลวงพ่อตอบว่า

    "ก็มันเหนื่อยไม่เท่ากัน"

    เท่านี้แหละคุณกาหลงและพรรคพวกหัวเราะกิ๊ก บอกคุณพุฒิชัยว่าไม่น่าถามเลย ปัญหาอย่างนี้ก็ถามด้วย

    หลวงพ่อก็โปรดเมตตาตอบให้ใหม่ว่า

    "ที่ให้ภาวนา 9 จบ ในช่วงนั้นขณะภาวนา จิตจะไม่ทรงตัวเสมอกัน ถ้าก่อนถึง 9 จบจุดใดจุดหนึ่ง อาจจะถึงฌานก่อน"

    เท่านี้แหละคุณพุฒิชัยร้อง อ๋อ ผมต้องการแค่นั้นแหละครับ ไม่เฉพาะแต่คุณพุฒิชัยเท่านั้น ข้าพเจ้าเองก็เพิ่งเข้าใจเหมือนกัน จึงนับเป็นคำถามที่ดี


    (จาก ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 7 ฉบับที่ 63 หน้า 118)

    เรื่อง หลวงพ่อไม่แก้คนเลว

    (มีโยมมาปรารภกับหลวงพ่อว่า ลูกชายชอบเล่นการพนัน จะให้หลวงพ่อช่วยแนะนำ
    แก้ไขให้หน่อยว่าจะทำวิธีใด หลวงพ่อได้ตอบดังต่อไปนี้)

    นี่จะไปแก้เพื่ออะไร คนมันเลวให้มันเลวไป คนเกิดมาทุกชาติจะรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว แต่ทำไมไม่ทำความดี เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยสนใจ เดี๋ยวนี้ไม่เอาละ ก็รู้แล้วไอ้คนถ้า
    มันจะเลวถึงจะแก้ยังไก็ไม่ได้ คือไอ้ความดีน่ะเขาพูดให้ฟังทุกวันๆ มันก็ไม่ฟัง ฟังแล้วบางทีก็คัดค้าน มันจะลงนรกก็ให้มันลงไป ถ้ามันเต็มใจลงจะไปเสือกขัดคอมันทำไม ใช่ไหม

    ก็ตัวของมันเองมันยังชอบใจลง แล้วเราไปเสือกขัดคอ เดี๋ยวมันก็ตีเอาตายโหง เมื่อ
    ก่อนนี้ฉันยังห่วง เดี๋ยวนี้ฉันไม่ห่วงหรอก ถือว่าเป็นความพอใจของคนนั้น ความดีความชั่วต่างคนต่างรู้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ จะมาแก้ตัวว่าไม่รู้ไม่ได้ละ เขาพูดให้ฟังมาตั้งแต่เกิด ใช่ไหม ถ้าไปยุ่งกับเขา เสียเวลาด้วย แล้วมันก็ไม่มีผลด้วย มันเป็นแบบนั้นก็ยุให้มันเล่น อยากฉิบหายให้มันเล่นไปเลย ใช่ไหม ไม่มีจะเล่น หมดเรื่องหมดราว

    (โยมถามทำนองว่า เป็นกฎของกรรม ใช่ไหม)

    ใช่ นั่นก็เศษเล็กแล้วนะ เศษใหญ่คือถูกปลัน ถูกจี้ ถูกขโมยของ ไฟไหม้บ้าน น้ำท่วม
    ให้บ้านพัง ลมพัดให้บ้านพัง นั่นเป็นเศษใหญ่ นี่เป็นเศษเล็ก

    แต่ว่าดีไม่ดีมันไร่นาหมดเหมือนกันนะ ใช่ไหม นี่อย่างไอ้ใครที่อำเภอสรรค์ มันจูงควายเข้าไห ปลัดฉ่องเคยเล่าให้ฟัง จูงควายเข้าไห ตีไป ไอ้พ่อก็ถาม มึงจะไล่ไปไหน
    เอาเข้าไหครับ มันจะเข้าไปได้ยังไงนี่วะ ไอ้ห่-ตัวมันใหญ่กว่า ไหม้นเล็ก แกบอกว่า ไอ้ทีเงินตั้งปึกๆ ตั้งปั้นใหญ่ๆ หลายๆพันบาท พ่อทำไมอาใส่กล้องยาฝิ่นได้ล่ะ รูเล็กนิดเดียว มันจะไล่ควายเข้าไห พ่อเลิกนะ พ่อเลยรู้สึกตัว เลิกฝิ่น

    แต่เลิกยาฝิ่นสมัยนั้นเป็นของไม่ยาก กินใบกระท่อมแทนได้ ใบกระท่อมนี่แทนกันได้
    นะ ทีนี้ใบกระท่อม ต้นกระท่อมมันมี ไม่ต้องซื้อ ก็ไม่เป็นไร

    ไอ้คนประเภทนี้น่ะมันเป็นกรรม เราก็ไม่น่าจะบ่น เป็นเรื่องของเขา คือว่าไม่น่าจะบ่น มันเป็นเรื่องของเขาเอง เราบ่นเท่าไร เราว่าเท่าไรมันก็ไม่เกิดประโยชน์ เสียเวลาเรา
    แล้วก็เสียเวลาเขา แล้วถ้าไม่หมดกรรมเพียงใด มันก็ไม่รู้สึกตัว ถ้ากรรมที่เป็นอกุศลหมดไป มันก็รู้สึกตัว นี่เป็นอย่างนี้

    ไอ้ฆราวาสเลวไม่เป็นไร ไอ้พระเลวนี่สิยิ่งหนักใหญ่เลย แล้วเอาความเลวไปหลอกโยม แล้วโยมเสียสตางค์เป็นแถวเลย แล้วพวกนี้ท่าทางเขาดีนะ ไอ้พวกลักษณะเลวนี่
    ท่าทางดี มันไม่นั่งอย่างหลวงพ่อหรอก มันไม่สุภาพ เขาต้องแต่งตัวเรียบร้อย ค่อยๆ
    พูด เดินเรียบร้อย แสดงเป็นนักปราชญ์

    เอ้อ..เมื่อคืนนี้เมียพันเอกชวาลย์มา ถามผม ผมจำชื่อไม่ได้ว่าพระองค์หนึ่งอยู่ที่เชิง
    เขาดอยสุเทพ คนนี้มีวาทะดีมาก คนเข้าไปนี่เลื่อมใส แล้วก็สามารถดึงให้พวกนักศึกษาเข้าใจถูก คือพูดให้เข้าใจถูก นี่เขามาหลายคน เยอะ ญาติโยมขึ้นมาก

    ฉันไปเห็น เออ..พันเอกชวาลย์บอกว่า จะยุหลวงพ่อไปสร้างศาลาสักหลัง เป็นที่รับเขก
    อีตอนนั้นเขาบอกผม ผมก็นึกเอ..ยัง บอกยังก่อน ถามทำไม บอกยังไม่พร้อมทำงานของเรายังมีอยู่ แต่ความจริงผมไม่ไว้ใจ (หัวเราะ) ใช่ไหม

    ไอ้ความเป็นหนุ่มหรือไม่เป็นหนุ่มนี่ ไม่สำคัญ สำคัญอารมณ์ คือเราไม่ไว้ใจอารมณ์
    ของท่าน ผลที่สุดเมียพันเอกชวาลย์มา พันเอกชวาลย์เป็นนายพลแล้ว เขาบอกว่า ตายแล้วหลวงพ่อ เรียบร้อยแล้ว พวกอีหนูเริ่มกิน บอกเอ็งเอาไปกินเหรอ พวกควายเขา
    อ่อนขวิดไปแล้ว สบงเสบิงหลุดหมดแล้ว

    แต่ว่าเนื้อเรื่องสำคัญอีตอนนี้ละ เป็นพระแล้วทำไมจึงสึก คือพระพุทธเจ้าบอก บรรพชาเป็นของหนัก ถ้าหมดบุญแล้วมันก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ใช่ไหม ไอ้นี่เราไม่ได้ตำหนิ ไม่
    ได้ตำหนิว่าทำไมจึงสึก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพราะว่าถ้าหมดบุญจริงๆนี่ มันอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าบวชพระ ใครๆก็บวชได้ บวชน่ะใครๆก็บวชได้ แต่อยู่นานนี่ไม่ได้หรอก

    แต่ก่อนนี้มีพระที่ฉันชอบใจอยู่องค์หนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไปชอบพอรู้จักกันมาก คือ เจ้า
    คุณประสิทธิ์ เป็นเจ้าคุณวัดเลียบ ท่านบวชมาอายุ 40 เศษๆ เป็นเจ้าคุณ สึก พอสึก
    แล้วไปเช่าห้องแถวอยู่หน้าวัดประยูรวงศ์ ขายของ ข้าวของอะไรต่างๆเต็มร้าน ให้หลานชายหลานสาวขายของ แล้วตัวท่านก็มากุฏิผมนี่ เช้าก็มานอนกุฏิผม แล้วเย็นแกไม่กลับ ดีไม่ดีแกก็ค้างคืนเอา บางทีค้างสองสามวัน หน้าวัดกับในวัดเท่านั้นเองนะ บางทีสองสามวันก็ไปดูหลานซักที หลานมีอะไรปรึกษาไหม ก็สั่ง ถ้าไม่มีอะไรปรึกษาก็มาหาฉันที่นั่น

    ฉันเห็นแกก็ไม่สนใจกับอะไรทั้งหมด แกก็รักษาศีล 8 ถามว่าเจ้าคุณแต่งงานหรือ
    ยัง บอกผมไม่ได้สึกมาแต่งงาน อายุ 40 นี่ แล้วมีฐานะอย่างนี้ ก็พอแต่งงานได้นี่ แกบอกผมไม่ได้ตั้งใจสึกมาแต่งงาน ก็ถามว่าเมื่อสึก เอาเงินจากไหนมาสึก แกบอกสมบัติเดิมมี เงินพระแกไม่เอาเลย ไม่แตะต้องเลยเงินพระ ก็แม่มีนา 200 ไร่ ก็มันน่าจะรวยแล้วใช่ไหม ทรัพย์สินเดิมเขามี แล้วแกบวชตั้งเท่าไร 20 ปีนี่ เงินมันไม่ได้ไปไหน ถามว่าตั้งร้านค้าได้ เงินจากไหน บอกกินสมบัติเดิม

    เลยถามอารมณ์ว่า เมื่อจะสึก ทำไมจึงสึก แกก็บอกว่า ตามปกติพระนี่ตอนเย็นไม่
    หิวข้าว แล้วก็พอใจในการทำวัตรสวดมนต์ ต้องทำสมาธิด้วย สังเกตตอนหิวข้าว เห็นเด็กกิน แหม.อยากกินข้าว นี่น่ะหมดบุญ แกเห็นท่าไม่เป็นเรื่อง ขาดทุน สึกดีกว่า ไอ้สึกไมได้สึกไปแต่งงาน ใช่ไหม แต่ว่าสึกแล้วท่านก็รักษาศีล 8 ก็ไม่กินข้าวเย็นอีก ถามว่าเป็นยังไง บอกไม่เป็นไร แค่ศีล 8 ไม่เป็นไร ถ้าถามถึง 227 บอก ไม่ได้ แต่เขาก็เหมือนเป็นพระนี่แหละ ใช่ไหม ศีล 8 ก็เหมือนเป็นพระ

    นี่ไอ้การที่พระจะสึกออกไปในลักษณะนี้มี คือถ้าหมดบุญอยู่ไม่ได้แน่ แต่ว่าบางคน
    ก็ฝืนบุญเหมือนกันนะ ศีลไม่เหลือเลย แต่ทำท่าเรียบร้อย โยม เสร็จด้วยประการทั้งปวง
    น่าเลื่อมใส น่าบูชา ไป...พูดดีไพเราะ ท่าทางเคร่งครัด แต่ไอ้ตัวระยำๆน่ะมันเคร่ง คุณ
    อ้าว...หลอกเขานี่ไอ้หนู ต้องทำท่าสงบเสงี่ยม ไม่งั้นเดี่ยวเขาไม่ให้สตางค์ ใช่ไหม ไอ้หนู

    (พอพูดเรื่องพระไม่มีศีลบริสุทธิ์ ก็มีคนถามว่า ถ้าอย่างนี้เราทำบุญกับพระประเภทนี้
    จะได้บุญไหม หลวงพ่อก็ตอบให้ทราบดังต่อไปนี้)

    เดี๋ยวก่อน เอ็งฟังก่อน การทำบุญ ถ้าจะทำบุญให้ได้ผลดีมาก ต้องมีเจตนา 3 กาล

    1. ก่อนจะให้ ตั้งใจ เมื่อเวลาให้ก็เต็มใจให้ ให้แล้วก็จิตเลื่อมใส นี่อย่างหนึ่งนะ
    2. ผู้ให้บริสุทธิ์ แล้วก็ผู้รับบริสุทธิ์
    3. วัตถุทานบริสุทธิ์ อานิสงส์ถึงจะมาก

    ถ้าเป็นอย่างนั้นน่ะ บาทหนึ่งได้ครึ่งสตางค์ก็บุญแล้ว (หลวงพ่อหมายถึงพระที่ศีลไม่บริ
    สุทธิ์ แต่ทำท่าสงบเรียบร้อยหลอกลวงญาติโยม ดังที่ท่านกล่าวมาแล้ว) ไม่ใช่ได้กำไรมานะ ได้ทุนคืนมาครึ่งสตางค์น่ะบุญแล้ว

    (โยมถามว่า ถ้าเราไม่รู้ล่ะ หลวงพ่อตอบว่า)

    ก็ใช่ ก็ไม่รู้ก็เอาเท่านั้นก็พอแล้วนี่ รู้หรือไม่รู้ก็ตาม โยมเอาธนบัตรโยนไปในกองไฟ
    ถามว่ามันจะไหม้ไหม เงียบ ไม่เหลือหรอก ก็ไปช่วยโจรปล้นพระศาสนา ปล้นความดีของชาวบ้าน

    แต่ก็มีความจำเป็นต้องใคร่ครวญเหมือนกันนะ


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 164 เดือนพฤศจิกายน 2537 หน้า 28-30)

    พระประจำวัน


    ผู้ถาม : พระประจำวันเกิดต่างๆ มีคนเขาบอกว่า ถ้าบูชาไม่ตรงกับวันเกิดแล้ว จะทำให้ความเจริญรุ่งเรืองช้า แต่ถ้าได้พระประจำวันที่ถูกกับโฉลกแล้ว จะทำให้การเจริญรุ่งเรื่องดีและเร็ว ลูกสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ: เขาบอกมาแล้วก็จริงน่ะซิ

    ผู้ถาม : เอ..แล้วจริงๆ พระพุทธศาสนาเคยสอนเรื่องนี้หรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนั้นนะ พระประจำวันฉันสงสัยมาตั้งกันทีหลัง พระพุทธเจ้าท่านมีองค์เดียว "พุทโธอัปปมาโณ" คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้

    ทีนี้มันเรื่องของพ่อค้าขายของ คนเกิดวันนั้นต้องเอาพระวันนี้ประจำวัน เกิดวันนั้นต้องพระแบบนั้น ความจริงก็พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน จะมีอะไรแตกต่างกัน

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 163 เดือนตุลาคม 2537 หน้า 77)

    เรื่อง กวนอู

    (มืคนๆหนึ่งชื่อคุณแสวง มาเล่าเรื่องว่านั่งกรรมฐาน เจอกุมภกัณฑ์ หลวงพ่อเลยคุยเรื่องกวนอูให้ฟังดังต่อไปนี้)

    การเจริญกรรมฐานนี่มันเป็นขั้นตอน ผมก็เคยดูเรื่องนี้มา แล้วก็ผ่านเหมือนกัน แต่ของผมไม่ใช่กุมภกัณฑ์นะ เจอะกวนอู แกมาเลยนะ แต่งตัวเป็นเจ๊กพร้อมกับเครื่องแบบ
    รบเลย

    คือนอนๆอยู่ ตอนนั้นอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ขโมยมันมาซุ่มอยู่ในป่าไผ่ แกจะขึ้นหลังกุฏิพระครูวิชาญ เพราะมีพระเก่ามากใช่ไหม ผมไม่หลับ ไม่ใช่หลับตานะ ผมนั่งไฟฟ้ายังเปิดอยู่ มาถึงปั๊บนั่งกราบแบบเจ๊ก แต่งตัวแบบนักรบ ถามใคร ผมกวนอูครับ

    ถามมาทำไม บอกว่าพวกโจรมันมาซุ่มอยู่หลังปาไผ่ 5 คน ถามทำไม มันกลางคืนตอนดึกมันจะใช้ยารม ขึ้นหลังกุฏิพระครูวิชาญ ก็ถามจะทำยังไง เพราะวัดไม่มีอาวุธ วัดไม่มีปืนใชไหม ถามขโมยมีปืนไหม บอกมีทุกคน ฉันก็ถามจะทำยังไง บอกมันจะใช้ยารมก่อน สังเกตตอนดึกลมจะพัดเข้า ใช้ยารมแล้วจะหลับ

    ถามท่านจะทำยังไง บอกเดี่ยวผมจะจัดกองทัพของผมเอง จัดกองทัพเลยหมาท่านนั่นแหละที่จัดเป็นกองทัพ ได้ผลนะวัดปากคลองมะขามเฒ่านานแล้ว หมาเยอะตอนนั้นมีหมาสามฝูง ของหลวงพ่อฝูงหนึ่ง ของพระครูวิชาญฝูงหนึ่ง ลูกศิษย์ครูหงาฝูงหนึ่ง รวมแล้ว 50 กว่า ปกติหมาสามฝูงนี่มันจะเข้ากันไม่ได้ มันอยู่ตามเขตมัน

    พอสามทุ่ม แกบอกเดี๋ยวออกไปผมจะจัดกองทัพ คอยดู มีช่องขึ้นหมานอนเฝ้ามันนำไปเลยสองตัว ฉันก็นั่งดูมันจะเป็นยังไง ช่องโน้นหมาอยู่สองตัว มันมีหัาหกช่อง เฝ้าช่องละสองตัว นอกนั้นอยู่ข้างล่าง ซุ่มอยู่ข้างล่างหมดนะ และมีอยู่สี่หัาตัวเดินล้อม แล้วแม่ทัพใหญ่เขากลับมานอน เดี่ยวมันก็ลุกไปตรวจ มีมุมหนึ่งหลับ เสียงเอ๋ง ถูกกัด แสดงว่าหลับใช่ไหม แกก็เดินตรวจแล้วก็มานอน

    พอถึงตี 1 กว่าๆ มันไม่นอนกัน ไอพวกที่นอนชุ่มใต้ถุนหลับมั่งอะไรมั่ง เขาไม่ว่า
    มีการพักนะ คอยซุ่มตามจุด ฉันก็นั่งดูสังเกตอยู่ ฉันนั่งอยู่ข้างล่าง เดี๋ยวท่านกวนอูท่านก็บอก เดี๋ยวคอยดูนะ มันจะซุ่มขึ้นสูงๆ ซุ่มสามจุด

    พอตีสองเสียงโฮก โฮกนี่มันเข้าถึงกุฏิแล้ว ถ้าเห่าๆไกลมันยังไม่เข้า มันกำลังจะใช้ยาเข้ามารม หมาเงียบหมด เงียบสนิท นึกว่าหมาหลับ ที่ไหนได้ 6 ทุ่มกว่าๆ ก็ตื่นหมดแล้ว ตื่นแล้วเงียบนะ นอนกันสงบเงียบ มองเป๊ง เจ้านายเขาก็นอนสูบยาอยู่ พอเสียงโฮกมันวิ่งไป โอ้โฮ ได้ทั้งปืนได้ทั้งเสื้อ ได้ผ้าขาวม้า ได้ปืนสองกระบอก ได้มีดพกเล่มหนึ่ง ขโมยเข้าไปในป่า มันกัดหน้าแหลกรานเลย

    แกบอกพรุ่งนี้บอกตำรวจ ได้ทั้ง 5 คนได้จริงๆ หมาตั้งสามฝูง ปืนยิงมันกัดเสียปืน
    หล่น แล้วไอ้จะว่าไม่จริงก็ไม่ได้นะ มันเป็นขั้นตอนนะ ของผมไม่มีหนุมาน ไม่มีทศกัณฑ์อะไรกับเขาหรอก

    มันมีอย่างนี้นะ ที่วัดปากคลองเขามีศาลท่านกวนอู ผมไม่รู้ ไปถามพระครูวิชาญ บอกมีท่านกวนอู เออ..ศาลนี่ไงท่านกวนอู ตายห่-นี่เราอยู่ข้างศาล (หัวเราะ) ท่านมาเป็นภาพรบเลย เป็นนักรบ แต่ว่ามันอย่างนี้สิคุณ ไม่ใช่มืดนะ ไฟฟ้ายังสว่าง สองทุ่มเท่านั้นนะ ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ เห็นจะจะ ผมกวนอูครับ

    แล้วต่อมาวันหลังฉันก็เลยนั่งคนเดียว นั่งม้าเล่น นึกถึงท่าน เอ๊ะ ท่านกวนอู วันนั้นท่านมาในภาพนักรบจีนใช่ไหม เลยอยากถามแล้วจริงๆท่านเป็นอะไร มาใหม่เลย ชฎาพราวเลย (หัวเราะ) พวกมีชฎานี่เทวดาไอ้หนู

    ถามว่าท่านเป็นนักรบ เป็นเทวดาได้ยังไง ท่านบอกนักรบก็ทำบุญเป็นนะครับ นี่เสียท่า ใช่ไหม นักรบก็ทำบุญเป็น สมัยโบราณยามว่างก็ทำบุญกันอยู่เรื่อย เรื่องเล็กท่านบอกท่านนึกถึงพระอยู่เรื่อย ของดีที่อกน่ะ พระใช่ไหม

    มันมีลักษณะอย่างที่พระยายมท่านว่านะ ไปดูสมัยญวนแพ้ ที่ดูแล้วคนมันไม่ไปนรก
    พอไปถามท่านบอก ทำไมไม่ดู รู้อะไรก็รู้ได้ทำไมไม่ดูก่อนที่เขาจะรบ เขาไปสวรรค์กัน
    มาก ก่อนเขารบน่ะ ไอ้นักรบขี้ขลาดไปสวรรค์หมด มันปลุกพระ มันนึกถึงพระจะไปยิงเขา นึกถึงพระ พอตายตูมตอนนั้นนึกถึงพระเป็นบุญ พอตายไปสวรรค์ทันทีเลย นี่เห็นไหม


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 164 เดือนพฤศจิกายน 2537 หน้า 24-25)


    เล่าเรื่องหลวงพ่อ

    หลวงพ่อไปอยู่กับท่านน่ะ ไม่มีอะไรที่ถามแล้วท่านไม่รู้ ไม่มี ไม่ว่าทางโลกทางธรรม
    อะไรก็ช่างเถอะ มีอยู่เรื่องหนึ่ง ไอ้ฝรั่งเขาส่องกล้องบนดาวหลุมดำอยู่ที่ต่างโลก ที่อเมริกาเขาส่อง อยู่นี่หลวงพ่อท่านไปดูเสียแล้ว แล้วก็มาเล่าในหนังสืออ่านเล่นว่าเป็นอย่างนั้นๆ ท่านเล่าในหนังสือ ท่านเล่าอีกอย่างหนึ่ง เล่ากลางๆ แต่มาเล่าให้เราฟังนี่ท่านไปมาเลย ไปดูมาเป็นอย่างนั้นๆ พระพาไปดู ท่านน่ะของจริงทั้งนั้นเ รื่องอะไรหลายๆอย่างในหนังสืออ่านเล่นก็ดี ของจริงทั้งนั้นแหละ

    หลวงพ่อท่านมีพิเศษอย่างหนึ่ง คือไม่ไว้ใจคน พอจะสร้างอะไรต้องสร้างรั้วก่อน อย่างสร้างโบสถ์นะ ในโบสถ์เป็นพื้นนาอย่างนี้น่ะ ท่านสร้างกำแพงก่อนเลย สร้างรั้วก่อนเอาไฟเข้า พอเอาเหล็กไปลงมันจะได้มีไฟ ขโมยมันชุมนะแถวนั้นน่ะ บ้านขโมยอยู่เหมือนกันป้องกันก่อน วัดเราจึงมีรั้วหลายชั้นเหลือเกิน ซื้อทีก็สร้างที

    แล้วก็น้ำมันท่วมนี่ วัดเรานี่ โอ้โห จะเล่าเรื่องถึงน้ำท่วมให้ฟัง น้ำท่วมก็ทุกข์ น้ำลงก็ทุกข์ น้ำท่วมก็ทุกข์เพราะอะไรล่ะ พอน้ำมาก็ต้องเก็บของหนีน้ำขึ้นไปเรื่อย ไอ้น้ำมันขึ้นไม่รู้จักหยุด พอตื่นเช้าก็ลงน้ำกันแล้ว พระลงน้ำเก็บของขึ้น

    มีอยู่คราวสงสารหลวงพ่อ ยังนึกไม่หายถึงบัดนี้ ตึกอินทราพงษ์นั่นน่ะ หลวงพ่อท่านจะอยู่องค์เดียว ไอ้พวกเราก็จะอยู่รอบนอกกัน จะไม่เข้า กลัวท่านอยู่แล้วนี่ วันนั้นเกิดน้ำมันสูงกว่าพื้นข้างใน น้ำก็เข้าไปในห้อง ท่านก็วิดของท่านคนเดียวอยู่อย่างนั้นน่ะ วิดใส่กระแป๋ง วิดอยู่คนเดียวน่ะ กว่าคนจะไปเห็นจะไปอะไร ไม่เรียกใครนะ


    หลวงพ่อนี่ไม่เรียกคนหรอก เออมาช่วยกันมา ไม่มีเรียก จะเรียกเฮ้ย มาเก็บไอ้นู่นไอ้นี่ ไม่มีละของส่วนตัวนะ ไม่เอาเลย ไม่ใช้คน

    (ด็อกเตอร์ปริญญาพูดเสริมว่า) "คือจะแสดงให้คนอื่นเห็นว่าอย่าไปใช้คนอื่นเขา ท่านไม่ใช้ใคร"

    ท่านสอนพวกเรา อย่าทำตัวสำอาง สำอางหมายความว่า พระกินข้าวเองจะต้องล้างชามเป็น ซักจีวรเองเป็น จัดอาหารเป็น ล้างปิ่นโตเป็น กี่พรรษาก็ช่างเถอะ บางทีบวช 2 พรรษา 3 พรรษา ซักจีวรเองไม่เป็นแล้วต้องใช้เขา

    พอน้ำขึ้นก็เก็บของหนีน้ำ พอน้ำลงก็ทุกข์อีกแล้ว เพราะต้องล้างโคลนไล่ตามน้ำไปเดี๋ยวน้ำมันหนี ต้องไล่ไม้กวาดต้องไล่ให้มันแห้งไปเลย เพราะขี้เลนมันมี ถ้าเราปล่อยให้แห้งนะ เก็บตายเลย ต้องไล่ตามน้ำไปอย่างนี้

    วิหาร 100 เมตรนี่ธรรมดาถ้าน้ำปกติมันท่วมพื้นเลยนะ เรียกว่าในวิหารนี่นั่งอาบน้ำได้สบายเลย ปกติของเขานะ

    "เอ้าแล้วตอนมะพร้าวลอยทำยังไงครับ"

    ก็ต้องเก็บ ท่านปลูกได้สัก 10 วันละมั้ง น้ำท่วมแล้ว จะปล่อยก็ตาย จะดึงก็ตาย ดึงมาชำไว้ข้างถนน ถึงมาชำก็ตายอีก เพราะน้ำมันท่วมถนนหมดน่ะ นี่เพิ่งจะมีอยู่ดีตอนหลังๆ สัก 10 ปีหลังนี่ละมั้ง

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 174 เดือนกันยายน 2538 หน้า 88-90)

    พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระธรรม

    ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ เมื่อกุมภาตอนต้นเดือนวันอาทิตย์ มีพระผู้ใหญ่องค์หนึ่ง กำลังดังชื่อเสียงโด่งดังออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง ท่านบอกว่าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระธรรม พระอริยสงฆ์บรรลุได้ด้วยพระธรรม เพราะฉะนั้นเราควรยึดพระธรรมเป็นหลัก เรื่องพระอริยสงฆ์กับพระพุทธเจ้านั้นไม่จำเป็นก็ได้ ไม่ต้องไหว้ก็ได้ พูดออกอากาศเเบบนี้ลูกไม่สบายใจ

    จึงกราบเรียนถามว่า หลักการปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนั้น ต้องปฏิบัติให้ครบทั้งไตรสรณาคมน์หรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ" ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

    "ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ" ข้าพเจ้าขอถึงพระธุรรมเป็นที่พึ่ง
    "สังฆัง สรณัง คัจฉามิ" ข้าพเจ้าขอถึงพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง
    "ภริยัง สรณัง คัจฉามิ" ข้าพเจ้าขอถึงเมียเป็นที่พึ่ง

    ผู้ถาม : โอ้โฮ มีด้วยหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : อ้าว พระเจ้าอุเทนไงเล่า เข้าไปกราบพระนางสามาวดีน่ะ ที่ยิงลูกศรไปแล้ว ลูกศรจะทิ่มอกตัวเอง รู้คุณของเมีย ท่านเลยกล่าวขอเมียเป็นที่พึ่ง เลยใช้บาลี "ภริยัง สรณัง คัจฉามิ" ข้าพเจ้าขอถึงเมียเป็นที่พึ่ง ความจริงอย่างนี้ถูกนะ ถ้าไม่ขอภรรยาเป็นที่พึ่งนื่อดข้าวนะ

    (นี่ขนาดหลวงพ่อตอบแบบเบาๆนะ ยังได้ข้อคิดขนาดนี้ เพราะฉะนั้นคนที่คิดมากไปก็โปรดลองคิดดูเสียใหม่ ก็อย่าวิตกอะไรเลยนะ เขาตกนรกเราก็ไม่ตกนรกด้วย เพราะเราไม่ได้เดินตามเขา)

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 เดือนมีนาคม 2538 หน้า 68-69)

    จิตชอบปรามาสพระ

    ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพในระยะ 2-3 วันมานี้ พอผมไหว้พระเคารพพระรัตนตรัย ก็ปรากฎว่าจิตใจมันใฝ่เลว ชอบปรามาสพระรัตนตรัย แถมปรามาสหลวงพ่อด้วย

    อาการอย่างนี้เคยขอขมาพระรัตนตรัยแล้วก็ยังแก้ไม่ตก ก็จะมาขอหลวงพ่อว่า จะมีวิธีอย่างอื่นหรือไม่ครับ ?

    หลวงพ่อ : ก็ทำแบบนั้นนะ มันมีกับคนหลายคน ไม่ใช่คนนี้คนเดียว แม้แต่ฉันในช่วงเจริญฌานโลกีย์ มันก็มีเหมือนกัน ก่อนจะขึ้นอันดับสูงนะ นี่มันก็มีอาการอย่างนี้เป็นของธรรมดา

    ที่ท่านบอกว่ากิเลสมารเข้าครอบงำจิต เรายอมแพ้มันเราก็ตกต่ำแน่นอน มันอาจจะเผลอ ขอขมาแล้วก็ว่ากันไป มีสติใหม่ก็ตั้งใจขอขมาใหม่ ว่ากันแบบนี้ละนะ ไม่ช้ามันก็เลิก ในเมื่อเราไม่ยอมให้มัน

    ยังดีนะ ยังต่ำนะ อาจารย์ฉัตร ลูกศิษย์หลวงพ่อปานหนักกว่านี้ ไม่ใช่อารมณ์ด่าใครหรอก นั่นป่วยแบบท่านโคธิกะเลย บวมทั้งตัว 1 ปี ไม่ขยายตัว หลวงพ่อปานบอกว่าคุณฉัตรเอ้ย ลดกรรมฐานสัก 1 วันได้ไหม มันจะได้หาย อาการอย่างนี้ไม่ใช่อาการไข้ปกติ มันเป็นเรื่องกิเลสมาแกล้ง

    อาจารย์ฉัตรบอกว่าผมพยายามทำมาตั้งหลายปี ยอมแพ้กิเลสมารวันเดียวผมยอมไม่ได้ ผมยอมตายพร้อมกับธรรมะดีกว่า พอปฏิญาณแบบนั้นวันรุ่งขึ้นหาย มันสู้ไม่ได้มันเลยเลิก กลัวคนบ้า

    ไอ้นี่ก็เหมือนกัน อาการอย่างนี้ต้องสู้กันหลายวันหน่อย เพราะมันอารมณ์ทางจิตใจนะนั่นมันครอบงำทางกายด้วยเปลื้องง่ายกว่า


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 168 เดือนมีนาคม 2538 หน้า 69)



    อุทิศส่วนกุศลแล้วไม่ยอม

    ผู้ถาม : อ่านหนังสือเรื่องหนีนรก แต่พอดิฉันทำสมาธิไปแล้วปรากฎว่ามีเป็ด ไก่ ปลาต่างๆ ที่ดิฉันเคยฆ่าไว้มันมาบอกว่า "ไม่ยอมๆ" แผ่เมตตาแล้วมันก็บอก "ไม่ยอมๆ" มันจะเอาชีวิตไปชดเชยให้ได้ ลูกไม่รู้จะทำอย่างไร ขอหลวงพ่อช่วยแก้ไขให้หน่อยเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : เวลาทีหลังทำสมาธินะ เอามีดตาลวางไว้ข้างๆ 1 เล่ม แกไม่ยอม ฉันจะเชือดแกเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวแกก็วิ่งหนีไป

    นั่นเป็นเรื่องธรรมดา เขาบอกว่าไม่ยอมๆ ใช่ไหมล่ะ ทีนี้เอาแบบนี้ซิ เราก็แผ่เมตตาจิต อุทิศส่วนกุศลให้ว่ารับหรือไม่รับก็ช่างหัวมัน เราก็ตั้งใจไม่นึกถึงมันอีกต่อไป ตั้งใจอย่างเดียว ฉันต้องการอย่างเดียวคือนิพพาน จำอารมณ์นั้นไว้นะ ทำให้ชินไม่ช้ากำลังบุญสูง มันไม่สามารถจะรบกวนต่อไปได้

    นี่เป็นของธรรมดา ดี อย่างนี้ดีมาก สมาธิดีมาก สามารถจะพบสิ่งที่เป็นกรรมได้ ถ้าพบศัตรูแบบนี้ได้ เราก็หาทางหนีให้มันแรง ใช่ไหม

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 62 เมษายน 2529 หน้า 40)

    ทำบุญถวายอาหารบรรพบุรุษ


    ถาม : การทำบุญถวายอาหารแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ในกรณีที่บรรพบุรุษเป็นพระสงฆ์อยู่ด้วย อย่างนี้เราจะต้องแยกถาดออกจากกันหรือเปล่าเจ้าคะ

    คือบรรพบุรุษเป็นพระสงฆ์ก็มี ปู่ย่าตายายก็มี

    หลวงพ่อ : ไม่ต้องแยกถาดหรอก หม่ำด้วยกันได้ เป็นผีแล้วแกไม่ได้กินเนื้อหรอก แกกินการอุทิศส่วนกุศล เขารับผลคือกุศลนะ ไม่ใช่กินหมูกินไก่

    (คนมักเข้าใจผิดอย่างนี้เสมอ ว่าคนตายมากินของที่ถวาย แม้แต่เรื่องการตั้งศาลพระภูมิก็เช่นกัน นึกว่าพระภูมิมาอยู่ที่ศาล ถ้าขืนอยู่ศาลก็พัง เพราะพระภูมิองค์ใหญ่ แต่ว่าศาลเล็ก ความจริงท่านมีวิมานของท่านอยู่แล้ว เรื่องการตั้งศาลพระภูมิมีคนสงสัยอยู่มากเหมือนกัน ดังปัญหานี้)




    บนจะตั้งศาลพระภูมิ

    ถาม : ตั้งใจจะบนกับพระภูมิเจ้าที่ไว้ว่า หากมีความสำเร็จแล้วจะตั้งศาลให้ แต่เมื่อเรียบร้อยแล้วการเงินไม่คล่องตัว เลยผลัดเจ้าที่ไว้บ่อยๆ

    ตอนนี้ชักไม่ค่อยดีเสียแล้ว อยากจะพึ่งบารมีหลวงพ่อให้ช่วยบอกพระภูมิว่า ให้รอๆไว้ก่อนได้หรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : เดี๋ยว ต้องเสียค่าคำร้อง เสียค่าธรรมเนียม

    ก็อย่าตั้งแบบแพงซิ ก็ซื้อพระภูมิหลังเล็กๆราคาไม่แพง หาหมอราคาถูกๆ ไปถามพระองค์ไหนเชิญพระภูมิได้บ้าง ไม่ต้องไปเสียเป็นหมื่น คือไม่มีความจำเป็น หาพระน่ะดี ราคาก็ไม่แพง องค์ไหนเรียกราคาไม่เอาเลย

    คือความจริงเอาอย่างนี้ดีกว่านะ การเชิญพระภูมินั้น ถ้าหากว่าเรามีกำลังใจกล้าพอ ก็ไม่ต้องหาหมอก็ได้ เราก็เชิญเองได้ ถ้าหากว่าเราไม่มั่นใจเอาเทปบวงสรวงไป ขอเชิญท่านมาอยู่ที่ศาล พวกนี้วิมานท่านมี

    เมื่อก่อนนี้ฉันเป็นนักเทศน์ใหม่ๆ ไปสระบุรี ก็ไปพบเรื่องนี้เข้า และบ้านนั้นก็อยู่ไกล จะไปหาหมอราคาหมอก็แพง แกก็มาปรึกษาบอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน โยม หมอที่เราเชิญมาเขาก็แค่รับจ้าง เราเองต่างหากเป็นเจ้าของแล้วเราเป็นผู้เชิญจะดีกว่า เขาทำตามประเพณีเขา เขาว่าตามตำรา ใช่ไหม

    เราก็ไม่ต้องมีตำรา ให้ทำด้วยกันทั้งสองคนผัวเมีย ตั้งศาลขึ้นเอง เอาไม้ปักเข้า ทำพื้นขึ้นหน่อย เ อาสังกะสีปะทำหลังคา เอาของที่เราคิดว่าเขาต้องการ อย่างน้อยอันดับแรก ก็มีปลาแป๊ะซะ 1 ตัวตัวเล็กก็ได้ ตัวใหญ่ก็ได้ นอกนั้นก็มีบายศรีปากชาม มีไข่ มีข้าว แล้วก็จุดรูปเชิญเอง

    ถาม : ใช้ธูปกี่ดอกครับ ?

    หลวงพ่อ : ถ้ามีตังค์มากก็ซัก 5 ตัน

    ถาม : ถวายพระเพลิงเลยทีนี้ (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : ถ้ามีสตางค์น้อยก็ 3 หรือ 5 ดอก บูชาพระ เทว แปลว่า ผู้ประเสริฐ พระก็แปลว่าผู้ประเสริฐเหมือนกัน ก็ใช้เท่าที่เราบูชาพระ

    ต้องตั้งนะโม 3 จบ แล้วก็พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณังคัจฉามิเสียก่อน ยอมรับนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็พูดตามชอบใจ ขอให้ท่านสงเคราะห์เรา เราขอยอมรับนับถือ

    แล้วฉันก็เลยแนะนำ ถ้าหากอันตรายจะพึงเกิดขึ้น ขอให้ท่านดลใจให้รู้สึกก่อนสักครึ่งชั่วโมง หรือชั่วโมง แล้วก็กำจัดอันตรายไปทันที

    ทีนี้เวลาที่จะตั้ง 2 คนตายายก็นุ่งขาวห่มขาว เพื่อความมั่นใจเขาไงล่ะ แล้วต่อมาอีก 2 ปี กลับไปที่นั่นอีก โยมก็เลยมาเล่าให้ฟังว่า ขโมยเข้ามาจะขโมยควาย ก็มีเสียงเรียก "เฮ้ย ๆ อย่านอนหลับซิเฮ้ย กูไล่คนเดียวไม่ไหว" เสียงดังนะ สองคนผัวเมียก็ตื่นขึ้น พอตื่นก็ดัง ลุกขึ้นจุดตะเกียง ขโมยได้ยินเสียงดังก็วิ่งออกไปหมาไล่กวด ชัดเลย

    เอาตั้งแบบนี้ดีกว่าไม่ต้องเสียตังค์นะ แล้วที่จ้างเขามาเขาก็ว่าตามประเพณี พระภูมิจะมาหรือไม่มาก็ไม่รู้ใช่ไหม เราเป็นคนไหว้ เราเป็นคนตั้ง เราเป็นคนเชิญ นี่ถูกต้องกว่า ศาลไม่ต้องโตนะ เพราะว่าการเซ็นสัญญากับเทวดานั้นแก้ไม่ได้



    (เฮ่อ...ค่อยโล่งใจ ที่บนไว้ก็สบายใจละ ตั้งเองก็ได้ตามหลวงพ่อว่า


    เรื่องบนนี่ ก็มักจะมีคนถามเสมอว่าบนพระ 4 องค์ บนแล้วจะแก้ที่บ้านได้ไหม ต้องขอบอกว่าให้ไปแก้ที่วัด แต่เวลาจะบน ถ้าไม่ว่างให้บนที่บ้านก็ได้ จะขอให้ท่านช่วยอะไรก็บอกกับท่าน แต่ต้องไม่เกินวิสัยพระ)

    (จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 62 เมษายน 2529 หน้า 40-42)

    เรื่อง ตั้งศาลพระภูมิ

    จำไว้นะ ใครจะเปิดร้าน เปิดบ้านเปิดช่อง อะไรก็ช่าง ศาลพระภูมิอย่าไปสร้างทิศตะวันตก เดือนที่แล้วก็เล่าทีหนึ่งแล้ว

    ที่บ้านพวกๆกันเขาเปิดปั๊มน้ำมัน บอกเอ๊..มันทำไมถึงมอๆจังวะปั๊มนี้ เราเห็นคนไม่ค่อยเข้าเราก็ถาม เอ๊ะนี่ ตั้งศาลทิศไหนวะ บอกมึงอย่าไปตั้งศาลทิศตะวันตกเชียวนะ มันฉิบหายกับตายโหง หลวงพ่อเคยบอกว่าอย่างนั้น สามปีแรกจะดี ต่อไปปีหลังมันจะเจ๊ง

    ไอ้คนที่เป็นพี่น้องมันก็หลับตานึกทิศไหน อู้หู..หลวงพี่ทิศตะวันตกจริงๆเลย ที่ไหนได้ เปิดปั๊ม ไอ้รถเป๊บชี่มันขับรถไปใช่ไหม มันเมา มันขับพุ่งเข้าไปในร้านอาหารน่ะ ไอ้
    เด็กปั๊มมันก็ไปว่า มันก็ด่า เอาปืนยิงไอ้คนขับรถตายไปเลย ก็ต้องเสียเงินกันเยอะใช่ไหม แล้วเดี๋ยวไอ้เจ้าของปั๊มขับรถไปชนคนตายอีก ก็ฉิบหายตายโหงจริงๆ

    วัดนี่ต้องสร้างศาลพระภูมิทิศตะวันตกตรงข้ามกัน ถ้าบ้านต้องทิศตะวันออก ทิศ
    เหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 3 ทิศนี่ ทิศใต้ก็เงินไหลออกไม่ดี

    บางคนก็แปลงสาส์น ตั้งอยู่ตรงไหนก็ได้ ให้หันหันมาทางทิศเหนือ กับ ทิศตะวันออกก็แล้วกัน ตัวแปลงสาส์นมีอยู่

    คือศาลพระภูมิต้องตั้งไว้ตามทิศ หันหน้าไปทางทิศไหนก็ได้

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 163 เดือนตุลาคม 2537 หน้า 93)





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2020

แชร์หน้านี้

Loading...