การระลึกชาติ พิสูจน์การเกิดใหม่

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย อธิมุตโต, 26 พฤศจิกายน 2008.

  1. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    การระลึกชาติ

    [​IMG]

    การระลึกชาติ หรือ ปุพเพนิวาสนุสติญาณ เป็นการใช้พลังจิตหยั่งรู้ถึงขันธ์ (ทั้งของตนเองและผู้อื่น) ที่อาศัยอยู่ในชาติก่อน ๆ

    การระลึกชาติอาจจะเกิดได้ ๒ วิธี
    ๑. ระลึกชาติได้ด้วยการฝัน
    ๒. ระลึกชาติด้วยสมาธิ ฌาณ ญาณ

    เมื่อฝึกบรรลุถึงจตุถฌาณ ทำใจให้สบาย ๆ ใช้กระแสจิตค่อย ๆ หยั่งลึกเข้าสู่ภวังค์ลึกลง ๆ เรื่อย ๆ ค่อย ๆ ย้อนนึกจากปัจจุบันถอยหลังไปอดีตจนถึงเมื่อยังเด็ก แล้วค่อย ๆ ปล่อยใจให้ลึกลงไปติดตามกระแสความรู้สึกที่หยั่งรู้อยู่ในขณะนั้นทำใจให้เข้าสู่สมาธิระดับเดียวกันกับภาวะความละเอียดอ่อนนั้น จะเข้าใจภาวะนั้นจากชาติหนึ่ง ถอยกลับไปอีกชาติหนึ่ง ในช่วงแรก ๆ ที่ฝึกนั้น จะเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่เมื่อฝึกจนพลังจิตแข็งแกร่งแล้ว ก็จะเห็นเป็นภาพได้ชัดเจนเหมือนภาพยนต์ เมื่อได้พบเห็นแล้ว ก็จะเข้าใจภาวะนิสัยเดิมในชาติก่อน ๆ อันฝังแน่นเป็นอนุสัย-สันดาน ในชาติปัจจุบัน เราก็นำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ที่ดีแล้วก็พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น

    เมื่อได้ระลึกชาติแล้ว พึงสังวรไว้ว่า

    ครั้งก่อนเคยเกิดเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ก็อย่าคิดว่าจะใหญ่มาถึงชาตินี้
    ครั้งก่อนเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือผีเปรต ก็อย่านำมาคิดเสียใจ
    คนเรานั้น ถ้าหลงอดีต ก็จะไม่ถึงปัจจุบัน ถ้าหลงปัจจุบัน ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะได้


    หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับที่ ๗๔๒๓ วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๑ ได้ลงข่าวว่า ได้พบเด็กระลึกชาติรายใหม่ อายุเพียง ๓ ขวบ หนียายออกจากบ้านไปหาครอบครัวเมื่อชาติก่อน เผยความหลังชาติก่อนเป็นครู ถูกคนร้ายยิงตาย มีลูก ๕ คน เมียเก่าและลูกได้ยินเรื่องราวถึงกับตะลึง เพราะรู้เรื่องชาติก่อนได้ถูกต้อง เพื่อนเก่าเป็นตำรวจก็อัศจรรย์ใจ เมื่อเด็ก ๓ ขวบทักทายว่า จำได้ไหม แล้วเล่าความหลังให้ฟัง
    เด็กระลึกชาติรายใหม่ที่จำความชาติปางก่อนได้ถูกต้อง คือ ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ เดี๋ยวนี้อายุ ๑๐ ขวบ (พ.ศ.๒๕๒๑) บุตรของนายเบิ้ม หรือคำรณ นางสมคิด อยู่บ้านเลขที่ ๑๘๙ หมู่ที่ ๑ กิ่งอำเภอวังทรายพูน จังวัดพิจิตร นายเบิ้มผู้เป็นพ่อมีอาชีพเป็นช่างตัดผม แม่ตัดเย็บเสื้อผ้า ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ พักอยู่ที่บ้านเลขที่ ๒๐ ฎ ซอยโลหิตสุข ถนนดินแดง แขวงห้วยขวาง เขตพญาไท กทม. แต่ ด.ช. ชนัย อาศัยอยู่กับยายที่พิจิตร ชื่อนางพรม เบ็ญทอง อายุ ๖๗ ปี พักอยู่ที่ ๖๐๘ หมู่ที่ ๑ ตำบลทัพคล้อ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ ร.ร.วัดเขาทราย อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร
    นางพรม เบ็ญทอง ผู้เป็นยาย ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐว่า มารู้ว่า ด.ช. ระลึกชาติได้ ก็เพราะ ด.ช. ชนัย ได้เล่าเรื่องแต่ชาติปางก่อนให้ยายฟังว่า เมื่อชาติก่อนตัวเองเป็นครูชื่อ "บัวไข หล่อนาค" สอนประจำอยู่ที่โรงเรียนท่าบ่อ ตำบลบางหว้า อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร จากนั้น ด.ช. ชนัย ยังได้เล่าว่า แต่เดิมตนมีพ่อชื่อนายเขียน แม่ชื่อนางยวง แล้วยังมีภรรยาชื่อนางสวน มีลูกกับนางสวน ๕ คนด้วยกัน เป็นหญิงสามชายสอง คนโตชื่อ น.ส. บรรจง หรือติ๋ม คนที่สองชื่อ น.ส. เบญจา หรือต๋อย ทั้งสองคนนี้เป็นฝาแฝด คนที่สามชื่อ นายณรงค์ คนที่สี่ชื่อ นายบุญเทียม และคนสุดท้องชื่อ น.ส. น้ำค้าง
    ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ หรือนายบัวไข หล่อนาค เมื่อชาติก่อน ได้เล่าเหตุการณ์ที่ตนต้องตายว่า ขณะนั้นภรรยาในชาติก่อน คือนางสวน ได้ตั้งท้องลูกสาวคนเล็ก คือ น.ส.น้ำค้างได้ ๓ เดือน นายบัวไขได้ขี่รถจักรยานจะไปสอนหนังสือที่โรงเรียน ได้ถูกคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นใครลอบยิงข้างหลัง ซึ่งแผลเป็นรอยกระสุนยังติดตัวมาถึงชาตินี้ โดยถูกลอบยิงจากท้ายทอยทะลุหน้าผาก
    ฝ่ายผู้เป็นยายคือนางพรม เมื่อรับฟังเรื่องราวจากหลานชายวัย ๓ ขวบ ในตอนแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง ด.ช. ชนัย ได้พยายามหนีออกจากบ้านขึ้นรถประจำทางจากตำบลทับคล้อ อำเภอตะพานหิน ไปที่อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เพื่อเยี่ยมครอบครัวของนางสวนภรรยาในชาติก่อน นางพรมจึงต้องตามไปด้วย เมื่อพบกันและเล่าความหลังให้ฟัง ก็ปรากฏว่าฝ่ายครอบครัวของนางสวนเชื่อสนิทว่า ด.ช. ชนัย คือนายบัวไขในชาติก่อน นอกจากนี้ ด.ช. ชนัย ยังสอบถามนางสวนว่า ของมีค่าที่ให้เก็บไว้ในชาติก่อนนั้นยังอยู่ดีหรือ ซึ่ง ด.ช. ชนัย หมายถึงปืนสองกระบอกพร้อมกับบอกที่ซ่อนของ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวเมื่อได้รับคำบอกเล่า ถึงกับตะลึง
    ผู้สื่อข่าวไทยรัฐรายงานว่า เมื่อ ด.ช. ชนัยได้พยหน้ากับ จ.ส.ต. สนาน เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่ง ส.ภ.อ.เมืองพิจิตร ซึ่งเดิม จ.ส.ต. สนาน เป็นเพื่อนสนิทของนายบัวไข ทันทีที่พบหน้า ด.ช. ชนัยก็เอ่ยปากทักว่า
    "เฮ้ย หนานยังอยู่สบายดีหรือ จำเราได้ไหม เราบัวไขเพื่อนเก่าของนายไงล่ะ"
    จ.ส.ต. สนานถึงกับตะลึงไปเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเด็กอายุ ๓ ขวบจะเป็นเพื่อนของตน เมื่อสอบถามเรื่องความหลังซึ่งกันและกัน ด.ช. ชนัย ก็เล่าความหลังได้ถูกต้องทุกอย่าง และเมื่อถามถึงอาหารการกินที่ชอบ ด.ช. ชนัย ก็บอกว่า
    "ชอบไข่ดาวกับข้าวหลาม"
    ซึ่งทุกคนยอมรับว่านายบัวไขเมื่อชาติก่อนชอบอาหารเช่นนั้นจริงๆ และแม้ในชาตินี้ ด.ช. ชนัย ก็ยังชอบอาหารชนิดนี้ นอกจากนี้ จ.ส.ต. สนาน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของนางสวนทุกคน รวมทั้งลูก ๆ ทุกคนของนายบัวไขในชาติก่อน ต่างก็ยอมรับว่า ด.ช. ชนัยผู้นี้คือพ่อของตนในชาติก่อนจริง และปัจจุบัน ด.ช. ชนัย ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวนี้โดยสนิทสนม
    ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ถาม ด.ช. ชนัย ซึ่งปัจจุบันอายุ ๑๐ ขวบ ในทำนองกระเซ้าว่า
    "ถ้ามีคนมาสู่ขอนางสวนภรรยาเก่าในชาติก่อนของ ด.ช. ขนัย จะว่ายังไง"
    ด.ช. ชนัย ไม่ตอบ แต่แสดงอาการหึงหวงเห็นได้ชัด และไม่พอใจต่อคำถามนี้มาก แต่ได้หัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกไว้
    เรื่องที่เล่ามาข้างบนนี้ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้มีโอกาสไปสอบสวนพบปะกับครอบครัวของ ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ ทั้งในปัจจุบันและชาติก่อนด้วยตนเองก็ดี แต่บังเอิญมีสมาชิกของชมรมกฏแห่งกรรม คือ คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ผู้จัดการสหธนาคาร จำกัด สาขาจังหวัดชลบุรี และคุณสงบ แจ่มพัฒน์ หรือ "อนามิส" แห่งหนังสือ รายสัปดาห์ "บางกอก" ทั้งสองท่านนี้ได้เดินทางไปจังหวัดพิจิตรด้วยรถยนต์ส่วนตัวของคุณประสิทธิ์ พร้อมด้วยคนขับ เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้ไปพบนาวพรม เบ็ญทอง ยาย และ ด.ช. ชนัย พบพ่อ-แม่-นายเขียนและนางยวง และภรรยา-นางสวนและลูกๆ ในชาติก่อน ได้สัมภาษณ์อย่างละเอียดลออได้ความตรงกัน และยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมยืนยันอีกหลายอย่าง แสดงว่า ด.ช. ขนัย ชูมาลัยวงศ์ นั้นเป็นคุณครูบัวไข หล่อนาค มาเกิดใหม่แน่นอน
    ต่อไปนี้จะขอนำข้อความที่น่าสนใจ ที่คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ได้ไปสัมภาษณ์ ยาย, พ่อ, แม่, และภรรยาในชาติก่อน มาเพิ่มเติมอีกสักหน่อย
    ตอนที่นางพรม เบ็ญทอง-ยาย ได้พาเด็กชายชนัยไปพบ พ่อ-แม่ ในชาติก่อน ด.ช. ชนัยเป็นผู้บอกนำทาง เมื่อไปทางถนนใหญ่แล้ว ก็ชี้ให้เข้าตรอกซอยจากถนนใหญ่อีกไกลกว่าจะถึงบ้านพ่อแม่เขา เมื่อไปถึงเขาก็เดินนำเข้าไปในบ้านซึ่งมีคนนั่งอยู่หลายคน ทั้งคนอายุมากและเด็กๆ ด.ช. ชนัยก็ตรงเข้าไปกราบชายอายุมากคนหนึ่งและหญิงอีกคนหนึ่งแล้วก็ร้องไห้ พูดว่า
    "พ่อจ๋า แม่จ๋า ลูกมาหา ลูกคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่มาก"
    ชายหญิงมีอายุทั้งสองที่เด็กอ้างว่าเป็นพ่อแม่ในชาติก่อนก็ตกตะลึงงง และสงสัย เพราะจู่ๆ ไม่ทันรู้ตัวก็มีเด็กเข้ามากราบแล้วร้องไห้เรียก พ่อ แม่ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นเด็กและยายมาก่อน ส่วนยายเองก็ตื่นเต้น เพราะว่าที่นั่นมีผู้ใหญ่อยู่บนเรือนหลายคน ทำไมเด็กอายุแค่นั้น (๓ ขวบ) จึงไปเจาะจงว่าคนนั้นคนนี้เป็นพ่อเป็นแม่มาแต่ชาตอก่อน เด็กบอกว่าเป็นครูบัวไขมาเกิด ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่แน่ใจว่าจะเป็นครูบัวไขลูกของตัวมาเกิด แต่เมื่อเห็น แผลเป็น เหมือนครูบัวไขลูกชาย ที่ถูกยิงจากท้ายทอยทะลุออกหน้าผาก ก็ชักจะมีน้ำหนักพอที่จะเชื่อ
    ตอนที่ยายพา ด.ช. ชนัยไปพบพ่อแม่อีกครั้งหนึ่งตามนัด มีผู้คนทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่ นั่งคอยอยู่ในบ้านก่อนแล้ว เพื่อเป็นพยานช่วยกันพิสูจน์เรื่องครูบัวไขกลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่ ญาติผู้หนึ่งได้ถามขึ้นว่า
    "เราอ้างว่าเป็นครูบัวไขน่ะ จำเมียของเราได้ไหมว่าชื่ออะไร"
    ด.ช. ชนัยก็หันไปมองเมียแล้วตอบทันทีว่า
    "ชื่อสวนนะซิ"
    เสียงพึมพำพึงเกิดขึ้น ต่วก็แปลกใจที่เด็กบอกได้ถูกต้อง ต่อมาแม่เขาก็นำของใช้ของธรรมดาหลายอย่างปนกันมาให้ดูแล้วบอกว่า
    "อะไรเป็นของลูกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ยังจำได้ไหมหยิบให้แม่ดูซิ"
    เด็กก็หยิบดูแล้วว่า "นี่เป็นของผม นี่ไม่ใช่ของผม โน่นก็เป็นของผม"
    เสร็จแล้วเขาก็จูงมือแม่เขาเดินดูในบ้าน แล้วก็ชี้ว่า
    อ้ายตรงนี้ของๆ ผมตั้งอยู่ที่นี่มันหายไปไหน ตรงโน้นของผมตั้งอยู่หายไปไหน หนังสือของผมอยู่ในตู้มันหายไปไหนหมด"
    เมียในชาติก่อนเขาก็ตอบว่า "เมื่อเจ้าของไม่อยู่ฉันก็ให้เขาไปซิ จะได้เป็นประโยชน์กับผู่อื่นต่อไป"
    เมื่อ ด.ช. ชนัยได้ยินเช่นนั้นก็พูดว่า
    "เมื่อให้ไปแล้วก็แล้วไปนะ"
    ต่อมาแม่เขาก็ถามขึ้นอีกว่า
    "แล้วอะไรของลูกที่นึกออว่ายังมีอะไรบ้าง"
    เด็กก็บอกว่า "พระของผมยังมีอยู่พวงหนึ่ง"
    แม่ถามว่า "พระของลูกมีกี่องค์"
    เด็กบอกว่า "พระของผมมีอยู่ ๓ องค์ เป็นพระเครื่องนางพญา"
    คราวนี้พวกที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนแอบกระซิบถามเมียเมื่อชาติก่อน ว่าจริงไหมที่เขาพูด เมียเขาก็บอกว่าเป็นความจริงทุกอย่าง
    คราวนี้มีผู้ถามว่า "ก่อนที่ครูจะถูกยิงตายวันนั้น ครูทำอะไรบ้าง พอจะนึกออกไหม"
    ด.ช. ชนัย บอกว่า
    "เช้าวันนั้นผมก็ซักผ้าก่อน แล้วผมก็ถอดพระที่ห้อยคอไว้ที่โต๊ะ แล้วก็ไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็มากินข้าวแล้วก็แต่งตัวถีบจักรยานไปโรงเรียน วันนั้นผมลืมพระไว้ ไม่ได้ห้อยคอติดตัวไปด้วย ปืนสั้นที่เคยพกก็ไม่ได้พกไป วันที่ผมถูกยิงไม่ได้เอาติดตัวไปเลย ถ้าผมไม่ลืมเอาไปด้วย เมื่อถูกยิงตายก็คงไม่มีอะไรเหลือ
    พ่อในชาติก่อนของเด็กได้ถามขึ้นว่า
    "ปืนอะไรที่ลูกมี"
    เด็กก็ตอบว่า "ก็ปืนสั้น ปืนยาวอย่างละกระบอก"
    พ่อแม่และเมียต่างก็รับว่าจริง ตอนนั้นทั้งพ่อแม่และเมียและญาติต่างก็เช็ดน้ำตา บางคนก้มหน้าสะอึกสะอื้น
    ญาติที่สนใจถามว่า
    "ที่หนูอ้างว่าเป็นครูบัวไขถูกยิงตายกลับชาติมาเกิดคงจะรู้เรื่องวันที่ถูกยิงได้ดี ถูกยิงเวลาเช้าไปโรงเรียน หรือบ่ายกลับจากโรงเรียน"
    เด็กตอบว่า "เขายิงเวลาที่ฉันถีบจักรยานที่จะไปโรงเรียน"
    แล้วมีผู้ถามต่อไปว่า "เมื่อครูตายแล้วเขาเอาศพครูไปเผาที่วัดไหน"
    เด็กตอบว่า "เขาก็เอาไปเผาที่วัดตะพานหินนะซิ"
    ต่อจากนั้นแม่เขาก็ไปหยิบเข็มขัดที่เป็นช่องสำหรับใส่ลูกปืนคาดเอว ๕-๖ สาย ทำเหมือนจะเสี่ยงทายแล้วพูดว่า
    "เข็มขัดกระสุนเหล่านี้ หากลูกจำได้ว่าอันไหนเป็นของลูกก็หยิบขึ้นมา ถ้าหยิบไม่ถูกจำไม่ได้ก็เป็นอันว่าไม่ใช่ลูกของแม่"
    ตอนนั้นยายของเด็กรู้สึกตื่นเต้นใจคอไม่สบาย เพราะกลัวว่าหลานชายจะหยิบผิดจำไม่ได้ และกลัวเขาจะหาว่ายายพาหลานมาหลอกลวงเขา ทำให้คิดวุ่นวาย ใจเต้น คอยจ้องตาดูว่าเด็กจะหยิบถูกหรือผิด เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ แต่เมื่อเด็กมองดูแล้วก็ไม่ได้ชักช้าเสียเวลา หยิบเข็มขัดสายหนึ่งยังมีลูกกระสุนเสียบอยู่ ๓ ลูก ออกมาชูขึ้นบอกว่า
    "แม่ เข็มขัดลูกปืนเส้นนี้เป็นของฉัน"
    เมื่อผู้เป็นแม่ในชาติก่อนเห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้โฮ และพวกญาติที่นั่นก็ร้องไห้ตามไปด้วยหลายคน ส่วนยายที่ใจกำลังเต้นตุกตักอยู่นั้นก็ค่อยโล่งอกหายใจทั่วท้อง เมื่อพ่อแม่เขารับว่าถูกต้องแล้ว เป็นครูบัวไขมาเกิดแน่ แล้วแม่ก็ร่ำครวญว่า
    "พุทโธ่เอ๋ย ลูกของแม่ ญาติของเราก็มีถมเถไป ทำไมลูกจึงไม่มาเกิดในสายญาติของเราละลูก ทำไมต้องไปเกิดทางไกลอย่างนี้"
    ด.ช. ชนัย ได้ตอยว่า "เราจะเลือกเกิดไม่ได้หรอกแม่ แล้วแต่ผู้จัดการบันดาลให้เราเกิด เราขัดคำสั่งเขาไม่ได้ เขาสั่งให้เราเกิดที่ไหน เราก็ต้องเกิดที่นั่น ถ้าหลบไปเกิดที่อื่น ไม่ช้าเขาก็เอาตัวกลับไปอีก เราก็ต้องรับโทษ"
    ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงเมียในชาติก่อนเขาพูดอย่างเยาะๆ ว่า
    "เกิดมาชาตินี้จะเจ้าชู้มีเมียมากอีกไหม"
    เด็กได้ตอบว่า "ฉันเข็ดแล้วไม่เอาอีก" แล้วเล่าให้เมียฟังว่า
    "เขาบังคับทำโทษให้ฉันแก้ผ้าหมด เหลือแต่ตัวเปล่าล่อนจ้อน เขาพาไปที่สระบัวกว้างใหญ่ เขาให้ฉันเดินลัดบุกฝ่าดงบัวเหมือนทำโทษที่ฉันเจ้าชู้มีเมียมาก ฉันได้รับความลำบากมาก กว่าจะเดินฝ่าดงบัวออกมาได้ เมื่อพ้นแล้วเขาก็ให้ใส่เสื้อผ้า มีคนมาประกบคุมตัวอยู่สิงข้าง พาฉันให้เดินมาพักหนึ่งแล้ว เขาก็บอกว่า ให้ไปเกิดได้ เขาส่งได้แค่นี้ ฉันก็มาเกิดตามที่เขาสั่งที่เขาเกณฑ์ให้เกิด แล้วฉันก็หมดความรู้สึก"

    อีกตอนหนึ่งที่นับว่าสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง วิญญาณ คือการที่ คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ได้สัมภาษณ์ ด.ช. ชนัย ซึ่งข้าพเจ้าได้คัดเอามาบางตอน
    ประสิทธิ์"วันที่หนูก่อนจะถูกยิงนั้น มีความรู้สึกอย่างไรบ้างที่ผิดปกติกว่าวันธรรมดา"
    ชนัย"วันที่ผมตาย ผมลืมไม่ได้แขวนพระติดตัวไปด้วย ธรรมดาผมไม่เคยลืม ปืนสั้นที่ผมเคยพกก็ไม่ได้พก เมื่ออาบน้ำกินข้าวเสร็จก็รีบแต่งตัว คว้าจักรยานถีบออกจากบ้าน เคราะห์ดีครับที่ผมไม่ได้ห้อยพระและพกปืนไป ไม่เช่นนั้นเมื่อผมถูกยิงตาย มันคงเก็บเอาไปหมด"
    ประสิทธิ์ "แล้วหนูรู้จักชื่อเสียงตัวคนร้ายที่ยิงหนูไหม แล้วเวลาตายรู้สึกอย่างไรบ้าง ใจวูบไปเลยหรือเจ็บปวดสาหัสก่อนตาย หรือเหมือนหลับไปเฉยๆ"
    ชนัย"ไม่หรอกครับ คนยิงไม่รู้จักว่าเป็นใคร เพราะเขายิงผมข้างหลัง ไม่รู้ตัวเวลาตาย รู้สึกวิญญาณผมออกจากร่างแล้ว ผมยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน ขายังสั่นกระดิกๆ เลือดออกทางแผล ถูกยิงตรงหัวไหลนองถนน"
    ประสิทธิ์ "เมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้วล่องลอยไปอยู่ที่ไหน พบปะอะไรบ้าง หนูยังจำได้ไหม ก่อนจะกลับมาเกิดใหม่ มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง"
    ชนัย"วิญญาณผมเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ สนเวียนไปหลายแห่ง จะไปไหนบ้างเวลานี้ผมจำไม่ได้ ผมลืมไปหมดแล้วครับ"
    ตามที่ ด.ช. ชนัย อ้างว่าเมื่อถูกยิงตายอยู่บนถนน วิญญาณได้ออกจากร่างแล้ว ยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน ขายังสั่นกระดิดๆ เลือดออกทางแผลที่ถูกยิงตรงหัวไหลนองถนน นี้ตรงกับการศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เกี่ยวกับการตายแล้วรู้สึกอย่างไรกับผู้ที่ได้ตายไปแล้ว โดยแพทย์รับรองว่าตายแน่ เพราะ หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ และ กระแสคลื่นสมองก็ไม่มี และภายหลังได้ฟื้นขึ้นมาอีก กลับมีชีวิตต่อไปได้ แล้วได้เล่าเรื่องต่างๆ ที่ได้ปรากฏและพบเห็นขณะที่วิญญาณได้ออกจากร่างไปนั้น นักวิทยาศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายแพทย์ที่ควรจะกล่าวชื่อ คือ แพทย์หญิงเอลิซาเบธ คืบเลอร์-รอสส์ (Dr. Elisabeth Kubler-Ross) ซึ่งได้เขียนลงในหนังสือเรื่อง ความตายและกำลังตาย (On Death and Dying) และอีกคนหนึ่ง คือ ดร. เรย์มอนด์ เอ มูดี (Dr. Raymond A Moody Jr.) ท่านผู้นี้เป็น ดร. ทางปรัชญา และภายหลังได้เรียนต่อทางแพทย์ จนได้รับ M.D. จากมหาวิทยาลัย เวอร์จิเนัย สหรัฐอเมริกา. ท่านผู้นี้ได้กล่าวถึง ชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Life After Life) ในหนังสือเรื่อง การคำนึงถึงเรื่องชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Reflections on Life After Life) ได้ศึกษามานานถึง ๑๒ ปี ทั้งสองท่านนี้ได้พบว่ามีหลายต่อหลายรายด้วยกัน มีความรู้สึกว่าได้ล่องลอยออกจากร่าง และมองเห็นตัวเอง ทั้งได้ยินผู้คนที่มาแวดล้อมพูดจากันทุกอย่าง กระทำการแก้ไขเพื่อให้ฟื้น บางรายลอยไปในอุโมงค์มืดตื้อแล้วไปสู่ที่สว่างสวยงาม พบเพื่อนฝูงผู้คนที่ได้ตายไปแล้วมาต้อนรับ และชวนอยู่ด้วย บางรายเล่าว่า ความตายเป็นความสุขและความหวัง และไม่มีสักรายเดียวที่จะกลัวว่าจะตายอีก
    นอกจากท่านทั้งสองนี้ ยังมีอีกท่านหนึ่งชื่อ คาร์ลิส โอซิส (Karlis Osis) เป็นนักจิตวิทยา สมาชิกของสมาคมค้นคว้าทางจิตของอเมริกา ในกรุงนิวยอร์ค. ท่านผู้นี้ได้สัมภาษณ์นายแพทย์จำนวน ๘๗๗ คน ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการรักษาพยาบาลดูแลคนป่วยหนักที่กำลังจะสิ้นชีวิต. คนป่วยเหล่านี้มีมากต่อมากที่เล่าว่า มีคนมาคอยรับจะเอาชีวิตไป ทั้งนี้ตรงกับของเราที่ว่ามียมทู๖มาคอยรับเอาวิญญาณไป. นี่เฉพาะผู้ที่จะสิ้นชีวิตโดยสิ้นอายุขัย ไม่เกี่ยวกับผู้ที่ตายโดยยังไม่ถึงอายุขัย เช่นพวกตายโหง อย่างครูบัวไข หล่อนาค เป็นต้น. ทางพุทธศาสนาเราก็กล่าวว่า เมื่อสิ้นใจก็เกิดใหม่ทันที เป็นโอปปาติกะ ซึ่งจะไปสู่อบายภูมิหรือสวรรค์ภูมิ ขึ้นอยู่กับกรรมของตนที่ได้สร้างไว้
    การระลึกชาติของ ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ นับว่าเป็นการพิสูจน์เรื่อง "การเวียนตายเวียนเกิด" ค่อนข้างจะสมบูรณ์ดีมาก เพราะได้รับการยืนยันจากหลายแหล่งด้วยกัน คือ
    ๑) จากปากคำของ ด.ช. ชนัย ชูมาลัยวงศ์ เอง
    ๒) จากนางพรม เบ็ญทอง ยายของเด็ก
    ๓) จากนายเขียน และนางยวง หล่อนาค และพ่อแม่ของเด็กในชาติก่อน
    ๔) จากนางสวน หล่อนาค ภรรยาครูบัวไข
    ๕) จาก จ.ส.ต. สนาน เพื่อนสนิทของครูบัวไข
    ๖) จาก น.ส. ติ๋ม และต๋อย หรือ น.ส. บรรจง และ น.ส. เบ็ญจา หล่อนาค บุตรสาวฝาแฝดของครูบัวไข ๗) จากทรัพย์สินของใช้ของครูบัวไขหลายอย่าง ซึ่ง ด.ช. ชนัย จำได้อย่างแม่นยำ
    ๘) จากแผลเป็นที่ถูกยิงตายจากท้ายทอยทะลุออกทางหน้าผาก ซึ่งติดตัว ด.ช. ชนัย มาในชาตินี้ด้วย
    ๙) จากปากคำของ นายคำรณ หรือ "เบิ้ม" และนางสมคิด ชูมาลัยวงศ์ พ่อและแม่ของ ด.ช. ชนัย ในปัจจุบันนี้
    ความมหัศจรรย์ของวิญญาณที่หลายคนได้พบเห็นหรือสัมผัสนั้นทำให้เราได้เข้าใจโดยถ่องแท้ว่าเมื่อมี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • puth47.jpg
      puth47.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.1 KB
      เปิดดู:
      18,352

แชร์หน้านี้

Loading...