ขันธ์ ๕ มิติที่อาจมองแต่งต่างกันไป

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tboon, 20 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    บางคนบอกว่าขันธ์ ๕ คือ รูปกับนาม หรือ กายกับใจ หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    เมื่อก่อนผมเองก็เคยมีความเข้าใจอย่างนี้ว่า ขันธ์ ๕ คือ ร่างกายของเราอย่างเดียว ละขันธ์ ๕ คือ ละความกำหนัดยินดีพอใจในกายนี้ ว่ากายนี้เป็นของไม่ดี สกปรก เน่าเหม็น บังคับควบคุมอย่างแท้จริงก็ไม่ได้ ต้องแก่ เจ็บ และตายไปตามธรรมดา เราตัดความยินดีความพอใจในร่างกายเสียได้ จิตของเราก็จะหลุดพ้น จริง ๆ มันอาจจะใช่อยู่ส่วนหนึ่ง คนส่วนมากยังเมาในกาย เมาในความเป็นหนุ่นเป็นสาว แล้วก็สรรหาสิ่งที่จะมาปลอบประโลมกายนี้ให้คงสภาพที่ตนเองหวังให้ได้ ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นดังใจจริง ๆ เลย การสลัดความเมากายจึงเป็นเรื่องดี ทำให้จิตใจปรอดโปร่งในเรื่องนี้ไปได้บ้าง

    ในมิติที่ลึกไปกว่านั้น ผมพบว่า อาศัยการมีกายมีใจนี้ จึงมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นเครื่องสืบต่อ ให้ได้รับรู้และสัมผัสได้ว่า นี้คือกายเรา กายเขา กายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายนิพพาน อะไรก็ตามที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส รับรู้ว่าเป็นอะไรขึ้นมาสั้น ๆ นั้นเรียกว่า เป็นอาการของขันธ์ ๕

    ร้อน หนาว อึดอัด ใจไหว ๆ ใจอิ่ม ใจโล่งโปร่งเบาสบาย ฯลฯ พวกนี้เป็นอาการของขันธ์ ๕ ผู้ไม่รู้มักคิดปรุงต่อก่อเติมในอาการเหล่านี้ต่อไปตามความเคยชิน และยึดมั่นถือมั่นจนเป็นเรื่องเป็นราวเป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นมา จากวงจรความคิดเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจคิด หลงปรุงต่อจนจิตเกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา แล้วจงใจคิดต่อไปตามอำนาจของกิเลสที่มี กลายเป็นวงจรความคิดใหญ่ต่อไป

    การวางขันธ์ ๕ ในความหมายผมจึงคือการรู้ตามความเป็นจริงในอาการที่รับรู้สั้น ๆ นั้น โดยไม่เผลอหลงเข้าไปปรุงต่อก่อเติมให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีก

    แต่ก่อนที่จะวางของหนักอย่างขันธ์ ๕ ได้นั้น ต้องเข้าใจในการกระบวนการอันเป็นต้นตอของความหลงในอาการของขันธ์ ๕ นั้นให้ได้ชัดเจนจริง ๆ เสียก่อน ด้วยสติสัมปชัญญะ และความตั้งมั่นต่อการรู้การเห็นสภาวะทีปรากฏนั้นตามความเป็นจริง หากจิตรู้เห็นความจริงว่าตนหลงในอาการของขันธ์ ๕ ไปได้อย่างไร จิตที่โดยตัวของมันเองก็พยายามที่จะแสวงหาทางออกจากทุกข์อยู่แล้ว ย่อมสบช่องและยอมรับความจริงในสิ่งที่เห็นนั้น และไม่กลับไปยึดมั่นถือมั่นในอาการของขันธ์ ๕ นั้นอีกโดยง่าย

    การวางขันธ์ ๕ จึงเป็นการวางโดยความเต็มใจแห่งตัวจิตเอง โดยไม่ต้องพยายามคิดหรือบังคับเพื่อให้วาง เขาวางของเขาเอง และกำลังสติสัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา ก็จะค่อย ๆ พัฒนาตัวเองตามกำลังแห่งวาสนาบารมีนั้นต่อไป

    คนส่วนมากมักจะพยายามศึกษาธรรมปฏิบัติด้วยการคิดวิเคราะห์เอาเหมือนเรียนหนังสือทางโลก อย่างนั้นย่อมไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ นอกจากการเอาเหตุผลหนึ่งที่จำได้คิดได้เข้าไปจัดการกับอีกเหตุผลหนึ่งที่ดูแย่กว่าเท่านั้นเอง เช่นนั้นก็ยังยึดความคิดใดคิดหนึ่งเป็นอัตตาอยู่ดีนั่นเองครับ...


    ขอบคุณที่ให้โอกาสครับ
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,020
    http://www.buddhism-online.org/Index1.htm เรียนเชิญท่าน จขกท อ่านเกี่ยวกับขันธ์ห้าได้ที่นี้ครับ อยู่ซ้ายมือตอนที่ 2 ครับ ชีวิต ขันธ์ รูปนาม จิต อนุโมทนาครับท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปจ้ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009
  3. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    การละวางขัน5 กับการละสักกายทิฐินั้น คืออย่างเดียวกันหรือไม่
     
  4. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ในมิติที่ลึกไปกว่านั้น ผมพบว่า อาศัยการมีกายมีใจนี้ จึงมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นเครื่องสืบต่อ ให้ได้รับรู้และสัมผัสได้ว่า นี้คือกายเรา กายเขา กายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายนิพพาน อะไรก็ตามที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส รับรู้ว่าเป็นอะไรขึ้นมาสั้น ๆ นั้นเรียกว่า เป็นอาการของขันธ์ ๕
    ------------------------------------------------------


    การวางขันธ์ ๕ ในความหมายผมจึงคือการรู้ตามความเป็นจริงในอาการที่รับรู้สั้น ๆ นั้น โดยไม่เผลอหลงเข้าไปปรุงต่อก่อเติมให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีก
    ----------------------------------------------------------


    แปลว่าคุณเชื่อในสิ่งที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับรู้ และสัมผัสได้ ว่าเป็นจริงอย่างที่มันแสดงไห้ดูอย่างงั้นหรือ . . .

    การวางขัน5ในความหมายของคุณ คือ การรู้ตามสิ่งที่ขัน5แสดงไห้ดู โดยไม่ปรุงแต่งต่อหรือครับ
     
  5. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    การวางขันธ์ ๕ ในความหมายผมจึงคือการรู้ตามความเป็นจริงในอาการที่รับรู้สั้น ๆ นั้น โดยไม่เผลอหลงเข้าไปปรุงต่อก่อเติมให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีก
    --------------------------------------------------------------


    สาเหตุที่ละวางขัน5ไม่ได้ คือการเชื่อในสิ่งที่ขัน5แสดงไห้เราดูนั่นหละครับ แม้จะไม่ปรุงแต่งต่อไปว่านี้ รูปสวย นี้ รสอร่อย นี้เสียงไพเราะ นี้สัมผัสนุ่มนวล นี้ชอบใจ ไม่ชอบใจ
    (หรือในกรณีของท่าน อาจจะละได้ แต่ผมมองว่าเป็นการอ้อมไปไกล)
    ขออำภัยไว้ก่อนนะครับถ้าความเห็นของผมทำไห้ไม่ถูกใจ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009
  6. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    หากจิตรู้เห็นความจริงว่าตนหลงในอาการของขันธ์ ๕ ไปได้อย่างไร จิตที่โดยตัวของมันเองก็พยายามที่จะแสวงหาทางออกจากทุกข์อยู่แล้ว ย่อมสบช่องและยอมรับความจริงในสิ่งที่เห็นนั้น และไม่กลับไปยึดมั่นถือมั่นในอาการของขันธ์ ๕ นั้นอีกโดยง่าย
    --------------------------------------------------------------------------------------

    การละขัน5 หรือการเห็นตามจริงของผมเป็นอย่างไร ขออธิบายนิดนึงนะครับ
    เช่น ถ้าในแบบของคุณ ตาเห็นรูป>> ใจก็ปรุงไปแล้วว่าสวยหรือไม่สวย>>ใจเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นว่าจริงคือสวยจริงแต่>>ไม่พยามปรุงแต่งต่อว่า ชอบหรือไม่ชอบ(แต่เชื่อว่าอย่างไรก็ต้องปรุงถ้ายังสติไม่ไวขนาดพระอรหันนะ)>>(หากจิตรู้เห็นความจริงว่าตนหลงในอาการของขันธ์ ๕ไปได้อย่างไร)ก็จบตรงนี้ได้ . . .มั๊ง

    ในแบบของผม ตาเห็นรูป >>ใจปรุงไปแล้วว่า สวยหรือไม่สวย>>แต่ใจไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นว่าจริงคือใจรู้ทันทีเลยว่าที่ตาเราเห็นนั้นไม่ไม่ไช่รูปที่แท้จริง ก็จบเลย . . .(แต่ยอมรับยังไงก็ยังปรุงต่อว่าชอบใจหรือไม่เพราะจิตมันไวจนสติตามไม่ทัน)

    ทีนี้ทำไมผมจึงไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นว่าเป็นอย่างนั้นหละ . ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009
  7. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ที่จริงการจะไม่เชื่อในขัน5คือการเห็นตามจริงนั้นง่ายมากเลย(แต่ไม่รู้ทุกคนไหมนะ)
    แค่ไช้กระบวนการคิด ตามเหตุผล ก็รู้แล้วว่าที่ขัน5แสดงนั้น ไม่ไช่ของจริงตามที่มันแสดงไห้เราเห็นหรือเข้าใจ
    เช่นตาที่รับรูปไห้เรามองเห็นรูป เช่นรูปสาวสวย หน้าใสๆเนียนๆ ไร้สิวฝ้าตาเราเห็นแบบนี้
    ที่นี้ลองคิดว่ามันเป็นอย่างที่เราเห็นจริงหรือ . . .หรือว่า >มันจริงแค่เท่าที่ตาเราเห็นได้<

    อย่างเช่นสมัยก่อนนั้นที่เรายังไม่มีกล้องจุลทัศ มีคนบอกว่ามีสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่ทำไห้เกิดการป่วยคือเชื้อโรค . . .เราเชื่อไหมครับ ไม่เชื่อเพราะเราเชื่อแค่เท่าที่ตาเราเห็น . .เห็นแค่ไหนก็เชื่อว่ามีแค่นั้น

    ก็เหมือนสาวสวยที่ตาเราเห็นว่ามีผิวกายอันขาวนวลเนียน หน้าตาไร้สิวฝ้า แต่ในความจริงมันไม่ไช่ เราเห็นแค่ความสามรถของดวงตาเราเห็นเท่านั้น ถ้าเรามีดวงตา ที่มองได้เหมือนกล้องจุลทัศ จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกที่เราเห็น ยังไม่ต้องพูดถึง- -.เอาแค่สาวหน้าใสไร้สิงฝ้าคนนั้นก็พอ รับรองว่า หน้าที่เราเห็นใสๆไร้สิวฝ้า มันจะไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว ดีไม่ดี เราจะเห็นแต่คนหน้าน้ำเหลืองไหลย้อยเดินกันไห้ขวักไขว่ . . อันนี้ชี้แจงแค่เรื่องตาซึ่งเป็นขัน5ที่รับรูปธรรมเท่านั้น ตา หู จมูก ลิ้น กายเหล่านี้ รับรูปธรรม
    ส่วนใจ เป็นส่วนที่รับ นามธรรมคือ สวย อร่อย ชอบ อื่นๆต้องใช้วิธีคิดแบบอื่น ต่างกันอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009
  8. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    วิธีการ ไม่เชื่อ ในสิ่งที่ใจปรุง(เห็นตามจริงว่าที่ใจปรุงหนะ จริงอย่างนั้นหรือ)
    เช่น สาวหน้าใส ผิวขาวเนียน(คนเดิม) .ใจปรุงว่า สวยจังหนอ^^ชอบๆ
    หรือถ้าตาเห็นรูปได้แบบกล้องจุลทัศ ใจก็ปรุงว่าหน้าอย่างกับผี ขี้เหร่มาก ไม่ชอบ

    ทำไม เราจึงเชื่อที่ใจมันปรุงไห้ว่านี่สาวสวย ชอบๆแลนี่สาวไม่สวย ไม่ชอบเลย
    เพราะ เราเป็นคน และหญิงสาวเป็นคน คือสาวสวยนั้นสวยแต่กับคน(มนุษย์เพศผู้)
    แต่สำหรับโลกแล้ว สาวสวยนั้นสวยไหม สิ่งอื่นในโลก นอกจากมนุษย์ เห็นสาวนั้น สวยไหมนะ
    นี้คือเห็น ตามความเป็นจริงไม่ได้เห็นตามใจ(ใจนึงก็เห็นสวยอยู่แต่ใจนึงก็รู้ตามจริง)
    ที่ผมอธิบายนี้เป็นอย่างหยาบๆ เห็นอย่างละเอียดเป็นอย่างไรก็หาทางเห็นกันเอาเองละกัน
    ตัวไครตัวมัน - -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009
  9. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    เราใช้ฐานคิด หรือใช้กระบวนการคิดตามเหตุผล แบบเรียนหนังสือในห้องเรียนนั้นไม่ได้ครับ เราต้องเข้าไปเห็นจริง ๆ

    การปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงความจริงคือ การเห็นสภาวธรรมตรงหน้าตามความเป็นจริงด้วยสติที่ต่อเนื่อง และด้วยจิตที่มีกำลังความตั้งมั่นเพียงพอ เห็นทันและเข้าใจกระบวนการที่จิตหลงอินไปกับความคิดกับเรื่องที่คิดนั้น อย่างชัดเจน เรียกว่า สิ่งที่เห็นอาการที่เป็นนั้นเป็นตัวสอนเรา ไม่ใช่เราเข้าไปสอนเขา เราเข้าไปเอาปัญญาจากเขา เขาจะบอกเราเองหากสติของเราตามทัน เราจะเข้าใจกระบวนการที่เป็นต้นตอของทุกข์ (สมุทัย) ได้ด้วยอาการอย่างนี้

    การไม่หลงในอาการของขันธ์ ๕ ที่ชัดเจนที่สุดคือ การมีสติไม่หลงในสัญญา (ความจำได้, อดีต) และสังขาร (ความปรุงแต่ง, อนาคต) อันเป็นเหตุให้จิตเกิดความยินดียินร้ายขึ้นมา เป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นมาได้นั่นเอง นั่นหมายความว่า สัญญาก็ยังคงมีอยู่ สังขารก็ยังคงมีอยู่ แต่การเข้าไปหลงในอาการเหล่านั้นไม่มี หากสติสัมปชัญญะยังมีกำลังน้อย อาจหลงไปได้บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับหลงเพลินยาวนานมากนัก แม้หลงไปบ้างแล้วก็ไม่ยึดในสิ่งที่หลงนั้นให้เป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นมาเป็นทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนอีกโดยง่าย

    ครูบาอาจารย์ท่านว่าไว้ ธรรมดาคนเรานั้นหลง (ในอาการของขันธ์ ๕) เสมอ ๆ นอกจากหลงแล้วยังไม่พอ ยังยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนหลงนั้นอีกต่างหาก เรียกว่า ทั้งหลงด้วยแล้วก็ยึดที่หลง ๆ นั้นด้วยอีกที น่าเห็นใจอยู่นะ..
     
  10. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ก็แล้วแต่ครับ^ ^ แต่ละคนเห็นไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

    และที่อธิบายก็เป็นการเห็นแบบหยาบ คือไม่ต้องไช้กำลังสมาธิมาก
    แล้วคำว่าไช้ความคิดตามเหตุผลของผม ก็เพื่อไห้เข้าใจง่ายๆว่า คิด แต่ความคิดนั้นก็มาจากกำลังของสมาธิ เช่น คนสองคนที่นั่งคิดเรื่องสำคัญ แต่ได้คำตอบไม่เหมือนกัน เพราะกำลังของสมาธิต่างกัน
    แม้เราจะปฏิบัตสมาธิได้มากอย่างไร แต่ เราก็ต้องใช้ความคิด พิจารณา สติ สมาธิเป็นเพียงกำลังไห้เกิดปัญญา ที่สุดแล้วเราก็ต้องไช้ปัญญาในการคิดพิจารณา

    พละธรรม5 ศรัทธา>วิริยะ>สติ>สมาธิ>ปัญญา . . ไช้สำหรับการคิดพิจารณาธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009
  11. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    วิธีที่ผมคิดพิจารณ่เป็นแบบง่ายๆ หยาบๆ เพื่ออธิบายไห้เห็นง่ายๆเท่านั้นครับ
    ไม่ไช่อย่างบางท่านที่ผมเคยได้ยินได้ฟังบอกเราสอนเรา ว่ากายนี้เป็นของเน่านะ แต่ไม่เคยสอนวิธีดูเลยว่าเน่าอย่างไร ถ้าเน่า แล้วทำไมถึงไม่เหม็นหละ รู้ไหมครับว่าทำไมร่างกายเป็นของเน่า แต่เราไม่เหม็น . . .
     
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ท่าน 2 ชาติบรรลุธรรมครับ หากยังเข้าใจว่า ใช้อยู่ ก็จะไม่เห็น ความจริง
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อย่าคิดมากเหมือนกันก้อย่างที่ท่าน2ชาติบอก รักคนอ่าน [​IMG]
     
  14. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    งั้นขอจบเท่านี้ละกัน ขอฝากไว้นิดว่าจะไช้วิธีคิดแบบไหนก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญมันอยู่ที่ว่า จิตใจของเราเชื่อแค่ไหนมากกว่าว่า มันไม่มีจริงๆ

    ผมยกตัวอย่างก็บอกแล้วว่าอย่างหยาบๆ คนที่ว่าตนเห็นอย่างละเอียด ก็อธิบายไห้คนที่ไม่เห็นเลย เข้าใจไม่ได้ แม้เพียงนิดเดียว . .


    คุณวิษณุ12นี้เก่งจังเลยนะครับ รู้ไปซะทุกเรื่อง มั่นใจขนาดกล้าชี้ถูกชี้ผิดเลยหรือครับ^^ไม่ธรรมดาจริงๆ
    ถ้าเกิดในสมัยพุทธกาลนี้ คงเป็นผู้มีชื่อเสียงมากแน่ๆ สุดยอด เหอๆ

    ขนาดผมเองยังไม่กล้าชี้เลยว่าแบบไหนผิดถูกแค่บอกว่าวิธีคิดต่างกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009
  15. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    สงสัยท่าน ทีโบน ต้องแสดงไตรลักษณาการธรรมประกบกระทู้อีกรอบแล้วกระมัง
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    รักคนอ่านไง...
     
  17. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ที่แรก คิดว่าหยุดแค่นั้นดีกว่า แต่เปลี่ยนใจละ เกิดคิดขึ้นมาได้ว่า ยังไงก็คงมีคนที่ยังหยาบๆอย่างเราเข้าใจบ้างหรอกนะ

    วิธีคิดต่างกัน ไม่สำคัญ สำคัญที่ผลคือจิตเห็นจริงได้จริงหรือไม่
    ไม่ว่าวิธีคิดแบบไหนแต่ถ้าจิตเห็นความจริงได้แม้(อย่างหยาบๆ)ก็ดีทั้งนั้นหละ



    พูดถึงกายเน่ากันต่อดีกว่า ว่าเน่ายังไง เน่าแล้วทำไมเราจึงไม่เห็นว่ามันเหม็น
    ของเน่าๆมันต้องมีกลิ่นเหม็นสิ แต่ทำไม่บอกว่ากายเน่า แล้วไม่ยักกะเหม็นหนอ . . .
    ^^
     
  18. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    เผื่อคนอื่นๆจะไม่ทราบว่า คุณคนนี้ต้องการบอกถึงอะไร เพราะพิมคำว่ารักคนอ่านบ่อยๆ
    เดี๋ยวจะพากันเข้าใจผิดไปได้ว่า เป็นชื่อเพื่อนพ้องน้องพี่ หรือญาติๆของเขา

    รักคนอ่าน เป็นชื่อที่ผู้ดูแลเว็ป เปลี่ยนไห้ผม จากเดิมใช้ชื่อว่า
    คนอ่าน ต้องตายแน่นอน(ก็หวังเป็นมรณานุสติ)ผู้ดูแลเปลี่ยนไห้เป็นรักคนอ่าน เพราะ ชื่อที่ผมตั้ง คนอ่านต้อง ตายแน่นอน ทางผู้ดูแลเห็นว่ามันแรงไป เหมือนเป็นการแช่งคนอ่าน . . .(ก็ยอมรับนะว่าแรง เพราะรู้สึกอยู่เหมือนกันแม้เวลาอ่านชื่อตัวเอง - -")ก็เลยเปลี่ยนไห้โดยไม่ได้แจ้งไห้รู้ตัวเลย แต่ก็ช่างเถอะผมไม่ได้สนใจอะไร แต่ผมไม่ชอบชื่อ รักคนอ่าน ก็เลยกลับไปไช้ ชื่อเดิมคือ ชื่อที่ไช้อยู่ตอนนี้ . . .

    แต่ถ้าคนๆนี้ต้องการบอกว่าไม่ได้หมายความอย่างที่ผมอธิบาย แต่หมายถึงตัวเขารักคนอ่าน ผมก็ขอรับผิดไว้เลย(หมายถึงถ้าใจเขาไม่ได้ต้องการสื่ออะไรเกี่ยวกับผมนะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2009
  19. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ที่นี้เรื่องกายที่เน่ายังไงไม่อยากอธิบายเลยเพราะนิสัยผมเป็นคนขี้เกียจ - -
    เอาสั้นๆละกัน ที่เขาว่าเน่านั้นเพราะพระท่านว่า มันเน่าตั้งแต่เกิด เพราะตอนอยู่ในท้องแม่ มันก็เน่าแล้ว
    ทำไมถึงเน่านะ ที่มันเน่าก็เพราะ อาหารที่แม่เรากินลงไป เราที่อยู่ในท้องแม่เราก็ต้องกินแบบเดียวกัน (อันนี้คนไม่เคยพิจารณาอาหารก็คงไม่เข้าจิตอีกละ)แม่เรากินของเน่าหรือ
    เปล่าไม่เน่าหรอกถ้าเชื่อตามขัน5มันก็ยังไม่เน่า แต่จะคิดว่ากินของดี แต่ไปเน่าในท้องใช่ไหมละ(อันนี้เป็นการคิดอย่างหยาบสุดๆเลยคือไห้เห็นง่ายสุดๆเลยว่ามันเน่าในท้อง)
    เน่าในท้องแล้วยังไงมันก็ส่งไปไห้ทารกในท้องกินต่อ ก่อเกิดเป็นธาตุต่างๆพอกกายทารกนั้นไว้
    ไห้เติบโตต่อไป . . .

    นี้คือที่พระท่านเทศนะ ไม่ไช่ผมคิดเอง พระท่านก็คงพยามเทศแบบที่เข้าใจง่ายๆที่สุดหละ
    (แต่ที่ผมเห็นหนะ แม้นตอนกิน เราก็กินของเน่า แต่เราคิดว่ามันดี เพราะเราเชื่อสิ่งที่ขัน5มันแสดงไห้เราดูว่าจริง)ผมเห็นว่าสิ่งที่ขัน5แสดงไห้เราดูนั้น ไม่จริงไม่จริงยังไง ทำไมจะไม่จริง ก็เห็นอย่างนั้นนี่หว่าใช่ไหม . . .
    ผมก็ต่อยอด คิดต่อจากที่ฟังพระท่านเทศนั่นหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2009
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    โอ้ย ไปกันใหญ่ ขอโทษนะครับท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...