ตราบใดที่ยังยึดถือว่า สายการปฏิบัติ "ของกูดีที่สุด" ตราบนั้นกิเลสยังท่วมหัว

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 มีนาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,538
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    338326920_562002035920927_3594937466003015189_n.jpg

    แต่ขอให้เชื่อเถอะ..เรื่องของการปฏิบัติธรรมนี่คุยกันไม่ได้หรอก กิเลสคนมีมาก..คุยกันเมื่อไรก็ "สายกูดีที่สุด" พูดง่าย ๆ ก็คือว่า โอกาสที่จะสัมมนาเกี่ยวกับวิปัสสนากรรมฐานให้ครบทุกสายโดยที่ไม่ "วางมวย" กันนี่น้อยมาก กระผม/อาตมภาพเองก็ยังแปลกใจว่า กรรมฐานทุกสาย ต้องบอกว่าเป็นสายของพระพุทธเจ้า ในเมื่อกรรมฐานเป็นสายของพระพุทธเจ้า แล้วทำไมถึงต้องมาเถียงกันด้วย ?

    บรรดาสายการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ อย่างในปัจจุบันของเรา ก็จะมีสายวิสุทธิมรรค ที่ใช้การภาวนาพุทโธเป็นหลัก ก็คือสายพระป่าของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สายนามรูปของวัดปราสาททอง จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นหลัก สายพองยุบของวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันสายนี้มีผู้ปฏิบัติมาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า พระนิสิตหรือว่าญาติโยมที่เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยทุกคน โดนบังคับให้ปฏิบัติตามสายนี้

    สายสัมมาอะระหัง ถ้าจะว่าไปแล้วก็คือการใช้อานาปานสติ ควบกับอาโลกกสิณและพุทธานุสติ ซึ่งปัจจุบันนี้พอหลวงป๋า (พระเทพญาณมงคล วิ. เสริมชัย ชยมงฺคโล) มรณภาพไป ก็ซา ๆ ลงนิดหนึ่ง เพราะว่าทางสายธรรมกายเองหาคนสอนให้เข้าถึงอย่างแท้จริงได้ยาก

    แล้วก็มีสายเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ สายมโนมยิทธิของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งลูกศิษย์พาเละ..! เพราะว่าไม่มีความสามารถอย่างแท้จริง แล้วก็โม้ไปเรื่อย จนกระทั่งกลายเป็นวลีติดปากให้คนอื่นเขาตำหนิได้ว่า "อย่ามโน" แล้วก็ยังมีสายอื่น ๆ อีก ที่มานอกทุ่งนอกท่าก็มี อย่างปัจจุบันนี้ก็มีสายสันติอโศก แล้วก็มีสายวัดนาป่าพง แล้วยังมีสายพุทธอิสระ

    แต่ขอให้เข้าใจว่า ในเรื่องของสายกรรมฐานนั้น ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวง ล้วนแล้วแต่มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น บรรดาเจ้าของสายต่าง ๆ ที่เป็นสายหลัก ก็เหมือนอย่างกับบุคคลที่เปิดร้านอาหาร ตนเองชำนาญในการทำอาหารแบบไหน ก็ทำอาหารแบบนั้น ถ้าหากว่าลูกค้ามากินแล้วถูกปากถูกใจ ก็กลายเป็นลูกค้าประจำกัน เมื่อลูกค้าประจำมีมาก ก็กลายเป็นสายกรรมฐานขึ้นมา

    คราวนี้บรรดาต้นสายท่านไม่ได้มีปัญหา เพราะท่านรู้ว่าเรียนมาจากพระพุทธเจ้า ไปมีปัญหาตรงลูกศิษย์ที่กิเลสมาก ถึงเวลาก็ไปทะเลาะเบาะแว้ง งัดข้อกัน ปฏิบัติธรรม แทนที่จะ ลด ละ เลิก กิเลสให้น้อยลง ก็กลายเป็นพอกพูนกิเลส ว่าต้องสายของกูเท่านั้นถึงจะดีที่สุด

    ถ้าใครบอกว่าอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งดีที่สุด ย่อมเป็นไปได้ยาก เพราะความชอบของคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบกินแกงเผ็ด บางคนเอาแค่แกงส้ม บางท่านก็ต้องต้มยำ บางคนก็ผัด บางคนก็ทอด บางคนข้าวจ้าวไม่เอา เล่นแต่ข้าวนึ่งข้าวเหนียวอย่างเดียว บางคนกินก๋วยเตี๋ยวก็อยู่ได้ หรือไม่ก็อย่างคนจีนเป็นพันล้าน ที่กินบะหมี่เป็นหลัก แล้วเราจะไปบอกว่า อาหารอย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

    แต่ว่าบรรดานักปฏิบัติธรรมก็มักจะไม่ค่อยคิดถึงตรงจุดนี้ จึงมีการไปงัดข้อกัน "ต้องของกูเท่านั้นถึงจะดี" "ต้องของกูเท่านั้นถึงจะใช่" จำเอาไว้ว่า..ตราบใดที่ยังมีของกูอยู่ ตราบนั้นกิเลสยังท่วมหัว ต่อให้คิดว่าของกูดีกว่า ของกูเสมอเขา หรือของกูแย่กว่าเขา ก็ยังคงยึดคำว่า "ของกู" อยู่นั่นเอง

    ดังนั้น...ตรงจุดนี้โอกาสที่จะสัมมนาแล้วเกิดผลดี ย่อมเป็นไปได้ยาก ก็ต้องรอก่อนว่า ตอนสัมมนาแล้วแต่ละท่านแสดงความเห็นว่าอย่างไร แล้วกระผม/อาตมภาพก็คงต้องทำหน้าที่ประนีประนอม ค่อย ๆ ประสานกันเข้าไป

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    ที่มา : www.watthakhanun.com
    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...