ของดีมีในศาสนาพุทธ : พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 20 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]


    " ของดีมีในศาสนาพุทธ "
    ของดีอันล้ำค่า ผู้มีปัญญาจะหาได้
    แต่เฉพาะในศาสนาพุทธนี้เท่านั้น


    คนในสมัยก่อนท่านทำอะไรด้วยใจซาบซึ้งถึงสิ่งที่ท่านทำนั้นด้วยใจจริง ไม่เหมือนคนในสมัยหลัง ๆ นี้ คนในสมัยหลัง ๆ นี้ถึงจะทำตามท่านก็จริงแล แต่ทำตามเยี่ยงประเพณี ไม่ได้ทำโดยความจริงใจ ถึงจะมีความรู้และความสามารถพิจารณาให้เห็นตามเป็นจริงอย่างไร ๆ ก็ไม่ซาบซึ้งถึงความเป็นจริงของท่านอยู่ดี

    ท่านเมื่อก่อนนั้น ท่านทำอะไรต้องทำด้วยกาย วาจา และใจอันซาบซึ้งถึงสิ่งที่ทำนั้นด้วยใจจริง ๆ ตัวอย่างเช่น คนในปัจจุบันนี้จะไหว้พระ กราบพระหรืออะไรก็แล้วแต่ ถึงจะไหว้ ๓ หน หรือกราบ ๓ หน คนโดยส่วนมากก็ไหว้ไปกราบไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีความหมายอะไร ไหว้ ๓ หน กราบ ๓ หน เพื่อประโยชน์อะไรก็ไม่รู้ เห็นหมู่เพื่อนไหว้และกราบก็ไหว้และกราบไปอย่างนั้น ซ้ำร้ายไปกว่านั้นอีกบางทีเมินหน้าไปดูสิ่งต่าง ๆ แล้วปากก็ยังพูดกับเพื่อนฝูงอีกด้วย อย่างนี้จะเรียกว่าพุทธศาสนาเจริญและเข้าถึงจิตใจของชาวพุทธได้อย่างไร พวกที่เป็นพระและเป็นครูบาอาจารย์ขอได้มาช่วย กันทำตัวของตนให้เป็นแบบอย่างของคนอื่น แล้วพากันมาสอนเขาเหล่านั้นให้กราบไหว้ให้ถูกพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ สักทีเถอะ พระพุทธศาสนาจะได้เข้าถึงจิตใจของคน แล้วพระพุทธศาสนาจะได้ถาวรสืบต่อไป อย่าให้คนภายนอกเห็นว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องของเด็ก ๆ หาแก่นสารไม่ได้ นอกจากนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายยังพากันหลงงมงายนับถือเครื่องรางของขลัง ตะกรุด คาถา ผ้ายันต์ ภูตผีปีศาจ เข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นจะบันดาลให้เราได้พ้นภัยอันตราย และให้โชคลาภต่าง ๆ นานา สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เชื่อโดยงมงายนอกพุทธศาสนาเชื่อว่าของเหล่านั้นมีจริง และเชื่อว่าของเหล่านั้นจะบันดาลให้ได้ตามปรารถนาของตน แต่คนเหล่านั้นบางพวกก็ยังเลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนาเป็นสรณะที่พึ่งก็มี
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ได้ของสามอย่างไหว้ของอย่างเดียว

    พุทธบริษัททั่วทั้งโลกไม่ว่าจะเป็นชาติไหนภาษาไหน เมื่อจะทำพิธีกรรมมีการไหว้พระเป็นต้น จะต้องกราบ ๓ หนแล้วจึงค่อยทำพิธีนั้น ๆ ต่อไป การไหว้ที่เปล่งด้วยวาจาก็เช่นเดียวกัน ต้องเปล่งออกมาถึง ๓ จบก่อนจึงทำพิธีนั้น ๆ ต่อไป การกราบพระรัตนตรัย ๓ ครั้งนั้นเป็นการสมควรโดยแท้ เพราะกราบของ ๓ อย่าง เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกเป็นครั้งแรกก็มีการกราบ ๓ หน และกล่าวประณาม ๓ จบหรือกี่จบก็ไม่ได้บอกไว้ชัด

    ความว่า "นโม ตส
    ภควโต อรหโต มฺมา สมฺพุท" คำกล่าวประณามทั้งหมดนี้ท่านทั้งสี่ได้กล่าวไว้เมื่อคราวพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ คนละบท ดังนี้

    " นโม " อสุรินทราหู เป็นผู้กล่าว
    " ตสฺส " พระยามาราธิราช เป็นผู้กล่าว
    " ภควโต " พระอินทร์เป็นผู้กล่าว
    " อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส " ท้าวมหาพรหมเป็นผู้กล่าว


    เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วเป็นคำกราบนมัสการพระพุทธเจ้า แปลความว่า "ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบพระองค์นั้น " พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวแต่กราบไหว้ ๓ หน กล่าวประณาม ๓ หน ภายหลังเลยถือปฎิบัติสืบต่อกันมา
    การกราบไหว้และกล่าวประณามถึงจะไม่เป็นของสำคัญอะไรนัก เรื่องเหล่านี้มันอยู่ที่ใจก็จริง แต่มันเป็นพืธีกรรมที่แสดงออกมาให้เห็นเป็นวัฒนธรรมอันดีงามของพุทธบริษัท ขอท่านผู้รู้ทั้งหลายโปรดได้พิจารณาดูว่า เรื่องเหล่านี้ " พุทธ " เอามาจาก " พราหมณ์ " หรือว่า " พราหมณ์ " เอาไปจาก " พุทธ " กันแน่ แม้แต่การไหว้ภูตผีปีศาจก็ต้องไหว้ ๓ ครั้งเหมือนกัน ถ้าไม่เช่นนั้นผีจะไม่พอใจและไม่ประสิทธิ์ให้ตามต้องการ


    ข้าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลกนี้ได้ชื่อว่าเกิดมาดีแล้ว คือเกิดมาแล้วได้ของดีมีประสิทธิภาพพร้อมทั้ง ๓ อย่าง คือ กาย วาจา และใจ ซึ่งสัตว์อื่นทั้ง ๒ เท้า ๔ เท้า และมากเท้าหรือไม่มีเท้าที่เกิดมาด้วยกันไม่ได้อย่างปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หรือได้ก็ไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ ของดีที่ว่านี้มีประสิทธิภาพสูงสามารถบันดาลทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นของมองเห็นด้วยตาหรือมองไม่เห็นด้วยตาก็ตาม แม้สมบัติอันยวดยิ่งคือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และพระนิพพานสมบัติ อันมนุษย์ผู้เกิดมาแล้วพึงปรารถนาทุกคน ก็ย่อมสามารถทำให้สำเร็จได้ทั้งนั้นด้วยของ ๓ อย่างนี้


    เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามีของ ๓ อย่างอันประเสริฐดังกล่าวแล้ว ขอเอามาน้อมกราบไหว้ของเลิศ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ( คืออริยสัจธรรม ๔ ) แล้วนำมาแสดงให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ฟังแล้วทำตามจนรู้แจ้งเห็นจริงตามนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแต่พระองค์เดียวในโลกนี้ และขอถึงซึ่งพระองค์นั้นด้วย กาย วาจา และใจ ทั้งระลึกถึงคุณของพระธรรมอันพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้ว และพระอริยสงฆ์สาวกพร้อมกันในขณะเดียวกันด้วย ที่พึงทั้งสามอันบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่บนโลก ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปนานแล้ว แต่แก้วทั้ง ๓ ประการ ก็ยังเจิดจ้าด้วยคุณธรรมหาได้เศร้าหมองไปด้วยไม่ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งได้ของอันหาค่ามิได้ ( กาย วาจา ใจ ) อันบุญกรรมนำตกแต่งมาให้แล้ว ขอน้อมนมัสการกราบไหว้ของดีเหล่านี้ ( พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ) ด้วยสัจ
    เคารพอย่างยิ่ง ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]

    [/FONT]
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พระรัตนตรัยเกิดขึ้นในโลก

    พระรัตนตรัยก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ชาวโลกได้กราบไหว้และเคารพนับถือ ซึ่งของดีเลิศที่ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้วไม่เสียเปล่า ยังได้กราบไหว้บูชาของวิเศษ ๓ อย่าง ( พระรัตนตรัย ) อีกด้วย กล่าวคือ

    พระพุทธเจ้าพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีมา ๓๐ ทัศครบบริบูรณ์แล้ว จึงมาอุบัติขึ้นในโลกนี้ในตระกูลศากยราช มีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระราชบิดา พระนางสิริมหามายาเป็นพระราชมารดา เสวยรสชาติในกามสุขอยู่จนพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา โดยมีพระนางพิมพาเป็นพระชายา มีพระราหุลกุมารเป็นพยานของกามสุข ด้วยบุญบารมีที่พระองค์ทรงสร้างสมมาเป็นอเนกประการ จึงบันดาลพระทัยให้เบื่อหน่ายในกามสุข สละราชสมบัติออกทรงบรรพชา ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอันยวดยิ่งถึง ๖ พรรษา จึงได้สำเร็จพระโพธิญาณอันประเสริฐ เป็นสัมมาสัมพุทธะในโลกแต่เพียงพระองค์เดียว ชนทั้งปวงจึงได้ขนานพระนามตามความเป็นจริง ( เพราะเห็นว่าเป็นจริงอย่างนั้นแน่นอน ) ตามความเห็นของตน ๆ ว่า พระบรมครู พระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระบรมโลกนาถ พระบรมศาสดา พระชินสีห์ พระศากยมุนี พระพิชิตมาร ฯลฯ มีพระนามมากมายตามความรู้สึกของตน ๆ แต่พระองค์มักใช้สรรพนามแทนพระองค์เองว่า "เราตถาคต" พระนามที่พระญาติพระวงศ์ขนานนามเลยหายไป

    รัตนตรัย คือ แก้วทั้งสาม อันได้แก่ พระพุทธเจ้า ๑ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ๑ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ๑ ทำไมจึงเรียกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งสามนี้ว่าเป็นแก้ว แก้วเป็นวัตถุธาตุดินไม่มีดีอะไร พระรัตนตรัยไม่ใช่เป็นแก้ว แต่ท่านเปรียบเอาเฉย ๆ เพราะของดี ๆ เกิดมีขึ้นมาในโลกเป็นของมีค่ามาก ไม่ทราบว่าจะเอาไปเปรียบเทียบกับของสิ่งใดนอกจากแก้ว เห็นว่านอกจากแก้วแล้วเป็นไม่มี จึงเปรียบคุณค่าเหมือนกับแก้ว อันที่จริงแล้วแก้วก็เป็นวัตถุธาตุดินอันหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นของใสจนมีประกายรอบข้าง มนุษย์คนเราเห็นเป็นของแปลกจึงนำเอามาเป็นเครื่องประดับร่างกาย ถ้าคนไม่นิยมนำมาประดับร่างกายแล้ว ก็ทิ้งเป็นเศษก้อนดินอยู่ดี ๆ นี่เอง

    ส่วนพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์นั้นดีเลิศยิ่งกว่านั้นตั้งหลายหมื่นเท่า เพราะพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ มีจิต วิญญาณ พูดภาษามนุษย์ด้วยกันได้ ทรงฝึกฝนอบรมพระองค์จนได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว และทรงสั่งสอนให้มนุษย์ละชั่ว ทำดี มีชีวิตให้เจริญก้าวหน้า ทั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อตายไปแล้วก็ไปสู่สุคติภพในเบื้องหน้า เป็นครูผู้สอนที่ยิ่งใหญ่ สอนให้ได้รับประโยชน์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน

    พระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงนำมาสั่งสอนนั้นเล่า ก็มีคุณค่ามหาศาลเหลือที่จะคณานับ เป็นประโยชน์แก่ปวงชนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ผู้ใดได้ฟังแล้วเป็นเหตุให้เกิดปาฏิหาริย์น้อมจิตใจเข้าถึงธรรม เป็นเหตุให้มีอุตสาหะวิริยะอยากทำตามโดยมิได้มีใครบังคับ ยิ่งทำตามก็ยิ่งซาบซึ้งในรสชาติพระธรรมคำสอนของพระองค์ จนบางท่านบางคนยอมสละเกียรติยศชื่อเสียง สมบัติ ออกบวชเป็นลูกศิษย์ของพระองค์ก็มีมากดังปรากฏอยู่ทั่วไป พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีคุณอเนกอนันต์แก่ปวงชนมนุษย์ในโลกเหลือที่จะคณานับ
    พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าท่านได้สดับตรับฟัง หรือดูตามตำราที่พระบูรพาจารย์ท่านได้จารึกไว้ แล้วประพฤติปฏิบัติสืบต่อเนื่องกันมาโดยลำดับอันเป็นเหตุให้คำสอนของพระพุทธเจ้ามั่นคงถาวรสืบมา ถ้าหากลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าคือพระสงฆ์ไม่มีแล้ว ป่านนี้พระพุทธศาสนาคงจะสูญสิ้นไปจากโลกหมดแล้ว พระสงฆ์นับว่ามีคุณประโยชน์แก่พุทธบริษัทมาก ทั้งเมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็ได้ช่วยเผยแพร่พระศาสนาให้กว้างขวางไปในจตุรทิศทั้งสี่ เมื่อพระองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ก็ได้ดำรงทรงจำและปฏิบัติศาสนกิจสืบต่อกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ถ้ามีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวแล้ว พระศาสนาคงจะไม่กว้างขวางถึงขนาดนี้

    พระรัตนตรัยเกิดขึ้นมาในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกเป็นอเนกอนันต์ ทำให้ชาวโลกมีหูตาสว่างแจ่มใสมองเห็นสิ่งที่ดีแจ่มใสชัดเจนขึ้น สมควรที่มนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วจะต้องปฏิบัติตามพระรัตนตรัยอันมีคุณค่ายิ่งใหญ่ใสสว่างแจ่มจ้าหาอะไรเปรียบมิได้ในโลก
    พระรัตนตรัยเป็นของเกี่ยวเนื่องกัน พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเพราะพระองค์ได้ค้นคว้าสัจธรรรมทั้งสี่จนปรากฎขึ้นมาในพระทัยของพระองค์ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมเหล่านั้นแล้วจึงได้เป็นพระอริยสงฆ์ตกลงว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระสงฆ์ก็ดีมารู้สัจธรรมทั้งสี่จึงได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า " สท
    ธมโม ครุกาตพโพ ْ พุธานาสนْ " แปลความว่า "เมื่อระลึกถึงคำสั่งสอนของพระองค์ พึงทำความเคารพพระสัทธรรม " พระธรรมเป็นอมตะ แม้พระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้ว แต่พระธรรมก็ยังคงมีอยู่ ถึงพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจะสิ้นสูญไปแล้ว แต่พระธรรมก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิมพระสงฆ์ยังมีอยู่แต่ปฏิบัติแหลกเหลวไม่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระองค์ก็ยังเจิดจ้าใสสว่างอยู่ในโลกนี้ตามเดิม เป็นแต่ผู้นั้นปฏิบัติตนให้เศร้าหมองไปต่างหาก

    แก้ว ๓ ดวง คือ พระรัตนตรัยอันเป็นของสดใสเจิดจ้าอยู่ในโลกแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายเกิดมา เมื่อสุดท้ายได้ของดีเลิศ ๓ ประการคือ กาย วาจา และใจ ขอเอามาแสดงความเคารพกราบไหว้ซึ่งพระรัตนตรัยนั้นไว้เหนืออุตมางคสิโรตม์ให้ครบทั้ง ๓ ครั้งด้วยสัจจะเคารพ[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]

    [/FONT]
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    การถึงพระรัตนตรัย

    พระรัตนตรัยนี้เป็นเครื่องวัดของผู้เป็นพุทธมามกะในพุทธศาสนาโดยแท้ คือ เราขอถึงพระพุทธเจ้า ๑ ขอถึงพระธรรม ๑ ขอถึงพระอริยสงฆ์ ๑ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือ เชื่อกรรรม เชื่อผลของกรรม เราทำกรรมดีย่อมได้รับผลเป็นสุขตอบแทนด้วยตนเอง เราทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลเป็นทุกข์ตอบแทนด้วยตนเอง คนอื่นจะรับแทนไม่ได้ ๑ ไม่ทำบุญนอกจากพุทธศาสนา ( เว้นแต่ทำเพื่อสงเคราะห์ อนุเคราะห์ ) ๑ หากผู้นั้นมีศีล ๕ เป็นนิจจักได้ชื่อว่าผู้นั้นเป็นอริยบุคคลขั้นต้นด้วย
    องค์ทั้ง ๕ ประการนี้เป็นเครื่องวัดด้วยใจของตนเองว่า เรา " ขอถึง " หรือเรา " ถึงแล้ว " ขอถึงกับถึงแล้วมันผิดกัน


    ขอถึง คือ เห็นว่าพระตรัยสรณคมน์เป็นของดี ชนส่วนมากเขาถือกัน เราก็อยากจะถือบ้างเพื่อจะได้เป็นคนดีกับเขา และก็ไปขอถึงกับเขาบ้าง แต่ไม่รู้จักว่าไตรสรณคมน์ นั้นเป็นอย่างไร จะรู้บ้างก็เป็นแต่คำพูดของคนอื่น หรือตามตำราเท่านั้น ไม่ซาบซึ้งเข้าถึงจิตใจของตนจริง ๆ นี่เรียกว่าขอถึง ก็ยังดีกว่าไม่ขอถึงเสียเลย เพราะผู้ขอถึงนาน ๆ เข้าอาจเข้าถึง เพราะการศึกษาเข้าใจถ่องแท้ในพระรัตนตรัย

    ถึงแล้ว คือ ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนตรัยเบื้องต้นด้วยการ ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น เสียก่อน เช่น ได้เห็น พระพุทธเจ้าด้วยตาของตนเอง หรือเห็นแล้วได้ฟังธรรมเทศนาของพระองค์ หรือได้ฟังธรรมเทศนาที่พระองค์ใดองค์หนึ่งท่านเทศน์ให้ฟัง หรือได้เห็นพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใสขึ้นในใจ แล้วจิตใจของผู้นั้นเข้าถึงคือ เลื่อมใสศรัทธาเอาเป็นสรณะที่พึ่งจริง ๆ ไม่เอาที่พึ่งอื่น เช่น ภูตผีปีศาจ ต้นไม้ ภูเขา เทวดา เป็นต้น สิ่งที่เคยเป็นที่พึ่งมาแต่ก่อนทิ้งหมด แล้วก็ไม่ได้คำนึงถึงข้อที่ท่านบัญญัติไว้ ๕ ประการ ดังอธิบายมาแล้วในข้างต้นนั้นด้วย

    ข้อบัญญัติกับการปฏิบัติ มันผิดกันตรงนี้ ผู้ปฏิบัติเป็นไปตามความเป็นจริงแล้วแต่ไม่รู้ว่ามันเป็นจริงอะไรต่ออะไร เมื่อผู้นั้นแสดงออกด้วยทาง กาย วาจา และทางใจด้วยความคิดนึก จึงปรากฏว่า อ๋อ ผู้เข้าถึงพระไตรสรณคมน์จริงเป็นอย่างนี้ ๆ แล้วจึงบัญญัติข้อบังคับนั้นไว้ว่า ผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยต้องกอปรด้วยธรรม ๕ ประการ

    แต่ผู้ขอถึงพระรัตนตรัยด้วยข้อบัญญัติดังอธิบายมาแล้วโดยมากมักขบถตนเอง จึงไปไม่กี่มากน้อยเดี๋ยวก็ทิ้งหมด เพราะไม่เห็นคุณของพระรัตนตรัย คนเราโดยมากเห็นแต่วัตถุภายนอกเป็นของสำคัญกว่า แม้แต่ชีวิตร่างกายอันนี้ก็เป็นของภายนอก ถ้าใจไม่มีแล้วสังขารร่างกายอันนี้ก็ไม่ได้เกิดมา การถึงพระไตรสรณ์คมน ์ ต้องถึงด้วยใจอันเลื่อมใสจริง ๆ จึงจะถึงคุณพระรัตนตรัยอันแท้จริง
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผู้จะถึงพระไตรสรณคมน์มั่นคงต้องเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม

    ผู้จะถึงพระไตรสรณคมน์ได้มั่นคง ต้องมีปัญญาพิจารณาเห็นด้วยใจของตนจริง ๆ ว่า เราทำกรรมดีต้องได้รับผลเป็นสุขตอบแทน เราทำกรรมชั้วต้องได้รับผลเป็นทุกข์ตอบแทนด้วยตนเอง คนอื่นจะมารับแทนไม่ได้ อย่างนี้แน่วแน่ในใจจริง ๆ จึงจะถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิตได้

    คนเราเกิดมาในโลกก็เพราะกรรม ถ้าไม่มีกรรมก็ไม่ได้มาเกิด ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า " โลก คือ มนุษย์ต้องเป็นไปตามกรรม " ดังนี้ กรรม คือ การกระทำทั้งดี ทั้งชั่ว กรรมดี เรียก กุศลกรรม กรรมชั่ว เรียก อกุศลกรรม คนเกิดมาในโลกนี้มี กาย วาจา และใจ แล้ว ใครจะไม่ทำกรรมย่อมไม่มี ฉะนั้น คนเราทุกคนเกิดขึ้นมาในโลกได้ชื่อว่าเกิดมาสร้างกรรม แต่ขอให้เลือกสร้างเอาแต่กรรมดี ซึ่งจะทำให้เกิดความสุขกายและใจอย่างเดียว เมื่อตนเองสร้างกรรมชั่วแล้วแต่อยากจะได้ความสุข มันจะได้มาแต่ที่ไหน ปลูกมะนาว ออกผลมามันก็ต้องเป็นมะนาวละซี มันจะเป็นละมุด ลำไยได้อย่างไร เมื่อกรรมชั่วให้ผลเป็นทุกข์ก็บ่นว่าทำบุญไม่ช่วยตน บุญไม่มีผล ทีหน้าทีหลังไม่อยากทำละ
    ผู้ทำบุญไม่รู้จักบุญย่อมคิดอยู่อย่างนี้ บ่นอย่างนี้เป็นธรรมดา แท้จริงบุญมิใช่วัตถุ หรือเป็นของมีตัวมีตน บุญเกิดจากจิตใจต่างหาก วัตถุทานที่เราให้นั้นมันเกิดจากน้ำใจที่มันแผ่ออกไปจากจิตใจ เพื่อให้เกิดความเกื้อกูลแก่มนุษย์และสัตว์เหล่าอื่นต่างหาก น้ำใจที่มันแผ่ออกไปนี้ไม่มีหมดสักที ยิ่งแผ่ออกไปมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นของกว้างเท่านั้น วัตถุทานที่เราให้ไปนั้นหมดเป็น เมื่อเราได้เห็นบุคคลหรือวัตถุ สถานที่ คำสอนที่มีเหตุมีผล ฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสนั้นเป็นบุญแท้ มนุษย์ สัตว์ทั้งหลาย เมื่อเกิดมาแล้วต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา เกิดมาแล้วจะไม่ให้มีเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ เราทำกรรมดีไว้มาก ๆ ระลึกถึงกรรมดีนั้นอยู่เสมอ ๆ ถึงร่างกายอันนี้มันจะเจ็บหรือจะตายก็เป็นเรื่องของมันต่างหาก ส่วนกรรมดีคือบุญกุศลเป็นของไม่ตาย ฉะนั้น อย่าไปโทษบุญกรรมเลย โทษตัวเราผู้เกิดมานั้นดีกว่า แล้วพึงระลึกถึงกรรมดีที่ได้กระทำไว้นั้นเป็นที่พึ่งดีกว่า
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ศีล

    ผู้ที่เชื่อกรรมว่าเราทำกรรมดีย่อมได้รับผลเป็นสุขตอบแทน เราทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลเป็นทุกข์ตอบแทน อย่างชัดเจนในใจของตนแล้ว ศีล ๕ ข้อย่อมงดเว้นได้เด็ดขาด ไม่ลำบากเลย ศีล ๕ ข้อที่รักษากันไม่ได้ เพราะความเห็นแก่กาย รักกาย แล้วก็เอากายใจอันนี้ไปทำความชั่วเป็นบาปกรรม ให้กายอันนี้เป็นทุกข์โทษอีก กายอันนี้เกิดมาเพราะวิบากกรรมจึงเป็นทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วเราจะเอาวิบากกรรมอันนี้ไปทำกรรมชั่วมาเพิ่มเข้าอีกทำไมไม่น่าเลย พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเราระงับเวรกรรมด้วยการรักษาศีล และสอนที่กาย วาจา และใจ นี้เป็นตัวศีล เมื่อกาย วาจา และใจอันนี้ไม่ทำบาปกรรมแล้วก็เป็นศีล เมื่อเราไม่งดเว้นจากความชั่ว ๕ อย่าง มีฆ่าสัตว์เป็นต้น ก็ไม่มีศีล บาปกรรมย่อมตามสนองได้รับโทษทุกข์ทรมานตลอดทั้งชาตินี้และชาติหน้า พระพุทธเจ้า สอนให้รักษาง่ายที่สุด ไม่ต้องไปรักษาหนองน้ำหนองปลาที่ไหน แต่รักษาสำรวมกาย วาจา และใจของตนเอง ก็เป็นพอแล้ว สอนให้ใกล้เข้ามาที่สุดคือจิต เจตนางดเว้นจากบาปกรรมนั้น ๆ อันเดียว เท่านี้ก็เป็นศีลแล้ว

    ศีล เป็นกำแพงป้องกันบาปกรรมความชั่วของพุทธบริษัทที่จะปฏิบัติพระพุทธศาสนาในขั้นต้น ผู้ถึงพระไตรสรณคมน์แล้วเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรมว่า เราทำดีย่อมได้ผลดี มีความสุขกายสบายใจ เราทำชั่วย่อมได้รับผลเป็นทุกข์ทั้งกายและใจ จิตย่อมแน่วแน่อยู่ในกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ผู้นั้นได้ชื่อว่ามีพื้นฐานของศีลแล้ว จะเอาศีลอะไรมาตั้งก็มั่นคงดีมีผลงอกงามขึ้น จะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ตามวิสัยของฆราวาสมาตั้งก็งอกงามไพบูลย์ดี คือ ไม่ขาดไม่วิ่นไม่บกพร่อง เป็นอุบาสกอุบาสิกาครบบริบูรณ์ สมควรเป็นอุบาสกอุบาสิกาในพระพุทธศาสนาโดยแท้ จะเอาศีล ๑๐ ของสามเณรมาตั้งก็เป็นของดีเลิศ เพราะเพิ่มพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาเข้าไปอีกด้วย จะเอาศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุในพุทธศาสนาไปตั้งย่อมดีเด่น เพราะจะได้ชำระกิเลสน้อยใหญ่ทั้งหลายให้หมดไป ( แต่ฆราวาสไม่สามารถกระทำได้ เพราะเป็นของเหลือวิสัยของฆราวาส ) ศีลเป็นเครื่องชำระกิเลสชนิดหนึ่งในพุทธศาสนาดังอธิบายมาแล้ว

    ศีล จะตั้งมั่นถาวรอยู่ตลอดชีวิตของบุคคลใดได้ บุคคลผู้นั้นจะต้องมีธรรม ๒ ประการ หิริ ความละอายต่อบาปกรรมนั้น ๆ ๑ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาปกรรมนั้น ๆ ๑ ธรรมทั้ง ๒ ประการนี้เป็นรากฐานของศีลทุกประเภท ไม่ว่าศีล ๕ ศีล ๘ ของฆราวาส หรือ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ของบรรพชิต ถ้าจิตใจของผู้รักษาศีลนั้นขาดธรรม ๒ ประการนี้แล้ว เป็นอันศีลขาดรากฐานไม่มีที่ยึดมั่น เหมือนต้นไม้ขาดรากแก้วมีแต่จะล้มถ่ายเดียว

    หิริ ความละอายต่อบาปกรรมที่ตนกระทำนั้นยิ่งกว่าคนที่เป็นโรคร้ายแต่งตัวเรียบร้อยเข้าไปในที่สาธารณะ ย่อมมีความละอายแก่ใจตนเสมอ คนอื่นจะรู้เห็นหรือไม่ก็ตาม แต่ใจของตนรู้เห็นด้วยใจตนเองตลอดเวลา โอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาปกรรมที่ตนกระทำด้วยกาย วาจา และใจ อันจะเกิดมีขึ้นแก่ตน กลัวยิ่งกว่าเห็นอสรพิษ ย่อมไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ ความกลัวบาปที่เห็นด้วยใจ และกลัวด้วยใจนั้น ย่อมสะดุ้งหวาดเสียวอยู่เป็นนิจ เหมือนเป็นแผลที่หัวใจ ใครจะเจ็บปวดด้วยหรือไม่ก็ตาม ผู้นั้นย่อมเจ็บปวดอยู่คนเดียว ความละอายและความกลัวเหล่านี้ เปรียบเหมือนบุคคลผู้ละอายและกลัวบาปกรรมที่ละเมิดล่วงเกินศีลข้อนั้น ๆ เมื่อมีความละอายและความกลัวบาปกรรมอยู่อย่างนี้แล้ว ผู้นั้นย่อมมีสติระวังตัวอยู่ทุกเมื่อ แล้วมันจะล่วงละเมิดศีลข้อนั้น ๆ ได้อย่างไร

    ศีล เป็นบันไดขั้นแรกของผู้นับถือพระพุทธศาสนาที่จะละกิเลสในใจด้วยเจตนางดเว้น ผู้ถึงพระไตรสรณคมน์ด้วยการนอบน้อมกราบไหว้ด้วยใจที่ระลึกถึงที่แท้จริง ด้วยกายที่กราบลงกับพื้น ด้วยวาจาที่เปล่งออกมา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา หรือ สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม หรือ สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ก็ดี น้อมระลึกคิดถึงด้วยใจก็ดี ทั้งเช้าและเย็นทุกวัน นั่นเป็นกิจวัตรของผู้ถือพระไตรสรณคมน์โดยแท้ มาถึงขั้นรักษาศีลนี้จะกราบไหว้ก็ได้ หรือจะไม่กราบไหว้ได้ เพราะศีลจะมีขึ้นได้ก็เพราะเรามีเจตนางดเว้นในโทษนั้น ศีลก็จะมีขึ้นในตัวของเราเอง เมื่อศีลมีในตัวเราแล้ว ก็เป็นอันกราบไหว้พระรัตนตรัยครบทั้งสามแล้ว เพราะเราทำถูกต้องตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วทุกประการ

    ศีล พระพุทธเจ้าชี้บอกให้เรารู้ทางที่จะทำความผิดและถูกมีอย่างนี้ ๆ ถ้าเว้นจากอย่างนี้แล้วก็เป็นศีล ถ้าไม่เว้นอย่างนี้ก็ไม่เป็นศีล พูดง่าย ๆ ก็คือ ให้รู้ทางบาปและบุญนั่นเอง ส่วนทางที่ไม่ใช่บาปและบุญนั้น อย่าพูดเลยถึงพูดก็เข้าใจยาก ทางที่จะเป็นบาปทั้งหมดในโลกนี้ก็เกิดจากกาย วาจา และใจนี้ทั้งสิ้น ถ้ามีแต่กายและวาจา ๒ อย่าง ก็ไม่สามารถที่จะทำบาปกรรมได้ ถึงแม้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ ก็บัญญัติลงที่กาย วาจา และใจนี้ทั้งนั้น ธรรมทั้งหลายที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาไว้อเนกประการก็ล้วนแล้วแต่เทศนาออกจากกาย วาจา และใจนี้ทั้งสิ้น แต่ในที่นี้จะพูดโดยจำกัดเฉพาะที่ศีลเท่านั้น

    ศีล ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเป็นพุทธอาญาที่ภิกษุทำผิดในข้อนั้น ๆ แล้วทรงวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง จึงทรงบัญญัติสิกขาบทหนักบ้างเบาบ้างตามโทษนั้น ๆ หรือจะพูดว่ากิเลสนั้น ๆ ก็ถูก สามเณร ๑๐ ข้อ หรือ ๒๐ ข้อ มีปาณาติบาตเป็นต้น ( ต้องการทราบรายละเอียดให้ดูได้ในสามเณรสิกขา ) พระภิกษุมี ๒๒๗ ข้อ ที่นำมาสวดทุก ๆ กึ่งเดือน แต่ที่ยังเหลือนอกนั้นมีอีกมากที่ไม่ขึ้นสู่อุเทศ สิกขาบทเหล่านั้นโดยมากภิกษุไม่ได้ทำให้ล่วงเกิน แต่เป็นของควรที่พระภิกษุจะพึงกระทำ เพราะเมื่อทำลงไปแล้วเป็นของดีมีจิตใจเบิกบาน ชาวบ้านทั้งหลายก็เกิดศรัทธา หรือจะเรียกอีกนัยหนึ่งว่า กิเลสที่มันรอจะเล่นงานภิกษุอยู่ข้างหน้านั้น พระพุทธองค์ทรงกรุณาเห็นแล้วรีบบอกแก่บรรดาลูกศิษย์ของพระองค์ เรียกว่า เสขิยวัตร และอภิสมาจาร บรรดาสิกขาบททั้งหลาย ๒๒๗ ข้อเหล่านั้น ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้แล้วนั้นล้วนแต่พระภิกษุผู้ไม่มี หิริ โอตตัปปะ ล่วงละเมิดทั้งนั้น พระภิกษุผู้มีหิริโอตัปปะ อยู่ในใจแล้วย่อมไม่แกล้งล่วงละเมิดได้เด็ดขาด ที่มันยุ่ง ๆ รกในพระพุทธศาสนามาก ๆ นั้นเป็นเพราะภิกษุไม่มียางอายต่างหาก ผู้มีหิริโอตตัปปะอยู่ในใจแล้วถึงจะต้องอาบัติด้วยความเผลอเรอ หรือไม่มีสติและความไม่เข้าใจ เมื่อรู้แล้วหรือเมื่อภิกษุอื่นตักเตือนแล้วก็ต้องแสดงอาบัติแล้วสำรวมระวังต่อไป อย่างนี้จึงสมกับคำว่า " ภิกษุผู้ต่อย " คือต่อยกิเลสในใจตนนั้นเองไม่ให้ติดแน่นอยู่กับจิตใจได้

    ศีล หรือ พระวินัย พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ๒ อย่าง คือ อาคาริยวินัย ๑ อนาคาริยวินัย ๑

    อาคาริยวินัย บัญญัติไว้เพื่อฆราวาสผู้ไม่สามารถออกบวชได้ เมื่ออยู่ในเพศฆราวาสก็ควรมีศีล ๕ ศีล ๘ เป็นข้อบังคับ ทำอะไรถ้าไม่มีข้อบังคับก็ไม่มีระเบียบย่อมเป็นของไม่งาม เขาเรียกว่าคนเกเร

    อนาคาริยวินัย ทรงบัญญัติไว้แก่พระภิกษุและสามเณรผู้ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา ที่มีความอดทนพอที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้

    วินัย หรือ ศีล ทั้ง ๒ อย่างนี้ ผู้รักษาสำรวมดีแล้วย่อมถึงอริยภูมิทั้งสามได้เหมือนกัน เว้นเสียแต่อริยภูมิขั้นสูงสุดคืออรหัตผล ท่านแสดงไว้ผู้ถึงอรหัตผลทั้งยังเป็นฆราวาสอยู่ จะทรงเพศฆราวาสอยู่ได้เพียง ๗ วัน ถ้าไม่บวชจะต้องนิพพาน จะมีเหตุผลอย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านแสดงไว้ย่อ ๆ เพียงว่า เพศฆราวาสเป็นเพศต่ำจะทรงธรรมขั้นสูงไว้ไม่ได้
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ธรรมเกิดก่อนศีล

    แต่ผู้จะถึงอริยภูมิต้องมีรากฐานให้มั่นคง นอกจากมีหิริ โอตตัปปะ แล้วยังต้องมีความเมตตากรุณาอยู่ในใจอีกด้วย ธรรมที่เป็นรากเหง้าของศีลทั้งปวง ไม่ว่าศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ ของภิกษุเมื่อไม่มีธรรมเป็นรากเหง้าแล้วศีลจะตั้งมั่นไม่ได้เลย ธรรมเปรียบเหมือนกับไม้ยืนต้น ศีลเปรียบเหมือนกิ่งก้านสาขา กิ่งก้านสาขาต้องอาศัยรากเหง้าดูดเอาอาหารรสของดินขึ้นมาหล่อเลี้ยง กิ่งก้านสาขาจึงเขียวชอุ่มอยู่ได้ฉันใด ศีลก็ฉันนั้น ศีลที่บุคคลรักษาดีแล้วในชาตินี้ ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มีธรรมประจำอยู่ในใจให้ไปเกิดต่อไปในชาติหน้า เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์จึงพึงมีแต่ความเมตตากรุณาในหมู่มนุษย์และสัตว์ด้วยกัน ไม่มีความอิจฉาริษยา พยาบาทปองร้ายบุคคลอื่นและสัตว์อื่น เห็นคนอื่นเบียดเบียนมนุษย์อื่นและสัตว์อื่น ก็กลัวและละอายต่อบาปกรรมนั้นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินพระท่านแสดงธรรม หรือคนอื่นชักชวนให้งดเว้นจากบาปกรรมมารักษาศีล ก็ยินดีพอใจที่จะทำตามทันที สมกับคำว่า " บุคคลที่ได้กระทำบุญไว้แต่ปางก่อน ย่อมเป็นเหตุให้ตั้งตนไว้ชอบ " หรือ อุปมาเหมือนกับต้นไม้ใหญ่รากหยั่งลึกลงไปในดินมั่นคงดีแล้ว ย่อมดูดเอารสชาติอาหารขึ้นไปหล่อเลี้ยงกิ่งก้านให้เขียวชอุ่มอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้กิ่งก้านจะลิดรอนไปบ้างบางกิ่ง วันหนึ่งข้างหน้าก็ต้องงอกขึ้นอีกตามเดิม ศีลก็เหมือนกัน ถึงจะขาดตกบกพร่องไปบ้างบางข้อ แต่ธรรม คือ เมตตา กรุณา ยังเต็มเปี่ยมอยู่ในใจของบุคคลผู้นั้น ศีลก็อาจเกิดขึ้นได้ในวันหนึ่งข้างหน้า ถึงศีลจะไม่มีพื้นฐานมาแต่เดิม คือ บุญบารมีมาแต่ก่อน แต่เมื่อพยายามรักษา เพื่ออบรมนิสัยในชาตินี้และเป็นอุปนิสัยไปในชาติต่อ ๆ ไป ก็ยังดีกว่าจะไม่มีศีลเสียเลย ดีกว่าบุคคลที่เกิดมาในโลกนี้บางคนร่างกายอวัยวะสมบูรณ์ทุกส่วน พร้อมทั้งสมบัติภายนอกก็สมบูรณ์บริบูรณ์ไม่มีการขาดตกบกพร่อง แต่เขานั้นประมาทเสีย ทานและศีลธรรมดังอธิบายมานี้เขาไม่สนใจ เห็นว่าความสุขในชาตินี้พอแล้ว ชาติหน้าจะมีหรือไม่ก็ช่างมัน ความเห็นของผู้มัวเมาประมาทอย่างนี้เป็นของน่าสงสารมาก กินแต่สมบัติเก่ามีแต่จะหมดไป

    ผู้มีธรรม ๔ ประการนี้ คือ เมตตา กรุณา หิริ และโอตตัปปะ ประจำอยู่ในใจแล้ว ผู้นั้นได้ชื่อว่ามีศีลสมบูรณ์อยู่ในตัวแล้ว เพราะธรรม ๔ ประการนั้น เป็นของเกี่ยวเนื่องกันและตลอดถึงศีลด้วย เมื่อธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ถูกลบออกจากจิตใจของผู้นั้นแล้ว กิเลสต่าง ๆ คือ โทษ ๕ โทษ ๘ โทษ ๑๐ โทษ ๒๒๗ ก็จะปรากฎขึ้นมาแทน เจตนาที่จะทำบาปกรรมนั้น ๆ ก็ แห่กันมาเป็นฝูง ๆ และทำบาปกรรมได้ทุกอย่างทุกเมื่อ ผู้นั้นก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้เต็มไปด้วยอธรรม คือ อกุศล
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    สมาธิ

    สมาธิเป็นเรื่องฝึกหัดจิตใจโดยเฉพาะ แต่ก็ยังเกี่ยวข้องถึงเรื่องกายซึ่งเป็นของภายนอกอยู่ดี ๆ นี่เอง เพราะกายกับใจ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องอาศัยเกี่ยวเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา สมาธิจึงจำเป็นที่จะต้องฝึกหัดทั้งกายและใจนี้ ให้อยู่ในบังคับของตนให้ได้ สมาธินี้บางทีท่านเรียกว่า สมถะ คือ ความสงบ บางคนเป็นคนนิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่ค่อยยุ่งกับใคร เขาก็เรียกว่า เป็นคนสมถะ แท้จริงสมาธิกับสมถะมันต่างกัน ถึงจะเป็นเรื่องฝึกจิตด้วยกัน แต่มันต่างกันด้วยวิธีฝึกหัดและวิธีรวมของจิต ฉะนั้นจึงควรแยกออกจากกันเสีย เพื่อให้มีความเข้าใจง่ายขึ้น ผู้เขียนจึงขออธิบายดังต่อไปนี้ จะสมควรด้วยประการใด ขอท่านนักปฏิบัติทั้งหลายจงพิจารณาตามก็แล้วกัน
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ลักษณะของฌาน

    สมถะ เป็นวิธีฝีกจิตให้เข้าถึงเอกัคคตารมณ์มีอารมณ์เลิศอันเดียว ที่เรียกว่า ฌาน แปลว่า การเพ่งจะเพ่งเอารูปธรรมหรือนามธรรมเป็นอารมณ์ก็ได้ขอแต่เอานิมิตนั้นเป็นอารมณ์อย่างเดียวก็ใช้ได้ ฌานนี้มี ๘ ท่านแบ่งเป็นรูปฌาน ๔ เพ่งเอารูปเป็นอารมณ์ ๑ อรูปฌาน ๔ เพ่งเอาอรูปอารมณ์เป็น ๑

    รูปฌานมี ๔

    รูปฌานมี ๔ เพ่งเอารูปเป็นอารมณ์นั้น จะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ ขอให้เพ่งจนจิตรวมเข้าเป็นเอกัคคตารมณ์ก็ใช้ได้ การเพ่งก็ไม่ต้องพิจารณารูปนั้นให้พิสดาร กว้างขวางว่ารูปนั้นมันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะแตกดับ แล้วไปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีเพ่งเอาแต่รูปนั้นเป็นอารมณ์อย่างเดียวว่า รูป ๆๆๆ เป็นดินหรือน้ำหรือเป็นของว่างเปล่าๆ อย่างเดียวจนเกิดอุคคหนิมิต หรือ ปฏิภาคนิมิต ติดหูติดตา จิตจะเพ่งเอานิมิตนั้นเป็นอารมณ์


    รูปฌาน ๔ เพ่งเอารูปเป็นอารมณ์ ท่านจัดไว้ดังนี้ ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑
    ปฐมฌาน ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ วิตก ๑ วิจาร ๑ ปีติ ๑ สุข ๑ เอกัคคตา ๑
    ทุติยฌาน มีองค์ ๓ คือ ละวิตกและวิจารเสียได้ยังคงเหลือแต่ปีติ ๑ สุข ๑ เอกัคคตา ๑
    ตติยฌาน มีองค์ ๒ คือ ละปีติเสียได้ คงยังมีแต่ สุข ๑ เอกัคคตา ๑
    จตุตถฌาน มีองค์ ๒ คือ ละสุขเสียได้ กลายเป็นอุเบกขา ๑ เอกัคคตา ๑


    อารมณ์ทั้ง ๖ หรือ กิเลสทั้ง ๖ กองนี้ทำไมท่านจึงจำกัดให้เป็นภาระธุระของรูปฌานทั้ง ๔ เป็นผู้ชำระแต่ผู้เดียว กิเลสหรืออารมณ์ของบุคคลแต่ละคนมันมีมากอเนกอนันต์ หรือจะคณานับมิใช่หรือ เรื่องเหล่านี้ถ้าอยากจะรู้ดีต้องถามนักกรรมฐานถึงจะรู้แน่ หรืออารมณ์ทั้งหกนั้นเหมาะแก่รูปฌานทั้งสี่ที่จะข่มได้ เพราะรูปฌานทั้งสี่เพ่งเอาแต่อารมณ์ของฌาน ไม่ได้พิจารณาอย่างอื่น แล้วจิตก็รวมเข้าเป็นเอกัคคตารมณ์เลย และเอกัคคตารมณ์นี้ก็เป็นที่สุดของรูปฌานทั้งสี่ อารมณ์ที่เป็นของละเอียดยิ่งขึ้นไปกว่านี้แล้ว รูปฌาน ๔ ไม่สามารถจะชำระได้ แม้แต่อารมณ์ทั้งหกนั้นก็ละไม่ได้เด็ดขาด เพียงแต่ข่มไว้ด้วยฌานเท่านั้น

    ปฐมฌานประกอบด้วยองค์ ๕ หรืออารมณ์ ๕ ก็ว่าได้ คือ
    วิตก ท่านว่ายกจิตขึ้นสู่พระกรรมฐาน คือ กำหนดเอาพระกรรมฐานนั่นเอง กรรมฐานในที่นี้ได้แก่ อารมณ์ภายนอก มีปฐวีกสิน เป็นต้น เพ่งเฉพาะดินอย่างเดียวไม่ต้องพิจารณาให้เป็นอย่างอื่น ( มีความแตกดับเป็นต้น ) ว่า ดิน ๆ ๆ ๆ เป็นอารมณ์ จนเกิด อุคคหนิมิตติดหูติดตา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดๆ ก็เห็นเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ ๑



    วิจาร เพ่งดินว่ามีสีขาว ดำ แดง เป็นต้น จนเกิดอุคคหนิมิตเหมือนกัน ๑
    ปีติ เมื่อเพ่งจิตอยู่แต่ในอารมณ์อันเดียวก็เห็นชัดขึ้นมาจึงเกิดปีติ ๑
    สุข เมื่อเกิดปีติแล้วก็เกิดความสุขซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ๑
    เอกัคคตา แล้วจิตนั้นก็รวมเป็นเอกัคคตารมณ์มีจิตเลิศอันเดียว ๑


    ผู้ที่เข้าปฐมฌานนี้มีอารมณ์คล้าย ๆ กับบุคคลธรรมดา แต่จำกัดเอากิเลส ๕ กอง ไว้ให้ชำระด้วยการเพ่งฌาน ไม่เหมือนบุคคลทั่วไปซึ่งมีกิเลสมากมายและไม่ได้ชำระด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น

    ทุติยฌาน มีองค์ ๓ คือ ละวิตก ๑ วิจาร ๑ ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว ยังคงเหลือแต่ปีติ ๑ สุข ๑ เอกัคคตา ๑
    ตติยฌาน มีองค์ ๒ คือ ละปีติเสียได้ คงยังเหลือสุข ๑ เอกัคคตา ๑
    จตุตถฌาน มีองค์ ๒ คือ ละสุขเสียได้กลายเป็น อุเบกขา วางเฉยต่ออารมณ์ทั้งปวง ๑ และเอกัคคตา๑
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ฌาน แปลว่าการเพ่ง เพ่ง กับ เพ่งพิจารณามันต่างกัน เพ่งพิจารณามันเป็นเรื่องของสมาธิ ที่อธิบายมาแล้วนั้นเป็นเรื่องของการเพ่งอย่างเดียวเพราะกล่าวถึงเรื่องฌานโดยเฉพาะ ที่ให้เพ่งเอาดินเป็นตัวอย่างนั้นเพราะเป็นของเห็นง่าย วิตกและวิจารก็วิตกและวิจารเอาดินนั่นแหละ ดังอธิบายมาแล้ว เมื่อวิตกและวิจารในอารมณ์อันเดียวแล้ว อารมณ์อื่นที่มีอยู่ในใจก็ระงับไป เพราะฉะนั้นอารมณ์ทั้งหกซึ่งเป็นสายของรูปฌานจึงระงับได้ด้วยฌานทั้งสี่โดยเฉพาะ

    ผู้เขียนได้เขียนหนังสือหลายเล่มโดยเข้าใจผิดคิดว่าองค์ฌานทั้ง ห้า มีวิตกวิจารเป็นต้น จะต้องละด้วยองค์ฌานนั้น ๆ แล้วละเอกัคคตารมณ์ด้วย แล้วฌานนั้น ๆ จะไปอยู่ด้วยสิ่งอันใด เมื่อเขียนออกไปแล้วหรือพูดออกไปแล้ว ก็เหมือนกับคนรับประทานอาหารแล้วไม่ได้ดื่มน้ำและล้างมือฉะนั้น เนื่องจากเราดูตำราน้อยและความจำก็ไม่ดีจึงผิดพลาดไป ขอผู้รู้และนักปฏิบัติทั้งหลายโปรดให้อภัยด้วย ด้วยเจตนาศรัทธาอันแรงกล้าเพื่อนักปฏิบัติให้เข้าใจถึงเรื่องฌานถึงอย่างไร ๆ ผู้เขียนไม่ใช่ฤาษีนักเข้าฌาน จะเขียนเท่าไรอธิบายอย่างไร ๆ พร้อมด้วยผู้อ่านด้วยก็คงไม่เข้าใจชัดถึงแก่นแท้อยู่ดี ๆ นี่เอง


    อรูปฌาน ๔
    อรูปฌาน ๔ เมื่อผู้เข้าถึงรูปฌานที่ ๔ มีสุขซึ่งกลายเป็นอุเบกขา และ เอกัคคตาเป็นอารมณ์อยู่นั้น เมื่ออารมณ์นั้นหนัก ๆ เข้า ก็กลายเป็นอากาศเวิ้งว้างไปหมดจนหาที่สุดมิได้ เรียกว่า อากาสานัญจายตนฌาน ๑


    ผู้เพ่งเอาอากาสานัญจายตนฌานเป็นอารมณ์นั้นหนัก ๆ เข้า ก็จะเห็นวิญญาณผู้ไปเพ่งอากาศเป็นเครื่องยึด เรียกว่า วิญญาณัญจายตนฌาน ๑


    วิญญาณเป็นของไม่มีตัวตน เมื่อเพ่งวิญญาณนั้นอยู่ วิญญาณจะน้อย ๆ เข้าจนวิญญาณนั้นไม่ปรากฏ เมื่อวิญญาณไม่ปรากฏแต่ความรู้สึกก็ยังมีอยู่ นั่นจะเรียก วิญญาณก็ไม่ใช่ จะไม่เรียกว่า วิญญาณก็ไม่ใช่ เรียกว่า อากิญจัญญายตนฌาน ๑


    เมื่อเพ่งอากิญจัญญายตนะอยู่ จิตก็จะละเอียดเข้าละเอียดเข้าจนเพ่งไม่ถูกว่าไหนเป็นสัญญาความรู้ ไหนไม่เป็นสัญญา เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ๑ เป็นอรูปฌานที่ ๔


    อรูปฌาน ๔ ท่านไม่ได้พูดถึงเอกัคคตาเป็นที่สุดของฌานนั้น ๆ ถึงจะไม่ได้พูด แต่ฌานที่ ๔ ซึ่งจะก้าวขึ้นสู่อรูปฌานนั้น ก็ได้กล่าวไว้แล้วว่าสุขกลายเป็นอุเบกขา และเอกกัคคตาอรูปฌานทั้ง ๔ ก็มีเอกกัคคตาอยู่ในตัวนั่นเอง ฌานถ้าไม่มีเอกกัคคตาในฌานนั้น ๆ แล้ว ย่อมละอารมณ์นั้น ๆ ไม่ได้ เมื่อละอารมณ์นั้น ๆ ไม่ได้ ก็แปลว่า ฌานนั้นเสื่อมแล้ว ต้องตั้งต้นแต่ปฐมฌานขึ้นไปใหม่ อรูปฌานทั้ง ๔ แต่ละชั้นมีอารมณ์อันหนึ่งของฌานนั้นๆ เพียงอย่างเดียว มี อากาสานัญจายตนะ เป็นต้น


    ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธก็สืบเนื่องไปจากอรูปฌานที่ ๔ นี้เหมือนกัน จะพ้นจากอรูปฌาน ๔ นี้ไม่ได้ เพราะผู้เข้าฌานเป็นเรื่องของจิตดวงเดียวของคนผู้เดียวจะต้องทำจนตลอดสาย ( ตั้งแต่ปฐมฌาน ) คนอื่นหรือจิตดวงอื่นจะมาทำต่อไม่ได้ ไม่เหมือนกับการส่งของที่ส่งต่อ ๆ กันไปได้ อรูปฌานที่ ๔ เพ่งสัญญาเกือบจะไม่รู้ว่าสัญญาหรือไม่ใช่สัญญาอยู่แล้ว เมื่อเพ่งจิตก็ยิ่งละเอียดเข้า ๆ แล้วจิตนั้นก็ปล่อยวาง ที่ว่าสัญญาก็ไม่ใช่ มิใช่สัญญาก็ไม่ใช่นั้นเสีย จึงดับความรู้สึกสัญญาเวทนาทั้งสิ้น ท่านเรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ


    สัญญาเวทยิตนิโรธนี้ ผู้ฝึกหัดชำนิชำนาญในฌานทั้งแปดแล้วจึงจะเข้าได้ พระอริยเจ้านับแต่พระอนาคามีขึ้นไปจึงจะเข้าได้เหมือนกัน เมื่อเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น วิตกดับก่อนแล้วลมหายใจจึงไม่มีต่อนั้นจิตสังขารจึงดับ ก่อนที่จะเข้า ท่านได้อฐิษฐานไว้ว่าจะเข้าอยู่ ๗ วัน เมื่อครบวันที่ ๗ แล้ว จิตสังขาร คือ สัญญาเวทนาจะปรากฏขึ้นก่อน จึงมีลมหายใจต่อมาแล้ววิตกก็ปรากฏขึ้นตามโดยลำดับ [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]

    [/FONT]
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พระฤาษีหัวปลวก

    ส่วนพระฤาษีผู้บำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ทั่วไปนั้น ท่านฝึกหัดจนได้สำเร็จฌานโดยลำดับ แล้วก็เข้าฌานเลย แต่ไม่รู้ว่าลำดับเป็นอย่างไร เป็นแต่รู้ว่าเข้าฌานเท่านั้น เมื่อเข้าแล้วก็เพลินในฌานนั้นจนลืมวัน ลืมเดือน ลืมปี ดังโบราณท่านเล่าไว้ว่าพระฤาษีไปเข้าฌานอยู่ในป่าแห่งหนึ่งเข้าจนลืมตัว นั่งจนกระทั่งปลวกมาทำรังหุ้มตัวมิดหมด มีควายตัวหนึ่งเอาสีข้างไปถูเรือนปลวกจึงกระเทาะออกมา จึงเห็นพระฤาษีนั่งอยู่ในที่นั้น การเพ่งเอาแต่จิตจนลืมกาย เมื่อกายปราศจากจิต กายก็นั่งตงมงอยู่เฉย ๆ อย่างที่เรียกว่า พรหมลูกฟักนั้นกระมั่ง

    ถ้าจะมีปัญหาถามว่า ผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธไม่มีลมหายใจเข้า-ออก ทำไมจึงไม่ตาย มีคำเฉลยว่า อัสสาสะ-ปัสสาสะเป็นลมหยาบหายใจได้แต่คนทั่วไป ส่วนลมละเอียดมีทั่วไปในร่างกายของผู้เข้านิโรธ แต่ไม่ได้ออกมาทางจมูก มันค่อยระบายออกมาทางขุมขน ร่างกายยังมีความอบอุ่นอยู่เพราะกะบังลมยังไหวติงวูบวาบอยู่ ลมจึงยังไม่หมดไปจากร่างกายทีเดียว ร่างกายยังมีความอบอุ่นอยู่ชีวิตจึงยังไม่ดับ ข้อนี้จะเห็นได้ดังสัตว์ที่เขาฆ่าและนำมาแล่เนื้อขาย เนื้อยังอบอุ่นอยู่สวาบก็ยังไหวติงอยู่


    ท่านว่าคนเราก่อนที่จะมาเกิด ธาตุ ๔ ประชุมกันเป็นน้ำมันใส ๆ หยดเดียว แล้วจิตวิญญาณจึงเข้ามาปฏิสนธิ เมื่อตายจิตวิญญาณสละร่างกายไปก่อน แต่ร่างกายยังมีไออบอุ่นอยู่ เช่นหางจิ้งจกขาดออกจากตัวแล้วแต่ยังดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ฌานและสมาธิสับเปลี่ยนกันได้

    ฌานทั้งแปดนี้ถึงแม้ท่านจัดเป็นโลกิยฌานก็จริงแล แต่พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านชอบเล่น โลกุตตรฌานไม่มี มีแต่โลกิยฌานเท่านั้น ท่านไม่ได้อธิบายองค์ฌานโลกุตตระไว้ต่างหาก มีแต่อธิบายองค์ฌานโลกิยะนี้ไว้ทั้งนั้น พระอริยเจ้าท่านเข้าฌานโลกิยะ ท่านไม่ได้หลงในฌานนั้น ๆ ท่านแต่งฌานไม่ให้ฌานแต่งท่าน จึงเรียกว่า โลกุตตรฌาน สมกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า" ผู้ใดไม่มีฌาน ผู้นั้นไม่มีสมาธิ " ดังนี้

    ฌาน กับ สมาธิ ไปด้วยกันและสับเปลี่ยนกันได้ขณะใดเพ่งพิจารณาอยู่ เมื่อสติอ่อนจะรวมเข้าภวังค์เป็นฌานไปเลย เมื่อเพ่งอารมณ์อันเดียวอยู่ เช่นเพ่งดิน เป็นต้น สติมันกล้าไม่ยอมเพ่งดินอย่างเดียว มันกลับไปพิจารณาดินว่าดินมันเกิดเพราะอะไร มันเป็นอยู่เพราะอะไร มันดับลงไปเพราะอะไร ดับแล้วไปเป็นอะไร หาเหตุผลของดินจนรู้ชัดแจ้งแล้วจึงจะหยุดนิ่งรู้อยู่เฉย ๆ
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พระอริยเจ้าก็เพ่งฌานเป็นเครื่องอยู่

    ฌานทั้งหลายเป็นเครื่องเล่นของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระโสดาบันเป็นต้น ท่านย่อมเล่นอยู่กับฌานนี้ทั้งนั้น โลกุตตรฌานไม่มี และโลกุตตรธรรมแท้ไม่มีการเล่น มีแต่การพิจารณาเอาเป็นจริงเป็นจังแล้วก็หมดเรื่องไป เช่น พิจารณาธาตุ ขันธ์ อายตนะ อินทรีย์ เห็นเป็นธรรมดาตามสภาพของมันแล้วก็ปล่อยวาง เมื่อรู้เหตุตามเป็นจริงของมันแล้วก็ไม่ทราบว่าจะไปเล่นอะไรตรงไหน ส่วนฌานมีกลมายามากมาย เช่น เพ่งกายนี้ว่าเป็นดิน ๆ ๆ ๆ เป็นอารมณ์ จะเกิดปฏิภาคขึ้นเป็นแผ่นดินไปหมด ตั้งแต่ตัวของเรา คนอื่นและสัตว์อื่นก็เป็นดินเรียบราบไปหมด เพ่งน้ำก็เหมือนกัน จะเห็นเป็นน้ำไปทั้งหมด มองไปทางไหนก็จะมีน้ำขาวโพลนไปหมด แท้จริงแล้วตัวของเราก็ยังเป็นตัวคนเราดี ๆ นี่แหละ สิ่งที่ข้นแข็ง เช่น กระดูก และเนื้อ เขาสมสติว่าธาตุดิน น้ำเลือดและน้ำมูตรเขาสมมติว่าธาตุน้ำ เราก็เรียกตามเขาไป ที่จริงแล้วของเหล่านั้นถ้าคนเราไม่สมมติแล้วจะเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ มันหากเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับสลายไปตามสภาพของมันอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา บางองค์เพ่งให้ตัวของท่านเป็นพระพุทธเจ้า พระสาวก หรือพระปัญเจกพุทธะเสด็จเลื่อนลอยมาบนอากาศก็มี เพ่งบ้านเรือนและเมืองให้เป็นเมืองสวรรค์ก็มี เพ่งเอาแต่จิตนามธรรมเป็นอารมณ์ พอจิตรวมเข้าเป็นภวังค์ เกิดนิมิตปรากฏเป็น รูปเทวดา ภูตผีปีศาจ อินทร์ พรหม เสด็จมาสนทนากับพวกเหล่านั้นเพลินไปก็มี บางทีเกิดความรู้ขึ้นมาภายในใจว่า คนนั้นเคยเป็นบิดามารดา เป็นบุตรธิดา เป็นภรรยาสามีของกันมาแต่ครั้งก่อน ที่เรียกว่า อภิญญา ความรู้ภายในเป็นของพิเศษ เรื่องเหล่านี้บางทีก็จริงบ้าง บางทีก็เป็นของไม่จริงหลอกลวงให้หลงเชื่อไปตามมัน บางทีถึงกับทำให้เสียคนไปก็มี เพราะความรู้อันนั้นยังเป็นโลกีย์ รู้ไม่มีหลักเกณฑ์ เมื่อจะเกิดก็เกิดขึ้นมาเฉย ๆ ในขณะที่จิตของคนเรานั้นยังวุ่นวายด้วยกิเลสต่าง ๆ อยู่ มันกลายเป็นสัญญา สังขารไปก็มี แต่คนทั้งหลายชอบนัก เรียกว่าดูภายใน เรื่องเหล่านี้อาจารย์ผู้อยากดังสอนกรรมฐานชอบนัก ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ไม่เคยเห็นไม่เคยเป็นเลย แต่สอนลูกศิษย์บางคนซึ่งเคยมีนิสัยทางด้านนี้มาแต่ก่อนแล้วเกิดเป็นขึ้นมา เลยสนับสนุนว่าดีแล้วถูกแล้ว เป็นของอัศจรรย์ควรทำให้มาก ๆ ขึ้น เมื่อลูกศิษย์ผู้ตาฝ้าฟางอยู่แล้ว พอถูกอาจารย์หยอดยาตาบอดใส่ ก็ยิ่งบอดใหญ่เลย คราวนี้เมื่อบอดแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำให้เป็นตาบอดทั้ง ๒ คน เรื่องเหล่านี้ผู้เขียนได้ประสบมาด้วยตนเองแล้วตั้งหลาย ๑๐ ราย อาจารย์สอนกรรมฐานทั้งหลายควรระวังหน่อย สอนกรรมฐานแทนที่จะเป็นการเผยแพร่พระพุทธศานาเลยทำให้พระพุทธศาสนาสั้นลง ผู้มีศรัทธาอยู่แล้วคิดอยากจะทำกรรมฐาน เพราะเห็นว่ากรรมฐานนี้เป็นที่ตั้งทัพเพื่อผจญต่อสู้ กิเลสของผู้นับถือพระพุทธศาสนา แต่เมื่อเห็นผู้ทำมาแล้วเป็นอย่างว่ามาแล้วนั้น เลยหมดความเพียรพยายามในการที่จะกระทำต่อไป ยิ่งผู้ไม่มีศรัทธาอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นเช่นนั้นเข้าเลยเบือนหน้าหนีเลย
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เรื่องอภิญญาของพระอริยเจ้า

    เรื่องอภิญญาซึ่งเกิดมาจากฌานนี้ พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้ที่เชี่ยวชาญฉลาดท่านก็เล่นเหมือนกัน แต่ท่านเล่นเป็นกาลเป็นเวลา ไม่เหมือนคนเราในสมัยนี้ คนในสมัยนี้ใครไปหาเวลาใด ก็บอกให้ได้เลยจนกระทั่งบัตร ๆ เบอร์ ๆ พระอริยเจ้าท่านผู้มีนิสัยทางนี้อยู่ และเชี่ยวชาญในการเข้าฌาน เมื่อท่านต้องการอยากรู้และทำ ท่านจะต้องเข้าฌานถึงจตุตตถฌานเสียก่อน เพราะจตุตตถฌานเป็นบาทของอภิญญาทั้งหลาย แล้วถอนจากจตุตตถฌานมาตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ จึงวิตกเรื่องที่ต้องการอยากจะรู้นั้นขึ้นมา แล้ววางจิตให้เฉยอยู่ ท่านที่เชี่ยวชาญทางนี้ก็จะรู้ด้วยใจและโต้ตอบด้วยไหวพริบอันฉลาดของท่าน บางท่านไม่เชี่ยวชาญและไม่มีนิสัยในทางนี้ ก็จะนิ่งเฉยเลยแล้วก็ทำกิจหน้าที่ของท่านไปเรื่อย ๆ ท่านไม่เป็นทุกข์เดือดร้อนเพราะเรื่องเหล่านี้ นั่นแลความรู้จึงจะแน่นอนสมเหตุสมผลควรเชื่อถือได้

    ไม่เหมือนความรู้ในฌานของปุถุชน เมื่ออยากจะรู้อะไรขึ้นมาอยากจะเห็นอะไร พอจิตเข้าถึงภวังค์ก็เกิดขึ้นมาเลย แล้วก็ส่งจิตไปตามความรู้และความเห็นนั้น จนจับจิตของตนเองไม่อยู่ หลงเพลินไปตามอารมณ์ของฌานนั้น ๆ ท่านพระอริยเจ้าท่านรู้เท่าจิต รู้เท่าอารมณ์ รู้เท่าใจ เมื่อท่านใช้ฌานใช้จิตของท่านพอแก่กาลแล้ว ท่านก็ปล่อยวางเรื่องเหล่านั้นเสีย แล้วก็วางเฉยให้อยู่เป็นกลางในสิ่งทั้งปวง และรู้เท่าว่าเราวางเฉยอยู่ ฉะนั้น ฌานของปุถุชนจึงมักจะเสื่อมในเมื่อได้กระทบอารมณ์ภายนอกอยูเสมอ ดังเราเคยได้ยินนิทานต่าง ๆ ที่ท่านเล่ามาเป็นอุทาหรณ์ไว้แล้ว ในที่นี้จะเล่านิทานเรื่องของผู้เสื่อมฌานมาให้ฟังสักเรื่อง
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    นิทานเรื่องอิสิสิงคฤาษี

    มีพระฤาษีตนหนึ่ง ไปสร้างอาศรมบทอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ไกลจากหมู่บ้านพอสมควร อยู่มาวันหนึ่งมีแม่กวางสาวตัวหนึ่งเดินเที่ยวมา เห็นน้ำมูตรพระฤาษีที่ถ่ายทิ้งขังอยู่ นางกวางจึงก้มลงดื่มกิน เลยวิกฤติการณ์ตั้งท้องขึ้นมา เมื่อท้องแก่แล้วคลอดออกมาเป็นเด็กชาย พระฤาษีเห็นเช่นนั้นก็เก็บมาเลี้ยงไว้ด้วยมูลผลาหาร เติบโตขึ้นมาก็สอนกรรมฐาน ให้เจริญฌานสมาบัติตามเยี่ยงอย่างของพระฤาษี น่าสงสารพระฤาษีหนุ่มน้อยกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์แต่ไม่ได้สังคมกับมนุษย์ เว้นแต่กับพ่อพระฤาษีเท่านั้น

    วันหนึ่งพระฤาษีผู้พ่อจึงนำพระฤาษีหนุ่มไปเที่ยวในป่าใหญ่ แล้วชี้ให้ดูดอกนารีผลซึ่งมีดอกเหมือนกับสตรีห้อยระย้าเต็มไปหมดตามกิ่งก้านเหมือนผู้หญิงห้อยโหนกิ่งไม้อยู่ฉะนั้น เมื่อกลับมาอาศรมแล้วจึงสอนว่า สัตว์ที่มีเขาอยู่ข้างหน้าลูกอย่าได้หลงตามมันนะลูกนะ พระฤาษีผู้พ่อบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ไม่เสื่อมอยู่ไม่นานก็ตายแล้วไปเกิดในพรหมโลก ส่วนพระฤาษีหนุ่มน้อยก็ตั้งใจบำเพ็ญตบะธรรมอยู่คนเดียวโดยความไม่ประมาท ด้วยอำนาจศีลอันแก่กล้าของพระฤาษีหนุ่ม จึงบันดาลให้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์แข็งกระด้าง เมื่อพระอินทร์พิจารณาด้วยทิพยญานก็รู้ว่าศีลของพระอิสิสีงคฤาษีหนุมน้อยนี้แก่กล้ายิ่งนัก เมื่อตายจากมนุษยโลก์แล้วจะไปเกิดในสวรรค์ จะได้เป็นใหญ่กว่าเทพทั้งหมด จึงแกล้งทำเป็นไม่สบาย นอนขรึมอยู่คนเดียว เมื่อเทพยดาทั้งหลายเห็นเช่นนั้น จึงเข้าไปทูลถามว่า เทวะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าเทพยดาทั้งหลาย พระองค์ไม่สบายหรือว่าใครทำให้พระองค์เดือดร้อนด้วยประการใดหรือ ขอพระองค์จงสั่งมา ข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้ช่วยกันบำบัดเรื่องเหล่านั้นให้หายไป พระอินทร์ก็ดุษณีภาพนิ่งเฉยไม่พูดกับใครทั้งสิ้น มีเทพธิดาหน้าแฉล้มตนหนึ่งซึ่งเป็นที่น่าพิศวาสยิ่งนักเข้าไปทูลถามว่า เทวะข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ทั้งหมด พระองค์ไม่สบายพระทัยด้วยประการใด ใครทำให้พระองค์เดือดร้อนด้วยเหตุอันใดหรือ ขอพระองค์โปรดบอกแก่ข้าพระองค์ด้วย ข้าพระองค์จะช่วยบำบัดทุกข์นั้นให้ พระอินทร์จึงขยับพระองค์เข้าไปใกล้นางเทพธิดาแล้วกล่าวว่า น้องรักผู้เจริญจงเข้ามาใกล้ๆ พี่ พี่จะเล่าให้ฟัง เรื่องนี้เรารู้กัน ๒ คนเท่านั้นอย่าให้แพร่งพรายไป น้องไม่รู้หรือว่าอิสิสิงคฤาษีบำเพ็ญตบะธรรมอยู่ในมนุษย์โลกโน่นแก่กล้า ตายแล้วอาจจะได้เกิดมาบนสวรรค์เป็นใหญ่กว่าเทพทั้งปวง ไปเถิดน้อง เจ้าจงไปทำลายศีลของอิสิสิงคฤาษีนั้นให้ฉิบหายเสีย นางเทพธิดาจึงกล่าวว่าขอพระองค์จงอย่าทำให้ข้าพระองค์ฉิบหายเลย พระอินทร์ก็มีบัญชาว่า ไม่ได้ น้องต้องไปทำลายมันให้ได้ แล้วนางเทพธิดานั้นก็หายไปปรากฏที่เฉพาะหน้าพระฤาษี
    พออิสิสิงคฤาษีประสบภาคารมณ์ ก็ถึงกับวิสัญญีภาพสลบลงทั้งยืนเหมือนกับสายอสนีบาตฟาดลงที่หัวใจแตกกระจายเลย หลงมัวเมาอยู่ในทิพยกามสุขไม่ทราบว่ากี่วัน กี่เดือน พอมีสติรู้สึกตัวขึ้นมาก็มาสลดสังเวชในใจว่า โอ้นี่หนอที่พ่อพระฤาษีเตือนว่าจงอย่าได้หลงในสัตว์ที่เป็นอันตรายอย่างว่านั้น แล้วพระฤาษีจงบอกกับนางเทพธิดาานั้นว่า เจ้าจงไปจากที่นี้เสียแล้วอย่าได้กลับมาอีก นางเทพธิดาจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ๆได้มาด้วยอำนาจของตนเอง แต่พระอินทร์บัญชาให้มา เพราะตบะของท่านแก่กล้า เมื่อท่านตายแล้วสามารถไปเกิดในสวรรค์เป็นใหญ่กว่าเทพยดาทั้งหมด ว่าแล้วนางก็หายลับไป พระฤาษีจึงชำระปัดกวาดหม้อน้ำ โรงบูชาไฟที่รกรุงรังด้วยเครือเขาเถาวัลย์ให้สะอาดดี แล้วจึงบำเพ็ญตบะจนได้ฌานกลับคืนมาอีก อยู่มาจนสิ้นอายุไขแล้วก็ดับขันธ์ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ความเห็นผิดคิดว่าถูกแล้ว

    นักปฏิบัติทั้งหลายทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน ปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แล้วมักหลงลืมตัวโดยเข้าใจว่านั่นถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์แล้ว อดกลั้นไม่อยู่ โฆษณาอยากให้คนอื่นรู้ว่าตนเองถึงทีสุดแล้ว พูดเปรียบเปรยต่าง ๆ นานา บางทีก็พูดออกมาตรง ๆ เลยว่า " อย่าสงสัยในตัวข้าฯ เลย ข้าฯ ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะต้องพูด " น่ากลัวยิ่งนักผู้เป็นเช่นนั้น ใครแตะต้องไม่ได้เชียว ผู้เขียนเห็นว่าความอยากเป็นยางเหนียวยึดติดเกาะสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาใกล้ให้เป็นพวงไปด้วย โดยเฉพาะเอาตนเข้าไปใส่ว่า ตนเห็น ตนเป็นนั้นเป็นนี้ เป็นผู้วิเศษกว่าคนอื่น อยากให้คนอื่นเห็นว่าตนวิเศษอะไรต่าง ๆ อย่างนี้ตกหลุมลึกทีเดียว ปฏิบัติมาเท่าไรก็ยิ่งเลอะเท่านั้น ทำให้อนุชนรุ่นหลัง ๆ เสื่อมศรัทธาไปด้วย
    อีกบางพวกบางเหล่าเห็นเขาปฏิบัติรู้นั้นรู้นี้ เห็นสิ่งแปลก ๆ ก็อยากจะเห็นกับเขาบ้าง เมื่อปฏิบัติไป ๆ เอาความอยากนำหน้าแล้วไม่เห็นอะไรเกิดขึ้น ก็ชักให้ท้อใจ กลับเห็นว่าพุทธศาสนาอันนี้แม้ปฏิบัติดีแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เลยเสื่อมจากพุทธศาสนาเสีย พุทธศาสนาสอนให้เชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม เราทำกรรมอะไรไว้เราย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ๆ ท่านที่ปฏิบัติจนรู้เห็นนั่นนี้เชี่ยวชาญฉลาดเฉียบแหลมก็เพราะบุพกรรมที่ท่านได้สร้างไว้แต่เมื่อก่อนเป็นอเนกชาติ มาในชาตินี้ท่านจึงเป็นเช่นนั้น เราสร้างกรรมดีไว้น้อยหรืออาจไม่ได้สร้างไว้เลยแต่เมื่อก่อนมันจึงไม่เป็นอย่างท่าน ดีที่เราเกิดมาในชาตินี้เห็นท่านที่กระทำดีได้ผลดีแล้ว เราจะได้กระทำอย่างท่าน ฉะนั้นควรที่จะยินดีกับความเกิดมาเป็นมนุษย์ของตน พึงทำดีต่อไปเพื่อให้เป็นประโยชน์ในอนาคต


    พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้าในอดีตก็เหมือนกัน บางท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต ์ แล้วเชี่ยวชาญได้จตุปฏิสัมภิทา สามารถเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัทแตกฉานมาก บางท่านเมื่อได้เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็อยู่ด้วยวิหารธรรมของท่านเฉย ๆ ไม่เห็นมีฤทธิ์มีเดชทำปาฏิหารย์อะไร เรื่องเหล่านี้เป็นเพราะบุพกรรมของแต่ละบุคคลที่เคยกระทำไว้แต่เมื่อก่อน ฉะนั้นจึงควรยินดีในกรรมที่ตนกระทำอยู่ในปัจจุบันนี้ดีกว่า


    ฌาน ๔ หรือ ฌาน ๘ นี้เป็นโลกิยฌานล้วน ๆ ดังได้อธิบายมาแล้ว การเข้าหรือออกจากองค์ฌานก็ล้วนแต่เป็นโลกิยะทั้งนั้น โลกุตตรฌานไม่เห็นมีในที่ต่าง ๆ ที่ท่านแสดงไว้ ที่ท่านแสดงไว้ที่เรียกว่าโลกุตตรฌานนั้น เพราะท่านได้โลกุตตระแล้วจึงเข้าโลกิยฌาน แต่แท้จริงแล้วท่านเข้าโลกิยฌาณนั่นเองกับผู้เข้าโลกุตตรฌานมันมีผิดกัน ตรงที่หลงติดในฌานนั้น ๆ ก็ไม่หลงติดในฌาณนั้น เหมือนกับเด็กเล่นกีฬาย่อมหลงมัวเมาในการเล่นนั้นแต่ผู้ใหญ่เล่นกีฬาเพื่อสุขอนามัย โลกิยฌานและโลกุตตรฌานมีผิดแปลกกันตรงที่โลกิยฌานมีการเสื่อมได้ โลกุตตรฌานไม่มีการเสื่อมเลย เพราะท่านควบคุมฌานและจิตให้อยู่ในขอบเขตของท่านได้
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    โทษและคุณของกามนี้มากหลาย

    กามคุณเป็นภัยอันร้ายกาจของพรหมจรรย์ยิ่งนัก มันสามารถครอบงำโลกอันนี้ให้อยู่ในกำมือของมันทั้งหมด ตัวอย่างเช่น อิสิสิงคดาบส มีตบะกล้าถึงขนาดพระอินทร์ ซึ่งคนทั้งโลกพร้อมด้วยเทวดาทั้งหลายพากันให้สมัญญาว่า " มีฤทธิ์มากเหมือนกับพระอินทร์ " ก็ยังกลัวอิสิสิงคฤาษี ต้องใช้นางเทพอัปสรลงมาปราบ มนุษย์ชาวโลกทั้งหลายจะประกอบกิจการใด ๆ และอาชีพใด ๆ ก็ตาม ต้องมาปรารภกามคุณนี้เป็นต้นเหตุ แม้พรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ก็เหมือนกัน ผู้จะหนีจากกามได้ ต้องมาปรารภกามนี้เป็นเหตุทั้งนั้น

    ดอกไม้คือกามคุณทั้งห้าบานสะพรั่งอยู่ในโลกเต็มไปหมด มนุษย์หญิงชายผู้เคราะห์ร้ายเกิดมาแล้วหลงชมชอบรักใคร่เก็บมาประดับ หมู่มารเห็นแล้วหัวเราะพอใจคิดว่าเขาเหล่านี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเราแล้ว แล้วก็ขับเพลงกล่อมให้เต้นไปตามจังหวะของตน พระพุทธเจ้าตรัสว่า " การขับร้องคือการร้องไห้ " ( โอดครวญพิไรรำพันเศร้าโศกคิดถึงผู้ที่ตายแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่ด้วยเสียงอันละห้อยโหยหวนอย่างสุดซึ้ง ทำให้ผู้ได้ยินแล้ววาดภาพเหมือนเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ) " การเต้นรำเป็นลักษณะของคนบ้า " คือการแสดงกิริยาของคนวิกลจริตต่าง ๆ เป็นต้นว่าเยื้องกรายหมุนซ้ายหมุนขวา ยักท่าวิปริตผิดมนุษย์สามัญธรรมดา แขนขาสะบัดส่ายงอหงิกแสดงเหมือนคนเป็นบ้า " การหัวเราะเป็นอาการของเด็ก " ธรรมดาของเด็กที่ยังไม่รู้เดียงสาเมื่อยังนอนอยู่ในเบาะหรือในอ้อมแขนนั้น เห็นอะไรและสิ่งใดก็มีแต่หัวเราะเป็นประมาณ


    ท่านผู้รู้ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ท่านได้เห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ตามเป็นจริงแล้วท่านจึงสลดสังเวชในใจ จึงทรงตรัสว่า " การขับร้องคือการร้องไห้ การฟ้อนรำคืออาการของคนบ้า การหัวเราะเป็นอาการของเด็ก นี่เป็นวินัยของพระอรหันต์ "


    นับว่าเป็นโชคดีของเราทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญบุญไว้เมื่อแต่ปางก่อน ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีกำเนิดอันบริสุทธิ์ไม่วิปริต แล้วยังได้พบพระพุทธศาสนาที่สอนไม่ให้เราหลงใหลติดอยู่ในคุกของโลกด้วย ถ้าเราไม่ได้เกิดมาในโลก ที่ไหนเราจะรู้ของพรรค์นี้ นี่เพราะเราเกิดมาในโลกนี้แท้ ๆ จึงได้รู้ว่าในโลกนี้มีอะไรอยู่บ้าง


    เมื่อกล่าวถึงเรื่องฌานพอสมควรแล้ว ต่อไปนี้จะกล่าวถึงเรื่องสมาธิ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    สมาธิ

    สมาธิ แปลว่า ทำจิตให้แน่วแน่ในอารมณ์อันเดียว สมาธิที่มีในพระพุทธศาสนาท่านแสดงไว้เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ซึ่งมีอยู่ในตัวของเรานี้มีถึง ๔๐ อย่าง คือ กสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ และอรูปฌาน ๔ รวมเป็น ๔๐ อย่าง ล้วนแต่อยู่ในกายและเนื่องด้วยกายนี้ทั้งนั้น ส่วนอื่นนอกจากนี้ที่พระพุทธองค์ได้แสดงในที่ต่าง ๆ ให้พระสาวกฟังแล้วได้บรรลุมรรคผลนิพพานที่ท่านไม่ได้เก็บมาบัญญัติก็มากมาย และท่านเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำว่าฌาน เสียซ้ำไป เช่น สันตติอำมาตย์ เมาแปร้อยู่บนคอช้าง พระพุทธองค์ทรงมีเมตตากรุณาตรัสเทศนาว่า " ท่านจงชำระจิตของท่านในอนาคตเสีย แล้วจงอย่าคำนึงถึงจิตในอดีต แม้แต่ในท่ามกลางก็อย่าถือเอา "เท่านั้นท่านก็ได้บรรลุเป็นอรหันต์แล้ว จะเป็นเพราะท่านได้เคยบำเพ็ญบารมีจนชำนิชำนาญไว้แต่ปางก่อน พอได้ฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าเพียงเท่านั้น ฌานที่เคยบำเพ็ญไว้แต่ก่อนนั้นจึงเกิดขึ้น แล้วสมาธิตั้งมั่นแน่วแน่ฟังธรรมของพระพุทธองค์จึงได้บรรลุพระนิพพาน
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    สามสหายกินข้าวห่อในป่า

    วิธีฝึกหัดจิตให้เข้าถึงสมาธิมีหลายอย่างต่าง ๆ กัน แต่เมื่อจิตเข้าถึงสมาธิแล้วมีรสชาติอย่างเดียวกัน จะมีอาการผิดแปลกบ้างก็บางท่านที่มีนิสัยผิดแปลกเพื่อน แต่เมื่อพิจารณาแล้วก็ลงกันได้ ดังเขาเล่าไว้ว่า สามเกลอเพื่อนรัก คือ ไทย ๑ ลาว ๑ และ เขมร ๑ ๓ คนด้วยกัน คิดสนุกชวนกันไปรับประทานข้าวในป่า ว่าเพื่อน ๆวันนี้ไปรับประทานข้าวในป่าด้วยกันเถิด เมื่อจะไปจงเตรียมข้าวห่อไปคนละห่อ เอาอาหารดี ๆ ไปด้วย ทั้ง ๓ คนเตรียมตัวไม่ทันเพราะกะทันหัน ต่างก็คิดว่าเพื่อนคงจะได้อาหารดี ๆ ไป ในขณะที่เดินทางไปในป่านั้นต่างก็ถามถึงอาหารที่ห่อไปว่าใครเอาอะไรมาบ้าง ต่างคนก็บอกถึงอาหารที่ตนเอาไปนั้น เมื่อเดินทางไปถึงจุดหมายแล้วสามเกลอก็ตีวงล้อมแล้วจึงคลี่ข้าวห่อออกดู ปรากฏว่ามีแต่ปลาร้าเหมือนกันทั้งนั้น จึงฮากันใหญ่ เพราะอะไร เพราะภาษามันไม่เหมือนกัน ไทยเรียกว่าปลาร้า ลาวเรียกว่าปลาแดก เขมรเรียกว่าปลาระห็อก สามเกลอก็ไม่ทะเลาะกันยังหัวเราะฮากันเสียอีก

    พวกเราเหล่าพุทธบริษัทนี้ซี ถึงแม้จะต่างพวกต่างเหล่าต่างชาติกันก็นับถือพระพุทธศาสนาอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกัน พระองค์ทรงสอนให้สามัคคีกัน ไม่ให้คิดอิจฉาริษยาเบียดเบียนซึ่งกันและกันเพื่อสันติสุขของมวลชนในโลก พระองค์ไม่ได้เรียกร้องให้พวกเรามานับถือพระองค์ แต่พวกเราหากเลื่อมใสศรัทธามานับถือพระองค์ด้วยตนเอง แต่เมื่อมานับถือแล้ว เหตุใดจึงมาทะเลาะวิวาทบาดหมางแก่งแย่งแข่งดีวุ่นวาย ทำความเดือดร้อนให้แก่กันและกัน ไม่ละอายแก่ใจเลย ว่าพวกเราได้มานับถือพระพุทธศาสนาด้วยใจศรัทธาที่บริสุทธิ์แล้ว ทำไมไม่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะพระที่มีการศึกษาดี มีความรู้ในคำสอนพระพุทธศาสนาพอสมควรก็ยังเทศนาให้ญาติโยมเขาฟังอีกด้วย ทำไมพระบางรูปจึงยังทะเลาะกันอยู่ แก่งแย่งแข่งดีซี่งกันและกันเพื่ออะไรก็ไม่ทราบ ทำตัวไม่เป็นที่น่านับถือของญาติโยมเลย


    เพื่อนของผู้เขียนองค์หนึ่งจัดงานบุญขึ้นที่วัดของเธอ ไปนิมนต์พระมาเทศน์ที่วัด ๔ ธรรมาสน์ ไปจ้างมาองค์ละ ๑๐,๐๐๐ บาท มันน่าหรือ อย่างนี้ถ้าญาติโยมเขาติดกัณฑ์เทศน์ เขาจะติดองค์ละเท่าไรก็เป็นเรื่องของเขา นี่ต่อรองกันได้องค์ละ ๑๐,๐๐๐ บาท ไปจ้างพระมาเล่นละครพูดกันดี ๆ นี่เอง ควรจะเก็บค่าอาหารเช้าและเพลจากพระนั้นด้วยละดี คงจะไม่ขาดทุนกี่สตางค์ นี่จะเรียกว่าพระพุทธศาสนาเจริญแล้วหรือยัง สมัยนี้เอาพุทธศาสนาบังหน้าหากินกันแยะดังที่ได้ยินกันอยู่แล้ว
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    วิธีทำความสงบและสมาธิภาวนา

    หัดสมาธิและหัดทำความสงบมีหลายวิธีหลายอย่าง ดังได้อธิบายมาแล้วข้างต้น วิธีเหล่านี้ถึงจะมากอย่างสักเท่าไรก็แล้วแต่เถอะ ข้อใหญ่ใจความก็ต้องการทำให้จิตสงบอย่างเดียวกัน ถ้าจิตไม่สงบแล้วก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น บางคนหาเลือกกรรมฐานที่ถูกกับจริตของตนมาภาวนา เอาบทนั้นบทนี้มาภาวนาก็แล้ว นาน ๆ เข้าก็เบื่อหน่ายดังอธิบายมาแล้ว เพราะไม่มีแยบคายในตัว แยบคายนี้เป็นของแปลก สอนกันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตนเอง ไม่เหมือนอุบาย อุบายสอนกันได้โดยใช้อุปมาอุปไมยเปรียบเทียบเหตุผลอธิบายให้เข้าใจ อุบายนั้นแหละเมื่อซาบซึ้งเข้าถึงจิตใจแล้วจึงจะเกิดแยบคาย ท่านจึงแสดงไว้ว่า " โดยแยบคายอันชอบ " แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จิตจะไม่สงบเลยหรือสงบบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ก็ยังดีกว่าบุคคลที่ไม่ได้ทำเลย การกระทำนั้นเรียกว่าอบรมนิสัยของตนให้ดีขึ้นโดยลำดับ บางคนหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พอเริ่มกระทำกรรมฐานเท่านั้นแหละ อยากรู้อยากเห็น นึกคิดนั้นนี้ต่าง ๆ จิตใจไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิจึงจับหลักไม่ได้

    มียายคนหนึ่งอายุมากแล้ว แกพูดธรรมถูกต้องตามแนวปฏิบัติได้อย่างดี คนอื่นฟังแล้วเข้าใจได้ชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติได้ผลดีเยี่ยม ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยได้ศึกษาในธรรมมาก่อน หมู่เพื่อนที่เคยได้ปฏิบัติมาด้วยกันก็ดีและไม่เคยปฏิบัติก็ดี เมื่อได้ฟังคารมอันแยบคายของแกแล้ว ทุก ๆ คนก็ลงมติว่ายายคนนี้เป็นผู้ได้บรรลุแล้วไม่ชั้นใดก็ชั้นหนึ่งละ พอกลับไปถึงที่อยู่แล้วแกเล่นไพ่กันสนุกเลย เข้าใจว่าภาวนาจะทำเมื่อไรก็ได้ จริงอย่างเขาว่า ต่อมาแกเข้าผ่าตัดในโรงพยาบาลออกจาโรงพยาบาลแล้ว ได้ยินเขาว่าแกทำใจได้ดีอย่างเดิม ไม่ทำใจให้เศร้าหมองเลย ยิ่งทำให้แกมีใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญซ้ำขึ้นอีก ต่อมาแกเข้าโรงพยาบาลอีกเลยถึงแก่ความตาย ก่อนจะตายแกพูดกับเพื่อน ๆ ว่า " ถ้าฉันทำตามคำสอนของอาจารย์ติดต่อกันมา ป่านนี้คงจะดีกว่านี้มาก เราประมาทเสียแล้ว หมดเวลาไปเปล่า ๆ "

    ส่วนอีกคนหนึ่งฝึกหัดกรรมฐานมานานตั้งหลาย ๑๐ ปี บอกว่าภาวนาทีไรมีแต่หลับไปไม่ได้เรื่อง ทีหลังมาเพ่งพิจารณาที่ขันธ์ ๕ เห็นเป็นพระไตรลักษณ์ จิตเลยรวม ความง่วงเลยหายไปทันที เขาจับหลักอันนั้นมาพิจารณา จนกระทั่งวันเขาตายเขาก็ยังพิจารณามั่นคงอยู่เหมือนเดิม นี่จะเรียกว่าบุญบารมีเก่าที่เขาบำเพ็ญมาแล้วแต่ก่อนก็ว่าได้ ถึงจะใช่บุญบารมีหรือไม่ก็ตามใด เมื่อประมาทแล้วย่อมทำให้บุญบารมีนั้นลดน้อยถอยลงไป สิ่งที่จะพึ่งก็ได้เลยเสื่อมเสียกลับไป

    ในที่นี้ผู้เขียนจะนำเอากายคตาสติกรรมฐานมาฝึกหัดเป็นตัวอย่างพอเป็นอุทาหรณ์ เบื้องต้นต้องตั้งสติให้แน่วแน่ว่า กายคตาสติกรรมฐานนี้เป็นของดีของประเสริฐแล้ว กรรมฐานอื่น ๆ ก็ไม่ดีเท่ากรรมฐานอันนี้ เพราะพิจารณาลมหายใจเข้า - หายใจออก ก็ออกจากกายนี้ พิจารณาความตายก็ที่กายนี้ พิจารณาอสุภก็ที่กายนี้ พิจารณาธาตุ ๔ ก็พิจารณาที่กายนี้ทั้งนั้น เมื่อตั้งใจเชื่อมั่นอย่างนี้แล้ว จงเอาจิตตั้งลงที่กายนี้อย่าได้ส่งออกไปภายนอก ทำความรู้สึกอยู่ภายในใจตลอดเวลา ถ้ามันเผลอส่งออกไปภายนอก จงดึงเข้ามาภายในแล้วทำความรู้สึกภายในอย่างเดิม ถ้ามันยังส่งออกไปอยู่ ก็นึกเอาคำบริกรรมว่า " กายเภท ๆๆ " แล้วพิจารณากายอันนี้เป็นของแตกดับ พิจารณาเฉพาะกายจริง ๆ โดยเป็นของแตกดับจริง ๆ จนเห็นด้วยภายในใจจริง ๆ ว่ากายนี้แตกดับแล้วจะเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมตามสภาพของมัน จะเป็นอื่นไปไม่ได้ แล้วจิตจะไม่คิดไปในสิ่งอื่น จะรวมเข้าเข้ามาอยู่ในท่ามกลางในที่คิดนั้นเป็นหนึ่ง เรียกว่าหมดคิดหมดนึก แล้วรวมเข้ามาอยู่ในความเป็นหนึ่ง มีความรู้ตัวอยู่ว่าเราอยู่เป็นหนึ่ง การอยู่รวมเป็นหนึ่งด้วยวิธีนี้จะนานเท่าไรก็ได้ ในขณะนั้นไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรทั้งหมด เพราะเราใช้ปัญญามาแต่เบื้องต้น พิจารณากายนี้ให้เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม มาแล้ว เมื่อพิจารณามาหมดแล้วก็ต้องพักจิต จิตนี้พิจารณาอะไรทั้งหมดเตลิดเปิดเปิงไปไม่มีที่หยุด เรียกว่า จิตหลงจิตเพลินไปในกามคุณ ๕ เป็นวัฏจักร ถ้าจิตเป็นวิวัฏจักรต้องมีที่หยุดดังอธิบายมานี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...