การเคลื่อนและการไหว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 15 เมษายน 2010.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    การเคลื่อนและการไหว
    โดย เขมานันทะ
    [FONT=&quot] บางส่วนจาก แผ่นดินดับ [/FONT]​
    [FONT=&quot] อนุทินการเดินทางของท่านเขมานันทะ[/FONT]​
    [FONT=&quot] โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดสติปัฏฐาน ๔ กระทู้ [/FONT] [FONT=&quot]14163 โดย: สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง 15 ก.พ. 48[/FONT]

    <table style="width: 80%; border-collapse: collapse; border-color: inherit; border-width: 2px;" width="90%" bgcolor="#f1eee4" border="1" bordercolor="#800000" cellpadding="0" cellspacing="0" height="100%"><tbody><tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot]กายเคลื่อนด้วยการยกมือ เดิน คู้ เหยียด ฯลฯ ใจไหวคิดไป[/FONT]
    [FONT=&quot]ทั้งกายเคลื่อนและจิตไหวคิด นั่นเองที่ทำให้รู้สึกตัว[/FONT]
    [FONT=&quot]ยิ่งเคลื่อนไหวกายมาก จิตไหวคิดมาก ความรู้สึกตัวก็จะไวและแรง[/FONT]
    [FONT=&quot]อาศัยกาย อาศัยจิตที่เคลื่อนไหวนั้น เป็นที่ตั้งของการภาวนา จนนิมิตต่างๆ ป่นละเอียด ด้วยความรู้สึกนั้นทั้งไวทั้งเข้มทั้งละเอียด จนไม่มีอะไรแม้สิ่งเดียวตั้งอยู่ได้[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" colspan="3" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] นึกถึงฟ้าผ่าต้นไม้ใหญ่ข้างโรงธรรมเก่าในสวนโมกข์ ขณะท่านอาจารย์กำลังเทศนาอยู่บนธรรมาสน์[/FONT]
    [FONT=&quot]วันนั้นฝนตกหนัก ทันใดนั้นฟ้าผ่าลงบนต้นไม้อย่างแรงและใกล้มาก พระที่นั่งพนมมืออยู่ต่างสะดุ้งเลิ่กลั่ก[/FONT]
    [FONT=&quot] จำได้ว่ามหาวิจิตถึงกับหมอบฟุบลงกับพื้น แต่ดูเหมือนท่านอาจารย์ไม่สะดุ้งสะเทือนหรือมีอาการอื่นใด นอกจากปรกติและเทศน์ต่อไป[/FONT]
    [FONT=&quot] เป็นเหตุการณ์ประทับใจปีแรกของการออกบวช นึกถึงท่านผู้มีพระคุณแล้วชุ่มชื่นขวัญยืนขึ้น ขอบใจโชคชะตาที่โชคดีได้รู้จัก ได้นั่งใกล้ ได้ไต่ถามข้อข้องใจเรื่องชีวิต[/FONT]
    [FONT=&quot] ท่านหนึ่งเป็นปราชญ์ผู้รู้รอบทรงไตรปิฎก น้ำใจกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งหาญกล้า[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านหนึ่งไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่เจนจบวิปัสสนา ทั้งรังสรรค์อุบาย อารมณ์ภาวนาให้ไต่ไปในทาง จนกว่าถึงที่สุดของอารมณ์[/FONT]
    [FONT=&quot] ใช่ว่าจะยกย่องเพียงสองท่านว่าเลิศคุณ เพียงมีวาสนาได้พบได้ปฏิบัติตาม ยังคุณูปการของหลวงพ่อชาอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ช่วงสนทนากับท่านนั้นสั้นนัก ต้องอุบายท่านโดยท่านขอให้ขึ้นธรรมาสน์เทศนาในวันพระ เมื่อคราวไปกราบนมัสการก่อนไปยุโรปครั้งแรก[/FONT]
    [FONT=&quot] เสร็จกิจเทศนาตามธรรมเนียมแล้วท่านแวะมาที่กุฏิพร้อมชี้ขุมทรัพย์ให้[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านว่า [/FONT] [FONT=&quot]"นักเทศน์เขาดูใจแล้วพูดจากที่เห็น ไม่ใช่ที่คิด" หลายปีทีเดียวที่คำแนะนำนี้ตามเกื้อกูล ยังถามท่านต่อความทุกข์ว่า เรียนรู้อะไรมากแล้ว เป็นนักบวชทำไมมันยังต้องทุกข์อีก[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านว่า [/FONT] [FONT=&quot]"หนุ่มๆ จะมีอะไร ทุกข์ก็เพราะกามนั่นแหละ" [/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] ถึงอากาศวิปริตแปรปรวนเพียงใด ฟ้าอวกาศไม่ได้เป็นเช่นนั้นด้วย[/FONT]
    [FONT=&quot]ฟ้าไม่ร้อนในฤดูร้อน ไม่หนาวในหน้าหนาว[/FONT]
    [FONT=&quot] ความรู้ตัวล้วนก็เป็นเช่นนั้น ไม่ร้อนด้วย ไม่หนาวด้วยกับร่างกาย ไม่ดีไม่ชั่วกับใคร ไม่ต้องแก้ต่างให้อะไร ไม่หวาดหวั่นอาลัยอดีต ไม่ใช่สิ่งรออนาคต อีกทั้งวาระสมมุติของกาลปัจจุบันก็ไม่ติดใจผ่านแผ่วไปเรื่อยดังลมพัด [/FONT]
    </td> </tr> <tr style="height: 258.5pt;"> <td style="width: 100%; height: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] การภาวนาคือการจับจิตส่งเข้าสู่ [/FONT] [FONT=&quot] 'สวรรค์ที่เงียบสงัด' ดังพระคริสต์ตรัสกับ Peter นักจับปลาว่า 'จงตามเรามา, เราจะให้เจ้าจับคน' จับและไล่ต้อนจนเข้าสู่ทาง [/FONT]
    [FONT=&quot] เรื่องนี้หลวงพ่อเทียนนั้นนับว่าเป็นเลิศท่านหนึ่ง [/FONT]
    [FONT=&quot]คราวหนึ่งเกิดเหตุที่ [/FONT] [FONT=&quot] Singapore ที่บ้านเช่าถนน Branksome กำลังนวดท่าน ภาคภูมิใจ กระหยิ่มที่ได้รับใช้ครูบาอาจารย์ คิดว่าท่านหลับ เพราะท่านนอนเฉยหลับตาเหมือนหลับไปแล้ว [/FONT]
    [FONT=&quot]มือนวดไป นานเข้าไม่มีใครคอยให้ท้ายอารมณ์ก็เบื่อ กลับเข้าภาวะกลางๆ เฉยๆ โดยไม่ตั้งใจปฏิบัติ[/FONT]
    [FONT=&quot]ทันใดนั้นท่านลืมตาขึ้น ยกมือชี้นิ้วบอกว่า [/FONT] [FONT=&quot] 'นี่ละ, ทำในใจอย่างนี้!' [/FONT]
    [FONT=&quot]พอหันไปดูมัน เข้าใจแล้วความคิดก็กลบลบหมด แต่ก็พอเพียงสำหรับการไล่ต้อนของนักจับดวงจิตส่งข้ามฝากมือฉมังอย่างหลวงพ่อ [/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot]อีกวาระหนึ่ง[/FONT][FONT=&quot], ในเหตุการณ์ถัดมา ณ สถานที่เดิม ท่านนั่งบนเก้าอี้ และสัตว์ผู้จะถูกจับนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น ตั้งหน้าเล่าเรื่องอะไรรายงานให้ท่านฟังทั้งเข้าใจว่าท่านตั้งใจฟังอยู่ ก้มหน้าพูดไปเรื่อย แต่มาสะดุดความเงียบประหลาดขาดตอนลงราวกับพูดคนเดียว[/FONT]
    [FONT=&quot]เงยหน้าดูท่าน ทันใดนั้น ได้ประสบสายตาที่ดุร้ายที่สุด ดังดวงตาของอสรพิษ จ้องเขม็งราวจะกินเลือด รู้สึกใจหายวาบราวกับหัวใจหยุดเต้น รู้สึกเข้าในหัวใจโดยท่านไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากลุกเดินไป[/FONT]
    [FONT=&quot] ตั้งแต่วันนั้นรู้สึกเหมือนท่านนั่งในหัวใจ ไปทางไหนท่านไปด้วยอย่างแปลกประหลาด เป็นเช่นนี้อยู่หลายปี จึงค่อยคลาย ค่อยๆ เห็นใบหน้าที่อ่อนโยนและยิ้มน้อยๆ ของท่านเมื่อพบกันเมื่อคราวจากกันนานๆ และเรียกท่านว่า พ่อ ได้อย่างสนิทใจ ตั้งแต่วันนั้น[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot]10 ปีแห่งการเรียนรู้ปริยัติ ข้อธรรมบัญญัติ และวินัย วัตรปฏิบัติเยี่ยงภิกษุ อยู่ถ้ำ อยู่ป่า อยู่ภูเขากับอีก 20 ปีของการดูใจตน ไม่ได้อะไรตามใจใฝ่ฝัน เพียงสิ้นสุดความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิต[/FONT]
    [FONT=&quot]30 ปีของการเดินทางไกล นับแต่เริ่มใส่ใจศาสนา โดยเฉพาะคำสอนของพระพุทธะ ไม่มีอะไรเลยที่ได้บรรลุถึง ได้รับมาอย่างเป็นกอบเป็นกำ ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เพราะคำตอบไม่ได้อยู่ในนั้น เพราะคำถามสอดเข้าผิดทาง คำตอบจึงไม่มี[/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อทั้งคำถามและคำตอบเงียบหายไป นวนิยายประโลมอารมณ์ก็ปิดฉากลง[/FONT]
    [FONT=&quot] ถ้าไม่ต้องอุบายธรรมของพระพุทธะคงไม่ได้เดินมา ไม่ลงแรงแสวงหา[/FONT]
    [FONT=&quot]อะไรๆ ที่วางล่อไว้ล้วนไม่มีจริงทั้งสิ้น เพลิดเพลินหาสิ่งไม่มีในความรู้สึกนึกคิด จนผละครอบครัว ทิ้งพี่น้อง พ่อและแม่ เดินดุ่มไปในอารมณ์ศรัทธาอย่างคนบ้า [/FONT]
    [FONT=&quot]หาสิ่งไม่มีจนตามืดหูหนวก ผ่านรหัสสัญลักษณ์เหลือนับในศาสนธรรม อุดมการณ์ของอวโลกิเตศวร[/FONT][FONT=&quot], ความรักปราณีเพื่อนมนุษย์, ทาน, ศีล ภาวนา ลงแรงด้วยกาลเวลาอันยาวนาน เพื่อแลกเอาสิ่งที่อยากได้ อยากรู้ อยากถึง อยากไขว่คว้าในสิ่งไม่มี[/FONT]
    [FONT=&quot] มันมีเพียงในความคิดนึกให้มีขึ้น มันจึงมีเกินมี จนกลายเป็นบ้าเห่อสิ่งไม่มี [/FONT]
    [FONT=&quot] บทเรียนอันยาวนานเพื่อทรมานความดื้อรั้นก็คือ การได้รู้ว่าสิ่งไม่มีนั้นไม่มี และสิ่งมีก็มีตามประสาของมัน ขอแต่เพียงอย่าไปยืนอยู่ข้างหนึ่งข้างใดเท่านั้น มีก็เท่านั้น ไม่มีก็เท่านั้น ไม่ใช่ธุระปะปังของใคร ใครที่เข้าไปขวางความจริงนี้ ก็ทุกข์เปล่า[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] แต่ผู้ที่เข้าสู่อาณาจักรธรรมะ ที่อ้างตัวแสดงตัวว่ารักธรรมะ เมื่อได้ฟังธรรมผิดๆ แล้วปฏิบัติ ความผิดยิ่งเกาะกินลึก ลึกคือรู้ได้ยากกว่า เพราะไปฟังมาผิดๆ แล้วปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติเป็นการตอกย้ำ ถ้าฟังมาถูก ปฏิบัติซ้ำย้ำให้ลูกก็จะไปอีกทางหนึ่ง[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะปฏิบัติ ความผิดพลาดคลาดเคลื่อนจึงชอนลึก ทั้งเลวร้ายกว่าผู้ที่ถูกประฌามว่า ดิบเถื่อน เพราะคนเหล่าโน้นไม่ได้ปฏิบัติย้ำซ้ำซากอะไร นอกจากหมุนไปมาในกิน[/FONT][FONT=&quot], กาม, บางคนไม่สนใจเกียรติด้วยซ้ำไป[/FONT]
    [FONT=&quot]ผู้ปฏิบัติ ผูกตัวเองไว้กับ ก้อนหินใหญ่ แห่งการปฏิบัติ จึงจมลึกลงสู่ก้นทะเล เพราะสำคัญว่า ว่ายน้ำเก่งและเป็นเลิศ แทนที่การปฏิบัติธรรมจะเป็นการตัดเชือกที่ล่ามไว้กับก้อนหิน แล้วว่ายดิ้นรนด้วยมือและตีนของตน พยุงกายลอยเข้าฝั่งโดยไม่จำเป็นต้องดูสง่าอะไร[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะไปฟังมาผิด และมีแรงศรัทธาแล้วลงมือปฏิบัติ เรื่องจึงยุ่งและยากขึ้นหลายร้อยเท่า และที่ยุ่งที่สุดคือผู้ผูกคอตัวเองด้วยหินหนักพยายามยุยงให้ผู้ขวัญอ่อนผูก คอกระโดดลงทะเลเช่นเดียวกับตัวด้วย หมอดูจะป่วยอาการหนักกว่าคนไข้[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] ศีลเป็นความปรกติทางกายอันเนื่องกับจิต[/FONT][FONT=&quot]
    สมาธิเป็นความต่อเนื่องกลมกลืนทางจิต
    ปัญญาเป็นความว่องไวแห่งจิตในการรู้เห็น[/FONT]

    [FONT=&quot]ทั้งหมดเป็นความเป็นแห่งจิต [/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] เมื่อวานนี้เกือบทั้งวันขังตัวเองอยู่ในห้องเล็กๆ ใต้หอหมื่นพุทธะเพื่อสอบสวนว่าตัวเองเป็นอะไรอื่นหรือไม่ เผชิญหน้ากับตัวเองอย่างโดดเดี่ยว โดยไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกทางเนื้อหนัง ตื่นตัวทั้งกายและใจ สมเพชเวทนาชีวิตแต่ปางก่อนที่เอาแต่เล่น ไม่ประสีประสาต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า มีความสลักสำคัญเพียงใด ต่อเวลา ต่ออนาคตของมนุษยชาติ ตีค่าธรรมะสูงในความคิดนึก แต่ต่ำต้อยในความเป็นจริง [/FONT] [FONT=&quot] "โลกรอดได้ เพราะธรรม" นั้นจะรู้สึกไม่ได้ตราบใดที่ยังเล่นเป็นเด็ก ยังคะนองไปกับถ้อยคำ, พิธี, คิดนึกทางปรัชญา, การสมาคม การประจบประแจงเสแสร้งต่างๆ ธรรมนั้นเป็นไปถึงระดับถอนรากถอนโคนความทุกข์ยาก ไม่เพียงของปัจเจก แต่ของมวลมนุษย์ ผิดแต่มนุษย์ไม่เฉลียวใจ ไม่ต้องการในสิ่งที่ตนร้องอ้อนวอนให้ช่วย ซึ่งดีแต่อ้อนวอน ปีแล้วปีเล่า เฝ้าเรียกร้องการช่วยเหลือเพื่อสิ้นทุกข์ ไม่รู้จักไต่ไปตามมรรคแห่งการดับสิ้นของความทุกข์ชนิดถอนรากถอนโคน ต่อเมื่อดูใจอยู่ รู้สึกตัวอยู่ เห็นอาการปรุงแต่งในจิต เห็นตาติดใจรูป ดึงดูดใจ เห็นจิตติดใจความคิด พัวพันกับอารมณ์ (Object) มัวประทับใจ จิตในฐานะผู้คิด เนรมิต (Create)ความคิดขึ้นเพื่อสนองความปราถนาเป็นสาสวาอยู่ (เคยชิน) ดังคนกินอาหารเก่าของตนเอง จึงสูบผอมและผิดปรกติ ไร้พลานามัย จิตสร้างเรื่อง (Fiction)ของมัน สร้างโลก สร้างอารมณ์ เพื่อดูดกินรสสิ่งที่มันเนรมิต เป็นภาวะวิกฤตอยู่ทุกๆ ขณะจิต กลไกลการทำงานที่ผิดปรกติเช่นนี้ก่อเหตุสยองในทุกทาง จิตเลิกสร้างเรื่องนิยายน้ำเน่าเช่นนี้ได้หรือไม่? เมื่อสิ้นอาหารที่มันเคยเสพย์ มันก็ตายเอง ผู้เสพย์ ผู้คิด เล็กลง ไม่ใช่ด้วยความคิดเพื่อการเล็กลง แต่พลังอำนาจของความรู้ตัวของตนแท้ (Self Nature) นั่นเองที่จะสยบพลังอำนาจของตนเทียม (Self Image) ตนธรรมชาติเมื่อสิ้นตนเทียมก็ไม่เป็นเนื้อหาใดอื่นนอกไปจากสภาพสูญ (Zero, Void) กังวานเสียงแท้ บริสุทธิ์เพราะหมดจด จดทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมชาติเท่าที่ธรรมชาติเป็น ไม่ใช่ความจริง (Reality) ที่อาจยึดถือได้ ไม่ใช่เหนือจริง (Surrealism) ที่เป็นที่ไขว่คว้าได้ ไม่ใช่ยิ่งกว่าความจริง (Super Reality) แต่เป็น Ultra-reality ความจริงยิ่งของความว่าง ไม่เป็นอื่นไปจากอันนั้น [/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot]เป็นความจริงว่า เพียงปลุกจิตให้ตื่น ดังตื่นนอนจากสภาพหลับเท่านั้น คือกิจภาวนา[/FONT]
    [FONT=&quot]ตื่นโดยไม่อิงสิ่งกระตุ้นใดๆ นอกเหนือพลังของความรู้ตัวมันเอง ไม่มีรูปแบบเทคนิคใดช่วยได้โดยแท้จริงและถึงที่สุด เพราะที่สุดคือตัวมันเองและโดยคุณสมบัติสว่างไสวในตัวมันเองเท่านั้นที่จะ ทำลายความมืดได้[/FONT]...
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] การชำระสะสางทางจิตใจเกิดแต่การปลุกจิตให้ตื่น[/FONT]
    [FONT=&quot] ธาตุรู้นั้นเสมือนหลับอยู่ด้วยอำนาจความคิดติดยึด จึงแลไม่เห็นทาง[/FONT]
    [FONT=&quot]ทางคือความตื่นของจิต ในความตื่นการได้ความรู้โดยตรงจึงเป็นไปได้ ไม่ใช่ความรู้ที่ลักจำมา [/FONT] [FONT=&quot] (ซึ่งครอบงำจิตให้หนักทึบขึ้นอีก)[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] เมื่อขอร้องเขาในจดหมายตอบรับการมาบรรยายและดูแลรายการภาวนาอันยาวนาน [/FONT] [FONT=&quot] (4เดือน) ว่าขออย่าขึ้นคำโปรย (โฆษณา) ว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเทียน ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่ขัดเคืองของผู้ถือว่าตนเป็นศิษย์แท้ได้[/FONT]
    [FONT=&quot]Dwight แสดงความเข้าใจอย่างรวดเร็ว และอนุโลมตามเป็นคำโปรยว่า เคยศึกษากับทั้งท่านอาจารย์พุทธทาส และหลวงพ่อเทียน แม้จะยังถูกกีดกันบ้างจากทั้ง 2 ค่าย แต่คำว่า 'เคยศึกษา' นั้นช่วยได้มาก ในการลดดีกรีของความรู้สึกกีดกันจากนักกีดกัน ผู้ผูกขาด[/FONT]
    [FONT=&quot]'คุณต้องมีอาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้น!'[/FONT]
    [FONT=&quot]'คุณไม่ใช่ศิษย์ท่าน พวกเราต่างหากเป็นศิษย์แท้ และตัวจริง!'[/FONT]
    [FONT=&quot]มูลนิธิ[/FONT][FONT=&quot], สถาบัน, กลุ่มถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเทิดครู, อาจารย์ และกีดกันผู้อื่นอย่างน่าอดสูใจ โดยไม่เหลียวแลหรือเฉลียวใจในความยึดติด และย่อหย่อนต่อความเข้าใจความหลากหลายของอุปนิสัย[/FONT]
    [FONT=&quot] ลัทธินิกายแทนที่จะช่วยสนองตอบต่อความหลากหลาย กลับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง และครูของตัวไป[/FONT]
    [FONT=&quot]ทางยิ่งแคบยิ่งมัว ยิ่งลึกยิ่งมองไม่เห็น[/FONT]
    [FONT=&quot] ความพยายามที่จะอนุรักษ์คำสอนอย่างโง่งมและด้วยใจอันแคบนั้นเอง ที่ทำลายการงานอันเลิศของครูบาอาจารย์ตน เพราะคับแคบจึงกลัวหลุดมือของตนไป หารู้ไม่ว่าธรรมนั้น มิได้อยู่ในมือใครคนใดคนหนึ่ง[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot]ผู้ภาวนาดีแล้ว มีสติสัมปชัญญะทันท่วงที เมื่อเข้าไปในสถานที่ๆ ผู้คนล้วนขาดสติดังอภิมหาตลาด [/FONT] [FONT=&quot] (Supermarket) สติจะยิ่งเข้มขึ้น ด้วยสัญชาตญาณแห่งการรู้ตัว ป้องกันตัว ตื่นตัว หากสติสัมปชัญญะยังไม่ดีไม่ว่องไวพอ ก็จะยิ่งขาดและเตลิดไปใหญ่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น [/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] การตั้งอยู่เป็นสถานการณ์สมมุติไม่ใช่จริงแท้ [/FONT]
    [FONT=&quot] จริงแท้เป็นปรมัตถ์นั้นเป็นภาวะสืบต่อของเหตุปัจจัยประสบเหมาะกันและคลาไคล เคลื่อนไหว เปลี่ยนไปเป็นอยู่เช่นนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot] ปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เห็นเป็นเรื่องราวนั้นเป็นความงาม [/FONT] [FONT=&quot] (มายา) ความวิจิตร ไม่ใช่ความหลอกลวง ความหลอกลวงนั้นเกิดแต่การไขว่คว้ามายาให้เป็นจริงแท้ จึงเกิดอาการเสมือนลวงตา เพราะไปยึดให้เป็นตัวตนเข้า จึงเกิดความทุกข์ยากลำบากขึ้น [/FONT]
    [FONT=&quot]นอกเหนือจากภาวะเช่นนี้แล้ว ไม่มีอะไรตั้งอยู่[/FONT]
    [FONT=&quot]หากมีการยืนยันว่า ยังมีพระนฤพานตั้งมั่นอยู่เหนือมายา พระนฤพานนั้นเป็นความหลอกลวง เป็นภาพลวงตาเท่านั้น พระนฤพานเป็นเพียงชื่อความดับทุกข์สิ้นเชิงเท่านั้น ไม่ใช่เป็นอะไรในเครือมายา ไม่มีตัวตน ไม่ใช่อมตะมหานครตามอย่างบุคลาธิษฐาน ไม่มีสีสัน ไม่มีขนาด[/FONT][FONT=&quot], ปริมาณ, คุณภาพใด[/FONT]
    [FONT=&quot] ความดับสนิทแห่งทุกข์ไม่เกี่ยวกับรสชาติอร่อย ขม เปรี้ยว หวาน รสดีหรือฝาด[/FONT]
    [FONT=&quot]แม้พูดกันว่าเป็นความดับเย็น นั่นก็พูดในเชิงเปรียบเทียบกับความร้อน พอให้เห็นเงานั้น[/FONT]
    [FONT=&quot] พระนฤพานหมายถึงความไม่ทุกข์โดยประการใดๆ อีก[/FONT]
    [FONT=&quot] และนี่คือสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา[/FONT]
    [FONT=&quot]ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นไม่ใช่สาระ แม้ปรีชาญาณก็หาใช่สาระไม่ สาระคืออิสรภาพและการหยั่งลงสู่ความดับทุกข์ ไม่มีทั้งความหมายว่าถาวรหรือไม่ถาวร[/FONT]
    [FONT=&quot] ทุกข์ที่ดับระงับไปชั่วคราวนั้นไม่ใช่ของจริง แท้จริงยังไม่ดับจริง เพียงข่มไว้ด้วยกำลังฌาน ยังเปลี่ยนแปลงได้ ยังอยู่ในกระแส สร้างสรรค์และทำลาย ยังทุกข์อยู่ ยังไม่พ้นไปจากขอบข่ายทุกข์ตามนิยามปรมัตถ์ [/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] เราต่างไม่รู้ตัวนั่นเองที่กำหนดโชคชะตา ให้ดีให้ร้าย เมื่อรู้ตัวดีการทำร้ายตนแลท่านก็ยุติลง เศษวิบากกรรมนั้นก็จะถูกแลเห็น [/FONT]
    [FONT=&quot] ความเข้าใจต่อกรรมจะช่วยให้มีชีวิตที่สำรวมระวังยิ่งขึ้น เราสามารถแปลงสภาวะเลวร้ายให้เป็นดีได้ แต่เราจะทำไม่รู้ไม่ชี้กับความคิด[/FONT][FONT=&quot], วาจาและการกระทำไม่ได้ และถ้อยคำที่เป็นศูนย์กลางของการสนทนาเมื่อคืนนี้คืออภัยทาน อันเป็นสิ่งประเสริฐในโลกของความเคียดแค้นจองเวร [/FONT]
    [FONT=&quot] ให้อภัยนั้นลุ่มลึกและส่งผลสะเทือนถึงรากเหง้าของชีวิตทั้งของตนและผู้อื่น ให้อภัยต่อความไม่รู้ตัว ไม่รู้เดียงสาต่อสติปัญญา หลงกระทำกรรม อภัยแก่สัตว์ผู้ยึดติดในตัวตน อภัยให้ต่อผู้อื่นและตนเองให้บังเกิดความเข้าใจ และเห็นใจด้วยทั้ง [/FONT] [FONT=&quot] 2 ฝ่ายในทางเดียวกัน[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] ความรู้สึกตัวนั้นเป็นการบอกเลิกเพิกถอนกรรมและเป็นฐานเข้าใจวิบาก[/FONT]
    [FONT=&quot] การให้อภัยจึงเป็นไปโดยง่ายดายจากจิตสำนึกใหม่ที่ไม่ปราถนาทุกข์แก่ใครๆ อีก[/FONT]
    [FONT=&quot] ไม่จำเป็นที่จะเปิดบาดแผลใจใหม่ด้วยการคิดถึงกรรมเลวที่หลงกระทำด้วยรู้ตัว หรือไม่ก็ตาม แต่เริ่มชีวิตแห่งการภาวนา ไม่ช้าทุกอย่างก็จะลงตัวมันเอง[/FONT]
    [FONT=&quot] ก่อนอื่นใดต้องยอมรับความจริงแห่งทุกข์และกรรม ไม่ใช่โดยการปฏิเสธแสร้งสุข และยังก่อกรรมต่อไปดังเก่า ซึ่งไม่อาจหมุนพลังใจไปสู่ความดีใดได้[/FONT]
    [FONT=&quot]การยอมรับไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะเหนือการดื้อรั้น ด้านกระด้างของตน[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] สิ่งบดบังใจนั้นคือความคิดจองเวร อันเป็นบาป เป็นมลทินทางใจ[/FONT]
    [FONT=&quot] ทำไมต้องไปสำคัญผิดว่าเป็นความสง่างามเมื่อได้โกรธหรือได้อาฆาตจองเวร[/FONT]
    [FONT=&quot]มันทำให้สติปัญญาทุพพลภาพ เมื่อคิดเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นก็ไม่รู้จักใจล้วนๆ แล้ว สิ่งบดบังใจก็บดบังความจริงที่ใจรู้แจ้งอยู่[/FONT]
    [FONT=&quot] แสงสว่างทางใจเหมือนแสงตะเกียงของผู้เดินทางในความมืดอันเต็มไปด้วยขวากหนาม ควรปกป้องเพื่อการส่องทาง แต่กลับดับตะเกียงเสียเอง ถลำเหยียบขวากหนาม เพราะความไม่สำรวมใจไว้ให้ดีนั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]โกรธอาฆาตมากและนานเท่าใด ปัญญาก็จะทึบหนาขึ้นเท่านั้น แม้ภายนอกจะดูเปรื่องปราดน่าเกรงขาม แท้ที่จริงปรีชาญาณมาคู่กับจิตใจที่อ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน และเมตตากรุณา ไม่ใช่ริษยา อาฆาต มาดร้ายแต่ประการใด[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] จิตไม่มีเนื้อหาเป็นความมีแต่ประการใด แต่ปรากฏด้วยธรรมนูญของเหตุปัจจัย ต่างๆ กล่าวคือ ความจำ[/FONT][FONT=&quot], ความคิด, ความรู้สึก (ความรู้สึก นึก-คิด) [/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อความรู้สึกนึกคิด ถูกสำรวจทั่วถึงด้วยอำนาจของสติสมปฤดี [/FONT] [FONT=&quot](Awareness) อย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกนึกคิดก็ทุเลาเบาและบาง ละทิ้งความหนา,หนักและทึบ[/FONT]
    [FONT=&quot] จิตสว่างขึ้นและรู้จักธรรมชาติของมันเองได้ ทั้งค่อยๆ เลือนลางกลมกลืนไปกับอวกาศ [/FONT] [FONT=&quot](อากาศธาตุ) และสิ้นสุดความเป็นจิตลงในอวกาศ[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot]ส่วนวัตถุนั้น เนื้อหาสาระเนื่องในอวกาศอยู่แต่ดั้งเดิม ร่างกายไม่ได้มีน้ำหนักหรือสี[/FONT][FONT=&quot], ทรวดทรง ปริมาตร หรือปริมาณเป็นของมันเอง เป็นเพียงผลของการประชุมของเหตุปัจจัยต่างๆ จึงปรากฏ (จากสายตา และมาตรฐานการวัดของมนุษย์) เป็นก้อนเป็นแท่ง มีสถานะอย่างหนึ่งอย่างใด[/FONT]
    [FONT=&quot]ว่าโดยปรมัตถ์แล้ว ความมีเหล่านี้เป็นภาพลวงตา ดัง [/FONT] [FONT=&quot] Hologram ความเป็นจริงหามีไม่ เนื้อหาแท้คืออวกาศ หรือธาตุว่าง[/FONT]
    [FONT=&quot] กายและจิตเมื่อถึงวาระแห่งการรู้แจ้ง [/FONT] [FONT=&quot] (วิปัสสนา) ย่อมแสดงสถานะเดิมแท้และสุดท้ายให้ประจักษ์ทางปัญญาญาณ คือ ธาตุว่าง-สุญญตา[/FONT]
    [FONT=&quot]มองในแง่จิตวิทยา กายปรากฏเพราะจิต และจิตปรากฏเพราะกาย[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อจิตรู้จิตโดยตรง ไม่ผ่านความคิดหรือสื่ออื่นใดกายก็ถูกทอดทิ้งร้าง[/FONT]
    [FONT=&quot]กายหายไปจากจิต หรือกล่าวอีกว่า กาย[/FONT][FONT=&quot] (รวมทั้งปรากฏการณ์ทั้งหมด-จักรวาล)หายไปในจิต จิตหายไปในอวกาศ นี้คือการอันตรธานของตนเองและจักรวาล[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot]ในการสนทนาวิสาสะนั่นเอง คือช่วงเวลาแห่งการเผยแพร่และเผื่อแผ่กันในทางธรรม ไม่ใช่บนธรรมาสน์อาสนะอันทรงเกียรติ ดังเยี่ยงนักพูด นักกล่าวสุนทรพจน์ แต่เป็นร้านกาแฟข้างถนน บนทางเท้าที่การสนทนาถูกโน้มนำเข้าสู่สาระทางจิตใจ ปรีชาญาณ และกรุณานั่นเองเป็นสิ่งเผื่อแผ่จุนเจือแก่กันและกัน[/FONT]
    [FONT=&quot]ฝ่ายใดมีอยู่อย่างแท้จริง ฝ่ายนั้นเป็นที่ไหลเทเติมกันให้เต็มเสมอกัน ไม่ว่าอยู่ในฐานะผู้พูดหรือผู้ฟัง ผู้นำหรือผู้ตาม หญิงหรือชาย แม้เงียบเฉยอยู่ ปรีชาญาณก็ทำกิจสำเร็จได้ ด้วยมิใช่ผู้อื่นไม่มีก็หาไม่[/FONT]
    [FONT=&quot] เพียงขาดกระจกที่สัตย์ซื่อสะท้อนให้เห็นความจริงใจ ความจริงง่ายๆ ทว่าซ่อนเร้นอยู่[/FONT]
    [FONT=&quot] การเผยแพร่คือการเปิดเผยความจริงง่ายๆ ที่ถูกมองข้ามไป ต่อให้เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไร ปรีชาญาณก็ไม่ได้ป่วยด้วย ขอแต่มีความกรุณาเป็นปุเรจาริกเท่านั้น กิจก็สำเร็จได้ตามวาสนาบารมี[/FONT]
    </td></tr></tbody></table><table style="width: 80%; border-collapse: collapse; border-color: inherit; border-width: 2px;" width="90%" bgcolor="#f1eee4" border="1" bordercolor="#800000" cellpadding="0" cellspacing="0" height="100%"><tbody><tr><td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] อวกาศยังจะจัดเป็นสิ่งสมบูรณ์[/FONT][FONT=&quot](Absolute) หรือไม่ หรือเพียงนิยามสิ่งมีจริงไว้ แค่ความสัมพัทธ์เป็นเพียงความเนื่องของเวลา เพราะอวกาศไม่มีการเริ่มต้นหรือสุดท้าย ไม่มีเนื้อหาสาระอะไร เป็นความเปล่า[/FONT]
    [FONT=&quot] ต่อเมื่อเกิดการวัดต่อความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ก็เกิดมิติของกาลอวกาศขึ้น[/FONT]
    [FONT=&quot] ส่วนเวลานั้นก็ไม่มีอยู่โดยเอกเทศ เป็นเพียงลำดับแห่งเหตุการณ์ต่อเนื่องกันเข้า[/FONT]
    [FONT=&quot]เวลาก็เกิดแต่การวัด เกิดแต่การสังเกตของผู้สังเกต[/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าไม่มีการวัด เวลาคือการเปลี่ยนแปลงอันต่อเนื่องเป็นอาการเคลื่อนไหวที่นิ่ง[/FONT][FONT=&quot] (Still Motion)[/FONT]
    [FONT=&quot] หากกาลอวกาศสิ้นสุดไปจากการรับรู้ ผู้สังเกตก็สิ้นสุดตาม เพราะผู้สังเกตปรากฏขึ้นในห้วงของกาลอวกาศ [/FONT] [FONT=&quot] (Spacetime) หรือกล่าวอีกอย่างว่า เมื่อผู้สังเกตดับ กาลอวกาศก็ไม่มีการวัดหรือการสังเกต กาลอวกาศก็ลับหายไปด้วยประการฉะนี้[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot]การดับของโลก[/FONT][FONT=&quot]-จักรวาลความหมายมั่นทั้ง หมด เป็นอาการสุดท้ายในกิจภาวนา เป็นกาลอวสานของความหมายมั่นในสารพัดสิ่ง ทั้งที่นับวัดได้ และที่ไม่อาจรู้ไม่อาจเห็น วัดไม่ได้[/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกสิ่งปราศจากที่ตั้งที่อิง จึงอวสานลง[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] ทำไมเราต้องซ้ำเติมตัวเองด้วยไฟอาฆาตต่อผู้อื่น ไม่ว่าเขาตั้งใจหรือไม่[/FONT]
    [FONT=&quot]ความโกรธ[/FONT][FONT=&quot], อาฆาต, จองเวร ไม่มีประโยชน์กับใครเลย มันเป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นมารร้ายต่อจิตใจเรา เรากลับมองไม่ออก ทั้งโลภะ โทสะ และโมหะ เรากลับหลงกลมัน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว[/FONT]
    [FONT=&quot]เราไม่ควรโกรธไม่ควรจองเวร ไม่โลภตะกละตะกลาม ไม่หลง ด้วยอำนาจของการเจริญภาวนา จนสลัดหลุดจากมัน และไม่จดจำกิริยาอาการโกรธ จองเวรอีก[/FONT]
    [FONT=&quot]ลืมตัวโกรธ โลภ หลง เสียให้หมด ขุดรากให้สิ้น เพราะมันเป็นมาร ผลาญความดีงาม พร่าสติปัญญา[/FONT]
    [FONT=&quot]โกรธแล้วเจ็บใจ อาฆาตจองเวรยิ่งเจ็บลึก กระทำการจองเวรนั้นความปลอดโปร่งกลับทึบเนื้อที่ว่างตายสนิท [/FONT][FONT=&quot] (Dead Space) ลงนรกไปในปัจจุบันขณะโกรธนั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot] ความสุขในงานเองจะมีแต่ที่ไหนสำหรับคนขี้โกรธ ความสุขตามธรรมชาติมีได้ง่ายต่อผู้ไม่มัวโกรธ ไม่อยากได้อะไรเกินจำเป็น[/FONT]
    [FONT=&quot]หมั่นเจริญสติอยู่เสมอ มีปรีชาญาณคุ้มตัวดั่งร่มไม้ในฤดูร้อน หรือเพิงพักในฤดูฝน หรือห้องนอนน้อยอันอบอุ่นในฤดูหนาว[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot]ในจิตไม่มีความโกรธ ความโลภ หรือความหลงใดๆ อยู่เลยในทุกๆ คน แต่มารร้ายทั้ง [/FONT] [FONT=&quot]3 นี้ มากับความคิดติดยึด มันไม่ได้มีที่อยู่จิต แต่มันเกิดกับจิต และจิตไหวรับ แล้วส่งผลสะเทือนเป็นความทุกข์ ความลำบาก ความแค้นขึ้นในอารมณ์[/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อรู้เห็นความคิดได้ทันท่วงที ความโกรธก็ไม่อาจก่อกวนจิตได้ เพราะจิตเปล่งประกายความตื่นสกัดความคิดโกรธ โลภ หลง ไม่ให้มีที่ตั้ง[/FONT]
    [FONT=&quot]กล่าวคือ ไม่อาจมีสิ่งใดตั้งลงในจิตได้ เพราะจิตไม่มีความมี จิตเป็นเพียงชื่อขององค์รวมของความจำ ความตรึก และเพทนาการ[/FONT]
    [FONT=&quot] จิตไม่มีความมีเป็นแท่งเป็นอันหรือเป็นปัจเจกเป็นตัวเป็นตน[/FONT]
    [FONT=&quot]ดังนั้น มันเป็นทุกข์ใจไม่ได้ ทุกข์ใจไม่เป็น เว้นไว้แต่เคลิ้มตามอารมณ์ ทุกข์ในอารมณ์เพราะขาดสติยึดติดวัตถุในอารมณ์นั้นๆ เพลินไปก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเข้าไปในความคิด และติดยึดเรื่องราวที่คิดนั้นว่าจริงแท้[/FONT]
    </td> </tr> <tr> <td style="width: 100%; border-left-style: solid; border-width: 2px; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; padding: 1px 4px;" valign="top" width="100%"> [FONT=&quot] กิจภาวนาเป็นการปลุกจิตใจให้ตื่น ปลุกธาตุรู้ที่อ่อนกำลังลงเพราะแรงของอุปาทานไขว่คว้าหาสิ่งไม่มีด้วยความ รู้จากจิตใจเอง ด้วยความเข้าใจของจิต จากจิต ปรับตัวจากรากฐานที่รู้สึกตัวได้ จนแลเห็นสิ่งซ่อนเร้นปิดบังได้ และหลุดพ้นจากพันธนาการ[/FONT][FONT=&quot], ความไม่รู้พัวพันยึดถือได้โดยลำดับ[/FONT]
    [FONT=&quot] จากความไม่รู้ไม่เห็นมาเป็นรู้เป็นเห็น คือ กิจภาวนา ไม่อาจรู้เห็นด้วยแสงสว่าง หรือแหล่งรู้จากภายนอกได้ ไม่ว่าเทศนา[/FONT][FONT=&quot], พระคัมภีร์, ทฤษฎีอันเล่าขานมาจากแหล่งไม่ใช่ที่กำเนิดแห่งปัญญาตน[/FONT]
    [FONT=&quot] ยิ่งรู้มากจากแหล่งอื่นยิ่งกลายเป็นกองอุปสรรคหนักและหนาขึ้นจนไม่เฉลียวใจ ต่อปรีชาญาณแห่งจิตใจเอง [/FONT]
    </td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...