ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]<HV>0011</HV> [​IMG]<HV>0014</HV> [​IMG]<HV>0016</HV>
    [​IMG]<HV>0023</HV> [​IMG]<HV>0031</HV> [​IMG]<HV>0032</HV>
    [​IMG]<HV>0035</HV> [​IMG]<HV>0037</HV> [​IMG]<HV>0041</HV>
    [​IMG]<HV>0042</HV> [​IMG]<HV>0043</HV> [​IMG]<HV>0044</HV>
    [​IMG]<HV>0045</HV> [​IMG]<HV>0047</HV> [​IMG]<HV>0048</HV>
    [​IMG]<HV>0049</HV> [​IMG]<HV>0050</HV> [​IMG]<HV>0051</HV>
    [​IMG]<HV>0052</HV> [​IMG]<HV>0053</HV> [​IMG]<HV>0055</HV>
    [​IMG]<HV>0056</HV> [​IMG]<HV>0057</HV> [​IMG]<HV>0061</HV>
    [​IMG]<HV>0062</HV> [​IMG]<HV>0063</HV> [​IMG]<HV>0064</HV>
    [​IMG]<HV>0065</HV> [​IMG]<HV>0066</HV> [​IMG]<HV>0067</HV>
    [​IMG]<HV>0069</HV> [​IMG]<HV>0070</HV> [​IMG]<HV>0071</HV>
    [​IMG]<HV>0072</HV> [​IMG]<HV>0073</HV> [​IMG]<HV>0074</HV>
    [​IMG]<HV>0075</HV> [​IMG]<HV>0077</HV> [​IMG]<HV>C0001</HV>
    [​IMG]<HV>C0002</HV> [​IMG]<HV>C0004</HV> [​IMG]<HV>C0005</HV>
    [​IMG]<HV>C0006</HV> [​IMG]<HV>C0007</HV> [​IMG]<HV>C0008</HV>
    [​IMG]<HV>C0009</HV> [​IMG]<HV>C0010</HV> [​IMG]<HV>C0011</HV>
    [​IMG]<HV>C0012</HV> [​IMG]<HV>C0013</HV>
    [​IMG]<HV>C0015 </HV>[​IMG]<HV>C0019</HV> [​IMG]<HV>C0020</HV>
    [​IMG]<HV>C0021 </HV>[​IMG]<HV>C0022</HV> [​IMG]<HV>C0023</HV>
    [​IMG]<HV>C0024 </HV>[​IMG]<HV></HV><HV>C0025</HV> <HV></HV>[​IMG]<HV>C0026</HV>
    <HV></HV><HV></HV>[​IMG]<HV>C0027 </HV>[​IMG]<HV>C0028 </HV>[​IMG]<HV>C0029</HV>
    [​IMG]<HV>C0030</HV>[​IMG]<HV>C0031</HV> [​IMG]<HV>C0032</HV>
    [​IMG]<HV>C0033 </HV>[​IMG]<HV>C0034</HV> [​IMG]<HV>C0035</HV>
    [​IMG]<HV>C0036 </HV>[​IMG]<HV>C0037 </HV> [​IMG]<HV>C0038</HV>
    <HV></HV>[​IMG]<HV>C0039 </HV>[​IMG]<HV>C0040 </HV> [​IMG]<HV>C0041</HV>
    [​IMG]<HV>C0042 </HV>[​IMG]<HV>C0043</HV> [​IMG]<HV>C0044</HV>
    [​IMG]<HV>C0045</HV> [​IMG]<HV>C0046</HV> [​IMG]<HV>C0047</HV>
    <HV></HV>[​IMG]<HV>C0048 </HV>[​IMG]<HV>C0049</HV> [​IMG]<HV>C0050</HV>
    [​IMG]<HV>C0051 </HV>[​IMG]<HV>C0052</HV> [​IMG]<HV>C0053</HV>
    [​IMG]<HV>C0054 </HV>[​IMG]<HV>C0055</HV> [​IMG]<HV>C0056</HV>
    [​IMG]<HV>C0057 </HV>[​IMG]<HV>C0058</HV> [​IMG]<HV>C0059</HV>
    [​IMG]<HV>C0060 </HV>[​IMG]<HV>C0061</HV> [​IMG]<HV>C0062</HV>
    [​IMG]<HV>C0063 </HV>[​IMG]<HV>C0064</HV> [​IMG]<HV>C0065</HV>
    [​IMG]<HV>C0066 </HV>[​IMG]<HV>C0067</HV> [​IMG]<HV>C0068

    รูปดาบงามๆๆๆ The Dha Research Archive - Sword Index</HV>
     
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    Here is one from Luang Prabang

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    หากรูปมากเกินไปจนท่านโหลดหน้านี้ได้ช้า โปรดแจ้งได้เลยค่ะ จะลบให้ ตอนนี้เอาไว้ดูสักพักก่อนเพราะสวยค่ะ
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2009
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พบถ้วยโบราณสมัยราชวงศ์หมิงในพระราชวังจันทน์

    พบถ้วยโบราณสมัยราชวงศ์หมิงในพระราชวังพระนเรศวรนักโบราคดีเผยเป็นเครื่องถ้วยบรรณาการในรัชกาลจักรพรรดิ ซวนเต๋อ พร้อมตั้งอาคารศูนย์ข้อมูล-ห้องนิทรรศการ-สารานุกรมสมเด็จพระนเรศวรวรมหาราชให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชน ผู้สนใจ คาดแล้วเสร็จปี 51


    เมื่อวันที่ 18 ม.ค. นายวีระ โรจน์ พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานเปิดงานเสวนาทางวิชาการ จากวีรกรรมสมเด็จพระนเรศวรวรมหาราช ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) โดยมีประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังการเสวนาจำนวนมาก ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรวรมหาราช อาทิ สมเด็จพระนเรศวรวรมหาราชจากเอกสารต่างประเทศ โดย ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ด้านวรรณกรรม โดยนานาอากาศโทหญิงสุมาลี วีระวงศ์ สมเด็จพระนเรศวรวรมหาราชผ่านมิติทางทัศนศิลป์ โดย ศ.ปรีชา เถาทอง เป็นต้น

    นายวีระ กล่าวว่า การจัดงานสัมมนาครั้งนี้ตรงกับการเข้าฉายภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ถือว่าเป็นการส่งเสริมกระตุ้นให้เยาวชนสนใจศึกษาความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของไทยในสมัยของสมเด็จพระนเรศวร นอกจากจะให้ความรู้วิชาการแล้วยังมีโอกาสพาคณะผู้เข้าร่วมเสวนากว่า 100 คนเดินทางไปชมโบราณสถานของจริงที่จ.พระนครศรีอยุธยาด้วย ทำให้เห็นภาพประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนเรศวรชัดเจน ยิ่งขึ้น ทั้งนี้ วธ.จะส่งเสริมให้มีการผลิตหนังสือเผยแพร่ให้กับสาธารณชนทั่วไปได้เรียนรู้เกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรและส่งเสริมให้การเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้เช่นนี้มากยิ่งขึ้น

    น.ส.นาตยา ภูศรี นักโบราณคดี 5 กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย กรมศิลปากร หนึ่งในทีมงานขุดค้นแหล่งโบราณสถานพระราชวังจันทร์ : ราชสำนักเมืองพิษณุโลก กล่าวว่า พระราชวังจันทร์ปัจจุบันตั้งอยู่ที่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม อ.เมือง จ.พิษณุโลก มีความสำคัญทางประวัติศษสตร์สันนิษฐานว่าเคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัติย์ตั้งแต่สมัยสุโขทัยหรือสมัยอยุธยาตอนต้น จากการขุดค้นครั้งแรกพบแนวกำแพง 2 ชั้นก่อด้วยอิฐกำแพงชั้นนอกกว้าง 185.50 ม. ยาว 270.50 ม. กำแพงชั้นในกว้าง 144.50 ม. ยาว 180 ม. มีการสร้างซ้อนทับกันอย่างน้อย 2-3 สมัย สันนิษฐานเบื้องต้นว่าน่าจะเริ่มสร้างในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซ่อมแซมบูรณะครั้งที่ 2 ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรและบูรณะอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
    ต่อมากรมศิลปากรได้เริ่มทำวางแผนอนุรักษ์โบราณสถานแห่งนี้โดยประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานพร้อมประกาศขอบเขตที่ดินในปี 2537 รวมเนื้อที่ 128 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวา โดยร่วมกับท้องถิ่นและผู้เกี่ยวข้องระดมความคิดหาแนวทางการอนุรักษ์สรุปว่า ให้ย้ายโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมไปยังสถานที่แห่งใหม่เพื่อดำเนินการขุดค้น จากนั้นปี 2548 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังจันทน์ในวงเงิน 435.6 ล้านบาท ปัจจุบันได้ขุดค้นพบแนวกำแพงเพิ่มมากขึ้นเป็น 3 ชั้น พร้อมกับหลักฐานทางโบราณคดี โบราณวัตถุหลายพันชิ้น แต่ยังไม่ได้แยกสมัยและกำหนดอายุ เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการขุดค้น

    ล่าสุดเราได้ขุดค้นพบโบราณวัตถุชิ้นสำคัญและถือเป็นชิ้นพิเศษมาก คือ เครื่องถ้วยจีนที่ก้นภาชนะมีอักษรจีน 6 ตัว แบ่งเป็น 2 แถว อ่านจากด้านขวาบนลงล่างและด้านซ้ายบนลงล่างว่า ต้าหมิง ซวนเต๋อ เหนียนซื่อ สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องถ้วยบรรณาการสมัยราชวงศ์หมิง ในรัชกาลจักรพรรดิซวนเต๋อ ปีพ.ศ 1969-1979 เป็นเครื่องถ้วยบรรณาการ ที่จักรพรรดิจีนมอบให้กับคณะทูตจากประเทศต่างๆ เป็นของที่ระลึกสำหรับถวายให้กับพระเจ้าแผ่นประเทศนั้นๆ เป็นของตอบแทน จึงเป็นเครื่องถ้วยบรรณาการที่มีลักษณะพิเศษที่ก้นมักจะมีชื่อกษัตริย์ประทับอยู่ เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพดี ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป น.ส.นาตยา กล่าว

    นอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุอื่นๆ ได้แก่ ชิ้นส่วนเตาเชิงกราน ท่อน้ำดินเผา ตะเกียงดินเผาตะคัน กระเบื้องมุงหลังคาทั้งแบบกระเบื้องแบนและกระเบื้องกาบกล้วย เครื่องถ้วยจากแหล่งเตาเมืองศรีสัชนาลัย และภาชนะสำริด ภายในบริเวณยังพบโบราณสถานสำคัญ อาทิ สระสองห้อง วัดประจำพระราชวัง คือ วัดวิหารทอง วัดศรีสุคต วัดจุฬามณี เป็นต้น ซึ่งตามแผนการดำเนินงานการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานพระราชวังจันทร์และจัดสภาพภูมิทัศน์จะแล้วเสร็จประมาณปี 2551

    นายเขมชาติ เทพไชย รองอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ปัจจุบันยังมีประชาชนเข้าไปใช้พื้นที่โบราณสถานพระราชวังจันทร์สร้างที่อยู่อาศัยอยู่ 80 กว่าครอบครัว ขณะนี้กรมศิลปากรได้ประสานขอความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ว่าราชการจังหวัดและ พลโทวิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 ช่วยกันแก้ปัญหาดังกล่าว โดยแม่ทัพภาค 4 รับเป็นเจ้าภาพในการเจรจาและจ่ายค่าทดแทนให้ตามกฎหมายกำหนด พร้อมกับจะจัดตั้งอาคารศูนย์ข้อมูลและห้องนิทรรศการที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรแก่เด็กและเยาวชน ผู้สนใจต่อไป
    ที่สำคัญกรมศิลปากรร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) จัดทำโครงการจัดทำสารานุกรมสมเด็จพระนเรศวรวรมหาราช รวมรวมความเกี่ยวกับพระราชประวัติ เช่น พระนามที่ปรากฎตามหลักฐาน การสืบสันตติวงศ์ ทรงพระเยาว์ การครองราชย์และพระปฐมบรมราชโองการ ข้าราชบริพาร พระราชกรณียกิจ พระบรมราชานุสาวรีย์ตามจังหวัดต่างๆ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยนายเขมชาติ กล่าว<!--END-->

    หมายเหตุ รัชสมัยซวนเต๋อตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถค่ะ

    สมเด็จพระจักรพรรดิหมิงซวนจง จูเจียนจี หรือ องค์ชายจู( 朱 瞻 基 )( ค.ศ. 1426-1435 ) ครองราชย์ทรงพระนามว่าหมิงซวนจง ( 宣 宗 )รัชศกซวนเต๋อ ( 宣 徳 ) ทรงเป็นจักรพรรดิที่พระทัยอ่อน ในตอนต้นรัชกาลมีพระญาติก่อกบฏเมื่อปราบปรามได้สำเร็จพระองค์ก็มิได้ลงโทษ ในปี ค.ศ. 1431 มีพระบรมราชโองการให้เจิ้งเหอเป็นแม่ทัพนำกองเรือออกเดินทางอีกเป็นครั้งที่ 7 ( ครั้งสุดท้าย ) กลับเข้ามาถึงปักกิ่งเมื่อ 1433 ทรงครองราชย์นาน 10 ปี สวรรคตเมื่อพระชนมพรรษา 36 พรรษา พระบรมศพถูกอัญเชิญไปบรรจุที่สุสาน จิ่นหลิง

    ถ้วยโบราณเหล่านี้คงมาพร้อมกับกองเรือของเจิ้งเหอที่เป็นราชทูตมาไทยในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ


    จาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2009
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    บ่ายนี้นั่งหารูป พระแสงของ้าว "เจ้าพระยาแสนพลพ่าย" ไม่เจอ อ่านจากพันทิพย์เห็นเขาบอกว่าไม่อนุญาตให้เผยแพร่รูปพระแสงของ้าวเล่มนั้น

    จึงไปเจอข้อมูลเพิ่มเติมว่า การชนช้างทำยุทธหัตถีนั้นเป็นวิถีของพระมหากษัตริย์ผู้กล้าโดยแท้ และการชนช้างในสงครามยุทธหัตถีระหว่าง

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระมหาอุปราชาครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ชาติไทยของการทำสงครามตัวต่อตัวระหว่างพระมหากษัตริย์สององค์

    ครั้งสุดท้ายที่ว่านี้เป็นครั้งที่ 5 ในประวัติศาสตร์ชาติไทย พระองค์ท่านทรงทำสิ่งยิ่งใหญ่หลายประการจริงๆ ให้คนไทยได้ภูมิใจในชาติของตนยิ่ง

    [FONT=courier new,courier,monospace]ครั้งที่ 1 รัชกาลของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จารึกไว้ว่า[/FONT]

    [FONT=courier new,courier,monospace]"เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้เมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใส พ่อกูหนีญญ่ายพ่จแจ กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กู่ต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างตัวชื่อมาเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี..."[/FONT]

    [FONT=courier new,courier,monospace]ครั้งที่ 2 สิ้นรัชกาลพระอินทราชา พ.ศ. 1917 พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ บรรยายว่า[/FONT]

    [FONT=courier new,courier,monospace]"ครั้งนั้นเจ้าอ้ายพระยา และเจ้ายี่พระยา พระราชกุมารท่านชนช้าง ด้วยกัน ณ สะพายป่าถ่าน ถึงพิราลัยทั้งสองพระองค์ที่นั้น จึงพระราชกุมารเจ้าสามพระยาได้เสวยราชสมบัติพระนครศรีอยุธยา นามสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า และท่านจึงให้ก่อพระเจดีย์สองพระองค์ สวมที่เจ้าพระยาอ้ายและเจ้าพระยายี่ชนช้างด้วยกัน"[/FONT]

    [FONT=courier new,courier,monospace]ครั้งที่ 3 รัชกาลพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ.2006 พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ บรรยายว่า[/FONT]

    [FONT=courier new,courier,monospace]"ครั้งนั้นมหาราชท้าวลูก ยกพลมาเอาเมืองสุโขทัย จึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้า และสมเด็จพระอินทราชา เสด็จไปกันเมือง และสมเด็จพระราชาเจ้า ตีทัพพระยาเถียรแตก และทัพท่านมาปะทัพหมื่นนคร และท่านได้ชนช้างด้วยหมื่นนคร และครั้งนั้นเป็นโกลาหลใหญ่ และข้าศึกกลาวทั้งสี่ช้างเข้ามารุมเอาช้างพระที่นั้งเดียวกัน ครั้งนั้น พระอินทราชาเจ้าต้องปืน ณ พระพักตร์ และทัพมหาราชนั้นเลิกไป"[/FONT]

    [FONT=courier new,courier,monospace]ครั้งที่ 4 รัชกาลพระมหาจักรพรรดิ พ.ศ.2091 พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ บรรยายว่า[/FONT]

    [FONT=courier new,courier,monospace]"เสด็จออกสนามให้ชนช้าง และงาช้างพระยาไฟนั้นหักเป็นสามท่อน อนึ่งอยู่สองวัน ช้างต้นพระฉัททันต์ไล่ร้องเป็นเสียงสังข์ อนึ่งประตูไพชยนต์ร้องเป็นอุบาทว์...เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้า เสด็จออกไปรับศึกหงสาวดีนั้น สมเด็จองค์พระมเหสีและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราชบุตรีเสด็จทรงช้างออกไปโดยเสด็จด้วย และเมื่อได้รบศึกหงสานั้น ได้รบด้วยข้าศึกนั้น ทัพหน้าแตกมาประทัพหลวงเป็นโกลาหลใหญ่ สมเด็จองค์พระมเหสี และสมเด็จพระลูกเธอราชบุตรีนั้น ได้รบข้าศึกถึงสิ้นพระชนม์กับขอช้างนั้น..."[/FONT]

    [FONT=courier new,courier,monospace]ครั้งที่ 5 พระนเรศวรกับพระมหาอุปราชา พ.ศ.2135 พงศาวดารฉบับขุนหลวงหาวัด บรรยายว่า[/FONT]

    [FONT=courier new,courier,monospace]"ส่วนพระนเรศวรกับอุปราชาก็เข้าชนช้างชิงชัย แล้วสู้รับฟันแทงกันด้วยพระแสงของ้าวตามกระบวนเพลงขอ ก็รำรอรับกันประจันสู้กันไปตามเพลงส่วนช้างพระนเรศวรนั้นเล็ก ก็ถอยพลางทางสู้ชน ครั้งถอยไปอุปราชาจึงฟันพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว พระนเรศวรจึงหลบ ก็ถูกพระมาลาบี้ไปประมาณได้สี่นิ้ว ครั้นช้างพระนเรศร์ถอยไปจึงได้ทีประจันหนึ่งเรียกว่าหนองขายันและพุทรากระแทก ก็ยังมีที่ที่อันนั้นจนทุกวันนี้ ช้างพระนเรศวรนั้นยันต้นพุทรานั้นได้แล้ว จึงชนกระแทกขึ้นไป ก้อค้ำคางช้างพระมหาอุปราชาเข้า ฝ่ายข้างช้างอุปราชาก็เบือนหน้าไป พระนเรศวรได้ทีก็ฟันด้วยพระแสงของ้าว ชื่อเจ้าพระยาแสนพลพ่าย ก็ถูกอุปราชาพระเศียรก็ขาดออกไปกับที่บนคอช้าง"[/FONT]
    [FONT=courier new,courier,monospace][/FONT]
    [FONT=courier new,courier,monospace][/FONT]
    [FONT=courier new,courier,monospace]นั่นคือสงครามครั้งสุดท้ายของไทย และทำให้พม่าต้องจดจำไปเป็นร้อยปี[/FONT]

    ป.ล. กระทู้นี้ทางสายธาตุนำเสนอข้อมูลทางวิชาการมากจนไม่รู้ท่านผู้อ่านหนักอึ้งเลยหรือเปล่า จะทิ้งระยะไปสักอาทิตย์ที่จะไม่โพสอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้สบายๆในการอ่าน ระหว่างนี้ว่าจะหารายละเอียดด้านศิลปกรรม ปฎิมากรรม หรือแม้แต่จะไปสถานที่จริงก็คิดอยู่ค่ะ ไม่ได้ไปวัดพนัญเชิง 20 กว่าปีแล้วค่ะ คิดว่าจะไปไหว้ศาลเจ้าพระนางสร้อยดอกหมากสักหน่อยค่ะ
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    มีภาพของพระแสงดาบคาบค่าย อยู่ในภาพเหล่านี้ด้วยหรือเปล่าครับ
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ท่านพี่ถามมา ก็อยากจะตอบก่อน เดี๋ยวจะขึ้นห้องพระแล้ว

    คือทั้งพระแสงดาบคาบค่าย และพระแสงของ้าวแสงพลพ่าย

    ล้วนเป็นพระแสงราชศัตราวุธ เวปไซด์ cadet คาดว่าจะเป็นนักเรียนนายร้อย มีเขียนไว้

    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รูปของพระแสงทั้งมวลจึงคงจะห้ามเผยแพร่สู่สาธารณะกระมังคะ

    คำเตือน คอมพิวเตอร์ข้าน้อยมันเตือนว่า เวปไซด์นี้อาจมีไวรัสอันตราย ฮ่าฮ่า

    ใครมี antivirus ก็กล้าเปิด ใครไม่มีก็ขอให้ระวังนะเจ้าคะ
    ::

    ส่วนที่ข้าน้อยมีรายละเอียด พระแสงดาบคาบค่ายนั้น อยู่ในหนังสือเรื่อง เจ้าไล

    หน้า ๑๙๙ เขียนอธิบายลักษณะพระแสงดาบคาบค่ายไว้ว่า

    "พระแสงดาบคาบค่ายอันลือชา อันด้ามนั้นทำด้วยนอแรด และฝักประดับพลอยแดงทำจากไม้ระงับสรรพยา ลายกนกหน้าขบลงรักปิดทอง กาบหุ้มต้นและปลายด้วยเส้นทอง มีรอบขบพระทนต์ รอยนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งพระองค์ท่านคาบปีนค่ายพม่า เนื้อดาบน้ำพี้ต้องมีลายเกล็ดปลาเป็นลางที่ และสีสันประดุจปีกแมลงทับขับพรรณรายรังสีเรือง พระแสงดาบมีลักษณะเรียวเล็ก โรงตีพระแสงอยู่แถววัดตูม ดาบน้ำพี้นี้ปีหนึ่งๆช่างหลวงจะตีเป็นพระแสงได้เพียงเล่มหรือสองเล่มเท่านั้น เพราะเหล็กน้ำพี้ถลุงยากและตียากกว่าเหล็กชนิดอื่นๆ เอานิ้วลูบตามคบดามจากโคนถึงปลายอย่างช้าๆ จะเกิดเป็นเสียงวู้งวิเวกโหยหวน ดาบนี้หาชักออกจากฝักจะต้องได้เลือด"

    ข้อความข้างบนจาก วรรณกรรมเรื่อง "เจ้าไล" แต่งโดย อาจารย์คึกเดช กันตามระ

    ทางสายธาตุพยายามหาข้อมูลให้แล้วแต่ในเชิงวิชาการยังหาไม่ได้ อ่านเชิงนิยายไปก่อนนะท่านพี่ เพราะท่านอาจารย์คึกเดชนั้นก็ค้นคว้ามามากก่อนจะเขียนนิยายเล่มนี้ ท่านน่าจะได้รายละเอียดเกี่ยวกับพระแสงดาบคาบค่ายมาบ้างจึงเขียนถึงได้นะคะ
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระแสงราชศัสตราวุธ

    <TABLE width=950 align=center><TBODY><TR class=style24><TD class=style52 width=90>นาม</TD><TD class=style29 colSpan=3>พระแสงราชศัสตราวุธ ( Weapons of Rank )</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52>ประเภท</TD><TD class=style29 colSpan=3>พระแสงราชศัสตราวุธ สำหรับใช้ในงานพระราชสงคราม หรือพระราชพิธี รัฐพิธี และพิธี</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52>ส่วนประกอบ</TD><TD class=style29 colSpan=3>มี ๙ องค์ ได้แก่</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=3>องค์ที่ ๑ พระแสงขรรค์ชัยศรี</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52>ลักษณะ</TD><TD class=style29 colSpan=2>พระแสงราชศัสตราวุธที่เจ้าพระอภัยภูเบศร์( แบน อภัยวงศ์ ) เจ้าเมืองเสียมราฐ นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จ</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แล้วสร้างด้ามทองคำกับฝักทองคำสวมใส่ให้พระแสงขรรค์ ทำให้พระขรรค์ที่เดิมมีความยาว</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>๖๔.๕ เซนติเมตร เมื่อสวมใส่ด้าม มีความยาว ๘๙.๘ เซนติเมตร เมื่อสวมใส่ฝัก มีความยาว ๑๐๑ เซนติเมตร ถ้าไม่สวมใส่ด้ามกับฝัก</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>มีน้ำหนัก ๑.๓ กิโลกรัม ถ้าสวมใส่ด้ามกับฝัก มีน้ำหนัก ๑.๙ กิโลกรัม</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=3>องค์ที่ ๒ พระแสงราชศัสตราวุธประจำเมือง</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52>ลักษณะ</TD><TD class=style29 colSpan=2>พระแสงราชศัสตราวุธ สร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=3>องค์ที่ ๓ พระแสงดาบคาบค่าย</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52>ลักษณะ</TD><TD class=style29 colSpan=2>พระแสงราชศัสตราวุธ สร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำจากเหล็กกล้า มีคมข้างเดียว</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>สันดาบหนาคร่ำทองคำ ปลายแหลมอย่างใบแวง ด้ามทำจากไม้หุ้มทองคำ จำหลักลายลงยาราชาวดีประดับอัญมณี ปลายด้ามสลักรูปบัวจงกล</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>ส้นพระแสงสลักรูปบัวตูม และฝักทำจากไม้หุ้มทองคำ จำหลักลายลงยาราชาวดี</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52 width=120></TD><TD class=style29 width=724 colSpan=2></TD></TR><TR class=style24><TD class=style52 colSpan=4><TABLE align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>พระแสงขรรค์ชัยศรี</TD><TD align=middle>พระแสงดาบคาบค่าย</TD><TD align=middle>พระแสงดาบใจเพชร</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2></TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=3>องค์ที่ ๔ พระแสงใจเพชร</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52>ลักษณะ</TD><TD class=style29 colSpan=2>พระแสงราชศัสตราวุธ สร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำจากเหล็กกล้า มีคมข้างเดียว</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>สันดาบหนาคร่ำทองคำ ปลายใบผายเล็ก ตัดเฉียงอย่างดาบหัวปลาหลด ด้ามทำจากไม้หุ้มทองคำ จำหลักลายลงยาราชาวดีประดับอัญมณ</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>ปลายด้ามสลักรูปบัวจงกล ส้นพระแสงสลักรูปบัวตูม และฝักทำจากไม้หุ้มทองคำ จำหลักลายลงยาราชาวดีประดับเพชรลูกเขื่อง</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>ปลายฝักสลักรูปหัวเม็ดทรงมัณฑ์</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=3>องค์ที่ ๕ พระแสงดาบเวียด</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52>ลักษณะ</TD><TD class=style29 colSpan=2>พระแสงราชศัสตราวุธ สร้างขึ้นโดยพระเจ้าญาลองแห่งเวียดนาม เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จ</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำจากเหล็ก เซาะร่องโลหิตขนาบสันสองข้าง ด้ามทำจากไม้หุ้มหนังปลาฉลามพันไหมทองถัก</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>โคนติดกระบังใบดาบ และฝักทำจากไม้หุ้มทองคำจำหลักลาย</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=3>องค์ที่ ๖ พระแสงดาบฟันปลา</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52>ลักษณะ</TD><TD class=style29 colSpan=2>พระแสงราชศัสตราวุธ ทำจากเหล็ก ใบยักอย่างฟันปลา ด้ามทำจากไม้หุ้มทองคำ และฝักทำจากไม้หุ้มทองคำจำหลักลายลงยาราชาวดี</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2></TD></TR><TR class=style24><TD class=style52 colSpan=4><TABLE align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>พระแสงดาบเวียด</TD><TD align=middle>พระแสงดาบฟันปลา</TD><TD align=middle>พระแสงดาบฝักทองเกลี้ยง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2></TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=3>องค์ที่ ๗ พระแสงดาบแฝด</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52>ลักษณะ</TD><TD class=style29 colSpan=2>พระแสงราชศัสตราวุธ ๒ เล่ม ใน ๑ ฝัก ทำจากเหล็ก ด้ามทำจากไม้หุ้มทองคำ และฝักทำจากไม้หุ้มทองคำ</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=3>องค์ที่ ๘ พระแสงดาบฝักทองเกลี้ยง</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52>ลักษณะ</TD><TD class=style29 colSpan=2>พระแสงราชศัสตราวุธ ทำจากเหล็ก ด้ามทำจากไม้หุ้มทองคำประดับเพชรบางตอน ฝักทำจากไม้หุ้มทองเกลี้ยง บางตอนประดับเพชร</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>บางตอนจำหลักลาย</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=3>องค์ที่ ๙ พระแสงอัษฎาวุธ ประกอบด้วยพระแสงราชศัสตราวุธ ๙ องค์ ได้แก่</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52>ลักษณะ</TD><TD class=style29 colSpan=2>๙.๑. พระแสงตรีศูล คือ พระแสงราชศัสตราวุธ ทำจากเหล็ก รูปสามเหลี่ยมง่าม ปลายเรียวแหลม มีสองคม ด้ามทำจากไม้หุ้มทองคำ</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>จำหลักรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณลงยาราชาวดี ส้นด้ามสลักหัวเม็ดทรงมัณฑ์</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=2>๙.๒. พระแสงจักร คือ พระแสงราชศัสตราวุธ สันนิษฐานว่า ทำจากเหล็กคร่ำทองคำ รูปกลมแบน</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>๙.๓. พระแสงธนู คือ พระแสงราชศัสตราวุธ สันนิษฐานว่า คันทำจากไม้ ลูกศรทำจากเหล็ก ก้านทำจากไม้</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=2>๙.๔. พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย คือ พระแสงราชศัสตราวุธ สันนิษฐานว่า ทำจากเหล็กกล้า ใบคมอย่างดาบ ติดกั่นใบง้าว</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>ด้ามทำจากโลหะหรือไม้เนื้อแข็ง คร่ำทองคำหรือหุ้มทองคำ ส้นด้ามสลักหัวเม็ดทรงมัณฑ์</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>๙.๕. พระแสงปืนคาบชุดแม่น้ำต้นสะโต คือ พระแสงราชศัสตราวุธ คล้ายปืนยาว ปากกระบอก มีความยาวประมาณ ๙ คืบ</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>๙.๖. พระแสงดาบเชลย คือ พระแสงราชศัสตราวุธ สันนิษฐานว่า ทำจากเหล็ก มีคมตามยาว ด้ามทำจากไม้หุ้มทองคำ</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>๙.๗. พระแสงดาบกับเขน คือ พระแสงราชศัสตราวุธ สันนิษฐานว่า ทำจากเหล็ก มีคมตามยาว ส่วนเขน ทำจากเหล็กหรือไม้เนื้อแข็ง</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนา มีปลอกสวมแขน</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style52 colSpan=2>๙.๘. พระแสงหอกเพชรรัตน์ คือ พระแสงราชศัสตราวุธ ทำจากเหล็กกล้า ปลายเรียวแหลม มีคมเหมือนพระขรรค์ ติดกั่นโคนใบหอก</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>คันทำจากไม้เนื้อแข็งเรียวยาว ปลายติดกระบังรูปสี่เหลี่ยมอย่างดอกประจำยาม มีปลอกทำจากเงินจำหลักลายสวมรัดปลายคัน</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2>เรียกว่า " เถลิงคอหอก " หรือ " เถลิงคอ " และทำฝักสวมใบหอก</TD></TR><TR class=style24><TD class=style52></TD><TD class=style52></TD><TD class=style29 colSpan=2></TD></TR><TR class=style24><TD class=style52 colSpan=4><TABLE align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>พระแสงอัษฎาวุธ</TD><TD align=middle>พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    หารูปมาประกอบข้อมูลได้แล้วค่ะ แต่สำหรับพระแสงดาบของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยังหารูปไม่ได้นะคะ สำหรับรูปพระแสงขรรค์ชัยศรีที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา องค์ที่อาจารย์อาชวิน (the third eyes) บอกว่าเป็นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชค่ะ เรื่องพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ

    หน้านี้อาจโหลดนานมากกว่าหน้าอื่น ขออภัยในความเนตอืด เนตเต่า เนตล่าช้าทั้งหลายด้วยค่ะ ^^ เนื่องจากเป็นรูปคิดว่าเนื้อหาคงไม่หนักมากเกินไป และมีรูปไว้ดูด้วย คงไม่ทำให้เบื่อจนเกินไป อีกอย่างเห็นข้อมูลประกอบกันกับความเห็นด้านบนได้ดี ขอโพสไว้ด้วยกันเลย สวัสดีค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลจาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2009
  8. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    งดงามมากครับ
     
  9. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    ขอนุโมทนาด้วยค่ะ เป็นบุญตาที่ได้มีโอกาสเห็นภาพที่มีคุณค่าเหล่านี้
     
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

    เคยเล่นที่เวปพันทิพย์ ซึ่งเป็นเวปบอร์ดรุ่นพี่ของเวปพลังจิต เมื่อก่อนพลังจิตอยู่ในห้องลึกลับ บางคนเป็นคนๆเดียวกันทำตัวเป็นหลายคน คนอ่านพออ่านแล้วจะเกิดสับสน ทำให้ต้องโชว์ IP กันทุกล็อกอินตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับคนที่เขาไม่รู้เรื่องได้ เวปพลังจิตอาจพัฒนาถึงจุดนั้นแล้วก็ได้ค่ะ เพราะเวปนี้เริ่มดังมากขึ้นแล้ว คนเข้ามาเยอะ ทางสายธาตุ PM หา Mr.Kim อาจให้มีล็อคอินเดียวต่อหนึ่งบัตรประชาชน และให้โชว์ IP เมื่อเอาเมาส์เลื่อนผ่านชื่อนั้น นี่เป็นมาตรการที่ดีอย่างหนึ่ง เพื่อป้องกันข้อความก่อให้เกิดการเข้าใจผิดกัน เมื่อวาน PM ไปแล้ว

    ท่านพี่ไม่อยากให้เรียกท่านพี่ จะเรียกว่า พี่จงรักภักดี ก็ยาวนะคะ เรียกว่า ท่านจงรักภักดี ก็ยาว เรียกว่า ท่านจงรัก ก็แล้วกัน ชื่อไปพ้องกับผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งของบ้านเมืองซะเลย แซวท่านจงรักเล่นๆ ^^

    กำลังจะต้องไปปราจีนบุรี ไปกับญาติพี่น้อง และเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า มีศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอยู่สี่แยกที่มีค่ายทหารด้วย พี่สะใภ้โทรมาคุยกันว่า พายุกฤษณากำลังเข้าจะไปดีไหม ดูวันพรุ่งนี้อีกวัน ถ้ายังมีฝนตกหนักอยู่ ก็เปลี่ยนแผนไปไหว้ ซำปอกง ที่วัดพนัญเชิงกัน และซำปอกง (จำลอง) ที่วัดนครหลวง อยู่ในอยุธยาทั้งสองแห่ง

    วันนี้ขอคั่นรายการเรื่องดาบ ดาบ ดาบ ด้วยการนำประวัติและรูปของศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ปราจีนบุรีมาลงค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF2319.jpg
      DSCF2319.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.1 KB
      เปิดดู:
      2,530
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2009
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจังหวัดปราจีนบุรี

    <TABLE id=lightbox0 style="Z-INDEX: 11; LEFT: 268px; POSITION: absolute; TOP: 1642px" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><INPUT class=button id=lightboxbutton0 style="BORDER-RIGHT: white 1px solid; PADDING-RIGHT: 4px; BORDER-TOP: white 1px solid; PADDING-LEFT: 4px; FONT-WEIGHT: bold; LEFT: -12px; PADDING-BOTTOM: 4px; BORDER-LEFT: white 1px solid; WIDTH: 30px; CURSOR: pointer; COLOR: white; PADDING-TOP: 4px; BORDER-BOTTOM: white 1px solid; POSITION: relative; TOP: 12px; BACKGROUND-COLOR: black" type=button value=X>
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: white 1px solid; BORDER-TOP: white 1px solid; BORDER-LEFT: white 1px solid; BORDER-BOTTOM: white 1px solid; BACKGROUND-COLOR: black" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=center><TD id=lightboxholder style="TEXT-ALIGN: center" vAlign=center align=middle colSpan=2></TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    [​IMG]

    ประดิษฐานอยู่ ณ สี่แยกเนินหอม อยู่ห่างจากตัวเมืองปราจีนบุรีไปทางทิศเหนือ ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 320 ประมาณ 9 กิโลเมตร วงเวียนศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะตั้งอยู่ทางขวามือ ศาลแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในท่าประทับยืน เหตุที่สร้างศาลขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระองค์ท่านในคราวกรีฑาทัพจากกรุงศรีอยุธยา เพื่อไปปราบนักพระสัฏฐาแห่งเมืองละแวก กัมพูชา พ.ศ. 2132 ระหว่างการเดินทางทัพได้หยุดพักทัพในเขตปราจีนบุรี ประชาชนชาวจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดใกล้เคียงนิยมมาสักการะบูชาเพื่อเป็นสิริมงคล

    การเดินทาง จากนครนายกไปตามทางหลวงหมายเลข 33 หลักกิโลเมตรที่ 158 ที่เรียกว่า วงเวียนศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปากทางเข้าสู่ตัวเมืองปราจีนบุรี

    จังหวัดปราจีนบุรี ในสมัยอยุธยา

    สมัยอยุธยา
    ในสมัยอยุธยาปรากฏชื่อเมืองปราจีนบุรีเป็นครั้งแรก คำว่า "ปราจีนบุรี" เป็นคำสมาส เกิดจากคำว่า "ปราจีน" กับคำว่า "บุรี" คำว่า "ปราจีน" หรือ "ปาจีน" หมายความว่า ทิศตะวันออก ส่วนคำว่า "บุรี" หมายความว่า "เมือง" รวมแล้วคำว่า "ปราจีนบุรี" หมายถึงเมืองตะวันออก การเขียนชื่อเมืองปราจีนบุรีแตกต่างกันไป เช่น ปราจินบุรี ปราจิณบุรี และปาจีนบุรี แต่ความหมายน่าจะหมายถึงเมืองทางตะวันออกของราชอาณาจักรไทย
    ปราจีนบุรีในฐานะหัวเมืองชั้นในด้านทิศตะวันออก สันนิษฐานว่า ในสมัยอยุธยาตอนต้นก่อนการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) เมืองปราจีนมีฐานะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ราชธานีคือกรุงศรีอยุธยา โดยทางกรุงศรีอยุธยาจะส่งขุนนางมาปกครองโดยให้ขึ้นตรงต่อเมืองหลวง และหลังจากการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแล้ว การปกครองหัวเมืองก็เปลี่ยนไปจากเดิม คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และหัวเมืองประเทศราช และแบ่งหัวเมืองออกเป็นชั้น เอก โท ตรี และจัตวา ทรงลดฐานะหัวเมืองชั้นในคือเมืองลูกหลวงและเมืองหลานหลวงลงมาเป็นเมืองจัตวาภายใต้การปกครองของราชธานี โดยทางราชธานีจะส่งขุนนางมาปกครองและขึ้นตรงต่อเมืองหลวง และขุนนางที่ปกครองหัวเมืองชั้นในเรียกว่า "ผู้รั้ง" เขตที่จัดเป็นหัวเมืองชั้นในมีอาณาบริเวณดังนี้ ทิศเหนือจดเมืองชัยนาท ทิศตะวันออกจดเมืองปราจีน ทิศตะวันตกจดสุพรรณบุรี ทิศใต้จดเมืองกุยบุรี เมืองปราจีนบุรีหลังการปฏิรูปในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงเป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นกับราชธานี ตำแหน่งเจ้าเมืองหรือผู้รั้งมีบรรดาศักดิ์และราชทินนามที่ ออกพระอุไทยธานี

    จากลักษณะทำเลที่ตั้งของเมืองปราจีน เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับประเทศกัมพูชา เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดปราจีนบุรีในสมัยอยุธยาจึงเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับสงครามระหว่างสองราชอาณาจักร โดยฝ่ายกัมพูชามักจะเป็นต้นเหตุซึ่งอาจเนื่องมาจากกัมพูชาเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นราชอาณาจักรใหม่จึงไม่ยอมรับอำนาจมากนัก ต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยามีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงและขณะเดียวกันราชอาณาจักกัมพูชากลับเสื่อมโทรมภายในมากขึ้น กัมพูชาจึงยอมรับราชอาณาจักรอยุธยาในฐานเจ้าประเทศราช กษัตริย์ กัมพูชาต้องมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารหลายครั้ง

    แต่อย่างไรก็ดี เมื่อกรุงศรีอยุธยามีศึกติดพันกับพม่าหรือมีความอ่อนแอภายใน กัมพูชาก็ถือโอกาสมากวาดต้อนผู้คนตามแนวชายแดนของราชอาณาจักรอยุธยาอย่างเมืองปราจีน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงยกทัพไปตีกัมพูชาโดยใช้เส้นทางบก โดยยกทัพหลวงออกจากกรุงศรีอยุธยามาทางตะวันออก ผ่านพิหานแดง (วิหารแดง) บ้านนา เมืองนครนายก ด่านกบแจะ (ประจันตคาม) ด่านหนุมาน (กบินทร์บุรี) ด่านพระปรง (อำเภอเเมืองสระแก้ว) ช่องตะโก ด่านพระจารึกหรือพระจฤต (อรัญประเทศ-ตาพระยา) ตำบลทำนบ อยู่ระหว่างเมืองอรัญประเทศกับเมืองพระตะบอง ตำบลเพนียด เมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ และเมืองละแวก

    ป.ล. ครั้งที่แล้วมีแนะนำวัดในจังหวัดบุรีรัมย์ว่าเป็นเส้นทางยกทัพไปเขมรเหมือนกัน ในปี พ.ศ. 2137 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงแต่งทัพเป็นหลายกองทัพ เดี๋ยวจะค้นมาให้อ่านอีกครั้งในตอนตั้งขบวนทัพไปตีพญาละแวกนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2009
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ทบทวนศึกปราบพระยาละแวก วิเคราะห์เรื่องเส้นทางเดินทัพ

    หนังสือ : ลัทธิชาตินิยมกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เทพเจ้าแห่งความรักชาติของคนไทย
    ผู้เขียน : เอื้อ บุษปะเกศ หงสกุล
    เนื้อหา : บทที่ 3 ผลงานของลัทธิชาตินิยมที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงนำมาใช้ ..หน้า 85

    ปราบพระยาละแวก


    รุ่งขึ้นปีมะแม พระนเรศวรให้เกณฑ์ทัพเมืองนครราชสีมาหมื่นหนึ่งให้ยกตีลงมาทางสะพานทิพสะพานแสง ไปยึดเมืองเสียมราฐและตีฟากตะวันออกของทะเลสาบไปตั้งที่พงสวาย เกณฑ์ทัพเมืองปักษ์ใต้ เรือรบ 250 ลำ ให้พระยาเพชรบุรีเป็นแม่ทัพ เกณฑ์เรือลำเลียงเมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ไชยา 200 ลำ บรรทุกข้าวให้ได้สองพันเกวียน ทั้งทัพเรือและเรือลำเลียงเป็นคนสองหมื่นให้ไปตีเอาเมืองป่าสัก ให้กองทัพอาสาจาม กองทัพเมืองจันทบุรีคุมเรือรบ 150 ลำ พลรบพลแจวหมื่นหนึ่ง พระยาราชวังสันเป็นแม่ทัพไปตีทางปากน้ำพุทไธมาส ทัพเหล่านี้เดือนอ้ายขึ้นห้าค่ำให้ยกทัพพร้อมกันกับทัพหลวง

    ครั้นเดือนอ้ายขึ้นหนึ่งค่ำ ก็ชุมพลที่ทุ่งหันตรา พระนเรศวรกับพระเอกาทศรถยกพลทหารบกถึงตำบลค่ายทำนบ ให้แต่งกองออกลาดตะเวน แล้วยกต่อไปถึงทางร่วมที่จะไปเมืองพระตะบองกับเสียมราฐสั่งพระราชมานูเป็นกองหน้า คุมพลสองหมื่นห้าพันยกไปตีเมืองพระตะบองและเมืองโพธิสัตว์

    ข้างพระยาละแวกพอถึงเดือน 11-12 ก็ส่งคนมาสอดแนมถึงกรุงศรีอยุธยา รุ้แน่ว่าพอน้ำแห้งเท้าม้าแล้วจะยกมาตีกัมพูชาทั้งทัพบกและทัพเรือ จึงจัดแจงสร้างค่ายคูหอรบให้มั่นคงทุกเมือง ให้พระยามโนไมตรีเป็นแม่ทัพถือพลหมื่นหนึ่งไปรักษาเมืองพระตะบอง ให้พระยาสวรรคโลกเจ้าเมืองเองเป็นแม่ทัพถือพลสองหมื่นรักษาเมืองโพธิสัตว์ ให้พระศรีสุพรรมาธิราช น้องชายถือพลสามหมื่นตั้งรับที่เมืองบริบูรณ์ แต่ม้าเร็วม้าใช้ผลัดเปลี่ยนกันสืบข่าวมิให้ขาด ทางเรือแต่งกองทัพขึ้นสองกอง ให้พระยาวงศาธิราชคุมเรือ 150 ลำ พลรบพลแจวหมื่นหนึ่ง ไปรักษาเมืองป่าสักให้พระยาพิมุขวงศาคุมเรือ 150 ลำ พลรบพลแจวหมื่นหนึ่งไปรักษาเมืองจัตตุรมุขดักกองทัพไทยที่จะไปทางพุธไธมาส ให้พระยาจีนจันตุเอาพลจากเมืองสักโรงทองเมืองเชิงกะชุม เมืองกำปอด เมืองกะโพงโสม ถือพลห้าพันไปรักษาเมืองปากน้ำพุทไธมาส ก็แปลว่าทั้งสองฝ่ายต่างรู้ตื้นลึกหนาบางเตรียมการอย่างพร้อมเพรียงทั้งคู่ ยังแต่คอยดูว่าฝีมือใครจะเหนือกว่าเท่านั้น

    อ่านรายละเอียดยกทัพปราบพระยาละแวกได้ที่หน้า 28 ค่ะ ถ้าสมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพไปทางปราจีนบุรีแล้วจะไปผ่านวัดขุนก้อง บุรีรัมย์ด้วยหรือไม่ หรือว่าเส้นทางใกล้กัน ไม่มีแผนที่ประกอบ ไม่ทราบว่าใกล้ไกลกันอย่างไรเลยค่ะ ท่านใดเก่งเรื่องแผนที่คงช่วยวิเคราะห์เรื่องเส้นทางเดินทัพไปปราบพระยาละแวกได้ค่ะ

    เวปไซด์จังหวัดปราจีนบุรีเขียนไว้ว่า

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงยกทัพไปตีกัมพูชาโดยใช้เส้นทางบก โดยยกทัพหลวงออกจากกรุงศรีอยุธยามาทางตะวันออก ผ่านพิหานแดง (วิหารแดง) บ้านนา เมืองนครนายก ด่านกบแจะ (ประจันตคาม) ด่านหนุมาน (กบินทร์บุรี) ด่านพระปรง (อำเภอเเมืองสระแก้ว) ช่องตะโก ด่านพระจารึกหรือพระจฤต (อรัญประเทศ-ตาพระยา) ตำบลทำนบ อยู่ระหว่างเมืองอรัญประเทศกับเมืองพระตะบอง ตำบลเพนียด เมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ และเมืองละแวก

    มีความเห็นกันอย่างไรบ้างคะเรื่องเส้นทางเดินทัพไปปราบเขมรของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
     
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อ่านรายละเอียดยกทัพปราบพระยาละแวกได้ที่หน้า 28 ค่ะ ถ้าสมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพไปทางปราจีนบุรีแล้วจะไปผ่านวัดขุนก้อง บุรีรัมย์ด้วยหรือไม่ หรือว่าเส้นทางใกล้กัน ไม่มีแผนที่ประกอบ ไม่ทราบว่าใกล้ไกลกันอย่างไรเลยค่ะ ท่านใดเก่งเรื่องแผนที่คงช่วยวิเคราะห์เรื่องเส้นทางเดินทัพไปปราบพระยาละแวกได้ค่ะ

    เวปไซด์จังหวัดปราจีนบุรีเขียนไว้ว่า

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงยกทัพไปตีกัมพูชาโดยใช้เส้นทางบก โดยยกทัพหลวงออกจากกรุงศรีอยุธยามาทางตะวันออก ผ่านพิหานแดง (วิหารแดง) บ้านนา เมืองนครนายก ด่านกบแจะ (ประจันตคาม) ด่านหนุมาน (กบินทร์บุรี) ด่านพระปรง (อำเภอเเมืองสระแก้ว) ช่องตะโก ด่านพระจารึกหรือพระจฤต (อรัญประเทศ-ตาพระยา) ตำบลทำนบ อยู่ระหว่างเมืองอรัญประเทศกับเมืองพระตะบอง ตำบลเพนียด เมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ และเมืองละแวก

    มีความเห็นกันอย่างไรบ้างคะเรื่องเส้นทางเดินทัพไปปราบเขมรของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช<!-- google_ad_section_end -->



    -ผ่านช่องตะโกไปก็จะถึงบุรีรัมย์รู้สึกว่าจะเป็น อำเภอละหารทราย อำเภอ

    บ้านกรวด ของบุรีรัมย์ จะมีช่องทางบ้านบาระแนะ ที่สามารถข้ามเข้า

    ไปสู่เขมรได้ (ต้องเช็คจากแผนที่อีกครั้งครับ-อาจผิดพลาดได้)
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ด้วยกระทู้นี้ได้ยืนยันไว้ชัดเจนในเรื่องของความจงรักภักดี จึงใคร่ขอนำบท

    ความบางตอนในเรื่องของความจงรักภักดี ที่เขียนโดย คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัย

    ในธรรม มานำเสนอ หากท่านใดสนใจจะหารายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาค้น

    หาได้จาก �������ѡ�ѡ��? : 2006-05-01


    ๐๐๐<TABLE borderColor=#cccccc cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=left></TD><TD></TD></TR><TR><TD colSpan=2>ความจงรักภักดี?

    โดย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

    ความดำรงอยู่ของ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มี "พระมหากษัตริย์" เป็นพระประมุขนั้น มี "ความละเอียดอ่อน" เป็นอย่างยิ่งที่จะถูกหยิบยกมาใช้เป็น "เครื่องมือ" ในทางการเมืองของกลุ่มคณะบุคคลต่างๆ

    66 ปีนับตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ "สมบูรณาญาสิทธิราชย์" มาเป็นระบอบ "ประชาธิปไตย" ที่มี "พระมหากษัตริย์" เป็นพระประมุข นั้น "สถาบันพระมหากษัตริย์" ได้ถูกหยิบยกมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อใช้ "ทำร้ายเข่นฆ่า" และ "ช่วงชิงอำนาจ" นับครั้งแทบไม่ถ้วน

    ..............................................................
    และ "ทุกครั้ง" เช่นกัน "สถาบันพระมหากษัตริย์" จะสงบนิ่ง!

    การดำรงคงอยู่ของ "สถาบันพระมหากษัตริย์" กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน มีทั้งช่วง "กระแสขาขึ้น" และ "กระแสขาลง" แล้วแต่ "พระบรมเดชานุภาพ" และ "พระราชกรณียกิจ" ของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ พระมหากษัตริย์บางพระองค์ถูกเชิดชูเป็น "มหาราช" บางพระองค์ก็ถูกมองในเชิงลบดังเช่น "พระเจ้าเอกทัศน์" กษัตริย์องค์สุดท้ายของ "ศรีอยุธยา"

    ภายใต้ "พระบารมี" "พระบรมเดชานุภาพ" "พระราชกรณียกิจ" ของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน" สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นที่ยอมรับของ "ผู้คนทั้งโลก" อย่าว่าแต่พี่น้องประชาชนคนไทยเลย เป็นโชคดีของ "คนไทยในยุคนี้" ที่ได้เกิดมาภายใต้ร่มพระบารมี จึงไม่เป็นที่แปลกใจที่ "ความจงรักภักดี" ที่คนไทยแสดงออกต่อพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้จึงมีอย่างเหลือล้น

    แต่เท่านี้คง... "ยังไม่พอ" ...ถ้าเราไม่ใช้ "สติ" ที่จะคิดใคร่ครวญว่า "ความจงรักภักดี" นี้ต้องเป็น "ความจงรักภักดี" ต่อ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ทั้งสถาบัน! ต้องรู้จักมองย้อนไปใน "อดีต" และพิจารณาใคร่ครวญต่อไปใน "อนาคต" ถึงความสำคัญของ "สถาบันพระมหากษัตริย์" กับสังคมไทยยาวนานนับร้อยนับพันปี !!! ต่อเนื่องจากอดีตสู่ปัจจุบันและต่อไปในอนาคต

    ...............................................................................
    ขอให้พึงระลึกว่า "พระชนมพรรษา 80 พรรษา" แม้เป็นบุคคลธรรมดาก็ถือว่าเป็น "ผู้อาวุโส" ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน

    แต่นี่คือองค์ "พระมหากษัตริย์" ของราชอาณาจักรไทยที่ "ครองราชย์" มายาวนานถึง "60 ปี" นี่ไม่ใช่ประสบการณ์ธรรมดา เพราะ 60 ปีที่ว่านั้น เป็น 60 ปีที่ทรงฝ่าฟัน "อุปสรรคปัญหาสารพัน" เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาใดๆ จะเผชิญได้

    ดังนั้น มีหรือจะมี "ความเคลื่อนไหว" ใดให้ "เกิดปัญหา"

    จึงขอให้เชื่อเถอะว่า "การตีความ" และ "คำแปล" ทั้งหลายนั้นเป็น "การคิดฝัน" เอาเองทั้งสิ้น

    มีความนำของหนังสือ "หนึ่งในโลก จอมกษัตริย์มหาราชผู้ยิ่งใหญ่" จัดพิมพ์โดย "สำนักพิมพ์ร่วมด้วยช่วยกัน" ซึ่งอยากจะคัดเอามาให้ได้อ่านกัน เพราะจะทำให้เข้าใจ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ที่มี "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" องค์ปัจจุบันเป็นพระประมุขของราชอาณาจักรไทย

    "กาลครั้งหนึ่ง...

    ...เจ้าชายน้อยองค์หนึ่งได้ถือกำเนิด...ในดินแดนอันห่างไกล

    ไม่นานนัก...พระองค์ได้พบกับความสูญเสียของชีวิตเป็นครั้งแรก...พระบิดาอันเป็นที่รักยิ่งต้องจากไปชั่วนิรันดร์

    ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์...พระองค์และครอบครัว...พระมารดาและพระเชษฐา...ต้องหลีกลี้จากความวุ่นวายในอาณาจักรที่อาจคุกคามถึงครอบครัว... ไปอยู่ในหุบเขาอันสงบ...ห่างไกล

    และแล้ว...พระองค์ก็ได้พบกับความสูญเสียของชีวิตเป็นครั้งที่สอง...เมื่อต้องพลัดพรากจากพระเชษฐาอย่างไม่มีวันหวนคืน

    นับแต่นั้น...ภาระแห่งแผ่นดิน ก็โถมทับหนักอึ้งอยู่บนสองบ่าของพระองค์

    เจ้าชายหนุ่มได้เป็นพระราชา

    โดยมิได้ผ่านชีวิตสนุกสนานเฉกเช่นวัยรุ่นทั่วๆ ไป

    พระราชาองค์ใหม่ได้ออกเดินทางไปทั่วทุกตารางนิ้วในอาณาจักร

    อันเป็นภารกิจที่เหนื่อยยากเกินกว่าที่พระราชาในอาณาจักรอื่นๆ จะกระทำได้

    ในการเดินทางพระองค์ได้เผชิญ "ศัตรู" ที่ร้ายกาจ 2 คนที่คุกคามอาณาจักรของพระองค์อยู่

    ศัตรูคนหนึ่งนี้คือ "มังกรร้าย" ที่อำพรางตัวมาเป็น "ความยากจน" คอยเข้าโจมตีคุกคามทำร้ายชาวนาในหมู่บ้านต่างๆ อยู่เนืองๆ

    พระองค์ได้พบชาวนา แลกเปลี่ยน รับรู้ พูดคุย และเข้าใจความทุกข์ยากของพวกเขา

    มิใช่ในฐานะพระราชา แต่ในฐานะ "มิตรสหาย"

    พระองค์ได้มอบ "พรวิเศษ" ที่เป็นสิ่งที่ช่วยขจัดเภทภัยจากเจ้ามังกรร้าย

    "พอเพียง" คือพรข้อนั้น

    "ศัตรู" อีกตนที่พระองค์ได้เผชิญคือ "ภูต" ที่คอยสิงสู่ผู้คนในอาณาจักรให้ขัดแย้ง แตกแยก ประหัตประหารกันเอง

    สองครั้งสองครา...ที่อาณาจักรของพระองค์ต้องเผชิญวิกฤต...ถาโถม

    พระองค์ได้ยุติการประหัตประหารที่ลุกลามของชาวเมือง...

    ได้ทั้งสองครั้งสองครา

    อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

    ทวยเทพต่างได้พากันสรรเสริญให้พระองค์เป็นยิ่งกว่าจอมกษัตริย์

    ปวงปราชญ์ได้คารวะ ที่พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงทุกๆ ความทุกข์ที่เผชิญให้เป็นความรัก

    ปวงข้าฯ ขอถวายความจงรักภักดีด้วยชีวิตต่อองค์พระราชา ผู้เป็น "หนึ่งในโลก"

    ขอจงทรงพระเจริญ

    "ความยิ่งใหญ่" ของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" องค์ปัจจุบันไม่ใช่เพราะเป็น "พระมหากษัตริย์" แต่เพราะเป็น "บุคคลพิเศษ" ที่มากประสบการณ์ และมีความคิดเชิงปรัชญาจนสามารถเรียกได้ว่า "จอมปราชญ์"

    ต้องเข้าใจสถานะดังกล่าวนี้ให้ชัดเจน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
     
  15. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ความจงรักภักดีของคุณทองแดง


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" bgColor=#ffffcc border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" bgColor=#ffaa00>ความจงรักภักดี </TD></TR><TR><TD><!-- start pattern --><TABLE id=tableblank height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffcc border=0><TBODY><TR><TD id=tdblank0 align=middle width="100%">

    </TD></TR><TR><TD id="" style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left" width="100%">ความจงรักภักดี
    ทองแดงมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างยิ่งเวลาที่เข้าเฝ้าฯทองแดงจะหมอบในท่าประจำคือไขว้มือ ทองแดงจะเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์และผู้มาเข้าเฝ้าฯพร้อมกับถอนใจยาวแต่ไม่ลุกไปไหน โดยปกติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงดำเนินออกกำลังพระวรกายหรือเสด็จฯไปเยี่ยมเด็กตามที่ทรงเรียกสุนัขโดยมีสุนัขที่เข้าเวรตามเสด็จครั้งละ2-3ตัว มีบางตัวอย่างทองแดงเป็นต้นจะวิ่งลาดตระเวนไปก่อน ถ้าพบสุนัขอื่นพลัดเข้ามา ก็จะไล่ไป ทองแดงวิ่งล่วงหน้าไปแล้ววิ่งย้อนกับมาเป็นเส้นทางรอบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะรับสั่งเบาๆ ว่าแถวมิได้รับสั่งแบบออกคำสั่งกับสุนัขโดยทั่วไป ไม่นานสุนัขทั้งหลายก็จะวิ่งมาประจำที่อย่างรวดเร็ว ผู้ตามเสด็จบางคนบอกว่า ทองแดงเป็นผู้ประสานงานเรียกแถวถวาย บางครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงขับรถพระที่นั่งเอง ทองแดงจะตามเสด็จ เมื่อทรงเปิดประตูรถและรับสั่งทองแดงขึ้นรถ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ทองแดงจะทำหน้าที่ดูแลความปลอบภัย
    ทองแดงมีความจงรักภักดีและผูกพันต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างยิ่ง ปกติเมื่อเสด็จพระราชดำเนินจากหัวหินมาประทับ ณ สวนจิตรดาฯไปหัวหินเพื่อทรงประกอบพระราชกรณีกิจต่างๆจะมีการผลัดเวรสุนัขที่จะตามเสด็จ มีครั้งหนึ่ง พระ-บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯไปทรงงานที่สวนจิตรดาฯนานไปหน่อยและทองแดงไม่ได้ตามเสด็จ ระหว่างนั้นทองแดงก็ป่วยน้ำหนักลดลงมาก จนต้องส่งโรงพยาบาล คุณหมอสรุปว่า เครียดเหตุที่คิดถึงพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคุณหมอบอกว่าทองแดงเป็นสุนัขเงียบ ไม่ค่อยแสดงออก ดังนั้นความเครียดจึงมาผลต่อร่างกาย จากนั้นทองแดงจึงได้ตามเสด็จเสมอ
    ที่มา htpp://www.google.go.th​

    </TD></TR></TBODY></TABLE< body></TABLE><!-- end pattern --></TD></TR><TR><TD>
    ที่มา : htpp://www.google.go.th

    </TD></TR><TR><TD align=right><!-- nextpage --></TD></TR><TR><TD width="100%"><HR width="85%" color=#ffaa00 noShade>[SIZE=+0]โดย : เด็กหญิง วิไลลักษณ์ ตั้งใจประสพโชค, โรงเรียนพนัสพิทยาคาร, วันที่ 9 กันยายน 2546[/SIZE]


    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- end -->
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อนุโมทนาค่ะ ท่านจงรัก

    ปุ่มอนุโมทนาไม่มีแล้ว

    ได้ข่าวพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดีขึ้น รู้สึกปลื้มใจ ดีใจค่ะ

    ขออนุญาตินำข่าวเกี่ยวกับพระอาการของพระองค์ท่านในวันนี้มาลงด้วยนะคะ

    ดังนี้ค่ะ
     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอาการดีขึ้น ไม่มีพระปรอท

    แถลงการณ์ฉบับ 12 เผย"ในหลวง"ทรงมีพระอาการดีขึ้น ไม่มีพระปรอท เมื่อเวลา 06.00 น.วันที่ 30 ก.ย.ที่ศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง จัดสถานที่ให้ประชาชนทั่วไปลงนามถวายพระพร เป็นวันที่ 11 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับรักษาพระอาการประชวร ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. โดยตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ มีประชาชนและบุคคลสำคัญจำนวนมาก เดินทางมาลงนามถวายพระพรอย่างต่อเนื่อง อาทิ ข้าราชการตำรวจจากกองกำกับการอารักขา 2 และควบคุมฝูงชน 20 นาย และดร.พระมหาไพเราะ ฐิตสีโล เจ้าอาวาสวัดสระแก้ว ต.บางเสด็จ อ.ป่าโมก จ.อ่าง ทอง นำเด็กนักเรียนจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าและยากจน รวมทั้งชาวบ้านต.บางเสด็จ รวม 30 คน มาร่วมลงนามถวายพระพร


    [​IMG]
    ร่วมถวาย - ปางช้างอยุธยาแลเพนียด นำช้างจำนวน 9 เชือก มาร่วมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว ที่ร.พ.ศิริราช เมื่อวันที่ 1 ต.ค.



    พระมหาไพเราะ เจ้าอาวาส กล่าวว่า วัดสระแก้วได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากในหลวง พระองค์พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ทุกเดือน เดือนละ 450,000 บาท เพื่อพัฒนาสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า และยากจน ซึ่งเด็กส่วนใหญ่เป็นเด็กชาวเขา

    ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารตำรวจนครบาลบางกอกน้อยประมาณ 10 คน เดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพร จากนั้นนายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี ผวจ.กาญจน บุรี และพล.ต.ต.เรวัช กลิ่นเกษร ผบก.ภ.จว. กาญจนบุรี นำคณะข้าราชการตำรวจภริยาตำรวจ และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนตะเข็บไทย-พม่า ชาวมอญ ชาวกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยใน 3 อำเภอ อ.สังขละบุรี ไทรโยค ทองผา ภูมิ จำนวน 600 คน ร่วมลงนามถวายพระพร

    นายไข่ แสงแป้น อายุ 39 ปี ชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง อาศัยอยู่ในอ.ลิเจีย กล่าวว่า ในหลวง เป็นพ่อของแผ่นดิน พวกตนเป็นคนกลุ่มน้อย เป็นเหมือนลูกของพระองค์ท่าน มีความรักต่อพระองค์ท่าน พระองค์ท่านได้ให้โอกาสพวกตน ซึ่งเดิมไม่ใช่คนไทย ได้อาศัยอยู่บนแผ่นดินได้เรียนรู้ เรียนหนังสือสูงๆ นอกจากนี้ยังได้น้อมนำเอาแบบอย่างเกี่ยวกับเรื่องการประหยัดมาใช้ ในชีวิตประจำวันในครอบครัวด้วย เช่น การใช้ยาสีฟันที่พระองค์นำมาผ่าเป็นสองช่องและใช้จนหมด เนื่องจากครอบครัวตนยากจน อยากให้พระองค์ท่านหายประชวรเร็วๆ

    ด้านน.ส.อรัญญา เจริญหงษา ชาวไทยเชื้อสายมอญ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านวังกะ วัดหลวงพ่อ อุตตมะ กล่าวว่า ที่หมู่บ้านเรารักพ่อหลวงจึงอยากให้พ่อหลวงทรงหายจากอาการไข้โดยเร็ว ไม่อยากให้พระองค์ท่านป่วย หากเจ็บแทนได้ ก็อยากเจ็บแทน พวกตนจะยึดมั่นคำสั่งของพระองค์ท่านในเรื่องแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและความรักความสามัคคี

    นายจิรพงษ์ ชาวกะเหรี่ยงซึ่งยังไม่ได้สัญชาติไทย อายุ 25 ปี อาศัยอยู่หมู่บ้าน อ.ลิเจีย กล่าว ว่า เป็นครั้งแรกที่ผู้ว่าฯ ให้พวกตนเป็นตัวแทน จำนวน 10 คนจากหลายหมู่บ้าน พวกเรารักพระองค์ท่าน ถึงแม้จะยังไม่ได้รับสัญชาติไทย เพราะพระองค์ท่านได้ให้โอกาสได้เรียนหนังสือสูงๆ ซึ่งปกติแล้วที่ผ่านมา คนกะเหรี่ยงชนกลุ่มน้อยที่ยังไม่รับสัญชาติไทยก็จะได้เรียนหนังสือสูงๆ ได้ พวกเรารักพระองค์ท่านเหมือนพ่อแม่คนหนึ่ง ที่ทำให้ชนกลุ่มน้อยได้มีโอกาสอยู่บนพื้นแผ่นดินไทยที่ร่มเย็น สุขสงบ พ่อหลวงรักลูกทุกคนเท่าเทียมกันไม่เคยมีการแบ่งแยก

    ต่อมาเวลา 12.45 น.นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม นำพานพุ่มขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระพร จากนั้นเวลา 13.10.น.นางอภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาล พร้อมด้วย นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ และส.ก. เขตสายไหม นำประชาชนเดินทางข้ามเรือแม่น้ำเจ้าพระยาร่วมลงนามถวายพระพร และพนักงาน ขสมก.เขตการเดินทางที่ 2 ประมาณ 10 คน และกรรมการมูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ เพื่อเยาวชนในพระบรมราชูปถัมภ์ร่วมลงนามถวายพระพร

    เวลา 14.30 น.นางพัชรินทร์ สุทธิประภา กรรมการผู้จัดการ และผู้อำนวยการสร้างบริษัทโอเรียนทัล อายส์ จำกัด ผู้จัดทำรายการปริ๊นเซสไดอารี่ มีทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ร่วมดำเนินรายการ นำทีม งานนักแสดง "ไก่"สมพล ปิยะพงศ์สิริ ดีเจ.และพิธีกรชื่อดัง ร่วมทั้ง เจมส์ แม็กกี้ นักแสดงภาพยนตร์เรื่อง 9 วัด และชาคริต แย้มนาม นักแสดงจากภาพยนตร์ "มาย เบสท์ บอดี้การ์ด" และนายโรเบิร์ต ลี เดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพร

    ชาคริต กล่าวว่า อยากให้ทุกคนนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ และให้ประชาชนรักกัน ถ้าเราไม่รักกันจะไม่มีใครเขามารักเรา เราต้องทำให้ชาวโลกเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศมีค่า และมีประชาชนคนของประเทศที่มีคุณภาพ รักกันแข็งแกร่ง อยากให้ทุกคนรักกันมากๆ พระ องค์ท่านจะได้สบายพระทัย อยากให้พระองค์หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว

    เวลา 16.50 น. นายธีรเทพ ศรียะพันธ์ ผวจ. ปัตตานี พร้อมคณะผู้นำศาสนาอิสลาม 50 คน มาร่วมลงนามถวายพระพร โดยนายยะโก๊ะ หร่ายมณี โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ตั้งใจที่จะมาร่วมลงนามที่กรุงเทพฯ ขอให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวร มีพระพลานามัยแข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงชนชาวไทยตลอดไป

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 1 ต.ค.นี้ เวลา 09.30 น. นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย จะนำผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่รักษาพระอาการประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช และนำราย ชื่อราษฎรในแต่ละจังหวัดที่ร่วมลงนามถวายพระพรให้หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย โดยรมว.มหาดไทย จะนำผู้ว่าฯเข้าถวายรายชื่อราษฎรครั้งละ 10 คน เวียนไปจนครบ 75 จังหวัด

    นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย ยังมีคำสั่งให้ส่วนราชการระดับจังหวัดและอำเภอ เร่งให้บริการและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในทุกพื้นที่ในการร่วมลงนามถวายพระพร หากจำเป็นต้องกระจายจุดลงชื่อถวายพระพรไปในระดับตำบลและหมู่บ้านก็ขอให้ดำเนินการตามนั้น ทั้งนี้ตั้งแต่เปิดให้ลงชื่อถวายพระพร มีราษฎรร่วมลงชื่อแล้ว 3 ล้านคน

    เวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ สำนักพระราชวัง เรื่อง พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 11 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ได้รายงานว่า พระอาการโดยทั่วไปดีขึ้น อุณหภูมิพระวรกายลดลงจนอยู่ในระดับปกติ เสวยพระกระยาหารได้มากขึ้น และทรงพระบรรทมได้ดี คณะแพทย์ฯ ยังคงถวายการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดและถวายพระโอสถปฏิชีวนะกับสารอาหารทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการลงนามถวายพระพรในช่วงบ่าย ยังคงมีประชาชน และคณะบุคคลสำคัญต่างเดินทางมาลงนาม ถวายพระพรอย่างต่อเนื่อง ประกอบไปด้วย นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงค์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ธนาคารกรุงไทย พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของธนาคาร 70 คน พล.ต.ต.สุวิระ ทรงเมตตา รองผบช.ภาค 4 และคณะกรรมการบริหารสมาคมตำรวจโรงงาน นายธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้ช่วยผู้อำนวยการ บมจ. ไอ.ซี.ซี.พร้อมคณะผู้บริหาร

    นอกจากนี้ยังมีเหล่าศิลปิน และนักร้องในวงการบันเทิง อาทิ น.ส.เตือนใจ ศรีสุนทร หรือฝน ธนสุนทร นายไอดิน อภินันท์ นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง น.ส.ตุ๊กตา-อุบลวรรณ บุญรอด ดีเจ.คลื่นวิทยุลูกทุ่งมหานครฯ

    จากนั้นนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงพาณิชย์ พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมาลงนามถวายพระพร โดยนายมิ่งขวัญ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นพสกนิกร อยากให้พระองค์ท่านฟื้นจากพระอาการประชวร มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ตอนนี้คนไทยทุกคนต่างจดจ่อเป็นห่วงในพระอาการประชวรของพระองค์

    เมื่อเวลา 17.29 น. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 12 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รายงานว่า พระอาการโดยทั่วไปดีขึ้น ไม่มีพระปรอท (ไข้) เสวยพระกระยาหารได้มากขึ้น และทรงพระบรรทมได้ดี ผลการตรวจพระอุระ (อก) ด้วยเครื่องเอกซเรย์ พบว่าการอักเสบของพระปัปผาสะ (ปอด) ลดลงจากเดิม คณะแพทย์ฯ ได้ลดพระโอสถปฏิชีวนะลงขนานหนึ่ง แต่ยังคงถวายการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดต่อไป จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 1 ต.ค. 2552



    ที่มา ข่าวสดออนไลน์



    ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขออนุญาตเอาเรื่องเบาๆมาไว้อ่านกันหน่อยนะคะ อ่านแล้วรับรองได้ว่าจะยิ้มกันถ้วนหน้าค่ะ

    ที่ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ ในส่วนของโซนนิทรรศการได้จัดแสดง มาตราวัดของไทยโบราณ


    [​IMG]


    วัดกันละเอียดละออมากจนไม่รู้ว่าที่เล็กที่สุดนั้นเล็กขนาดไหนหนอ สำหรับหน่วย 1 ปรมณู​
     
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    เด็กๆ นักเรียนโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ นั่งสมาธิ ขณะฟังเพลงโพชฌังคปริต ล้านนาบารมี ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง

    ขอให้ในหลวงหายป่วยในเร็ววัน

    พวกเราจะนั่งสมาธิแบบนี้ไปจนกว่า ในหลวงจะหายจากประชวร




    <HR>แชตออนไลน์ทันใจกับเพื่อนและครอบครัวของคุณ! Windows Live Messenger
    [​IMG]
    CIMG1748.JPG 123.jpg
    [​IMG]
    CIMG1749.JPG 123.jpg
    [​IMG]
    CIMG1766.JPG 123.jpg
    [​IMG]
    CIMG1751.JPG123.jpg

    <IFRAME class=AttachmentDownloadIframe id=downloadFrame marginWidth=0 frameSpacing=0 marginHeight=0 frameBorder=0 scrolling=no></IFRAME>
    -ช่างเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดู สมควรกับการชื่นชมและปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง

    พลังจิตที่ใสบริสุทธิ์ของหนูน้อยทั้งหลายเหล่านี้ย่อมต้องทรงพลังและมีคุณ

    ค่ามหาศาล ถ้าทุกโรงเรียนจะได้กระทำในแนวทางเดียวกันนี้ ก็ยิ่งจะส่งผล

    เป็นทวีคูณให้ พ่อหลวง ของปวงชนชาวไทย มีพระสุขภาพแข็งแรง หายจาก

    พระอาการประชวรโดยเร็ว


    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2009
  20. อุกามณี

    อุกามณี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +73
    เพิ่งเข้ามา..ขออนุโมทนากับทุกท่าน..ที่มีใจรัก..ศรัทธาและเทิดทูลพระผู้มีคุณต่อแผ่นดินและศาสนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...