ถามผู้รู้เกี่ยวกับเรื่อง "จิต"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พลังสามเวท, 26 ตุลาคม 2008.

  1. พลังสามเวท

    พลังสามเวท Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +42
    1. ตาเนื้อของมนุษย์สามารถมองเห็นได้ไม่เกิน 180 องศา แต่จิตสามารถมองเห็นได้กี่ องศา ในเวลาเดียวกัน
    2. ตาเนื้อของมนุษย์สามารถมองเห็นได้ 3 มิติ แต่จิตสามารถมองเห็นได้กี่มิติ ในเวลาเดียวกัน

    มีสองข้อนี้แหละครับ ผู้มีอภิญญาช่วยแนะนำด้วยนะครับ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจต่อการปฏิบัติ
     
  2. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    อย่าทำเพราะความอยากนะเออ *-*
     
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อย่าติดอยู่ที่การเห็นว่ามีตาเนื้อสิ ค่อยๆทำความรู้สึกลงไปที่จักขุวิญญาณ

    มันจะเป็นส่วนต่อของทั้งสองตา(ทิพย์,เนื้อ) พอทำความรู้สึกรับรู้ลงที่จักขุ
    วิญญาณได้แล้ว ก็แยกดูว่า นั่นคือ วิญญาณขันธ์ แล้วแยกผู้ดูออกมาจากส่วน
    ของจักขุวิญญาณ เป็น ผู้รู้ ผู้ดู จักกขุวิญญาณทำงาน 1 ส่วน กับ จักขุวิญญาณ
    ที่ทำงานไปตามการกระทบของผัสสะอีกนึ่งส่วน หากทำความรู้สึก ระลึกรู้ได้
    แบบนี้ก็แยกส่วนที่เป็น อุปทานขันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงหลังกระทบผัสสะ กับ
    กำลังจะไปสัมปยุตตกับมโนสังขาร เกิดเป็นความรู้ หมายรู้ สัญญาขันธ์ ดูไปแบบ
    นี้เดี๋ยวรู้เองว่า เรามองอะไรได้รอบแค่ไหน มันไม่ใช่แค่มุมหรอก แต่มันจะแผ่
    กว้างออกไปแบบไม่มีขอบเขตได้ด้วย

    การดูแบบนี้เรียกว่าการไปเห็น รูปนาม คำว่า รูปนาม ก็คือคำว่า โลก หรือ จักรวาล
    ในทางศาสนา หากเรามองแบบแยกขันธ์ได้ ก็เรียกว่า แยกรูปนาม

    ถ้าต้องการทำวิปัสสนา ยกปัญญาญาณ ก็เอาการรู้การแยกรูปนาม มาพิจารณาให้
    เห็นลงเป็นไตรลักษณ์อีกที แต่ต้องไม่จงใจดูเป็นไตรลักษณ์นะ แค่ดูไปเรื่อยๆ
    พอให้เห็นว่า มันมีการเปลี่ยนแปลง หากดูซ้ำๆ เรื่อยๆ จิตมันจะจับการเห็นว่ามัน
    เปลี่ยนแปลง หรือมีไตรลักษณ์ได้เอง แบบนี้จะทำให้ มีธรรมจักษุ เห็นถ้วน
    ทั้งจักรวาลรูปนามแบบไร้มิติ ขอบเขต ข้อจำกัด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2008
  4. นาๆจิตตัง

    นาๆจิตตัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +412
    จากคำถามทั้งข้อ 1,2

    จิตมองเห็นได้ โดยรอบตัว และทุกมิติ


    ส่วนการมองเห็นนั้น....ผู้ฝึกกันจริงๆมักจะไม่นิยมส่งออกนอกตัว
    ในการออกไปรู้ ไปเห็น !

    เรื่องของการฝึกหรือแนวการปฏิบัติฯ ก็ต้องฝึกให้ตรงแนว ตรงเป้าหมาย...
    ในอันที่จะไปฝึกฝนวิชชานั้นๆ เช่น ถ้าแนวของสุกขวิปัสสโก ก็จะไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องของอภิญญา
    ก็ต้องฝึกฝน ปฏิบัติในแนวของเตวิชโช ฉฬภิญโญ ขึ้นไปถึงจะบังเกิดผล
    หรือก็ต้องไปสอบถามผู้รู้ในแนวปฏิบัตินั้นๆ(หรือผู้ปฏิบัติได้จริง....อันนี้มีอยู่ฯ)
    จะได้คำตอบที่ตรงกับคำถาม หรือชัดเจนฯ...ก็พอจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการปฏิบัติได้ดี

    ส่วนการมองเห็นในเรื่องของการวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะอยู่ที่ตาของปัญญามากกว่า
    ว่าท่านจะเห็นอย่างไร เห็นแล้วเพื่ออะไร !.....ส่วนที่ท่านถาม ออกจะเป็นส่วนของสมถะกรรมฐาน
    ของจริงนั้นมี...ก็อยู่ที่ตัวเราจะจริง จะถึง ในการปฏิบัติว่า.....จริงจังแค่ไหน วิชชาที่ฝึกตรงแนวฯ
    อันจะทำให้สัมฤทธิ์ผลหรือบรรลลุถึงขั้นอภิญญานั้นจริงแท้หรือไม่ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ในการปฏิบัติ....
    จะได้ จะสำเร็จ ก็อยู่ที่ตัวของเราเอง ต้องทำเอง ปฏิบัติเอง!.....สิบนิ้ว สองมือเหมือนกันหาใช่ 10 มือ
    10 หน้าฯ ก็หาไม่....คนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ แต่ก็ต้อง "อยู่ที่ได้ทำ" ไม่ได้อยู่ที่การพูด การอ่าน
    ส่วนจะได้ช้าได้เร็ว ท่านเป็นผู้ลิขิต.......ชีวิตของท่านเอง
     
  5. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กราบขอบพระคุณท่านผุ้โพสกระทู้นี้อย่างยิ่งขอรับ
    กงล้อมีแปด....หากท่านมองสามร้อยหกสิบองศาท่านครบแปดแล้ว...และท่านเข้าใจเรื่องสามมิติแล้ว...จิตจะเห็นสามมิติได้อย่างไรในเวลาเดียวกัน...ยากอธิบายแล้วครับ....เพราะหากเราเอากงล้อมาวงเดียวนี่ก็ยากแล้วแต่ต้องมีผู้ที่ท่านรู้แน่นอนคนเป็นหลายล้านคนที่ปฏิบัติอยู่ต้องมีมากมายที่ซุ่มโป่งอยู่แน่นอนและคงไม่เกินความสามารถของคนไปได้...และคงเข้าใจสามมิติในเวลาต่อมาและปัญหาคงเกิดขึ้นอีกมากมาย.....คงมากๆขอรับ...พุทธองค์ท่านกล่าวว่าเท่านี้ก็จบแล้วคือกงล้อหนึ่งวง...แต่หากใครมีปัญญาหาได้อีกมีอีกสามวงถือเป็น...สี่สติปัฏฐาน...และยังมีแนวทางอื่นๆอีกที่จะทำได้...

    ตัวกระผมไม่มีความรู้เรื่องธรรมมะแต่เข้ามาศึกษาพระธรรมเพื่อขวันขวายหาความรู้ซึ่งว่าอย่างลำบากยากยิ่งแล้วกับวิตก..วิจารณ์...แล้วยังมียากกว่านี้อีกและกระผมก็ไม่เข้าใจอีกมากมายหลายเรื่องต่อหลายเรื่องนักต้องขอคำปรึกษาจากเพื่อนบรรดามิตรรักเหล่าสหายธรรมมากๆเลยเอามาโพสมากๆเพื่อได้ข้อโต้แย้งและกระจ่างเรื่องธรรมมะ....กล่าวอ้างไปมากกว่าร้อยแปดสิบองศานี่....ผู้ฝึกใหม่ทำใหม่จะยุ่งยากมาก....ทำไมพระเดชพระคุณทุกท่านถึงล่อให้มาอยู่ตรงกลาง....ซึ่งโดยความเข้าใจส่วนตัวแล้วขอรับ......เมื่อมาอยู่ตรงกลางได้แล้วอีกครึ่งหนึ่งทำไมเราจะไปไม่ได้.....อีกอย่างอย่างที่เรียนไว้......ธรรมมะนี้เป็นความรู้ส่วนตนเป็นอัตตาหากเปิดหมดคงโป้เพราะพระแก้ผ้าอาบน้ำฝนท่านถึงมีผ้าไว้อาบน้ำฝน....

    เอาว่าอย่างกระผมนี้เห็นน้ำในบ่อลึกยี่สิบสามสิบวาไม่มีปัญญาตักมากินเพราะไม่มีกระบอก...มีกระบอกก็ไม่มีสาย...ทำไปเล่นไปข้ามไปข้ามมามีบุญบารมีพอ.....ทำบุญมามากๆบุญเก่าบุญใหม่รวมกัน...เหล่าบรรดามิตรรักสหายธรรมเองก็คงสร้างคงมีความหวังในตัวเองด้วยเช่นกันอยู่ว่า.......ผลบุญนั้นต้องส่งเราไปได้ไกลเท่าไรก็สุดแล้วแต่ลมหายใจเท่านั้นขอรับแต่สร้างบุญบารมีไปเรื่อยๆ ...คงส่งผลได้สักวัน....เหล่าบรรดามิตรรักสหายธรรมคงได้ข้อคิดในหัวข้อนี้บ้างและยึดมั่นในศรัทธาในพระธรรมอย่างแน่นเหนียวเดินหน้าต่อไปเพื่อแสวงหาว่าจริงหรือไม่ดังที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้.....โปรดพิจารณาแบบกลางๆนะขอรับ...ด้วยกระผมกลัวว่าจะประมาททางกระผมแล้วไม่เกิดผลดีต่อผู้รับ...และคงเป็นประโยชน์แก่ทุกๆท่านด้วยขอรับ....กราบขอบพระคุณยิ่งแล้วขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...