ติดตามสถานะการณ์

Watchers





#ข่าวภัยพิบัติ #ออสเตรเลีย
// พบผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมในออสเตรเลีย //
05/02/19
ทาวน์สวิล – พบศพ 2 ศพในพื้นที่น้ำท่วมทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียในวันอังคารนี้ ขณะที่ฝนยังคงตกหนัก ทำให้ทางการออสเตรเลียต้องประกาศเตือนให้ระวังน้ำท่วมฉับพลันระลอกใหม่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสันลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบศตวรรษ บ้านเรือนหลายพันหลังถูกน้ำท่วม สนามบินและสถานศึกษาปิดทำการ และมีรถยนต์จมอยู่อยู่ใต้กระแสน้ำ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเห็นใจบรรดาครอบครัวที่สูญเสียบ้านเรือน รายงานระบุว่า ในเมืองทาวน์สวิลมีประชาชนกว่า 650 คนต้องพยพออกจากบ้านเรือน และมีบ้านเรือนราว 11,000 หลังที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ในวันนี้ ตำรวจรายงานว่า พบร่างผู้เสียชีวิต 2 คนในเมืองทาวน์สวิล หลังออกตามหาชาย 2 คนที่มีรายงานสูญหาย

เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาในรัฐควีนส์แลนด์กล่าวว่า จะยังคงมีฝนตกหนักต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันข้างหน้าและจะลดลงในช่วงสุดสัปดาห์ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน มุขมนตรีรัฐควีนส์แลนด์เตือนประชาชนไม่ให้ลงว่ายน้ำ เนื่องจากเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากจระเข้.
เครดิต :mcot #Watchers

 

Watchers

#ข่าวภัยพิบัติ
// หิมะตกหนักในสหรัฐ รถยนต์ถูกทิ้งตามท้องถนนเพียบ //

05/02/19
สหรัฐ 5 ก.พ. - พายุหิมะโหมกระหน่ำหลายพื้นที่ในสหรัฐ ส่งผลให้รถยนต์จำนวนมากถูกทิ้งตามท้องถนน เนื่องจากคนขับไม่สามารถขับต่อไปได้

รัฐวอชิงตัน ของสหรัฐกำลังเผชิญกับพายุหิมะที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างหนัก สภาพอากาศที่หนาวจัด ประกอบกับหิมะท่วมสูง ส่งผลให้โรงเรียนหลายแห่งต้องหยุดการเรียนการสอน ที่นครซีแอตเทิล รถยนต์จำนวนมากถูกทิ้งอยู่ตามท้องถนน เนื่องจากคนขับไม่สามารถขับต่อไปได้ รวมทั้งมีรายงานว่าเกิดอุบัติเหตุตามท้องถนนหลายราย



ที่ท่าอากาศยานซีแอตเทิล-ทาโคมา หรือซีแทค หิมะท่วมสูงถึง 3 นิ้ว เจ้าหน้าที่ต้องเร่งเอาน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามเครื่องบินออกก่อนทำการบิน ส่วนการยกเลิกเที่ยวบินยังมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น คาดว่าพายุหิมะจะยังคงโหมกระหน่ำติดต่อกันอีกสักระยะ
เครดิต : mcot
#Watchers

 

Watchers

#โรคระบาด #อินเดีย
// ผู้ติดเชื้อไวรัส H1N1 ในนครหลวงอินเดียเพิ่มเป็นกว่า 1,000 ราย //

05/02/19
นิวเดลี – ทางการกรุงนิวเดลีของอินเดียเปิดเผยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ในเขตกรุงนิวเดลียังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 11 ราย และมีผู้ติดเชื้อถึงกว่า 1,000 ราย

รายงานของทางการกรุงนิวเดลีระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1เป็นจำนวนถึง 1,011 ราย แต่รายงานไม่ได้เปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตในปีนี้ ขณะที่โรงพยาบาลรัฐบาล 3 แห่งยืนยันพบผู้เสียชีวิตแล้ว 11 ราย นับได้ว่าปีนี้เป็นปีที่พบการระบาดอย่างรุนแรง ขณะที่เมื่อปีที่แล้วพบผู้ติดเชื้อเพียง 205 ราย และมีผู้เสียชีวิต 2 ราย

รายงานระบุว่า เมื่อนับถึงวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ 512 ราย และเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ทางการกรุงนิวเดลีได้สั่งการให้โรงพยาบาลทุกแห่งเตรียมพร้อมรับมือการระบาดแล้ว.-
เครดิต : mcot news
#Watchers

 

Watchers


(05/02/19)
แผนที่อากาศจากกรมอุตุฯ แสดงความกดอากาศระดับผิวพื้น 19:00 หัวค่ำที่ผ่านมา

 

Watchers


#Earthquake
05/02/19
เวลา 20:44 น. ตามเวลาไทย
แผ่นดินไหว ขนาด 3.7
NORTHERN SUMATRA, INDONESIA
ห่าง Banda Aceh 98 กม.
พิกัด 4.67 N ; 95.36 E
ความลึก 58 กม.
https://m.emsc.eu/earthquake/earthquake.php?evid=743059
#Watchers

 

Watchers

#Earthquake
วันที่ 5 ก.พ. 2562
เวลา 23:47 น. ตามเวลาประเทศไทย

แผ่นดินไหวขนาด Northwestern Kashmir
ประเทศอินเดีย
พิกัด (35.02°N,74.18°E)
ขนาด 5.5 ความลึก 50 กม.
Macroseismic Intensity = V Effects: Strong Shaking
https://m.emsc.eu/earthquake/earthquake.php?evid=743099
#Watchers

 

Watchers

#SUN ACTIVITIES
05/02/19
LOOK ! พื้นที่ขั้วโลกเหนือของดวงอาทิตย์แสดงจุดสว่างขนาดใหญ่ (ด้านไกลโลก) ซึ่งอาจมีคุณสมบัติเป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลาเกือบหนึ่งวัน
ไม่รู้ว่า STEREO มีแผนที่แม่เหล็กที่สามารถแสดงให้เห็นว่าขั้วนี้เป็นวงจรวัฏจักรไซเคิลเก่าหรือใหม่



ปกติ จุดสว่างในขั้วโลกเหนือ หรือขั้วโลกใต้จะเกิดขึ้นได้ยากนะครับ อันนี้ถือว่าหายากเหมือนกัน แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ในละติจูด เหนือและใต้ 30°-40° เมื่อวงจรวัฏจักรของดวงอาทิตย์ใกล้ถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง (ตามทฤษฏี)

เครดิตภาพ : halocme
#Watchers

 

Watchers

#สภาพอากาศโลก
05/02/19
สภาพการเปลี่ยนแปลง
วันอังคาร ที่4 กุมภาพันธ์ 2019:
น่าอัศจรรย์ว่าวันที่ 4เดือนกุมภาพันธ์สามารถทำอะไรกับน้ำตกใน #WNYได้ขนาดนี้ : (นี่คือคำอธิบายจากคลิปที่ลงไว้ครับ) ลมหนาว(wind chill )อุณหภูมิ-10 °F(-23.3°C )

สถานที่ Buttermilk Falls / LeRoy, NY)
Credit video: John Kucko
#Watchers

 

Watchers

#ClimateChange
05/02/19
การอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว

สถานที่ที่บันทึกอุณหภูมิต่ำเป็นประวัติการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำสถิติสูงสุดเมื่อวานนี้ ในสหรัฐอเมริกา

แกว่งไป 40 ถึง 70 °F ! (4.4 ถึง 21 °C)
หน่วยในภาพ: ฟาเรนไฮต์
Cr: Weather channel
#Watchers

 

Watchers


#ClimateChange
05/02/19
ประเทศ ชิลี ก็ได้เห็นอุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ด้วยเช่นกัน

ใน #MeteochileBlog พิมพ์รายงานอุณหภูมิสูง ในชิลี แต่อุณหภูมิทำลายสถิติใหม่เมื่อวานนี้ 03/02 ใน#Valdivia, #Osorno, #PuertoMontt,#PuertoAysén, #Balmaceda และ#PuertoNatales
เครดิต : meteochile
ผ่าน : WMO | OMM
#Watchers

 

Watchers

#ClimateChange
05/02/19
ข่าวเล็กๆที่ดูธรรมดาๆ แอดอ่านไปอ่านมา ไม่ธรรมดาแฮะ..
Patagonia ทางตอนใต้ของอาร์เจนตินาได้เห็นอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ถึง 35.6 ° C ที่ Perito Moreno ซึ่งเป็นที่ตั้งของธารน้ำแข็งชื่อดังระดับโลก

Cr: The World Meteorological Organization(UN) @ WMO | OMM และ SMN_Argentina
#Watchers

 

Watchers


#สภาพอากาศโลก
05/02/19
* พายุทอร์นาโด.รายงานใน Colony Marangatu - Canindeyu, ประเทศ #ปารากวัย
เมื่อวานนี้วันที่ 4 กุมภาพันธ์
รายงาน: Meteorology PY
Via: severe-weather.EU
#Watchers

 

Watchers

ยาน Juno ซูมผ่านดาวพฤหัสบดีอีกครั้ง วิดีโอนี้มาจาก perijove 16 ซึ่งเป็นครั้งที่สิบหกที่จูโน่ผ่านมาใกล้ ดาวพฤหัส ตั้งแต่มาถึงกลางปี 2559
ประมวลผลโดย Gerald Eichstadt
(ลิงก์: http://ow.ly/G2ce50kAOHr)
#Space*#Jupiter

 

Global trend 2300

ทรัมป์ลดเครดิตนโยบายต่างประเทศของเดโมแครท
…………………………………………….
การแทรกแซงการเมืองของรัฐศูนย์กลางอย่างเพนตากอนนั้น กรณีการรับรองประธานาธิบดีรักษาการเวเนซุเอลา ฮวน กัวโดเป็นหมากตัวหนึ่งที่สำคัญในการเล่นกระดานหมากรุกโลกของทรัมป์ๆรับปากว่าจะจัดหนักสำหรับประเทศที่ซื้อขายน้ำมันกับคาราคัสเพราะได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรในปัจจุบัน
หากสังเกตก่อนหน้านี้ ปลายปีที่ผ่านมาทรัมป์ประกาศถอนตัวออกจากซีเรียดูแล้วเหมือนกับพ่ายแพ้แต่ได้รุกต่อละตินอเมริกาซึ่งน่าจะเป็นการโต้ตอบมอสโกกรณีซีเรีย
แต่ในกรณีเวเนซุเอลา คาดว่าเพนตากอนยังไม่ส่งทหารเข้าไปแทรกซึมหรือเผชิญหน้ากับคาราคัส เนื่องจากแตกต่างจากอิรัคที่กองทัพยังมีความภักดีต่อประธานาธิบดีที่ชอบธรรมของประเทศและวอชิงตันไม่มีทรัพยากรอย่างเพียงพอที่จะสู้รบ
โดยทั่วไปแล้วกองทัพสหรัฐฯมีความสามารถใช้กับประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศกึ่งทะเลทรายเช่นอิรัก แต่สำหรับเวเนซุเอลาภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาและป่าไม้และอาวุธที่ทันสมัยกว่านั้นไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้นทุกอย่างสามารถจบลงแบบสนามรบเวียดนามใหม่รัฐบาลฮาวาน่ารับปากว่าจะให้การช่วยเหลือรัฐบาลของนิโกลัส มาดูโรๆจึงให้ความมั่นใจว่าสนามรบเวียตนามกำลังกลับมานั้นหมายถึงการต้องใช้ทหารรับจ้างในการต่อสู้หากสหรัฐบุกเวเนซุเอลา
ในขณะที่รัฐบริวารในละตินอเมริกาอย่างโคลัมเบียและบราซิลแม้ว่าพวกเขาจะสนับสนุนสหรัฐ แค่การฑูต แต่ไม่กล้าจัดการทางทหารอย่างรัฐส่งออกยาเสพติด โคลัมเบียพึ่งเสร็จสิ้นสงครามกลางเมืองที่ดำเนินกว่าหลายปี ประชาชนเบื่อหน่ายการสู้รบ
บราซิลด้านการเมืองยังไร้ความมั่นคงและให้ความสนใจแก้ปัญหาเศรษฐกิจในขณะที่ เม็กซิโกซึ่งเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาครายใหญ่ก็เริ่มแสดงตัวตนไม่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยของรัฐบาลที่สหรัฐหนุนหลัง
จากตรงนี้เพนตากอนไม่สามารถใช้ภูมิรัฐศาสตร์ของแต่ละประเทศในแง่สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ได้ต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากและต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่แข็งแกร่งนับล้านกองกำลังเวเนซุเอลาน่าจะยากเกินไปสำหรับกองทหารสหรัฐฯที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกและไม่มีความเป็นไปได้ในการดำเนินการอย่างรวดเร็วในเวเนซุเอลา
เห็นตรงนี้น่าจะไปกดดันนาโต้เนื่องจากกองกำลังภาคพื้นดินของสหรัฐฯอยู่ในยุโรปกำลังพักผ่อนอยู่และนาโต้ป้องกันอะไรให้ยุโรปในเวลานี้ นั้นคือหมากที่สำคัญของทรัมป์ว่านาโต้แสดงให้เห็นถึงความไร้ประโยชน์สำหรับสหรัฐในกรณีเวเนซุเอลา
ดังนั้นทรัมป์ต้องการแก้ปัญหาอเมริกาใต้เพื่อคืนความสงบเรียบร้อย นั่นเป็นเหตุผลที่มีความชาญฉลาดกว่าโอบามาในนโยบายกลับบ้านตนเองที่ก่อให้เกิดการยอมรับในสภาคองเกรสโดยแผนยั่วยุวิกฤติในเวเนซุเอลาที่สามารถแพร่กระจายวิกฤติที่ทำให้เกิดลุกลามไปทั่วอเมริกาใต้ นั้นคือสิ่งที่สำคัญที่ทรัมป์ต้องการ
กลยุทธ์อเมริกาใต้ของทรัมป์นั้นไม่ธรรมดาอาจเป็นไปได้ว่าได้รับคำแนะนำจากกูรูระดับโลกด้านภูมิรัฐศาสตร์ อดีตเลขาธิการรัฐเฮนรี คิสซิงเกอร์ซึ่งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของทรัมป์ ตอนแรกนั้นอาจเป็นการลวงของทรัมป์ว่าต้องการเผชิญหน้ากับรัสเซียเพราะผิดหวังจากซีเรีย
แต่เมื่อประเมินการสู้รบภาคสนามแล้วกลยุทธ์ของเพนตากอนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงอย่างที่กล่าวมา ดังนั้นหมากของทรัมป์ต้องการลดเครดิตนโยบายแบบเดิมของเดโมแครทและโลกาภิวัฒน์ในสายตาผู้นิยมเดโมแครทและชาวโลกในผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์กรณี เวเนซุเอลา
และหากต้องการปกป้องสหรัฐ ทรัมป์จะต้องได้รับการสนับสนุนจากการเลือกตั้งปี2020และถอนตัวออกจากทวีปต่างๆมุ่งเฉพาะทวีปอเมริกาอย่างเดียวจะดีกว่า
ภายใต้การสนับสนุนโดยนักกลยุทธ์สายเหยี่ยวอย่างจอห์นโบลตันต่อไป เมื่อนั้นสามารถจัดระเบียบได้ในอเมริกาใต้รวมทั้งเวเนซุเอลา
การสนับสนุนของสหรัฐในยูเครนเพื่อประชิดชายแดนรัสเซีย เพนตากอนลงทุนไป5พันล้านเหรียญเพื่อซื้อเจ้าหน้าที่ระดับสูงยูเครนที่แอบอ้างประชาธิปไตยในการดำเนินกิจการต่างประเทศ
และในขณะที่รัสเซียปล่อยสินเชื่อเครดิตแก่เวเนซุเอลากว่า6พันล้านเหรียญ เพื่อรักษาดุลยภาพราคาน้ำมันในตลาดโลกและขยายอิทธิพลในอเมริกาใต้ในการต่อรองกับสหรัฐเป็นก้าวต่อไปที่ทรัมป์ต้องเผชิญในยุคป้องกันประตูหลังบ้านตนเอง

น้องตาย่า
……………..
ภาพจาก https://gdb.rferl.org/CBE8BF80-4D40...sqDc74_FcLZfSeFgoHs8Cib69jShG-_ahAsx-8nLl5XCk

 

In Clips: "เกาหลีใต้-สหรัฐฯ" ตกลงในหลักการ โซลยอมจ่ายเพิ่มเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ให้ทรัมป์คงทหารไว้ในประเทศต่อ เผยแพร่: 5 ก.พ. 2562 19:29 โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯแถลงเมื่อวานนี้(5 ก.พ)ว่า สหรัฐฯและเกาหลีใต้บรรลุข้อตกลงในหลักการในการร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายการประจำการของกองกำลังสหรัฐฯในเกาหลีใต้ พบโซลยอมอัดฉีดเพิ่มเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ในข้อตกลงแก้ไขมาตรการพิเศษที่มีระยะเวลาสั้นปีเดียว

รอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้(4 ก.พ)ว่า โฆษกหญิงกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯแถลงในวันจันทร์(4 ก.พ) มีเนื้อหาว่า "สหรัฐฯและเกาหลีใต้ได้บรรลุข้อตกลงในหลักการของข้อตกลงมาตรการพิเศษใหม่" และเสริมต่อว่า "ทั้ง 2 ฝ่ายมีพันธะร่วมกันในการหาทางออกปัญหาทางเทคนิกที่ยังคงค้างอยู่ให้เร็วที่สุด"

ซึ่ง CNN สื่อสหรัฐฯรายงานการโดยอ้างการให้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ โดยชี้ว่าภายใต้ข้อตกลงที่ได้รับการแก้ไข โซลจะยอมเพิ่มการจ่ายในส่วนของตัวเองเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์

โดยตามข้อตกลงปี 2014 ที่เพิ่งสิ้นสุดลงในปีที่แล้วกำหนดให้โซลจ่ายราว 960 พันล้านวอน หรือราว 848 ล้านดอลลาร์ต่อปีเป็นเวลานาน 5 ปีสำหรับการให้ทหารสหรัฐฯจำนวนราว 28,500 คนอยู่ในเกาหลีใต้

สื่อสหรัฐฯชี้ว่า ที่ผ่านมาประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องเพิ่มการร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตัวเลข 1.6 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯภายในชุดรัฐบาลของเขาวิตกว่า บางทีทรัมป์อาจตัดสินใจถอนกำลังออกมาจากเกาหลีใต้ระหว่างการประชุมซัมมิตครั้งที่ 2 ร่วมกับประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอึน ที่จะเกิดขึ้นภายในเดือนนี้

CNN รายงานว่า อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงแก้ไขมาตรการพิเศษนั้นไม่ใช่มาตรการทางออกระยะยาว แต่มีระยะเวลาการใช้งานแค่ 1 ปีเท่านั้น แต่ยังเปิดช่องไว้ให้สามารถขยายเวลาต่อไปได้อีก 1 ปี อ้างอิงจากแหล่งข่าวกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ

ซึ่งแหล่งข่าวสหรัฐฯที่ใกล้ชิดกับการเจรจาเปิดเผยว่า ทางเกาหลีใต้ได้เสนอตัวเลขเป็นดอลลาร์ออกมา และทางสหรัฐฯตอบตกลงสำหรับระยะเวลาแค่ 1 ปีเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าทั้งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯและเกาหลีใต้ต้องกลับมาที่โต๊ะเจรจาปัญหาเดิมอีกครั้งภายหลังในปีนี้ และการเจรจารอบใหม่จะเปิดโอกาสให้รัฐบาลสหรัฐฯของทรัมป์สามารถเรียกตัวเลขได้ใหม่อีกครั้ง

ด้านผู้เชี่ยวชาญต่างพากันชี้ว่า การที่ข้อตกลงมีอายุสั้นแค่ 1 ปี อาจเป็นแรงผลักดันทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯใช้การประจำการของกองกำลังสหรัฐฯในเกาหลีใต้เป็นไพ่สำคัญระหว่างการซัมมิตที่กำลังจะมีขึ้นกับผู้นำเกาหลีเหนือ

โดยผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้ชี้ไปถึงเหตุการณ์ความตกตะลึงไปทั่วโลกที่จู่ๆผู้นำสหรัฐฯออกมาประกาศหลังซัมมิตทรัมป์-คิม ถึงการยุติการร่วมฝึกซ้อมรบระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ โดยที่บรรดาที่ปรึกษาไม่รับทราบ

ไมค์ กรีน(Mike Green) อดีตผู้อำนวยการด้านกิจการเอเชียประจำสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯภายใต้อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้แสดงความเห็นว่า "พวกเกาหลีได้ทุ่มเม็ดเงินเพื่้อแก้ปวดหัวล่วงหน้าก่อนการประชุมซัมมิต" และกล่าวต่อว่า "แต่ไม่ได้หมายความว่า ทรัมป์จะไม่พูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับกำลังสหรัฐฯเกาหลี เพราะในแถลงการณ์ของเขาที่สิงคโปร์นั้นไม่ได้อยู่ในสคริปต์แม้แต่น้อย และสร้างความประหลาดใจต่อทีมงานของเขา"

และหากว่า "ข้อตกลงใหม่นี้" ไปได้ด้วยดี จะเป็นการลดอันตรายที่จะเกิดจากการที่ผู้นำประเทศสั่งถอนกำลังสหรัฐฯออกมาจากเกาหลีใต้ระหว่างการซัมมิตรอบ 2

ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์สหรัฐฯ CBS ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์(3) ยืนยันว่า เขาไม่แผนการถอนกำลังสหรัฐฯออกจากเกาหลีใต้แน่นอน พร้อมกับอ้างว่า "ไม่เคยแม้แต่จะหารือถึงการถอนออก" แต่ทรัมป์กล่าวว่า "บางทีอาจเป็นหนึ่้งในวันข้างหน้า" ที่เขาอาจถอนกองกำลังออกมา

"ผมหมายความว่า ใครจะรู้ แต่คุณรู้ไหมมันแพงมากที่จะคงกองกำลังไว้ที่นั่น" ทรัมป์กล่าว ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯจะเคยกล่าวไว้ว่า มีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าในการคงกองกำลังไว้ในเกาหลีใต้เมื่อเปรียบเทียบกับอยู่ในสหรัฐฯ

และ CNN สื่อสหรัฐฯยังได้ชี้ไปที่การให้สัมภาษณ์ของ สตีฟ บีกัน(Steve Biegun) ผู้แทนพิเศษสหรัฐฯด้านเกาหลีเหนือที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ไม่มีการหารือร่วมกับเกาหลีเหนือเรื่องการถอนกองกำลังสหรัฐฯออกจากเกาหลีใต้

"ทางเราไม่เกี่ยวข้องใดๆในการหารือทางการทูต นี่อาจเป็นผลดี แต่ไม่เคยมีการเจรจา"

อย่างไรก็ตาม บีกันกล่าวเตือนว่า รัฐบาลทรัมป์เตรียมพร้อมในการหารือมาตรการแผนปฎิบัติมากมายที่สามารถช่วยสร้างความมั่นใจระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯแถลงว่า บีกันจะเดินทางไปยังกรุงเปียงยางในวันพรุ่งนี้(6) เพื่อเตรียมการประชุมซัมมิตสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือรอบ 2

https://mgronline.com/around/detail/9620000012732

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Feb 6)สหรัฐเตรียมเพิ่มมาตรการตอบโต้หากกลุ่มประเทศพันธมิตรในยุโรปยังเพิกเฉยกับการทำการค้ากับหัวเว่ย : เจ้าหน้าที่จาก U.S. State Department กล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจเพิ่มมาตรการตอบโต้หากประเทศกลุ่มพันธมิตรเพิกเฉยต่อคำเตือนในด้านการทำการค้ากับบริษัท Huawei Technologies Co.

ทั้งนี้ นาย Andrus Ansip, European Commission Vice-President for Digital Affairs เคยเรียกร้องให้กลุ่มประเทศสมาชิกระมัดระวังในการค้ากับบริษัท Huawei ในเดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี บริษัท Huawei ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยเฉพาะเรื่องการจารกรรมข้อมูล พร้อมให้ความเห็นว่าการขึ้นบัญชีดำบริษัทสัญชาติจีนที่ต้องสงสัยในข้อหาจารกรรมข้อมูล โดยปราศจากหลักฐานที่แน่ชัด จะส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมโดยรวมและทำให้การพัฒนาเทคโนโลยี high–speed ต่างๆ ชะงักงัน

นอกจากนี้โฆษกประจำบริษัทกล่าวว่า กฎหมายมิได้บังคับให้บริษัทให้ความร่วมมือกับหน่วยข่าวกรองของรัฐบาล หากความร่วมมือดังกล่าวขัดแย้งกับสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของบุคคลและนิติบุคคล

Source :BOTSS

- US warns European allies not to buy ‘untrusted’ Chinese equipment from Huawei or ZTE for 5G networks: https://www.scmp.com/…/us-warns-european-allies-not-buy-unt…

- U.S. Signals to Allies That It Frowns on Any Huawei Partnerships: https://www.bloomberg.com/…/u-s-is-said-to-consider-reactio…

****************
"แมร์เคิล"หารือทีมงานสกัดหัวเว่ยล้วงความลับ

นายกฯ เยอรมนีแนะเฝ้าระวัง บ.จีน เตรียมคุยรัฐบาลเพื่อรับรองว่าหัวเว่ยจะไม่ส่งข้อมูลส่วนตัวให้ปักกิ่ง ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ

นายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิลของเยอรมนี แสดงปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยเคโอในกรุงโตเกียว วานนี้ (5 ก.พ.) ว่า ในเยอรมนีมีการถกเถียงกันมากเรื่องการใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จากจีน ที่ตอนนี้มีเสียงเรียกร้องหนาหูกีดกันไม่ให้บริษัทได้ขยายเครือข่าย 5 จีทั่วโลก

ถึงขณะนี้ เยอรมนีได้ใช้มาตรการเฝ้าระวัง ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกล่าวว่า ยังไม่พบหลักฐานหัวเว่ยใช้อุปกรณ์สืบราชการลับให้รัฐบาลปักกิ่ง แต่นางแมร์เคิลย้ำว่าจำเป็นต้องคุยกับปักกิ่งเพื่อให้มั่นใจว่า หัวเว่ยจะไม่ยอมส่งข้อมูลทั้งหมดที่ตนใช้ให้กับรัฐจีน ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเพื่อสร้างหลักประกันว่า “เมื่อคุณทำงานในเยอรมนี รัฐจีนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ใช้บนสินค้าจีนทุกชนิด”

หัวเว่ย โดดเด่นเรื่องสินค้าราคาถูกจึงเติบโตอย่างเงียบๆ กลายเป็นซัพพลายเออร์อุปกรณ์สำคัญให้กับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะในตลาดกำลังพัฒนา แต่ระยะหลังชาติตะวันตกปฏิเสธหัวเว่ยมากขึ้น เกรงว่าอุปกรณ์ของบริษัทนี้จะกลายเป็นม้าไม้โทรจันให้กับรัฐบาลปักกิ่ง เนื่องจากกฎหมายจีนกำหนดให้บริษัทของตนต้องร่วมมือกับหน่วยข่าวกรอง ซึ่งหัวเว่ยปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้ล้วงความลับใดๆ

อย่างไรก็ตาม นายกฯ เยอรมนีกล่าวว่า เรื่องความปลอดภัยของอุปกรณ์หัวเว่ยจะต้องอภิปรายและหารือกันต่อไป และต้องนำไปปรึกษากับสหรัฐด้วย ยิ่งจีนมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นย่อมหมายความว่า ความรับผิดชอบต่อระเบียบโลกก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย

นางแมร์เคิล แนะนำให้จีนเพิ่มบทบาทต่อระเบียบโลกด้วยเช่นกัน เช่น การเข้าร่วมในภารกิจของสหประชาชน ที่จีนมีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นทุกที

ถ้อยแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่นางแมร์เคิลเยือนญี่ปุ่นเป็นเวลา 2 วัน โดยเข้าพบนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ และเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต เมื่อวันจันทร์ (4 ก.พ.) และร่วมการเจรจาผู้นำภาคธุรกิจญี่ปุ่น-เยอรมนี ซึ่งระหว่างที่นายกรัฐมนตรี 2 ประเทศพบกันเมื่อวันจันทร์ ทั้งสองเห็นชอบเพิ่มความร่วมมือทวิภาคีให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ท่ามกลางกระแสกีดกันทางการค้าและความวุ่นวายเมื่ออังกฤษออกจากสหภาพยุโรป

Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/826258

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Feb 6) “ทรัมป์”ส่งสายเหยี่ยวก.คลังนั่งปธ.เวิลด์แบงก์ : การสรรหาประธานธนาคารโลก สถาบันโด่งดังที่สุดแห่งหนึี่งของโลก จะเริ่มขึ้นในวันพฤหัสบดี (7 ก.พ.)นี้ เป็นไปได้ว่าอาจได้คนอเมริกันมานั่งในตำแหน่งนี้อีกครั้งหนึ่ง

นับตั้งแต่ก่อตั้งมาหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ธนาคารโลกซึ่งมีฐานปฏิบัติการในกรุงวอชิงตัน มักได้ชาวอเมริกันเป็นผู้นำขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) นำโดยคนยุโรป เป็นข้อตกลงที่ไม่ได้เขียนไว้อย่างเป็นทางการแต่ได้รับการปฏิบัติเสมอมา

ตอนหลังประเทศตลาดเกิดใหม่เริ่มท้าทายธรรมเนียมปฏิบัตินี้มากขึ้น เรียกร้องให้กระบวนการสรรหาเปิดกว้างและใช้ระบบคุณธรรม พร้อมทั้งขอให้พวกตนได้มีปากมีเสียงมากกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าประเทศตลาดเกิดใหม่ยังเสียงไม่ดังมากพอคัดค้านคนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสนอได้ และทรัมป์เองก็ไม่มีทีท่ายอมยกตำแหน่งสำคัญระดับโลกให้ประเทศอื่น
เจ้าหน้าที่ผู้คุ้นเคยกับกระบวนการสรรหาเผยว่า ต้องรอจนกว่าคนที่ทรัมป์เสนอชื่อขาดคุณสมบัติหรือไม่ดีพอจนถูกคัดค้าน หรือไม่สามารถทำให้ประเทศตลาดเกิดใหม่หรือยุโรปเห็นพ้องได้นั่นล่ะ คนอื่นถึงจะมีโอกาส แต่ถ้ายุโรปไม่เอาคนที่สหรัฐเลือก ก็เท่ากับว่ายุโรปสูญเสียตำแหน่งผู้นำไอเอ็มเอฟที่โด่งดังกว่ามาก เมื่อคริสติน ลาการ์ด พ้นตำแหน่งไป

“นึกถึงการที่ประเทศกำลังพัฒนารวมตัวกัน ผนึกกำลังกันน่ะเหรอ ผมคิดไม่ออกหรอก เมื่อราว 6-8 ปีก่อนพวกเขาดูเหมือนจะรวมตัวกันแข็งขัน แต่ตอนนี้ไม่น่าใช่”ไซม่อน จอห์นสันอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ไอเอ็มเอฟกล่าว

ที่ต้องเลือกผู้นำธนาคารโลกกันใหม่ก็เพราะ จิม ยอง คิม ลาออกอย่างกะทันหัน มีผลวันที่ 1 ก.พ. ทั้งๆ ที่รับตำแหน่งสมัย 2 วาระ 5 ปีมาได้เพียงครึ่งทาง เมื่อจิมไปเสียอย่างนี้จึงเปิดโอกาสให้ทรัมป์เข้ามาจัดการธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งนี้ได้

หลังจากปรับโฉมการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ รวมไปถึงพันธมิตรเก่าแก่ ความสัมพันธ์ทางการค้า และศาลฎีกาสหรัฐ ตอนนี้ทรัมป์อาจมีโอกาสสร้างอิทธิพลว่าประเทศอย่างจีนจะเข้าถึงเงินกู้ของเวิลด์แบงก์ได้มากน้อยแค่ไหน

Source กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

เพิ่มเติม
- Whoever runs the World Bank needs a plan for emerging markets
https://www.ft.com/content/b6a1d4e6...AYIDCQ0ap-8aCR6XfvSpCCzHmJSFV5CmG4G3Elm6zEYSk

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Feb 5) เตรียมฟัง 'ทรัมป์' แถลง 'สภาวะแห่งรัฐ' และจับตาสัญญาณของสตรีพรรคเดโมเเครต : ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ มีกำหนดปราศรัยต่อที่ประชุมใหญ่รัฐสภาอเมริกัน และฝ่ายตุลาการเพื่อแสดงสภาวะแห่งรัฐฯ หรือ State of the Union ในคืนวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น

การแถลง State of the Union ซึ่งเปรียบเหมือนการแสดงผลงานและกล่าวถึงนโยบายประจำปีครั้งนี้ถูกเลื่อนมาจากวันที่ 29 มกราคม เนื่องจากผลต่อเนื่องของเหตุการณ์ปิดที่ทำการรัฐชั่วคราว หรือ government shutdown ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน โดยกินเวลาทั้งหมด 35 วัน เนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่สามารถตกลงกันได้กับประธานสภาผู้แทนราษฎร นางแนนซี พีโลซี จากพรรคเดโมแครตเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงตามแนวชายแดนสหรัฐฯและเม็กซิโก

เจ้าหน้ากล่าวว่าเรื่องความมั่นคงตามแนวชายแดนน่าจะยังคงเป็นหัวข้องหลักของคำปราศรัย State of the Union ของโดนัลด์ ทรัมป์ ปีนี้

เจ้าหน้าที่อาวุโสของทำเนียบขาวรายหนึ่งกล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ เตรียมที่จะกล่าวถึงจุดยืนของตนเรื่องคนต่างด้าวและความมั่นคงตามแนวชายแดน รวมถึงแผนส่งเสริมการจ้างงานชาวอเมริกัน

และน่าจะมีการพูดถึงความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน การลดค่าใช้จ่ายการประกันสุขภาพ ไปจนถึง ภาพรวมด้านกลาโหมและความพยายามที่จะยุติสงครามในต่างแดน “ที่ไม่มีวันจบสิ้น” เจ้าหน้าที่ผู้นี้กล่าว

สิ่งที่น่าจับตามองอีกประการหนึ่ง คือการที่สมาชิกสภาที่เป็นสตรีจะแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ร่วมกันที่งาน State of the Union ครั้งนี้ด้วย

จำนวนสตรีที่เข้าเป็นสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้วถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์

กลุ่มสตรีในสภาเตรียมใช้โอกาสนี้ ร่วมรำลึกการครบรอบการที่ผู้หญิงอเมริกัน มีสิทธิ์เลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1920

กล่าวคือกลุ่ม ส.ส. และส.ว. เดโมแดรตที่เป็นสตรีจะร่วมกันใส่เสื้อผ้าสีขาว เพื่อส่งสัญญาณร่วมกันเรื่องสิทธิสตรี

เมื่อปีที่แล้ว นักการเมืองสตรีพรรครีพับลิกัน ร่วมกันใส่เสื้อสีแดง ขาว และน้ำเงิน ตามสีธงชาติอเมริกัน แต่ปีนี้ยังไม่มีคำประกาศออกมา

พรรคเดโมแครตยังเตรียมที่จะตอกย้ำประเด็นเรื่องนโยบายคนต่างด้าวของประธานาธิบดีทรัมป์ ด้วยการเชิญ วิตอเรียนา มอราเลส (Victorina Morales) สตรีชาวกัวเตมาลาที่เข้าเมืองโดยไม่มีเอกสารรับรอง และเคยทำงานเป็นแม่บ้านที่สโมสรกอล์ฟของทรัมป์ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์มาร่วมงาน State of the Union ด้วย

นอกจากนี้พรรคเดโมแครตจะให้สเตซีย์ เอบรามส์ (Stacey Abrams) สตรีผิวสีที่ลงแข่งแต่ไม่ชนะในการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐจอร์เจียเมื่อปีที่แล้วเป็นผู้กล่าวตอบโต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์หลังจากที่เขาปราศรัย State of the Union อีกด้วย

Source: VOA Thai

เพิ่มเติม
- What to Watch For in Trump’s State of the Union Address:
https://www.nytimes.com/2019/02/05/...d2WpdPCFqo76M5WJfDmBXwqAAN_ETmpu3de4xZBSwGmeY

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Feb 5) ธุรกิจเอเชียคึกคักรับทรัพย์“วันเที่ยว”ชาวจีน: โรงแรม สายการบิน บริษัททัวร์เอเชียเตรียมการรับนักท่องเที่ยวจีนช่วงเทศกาลตรุษจีนสัปดาห์นี้ เมื่อผู้บริโภคไม่ยอมยกเลิกแผนเที่ยววันหยุด แม้เศรษฐกิจชะลอตัวและอนาคตก็ยังไม่แน่ไม่นอน

เว็บไซต์นิกเคอิรายงานอ้างข้อมูลจากบริษัททัวร์และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและญี่ปุ่น สองปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน ระบุยอดจองท่องเที่ยวช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้เพิ่มขึ้นแต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยยังบอกไม่ได้ต้องรอให้ผ่านวันหยุดไปก่อน

ด้านซีทริป เว็บไซต์ท่องเที่ยวใหญ่สุดของจีนเผยว่ายอดจองปีนี้ชี้ว่านักท่องเที่ยวเลือกแพ็กเกจทัวร์แบบอิสระที่แพงขึ้น มากกว่าการไปเที่ยวกับกรุ๊ปทัวร์ถูกๆ

ตอนนี้จีนกำลังถูกเศรษฐกิจซบเซารุมเร้า หนี้สินบริษัทเพิ่มสูง การส่งออกได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ปีก่อนยอดขายรถใหม่ลดลงครั้งแรกในรอบ 28 ปี แต่ผู้บริโภคจีนก็ยังกระหายอยากได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ

คาดว่าปีนี้ชาวจีนจะเดินทาง 400 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 386 ล้านคนในปี 2561 ซีทริปคาดว่า คนจีนจะไปเที่ยวต่างประเทศราว 7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากราว 6.5 ล้านคนเมื่อปี 2561

โฆษกซีทริปเผยว่า ในบรรดาคนที่ลงทะเบียนท่องเที่ยวผ่านซีทริป 48% เลือกไปเที่ยวแบบอิสระ จัดทริปแบบปรับเปลี่ยนตามใจลูกค้าที่มีเพียง 2 คนก็จัดได้ สัดส่วนการท่องเที่ยวแบบนี้เพิ่มขึ้นทุกทีและกำลังได้รับความนิยมมาก

“เสี่ยว หยินหยวน”หัวหน้าแผนกท่องเที่ยวต่างประเทศซีทริป เผยว่า ค่าธรรมเนียมทัวร์ส่วนตัวแบบนี้เฉลี่ยแล้วแพงกว่ากรุ๊ปทัวร์ปกติราว 23% แต่ให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า นักท่องเที่ยวสามารถหารือกับทัวร์ดีไซเนอร์มืออาชีพปรับแต่งแผนการเดินทางได้เหมาะสม

สำหรับยอดจองการท่องเที่ยวพิเศษแบบนี้ในซีทริปเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากช่วงตรุษจีนปีก่อน จนซีทริปต้องเพิ่มทัวร์ดีไซเนอร์เป็นกว่า 5,000 คน เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นแต่ก็ยังไม่เพียงพอ

กรมการบินพลเรือนจีน คาดว่า ยอดขายตั๋วเครื่องบินจะพุ่งขึ้นมาก ช่วงเร่งเดินทาง 40 วันตั้งแต่ 21 ม.ค.-1 มี.ค. ประชาชนจะเดินทางด้วยเครื่องบินทั้งภายในและระหว่างประเทศ 73 ล้านเที่ยว เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ สายการบินใหญ่สุดของจีนแห่งหนึ่ง คาดว่า ช่วงตรุษจีนจะมีผู้โดยสารกว่า 12 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4% จากปี 2561 บริษัทต้องเพิ่มเที่ยวบินเป็นเกือบ 5,300 เที่ยว โดย 500 เที่ยวจัดให้เส้นทางระหว่างประเทศโดยเฉพาะระหว่างกว่างโจว/เสิ่นเจิ้นกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ด้านไชน่าอีสเทิร์น ก็เพิ่มเที่ยวบินพิเศษในเดือน ก.พ. รวมถึงเส้นทางระหว่างเซี่ยงไฮ้กับนาโกยาของญี่ปุ่นด้วย

ซีทริป ระบุว่า ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนจองไปเที่ยวในกว่า 96 ประเทศและดินแดน ไกลสุดไปถึงแอนตาร์กติกา ส่วนไทยยังคงเป็นปลายทางยอดนิยมในปีนี้ตามด้วยญี่ปุ่นและแม้ว่าจีนจะมีข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐ แต่ทัวร์เส้นทางไกลของซีทริปปรากฏว่าชาวจีนยังคงนิยมไปสหรัฐมากที่สุด

ไชยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (สทท.) กล่าวกับนิกเคอิว่า เทศกาลตรุษจีนปีนี้นักท่องเที่ยวจีนจะมาเที่ยวเมืองไทยราว 1.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นเกือบ 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โรงแรมในกรุงเทพและเมืองใหญ่ถูกจองล่วงหน้าราว 90% ช่วงเวลาท่องเที่ยวเฉลี่ยราว 5-7 วันต่อเที่ยวเหมือนปีก่อน แต่ค่าใช้จ่ายน่าจะเพิ่มขึ้น

ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายในไทยราว 50,000 บาทต่อคนต่อเที่ยว เพิ่มขึ้นจาก 40,000 บาทต่อคนต่อเที่ยวเมื่อปีก่อน แต่สทท.ยังหวังกระตุ้นค่าใช้จ่ายให้เพิ่มถึง 53,000 บาทในปีนี้ โดยหวังว่ากิจกรรมและงานเฉลิมฉลองหลายงานที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่จะดึงเม็ดเงินนักท่องเที่ยวจีนได้

Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

https://asia.nikkei.com/Business/Bu...c-dmdGnW9gOFKflJ_P7PRXE-nmHkDPEpvDWXRGQvQVx6U

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Feb 5) เงินลงทุนต่างชาติทะลัก'อาเซียน'สวนศก.โลกทรุด : อังค์ถัด เผย เอฟดีไอไหลทะลักเข้าอาเซียนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 11% เมื่อปี 2561 อานิสงส์จากช่วงขาลงของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงทั่วโลกที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ในฐานะเป็นภูมิภาคที่น่าดึงดูดใจในสายตานักลงทุนต่างชาติเพราะเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง ต้นทุนการทำธุรกิจต่ำ และมีความเป็นบรรษัทภิบาลที่ดี

เว็บไซต์นิกเคอิ นำเสนอรายงานโดยอ้างข้อมูลของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ว่า ท่ามกลางภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกที่หลายประเทศกำลังรู้สึกวิตกกังวลว่าจะได้รับผลกระทบ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กลับได้ประโยชน์ในฐานะที่เป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและมีต้นทุนการดำเนินธุรกิจต่ำ จึงดึงดูดบรรดาบริษัทข้ามชาติให้เข้ามาลงทุนโดยตรง ส่งผลให้เม็ดเงินที่เกิดจากการลงทุนโดยตรง (เอฟดีไอ) ในภูมิภาคนี้เมื่อปี 2561 เพิ่มขึ้นมากสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11% หรือคิดเป็นมูลค่า 145,000 ล้านดอลลาร์

อังค์ถัด ระบุว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้แค่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติเข้ามามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่เอฟดีไอของภูมิภาคนี้ยังมากกว่ายุโรป มากกว่าเอฟดีไอจีนเล็กน้อยและมากกว่าเอฟดีไอในภูมิภาคเอเชียใต้เกือบสามเท่าตัวด้วยกัน

"ท่ามกลางภาวะที่เอฟดีไอทั่วโลกลดลง 19% ในปี 2561 แต่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลับเป็นภูมิภาคที่มีความโดดเด่น ไม่เหมือนใคร เนื่องจากมีข้อได้เปรียบในแง่ประชากรศาสตร์ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็ว มีต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ต่ำ และมีความเป็นบรรษัทภิบาลค่อนข้างดี ประกอบกับ การที่ห่วงโซ่มูลค่าทั่วโลกโดยรวมอยู่ในภูมิภาคเอเชีย จึงทำให้อาเซียนมีความน่าดึงดูดใจในสายตาบริษัทข้ามชาติ"ปูชาน ดัตต์ นักวิชาการจากสถาบันด้านธุรกิจอินซีดในสิงคโปร์ ให้ความเห็น

ในส่วนของประเทศไทย ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่น่าสนใจของบรรดานักลงทุนข้ามชาติ สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติเมื่อปีที่แล้วได้ 11,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าและถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ส่วนเวียดนาม มียอดเอฟดีไอสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกันที่ 19,000 ล้านดอลลาร์

แต่ประเทศที่ดึงดูดเอฟดีไอมากที่สุดของภูมิภาค คือ สิงคโปร์ มีมูลค่ากว่า 60,000 ล้านดอลลาร์ รองลงมา คือ อินโดนีเซีย มูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ไทย เมียนมา กัมพูชา ลาว และบรูไน

บริษัทข้ามชาติที่ลงทุนโดยตรงในภูมิภาค รวมถึง ไดสัน บริษัทด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีจากอังกฤษ ที่ตัดสินใจใช้สิงคโปร์เป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน โดยก่อสร้างโรงงานผลิตเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา และคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัทจะพร้อมออกสู่ตลาดในปี 2564

นายจิม โรแวน ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทไดสัน ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านจากอังกฤษ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจากผลงานพัดลมไร้ใบพัดและเครื่องดูดฝุ่นไร้สายพลังแรง แถลงว่าบริษัทตัดสินใจสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสิงคโปร์ และมีกำหนดสร้างเสร็จในปี 2563 ก่อนจะนำรถยนต์เข้าสู่ตลาดในปี 2564

ซีอีโอไดสัน ให้เหตุผลที่เลือกสิงคโปร์เป็นฐานการผลิตว่า สิงคโปร์มีระบบซัพพลายเชนที่ครอบคลุม มีช่องทางการเข้าถึงตลาด และมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่จะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายในการทำธุรกิจได้

นอกจากนี้ สิงคโปร์ ยังเป็นจุดเชื่อมต่อที่ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดที่มีโอกาสขยายตัวสูง โดยปัจจุบัน ไดสัน มีการจ้างงานในสิงคโปร์อยู่แล้วประมาณ 1,100 คน ทั้งยังมีโรงงานประกอบชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์อยู่แล้วใน 3 ประเทศในอาเซียนคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์

ขณะที่ อิออน ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจค้าปลีกสัญชาติญี่ปุ่น เปิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งที่2ในกัมพูชาเมื่อเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว เป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายธุรกิจค้าปลีกให้ครอบคลุมทั่วภูมิภาค และปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดศูนย์ช็อปปิ้งแห่งใหม่ในกรุงฮานอย ประเทศเวียดนามและในโบกอร์ ประเทศอินโดนีเซีย

เช่นเดียวกับฮาร์เลย์ เดวิดสัน ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สัญชาติอเมริกัน รุกตั้งโรงงานผลิตแห่งใหม่ในไทย ส่วนอินโนเท็ค แอลจี บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้ทุ่มเงิน 500 ล้านดอลลาร์ตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเวียดนาม

"เวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีจุดแข็งในการดึงดูดเอฟดีไอ ในฐานะเป็นประเทศมีแรงงานมีคุณภาพ และเมืองไฮฟงของเวียดนามก็เหมาะที่จะใช้เป็นโรงงานผลิตสินค้าของบริษัท ซึ่งจะช่วยให้บริษัทได้เปรียบในแง่ของการแข่งขัน"นายเคน ฮง โฆษกบริษัทอินโนเท็ค แอลจี กล่าว

นอกจากนี้ วอลมาร์ท ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ได้เข้าซื้อหุ้นในฟลิปคาร์ท บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติอินเดียในวงเงิน 18,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ทาโค เบลล์ ประกาศแผนเปิดร้านอาหารแห่งใหม่อีกหลายร้อยแห่งทั่วเอเชีย

ส่วนเวียดนาม ประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่า อิเกีย เครือข่ายผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ของโลกสัญชาติสวีเดนจะลงทุนเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อเปิดร้านค้าปลีกและสร้างโกดังสินค้าในกรุงฮานอย แม้อิเกียจะระบุว่ายังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเม็ดเงินลงทุน

"ในเวียดนาม เชื่อมั่นว่าธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่มีจุดเด่นด้านการดีไซน์และใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชั่นแถมมีราคาถูกจะตอบโจทย์ผู้บริโภคเวียดนามยุคใหม่ได้ และการที่เราเจาะตลาดเวียดนามได้ก็เหมือนเราเจาะตลาดทั้งภูมิภาคได้" โฆษกอิเกีย กล่าว

Source: กรุงเทพธุรกิจ