บูชาแบบ “ผู้มีปัญญา”

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 18 กันยายน 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    บูชาแบบ “ผู้มีปัญญา”

    พระพุทธศาสนานั้น สอนเรื่องสำคัญมากคือ สอนเรื่องการดับทุกข์ที่เกิดขึ้น แต่การที่จะดับทุกข์ได้นั้นทุกคนได้ต้องเข้าใจที่มาที่ไป เข้าใจ “เหตุที่เกิด” ว่ามาจากอะไร เข้าใจ “ผลที่จะได้รับ” ทำแล้วเกิดผลอะไร ไม่ทำจะเกิดผลอะไร ไม่แค่เพียงบอกให้รู้ให้เข้าใจแต่บอกทาง แต่บอกวิธีปฏิบัติให้ดับทุกข์ได้เลย

    พระพุทธศาสนา เปิดเผยและสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่ได้สอนให้กลัวแต่สอนให้รู้จักที่จะแก้ไข บอกความจริงให้เราทุกคนรู้ว่า คนเรานั้นจะดีหรือร้าย จะรวยหรือจน จะลำบากหรือสุขสบาย

    ล้วนมาจากของ”กรรม” หรือการกระทำของตนเองทั้งสิ้น

    ของฟรีไม่มีในโลก ทุกเรื่องในเรื่องโลกนี้ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ!!!

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ทรงกล่าวถึงเหตุและผลแห่งกรรม คือ

    “ผลดีผลสำเร็จในความปรารถนาที่ดีใด ๆ ย่อมเกิดแต่เหตุที่ดี และผลไม่ดีไม่สมหวังในความปรารถนาที่ไม่บริสุทธิ์ย่อมเกิดแต่เหตุไม่ดี”

    ที่ต้องพูดเรื่องของกรรมและกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องแรกนั้น เพราะเพียงอยากจะบอกว่าหากเราเป็น เชื่อในบุญ เชื่อในบาป กฎแห่งกรรม แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว คิดถูกทาง

    เราจึงควรบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบผู้มีปัญญา

    บูชาในธรรมะปฏิบัติ ในผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ในผู้สร้างกรรมดี ในคำสอนสิ่งที่ดี ในวิธีปฏิบัติที่ดีที่ช่วยให้ชีวิตเราดี สมบูรณ์ทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะถ้าต้นเหตุนั้นดี ผลย่อมออกมาดี

    ดังในคืนสุดท้ายที่พระพุทธองค์กำลังจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน บรรดาพระสาวกทั้งหลายมีความโศกเศร้าอาลัย ต่างพากันหวาดวิตกกังวลว่า เมื่อไม่มีพระศาสดาเป็นหลักให้บูชาแล้ว ทุกอย่างคงต้องจบสิ้น

    เว้นแต่มีภิกษุรูปหนึ่งนามว่า “พระธรรมาราม”ที่ คิดและทำตัวแตกต่างไปจากภิกษุรูปอื่น

    คือท่านทำตัวดูเหมือนจะไม่มีความอาลัยในพระพุทธองค์เลยสักนิด ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร และได้ปลีกตัวออกไปจากหมู่สงฆ์ เมื่อภิกษุรูปอื่นเห็นแบบนั้น ก็พาเกิดความสงสัยคิดกันว่า เจ้าหมอนี่ต้องมีแผนการคิดจะกบฏหรือคิดจะทำอะไรไม่ดีแน่

    เพราะเคยมีเหตุการณ์ที่ “พระเทวทัต” ที่เคยพยายามทำให้สงฆ์แตกแยกมาก่อนสุดท้ายโดนธรณีสูบไปแล้ว จึงนำความเรื่องนี้ไปกราบทูลแด่พระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์สดับรับฟัง ก็ทรงเรียกพระธรรมารามเข้ามาต่อหน้าพระพักตร์และคณะสงฆ์แล้วถามว่า เป็นอย่างนั้นจริงหรือ

    พระธรรมาราม ก็ยอมรับว่าได้ทำเช่นนั้นจริง!

    แต่ได้อธิบายว่า เหตุที่ท่านได้ปลีกวิเวกแยกตัวออกจากหมู่สงฆ์ ทั้งนี้ก็เพื่อให้การปฏิบัติธรรมของท่านเกิดผลมากที่สุด เพื่อเป็นการ “บูชาพระพุทธองค์” เพราะคิดว่าเป็นการบูชาที่ดีที่สุดแล้ว เมื่อพระพุทธองค์ได้สดับรับฟังดังนั้น จึงกล่าวยกย่องชมเชยพระธรรมารามว่า

    การกระทำแบบนี้ถือว่าเป็นผู้ที่บูชาที่ดีสูงสุดและถูกต้อง

    มากกว่าการจะนำเครื่องสักการะ วัตถุสิ่งของใด ๆ มาบูชา

    แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงห้ามการนำสิ่งของทั้งหลายมาบูชา เพราะถือว่าเป็นเรื่องของความเชื่อที่มีมาดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้วเท่านั้นเอง ทรงไม่ปิดบังความเชื่อใครทั้งสิ้น แต่ได้กำหนดเป็นอามิสบูชาสำหรับสมณะเพศไว้ (อธิบายไว้ในบทบูชา)

    ทุกท่านควรทราบไว้ว่า ในศาสนาพุทธนั้นไม่ได้ปฏิเสธว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีพรหมเทพเทวดา มารต่างๆ ดวงจิตวิญาณที่มีพลังอำนาจเหนือคน เพราะในพระไตรปิฎกมีการกล่าวในเรื่องเหล่านี้มากมาย

    แต่ศาสนาพุทธได้วางฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธ์ พรหมเทพเทวดาทั้งหลาย อยู่ในสถานะที่เหมาะสม

    และยังได้บอกถึงมีวิธีบูชาที่ถูกต้อง เกิดผลมาก ที่ไม่เดือดร้อนต่อคนเอง และผู้อื่น

    ที่อาจจะไม่เหมือนกับศาสนาอื่น ที่มีอิทธิพลมากในสมัยนั้นจนมาถึงปัจจุบันนี้ ที่พยายามบอกกับทุกคนว่า ทุกคนไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกมีชีวิตของตนเองตามที่ต้องการได้ เพราะพระเจ้า เทพเจ้าต่างๆ เพราะเป็นผู้ลิขิตชีวิตของคนทั้งหมดไว้แล้ว สรุปหมดสิทธิ์แม้แต่จะคิด

    เน้นให้บูชา ท่องมนต์ บัดพลี ฆ่าสัตว์เพื่อสังเวย พร้อมเครื่องสักการะมากมาย จะลำบากยากแค้น ทุกข์แค่ไหนไม่สนใจ ขอให้ทำให้พระเจ้า เทพเจ้าต่างๆ พอใจมากที่สุด

    เพราะถ้าพอใจแล้ว จะเสก เป่า ดลบันดาลให้รวย ให้ดีได้ !!!

    อีกทั้งยังกดหัวฝังความเชื่อผิดๆ ไว้อีกเป็นพันๆ ปีว่า หากเกิดในชั้นไหน วรรณะไหนก็ต้องอยู่ในวรรณะนั้นไปชั่วลูกชั่วโคตร จะมาพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงสถานะ วรรณะของตนไม่ได้จนกว่าตายไป ซึ่งน่าสงสารและไม่เป็นความจริงอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย

    ด้วยพระเมตตา พระมหากรุณาของพระพุทธเจ้า ทรงสะสมพระมหาบุญบารมีมาหลายภพชาติจนมาถึงชาติสุดท้ายที่ทรงตรัสรู้ และได้เมตตาเอาความรู้แจ้งนั้น มาสอนและเผยแพร่สู่สรรพสัตว์

    จริงๆ แล้ว พระพุทธองค์ ตรัสรู้สิ่งต่างๆ ของกฎธรรมชาติ กฎแห่งความสมดุล กฎของเหตุและผลนั้นมากมายมหาศาล เหมือนป่าใหญ่อันอุดมสมบูรณ์ แต่พระพุทธองค์ทรงทราบถึงจริตของคนนั้นแตกต่างกันมาก พระพุทธองค์จึงนำเอาเพียงบางส่วน

    เปรียบเหมือนใบไม้ในกำมือ มาสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์

    เพื่อให้ทุกคนตระหนักใน ความจริงแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ความจริงแห่งชีวิตที่ไม่รู้กันมาก่อน บอกเรื่องกฎแห่งกรรมที่มีมาคู่กับโลก ไม่ได้เป็นของใหม่หรือที่พระพุทธองค์แอบตั้งลอยๆ ขึ้นมาเอง

    พระพุทธองค์ประกาศศาสนาพุทธเพื่อปลดแอกสรรพสัตว์ให้ตื่นขึ้น รู้ว่าชีวิตทุกชีวิตนั้นสามารถพัฒนา เปลี่ยนแปลงได้ไม่ใช่มานั่งรอ นอนรอให้พระเจ้ามาลิขิต มาดลบันดาล อันชีวิตและโชคชะตาของคนเรานั้นจะดีหรือเลว จะประณีตหรือทราม จะมีเกียรติหรือไร้ศักดิ์ศรี

    ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำหรือ “กรรม” ของตนเองทั้งสิ้น

    ไม่มีอำนาจอื่นใดไม่ว่าจะมาจากพระเจ้า เทพเจ้า ดวงดาว ผีสาง เทวดา หมอดู หมอเข้าทรงหน้าไหน มาเบี่ยงเบนผลกรรมได้ ใครทำเหตุไว้อย่างไรก็ต้องได้รับผลตามนั้น

    ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว ไม่มีใครใหญ่เกินกรรมและหนีกรรมไปได้

    ***

    #พระพุทธเจ้า #ธรรม #หนังสือธรรมทาน #ธ.ธรรมรักษ์ #บูชา
     

แชร์หน้านี้

Loading...