กายทิพย์ วิญญาณ, ป้องกันคุณไสย, วิธีการละตัวตน, ทำสมาธิแต่กลัวผี, การเข้าญานสมาบัติ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 13 มีนาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    ปุจฉา : ด้วยเหตุใด บุคคลจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม และมีปัญญาในการกำจัดกิเลส

    วิสัชนา : ผู้ทรงธรรม ก็คือผู้ประพฤติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมผู้เรียนรู้ธรรม ผู้แสดงธรรม ผู้กระจายอธิบายและพูดโดยธรรม และผู้ประพฤติธรรมให้เจริญในหลักแห่งธรรมนั้นๆ เหล่านี้เรียกว่าผู้ทรงธรรม เมื่อเรามีพระธรรมอยู่ในใจ มีพระธรรมอยู่กับตัวมีพระธรรมอยู่กับชีวิต จิตวิญญาณของเรามันก็จะรอบรู้สิ่งต่างๆ ที่เข้ามารอบกาย หรือภายในกายว่าถูกหรือผิดดีหรือชั่ว เลวหรือหยาบ เมื่อนั้นเราก็จะสามารถกำจัดสิ่งที่เป็นศัตรู และยอมรับสิ่งที่เป็นมิตรได้ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้มีพระธรรม

    เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเป็นผู้มีพระธรรม ก็คือเมื่อใดที่เราเผชิญกับปัญหาที่จะทำให้เราเศร้าโศกเสียใจ และเราตั้งมั่นได้ไม่เสียศูนย์ ไม่เสียสมดุล ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการที่เราต้องทะยานอยาก ร้องห่ม ร้องไห้ ฟูมฟายเศร้าโศกเสียใจไปกับเขาด้วย เราสามารถยืนหยัดได้ โดยไม่เสียอะไรออกไปไม่แสดงสิ่งเหล่านี้ออกไป ไม่ทำสิ่งเหล่านี้ให้ใครรับรู้ ถือว่านั้นคือเรามีธรรม อย่างน้อยก็ความอดทน อดกลั้น ที่เรียกว่า ขันติโสรัจจะ ขันติคือความอดทนโสรัจจะคือความสงบเสงี่ยม เหล่านี้เรียกว่าผู้ทรงธรรม แต่ถ้าเมื่อใดที่มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เราเศร้าโศกเสียใจแล้วร้องไห้ เราก็พากันตีโพยตีพาย ร้องไห้ฟูมฟาย เสียน้ำตาเป็นตุ่มๆ อย่างนี้ แล้วเราก็บอกคนอื่นว่าเราเป็นผู้ทรงธรรม เป็นผู้รักษาธรรม นั่นไม่ใช่

    จำไว้อย่างคือ พระธรรมคือเครื่องกำจัดความเดือดร้อน พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญ พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดความทุกข์ยาก ลำบาก และสับสน พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดความกลัดกลุ้มหมกมุ่น และมึนงง พระธรรมเป็นเครื่องทำลายความมืดบอดและความดำสนิทพระธรรมเป็นเครื่องยังให้เกิดแสงสว่าง และปัญญาญาณหยั่งรู้ พระธรรมทำให้เราชาญฉลาด และอาจหาญ ทั้งสามารถที่จะดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายและสาระอย่างสมบูรณ์แบบ พระธรรมเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เรา ร้องไห้ โกรธ อาฆาตพยาบาท พระธรรมป้องกันไม่ให้เราผิดพลาดและเสียหาย ในขณะที่มีชีวิตหรือจบชีวิตแล้วนั่นคือความหมายของคำว่าพระธรรม

    ปุจฉา : วิญญาณของคนนั้น คงจะมีดวงเดียวเท่านั้น แต่มีหลายคนที่วิญญาณออกจากร่างแล้ว วิญญาณดวงที่หนึ่งจะไปเกิดทันที ส่วนวิญญาณดวงที่สองประจำกายทิพย์ จะไปกับกายทิพย์ ข้อนี้ความจริงเป็นอย่างไร

    วิสัชนา : จริงๆ แล้ว เราต้องเข้าใจความหมายของวิญญาณโดยสถานะสองสถานะก่อนว่า วิญญาณโดยอรรถและพยัญชนะในศัพท์ของพระธรรมแปลว่าการรับรู้นั่นคือวิญญาณ แต่วิญญาณโดยอรรถและพยัญชนะของชาวบ้าน แปลว่า สิ่งที่เป็นพลังงานจับต้องไม่ได้แต่แสดงกลุ่มก้อนของพลังงานได้ ที่พวกเราเรียกว่ากายทิพย์ หรือปรมันต์ ในภาษาบาลีสันสกฤต เรียกปรมันต์

    เมื่อวิญญาณมีโดยสองสถานะอย่างนี้ คำถามที่ถามว่า วิญญาณจริงไปเกิดทันที แต่วิญญาณประจำกายทิพย์ไปกับกายทิพย์หรือไม่ มีคำถามที่แฝงอยู่ในคำถามสองประโยคนี้ก็คือ คำถามว่าวิญญาณมีดวงเดียวหรือไม่ จริงๆ แล้ววิญญาณไม่ได้มีดวงเดียววิญญาณนี้จะเกิดดับตามสภาวะธรรมที่ปรากฎ เช่นตาเห็นรูปเกิดความรู้สึก เขาเรียกว่าวิญญาณสัมผัส วิญญาณผัสสะ ตาเห็นรูปเกิดผัสสะ เป็นวิญญาณคือการปรุงแต่ง มีความรู้สึกรับรู้เรียกว่า โสตะวิญญาณ จักษุวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณคือ วิญญาณที่เกิดจาก ตา หู จมูกลิ้น เพราะฉะนั้นสภาวะของวิญญาณตามอรรถและพยัญชนะแห่งหลักอภิธรรมนั้น ก็คือวิญญาณที่เป็นความรู้สึกที่รับรู้จากตาเห็นรูป หูฟังเสียงจมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายจับต้องสัมผัสมันก็จะเกิดเป็นหลายๆร้อยดวง ในขณะที่ตาเห็นรูปตรงนี้ หันไปอีกที่ก็เห็นรูปตรงนั้นวิญญาณตรงนั้นมันดับไปแล้ว เช่น ขณะนี้หลวงปู่มองเห็นองค์กฐิน และหันไปอีกที่ก็เห็นต้นกล้วยองค์กฐินดับแล้ววิญญาณแห่งการรับรู้องค์กฐินมันดับแล้วเกิดวิญญาณชนิดใหม่ คือ วิญญาณที่เห็นต้นกล้วย และขณะนั้นที่มองเห็นต้นกล้วยอยู่นั้น หูเกิดได้ยินเสียงมีคนพูดให้ฟังหรือเสียงเด็กร้อง วิญญาณทางหูเกิดขึ้นอีกแล้ว วิญญาณที่เห็นต้นกล้วยก็ดับอีกแล้ว เพราะฉะนั้นกระบวนการเกิดดับของวิญญาณเป็นปรมาณูเป็นปรมันต์ เป็นสภาวะที่ยากต่อการจับต้อง เป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้จากกระบวนการความรู้สึกความนึกคิดของตัวเอง

    ทีนี้ในส่วนวิญญาณที่เป็นกายทิพย์ที่พวกเรา เรียกว่า วิญญาณเกิดจากตรงนี้ แล้วไปจุติตรงนั้นเนี่ยเป็นวิญญาณที่เป็นมวลสาร วิญญาณที่เป็นกลุ่มก้อนของพลังงานในความเข้าใจของเรา ต้องใช้คำว่า จิตวิญญาณเข้าไปด้วยเรียกวิญญาณเฉยๆ ไม่ถูกต้อง เรียกจิตบวกควบกล้ำกับคำว่าวิญญาณเข้าไปด้วยแล้วจะเข้าใจความหมายของมันอย่างถ่องแท้ว่า มันถือกระบวนการของรูปหญิง รูปชาย เมื่อตายไปแล้วมันจะมีพลังงานชนิดหนึ่งที่หลุดลอยออกไปจากร่างคนทั้งหลาย ชาวบ้านทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย เรียกพลังงานชนิดนี้ว่าจิตวิญญาณถามว่าจิตวิญญาณตรงนี้มันมีดวงเดียวไหม ในกลุ่มกันของพลังงานนั้นมันแปรสภาพได้ทุกเวลา มีดวงเดียวไหม มีดวงเดียว แต่องค์ประกอบของมันนั้นมากมายมหาศาล เหมือนกับพลังงานดึงดูดของโลก ซึ่งบรรจุองค์ประกอบจุลภาพของสสาร เข้าไปอยู่ในกระบวนการของจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น พลังงานของจิตวิญญาณมันแปรสภาพได้เสมอ มันเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามกระบวนการเหตุปัจจัยอันพร้อมมูล กระบวนการเหตุปัจจัยอันพร้อมมูลก็คือ กรรม การกระทำของเรานี่แหละเป็นตัวแปลงสภาพพลังงาน วิญญาณอันนั้นว่าจะให้เป็นเพศหญิงหรือชายเป็นสุนัข ไก่ วัว ควาย เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย กรรมตรงนี้มีอำนาจเหนือพลังงานอีก พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราฝึกจิต เพื่อจะพัฒนาและผลักดันกรรมตรงนั้นออกไปและมีอำนาจครอบงำ กรรมให้ได้ คือ ทำให้พลังงานเป็นพลังงานจริงๆ ทำให้กระบวนการแห่งจิตมีอำนาจจริงๆ ที่สามารถควบคุมจุลภาคของสสารได้ ควบคุมอณูแห่งบรรยากาศได้ ควบคุมอณูแห่งสสารทั้งมวลได้เมื่อเราสามารถควบคุมมันได้ก็ถือว่า เรามีอำนาจเหนือกรรม กรรมก็ไม่มีอำนาจที่จะผลักดันให้เราไปเป็นหมู หมา กา ไก่ วัว ควาย แต่เราจะเป็นผู้บ่งบอกเองว่าเราจะไปไหน ตรงนี้คือการพัฒนาจิต วิญญาณ


    http://www.onoi.org/
     

แชร์หน้านี้

Loading...