บทความให้กำลังใจ(ยอมรับได้ ใจก็สงบ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,054
    (ต่อ)
    หลายคนแม้มีความรู้เรื่องนี้ แต่พอไฟไหม้จริงๆ ก็ตกใจ ผู้คนเฮไปไหนก็ตามไปด้วย แล้วก็ถูกเหยียบตาย หรือบางคนอาจเคยรู้มาว่าเวลาไฟไหม้อาคารขณะที่อยู่ในห้อง อย่าจับลูกบิดประตูด้วยมือเปล่า เพราะลูกบิดจะร้อนมาก แต่เมื่อเผชิญเหตุการณ์จริงหากไม่มีสติก็อาจเผลอจับลูกปิดเอาได้เพราะความกลัว อยากจะรีบหนีไฟให้เร็ว ๆ

    ที่จริงยังมีสถานการณ์ที่ดูน่ากลัวน้อยกว่านี้ แต่ก็สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ถ้าหากไม่มีสติ อย่างเช่นเมื่อสองสามปีก่อนมีนักศึกษาไปกินเหล้าแถวรามอินทราจนเมามาย ขณะขับรถกลับบ้านปรากฏว่าปวดฉี่ ก็ออกจากรถไปฉี่ตรงคูน้ำริมทาง พอดีเกิดอาเจียนขึ้นมา ขณะที่ก้มตัวอาเจียนพระสมเด็จฯที่ห้อยคออยู่เกิดตกลงไปในคู ด้วยความเสียดายเขากระโดดลงไปในคูเพื่องมหาพระสมเด็จ ฯ เพื่อนห้ามแต่เขาไม่ฟัง ปรากฏว่าจมน้ำตาย ถ้านักศึกษาคนนั้นมีสติ ก็อาจจะยับยั้งชั่งใจไม่ลงไป แต่เพราะความเมาและความเสียดายพระเครื่อง จึงไม่ทันยั้งคิด กรณีนี้ถ้าเขามีสติก็รอดตาย อาจจะเสียพระเครื่องไปหรืออาจจะไม่เสียก็ได้ถ้างมดีๆ แต่เพราะไม่มีสติจึงเสียหนักกว่านั้น คือ เสียชีวิต

    คงจะเห็นแล้วว่าสติเป็นเรื่องสำคัญมากถึงขั้นชี้เป็นชี้ตายได้ทีเดียว ที่จริงเพียงแค่อยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน เวลาใช้เครื่องไฟฟ้า ถ้าไม่มีสติเอามือเปียกๆ ไปเสียบปลั๊ก ก็อาจถูกไฟดูดตายได้ หรือเดินลงบันไดถ้าไม่มีสติก็อาจตกลงมาหัวฟาดพื้นตายได้ สติจึงสำคัญต่อความอยู่รอดของเราทุกคน มันไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยหรือเกินจำเป็น ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตรอดได้ แต่ถ้าอยู่ด้วยความทุกข์ ด้วยความเศร้าเสียใจ ทุกข์เพราะรู้สึกผิด เพราะความโกรธ ความพยาบาท หรือเพราะความอาลัยอาวรณ์ อารมณ์เหล่านี้สามารถจะทำร้ายจิตใจ ทำให้อยู่ร้อนนอนทุกข์ บางคนถึงกับทนไม่ไหว ตัดสินใจฆ่าตัวตาย

    ชีวิตในยุคปัจจุบันนี้ การมีสติสำคัญมาก เพราะทุกวันนี้ผู้คนทุกข์เพราะความคิดมากกว่าเรื่องอื่น ไม่ใช่ทุกข์เพราะไม่มีอาหารกิน ไม่ใช่ทุกข์เพราะขาดปัจจัยสี่ ไม่ใช่ทุกข์เพราะทำงานเหนื่อยยาก ส่วนใหญ่ทุกข์ทั้งๆ ที่มีชีวิตสะดวกสบาย แต่ก็ยังกลุ้มใจ วิตกกังวล กินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นเป็นเพราะความคิดที่ปรุงแต่งไปต่างๆ นานา หรือเพราะเสียใจในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว หรือวิตกในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เช่นพอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ก็ทำใจไม่ได้ มีพยาบาลคนหนึ่งไปตรวจร่างกาย หมอก็อ้ำอึ้งที่จะบอกผล พยาบาลจึงบอกหมอว่า บอกมาเลยๆ ฉันรับได้ หมอจึงบอกว่าคุณเป็นมะเร็งตับ จะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน พยาบาลคนนั้นช็อกเลย ทั้งที่ดูแลคนป่วยมาสามสิบปี แต่พอมันเกิดขึ้นกับตัวเองก็ทำใจไม่ได้ หายหน้าไปเลย ไม่มาทำงาน ซึมอยู่กับบ้าน อยู่ได้ประมาณยี่สิบกว่าวันก็ตาย ที่ตายไม่ใช่เพราะก้อนมะเร็งในตับมันลุกลามรวดเร็วกว่าที่หมอพยากรณ์ แต่เป็นเพราะใจที่ตื่นตระหนกวิตกกังวลนั่นเอง

    สติที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ไม่เพียงพอที่จะรับมือกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน คนธรรมดามักคิดว่าฉันมีสติอยู่แล้ว ทำไมต้องฝึกสติอีก สติที่มีนั้นพอเพียงสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันที่ไม่มีเหตุร้าย ไม่มีเรื่องมากระทบมาก ถ้าชีวิตราบรื่นความสัมพันธ์กลมเกลียว ไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น สติเท่าที่มีอยู่ของคนทั่วไปก็เพียงพอในการดำเนินชีวิตให้เป็นสุขตามอัตภาพ แต่ชีวิตคนเราใช่ว่าจะราบรื่นเหมือนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ บางช่วงก็ขรุขระ มีเหตุร้ายเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่ถ้าเราฝึกสติอยู่เสมอ เจอเหตุการณ์ย่ำแย่เกิดขึ้น เช่น เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย อาจเสียศูนย์อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็จะตั้งสติได้ และแทนที่จะปล่อยใจให้จมอยู่กับความทุกข์ ความเศร้าโศก ก็จะดึงจิตออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น และพิจารณาว่าเราจะรักษาร่างกายอย่างไรดี

    ป่วยกายแต่ใจไม่ป่วยก็ได้ เสียทรัพย์แต่ใจไม่เสียก็ได้ แม้มีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่ใจไม่ทุกข์ก็ได้ เป็นเพราะมีสติรักษาใจนั่นเอง
    :- https://visalo.org/article/suksala27.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,054
    ความสงบพบได้ทุกหนแห่ง
    พระไพศาล วิสาโล
    ทางมหาวิทยาลัยเมื่อนิมนต์พระลามะจากธิเบตมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะต้อนรับให้ถูกแบบแผนได้อย่างไร เห็นว่านักศึกษาไทยคนนี้เป็นคนเอเชียด้วยกัน คงจะดูแลและอุปัฏฐากพระธิเบตได้ดี นักศึกษาก็ยินดีดูแลให้ ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นคริสต์ ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ได้ดูแลพระธิเบต นักศึกษามีความประทับใจท่านมาก ใครที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระธิเบตก็จะรู้สึกประทับใจเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่เป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ผ่อนคลาย เป็นกันเอง และมีน้ำใจ

    นักศึกษาไทยดูแลพระธิเบตตลอด ๓-๔ วัน เมื่อถึงวันที่ท่านจะเดินทางกลับ นักศึกษาก็สอบถามเกี่ยวกับวัดของท่านที่อินเดีย และปรารภว่าเมื่อเรียนจบแล้วอยากไปอยู่กับท่านสักระยะหนึ่ง พระธิเบตถามวัตถุประสงค์ นักศึกษาตอบว่า อยากไปสัมผัสกับความสงบที่นั่น เพราะที่กรุงเทพ ฯ ไม่สงบเลย พระธิเบตตอบว่า ยินดีต้อนรับ แต่ขณะเดียวกันก็ติงว่า “ถ้าคุณไม่สามารถพบความสงบที่กรุงเทพฯ ได้ มาอยู่ที่วัดของอาตมาก็คงจะไม่พบเช่นกัน”

    คำพูดของพระธิเบตกระทบใจนักศึกษามาก ทำให้ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายเมื่อเรียนจบ กลับมาเมืองไทย ก็ตัดสินใจไม่ไปวัดของพระธิเบตท่านนั้น แต่มาสอนหนังสือที่จุฬา ฯ แทน คงเป็นเพราะท่านได้คิดว่า แท้จริงแล้วความสงบนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ อยู่กรุงเทพ ฯ ก็มีความสงบให้เราพบและสัมผัสได้ พูดอีกอย่างคือ ความสงบนั้นอยู่ที่ใจ ถ้าวางใจถูก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็พบความสงบได้

    ความสงบคือความสุขที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก แต่จิตใจส่วนลึกแสวงหา หรือถึงกับโหยหา แม้ความสงบจะมีเสน่ห์น้อยกว่าความสนุก ความตื่นเต้น ความเอร็ดอร่อย อย่างหลังนั้นเหมือนกับน้ำหวาน ซึ่งมีเสน่ห์กว่าน้ำจืดหรือน้ำฝน แต่ไม่มีใครที่กินน้ำหวานไปได้ทั้งวัน ใครที่กินน้ำหวานทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้ก็แล้วแต่ ไม่นานก็จะเจ็บป่วย โรคภัยถามหา เช่น โรคเบาหวาน ฟันผุ แต่น้ำจืดหรือน้ำฝนนั้น แม้มีเสน่ห์น้อยกว่า แต่มันเป็นสิ่งที่ชีวิตต้องการจริง ๆ กินทั้งวันทั้งปีก็ไม่เป็นอันตราย ความสุขที่เกิดจากความสงบก็เหมือนกัน อาจจะไม่มีเสน่ห์หวือหวาดึงดูดใจ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตมาก

    หลายคนคิดว่าความสงบใจจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความสงบจากสิ่งแวดล้อม จึงเลือกที่จะมาอยู่วัด หรือพยายามแสวงหาสถานที่ที่สงบ เช่น พักแรมในป่า หรือไปรีสอร์ต อันที่จริงสิ่งแวดล้อมที่สงบสงัด เป็นสิ่งที่เราควรแสวงหา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญ ในโอวาทปาติโมกข์มีข้อความตอนหนึ่งที่ทรงแนะนำพระสาวกนั่นคือ "การนอน การนั่งในที่อันสงัด" อย่างไรก็ตามถ้าเราจะรอแต่สถานที่ที่สงบ สงัด ไร้เสียงรบกวน เพื่อให้ใจเราสงบตามไปด้วย เราอาจไม่พบความสงบใจเลยก็ได้ เพราะสถานที่สงบสงัดเดี๋ยวนี้หายากมาก และถึงแม้จะหาได้ ก็ใช่ว่าจะสงบไปตลอด สถานที่บางแห่งสงบสงัด ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีเสียงวิทยุ โทรทัศน์ แต่คนที่เราอยู่ด้วยอาจทำตัวไม่น่ารัก พูดไม่เพราะ ทำให้เราขุ่นเคืองหรือว้าวุ่นใจได้เสมอ

    จะหาสถานที่ที่เพียบพร้อมทั้งความสงัด และมีคนที่น่ารักเรียบร้อยถูกใจเรานั้นเป็นเรื่องยาก เพราะแม้แต่พ่อแม่ที่รักเรามาก หรือคู่ครองที่มีความรักให้เรามากมาย ก็ยังทำบางสิ่งที่ขัดอกขัดใจเรา หรือพูดจากระทบกระทั่งกัน ทำให้เราขุ่นมัว การอยู่ในที่ที่ไม่มีอะไรมากระทบกระทั่ง ไม่มีเสียงดัง ไม่มีคนพูดจาหรือมีพฤติกรรมขัดอกขัดใจเราเลยเป็นเรื่องยาก เราจึงไม่สามารถหวังความสงบจากสถานที่ได้ ไม่ว่าบ้าน สำนักงาน หรือแม้แต่วัด ถ้าต้องการความสงบก็ต้องพยายามหาที่ใจเรา
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,054
    (ต่อ)
    มีผู้ชายคนหนึ่งไปปฏิบัติธรรม ทำสมาธิภาวนาที่พุทธสมาคมแห่งหนึ่ง ห้องประชุมติดแอร์เย็นสบาย ไม่มีเสียงรบกวน บางช่วงก็นั่งตามลมหาย บางช่วงก็เดินจงกรม รู้สึกสงบมาก ตกเย็นก็เลิกปฏิบัติ ได้เวลากลับบ้าน พอเดินมาถึงที่จอดรถ พบว่ารถของตนออกไม่ได้ เพราะมีรถอีกคันจอดซ้อนอยู่ ความโกรธพุ่งขึ้นมาทันที เขาถึงกับด่าเจ้าของรถคันนั้นอย่างรุนแรง

    ชายผู้นี้เมื่อครู่จิตใจยังสงบอยู่เลย แต่พอเจอสิ่งกระทบใจ ไม่ถูกใจ ก็หัวเสียทันที นักปฏิบัติธรรมหลายคนเป็นเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะเอาจิตใจไปผูกติดกับสิ่งภายนอก เช่น สถานที่ หรือสภาพแวดล้อมที่ราบรื่น พอเจอพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ ใจที่สงบก็กระเจิงทันที อันที่จริงถ้าหากเขามีสติ รู้ทันอารมณ์ของตนอย่างรวดเร็วฉับไว ความโกรธก็ไม่สามารถเล่นงานจิตใจจนถึงกับระเบิดออกมาอย่างนั้น สติไม่เพียงช่วยให้เห็นความโกรธที่กำลังพลุ่งพล่านในใจ หากมีสติที่ไว ก็จะรู้ทันตั้งแต่ตอนที่มีประกายความไม่พอใจเกิดขึ้น แค่รู้ทันเท่านั้นมันก็จะสงบลงไป ไม่ลุกลามกลายเป็นความโกรธจนห้ามใจไม่อยู่ ต้องพูดด่าออกไป

    สติเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ใจเราสงบได้ด้วยตัวของเราเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อม สติที่คนเรามีอยู่นั้นพอที่จะทำให้เราใช้ชีวิตได้ตามปกติ คนที่ไม่มีสติก็คือคนบ้าหรือคนที่สลบหลับใหล ใครที่มาทำวัตร สวดมนต์ ฟังธรรมบรรยาย อยู่ในความสงบได้ ก็แสดงว่ายังมีสติครองใจพอสมควร ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเผลอพูดคุยกัน ที่จริงความอยากพูดคุยก็คงมี แต่เมื่อมีสติรู้ทัน ก็สามารถระงับยับยั้งปากไว้ได้ แต่ถ้ามีเสียงคนเดินกระแทกเท้า มีคนคุยกันอยู่ข้าง ๆ หรือว่ามีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา หลายคนก็จะไม่พอใจทันที ความไม่พอใจนั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะไม่มีสตินั่นเอง เช่น ใจเผลอไปจดจ่ออยู่กับเสียงเหล่านั้น พอมีความไม่พอใจเกิดขึ้นก็ยังไม่รู้ทัน จึงรู้สึกเป็นทุกข์ นึกด่าเขาในใจว่าไม่มีมารยาท

    เมื่อความไม่พอใจ หรือความโกรธเกิดขึ้น ใจก็ไม่สงบ แต่ถ้าเรามีสติมากกว่านี้ เราก็จะรู้ทันความไม่พอใจที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที แล้วก็วางมันลงได้ แต่ที่เรายังโกรธนานเป็นวันเป็นคืน ก็เพราะว่าไม่รู้ตัว พอไม่รู้ตัวก็ไปยึดหรือแบกความโกรธเอาไว้ หรือไม่ก็ขุดคุ้ยพฤติกรรมต่าง ๆ ในอดีตของคนที่เราโกรธ ทำให้โกรธหนักขึ้น ยิ่งโกรธก็ยิ่งลืมตัว เอาแต่คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นการซ้ำเติมจิตใจตัวเองให้ทุกข์หนักขึ้น เหมือนกับการจุดไฟเผาใจตัวเอง หรือเอาของแหลมกรีดใจตัวเอง ก็ยิ่งเกิดความทุกข์ทรมาน

    เวลามีความโกรธเกิดขึ้น ถ้าเราไปกดข่มมันก็จะยิ่งดื้อ ยิ่งกดเท่าไร มันก็ยิ่งสะท้อนกลับมามากเท่านั้น ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่าแรงกดเท่ากับแรงสะท้อน หลักการนี้ไม่ได้ใช้กับสสารอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังใช้กับอารมณ์ได้ด้วย ยิ่งไปกดมัน มันก็ยิ่งสะท้อน ยิ่งกดข่ม ความโกรธก็ยิ่งโผล่มา

    เคยมีคนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโลว่า ทำอย่างไรถึงจะตัดความโกรธให้ขาด หลวงปู่ตอบว่า “ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทันมันก็ดับไปเอง” ความรู้ทันจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีสติ การมีสติช่วยทำให้ใจสงบได้ ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบ หรือเจออะไรที่ชวนให้ไม่ถูกใจ ไม่พอใจก็ตาม ขอให้สังเกตว่า มันทำได้แค่ชวน แต่มันไม่สามารถบังคับเราได้ ถ้ามีสติ เราจะไม่เผลอรับคำชวนของมัน แต่ถ้าไม่มีสติ ก็จะไปรับคำชวนนั้น พอไปรับคำชวนก็จะเกิดความไม่พอใจ เกิดความโกรธ เกิดความทุกข์ใจขึ้นมาทันที

    เวลามีคนด่าว่าเรา คำด่าว่าของเขาเป็นแค่คำชวนให้เราไม่พอใจ เวลามีคนทำอะไรไม่ถูกใจ สิ่งที่เขาทำก็เป็นแค่การชวนให้เราโกรธ ถ้าเรารับคำชวน เราก็โกรธ แต่ถ้าเราไม่รับคำชวน ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

    ถ้าเราหมั่นดูใจของเรา มีสติ เราก็จะเห็นว่าที่จริงแล้วที่เราทุกข์ ที่เราโกรธ เป็นเพราะใจเราไปรับคำชวนของคนรอบตัว เพราะฉะนั้นจะโทษผู้อื่นฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องโทษตัวเองด้วยที่ไปรับคำชวนนั้น เขาไม่ได้บังคับให้เราโกรธ แต่เป็นเพราะเราไปรับคำชวน เราก็เลยโกรธ เป็นทุกข์ ร้อนรุ่มกลุ้มใจ แม้ว่าจะอยู่ในที่ที่สงบสงัดแต่ใจก็ยังไม่สงบ แต่ถ้าเรามีสติ เรารู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในที่ที่วุ่นวาย อึกทึกคึกโครม ใจก็ยังสงบได้

    :- https://visalo.org/article/suksala28.html
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,054
    เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี
    พระไพศาล วิสาโล
    อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม เป็นอาจารย์สอนธรรมที่หลายคนรู้จักดี ท่านพิการตั้งแต่คอลงมาเมื่ออายุ ๒๔ ปี แต่ก็ได้อาศัยธรรม โดยเฉพาะการเจริญสติ ช่วยให้อยู่กับความพิการได้โดยไม่ทุกข์ ตอนนี้ท่านกำลังป่วยหนัก หมอวินิจฉัยว่าอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิตแล้ว เพราะมะเร็งตับลุกลาม เดิมร่างกายก็พิการอยู่แล้ว ยังต้องทรมานกับมะเร็งตับอีก หากเป็นคนทั่วไปคงจะทุกข์ทรมานมาก แต่เวลาอาตมาไปเยี่ยมกลับเห็นท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ร่าเริงเหมือนไม่มีเรื่องอะไรให้อนาทรร้อนใจ เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีคนเขียนเอาข้อความของอาจารย์กำพลมาขึ้นเฟซบุ๊ค ว่า "ผมยอมรับความจริง ยอมรับความเป็นไป และยอมรับความตาย"
    ยอมรับความจริง คือยอมรับว่าเป็นมะเร็งตับ ซึ่งเป็นโรคที่รักษายาก ไม่บ่นโวยวาย ยอมรับความเป็นไป คือ เมื่อรู้ว่าโรคนี้ทำให้ร่างกายย่ำแย่ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ปฏิเสธผลักไส และสุดท้ายยอมรับความตาย สามยอมนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้อาจารย์กำพลยังยิ้มแย้มแจ่มใสได้
    ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะอาจารย์กำพลปฏิบัติธรรมมานาน การปฏิบัติธรรมทำให้จิตใจของอาจารย์กำพลพ้นจากความพิการ กายยังพิการอยู่ แต่ใจไม่พิการแล้ว เพราะเจริญสติตามคำแนะนำของหลวงพ่อคำเขียน หลวงพ่อแนะนำว่าในเมื่อยกมือสร้างจังหวะไม่ได้ เดินจงกรมก็ไม่ได้ ก็ให้พลิกมือไปมา แล้วพิจารณาว่าที่พลิกนั้นเป็นรูป ที่คิดเป็นนาม รู้กายเมื่อมือพลิก รู้ใจเมื่อคิดนึก อาจารย์กำพลได้ทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ ทำไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดเข้าใจเรื่องรูปนาม อาจารย์กำพลบอกว่า หลงโง่ตั้งนานนึกว่าเราพิการ ที่จริงไม่ใช่ แค่กายพิการเท่านั้น แต่ใจไม่ได้พิการด้วย พอเห็นความจริงตรงนี้ จิตก็หลุดพ้นจากความพิการ จิตลาออกจากความทุกข์ นี่เรียกว่าเห็นด้วยปัญญา
    จำไว้นะว่า เมื่อเจอเหตุร้ายเกิดขึ้น เราไม่จำเป็นต้องทุกข์ระทมก็ได้ เราสามารถผ่านมันไปได้ ถ้าเรามีสติ มีปัญญา มีธรรมะ ในทางตรงข้าม แม้จะได้โชคลาภ ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าไม่มีสติ มันก็พาไปเข้ารกเข้าพง ไปเจอความตกต่ำย่ำแย่ได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราสามารถแยกเป็นสองทางได้เสมอ ดีหรือร้าย สูงส่งหรือตกต่ำ อยู่ที่เราเลือก แต่จะเลือกได้ก็ต่อเมื่อเรามีสติปัญญา ขนาดความพิการยังทำอะไรอาจารย์กำพลไม่ได้ เรื่องเล็กน้อยกว่านั้นควรหรือที่เราจะเป็นทุกข์เพราะมัน
    ท่านอาจารย์พุทธทาสเล่าว่า สมัยหนุ่ม ๆ ท่านต้องสร้างกุฏิ สร้างศาลาเอง บ่อยครั้งเวลาตอกตะปูผิด ค้อนทุบนิ้ว ท่านจะร้องด้วยความเจ็บปวด ตอนหลังท่านคิดว่าทำอย่างไร ถึงจะไม่ร้องเวลาตอกตะปูผิด ท่านคิดว่าเราจะยิ้มได้ไหม เราจะหัวเราะได้ไหมเวลาค้อนทุบโดนนิ้ว ท่านฝึกแล้วฝึกเล่าในที่สุดก็หัวเราะได้ พวกเราจะลองใช้วิธีนี้ก็ได้นะ เวลาใครวิจารณ์ ตำหนิแทนที่จะโกรธ ทำหน้าบึ้ง ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแทน ลองฝึกดูนะ ขนาดอาจารย์พุทธทาสโดนค้อนทุบนิ้วท่านยังหัวเราะได้ คำแนะนำตักเตือนทักท้วงมันเบากว่าค้อนเยอะ ถ้าเราฝึกว่าฉันจะยิ้มให้ได้เมื่อถูกตำหนิติเตียน วันนี้ฉันยังยิ้มไม่ได้ แต่วันข้างหน้าฉันจะยิ้มให้ได้ เราต้องบอกเพื่อนให้ความร่วมมือ คือ วิจารณ์บ่อย ๆ ตักเตือนบ่อย ๆ วันไหนยิ้มได้ก็ไปเลี้ยงฉลองได้เลย
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,054
    (ต่อ)
    หลวงพ่อคำเขียนบอกว่า "การภาวนา คือการเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี" เปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชค เปลี่ยนทุกข์ให้เป็นธรรมะ เปลี่ยนคำตำหนิติเตียนให้เป็นของดี หรือมองอย่างหลวงพ่อทองรัตน์ก็ได้ คำต่อว่าด่าทอว่าเป็นอมฤตธรรมจากเทวดา เราควรมองว่าเพื่อน ๆ ในที่ทำงานของเราเป็นเทวดาทั้งนั้น สามารถให้อมฤตธรรมแก่เราได้ ลองทำดูนะ ถ้าทำบ่อย ๆ ต่อไปพอเจออะไรที่หนักกว่านี้ เราจะตั้งสติได้ไวขึ้น ถ้าทำได้อย่างนี้ เวลาทำงานก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วย

    มีคนหนึ่งพูดไว้ดีมากว่า "จุดมุ่งหมายในชีวิตของเขา คือ ๑ ค้นพบตัวตน และ ๒ สลายตัวตน" ไม่แน่ใจว่าคนพูดเป็นชาวพุทธหรือเปล่า แต่สิ่งที่เขาพูดนี้สอดคล้องกับหลักธรรมในพุทธศาสนามาก การมาปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่งก็เพื่อค้นพบตัวตน เพื่อรู้จักตัวเอง รู้จักว่าเราเป็นใคร เราต้องการอะไรในชีวิต เวลามีความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้นก็รู้ทันมัน ถ้ารู้จักตัวตนอย่างถึงที่สุดแล้ว จะพบว่าแท้จริงไม่มีตัวกูอยู่เลยแม้แต่น้อย

    การค้นพบตัวตนหรือการรู้จักตัวเองอย่างแจ่มแจ้ง คือการค้นพบว่า ไม่มีตัวตน หรือว่างเปล่าจากตัวตนนั่นเอง นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญและลึกซึ้งที่สุด เหมือนกับการเฉาะกระบอกไม้ไผ่ สุดท้ายก็พบว่าข้างในหรือแกนกลางนั้นว่างเปล่า เมื่อเราพบว่าไม่มีตัวตนหรือตัวกูอยู่เลยแม้แต่น้อย ใจก็จะวางไปเอง ท่านอาจารย์พุทธทาสใช้คำว่า "ตายก่อนตาย” คือตัวตนตาย แต่ที่จริงตัวตนไม่ได้ตาย เพราะมันไม่มีตั้งแต่แรก ถ้าเราตระหนักตรงนี้ เวลาทำงานหรือปฏิบัติธรรมก็ควรตั้งจิตมุ่งเพื่อสองประการนี้ ให้ถือว่าการทำมาหาเลี้ยงชีพ และการการช่วยเหลือผู้อื่น เป็นหนทางสู่การค้นพบตัวตน และการสลายตัวตน

    เมื่อเจอคำวิพากษ์วิจารณ์แล้วเราไม่โกรธ เรายิ้มได้ ไม่เอาตัวตนเข้าไปรับการกระแทก นี่คือหนทางสู่การลดละตัวตน วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่เอาตัวตนมาเป็นใหญ่ ก็คือการเอาสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าตัวตนขึ้นมาแทน เช่น บางคนนึกถึงการช่วยเหลือผู้อื่น พอนึกถึงผู้อื่น จะถูกกระทบกระแทกอย่างไรก็อดทนได้ เหมือนพ่อแม่แม้จะลำบากเพียงใด พอนึกถึงลูกก็ทำให้อดทนได้เสมอ

    ถ้าเราเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเป็นใหญ่เหนือตัวตน ก็จะทำให้ตัวตนหรืออัตตามีอำนาจต่อเราน้อยลง พระพุทธเจ้าส่งเสริมให้เอาธรรมะเป็นใหญ่ เมื่อเอาธรรมะเป็นใหญ่ ใครจะว่าเราอย่างไรก็ไม่โกรธ เราก็จะมองว่าที่เขาพูดมาเป็นธรรมะหรือไม่ อาตมาประทับใจนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง เขาเป็นศาสตราจารย์ใหญ่ เชี่ยวชาญด้านเซลล์ อยู่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด สมัยนั้นมีข้อถกเถียงกันว่าในเซลล์มีสิ่งที่เรียกกันว่า Golgi Apparatus หรือไม่ เมื่อ ๕๐ กว่าปีมาแล้ว ยังไม่มีกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ศาสตราจารย์คนนี้ปฏิเสธว่าไม่มี Golgi Apparatus ในเซลล์ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันไปเอง เขาทำงานวิจัย เขียนตำรา และบรรยายมานานนับสิบปีเพื่อยืนยันว่ามันไม่มี

    แล้ววันหนึ่งมีอาจารย์หนุ่มจากอเมริกามาบรรยายที่มหาวิทยาลัยของเขา เอาหลักฐานมาชี้แจงว่า Golgi Apparatus มีจริง นักวิชาการหนุ่มบรรยายได้ดีมาก จนหาข้อโต้แย้งไม่ได้เลย ศาสตราจารย์คนนั้นซึ่งอยู่ในห้องประชุมนั้นด้วย แทนที่จะรู้สึกเสียหน้า เขากลับเดินไปหาอาจารย์หนุ่มคนนั้นเมื่อบรรยายเสร็จ เขย่ามือแล้วกล่าวกว่า "เพื่อนรัก ขอบคุณมาก ผมผิดพลาดมานานถึง ๑๕ ปี"

    คนที่เป็นศาสตราจารย์ระดับสูง มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับไม่มีความรู้สึกโกรธหรือเสียหน้าเลยเมื่อถูกอาจารย์หนุ่มโต้แย้งหักล้างความเชื่อของเขา นั่นเป็นเพราะเขาเอาความรู้เป็นใหญ่ เมื่อเอาความรู้เป็นใหญ่ อัตตาก็เป็นเรื่องเล็ก เขาเป็นคนใฝ่รู้ ใจนึกถึงแต่ความรู้ อะไรที่ทำให้มีความรู้เพิ่มเติมก็ยินดีทั้งนั้น แม้ความรู้นั้นจะสวนทางกับสิ่งที่เคยเชื่อ

    อัตตาของเขาเบาบางมาก ที่เบาบางได้เพราะเอาความรู้เป็นใหญ่นั่นเอง ส่วนพวกเราสามารถเอาธรรมะเป็นใหญ่ได้ โดยการเอาประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ผู้อื่น หรือประโยชน์องค์กรเป็นใหญ่ก็ได้ การเอาองค์กรเป็นใหญ่ช่วยทำให้เราอดทนต่อคำวิจารณ์ของเพื่อนได้ เพราะสนใจแต่ว่าจะทำให้องค์กรดีขึ้น นี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ที่ช่วยขัดเกลาให้ตัวตนเบาบางลงได้

    เราพึงตระหนักอยู่เสมอว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับเรา ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องฝึกสติ เป็นเครื่องขัดเกลาให้เราลดละตัวตน ให้มองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราดีทั้งนั้น งานล้มเหลว เจอคำต่อว่าด่าทอ ของหาย ให้ถือว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยฝึกให้เรามีความเข้มแข็ง ช่วยทำให้เรามีสติ มีความพร้อมมากขึ้น ในการรับมือกับวิกฤตการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในวันหน้า อย่าคิดว่าชีวิตเราตอนนี้ราบรื่นแล้วมันจะราบรื่นตลอดไป มันอาจจะเกิดเรื่องเลวร้ายรุนแรงสักครั้งหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าเราฝึกใจสม่ำเสมอโดยอาศัยการทำงานและเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน เราก็จะมีความพร้อมในการรับมือกับมันได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความพลัดพราก หรือแม้กระทั่งความตาย

    หลวงพ่อคำเขียนพูดอยู่เสมอว่า "นักภาวนาคือนักฉวยโอกาส" หมายถึง เราควรใช้เวลาและเหตุการณ์ทุกอย่างเพื่อฝึกฝนจิตใจของตน ท่านเปรียบเทียบว่า เหมือนกับแม่ค้าแถวสถานีรถไฟ แม้รถไฟจอดชานชาลาไม่กี่นาที ก็รีบขึ้นไปขายของทันที เขาไม่คิดปล่อยเวลาห้านาทีให้เปล่าประโยชน์ ไม่ได้คิดว่าเวลาห้านาทีมันน้อยนิดจะไปทำอะไรได้ ปล่อยไปเถอะ ไว้รอขึ้นรถขบวนที่จอดครึ่งชั่วโมงดีกว่า แม่ค้าไม่คิดแบบนั้น แม้จะจอดเพียงห้านาทีก็รีบฉวยโอกาสขายของ เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ

    พวกเราก็เช่นกัน เวลาเจอรถติด แทนที่จะเอาเวลาไปบ่นหรือหงุดหงิด ก็ฉวยโอกาสเจริญสติคลึงนิ้วไปด้วย เวลานัดเพื่อนแล้วเพื่อนมาสาย แทนที่จะหงุดหงิดกระสับกระส่าย ดูนาฬิกาไม่หยุด ก็เจริญสติตามลมหายใจไป หากทำได้อย่างนี้เราก็เสียเวลาอย่างเดียว แต่ไม่เสียอย่างอื่นด้วย

    การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรทำเฉพาะในบ้านหรือในวัดเท่านั้น แม้อยู่ที่ทำงานก็ทำได้ ใช้การทำงานเป็นเครื่องปฏิบัติธรรม ใช้คำติเตียนต่อว่าของเพื่อนร่วมงานเป็นเครื่องมือปฏิบัติธรรม ใช้รถติด ใช้งานที่ไม่ประสบความสำเร็จ อุปสรรคต่าง ๆ เป็นเครื่องฝึกใจ นี้แหละคือศิลปะของการปฏิบัติธรรม ในการเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชค ช่วยให้เราเป็นสุขได้ทุกที่ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นใจก็ไม่ทุกข์ หากทำได้เช่นนี้ ชีวิตก็จะพบแต่ความสุขสงบเย็น ไม่ว่าโลกรอบตัวจะผันผวนเพียงใดก็ตาม
    :- https://visalo.org/article/suksala26.html
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,054
    บุพเพอาละวาด
    พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช
    คนเราจะรักกันก็ต้องมีกรรมบางอย่างเป็นเหตุให้รักกัน คนเราจะเลิกกันก็ต้องมีกรรมบางอย่างเป็นเหตุให้เลิกกัน ทั้งกรรมในอดีตสัมปยุตกับกรรมในปัจจุบัน ไม่มีใครจะฝืนกรรมของตัวเองได้ กรรมในอดีตมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อย่าเก็บเอามาคิดทำใจให้ขุ่นมัว
    .
    ธรรมท่านสอนให้ทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุด ให้มีสติปัญญาจดจ่ออยู่ในปัจจุบัน การจะคิดอะไร จะทำอะไร จะพูดอะไร ให้พิจารณาให้สุขุมรอบคอบเสียก่อน อันใดใช่ประโยชน์ อันใดไม่ใช่ประโยชน์ สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ข้อสำคัญคือต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมประจำใจ อย่าทำลายหิริโอตตัปปะภายในใจตนเอง จะหาทางออกจากทุกข์ไม่เจอ
    .
    บางคนไม่เคยฝึกหัดอบรมจิตใจมาก่อน พอเผชิญกับความผิดหวังรุนแรง ก็ยากที่จะทำใจ เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ สติไม่เข้มแข็ง ปัญญาไม่เฉียบคม เกิดความเศร้าโศกเสียใจจนใจแทบพังทลาย
    แต่ใจนี้เป็นธรรมชาติอมตะที่ไม่เคยแตกสลาย แม้จะเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด กาลเวลาคือ ยาวิเศษที่จะซ่อมแซมใจให้กลับคืนมาสู่สภาพเดิมได้ ขอเพียงใจอย่าคิด พูด และทำในสิ่งที่ผิด ให้เป็นกรรมปัจจุบันซ้ำเติมตัวเองจนเกิดเหตุการณ์เลวร้ายหนักเข้าไปอีก บางคนคิดไม่ลงปลงไม่ตกจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า บางคนก็ถึงกับฆ่าตัวตายกลายเป็นกรรมสาหัสสากรรจ์ ถ้าตัวเองเอาแต่คิดทำร้ายใจตัวเอง ใคร ๆ ก็คงช่วยอะไรไม่ได้
    .
    ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับว่า ใครจะมีสติกล้า ปัญญาคม ที่สามารถรักษาใจตัวเองได้ดีเยี่ยมเพียงใด สติปัญญาเมื่ออบรมดีแล้วย่อมเป็นองครักษ์พิทักษ์ใจได้อย่างยอดเยี่ยมอัศจรรย์เหนือกว่าสิ่งใด ๆ ในโลก
    .
    ธรรมสำคัญที่สามารถกำจัดทุกข์ภายในใจได้อย่างเฉียบขาด เป็นวิหารธรรมของพระอรหันต์คือ “สันตุษฐี ปะระมัง ธะนัง” แปลความว่า “ความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” ถึงแม้คนมีกิเลสยากที่จะทำได้ แต่ถ้ามีความพยายามที่จะทำ คอยอบรมจิตไปทุกวัน ฝึกจิต ฝืนจิตต่อต้านกิเลสความอยากไว้ได้บ้าง ความทุกข์ใจก็จะน้อยลง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2025 at 01:33
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,054
    (ต่อ)
    สันโดษคือความพอใจในสิ่งที่ตนมีตนได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สติปัญญาความเฉลียวฉลาด ฐานะทางสังคม ทรัพย์สมบัติ พ่อแม่พี่น้อง มิตรสหาย แม้มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง จะชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็ต้องทำใจให้ยอมรับ และพยายามอยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้โดยไม่ต้องคิดเรื่องที่จะทำให้ใจเป็นทุกข์
    .
    ถ้าอยากได้ดีกว่านั้น ธรรมท่านสอนให้หามาด้วยการงานอันชอบ มีความขยันหมั่นเพียรประกอบสุจริต ไม่ทำผิดศีลผิดธรรม รู้จักรักษาทรัพย์เก็บหอมรอบริบ คบเพื่อนที่ดี ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายฟุมเฟือยจนเกินฐานะของตนเอง ทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุด ผลดีย่อมปรากฏขึ้นเอง เมื่อได้ผลอย่างไรก็จงพอใจอย่างนั้น ถ้ายังไม่พอใจก็ให้ทำเหตุดีให้มากยิ่งขึ้นไปอีก อย่าไปทำเหตุชั่ว
    .
    นี่แหละ! ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง คือ ใจที่ไม่มีทุกข์นั่นเอง ไม่มีทรัพย์ใดในโลกจะมีคุณค่ายิ่งไปกว่าใจนี้อีกแล้ว
    .
    ดังนั้น จึงไม่ควรที่ ใคร ๆ จะทำร้ายใจของตนเอง ด้วยการคิดไม่ดี คิดเป็นอกุศลอยู่ตลอดเวลา ให้คิดปลดเปลื้องทุกข์ออกจากใจตัวเองก่อน ด้วยการคิดดี คิดเป็นกุศล อย่ามัวไปคิดโทษคนอื่น สิ่งอื่นว่า มาทำให้เราเป็นทุกข์ ให้รู้ว่า ความคิดโทษคนอื่น สิ่งอื่น นั่นแล คือตัวต้นเหตุที่ทำให้ใจเป็นทุกข์หนักยิ่งขึ้น
    ถ้าไม่รู้ว่าจะคิดอะไรดี ก็ให้ใจมาอยู่กับ พุทโธ ๆๆ คิดพุทโธ ๆๆ นี่แหละ สามารถสยบทุกข์ใจได้ทุกอย่าง ถ้าพอสงบใจได้บ้างแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะคิดอะไรให้กว้างขวางไปกว่านี้ ก็ให้คิดว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา, สัพเพ สังขารา ทุกขา, สัพเพ ธัมมา อนัตตา .
    คิดวนเวียนกลับไปกลับมาทั้งวันทั้งคืน ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จิตจะค่อย ๆ เกิดความคิดที่ละเอียดแยบคายแตกแขนงออกไปเองตามจริตนิสัยของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน หากมีสิ่งใดมาสัมผัสใจ แล้วทำให้ใจคิดปรุงแต่งเป็นทุกข์ใจขึ้นมา ก็ให้พิจารณาสิ่งนั้นลงสู่กฏแห่งไตรลักษณ์นี้
    .
    ให้สอนใจว่า ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันเป็นทุกข์เพราะมันจะต้องแตกต้องพัง จะเอาใจไปยึดถืออะไรไว้ไม่ได้เลย พอตายแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของเราสักชิ้นสักอัน ถึงเราไม่ยอมจากมันไป แต่มันก็ต้องจากเราไปอยู่ดี เพราะทุกสรรพสิ่งต้องพังทั้งนั้น ทั้งตัวเขาตัวเรา ไม่มีสิ่งใดไม่แตกไม่พัง อันนี้คือหมัดเด็ด ที่จะฆ่ากิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลให้สิ้นซากจากใจได้
    .
    นี่คือ ธรรมาวุธ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานไว้กับชาวพุทธทุกคน ใครหมั่นศึกษาพิจารณาทุกสรรพสิ่งน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้ง ๓ นี้ให้มาก ๆ ทุกข์ในใจก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นทุกข์หมดสิ้นไปได้อย่างแน่นอน

    :- https://www.doisaengdham.org/สายธารธรรม-โดยเจ้าอาวาส/บุพเพอาละวาด.html
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,054
    ยอมรับได้ ใจก็สงบ
    พระไพศาล วิสาโล
    ความทุกข์ของผู้คนในปัจจุบัน ที่เป็นทุกข์กายนั้นน้อยมาก ส่วนใหญ่ทุกข์ใจกันทั้งนั้น และที่ทุกข์ใจก็ไม่ได้เป็นเพราะสิ่งภายนอกมากเท่ากับเป็นเพราะใจของตัว นั่นคือความคิด อย่างที่พูดเมื่อวาน คนเราส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิด จมอยู่กับอดีตบ้าง พะวงกับอนาคตบ้าง ไม่ค่อยได้อยู่กับปัจจุบัน หรือไม่ก็คิดปรุงแต่งไปในทางลบ รวมทั้งชอบคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น โดยเฉพาะคนที่มีมากกว่า มีดีกว่า รวมทั้งการด่วนสรุป ไม่รู้จักทักท้วงความคิดตนเองบ้าง

    ที่จริงแล้วนอกจากทุกข์เพราะความคิดแล้ว คนเรายังทุกข์เพราะความรู้สึก ทุกข์เพราะความรู้สึกที่ต่อต้าน ปฏิเสธไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ใจที่ไม่ยอมรับผลักไสสิ่งที่เกิดขึ้น บ่อยครั้งก่อให้เกิดความทุกข์ยิ่งกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเสียอีก เช่นอากาศร้อน หรือความหนาว มันทำให้เกิดความทุกข์กายก็จริง แต่ก็ไม่มากเท่ากับความทุกข์ที่เกิดจากใจที่ต่อต้าน ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ

    เวลาเงินหาย โทรศัพท์หาย คอมพิวเตอร์หาย มันไม่ได้ทำให้ทุกข์มากเท่ากับใจที่ไม่ยอมรับความสูญเสียเหล่านั้น เงินหายของหายไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกข์ใจ แต่พอใจไม่ยอมรับ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นที่ใจทันที แทนที่จะเสียแต่เงินก็เสียใจด้วย พอเสียใจแล้วมันก็ไม่ได้จบแค่นั้น บางทีก็ทำให้ไม่มีสมาธิกับงาน อย่างมีบางคนเล่าว่าให้เพื่อนยืมเงินไป เป็นเงินก้อนใหญ่ และทำท่าว่าจะไม่ได้คืน เธอทั้งเสียใจทั้งโมโห เวลาทำงานก็ไม่มีสมาธิ เพราะนึกถึงแต่เรื่องนี้ ก็เลยเสียงาน ไม่ใช่แค่นั้นพอเครียดมาก ๆ ก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ สุขภาพก็เสีย เสียงานและเสียสุขภาพยังไม่พอ พออารมณ์เสียก็ระบายใส่คนใกล้ตัว เช่น ระบายใส่ลูก ระบายใส่เพื่อน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร พอระบายความเครียดใส่เขา ก็เลยโกรธกัน เสียความสัมพันธ์ไปอีกหนึ่ง กลายเป็นว่า แทนที่จะเสียเงินอย่างเดียว ก็เสียใจ เสียงาน เสียสุขภาพ และเสียความสัมพันธ์ นี่เป็นเพราะวางใจไม่ถูกต้อง

    ที่จริงกรณีนี้ เสียเงินหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ เพราะอาจเป็นการด่วนสรุปว่าเขาโกงเงินไป แต่สมมติว่าเสียเงินไปจริง ๆ ก็ควรเสียแค่นั้น ไม่ควรเสียมากกว่านั้น แต่พอใจไม่ยอมรับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เลยเสียอีกหลายทอด เสียใจ เสียสุขภาพ เสียงาน และเสียความสัมพันธ์ ล้วนแล้วแต่ทำให้ทุกข์ทั้งนั้น อาตมาถึงบอกว่าเสียเงินยังไม่เท่าไร แต่ใจที่ไม่ยอมรับว่าเสียเงินไปแล้ว ต่างหากที่เป็นปัญหามากกว่า พูดอีกอย่างหนึ่งคือว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา แม้จะแย่ก็ไม่แย่เท่ากับใจที่ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น

    มีคน ๒ คน คนหนึ่งเป็นมะเร็ง แต่เขายอมรับได้กับโรคมะเร็งที่เกิดขึ้น ไม่ตีโพยตีพาย ไม่บ่นโอดโอย ใจก็เลยเป็นปกติได้ อีกคนหนึ่งสุขภาพดี มีกินมีใช้ งานการก็ดี แต่ว่าเพียงแค่มีสิวไม่กี่เม็ดที่หน้า ใจยอมรับไม่ได้ที่หน้ามีสิว เอาแต่กังวลถึงเรื่องนี้ เวลาส่องกระจกก็หงุดหงิดไม่พอใจกับสิ่งที่เห็น เชื่อไหมว่า คนนี้กลับทุกข์มากกว่าคนแรกด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนแรกมันหนักหนาสาหัสกว่าคนที่ ๒ แต่คนแรกเขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เขาก็เลยกินได้ นอนหลับ ยิ้มได้ ส่วนคนที่ ๒ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้แม้เป็นเพียงแค่ปัญหาน้อยนิด ก็เลยเป็นทุกข์ กลุ้มอกกลุ้มใจ มีบางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพราะรู้สึกอับอาบขายหน้า

    ใจที่ไม่ยอมรับ ใจที่ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นคือต้นเหตุหรือที่มาของความทุกข์ที่เกิดกับผู้คนมากมาย มันมีหลายเหตุผลที่ทำให้เราไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น เป็นเพราะมีความคาดหวังว่ามันไม่น่าเกิดขึ้นกับฉัน

    ผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนธรรมะธรรมโมชอบทำบุญทำกุศลตั้งแต่ยังหนุ่ม เพราะเชื่อว่าการทำบุญทำกุศล จะทำให้แคล้วคลาดจากอันตราย มีความสุขความเจริญ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ แต่แล้วก็มาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เขายอมรับไม่ได้ ตีโพยตีพายทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันทำดีแต่ไม่ได้ดี นอกจากเสียใจ ตีโพยตีพายแล้ว ยังรู้สึกโกรธแค้น เหมือนกับว่าถูกหลอกให้ทำดี ไหนว่าบุญ ไหนว่าธรรมะจะคุ้มครองฉัน แล้วทำไมฉันถึงเป็นมะเร็ง ขนาดคนที่ไม่รักษาศีล กินเหล้าเมายา ยังมีสุขภาพดี พวกที่ลักขโมย คอร์รัปชั่นทำไมมันไม่เป็นมะเร็ง แต่ฉันทำความดีมาตลอดกลับเป็นมะเร็ง เขายอมรับไม่ได้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง จึงมีความทุกข์มาก กราดเกี้ยว ไม่ใช่กราดเกรี้ยวชะตากรรมเท่านั้น แต่ยังกราดเกรี้ยวกับคนที่อยู่รอบตัว ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล หาความสงบไม่ได้เลย ตอนใกล้จะตายก็ทุรนทุราย สุดท้ายก็ตายไม่สลบ มะเร็งทำให้เจ็บปวดก็จริง แต่มันก็ไม่เท่ากับความรู้สึกทุกข์ใจเพราะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวไม่ได้ ว่าทำไมทำบุญทำกุศลแล้วต้องมาเจอแบบนี้
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,054
    (ต่อ)
    อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ไม่ใช่คนธรรมะธรรมโมก็จริงแต่เป็นคนรักษาสุขภาพ กินอาหารธรรมชาติ อาหารชีวจิต ออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า รวมทั้งกินวิตามินและสารอาหารทั้งหลายที่ป้องกันมะเร็ง เช่น ยาต้านอนุมูลอิสระ รู้ว่ามีอะไรดีก็ไปขวนขวายหามา สาหร่ายที่ช่วยต่อต้านมะเร็งก็ไปซื้อมาทั้ง ๆ ที่ราคาแพงมาก แต่วันหนึ่งพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เธอมีปฏิกิริยาคล้ายคนแรก คือ โกรธ ตีโพยตีพายว่าทำไมต้องเป็นฉัน เธอรู้สึกผิดหวังอย่างแรง ก้าวร้าวต่อผู้คนรอบข้างเช่นเดียวกับคนแรก และทุรนทุรายตลอดเวลาที่นอนป่วย ในที่สุดก็ตายไม่สงบ

    ที่ตายไม่สงบไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดของมะเร็ง แต่เป็นเพราะใจที่ไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมถึงไม่ยอมรับ เพราะมีความคาดหวังว่ากินอาหารสุขภาพ ใช้ชีวิตถูกต้อง ต้องไม่เป็นอะไร แคล้วคลาดปลอดภัย เมื่อยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ใจก็เลยไม่สงบ จิตใจรุ่มร้อน ซึ่งก็ซ้ำเติมความทุกข์กายให้หนักหนาสาหัสกว่าเดิม ต่างกับบางคนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง ก็ยอมรับได้ทั้ง ๆ ที่เป็นมะเร็งที่รุนแรง น่ากลัว น่าเกลียด

    มีหมอคนหนึ่งเล่าว่าได้รับหมอบหมายให้ไปเยี่ยมคนไข้คนหนึ่ง คนไข้คนนี้เป็นมะเร็งที่ใบหน้า มะเร็งกัดใบหน้าจนเป็นรูใหญ่ คนที่เป็นมะเร็งชนิดนี้มีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงมาก ในอเมริกาสถิติการฆ่าตัวตายสูงถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะทั้งเจ็บปวด ทั้งอับอายขายหน้า ไม่กล้าออกไปเจอหน้าผู้คน ส่วนคนอื่นก็ไม่อยากเข้าหาเพราะทั้งกลัวทั้งรังเกียจ ที่สำคัญคือ คนที่เป็นมะเร็งชนิดนี้จะต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน ออกไปไหนไม่ได้ เพราะแพ้แสง เจอแสงจ้าจะรู้สึกเจ็บปวด พอเก็บตัวอยู่คนเดียวนาน ๆ ก็จะรู้สึกหดหู่และเครียด จนไม่อยากมีชีวิตอยู่

    เมื่อหมอรู้ว่าจะไปเจอคนไข้คนนี้ก็หนักใจ เพราะไม่รู้ว่าจะรับมือกับอารมณ์ของเขาได้หรือไม่ แต่พอเจอคนไข้ กลับพบว่าเขาโอภาปราศรัยดี ต้อนรับเหมือนคนปกติ เพียงแต่พูดไม่ค่อยถนัด บ้านของเขาปิดมืดทึบเพราะว่าเจอแสงแดดไม่ได้ แต่คนไข้ไม่มีอารมณ์หดหู่หรือกราดเกรี้ยวเหมือนกับคนที่ป่วยด้วยมะเร็งชนิดเดียวกัน คุยไปคุยมาเขาก็เล่าว่าตอนเป็นหนุ่มเขาเป็นคนเสเพล กินเหล้า สูบบุหรี่ เอาแต่เที่ยว ครั้นแต่งงานมีครอบครัว ภรรยาก็ขอหย่า ลูกไปอยู่กับภรรยา เขาคิดว่าที่เขาเป็นมะเร็งก็คงเพราะใช้ชีวิตแบบนี้ ลึก ๆ เขาคงรู้สึกว่าสมควรแล้วที่เขาต้องเป็นมะเร็ง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้เขายอมรับมะเร็งได้

    เหตุผลสำคัญก็คือ ระหว่างที่ล้มป่วย พออยู่ในบ้านไปไหนไม่ได้ก็เลยเปิดดูข่าว CNN ทั้งวัน วันแล้ววันเล่าเขาก็ได้คิดว่าคนเราไม่ว่าเชื้อชาติใดภาษาใดล้วนแต่มีความทุกข์ทั้งนั้น บางคนตายเพราะแผ่นดินไหว บางคนตายเพราะไฟไหม้ บางคนพิการเพราะน้ำท่วม หรือล้มป่วยเพราะโรคระบาด เขาพบว่าคนเราล้วนมีความทุกข์ทั้งนั้น เขาจึงรู้สึกว่าความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ความทุกข์ที่เกิดกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทั้งโลก เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็เลยยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้

    จะพูดว่าเขาพบธรรมจาก CNN ก็ได้ บางคนพบธรรมจากหนังสือธรรมะ จากการฟังเทศน์ แต่คนนี้เขารู้ธรรมจากข่าว คนเป็นอันมากดูข่าวแต่ไม่เกิดความรู้ทางธรรมะเลย แต่ผู้ชายคนนี้เกิดเข้าใจธรรมะขึ้นมา คือเห็นว่าความทุกข์เป็นธรรมดาของชีวิต ก็เลยยอมรับความเจ็บป่วยได้ เขาไม่ทุรนทุราย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีเวลาอยู่แค่ ๔-๖ เดือน ตามที่หมอคาดการณ์ไว้ แต่เขาพยายามที่จะรักษาชีวิตของตนให้นานที่สุด จะได้มีโอกาสอยู่กับลูกนาน ๆ เพราะที่ผ่านมาเหินห่างจากลูกมาก ปรากฏว่าเขาอยู่ได้นานเป็นปี แล้วก็ตายโดยไม่ได้ทุรนทุรายเหมือนกับ ๒ คนแรก

    อันนี้ดูเหมือนไม่เป็นธรรม ทำไมคนที่ชอบทำบุญกุศลจึงตายอย่างทรมาน ขณะที่อีกคนเที่ยวสำมะเลเทเมาแต่ว่าตายสงบ ที่จริงแล้วคนเราจะตายสงบหรือทรมาน ไม่ได้อยู่ที่ว่าอดีตเคยทำอะไรมา นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าทำใจอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คนบางคนชอบเข้าวัด หมั่นทำบุญ แต่วางใจไม่ถูก ทำด้วยความคาดหวังว่าต้องแคล้วคลาดจากอันตราย ไม่เจ็บไม่ป่วย ถ้าทำบุญด้วยความคาดหวังแบบนี้ ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง เพราะคนเรายังไงก็ต้องเจ็บป่วย พอป่วยก็จะยอมรับไม่ได้ อันนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไม่ถูกก็ได้

    อีกคนหนึ่งแม้จะห่างธรรมะ แต่ในที่สุดก็เข้าใจธรรมะขั้นพื้นฐาน แม้จะเป็นการเรียนรู้จากข่าวโทรทัศน์ก็ตาม ความเข้าใจดังกล่าวทำให้เขายอมรับความจริงที่เลวร้ายได้ ใจจึงสงบ ไม่ทุรนทุราย อาตมาจึงอยากจะย้ำว่า อะไรเกิดขึ้นกับเรา ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้ายอมรับไม่ได้ก็ทุกข์ทรมานจนอยากตาย ตรงกันข้าม แม้เจอเรื่องหนัก ๆ แต่ใจยอมรับได้ ก็สามารถพบความสงบได้

    :- https://visalo.org/article/suksala21.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...