ความเสื่อมแห่งพระธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 10 มิถุนายน 2009.

  1. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    375 ทำเองรู้เอง
    เอามาฝากลุงขันธ์ ที่น่ารัก น่าชัง สะไม่มี อิอิอิ:'(

    ปัญหา พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “ทางที่จะให้ภิกษุได้อาศัยแล้ว ประกาศความรู้อันสูงว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำแล้ว....” โดยไม่ต้องอิงอาศัยศรัทธา ความพอใจในการฟังต่อ ๆ กันมา การตรึกตรองตามอาการ หรือความทนต่อการพิสูจน์ด้วยความเห็นใจ มีอยู่หรือไม่ ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้เห็นรูปด้วยจักษุ... ฟังเสียงด้วยหู... ดมกลิ่นด้วยจมูก... ลิ้มรสด้วยลิ้น... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย... รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมรู้ชัดซึ่งราคะ โทสะ โมหะ อันมีอยู่ภายในว่า.... มีอยู่ในภายในของเรา หรือรู้ชัดซึ่งราคะ โทสะ โมหะ อันไม่มีอยู่ในภายในว่า... ไม่มีอยู่ในภายในของเรา.... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้พึงเชื่อด้วยศรัทธา ด้วยความชอบใจของตน ด้วยการได้ฟังต่อ ๆ กันมากระนั้นหรือ.... ธรรมเหล่านี้พึงทราบได้ด้วยการเห็นด้วยปัญญามิใช่หรือ...
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นทางให้ภิกษุได้อาศัยประกาศความรู้อันยิ่งโดยไม่ต้องอาศัยศรัทธา โดยไม่ต้องอาศัยความชอบใจของตน โดยไม่ต้องอาศัยการฟังต่อ ๆ กันมา”;aa24
     
  2. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262

    ขอประทานโทษด้วยนะครับ
    กำลังธรรมวิวาทะกันนี้ผมก็ไม่เกี่ยวเลย

    สังเกตุว่าน่าจะเกิดจากความเห็น..ที่ว่า..จิตเที่ยง..กับ..จิตไม่เที่ยง

    ความเห็นนี้ไม่มีวันบรรจบกันได้ (น่าจะ)เหตุเพราะ.ใช้คำว่าจิต..คำเดียวกัน..แต่ไม่ได้..สนใจสภาวะของจิต..ขณะหนึ่ง ๆ ที่ต่างกัน..

    ที่ว่าจิตเที่ยง...เพราะหมายเอาที่ตัวรู้..จิต(ในความหมายของผู้รู้)จึงไม่เป็นอนัตตา
    ที่ว่าจิตไม่เที่ยง....เพราะหมายเอาจิตสังขาร ในขันธ์ 5 ที่เกิด-ดับ ๆ เป็นขณะ ๆ ..จิต(ในความหมายในขันธ์5)จึงเป็นอนัตตา

    เหมือน 2 คนคลำช้าง..คนที่อยู่ทางหัวช้างก็ว่าหัวคือช้าง คนที่อยู่ทางหางช้างก็ว่าหางคือช้าง..เมื่อใดที่แจ้งแล้วคือสว่างแล้ว..คนทั้ง2 นี้ก็จะเห็นทั้งหมดเอง..คนทางหัวก็จะเข้าใจหาง..คนทางหางก็จะเข้าใจหัว..เป็นไปเอง

    (เข้าใจว่า)..ที่พระอาจารย์ปราโมทย์ดูจิต..เกิด-ดับ นั้นเพื่อเพียรให้ผู้ดูเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของตนที่ตนยึดตนถือว่าเป็นตนที่ผิด ๆ มาเป็นอนัตตชาติ เพื่อให้คลายจากกำหนัด(ในตน)นั้นเสีย..เมื่อรู้คลายจากความยึดตัวตนแล้ว..จะว่าผู้รู้มีหรือไม่มีจึงไม่จำเป็นต้องบอก..ต้องสาธยาย..

    หากถูกผิดอย่างไรก็ขอให้อภัยผมนะครับ..ก็คนกำลังคลำช้างอีกคน..เหมือนกัน

    เอาแค่นี้ก่อนนะครับ..เดียวมาไหม่

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมนะครับ
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    (ลูก ศิษย์หลวงพ่อสังวาลย์ถวายทองคำ ๓ บาท ปัจจัย ๕๒,๐๐๐ บาท) พอใจๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อสังวาลย์ไม่ใช่เล่นละ องค์ท่านเองเก่งมากในการเสียสละ ยิ่งตอนเราพยายามเอาทองคำเข้าคลังหลวง ท่านไปเที่ยวหาขนไปได้ทุกแห่งนะหลวงพ่อสังวาลย์ นู่นเข้าถึงปากช่องจะขึ้นเขาใหญ่ นิมนต์เราให้ไปรับทองคำ เราก็พอใจ ไปเลยเชียว พอฉันเสร็จไปเลย ทองคำเยอะนะดูเหมือนเป็นกิโลกว่า ทองคำเยอะหนึ่ง น้ำใจสุดซึ้งหนึ่ง เราถึงใจ เราถึงใจเรื่องน้ำใจก่อน ไปก็ไปเจอทองคำเข้าอีก เลยเพิ่มความซึ้งในจิตใจมากหลวงพ่อสังวาลย์นะ ท่านเป็นพระสำคัญในการเห็นส่วนรวมเป็นของสำคัญ ส่วนรวมเป็นสำคัญมากท่านเห็นจุดนี้สำคัญ ทองคำมีเท่าไรๆ ท่านจะหามาบริจาค<o>:p></o>:p> พูด ถึงเรื่องทองคำเวลานี้ได้เท่าไรแล้ว (ตอนนี้ได้ทั้งหมด ๑๑,๙๓๘ กิโล) ๑๑,๙๓๘ ไม่ใช่เล่นนะ พวกเราหาแทบล้มแทบตาย ได้มา ๑๑,๙๓๘ กิโล ตั้งหมื่นกิโลเป็นของเล่นเมื่อไร ๑๑,๐๐๐ กิโล แล้วยัง ๙๐๐ กิโล ๓๐ กิโล ๘ กิโล ไม่ใช่ของเล่นนะ ๑๑,๙๓๘ กิโลเป็นทองคำเข้าคลังหลวงแล้ว และดอลลาร์ ๑๐ ล้านกว่า นี่ก็เข้าคลังหลวง ก็ไม่มีทางไปนี่ ออกไปทางไหนเหตุผลจับกันๆ ทางไหนมีผลมากกว่ากันและถูกต้องเอาอันนั้นเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ<o>:p></o>:p>
    เรา ก็เหนื่อยลงทุกวัน เรื่องเหนื่อยเพราะธาตุขันธ์นี้เหนื่อยนะ แต่จิตใจซึ่งความเมตตาที่เป็นพื้นอยู่ในใจนี้ก็หนาแน่นยิ่งกว่าความเหนื่อย อีก มันหนาแน่นกว่านั้น อันนี้ละชนะ มันถึงได้ไปได้ที่นั่นที่นี่ เมื่อวานไปวัดดอยธรรมเจดีย์ ไปไหนมาแล้วลืมๆ ไปก็ไม่พบท่านแบน ท่านแบนไปตรวจโรคที่กรุงเทพ <o>:p></o>:p>
    เรา เคยพูด มันมาติดใจ มาฝังใจลึกอยู่ อัศจรรย์ใจเจ้าของที่ว่าอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ คือพระธรรมท่านกลัวเราหลง ท่านเตือนขึ้นมาเหมือนคนเตือนกัน แต่เตือนเป็นคำพูดในหัวใจนะ เป็นคำพูดออกมาจริงๆ อยู่ภายในปั๊บๆๆๆ คือตอนนั้นไปภาวนาอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จิตมันเข้าขั้นว่าง คือมันผ่านเรื่องอสุภะอสุภัง ทุกฺขํอนิจฺจํอะไรเหล่านี้มันผ่านไปหมดแล้ว คืออะไรถ้ามันอิ่มแล้วมันปล่อยๆ การพิจารณาเมื่ออิ่มแล้วมันก็ปล่อย ปล่อยเป็นขั้นๆๆ เป็นเองๆ ของมันนะ มันจะดูดดื่มๆ ที่ยังพอใจพิจารณาอยู่ดูด อันไหนพอแล้วมันปล่อยๆ <o>:p></o>:p>
    พิจารณา ไปถึงขั้นผ่านอะไรไปหมด ไปถึงจิตว่าง ทีนี้พิจารณาอะไรว่างไปหมดเลย ไปยืนรำพึงเจ้าของ นอกจากว่างแล้วยังเป็นความอัศจรรย์อีก ยืนรำพึงประมาณตีห้า อยู่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ มันสว่างไสวจริงๆ ว่างไปหมดเลย ก็เราไม่เคยเห็น มันถึงขั้นนี้แล้วมันก็ว่าง ว่างอัศจรรย์ด้วย คือเราลืมดูตัวต้นเหตุของความว่าง มันยังไม่ว่างตอนนั้น เราดูตั้งแต่ข้างนอกไม่ว่าง เหมือนอย่างคนเข้าไปอยู่ในห้องเข้าไปเดินขวางห้องอยู่นั้น โอ้ ห้องนี้ว่างเหลือเกิน ว่างหมดห้อง สง่างามด้วย ว่างด้วย มีคนหนึ่งเข้ามายืนอยู่ประตู มันว่างอย่างไร มันไม่ได้ว่างเดี๋ยวนี้น่ะ ห้องนี้มันไม่ได้ว่างอย่างที่ว่านะ ไม่ว่างอย่างไรก็มันว่างหมดแล้ว ท่านมายืนขวางอยู่ทำไมในห้องนี้ มันขวาง ห้องมันไม่ว่าง เพราะท่านขวางเอง ออกมา ถ้าอยากเห็นห้องว่าง พอออกมาปุ๊บมันก็ว่างหมดเลย <o>:p></o>:p>
    คือจิตมันติดตัวเอง อะไรก็ว่างหมดๆ ตัวเองยังติดตัวเองยังไม่ว่าง นั่นละที่ว่า ไปยืนขวางห้องอยู่ พอว่าให้ถอนตัวออกมา พอออกมามันก็ว่างหมด นี่จิตติด ว่างภายนอกยังไม่ว่างภายใน พอว่างภายในมันก็ว่างหมดเลย วางด้วย ว่างด้วย นี่ก็ได้สอนพี่น้องทั้งหลาย จวนจะตายแล้วนะนี่ เพราะฉะนั้นธรรมะจึงค่อยเปิดออกๆ เรื่อยๆ ละ เปิดเรื่อย กิริยาภายนอกอย่ามาถือสีถือสานักนะ ไปเห็นลิงเล่นกับลิง ไปเห็นหมาเล่นกับหมา ไปเห็นอะไรเล่นกับอันนั้นไปเรื่อย นี่เป็นกิริยาอย่างหนึ่ง ปฏิบัติต่อสัตว์ประเภทนั้นๆ ทุกขั้นๆ จะปฏิบัติตามขั้นของสัตว์ของคนนะ <o>:p></o>:p>
    ที นี้ผู้ปฏิบัติตามขั้นของคนนั้นคือผู้หนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เป็นพวกนั้นดูพวกนั้น ทีนี้จิตเวลามันว่างหมดจริงๆ แล้วดูโลกนี้คับแคบตีบตันไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา มีเต็มไปหมด มันเล่นกับอันนี้นะมันไม่ได้ว่าง โลกไม่ว่าง พอจิตว่างเสีย อันเดียวเท่านั้นปล่อยหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ ว่างหมด ภายนอกก็ว่าง ภายในก็ว่าง นั่นละว่างจริงๆ หมด ภายในก็ไม่มีเหลือ ว่างหมดเลย นั่นละท่านว่าจิตเข้าขั้นว่าง ว่างแห่งพระนิพพาน ว่างแห่งธรรมธาตุ ว่างอย่างนั้นละ จิตถึงขั้นนี้แล้วเรียกได้แต่ว่านิพพานเที่ยงหนึ่ง แล้วธรรมธาตุหนึ่ง <o>:p></o>:p>
    ธรรมธาตุ กับนิพพานก็อันเดียวกัน จิตนี้ก้าวเข้านี้แล้วหมดเป็นธรรมธาตุแล้วนั่น ไม่มีทางก้าวต่อไปอีกแล้ว เป็นธรรมธาตุล้วนๆ ไปเลย จิตพิจารณาไปมันก็เห็นไปรู้ไป ไม่ถามใครละ ถามการปฏิบัติของตัวเอง เดินไปตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้วด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ เรายังไม่ชอบ มันขวางทางอยู่ เดินออกซอกทางนี้แล้วออกทางนี้ๆ ตีเข้ามามันก็ออกทางนี้ ตีทางนี้ออกทางนี้อยู่นั่นละ คือจิตใจเรามันมีกิเลสมันจะไปแต่ทางผิด ให้ตีเข้ามา ตีเข้ามาหาทางถูกคือธรรม เรียกว่าสวากขาตธรรมแล้วค่อยไปตามนี้เรื่อย พุ่งถึงเลย มันแยกนู้นแยกนี้เสียเวล่ำเวลาและเหนื่อยเปล่าๆ <o>:p></o>:p>
    นี่ ละการปฏิบัติจิตเป็นอย่างนั้น พอมันแย็บออกไปผิดทางเมื่อไร..จิตมันละเอียด สติปัญญาละเอียด มันทันกัน มันแย็บออกไปผิดตีปุ๊บๆ เลย แต่ก่อนมันยังไม่เคยเป็น แต่เวลามันเข้าถึงขั้นละเอียดแล้วพอแย็บออกแล้วตีปั๊วะเข้ามา เข้าเรื่อยๆๆ แล้วก็พุ่งถึงที่สุด หมดความสงสัยภายนอกภายในหายหมด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นโลกธาตุไปธรรมดา ธรรมชาติของเขา จิตก็เป็นธรรมธาตุไปเลย จิตนี้สุดท้ายก็มาเป็นธรรมธาตุ ถ้าจิตของผู้บริสุทธิ์ยังทรงขันธ์อยู่ก็เรียกว่าจิตบริสุทธิ์เช่นจิตพระ อรหันต์ เพราะจิตท่านบริสุทธิ์ พระอรหันต์จิตท่านบริสุทธิ์ พอธาตุขันธ์แตกกระจายไปแล้วนั่นละเป็นธรรมธาตุแล้ว ไม่ได้เรียกว่าเป็นอรหันต์หรือไม่อรหันต์ สุดขีดตรงนั้นละ จำเอานะปฏิบัติให้ดี<o>:p></o>:p>
    นี่ ก็จวนจะตายแล้ว เหนื่อยทุกวันนี้เหนื่อย (มีคนถ่ายภาพขึ้น) ใครมาแพบพาบๆ เวลาพูดธรรมะธัมโมอย่ามาถ่ายรูปถ่ายอะไรให้ยุ่งกวนตลอดเวลา พวกลิงมันมากเหลือเกินในศาลาหลังนี้นะ มันหากมีละคนหนึ่งที่จะมาขวางธรรม พูดวันไหนได้ดุทุกวัน มีแต่ว่าหลวงตาดุ ที่มันผิดไม่ดู ความผิดมันทำความเสียหายแก่ส่วนรวมมากขนาดไหน กำลังเทศน์เปิดธรรมออก ปั๊บเข้ามานี้มันทำลายนี้ปั๊บก็เสียหายไปหมด ที่พูดนี้ผิดแล้วเหรอ ผู้ทำมันผิด ได้พูดกันอยู่เรื่อยละเรื่องเหล่านี้<o>:p></o>:p>
    นี่ พิจารณาหมดแล้ว ในชาตินี้เรียกว่าหมด ล้างป่าช้าชาตินี้แหละ หมด ในหัวใจนี้โล่งหมดปล่อยหมดโดยประการทั้งปวง ยังเหลือแต่ขันธ์ดีดดิ้นไปอีก เพราะฉะนั้นใครอย่ามาถือนะเรื่องขันธ์ เรื่องขันธ์โลกเป็นอย่างไรขันธ์อันนี้เป็นอย่างนั้นละ กิริยาของโลกเป็นอย่างไรกิริยาของขันธ์ที่เป็นสมมุติอย่างเดียวกัน เป็นอย่างเดียวกัน แต่จิตที่เปลี่ยนแปลงตัวเองเรียบร้อยสมบูรณ์แบบแล้วไม่มี ไม่เป็น ให้จำเอานะ <o>:p></o>:p>
    จิต ถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเรียกว่าเป็นธรรมธาตุ ถ้าบุคคลก็ว่าจิตบริสุทธิ์เรียกว่าพระอรหันต์บ้างอะไรบ้าง คำว่าอรหันต์ก็คืออาศัยธาตุขันธ์ไป พอขันธ์ดับลงไปพับทีนี้ก็เป็น ธรรมธาตุขึ้นมาเต็มตัว ขันธ์หายหมดเลย ขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดับหมด เหลือแต่ธรรมธาตุล้วนๆ อยู่ในใจ นั่นละที่นี่จะก้าวไปไหน ก้าวไปข้างหน้าก้าวไปหาอะไร ก้าวมาข้างหลังก็ก้าวมาแล้วสุขทุกข์ขนาดไหนรู้แล้ว หามันอะไร ปัจจุบันเป็นอย่างไรพอแล้ว ลงจุดนี้แล้วไม่หา ก้าวหน้าก็ไม่ก้าว ถอยหลังก็ไม่ถอย อยู่ด้วยความพอดี นี่ก็อัศจรรย์เกินโลกเกินสงสาร<o>:p></o>:p>
    ให้ปฏิบัตินะจิตเป็นอย่างนี้ละ เมื่อปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่ต้องถามใคร ถามเจ้าของเอง เมื่อ ถึงขั้นที่ไม่มีที่ก้าวแล้วมันก็รู้ ไม่มีแล้วยังจะก้าวต่อไปหาอะไรอีก มันหมดมันสิ้น ก้าวหน้าก็ไม่ก้าว ถอยหลังก็ไม่ถอย ปัจจุบันบริสุทธิ์อย่างไรก็อยู่กับความพอดีอันเลิศเลอ เรียกว่าสุดขีดแล้ว หรือจะเรียกว่าจิตนี้เป็นธรรมธาตุแล้วเท่านั้นก็พอ เอาละพอ<o>:p></o>:p>
    (โยม จากสหรัฐอเมริกาถวาย ๒,๖๕๕ ดอลล์) พอใจๆ คิดเป็นเงินไทย ๙ หมื่นกว่านะ เหล่านี้เราคิดหมด ปุ๊บปั๊บเข้ามาหาเมืองไทยให้เขาเหยียบหัวๆ ถ้าเป็นแบบโลกเขาเรียกว่ามันคึกคักภายในใจ หัวเราสูงเท่ากันกับหัวเขาทำไมจึงยอมให้ตีนเขาสูงกว่าตีนเราแล้วเหยียบหัว เราลงไป มันคิดอยู่ตลอด มันหากเป็นอยู่ในจิตนะ อะไรเอะอะก็เอาหัวของเราเข้าไปซ้อนไว้ให้ตีนเขามาเหยียบหัวเราๆ คืออะไรก็สู้เขาไม่ได้ๆ ขอให้พากันพิจารณานะพี่น้องทั้งหลาย <o>:p></o>:p>
    เหล่า นี้เราคิดฝังใจมานานแล้ว เอะอะเห็นอะไรๆ ปั๊บดูอันนี้เป็นอะไร เป็นของเมืองนั้นเป็นของเมืองนี้ ของเมืองไทยเราไปไหน มันไม่มีหรือปัญญา นั่นละมันอดคิดไม่ได้ เป็นอยู่ในหัวใจ เขาเป็นอย่างไร เขาก็คนเราก็คน ฟิตตัวไปเรื่อยๆ มันก็ไปได้ ถ้าไม่ฟิตก็หมอบไปเรื่อยๆ ให้ตีนเขาจับมาเหยียบหัวเราสูงๆ ไปเรื่อยๆ อย่างนั้นละ ไม่เป็นท่า ให้ฟิตบ้าง อะไรก็ฟิตบ้างนะ เอาละพอ ให้พร <o>:p></o>:p>
    <o>:p> </o>:p>
    เทศวันที่ 21 พฤษภาคม 2552 อ้างอิงจาก Luangta.Com - ��ǧ����Һ�� �ҳ���ѹ�
    <o>:p></o>:p>
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ต้องพิจารณาให้ดี พระท่านกำลังชี้อะไร จากบทข้างล่างนี้ กำลังบอกว่า เมื่อทำอสุภะได้
    ก็ปรากฏว่าเห็นความว่าง แต่ความว่างที่ได้จากเจโตวิมตติอสุภะกรรมฐานนี้ยังไม่ว่างจริง
    พระท่านใช้คำว่า ก็มีคนหนึ่งไปยืนในห้องว่างต่างหาก ดังนั้น ต้องมองย้อนมาที่จิตตนที่เห็น
    ความว่าง ถึงจะเกิดปัญญาวิมุตติ

    แล้วก็กล่าวต่อด้วยว่า ใครที่ยึดเอาผลของอสุภะกรรมฐานที่ไปเห็นห้องว่าง แล้วยึดว่าว่าง
    แบบนั้นคือการเห็นแบบหมา แบบลิง คือไปเห็นความว่างก็ยึดเอามาเล่นไปเสียหมด แทน
    ที่จะดูย้อนไปว่า ก็ตัวเองนั้นแหละเข้าไปขวางในห้องว่าง มีแต่เจโตวิมุตติ แต่ยังไม่มี
    ปัญญาวิมุตติ (ยังไม่เป็นแบบคน )


    แล้วพระท่านก็สอนว่า หากจะดูอย่างคนทำอย่างไร ก็เน้นว่า จริงๆแล้ว โลก(รูป-นาม) มัน
    ไม่ได้ว่างจริง มันเต็มไปด้วย อกุศลมูลจิตจนคับแคบตีบตัน ต่างหาก นี่คือ การชวนให้มอง
    ตามความเป็นจริง ให้ออกมารู้ทุกข์ พิจารณาทุกข์ ไม่ใช่ไปยึดผลว่างที่ได้จากฌาณมา
    เป็นผลเล่นเอาเถิดแบบหมา แบบลิง


    ซึ่งเมื่อเห็นอย่างนี้ ไปเห็นความว่างที่ปรากฏในฌาณทั้งหลาย ไม่ว่าจะด้วยกรรมฐานอะไร
    แม้แต่สติปัฏฐาน4 ไปเห็นความว่างใดแล้ว ให้มองย้อนมาที่จิตที่ไปเห็นความว่างนั้น ให้รู้
    ว่าจิตกำลังยึดถือความว่างนั้น ก็จิตนั้นแหละขวางความว่างอยู่ ไปเห็นว่าเที่ยง ก็ให้วาง
    จิตนี้ลงเสีย ทวนกระแสเห็นจิตที่เห็นความว่างนั้นอีกที คราวนี้ก็เกิดการ ว่างลงหมด ว่าง
    จากจิต ที่หยังลงรูปนามความว่างอยู่ นั้นลงด้วย จึงปรากฏธรรมหนึ่ง พระนิพพาน

    ใครก็ตามที่มีแต่เจโตวิมุตติ แล้วสำคัญว่าว่าง คือ เห็นจิตเที่ยง เป็นมิจฉาทิฏฐิ

    จะต้องมองย้อนมาที่จิตที่ยึดถือเจโตวิมุตตินั้น ทวนกกระแสดูผู้รู้ที่ไม่เที่ยง จึงจะถึง
    ฝั่งอันเป็น ปัญญาวิมุตติ ได้

    ตรงนี้ต้องอ่านให้ดี ฟังให้เข้าใจ อย่าลักลั่นคิดว่า เป็นการกล่าวไม่ให้ทำสมถะ
    กรรมฐาน แต่ให้ทำ ทำให้สำเร็จ จะฌาณชั้นไหนก็ตามแต่ ทำแล้วเอาให้สำเร็จ
    สำเร็จแล้วย่อมเห็นความว่างชนิดนั้นๆ เห็นแล้วอย่า ยึดมั่นถือมั่น ให้ปล่อยวางลง
    อีกครั้ง เพื่อให้จิตทวนกระแสเห็นจิตที่ยึดถือความว่างอยู่ ก็จะเห็นจิตที่เกิดดับตาม
    ความเป็นจริง

    "....ธรรมอันเดียวที่ทำให้เข้าถึงที่สุดแห่งพระนิพพาน คือ การไม่ยึดมั่น
    ถือมั่นในธรรมทั้งปวง" พุทธดำรัสตรัสตอบแก่ ท้าวสักกะ

    "....ก็เธอได้ใช้แพนั้น ข้ามโอฆะมาได้ และเธอรู้ชัดว่า แพนั้นได้มาส่งเธอถึง
    ฝั่งแล้ว เธอจะยืนอยู่บนแพ หรือ เดินขึ้นฟั่ง แล้วมองย้อนที่แพที่อยู่ในน้ำ
    หรือว่า เธอจะทูลเอาแพไว้บนหัวไปตลอดเล่า" พุทธดำรัสตรัสแก่พระอานนท์

    * * * *

    นักดูจิต หากไม่เคยทำสมาธิ ทำฌาณมาก่อน ฌาณที่จะเป็นเครื่องอยู่ ที่จะได้
    มาเองคือ อากาสาวิญญตนะ(ระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจ ) หรือ วิญญาณัญจายตนะ
    (ระลึกเห็นอยู่ทีอาการรู้ - มักใช้คำว่า ชำเลือง ) ส่วนฌาณสูงกว่านี้จะเป็น
    เรื่องของคนมีปัญญาอินทรีย์จะไปเห็นได้ -- ซึ่งเมื่อจิตนักดูจิตมาวนเวียนหมุน
    รอบในวิหารธรรมเนืองๆ แล้ว พระก็จะสอนให้ ดูผู้รู้ไม่เที่ยง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2009
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เมื่อเห็นวิธีการย้อนดูจิตผู้รู้ไม่เที่ยงแล้ว ก็ต้องทำการเห็นเรื่อยๆ ใช่ว่าเห็นแค่ครั้งเดียวแล้ว
    จะเกิดปัญญารอดพ้นบ่วงมารไปได้

    เมื่อเกิดไปเห็นความว่างที่ได้จากกรรมฐานแล้ว ให้แย๊บเรื่อนๆ คือ ดูจิตผู้รู้ที่ยึดถือความว่าง
    นั้นเรื่อยๆ ต้องมองเรื่อยๆ เพราะมันจะไม่ยอมวางจริง พอถึงที่สุด จนจิตยอมรับการเห็นทุกขสัจจ
    (พระท่านใช้คำว่า มันออกไป ก็แย็บมัน ตีหัวมัน) จิจจึงตัดสิน(เกิดปัญญา) ก็รู้ว่าไม่ควรยึดถือจิต
    เพราะจิตนั้นไม่มีทางว่างในการทำหน้าที่รู้ เมือนั้นจิตก็จะไปเป็นธรรมธาตุ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในจิตอีกต่อไป

    ...ตรงนี้ต้องดูให้ออกอีกต้องเข้าใจว่า ตอนนี้เป็นธรรมธาตุแล้ว แต่เนื่องจากธรรมธาตุนั้น
    เราจะไม่เติมบัญญัติและมันเป็นสภาพพ้นบัญญัติ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร จะไปนิยามก็ไม่ได้
    จึงอนุโลมหยิบคำว่า จิต กลับมาใช้ แต่ต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่ จิต ที่เคยเห็นแบบเดิมๆ อย่า
    ให้ ภูมิธรรมเดิมๆ มาขวางการพิจารณาโดยแยบคาย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2009
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ นิวรณ์ ผมบอกตามตรงนะ

    สิ่งที่คุณพูดมันยังอยู่ใน ความหยาบของอารมณ์

    เพราะว่า มันกระทำตอนที่อารมณ์หยาบ

    ในส่วนละเอียดนั้น มันไม่ใช่จะมาดูจิต แบบที่พูดกันหรอก
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็นี่แหละครับการดูอย่างละเอียด จากการปฏิบัติ
    ไม่ใช่การนั่งคิด หากคุณมองไม่เห็น ก็แปลว่า
    ไม่เคยทำ ไม่เคยปฏิบัติตามจริง
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    เมื่อไร คุณจะเลิกพูดว่า คนอื่นไม่รู้เท่าตน คนอื่นไม่เคยทำเหมือนตน คนอื่นไม่เคยปฏิบัติจริง

    คุณนิวรณ์ มีคุณคนเดียวหรือครับ ที่เห็นจริง

    ขนาดเอาคำหลวงตามหาบัวมาให้คุณอ่าน คุณก็ไปตีความเอาเข้าทางของ พระปราโมทย์ และวิธีการของคุณ

    ผมยกมาให้อ่าน เพราะเห็นว่า เถียงกันว่า จิตเจ้าของนั้นเที่ยงหรือไม่เที่ยง หลวงตาท่านก็บอกแล้ว

    คุณเอาวิธีดูจิตมาจับ คุณนิวรณ์ นั่นมันภูมิอรหันต์นะครับ คุณเอาภูมิอะไรของคุณไปบอกว่า หลวงตาท่านหมายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ตามแบบฉบับดุจิตคุณ
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คุณก็เลิกติด สัญญาที่เข้าใจผิดเรื่องดูจิต ในแบบมุมมองของคุณลง

    แล้วก็กลับไปอ่านดูใหม่เถอะว่า พระท่านสอนให้ศึกษาจิต พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับจิต ใช่หรือไม่ใช่

    แล้วก็กลับไปทบทวนหหน่อยเถอะ หากธรรมที่คุณเอามาแสดงนั้น พระท่านไม่ได้พูดเพื่อให้
    คนธรรมดาสามารถพิจารณาทางธรรมได้ มีแต่อรหันต์เท่านั้นที่จะรับฟัง สดับได้ พระท่านจะ
    แสดงธรรมออกมาทำไมโดยไม่ก่อประโยชน์กับคนธรรมดาหละ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้อ ขอบอก เทรนด์หน่อยนะว่า ตอนนี้ มส. เขาเน้นธรรมโฆษณ์โดยวางหลัก
    การชัดเจนว่า

    ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่นั้น ไม่ใช่ กริยาของชาวพุทธ

    ชาวพุทธนั้น ไม่เชื่อ ต้องเข้าวิจัยธรรมด้วยตัวเอง

    ไม่เชื่อลอง หาหนังสือของ ท่าน ปอ.ปยุตต ปยุตโต มาอ่านก็ได้

    หรือจะลองฟังพระนักเทศน์ที่เก่งๆ ก็ได้ ตอนนี้จะ เน้นพูดสโลแกนเดียวกัน

    เมื่อสองสามวันก่อน ก็รู้สึกว่า สถานณีโทรทัศน์ ก็สนองนโยบายด้วย รู้สึก
    จะเป็นช่อง 3
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ นิวรณ์ หลวงตาท่านพูด เป็น แนวทางให้คนปฏิบัติ รวมถึง พระที่กำลังเดินทางว่า ปลายทางเป็นแบบนั้น ท่านเปิดออกให้ฟัง
    และเป็นย้ำว่า ท่านหมดกิจแล้ว ให้คนเดินตามที่ท่านเคยพร่ำสอนในปฏิปทาตามแบบของท่าน และให้เป็นแบบอย่างเชื่อมั่นได้ว่า นิพพานนั้นจริงแท้แน่นอน คุณอย่าเอาไปเหมารวมว่า ท่าน เอาไว้ให้คนทั่วไป มองแบบดูจิต ตามแบบที่คุณคิดสิ

    คุณ ไปเรื่อยๆ แบบนี้ ไม่ถูกต้อง ส่วนเรื่อง สัญญาที่ผมมีเกี่ยวกับการดุจิต มันไม่ใช่สัญญา มันคือ ข้อเท็จจริง ที่ผมยกคถามมาตั้งมากมาย แต่คุณไม่ตอบให้ชัดเจนสักเรื่อง นอกจากนี้ ยังมีหมู่มิตร ที่เขาได้ข้อเท็จจริงมา ว่า การดุจิตนั้นผิดพลาด ก็มี
    คุณควรจะฟังคนอื่นได้แล้วว่า อะไรคืออะไร
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้อ แล้ว เลิกโยงผมไปที่พระท่าน ด้วยอคติคุณที่มีต่อพระท่านสักที

    จะเอาผมมาเป็นเครื่องมือโจมตีพระท่านทำไม

    ผมปฏิบัติอะไร ก็ย่อมอยู่ที่ผม ไม่เห็นจะไปเกี่ยวอะไรกับพระท่านเลย

    นี่ถ้าคุณขันธ์รู้ว่า ผมปฏิบัติอะไร อย่างไร ละเอียด ผิดตรงไหนก็รู้
    ไหนลอง แสดงรายละเอียดให้ผมดูหน่อยสิครับว่า คุณรู้อะไรบ้าง

    หากอันไหนคุณรู้ไม่ตรง เดี๋ยวผมบอกให้ว่า ไม่ตรงกับที่ผมทำอยู่ตรงไหน
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คือ
    ทางมีองค์แปด ประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย
    ทางนี้เท่านั้นเพื่อความหมดจดแห่งทัศนะ ทางอื่นไม่มี
    เพราะเหตุนั้นท่านทั้งหลายจงดำเนินไปตามทางนี้แหละ
    เพราะทางนี้เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลง
    ด้วยว่าท่านทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

    เป็นทางที่ประกาศความรู้อันสูงสุด
    พึงทราบได้ด้วยการเห็นด้วยปัญญา
    เป็นทางหลุดพ้นของสัตว์ทั้งหลาย นี้เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์

    “อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แลเป็นพรหมจรรย์
    ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์.

    ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่าอมตะ
    อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แลเรียกว่าทางที่จะให้ถึงอมตะ”.

    ;aa24
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    เกี่ยวสิ เพราะว่า ผมฟังคำสอนของ พระปราโมทย์แล้ว มันผิด แต่ไม่ใช่ว่า ส่วนถูกไม่มี แต่มันผิดในหลักใหญ่ และ ความเข้าใจผิดของพระปราโมทย์ อันคุณได้รับการถ่ายทอดมา อีกที

    สำหรับคุณ ปฏิบัติอะไร ผมจะไปทราบกับคุณได้อย่างไรหละครับ ผมไม่ได้มีญาณส่งไปดุได้ว่า ใครเป็นอย่างไร

    ผมบอกได้แต่ ธรรมของคุณผิด ไม่ตรง ข้อนี้คุณน่าจะสังเกตุตนเองให้มาก
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้อ คุณขันธ์ ผมขอชี้แจงหน่อยนะ

    จะเห็นว่า ตอนแรกๆ ในกระทู้นี้ ผมไปคัดเอาข้อความของคุณมาโดดๆ ใช่ไหม

    พอทำอย่างนั้น คุณก็ ข้อร้องให้ผม คัดมาใหม่ โดยให้มีที่มาที่ไปด้วย

    หลังๆ ผมจึง เอาที่มาที่ไปด้วย คือ เอาคำสนทนาของคนที่คุณกำลังสอนธรรมมาแสดงด้วย

    แต่ผมแปลกใจว่า......ทำไม คุณไม่พอใจอีก ทั้งๆที่ทำให้ตามที่ขอร้องแล้ว

    แล้ว หนำซ้ำ ยังมาบอกอีกว่า ผมทำก็เพื่อ ยุให้คนทะเลาะกัน

    ไม่ใช่นะ ผมก็แค่ยกมาแสดง แล้วก็ยกมาแสดงแบบมีคู่กรณีด้วย ตามที่คุณขอร้องให้ทำ
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ นิวรณ์ เรื่องเก่าแล้ว คุณกระโดดไปทำไม ไม่ต้องไปสนใจ สนใจแต่ธรรมเฉพาะหน้าสิ คุณกำลังถกกับผมเรื่องนี้ กระโดดไปเรื่องเก่าทำไม
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้าว แล้วกัน ตกลงไม่รู้ว่า ที่แท้จริงผมปฏิบัติอะไรอย่างไร มีอะไรเป็นเครื่องอยู่
    มีอะไรเป็นอุบายธรรมในการพิจารณา มีอะไรเป็นข้อศีลวัตร แล้วคุณมาตำหนิผม

    โดยที่เอาผมไปจับโยงกันกับสัญญาความจำ เรื่องการปฏิบัติของพระปราโมทย์
    เท่าที่คุณคิดได้ เห็นได้แค่นั้นเองเหรอ

    ตกลง คิดเอง ทั้งหมด ว่างั้น

    อืม...ตามสบาย ไม่ว่ากัน เรื่องธรรมดา
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ใจของคุณ มันไปไวนี่ ผมถึงบอกให้คุณ หยุดหมายรู้ไง
    มองอะไรให้มองแค่ ตื้นๆ เอาตื้นๆ แล้วให้มันตกไป แค่นั้น
    ฝึกบ่อยๆ จิตคุณจะได้ไม่วิ่งไป เอาให้เป็นนิสัย

    ไม่เช่นนั้นแล้ว ใจคุณมันไปตามนิสัยที่เคย จนกลายเป็น รู้ไปทั่ว แต่ผิด ไม่ตรง
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ นิวรณ์ คุณเอาใจจ่อให้นิ่ง แล้ว ทำความเข้าใจให้ได้ว่า เราพูดกันเรื่อง ธรรมที่ผิดของคุณ เมื่อเป็นธรรมที่ผิด คุณพูดมาผิด
    เอาเฉพาะตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องไปดูข้อวัตรต่างๆ
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    โถ...

    เล่นมุขเดิม ให้หยุดพูด หยุดพูด หยุดคิด คือ หยุดกิเลส

    เอาเหอะ ตามสบาย ทำอะไรไม่ถูก ก็เล่นมุขเดิม

    ผมว่านะ แทนที่คุณขันธ์จะมานั่งยั่วคน แล้วฉวยภาพ พาดูปัจจุบันแบบนี้นะ

    ไปเปิดกระทู้แบบพี่ศรี สอนการทำสมาธิ อย่างที่หลุดปากว่าเข้ามาสอนดีกว่า

    ที่ผมยกกระทู้คุณมาแสดง แทบจะหาไม่ได้เลยว่า อันไหนคือการสอนการทำสมาธิ
    ตามที่คุณอ้างว่า เข้ามาในห้องอภิญญา ก็เพื่อมาสอนการทำสมาธิให้กับเพื่อนๆ

    หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

    เท่าที่นึกได้ก็นู้น ตอนคุยกับคุณขุนพล กับ นักบุญอีสาน เมื่อปลายปีที่แล้วนู้น
    นอกนั้นไม่เคยเห็นเลย

    นะครับ ทำแบบพี่ศรี ดีกว่าเยอะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...