เรื่องเด่น @.. บุพการีกับการสร้างบารมี ฯลฯ..@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 ธันวาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    a.jpg


    ถ้าบุพการีของท่าน

    เป็นมิจฉาทิฐิ มากน้อย ต่างกัน เพียงใด

    เมื่อประสพกับอารมณ์อันไม่คาดคิด ไม่พึงปรารถนา

    จากการกระทำทางกาย วาจา ใจ ของท่านเหล่านั้น



    .........ในชีวิตจริงของท่านผู้ปรารถนาฯ มีอุบายและความเพียร
    ในการรักษาอารมณ์ใจ
    ของท่านอย่างไร...



    -------------------------------------------------------------


    หมายเหตุ


    ความหมายของมิจฉาทิฐิ



    มิจฉาทิฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ เรียกโดยย่อว่า "ทิฐิ"[1] หมายถึง ความเห็นผิด การเห็นกงจักรเป็นดอกบัว พระพุทธองค์ตรัส[2]ไว้ว่า

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์บางพวกมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า

    ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
    การบูชาไม่มีผล
    การบวงสรวงไม่มีผล
    ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
    โลกนี้ไม่มี
    โลกอื่นไม่มี
    มารดาไม่มีบุญคุณ
    บิดาไม่มีบุญคุณ
    สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี
    สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทราบถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง และสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย ไม่มี"
    ซึ่งจากการประพฤติผิดมิชอบนี้เอง จะส่งผลให้บุคคลนั้น ๆ ต้องไปเกิดยังนรกอเวจีเพื่อใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้หลายร้อยชาติ


    อ้างอิง
    พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์".
    อักขณสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓
    พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม: ทิฏฐิ 2
    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ - คหบดีวรรค - ๑๐. อปัณณกสูตร ข้อที่ ๑๐๕.
    ตติยปัณณาสก์ อาสาวรรคที่ ๑ ทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ....เมื่อสองวันก่อน เพื่อนจากต่างประเทศกลับมาเยี่ยมเมืองไทย เธอมีความอดทนสงบเสงี่ยมมาก ไม่ว่ามารดาจะด่าว่า กระทำให้เจ็บช้ำสารพัดด้วยกาย วาจา ซึ่งอาจผสมด้วยเหตุของความชรา โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า เธออดทนถือศีล เจริญภาวนา อุทิศกุศลให้มารดาเป็นเวลา8ปีติดต่อกัน จนเมื่อสองปีมานี้ เกิดเหตุมหัศจรรย์ มารดาที่เป็นสมองฝ่อตามวัย ทางโรงพยาบาลได้ยืนยันว่า สมองที่ฝ่อ กลายเป็นส่วนที่เก็บแต่เรื่องร้ายๆ อารมณ์ฉุนเฉียว......มารดาจำได้แต่สิ่งดีๆ เรื่องวัด เรื่องสมัยที่ลูกเป็นเด็กน่ารัก..........จากคนแก่ที่ไล่ลูกทุกคนออกบ้าน ไมมีใครเตือนได้


    ในที่สุด ขันติ โสรัจจะ ความกตัญญู กตเวที บุญบารมีทั้งหมดที่เพื่อนเพียรมา ก็บังเกิดผล
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    โอวาทธรรมหลวงปู่สด จนฺทสโร
    #การทดแทนคุณมารดาบิดาของบุตร#

    การบวชในธรรมวินัยน่ะ ได้ชื่อว่า สนองคุณมารดาบิดาจริงๆเชียว มารดาบิดาน่ะ ถ้าว่าเห็นลูกบวชแล้ว ปลาบปลื้ม เอิบอิ่ม เต็มตื้นนัก อะไรจะไปเท่าไม่มีล่ะ ร่าเริงบันเทิงใจ จะกินข้าวหรือไม่กินไม่รู้ละ อิ่มเอิบไปหมด บอกไม่ถูกทีเดียว ถ้าว่าลูกของใครบวชเข้าไปแล้ว ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายปลาบปลื้ม อิ่มเอิบ ตื้นเต็มอย่างนั้น บาลีท่านยืนยันในมงคลทีปนทีว่า

    #มารดาบิดาไม่มีศรัทธา ไม่เชื่อในพระรัตนตรัย เชื่อในพระรัตนตรัยขึ้น นี่เป็นแทนคุณข้อที่ ๑

    #มารดาบิดาไม่มีศีล ให้มีศีลขึ้น นี่เป็นแทนคุณข้อที่ ๒

    #มารดาบิดาไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ให้เลื่อมใสหนักขึ้น นี่เป็นแทนคุณข้อที่ ๓

    #มารดาไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ แก้ไขมารดาบิดา ให้รู้จักประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ขึ้น

    เหมือนกับตนผู้บวชในวันนี้ มารดาบิดาไม่เลื่อมใส ทำให้เลื่อมใสหนักขึ้น หรือเลื่อมใสน้อย ทำให้เลื่อมใสมากขึ้น มารดาบิดาไม่มีศีล เข้าใกล้พระรับศีล เมื่อเข้าก็รับศีลแล้ว เมื่อตอนก่อนก็รับศีลเหมือนกัน นี่เขาเคยรับศีลมาบ้างแล้ว รับศีลแน่นหนาหนักขึ้น ให้ทั่วไปกับพระภิกษุอื่น เมื่อลูกบวชเช่นนี้ เห็นพระภิกษุอื่น สามเณรอื่น ก็เหมือนอย่างกับลูกเรา รักใคร่ภิกษุสามเณรขึ้นทีเดียว สมเพชเวทนา มีข้าวปลาอาหารก็เอามาเลี้ยงดูทีเดียว นี่เป็นต้นเป็นตัวอย่าง

    เมื่อมารดาบิดา ไม่เชื่อแท้แน่นอน ลงไปในพระพุทธศาสนา ก็ให้มีธรรมกายเสีย เชื่อแท้แน่นอนแล้ว ลูกน่ะแก้ไขให้มีธรรมกายแท้แน่นอนแล้ว มารดาบิดาไม้รู้จักสูงต่ำ เมื่อรู้จักพุทธศาสนาแล้ว รู้จักสูงต่ำทีเดียว นี่มันชั้นสูง อ้อ!เมื่อก่อนเราเล่นมีลูกมีเต้ามาเดิมน่ะ มันเล่นอย่างเด็กๆนี่ นี่พระท่านไม่เล่นด้วย ท่านไปไกลอย่างนี้ มาเป็นธรรมกายพระอรหัตเข้าแล้ว ไปไกลหนักขึ้นไป ก็ดีอกดีใจ ชอบอกชอบใจ อย่านี้ได้ชื่อว่า ได้แทนคุณมารดาบิดาจริงๆทีเดียว

    ถ้าว่าจะแทนคุณมารดาบิดาน่ะ ให้เอาทองคำมาทั้งแผ่นนั่นแหละ เป็นเจ้าจักรพรรดิ นิมิตแผ่นปฐพีให้เป็นทองคำทั้งแผ่น มอบให้บิดามารดา มอบให้เป็นสมบัติพรรดิตราธิราช ให้บิดาเป็นเจ้าจักรพรรดิตราธิราช ให้มารดาเป็นพระมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิตราธิราช เป็นแต่กตัญญูต่อมารดาบิดา ไม่ใช่ว่าตอบแทนคุณ แม้ว่าจะเอามารดาขึ้นนั่ง ให้มารดาขึ้นนั่งบ่าขวา บิดาขึ้นนั่งบ่าซ้าย ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ บนนั้น เสร็จจนหมดอายุของลูกนั่นแหละ จะชื่อว่าแทนคุณบิดามารดาก็หาไม่ ได้ชื่อว่าเป็น กตัญญูกตเวทีต่อมาดาบิดาเท่านั้น ชื่อว่าแทนคุณแท้ๆ ดังกล่าวแล้ว #มารดาบิดาไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธาขึ้น #ไม่มีศีลให้มีศีลขึ้น #ไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใสขึ้น #ไม่รู้บาปบุญคุณโทษให้รู้จักบาปบุญคุณโทษขึ้น ๔ ประการนี้ วางหลักไว้

    .......................
    พระมงคลเทพมุนี
    หลวงปู่สด จนฺทสโร
    .......................
    จากเทศนาธรรมเรื่อง
    รัตนะ
    ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๙๗
    ....................
    เทศนาธรรมในวันอุปสมบทพระบวชใหม่ ซึ่งพระบวชใหม่ในวันนั้นคือ พระวีระ คณุตฺตโม ปัจจุบันท่านดำรงสมณศักดิ์ที่ พระราชพรหมเถร (หลวงปู่วีระ คณุตฺตโม) รองเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ






    [​IMG]
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    [​IMG]
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    [​IMG]



    หลวงพ่อบุญอุ้ม
    หลวงพ่อดูแลแม่..อุ้มไปขับถ่ายในห้องน้ำ..อุ้มแบบนี้..เป็นระยะยาวนานแรมปี
    จนหมดลมหายใจสุดท้ายแม่ของท่าน
    ....อานิสงนี้ ถึงขั้นหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว พระอริยะในอดีตที่ละขันธ์ไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘
    หลวงปู่บุญ...มาหาหลวงพ่อบุญอุ้ม ในนิมิต เพื่ออนุโมทนา ยกย่อง ในความกตัญญูที่ท่านได้ทำ
    และได้รับรองวัตถุมงคลต่างๆที่หลวงพ่อบุญอุ้มสร้างขึ้นหรืออธิษฐานจิตไว้ มีพุทธคุณสูง
    และวัตถุมงคลนั้นไม่เสื่อมคลายความขลัง เสื่อมยาก สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติโดยไม่ต้องถอด
    อาทิเช่นใส่รอดราวตากผ้า ใส่เข้าห้องน้ำขับถ่ายได้ ใส่เดินทางรอดราวสะพานได้
    เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลได้ความขลังยังเหมือนเดิมไม่เสื่อมคลาย......ด้วยเหตุแห่งการดูแลบุพการีนั้นเอง



    เครดิต https://www.facebook.com/bananajung2557?fref=photo
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ที่จริงวันนี้ตั้งใจจะลงเรื่องครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์โยมแม่ให้รู้ใน มาตาปิตุ อุปัฏฐานัง การปฏิบัติสงเคราะห์ต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ทั้งเรื่อง หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร พระอาจารย์เด่น นันทิโย โปรดสงเคราะห์โยมแม่ของท่าน แต่มาติดขัดในบางประการ นั่งคิดอยู่ห้องสืบเชียงคานตั้งแต่บ่าย ไม่รู้จะลงเรื่องราวครูบาอาจารย์องค์ไหนก่อน..
    พอมาเจอข้อความในอินบล๊อกผู้เคารพศรัทธาใน หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร อยากให้ลงเรื่องหลวงพ่อจันทร์เรียนเพราะหาอ่านจากที่ไหนไม่ได้..
    ผมจะลงเรื่อง " สัจจะ พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร "..
    ท่านถูก หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทรมานเพื่อให้..
    ท่านผ่านธรรม " พ้นกามคุณ " ที่ บ้านบง ตำบลท่าศาลา อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย
    ตอนนั้น หลวงพ่อจันทร์เรียนท่านทุกข์ใจมาก..
    ธรรมท่านก็อยากได้ประดับจิต..
    โยมแม่ท่านก็ป่วยรอพระลูกชายมาเยี่ยมไข้ก่อนตาย..
    สัจจะที่ท่านตั้งไว้ " ถ้าไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เราจะไม่กลับไปเยี่ยมบ้าน "..
    เรื่องพระอรหันต์ " ดอกบัวบานผู้เลิศฤทธิ์ "..
    ท่านฉีก " ธรรมผู้ครองโลก " กามคุณ ขาดสะบั้นออกจากจิตใจ อุปมาอย่างกับเราฉีกกระดาษให้ขาดจากแผ่น ในรุ่งอรุณที่หน้าห้องพักกุฏิ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่ วัดป่าบ้านบง จะนำลงให้ทราบ ครับ..



    จากข้อความของ คุณวีระศักดิ์ โพธิสัตย์
    https://www.facebook.com/weerasak.phothisat?fref=photo



    [​IMG]
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ความเป็นมาของพระพุทธเจ้า ตอนเริ่มปรารถนาพระโพธิญาณ
    โดย  พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

                   นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป  อาตมาจะนำความเป็นมาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแสดง แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท  เพื่อเป็นประวัติในการประพฤติดี  ประพฤติชอบตามที่พระองค์ทรงปฏิบัติมา

    ในวันนี้  ก็ขอเริ่มเรื่องเบื้องต้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จะทรงปรารถนาพระโพธิญาณ

    แต่ ความจริงเรื่องนี้  จะหาตำราที่ไหนมาอ่านก็หาไม่ได้  เป็นอันว่าก็จะขอนำมาจากความรู้จากองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธ เจ้าโดยตรง ที่พระองค์ทรงมีพระพุทธประสงค์ให้รู้ความต้นเหตุ  ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จะทรงปรารถนาพระโพธิญาณ

    เนื้อ ความมีอยู่ว่า  นับถอยหลังจากกัปนี้ไป  ปรากฏว่าได้ ๔ อสงไขยกัปแสนกัปเศษ  ในสมัยนั้น  องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเกิดเป็นลูกชาวบัานชาวป่า ธรรมดา  มีความเป็นอยู่ด้วยความแร้นแค้น  ท่านเลี้ยงบิดามารดา  มีความกตัญญูรู้คุณ  ทั้งๆที่ไม่เข้าใจว่า  อะไรมันจะเป็นบุญ  อะไรมันจะเป็นบาป  แต่ก็ถือว่าบิดามารดาเป็นผู้ให้กำเนิด  ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐ  คือ  ทรงความดี  ชีวิตินทรีย์ของตนที่ทรงอยู่ได้นี้  ก็เพราะอาศัยบิดามารดาเป็นปัจจัย

    ฉะนั้น  เมื่อพระองค์ทรงมีกำลังกายใหญ่  พอเป็นหนุ่มที่จะเลี้ยงบิดามารดาได้  ภาระอันใดที่บิดามารดาเคยทำมา  ก็ขอร้องให้บิดามารดาหยุด  ตัวเองเป็นผู้ทำแทนทุกอย่าง  คือ  กิจภายนอกบ้านและกิจภายใน

    ตอน นั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  บิดามารดาของพระองค์เป็นชาวป่าหาฟืนขาย  ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้มีความสุขสบาย  คือ  เรียกว่าขายได้  ขายวันหนึ่งก็กินไปวันหนึ่งเท่านั้น  ไม่มีส่วนแห่งการเหลืออะไรเป็นพิเศษ  แต่ก็เป็นความดีที่บิดามารดาขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  รู้สึกว่าเป็นคนดี  มีศีล  มีธรรม

    ท่านกล่าวว่า  การเกิดในครั้งนั้นมีความลำบากยากแค้นมาก  ต้องหาเช้ากินค่ำ  ผลกำไรที่จะเหลือไว้ในวันอื่นๆต่อๆไปก็มีน้อย  และท่านก็เป็นลูกชายคนเดียวของบิดามารดา  แต่ก็พยายามปฏิบัติมาด้วยความกตัญญูรู้คุณ  ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย  เมื่อทำภารกิจภายนอก  คือตัดฟืนมาได้แล้ว  กลับมาบ้านก็หุงข้าว  หาอาหารเลี้ยงบิดามารดา  เป็นต้น  นับว่าเป็นคนที่มีจิตใจประกอบไปด้วยกุศล  กล่าวคือความฉลาดในการปฏิบัติความดี

    ต่อมาภายในไม่ช้า  ในชีวิตของท่านนี้กล่าวว่า   อายุประมาณ  ๒๓  ปี  ปรากกว่ามีองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  อุทุมพร  ซึ่งอุบัติขึ้นแล้วในโลกในขณะนั้น  ท่านประกาศพระศาสนาในแคว้นอื่น

    สำหรับเมืองที่องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเกิดในแคว้นนั้น  เรียกว่า  แคว้นกุรุรัฐ  ซึ่งอค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์กล่าวว่า  เป็นแคว้นในอินเดียแห่งหนึ่ง  ที่เรียกกันว่า  เมืองอาฬวี

    ความ จริงพระพุทธเจ้า ถ้าจะอุบัติก็ต้องอุบัติในแคว้นชมพูทวีปเหมือนกัน  ไม่ไปที่อื่น  เพราะว่าในสถานที่นั้น  เป็นที่ของบุคคลผู้มุ่งผลคือบุญใหญ่  ได้แก่  พระนิพพาน  โดยเฉพาะเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัส  คนในเขตชมพูทวีปก็มักจะปฏิบัติทางจิตใจกันมาก  เป็นการเหมาะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงสอนในด้านจิตใจ

    วัน หนึ่ง  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ประมาณ ๘๐,๐๐๐ รูป  ได้เสด็จมาในเมืองอาฬวี  หรือแคว้นกุรุในสมัยนั้น  ได้มีบรรดาชาวบ้านที่มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้า  พากันไปบำเพ็ญกุศล

    สำหรับกระทาชายนายนี้  คือองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นคนจนก็จริงแหล่  แต่ทว่าเมื่อเห็นชาวบ้านเขาไปใส่บาตรพระ  และเวลากลางวันที่ท่านจะไปตัดฟืน  เห็นชาวบ้านเขาเดินเป็นแถวๆ  ถือดอกไม้ ธูป เทียน  เครื่องสักกาวรามิส  มีอาหารและเครื่องเภสัชเป็นต้น  เพื่อจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดา  ซึ่งมีนามว่า  อุทุมพร  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมีความสงสัย  จึงได้ถามชาวบ้านเหล่านั้นว่า

    “ท่านจะไปไหนกัน?”

    เขาก็บอกว่า  “ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  อุทุมพร  พร้อมไปด้วยพระอรหันต์ ๘๐,๐๐๐ รูป  ไปเฝ้าแล้ว  ถวายภัตตาหารแล้ว  พวกเราก็ฟังเทศน์กัน”  ส่วนมากคนที่เดินมานั้นเป็นพระอริยเจ้าเป็นส่วนมาก

    ท่านก็ถามว่า  “องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าน่ะ…รูปร่างลักษณะเป็นยังไง?”

    ชาวบ้านก็พรรณนาให้ฟังว่า  “องค์ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดามีความสวยสดงดงามมาก  มีลักษณะ ๓๒ ครบถ้วน  มีลักษณะพิเศษอีก ๘๐ และนอกจากนั้น  องค์สมเด็จพระชินสีห์ยังมีฉัพพรรณรังสี  รัศมี ๖ ประการ  เวลาแสดงพระธรรมเทศนานั้น  องค์สมเด็จพระพิชิตมาร  ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ  สว่างไสวมาก  และกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ก็ไพเราะเสนาะโสต  เป็นที่น่าฟัง  ฟังแล้วไม่อิ่ม  ไม่เบื่อ”

    ท่านจึงได้ถามคนทั้งหลายว่า  “ข้าพเจ้า เป็นคนจน  กลางวันจะต้องตัดฟืน  และกลางคืนจึงจะมีเวลาว่าง  อยากจะทราบว่า  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เทศน์เฉพาะกลางวัน  หรือว่าเทศน์กลางคืนด้วย”

    บรรดาชาวบ้านก็บอกว่า  “พระพุทธเจ้าเทศน์ทั้งกลางวัน  และก็เทศน์ทั้งกลางคืน  ถ้ามีคนไปฟัง”

    ท่าน จึงตัดสินใจว่า  ถ้ากระนั้นเราจะขอไปฟังในเวลากลางคืน  กลางวันเป็นหน้าที่ในการเลี้ยงดูบิดามารดา  ปฏิบัติบิดามารดาให้เป็นสุข  กลางคืนจะเปลื้องทุกข์ด้วยการฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  แล้วท่านก็ยกมือโมทนาในความดีของบรรดาประชาชนทั้งหลาย  เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็หลีกไปสู่มหาวิหาร

    สำหรับองค์สมเด็จพระพิชิตมารซึ่งเป็นกระทาชาย  คือบุคคลผู้ยากจนเข็ญใจก็เข้าป่า  ใจก็คิดไปว่า

    “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีรูปร่างเป็นยังไงหนอ”

    “รัศมี ๖ ประการ ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเป็นประการใด”

    “กระแสพระสัทธรรมเทศนา ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เขาลือว่าเพราะ  เพราะแบบไหน…”

    และคำว่าเทศน์  เทศน์ยังไง  ไม่เคยฟัง  อยากจะฟัง  ไอ้มือก็ฟันฟืนไป  ใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

    เป็น อันว่าจิตใจของท่านเวลานั้นมีความผูกพันพระพุทธเจ้าตั้งแต่ได้รับคำว่า  พระพุทธเจ้าเข้ามาแล้ว  จิตใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเป็นปกติ  อย่างนี้ท่านเรียกว่า  “พุทธานุสสติกรรมฐาน”  นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

    เวลานั้นกลับมาบ้าน  คือเวลาเย็นหาอาหารเลี้ยงบิดามารดาเรียบร้อยแล้ว  บริโภคอาหารเสร็จ  เวลาค่ำก็แจ้งแก่บิดามารดาทั้งสองว่า

    “เขาลือกันว่าพระพุทธเจ้ามาโปรดที่นี่  วันนี้จะขอลาบิดามารดาทั้งสองไปฟังเทศน์ในเวลาราตรี”

    บิดามารดาก็ค้านว่า  “กลางวันเหนื่อยมาก  ถ้าไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  กลางวันจะดีกว่า”

    ท่านก็บอกว่า  “เวลา กลางวันมันมีงาน  ถ้าหากว่าขาดวันหนึ่งอาหารอาจจะขาด  จะบกพร่องไป  ถึงแม้ว่าจะไม่หมดก็ไม่เป็นไร  แต่ว่าจะบกพร่องการบริโภคจะไม่เป็นสุข  ฉะนั้น ขอบิดามารดาจงอย่าห่วงใย  ข้าพเจ้าจะไปพอกำลังกายทนได้  ถ้าเพลียเมื่อไหร่ก็จะกลับ”

    เป็นอันว่า  ท่านบิดามารดาทั้งสองก็กล่าวว่า

    “ปิยะ  ปุตโต   ดูก่อน  บุตรที่รัก  ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าย่อมหาได้ยากในโลก  พ่อเอง แม่เองก็ไม่เคยฟังคำว่าพระพุทธเจ้า  เพราะเราเป็นคนจนอยู่ป่า  บังเอิญถ้าได้ฟังคำว่า  พระพุทธเจ้าทรงอุบัติมาแล้ว  ก็มีพระอรหันต์  เข้าใจว่าทั้งหมด  คือพระพุทธเจ้าก็ดี  อรหันต์ก็ดี  ต้องเป็นพระดี  ต้องเป็นคนดี  ไม่อย่างนั้นปวงประชาชีจะไม่พากันไปฟังเทศน์  เอาของไปถวายแด่พระพุทธเจ้า  ถ้าอย่างนั้นถ้าลูกจะไป  พ่อกับแม่ทั้งสองก็จะไปด้วย  ไปเคารพพระพุทธเจ้า  ไปรับฟังความดี”

    องค์ สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พร้อมปฏิบัติตนให้แก่บิดามารดา  อาบน้ำให้ท่าน  หาผ้าที่พอสมควรมาให้ท่านที่จะพึงมี  พอเสร็จแล้วทั้งสามศรี  พ่อ  แม่  ลูกก็ไปสู่พระมหาวิหาร

    เวลานั้น ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในที่ พักผ่อน  ยังไม่ถึงเวลาที่จะแสดงพระธรรมเทศนา  แต่ทว่า  เป็นที่น่าอัศจรรย์  พุทธอุปัฏฐากขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์ได้ถูกเรียกเข้าไปเฝ้า  ตรัสว่า 

    “เธอจงจัดแจงสถานที่แสดงพระสัทธรรมเทศนา  วันนี้ตถาคตจะลงก่อนเวลา”

    พระอุปัฏฐากจึงกล่าวว่า  “เวลานี้ยังไม่ค่ำสนิท  ขอองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรโปรดพักผ่อนเถิดพระเจ้าข้า”

    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า  “วันนี้พักไม่ได้  ต้องลงก่อนเวลา  เพราะว่าคนดีจะเข้ามาวิหารของเรา  เวลานี้เขากำลังเดินมา  ยังไม่ทันจะถึง  แต่ก็จวนจะถึงแล้ว”

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดา  จึงได้ประทับอยู่ก่อน

    ครั้น เมื่อองค์สมเด็จพระชินวร  คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันและบิดามารดาเข้าไปถึงมหาวิหาร  พระสงฆ์ที่เป็นพุทธอุปัฏฐากจึงได้พาองค์สมเด็จพระพิชิตมารกับบิดามารดาทั้ง สองท่านเข้าไปเฝ้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่บนอาสนะ อันสมควร  ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ  เฉพาะพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและบิดามารดาทั้งสอง  ทั้ง ๓ ท่านเห็นเข้าก็ตะลึงงัน  ไม่ทราบเลยว่า  องค์สมเด็จพระภควันต์จะสวยงามแบบนี้”

    ท่านเข้าไปใกล้  แล้วองค์สมเด็จพระชินสีห์  ก็แย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า

    “โภ  ปุริสะ  ดูก่อน  บุรุษผู้เจริญ  ผู้มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา  เมื่อบิดามารดาเลี้ยงท่านแล้ว  ท่านก็เลี้ยงตอบ  คนประเภทนี้ตถาคตขอสรรเสริญว่าเป็นคนดี”

    เมื่อฟังคำของ องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนั้น  ก็ทรงมีธรรมปีติ  มีความอิ่มอกอิ่มใจ  ใจสบายเป็นสุขเป็นกรณีพิเศษ  ยิ่งเห็นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีความสวยงาม  เปล่งฉัพพรรณรังสี  รัศมี ๖ ประการ  ก็ชื่นใจ  พระสุรเสียงที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสออกมาก็ ไพเราะ

    ต่อจากนั้นไป  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรด  เป็นอันว่าเทศน์ก่อนเวลา  เทศน์คนฟังแค่ ๓ คน  เมื่อเทศน์จบ  ก็ปรากฏว่าบิดามารดาทั้งสองท่านได้พระโสดาบันปัตติผล

    สำหรับองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดา  อาศัยมีธรรมปีติมากเกินไป  จึงไม่ได้อริยมรรค  อริยผล  ได้แต่เข้าถึงไตรสรณคมน์

    การเทศน์คราวนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าเทศน์ถึงบุญกิริยาวัตถุ ๔ ประการ  เทศน์ว่า

    ทานมัย  บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน

    สีลมัย  บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

    ภาวนามัย  บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา

    และ กล่าวถึงอานิสงส์ของสังฆทานว่า  บุคคลใดได้ถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต  ตายไปแล้วอีกกี่ชาติๆ กว่าจะเข้าพระนิพพาน  คนนั้นก็พ้นจากความยากจนเข็ญใจ  จะมีขึ้นมาบ้างก็อาศัยกรรมที่เป็นอกุศลอาศัยเข้ามากลั่นแกล้ง  ไม่ช้าก็สลายตัวไป  องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงผูกพันเรื่องสังฆทาน  เพราะมันไม่จน

    เมื่อฟังเทศน์จบก็ลาองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้ากลับบ้าน  บิดามารดาก็ดีใจว่าได้เป็นพระอริยเจ้า  องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดีใจที่ว่า  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  คือ  พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  อุทุมพร  ชมว่าเป็นคนดีที่มีความกตัญญูรู้คุณ  ต่างคนต่างดีใจ  และก็มาผูกพันว่า  เมื่อไหร่หนอ  เราจึงจะมีโอกาสได้ถวายสังฆทาน 

    นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  ทุกคืนก็ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า  กลางวันก็ไปทำงานเป็นพิเศษ  จนกระทั่งตั้งใจที่จะถวายทานแด่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์สัมมาสัมพุทธเจ้า กับพระสงฆ์ ๘๐,๐๐๐ รูปเป็นเหตุ  แต่ว่าทุนมันก็น้อย  แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าการถวายสังฆทานของเล็กน้อยก็ทำได้  จึงได้รวบรวมกำลังทรัพย์สินที่พึงหาได้ในกรณีพิเศษมาเพื่อถวายสังฆทาน  ก็ได้ข้าวไปหนึ่งหม้อน้อยๆ  แกงหนึ่งหม้อ  ขนมอีกหนึ่งหม้อ  น้ำอีกหน่อยหนึ่ง  ไปประกาศถวายสังฆทานแก่ภิกษุสงฆ์  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข

    เวลานั้น ทิพยอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมาของท้าวโกสีย์สักกเทวราช  ก็เกิดแข็งแระด้าง  คิดว่าคนนี้ต่อไปจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ  เป็นพระพุทธเจ้า  เราจะต้องไปช่วย

    ฉะนั้น ในการถวายทานคราวนั้น  ความจริงอาหารอื่นของพระก็มีอยู่  แต่ว่าองค์สวมเด็จพระบรมครูทรงพระนามว่า อุทุมพร  ตรัสกับพระว่า  จงอย่าฉันอาหารที่บิณฑบาตมาในตอนเช้า  ให้ฉันอาหารหม้อเดียวของกระทาชายนายนั้น  ด้วยอำนาจของพระอินทร์บันดาล  พระ ๘๐,๐๐๐ รูป  กับพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง  ฉันอาหารไม่หมด

    เมื่อพระ พุทธเจ้าฉันภัตตาหารเสร็จ  พระสงฆ์ฉันเสร็จก่อนที่จะโมทนา  กระทาชายนายนั้นจึงเข้าไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ขอปรารถนา พระโพธิญาณ คือ อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง  พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  อุทุมพร  จึงได้ทรงพยากรณ์ว่า

    “นับตั้งแต่กัปหน้าต่อไปนี้  กัปนี้ไม่นับ  อีก ๔ อสงไขยกับแสนกัป  เธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า  พระสมณโคดมบรมครู”

    และ หลังจากนั้น  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนา  เมื่อเทศน์จบก็ปรากฏว่า  บิดามารดาทั้งสองบรรลุอรหัตผล  สำหรับองค์สมเด็จพระทศพลก็ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์  ได้เข้าถึงไตรสรณคมน์ 

    เมื่อจบจากพระธรรมเทศนาแล้ว บิดามารดาทั้งสองก็ขอบวชในพระพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุมัติตรัสว่า  “เอหิ  ภิกขุ  เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด”  สองท่านก็เป็นพระในทันที  แล้วสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กลับบ้าน

    นับ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  ภาระมันก็น้อย  ก็เลยไปหาพระพุทธเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน  แบ่งเวลาตอนเช้าไปตัดฟืน  ตอนเที่ยงก็เลิก  ตอนบ่ายไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  ตอนเย็นก็กลับ  ตอนกลางคืนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังเทศน์แล้วก็กลับ  มีจิตปรารถนาอย่างเดียว คือ พระโพธิญาณ

    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  เรื่องนี้เห็นจะหาตำราอ่านได้ยาก  เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    “ก่อน ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์จะปรารถนาพระโพธิญาณนั้น  ก็เริ่มต้นมาจากการถวายสังฆทานเป็นเหตุ  ฉะนั้น จึงเป็นปัจจัยให้  องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิ ญาณ   

    และองค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ตรัสว่า  “คน ที่ถวายสังฆทานแล้ว  ถ้าปรารถนาพุทธภูมิก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า  ปรารถนาเป็นพระสาวกก็ได้เป็นพระพุทธสาวก  ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ย่อมได้  ถ้าปรารถนาจะเป็นอรหันต์ในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  องค์ใดองค์หนึ่งก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน  และยิ่งไปกว่านั้นสังฆทานยังเป็นปัจจัยให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชและมหา เศรษฐี”

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า  เป็นอันว่าประวัติความเป็นมาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  ที่หาได้ยากในการเริ่มต้นในการปรารถนาพระโพธิญาณ  เล่ามาก็พอสมควรแก่เวลา

    ใน ที่สุดนี้ อาตมาภาพในฐานะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  ขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย  มีพระพุทธรัตนะ  ธรรมรัตนะ  และสังฆรัตนะ  ทั้ง ๓ ประการ  ขอจงดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า 

    ถ้าจะปรารถนาพระโพธิญาณ  ก็ขอให้บรรลุพระโพธิญาณสมความปรารถนา

    ถ้าจะปรารถนาเป็นอัครสาวก  พระมหาสาวก  พระสาวกปกติธรรมดา  ก็สำเร็จผล

    และ ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน  จงประสบแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล  และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ  มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ  หากทุกท่านมีความประสงค์สิ่งใด  ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ

     
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ปรากฎความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกามหาวรรค ภายหลังการบรรลุอนุตราสัมมาสัมโพธิญาณของพระบรมศาสดา พระองค์ได้เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก และเมื่อทราบทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาประชวรหนัก จึงเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้งเพื่อเยี่ยมอาการพระพุทธบิดา พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก ทรงถวายพยาบาลพระพุทธบิดาตามพุทธวิสัย และโปรดให้พระพุทธบิดาได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในกาลต่อมาพระพุทธบิดาก็ปรินิพพานบนพระแท่นบรรทมภายใต้เศวตฉัตรนั้งเอง ภายหลังถวายพระเพลิงพระศพพระพุทธบิดา พระพุทธองค์ตรัสว่า


    "บุคคลใดมีจิตปรารถนาพระโพธิญาณ

    ....จงอุตสาหะภิบาลบำรุงบิดามารดา
    .... ประพฤติกุศลสุจริตธรรม

    จักสมปรารถนาทุกประการ "


    ******************************


    ผลานิสงส์จากการเลี้ยงดูบิดามารดา ยังส่งผลร่วมให้ผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ได้สำเร็จดังเจตนาได้ปานนั้น ดังที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ และกล่าวรับรอง


    กัลยาณชน ปุถุชนชั้นดี เมื่อได้บำรุงเลี้ยงดูบิดามารดา ย่อมได้รับผลานิสงส์อันเป็นกรรมดีมากมายนานับประการ แม้ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แต่ทำด้วยสำนึกอันดี
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    <iframe width="853" height="480" src="https://www.youtube-nocookie.com/embed/9UPUZwpFuww?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    "มารดาบิดาเป็นผู้ให้ชีวิต ให้ความเป็นคน ให้ความทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา ให้โลหิตเป็นอาหาร การทำร้ายเพียงจิตใจท่านให้ต้องชอกช้ำเสียใจก็เป็นกรรมไม่ดีของผู้เป็นลูก ย่อมต้องได้รับผลไม่ดีแห่งกรรมนั้นแน่นอน อย่างน้อยคนอื่นที่รู้เห็นการพูด การทำที่เป็นการทำร้ายจิตใจมารดาบิดาของบุตรธิดาคนใด ย่อมตำหนิ แม้ไม่ตำหนิติเตียนออกเป็นวาจา ก็ย่อมคิดอยู่ในใจ ตัวผู้เป็นบุตรธิดาเองนั้น
    แม้ทำร้ายจิตใจมารดาบิดาครั้งหนึ่งแล้ว ทำต่อไปเป็นความเคยชิน ก็ย่อมสั่งสมความเคยชินที่ไม่ดีไว้เป็นสมบัติของตน เป็นการสั่งสมกรรมไม่ดีให้มากขึ้นเป็นลำดับ ย่อมจะเท่ากับสั่งสมผลแห่งกรรมไม่ดีไปพร้อมกัน เมื่อกรรมนั้นส่งผล ก็แน่นอนที่จะต้องพบอะไรๆ อันไม่เป็นที่ปรารถนาต้องการเลย "


    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก





    [​IMG]
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473


    [​IMG]







    คราวเมื่อพระสารีบุตรใกล้ถึงกาลปรินิพพาน เกิดปริวิตกว่า มารดาของท่านมีบุตรธิดา 7 คนล้วนเป็นพระอรหันต์ แต่โยมมารดากลับเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีความเลื่อมใส และยังโกรธเคืองที่ท่านพาน้องๆออกบวชหมด ดำริที่จะต้องปลดเปลื้องโยมมารดา เพื่อทดแทนคุณ จึงทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเดินทางจากวัดเชตวันมหาวิหารสู่บ้านเกิดที่ นาลกคาม(นาละกะคาม) ล่วงไปเจ็ดวันจึงถึง...
    ...
    ครั้งนั้น พระสารีบุตร อนุเคราะห์ผู้คนตลอด ๗ วัน ในระหว่างหนทาง ถึงนาลกคามในเวลาเย็น แล้วหยุดพักอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ประตูบ้าน.
    ครั้งนั้น หลานชายของพระเถระชื่อว่า อุปเรวตะ ไปนอกบ้านพบพระเถระเข้าไปหาแล้วไหว้ยืนอยู่.
    พระเถระพูดกะหลายชายว่า ย่าของเจ้าอยู่ในเรือนหรือ.
    หลายชายก็ตอบว่า ขอรับกระผม.
    พระเถระบอกว่า เจ้าจงไปบอกว่าเรามาที่นี้แล้ว และเมื่อเขาถามว่าเพราะเหตุไรจงบอกว่า ได้ยินว่า ท่านจะพักอยู่ในบ้านนี้วันเดียวจงจัดห้องน้อยที่เราเกิด และจัดที่อยู่สำหรับภิกษุ ๕๐๐ รูป.
    หลานไปบอกว่า ย่า จ๋า ลุงฉันมาแล้ว.
    ย่าถามว่า เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนล่ะ.
    ตอบว่าอยู่ใกล้ประตูบ้าน ก็ถามว่ามาองค์เดียวหรือว่ามีภิกษุอื่นมาด้วย.
    หลานก็ตอบว่ามีภิกษุ ๕๐๐ รูปมาด้วย.
    เมื่อถามว่ามาทำไม. หลานก็บอกเรื่องนั้น.
    นางพราหมมณีคิดว่า ทำไมหนอจึงต้องสั่งให้จัดสถานที่อยู่สำหรับภิกษุถึงเพียงนั้น เขาบวชเมื่อหนุ่มอยากเป็นคฤหัสถ์เมื่อแก่ จึงให้จัดห้องที่เกิด ให้ทำที่อยู่สำหรับภิกษุ ๕๐๐ รูป ตามประทีปไว้ต้อนรับพระเถระ.
    พระเถระกับภิกษุทั้งหลายขึ้นไปยังปราสาทเข้าไปสู่ห้องที่เกิดแล้วนั่ง ครั้นแล้วก็ส่งภิกษุทั้งหลายไปด้วยกล่าวว่า
    จงไปที่อยู่ของพวกท่านกันเถิด.
    พอภิกษุทั้งหลายไปแล้ว อาพาธกล้าก็เกิดขึ้นแก่พระเถระ.
    โรคลงโลหิตเกิดเวทนาใกล้ตาย.
    ภาชนะหนึ่งรอง ภาชนะหนึ่งชักออก.
    นางพราหมณีคิดว่า ความเป็นไปแห่งบุตรของเราไม่เป็นที่ชอบใจ ยืนพิงประตูห้องที่อยู่ของตน.

    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูว่าพระธรรมเสนาบดีอยู่ที่ไหนก็รู้ว่านอนบนเตียงที่ปรินิพพานในห้องน้อยที่เกิดในนาลกคาม เราจักไปดูเป็นปัจฉิมทัสสนะ แล้วพากันมาไหว้ยืนอยู่แล้ว.
    พระเถระถามว่าท่านเป็นใคร ตอบว่า พวกเราเป็นท้าวมหาราชเจ้าข้า.
    ถามว่ามาทำไม. ตอบว่ามาเป็นคิลานุปัฏฐาก(ดูแลผู้ป่วยไข้).
    พระเถระส่งไปด้วยกล่าวว่าช่างเถิด คิลานุปัฏฐากมีอยู่ไปเสียเถิดท่าน.
    ครั้นท้าวมหาราชไปแล้วท้าวสักกะจอมเทพ(พระอินทร์)ก็มาโดยนัยนั้นเหมือนกัน.
    เมื่อท้าวสักกะเสด็จไปแล้ว ท้าวสุยามะเป็นต้น แล้วท้าวมหาพรหมก็พากันมา.
    พระเถระส่งเทพและพรหมเหล่านั้นไปอย่างนั้นเหมือนกัน.
    นางพราหมณีเห็นพวกเทวดามาและไป คิดว่าพวกเหล่านั้นเป็นใครหนอ จึงมาไหว้แล้วไหว้อีกซึ่งบุตรของเราแล้วก็ไป จึงไปยังประตูห้องของพระเถระ ถามว่าเป็นอย่างไร พ่อจุนทะ พระเถระบอกเรื่องนั้นแล้ว กล่าวว่า มหาอุบาสิกามาแล้วขอรับ.
    พระสารีบุตรถามว่าทำไมจึงมาผิดเวลา.
    นางพราหมณีตอบว่า มาเยี่ยมเจ้าซิลูก แล้วถามว่าพวกใครมาก่อนพ่อ.
    พระเถระตอบว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ อุบาสิกา.
    นางพราหมณีถามว่า พ่อ เจ้าเป็นใหญ่กว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ หรือ.
    ตอบว่าอุบาสิกา ท้าวมหาราชเหล่านั้นก็เหมือนเด็กวัด ทรงถือพระขรรค์อารักขา ตั้งแต่พระศาสดาของเราทรงถือปฏิสนธิ.
    ถามว่าครั้นท้าวมหาราชเหล่านั้นกลับไปแล้ว ใครมาอีกล่ะลูก.
    ตอบว่าท้าวสักกะจอมเทพ.
    ถามว่าเจ้าเป็นใหญ่กว่าท้าวสักกะหรือลูก.
    ตอบว่าอุบาสิกา ท้าวสักกะนั้นก็เหมือนสามเณรถือของเมื่อพระศาสดาของเราลงจากดาวดึงส์ ก็ทรงถือบาตรและจีวรลงมา.
    ถามว่า ครั้นท้าวสักกะนั้นเสด็จกลับแล้ว ใครสว่างจ้ามาล่ะลูก.
    ตอบว่าอุบาสิกาผู้นั้นชื่อท้าวมหาพรหม ชั้นสุทธาวาส เป็นทั้งผู้มีบุญคุณ ทั้งครูของแม่ จ๊ะ.
    ถามว่าเจ้ายังเป็นใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมอีกหรือ.
    ตอบว่า จ้ะ อุบาสิกา. ได้ยินว่า ในวันที่พระศาสดาของเราประสูติ ท้าวมหาพรหมทั้ง ๔ ชื่อนี้ ใช้ข่ายทองมารับพระมหาบุรุษ
    ครั้งนั้น เมื่อนางพราหมณีคิดว่า บุตรของเรายังมีอนุภาพถึงเพียงนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าศาสดาของบุตรเรา จะมีอานุภาพสักเพียงไหน.
    ปิติ ๕ อย่างเกิดขึ้นแผ่ไปทั่วเรือนร่างอย่างฉับพลัน.
    พระเถระคิดว่า มารดาของเราเกิดปิติโสมนัส บัดนี้เป็นเวลาเหมาะที่จะแสดงธรรมจึงกล่าวว่า จะคิดไปทำไมมหาอุบาสิกา.
    นางพราหมณีกล่าวว่า บุตรของเรามีคุณถึงเพียงนี้ พระศาสดาของบุตรเราจักมีคุณสักเพียงไหน ดังนั้น แม่จึงคิดอย่างนี้นะลูก.
    พระเถระกล่าวว่า ท่านมหาอุบาสิกา สมัยพระศาสดาของเราประสูติ ออกมหาภิเนษกรมณ์ตรัสรู้ และประกาศพระธรรมจักร หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหว ขึ้นชื่อว่าผู้เสมอด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติญาณทัสสนะไม่มีแล้วกล่าวพระธรรมเทศนาอันประกอบด้วยพระพุทธคุณอย่างพิสดาร ว่าแม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นต้น.
    เวลาจบพระธรรมเทศนาของบุตรที่รัก นางพราหมณีก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วกล่าวกะบุตรว่า พ่ออุปติสสะ เหตุไร เจ้าจึงได้กระทำอย่างนี้ล่ะลูก เจ้าไม่ให้อมตธรรมชื่อนี้แก่แม่ ตลอดเวลาถึงเพียงนี้.
    พระเถระคิดว่า บัดนี้ค่าน้ำนมข้าวป้อน ที่นางสารีพราหมณีมารดาของเราให้ไว้ ก็ได้รับชดใช้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงส่งนางพราหมณีไปด้วยกล่าวว่า ไปเถิดมหาอุบาสิกา แล้วถามว่าจวนสว่างหรือยัง.
    ตอบว่าจวนสว่างแล้วขอรับ.
    สั่งว่าถ้าอย่างนั้น จงประชุมพระภิกษุสงฆ์เถิด.
    ตอบว่าพระสงฆ์ประชุมกันแล้วขอรับ.
    สั่งว่ายกเราขึ้นนั่งทีซิ. พระจุณทะ ก็ยกขึ้นให้นั่ง.
    พระเถระเรียกภิกษุทั้งหลายว่าผู้มีอายุ พวกท่านอยู่กับเรามาถึง ๔๔ ปี ไม่ชอบใจกรรมทางกาย หรือกรรมทางวาจาของเราอันใด ผู้มีอายุจงงดโทษนั้นเสียเถิด.
    ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่าท่านขอรับ พวกเราเที่ยวไปไม่ละท่านเหมือนเงาชื่อว่า กรรมที่ไม่ชอบใจถึงเพียงนี้ย่อมไม่มีแก่พวกเรา แต่ขอท่านโปรดงดโทษแก่พวกเราเสียด้วย.
    ครั้นแสงอรุณปรากฏ พระเถระยังมหาปฐพีให้เลื่อนลั่นแล้วปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. เทพดาและ
    มนุษย์เป็นอันมาก พากันกระทำสักการะในสถานที่ปรินิพพาน.
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    [​IMG]
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    “จัดอาหาร ล้วนชั้นเลิศ ถวายพระ
    ต้องสละ ทั้งเวลา และทรัพย์สิน
    หวังผลบุญ หนุนนำ ค้ำชีวิน
    พระได้กิน ของดีกัน ทุกวันไป
    พระแท้แท้ พ่อแม่เรา ที่อยู่บ้าน
    ข้าวสักจาน เคยตัก ให้ท่านไหม
    ท่านกินอยู่ หลับนอน กันอย่างไร
    แค่โทรไป วันละครั้ง ยังไม่มี
    รีบเถอะครับ ทำบุญ กับพ่อแม่
    ดีแน่แท้ ก่อนท่านตาย กลายเป็นผี
    ผลบุญการ กตัญญู กตเวที
    นั้นมากมี เหลือล้น พ้นประมาณ
    ต่อให้ตัก บาตรพระ เป็นล้านครั้ง
    สร้างโบสถ์หลัง ใหญ่โต มหาศาล
    ผลบุญไม่ เทียบเท่า ข้าวหนึ่งจาน
    ที่เราท่าน ป้อนพ่อแม่ แค่ครั้งเดียว"

    credit:จ่า อิทธิพัทธ์ กีรติพุทธิโสภน




    [​IMG]



    ***********************************************************



    [@พระสมุห์วิทยา ณศรีบุญเรือง]_ได้โพสต์ไว้ว่า: หลวงพ่อเจ้าคุณดูแลแม่ พระราชพรหมจริยคุณ เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด ช่วยดูแลคุณแม่อุทัย มูลสุข (โยมมารดาของท่าน) อายุ 80 ปี ซึ่งป่วยหนัก เป็นแบบอย่างแห่งความกตัญญู
    CREDIT: @พระสมุห์วิทยา ณศรีบุญเรือง |https://goo.gl/X50Rcu —(22/1/59)



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มกราคม 2016
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    [​IMG]




    แผ่เมตตาให้กับบิดามารดาเป็นของสำคัญ เพราะขันธ์ ๕ เอามาจากพ่อแม่ ที่เอามาทำบุญสุนทาน ทำคุณงามความดีนี่ ถ้าไม่มีขันธ์นี้จะเอาอะไรมาทำเล่า ถึงจะไปสวรรค์ไปพรหม มันก็ต้องอาศัยขันธ์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอามาภาวนา จะพ้นความมืดไปได้ ก็เพราะเอามาจากพ่อแม่นี่ละ
    ‪#‎โอวาทธรรมหลวงปู่บุญฤทธิ์‬ ปันฑิโต




    6 มกราคม 2559
    น้อมกราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน
    ‪#‎คัดลอกจาก‬ เมตาตาธรรม คุ้มครองสามแดนโลกธาตุ
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    อีกเหตุ....ที่ช่วยให้อธิษฐานมั่นคงในการบำเพ็ญฯต่อไป

    <EMBED height=360 type=application/x-shockwave-flash width=480 src=//www.youtube.com/v/pReZTqe-dhE?hl=th_TH&version=3&rel=0 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>



    <object width="480" height="360"><param name="movie" value="//www.youtube.com/v/t9WL0ibJ5_4?hl=th_TH&amp;version=3&amp;rel=0"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="//www.youtube.com/v/t9WL0ibJ5_4?hl=th_TH&amp;version=3&amp;rel=0" type="application/x-shockwave-flash" width="480" height="360" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object></EMBED>
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    [​IMG]



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2016
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    หลวงปู่ปาน และ บุพการี

    [​IMG]







    หลวงพ่อปานมีความกตัญญูต่อพ่อแม่

    หลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับ
    พ่อแม่มาก เวลาป่วยท่านไม่ยอมให้อยู่ที่บ้าน
    ท่านนำมารักษาที่วัดให้นอนในกุฏิท่าน ผ้านุ่งผ้า
    ห่มของท่านท่านซักเอง เวลาท่านแม่ลุกไม่ถนัด
    ท่านก็อุ้มลุกอุ้มนั่ง เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้
    มีหลายคนตำหนิท่านว่า ท่านเป็นพระ ทำอย่าง
    นี้แม่ท่านจะบาป
    ท่านก็เลยบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่บาป
    เป็นความดีที่แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่
    เวลานี้ท่านเป็นพระเป็นลูกของพระพุทธเจ้า
    ท่านก็เลยทำตามพระพุทธเจ้า
    พระองค์เทศไว้ในพระไตรปิฎกมีอยู่ ในสมัยที่
    พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติมีนาม
    ว่า "สุวรรณสาม" สมัยนั้นพระองค์ก็ปรนนิบัติดูแล
    ท่านพ่อท่านแม่ของท่านเป็นอย่างดี

    ที่มาจาก หนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน
    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    หนุ่มพิการยอดกตัญญูสู้ชีวิต นอนสานตะกร้า หารายได้ช่วยแม่ หลังผู้เป็นพ่อเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพบ นายพรเฉลิม เกิดสวัสดิ์ อายุ 27 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 120 หมู่ที่ 2 ต.บางพลับ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง หนุ่มพิการทางการเคลื่อนไหวช่วงขาด้านล่าง นอนสานตะกร้าหวาย เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว และช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ที่แก่ชรา
    นายพรเฉลิม เล่าว่า เมื่อ 10 ปีก่อน ตนประสบอุบัติเหตุ จนไม่สามารถเดินได้ ซึ่งพ่อและแม่ก็ได้ดูแลตนเรื่อยมา จนกระทั่งผู้เป็นพ่อเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แม่จึงต้องรับภาระหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว ทำให้ตนคิดว่าต้องหาวิถีทางช่วงแบ่งเบาภาระแม่บ้าง จึงตัดสินใจช่วยแม่สานตะกร้าหวาย ถึงแม้ว่าในแต่ละวันจะสานได้ปริมาณไม่มาก แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้แม่เหนื่อยน้องลง
    หากคุณผู้ชมท่านใดต้องการให้ความช่วยเหลือ นายพรเฉลิม สามารถโอนเงินเข้า บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาโพธิ์ทอง หมายเลขบัญชีธนาคาร 122-0-15347-8 ชื่อบัญชี นางสาวจำนง อินสวัสดิ์ เพื่อนายพรเฉลิม เกิดสวัสดิ์ หรือติดต่อให้กำลังใจหนุ่มพิการยอดกตัญญูได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 084-3735344
    +++++++++++
    credit:เรื่องเด่นเย็นนี้ ช่อง3




    <iframe width="420" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/Vzj093Mya-k?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ''ความกตัญญูของน้อง ทำให้พี่ต้องหันมามองตัวเอง'' •
    หยุดมองด้วยความชื่มชมเสียงร้องเพราะๆ..
    ความกล้าหาญที่แสดงออกเพื่อครอบครัว
    ทำให้นึกย้อนไปสมัยเราอยู่วัยเรียน
    ใส่เสื้อนักเรียน..เรามัวทำอะไรอยู่นะ~
    กระบอกน้ำสีเขียวเป็นของน้องสาวตัวน้อย
    มานั่งวาดรุปข้างๆกล่องกีตาร์กับพี่ชาย..
    ขอให้น้องชายมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
    พี่เชื่อว่าต่อไปน้องต้องได้ดีคับ..
    น้องคนนี้เล่นอยู่สะพานลอยเดอะมอลล์บางกะปิครับ
    ใครผ่านไปเจอน้อง..ช่วยคนดีๆ ให้มีกำลังใจทำดียิ่งขึ้นครับ




    [​IMG]
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +70,473
    ปลดกรรม ลดกรรมที่ทำกับพ่อแม่และผู้มีพระคุณ


    สาเหตุสำคัญที่เป็นกรรมหนักที่ขัดขวางไม่ให้คนนั้นเจริญและร่ำรวยได้ มาจากความไม่กตัญญูรู้คุณพ่อแม่ และผู้ที่มีพระคุณ ผลของกรรมหนักนี้จะไปเป็นอุปสรรคกรรมสำคัญที่ปิดกั้นหรือขวางทางชีวิตไว้
    ครูบาอาจารย์ท่านเน้นเลยว่า ต้องทำเป็นเรื่องแรก ก่อนไปปลดกรรมลดกรรมอื่นทั้งปวง ถ้าทำเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่นๆ จะสำเร็จโดยง่ายดาย
    คนที่เป็นลูกที่ทำความช้ำใจให้พ่อแม่อยู่เนืองๆ นั้น ได้สร้างบาปกรรมให้กับตัวเองตลอดเวลาจนอยากที่มีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าได้ ประเภทอยากได้อะไรก็จะบังคับขู่เข็ญพ่อแม่ไม่ได้ดูเหตุผลอะไรเลย พูดจากก้าวร้าวเอาแต่ใจตัวเอง ประพฤติตนไปในทางเสื่อม ทำให้พ่อแม่ช้ำใจอยู่เนื่องๆ ไม่เลี้ยงดูตอบแทนท่านทอดทิ้งท่านหลายครอบครัวซ้ำร้ายไปกว่านั้นอีก แยกไปมีครอบครัวใหม่ยังไม่พอ ยังเอาลูกหรือหลานมาให้พ่อแม่เลี้ยงดูอีกโดยไม่ดูแลค่าใช้จ่าย คิดเอาแต่ได้เอาความสบาย ลูกแบบนี้สร้างเวรกรรมไม่ดีกับพ่อแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    โบราณท่านกล่าวว่า ผู้ใดทำให้พ่อแม่ร้องไห้น้ำตาตกนั้น คนผู้นั้นไม่มีวันเจริญได้ในชาตินี้
    สำหรับคนที่อยู่ในข่ายนี้ หรือแม้แต่เป็นลูกอกตัญญูต่อพ่อแม่นั้น ขอให้รู้สึกตัว รู้สำนึกผิดเสียรีบไปขอขมาขออโหสิกรรมต่อท่านเสีย รับรองว่าพ่อแม่ทุกคนท่านให้อโหสิกรรมแน่นอน เวรที่ทำกับท่านนั้นก็จะมีทางระงับแล้ว เพราะโจทก์นั้นท่านไม่เอาเรื่อง แต่กฎแห่งกรรมยังไม่จบ กรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ต้องส่งผลก็ต้องรับไป ก็หาวิธีไปแก้ไขกันไปให้จากหนักเป็นเบา
    แต่ก็มีหลายคนทำไปเพราะมีกรรมเก่าฝ่ายไม่ดีผูกพันติดตัวมา เป็นการชดใช้กรรมของกันและกัน แต่ผลของกรรมเหล่านี้สามารถผ่อนคลายจากหนักให้เป็นเบาได้ ด้วยสร้างกรรมดีขึ้นมาใหม่ที่มีกำลังมากกว่า เพื่อไม่ให้มีกรรมผูกพันกันต่อไปอีก
    ถ้าต้องมาเกิดในครอบครัวเดียวกันในชาติต่อไป กรรมที่จะผูกพันกันนั้นก็จะมีแต่กรรมดี ผลของกรรมดีจะทำให้มีความรักใคร่เอื้ออาทรต่อกันอย่างจริงใจ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่อาฆาตพยาบาทจองล้างจองผลาญกันอีก
    ผิดกับลูกที่กตัญญูรู้พระคุณของท่าน อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ท่านต้องช้ำ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับเฉา ทำอะไรก็สำเร็จ มีแต่คนยกย่องสรรเสริญ ยิ่งเป็นคนที่ตอบแทนพระคุณของท่านอย่างเต็มที่ อย่างเต็มใจ เต็มกำลัง คิดถึงท่านทุกลมหายใจ เห็นท่านเป็นผู้มีพระคุณอันดับแรกรับรองว่าชาตินี้ไม่มีจน
    อีกเรื่องหนึ่งเคยได้ยินครูบาอาจารย์คนสำคัญของเมืองไทยท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่ง ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมา ได้มาเล่าเรื่องราวที่เขาไปประสบมาว่า เขานอนหลับอยู่ดีๆ ก็มีคนนุ่งผ้าแดง 4-5 คนมาเรียกให้ลุกขึ้นและให้เดินตามไป เขารู้สึกตัวตลอดและรู้ตัวดีว่า เขาคงได้ตายไปแล้ว
    กลุ่มชายนุ่งผ้าแดงที่มาปลุกก็นำเขาไปที่แห่งหนึ่ง มีคนนั่งบนบัลลังก์และเรียกชื่อเขาถูกต้อง สงสัยจะเป็นท่านพญามัจจุราช และก่อนที่จะส่งตัวเขาไปตามกรรมที่เขาทำมา ท่านพญามัจจุราชก็ได้ถามว่า ตอนที่มีชีวิตอยู่ได้ทำความดีอะไรไว้บ้าง
    เขาก็ตอบว่า ก็ได้ทำไว้เยอะอยู่เหมือนกัน แต่ที่ทำทุกวันไม่ได้ขาดเลยก็คือ เขาต้องกราบเท้าพ่อแม่ก่อนนอนทุกคืน
    พญามัจจุราชได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งบอกว่า คนดีแบบนี้ส่งไปลงนรก ส่งไปขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่ได้ ต้องให้กลับไปอยู่ในโลกมนุษย์อีกระยะหนึ่งก่อน เพราะเคยทำความดีที่ยิ่งใหญ่ เหตุผลที่ให้กลับไปเพื่อให้ไปทำความดีนี้ต่อบอกและให้ไปเตือนสติผู้คนที่รู้จัก ให้ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ให้มาก แล้วจะรอดจากนรก
    หลังจากนั้น คนนุ่งผ้าแดงนั้นก็นำเขามาส่งที่เก่าและเขาก็ตื่นขึ้นมา นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็พยายามเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง และขอให้ช่วยกันบอกกันต่อๆ ไปเพื่อเป็นการชี้ทางให้กับทุกคนได้กระทำความดี
    การทำบุญที่ถูกต้องที่สุดของคนทุกคนนั้น ก็คือ ต้องทำบุญกับพ่อแม่ก่อนผู้อื่นทั้งสิ้น ท่านเป็นพระอรหันต์ที่เราทราบได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปวิ่งตามหานอกบ้านให้เหนื่อย หลายคนชอบทำบุญเอาหน้า เคยว่าที่ไหนมีพระดีก็วิ่งไปทำบุญ แต่พระในบ้านสองคนนั่งเศร้า คนพวกนี้ไม่รู้จักบุญที่แท้จริงคืออะไร
    คนที่เคารพบูชาพ่อแม่นั้นจะได้อานิสงส์บุญมากมาย ทั้งอายุยืน มีลูกออกมาก็จะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย เคารพบูชาพ่อแม่เหมือนกัน เพราะกระแสบุญที่ทำนั้นตอบสนองคืนกลับมายังผู้ที่ทำกรรมดี เป็นการเสริมสร้างกรรมดี เสริมสิริมงคลเข้าสู่ชีวิตของตนด้วยแรงกตัญญูที่จะทำให้ทุกคนได้มีโชคชะตาชีวิตที่ดี เจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยมีเงินทองมากมาย ไม่มีขัดสน เมื่อยามมีภัยก็จะรอดตัวไปได้
    วิธีตอบแทนบุญคุณพ่อแม่
    1 ต้องไม่ประพฤติตัว อันทำให้เสื่อมเสียแก่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของท่าน รักษาน้ำใจของท่าน โดยเฉพาะคำพูด อย่างทำให้ท่านน้อยใจหรือเสียใจเป็นอันขาด ถึงแม้จะไม่พอใจด้วยเหตุผลอะไรก็ตามขอให้ระงับสติอารมณ์ ให้นิ่งเสีย
    2. ต้องเลี้ยงดูท่านเมื่อเรามีกำลังแล้ว โดยเฉพาะยามที่ท่านชรา เอาใจใส่ในทุกเรื่องของท่าน ทั้งอาหารการกิน ที่อยู่หลับนอน สุขภาพโรคภัยไข้เจ็บ ทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านมีความสุข
    3. ต้องช่วยเหลือดูแลกิจการงานของท่าน ช่วยแบ่งเบาภาระของท่านเพื่อให้ท่านมีโอกาสพักผ่อนอย่างเต็มที่
    4. ถ้าท่านยังไม่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ลูกที่ดีและอยากให้พ่อแม่เป็นสุข ต้องพยายามแนะนำ พาท่านให้เข้าใจถึงหลักธรรม ชักชวนท่านสร้างบุญบารมีให้ถูกต้องทั้งการทำทาน ถือศีล และเจริญจิตภาวนา ซึ่งต้องใช้กรรมวิธีใดนั้น ขอให้คำนึงถึงความเหมาะสมและโอกาสเท่าที่จะอำนวย แม้พาท่านไปเที่ยววัด ไปทำบุญก็ถือว่า เป็นคนที่กตัญญูต่อพ่อแม่แล้ว
    5. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้อย่างสม่ำเสมอ แม้ท่านจะเกิดในภูมิที่สูงกว่าหรือไม่สามารถรับกุศลได้ การระลึกและแผ่เมตตาจิตให้แก่พ่อแม่เป็นมงคลอันประเสริฐ
    และเมื่อเราได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่แล้ว เราต้องทำกับผู้มีพระคุณในลำดับต่อไป ทั้งครูบาอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ เพื่อน คน สัตว์สิ่งของที่มีบุญคุณกับเราตามสมควร ตามกาล
    ขอจงจำไว้ให้มั่นอีกครั้งว่า ด้วยแรงกตัญญูนี้ จะเป็นบันไดสำคัญที่จะทำให้ทุกคนเจริญรุ่งเรืองและพบกับความร่ำรวยแบบถาวร และจะติดตัวทุกคนไปทุกภพชาติด้วย
    เคล็ดสำคัญมากข้อหนึ่ง ให้ไปกราบเท้าพ่อแม่ขออโหสิกรรมต่อท่าน ที่เราเคยหรืออาจจะเคยทำให้ท่านต้องช้ำใจทั้งกาย วาจา ใจ กรรมนี้หนักขวางทางเจริญทุกทาง ให้ไปหาน้ำสะอาดล้างเท้าพ่อแม่ เช็ดเท้าให้ท่านขอให้ท่านให้อโหสิกรรม ตั้งจิตอธิษฐานขอเป็นลูกที่ดี ขอพรจากท่านให้สำเร็จในการงานที่ทำ พรของพ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพรของเทวดาชั้นใดทั้งสิ้นเพราะท่านเป็นพระพรหมของลูก ถ้าท่านเสียชีวิตไปแล้วให้หมั่นสร้างบุญกุศล อุทิศบุญให้ท่าน และนึกถึงท่านอยู่เสมอเมือเจอเรื่องร้ายๆ จะคลายตัวลงได้



    จากหนังสือเรื่อง ปาฏิหาริย์วิชาศักดิ์สิทธิ์ ๒ ปาฏิหาริย์เชื่อมบุญ ปลดกรรม ชีวิตดีฉับพลัน โดย ธ.ธรรมรักษ์





    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...