ประวัติครูบาอาจารย์ หลวงตาพร วิมโล

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย หลวงพี่โทน, 20 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. หลวงพี่โทน

    หลวงพี่โทน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +57
    ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย วันนี้ได้มีโอกาส นำเอาประวัติครูบาอาจารย์ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกท่านหนึ่งมาเล่าสู่กันฟัง ข้อมูลจากหนังสือ ร่มพุทธาวัดป่าเคียนพิง เมื่อเดือนเมษายนปี2554 ได้มีโอกาสพบกับพระธรรมวิทยากรท่านหนึ่งชื่อ พระอาจารย์ธีรโชติ จิรโชโต แล้วได้พูดคุยกันเกี่ยวกับการปฏิบัติของตัวเองสู่กันฟัง เพื่อการปฏิสันฐาน และตอนท้ายท่านได้แนะนำให้รู้จักชื่อ หลวงตาท่านหนึ่ง คือ หลวงตาพร วิมโล อยู่ จ.สุราษธานี เราก็คิดว่า เฮ้ยของจริงหรือ อะไรประมาณนี้ เพราะเราพระบ้านอยู่แต่ในเมืองมีแต่ความสุขไม่เคยเจอทุกข์จริงๆจึงไม่ขวนขวายปฏิบัติจริงเท่าไร หลังจากนั้นไม่นาน กรรมฐานอนุบาลของเราก็เริ่มเสื่อม จาก ผัสสะทั้งหลายที่เข้ามาทำให้ต้องเร่งหาครูบาอาจารย์ เพื่อแก้ปัญหาให้ โดย อธิฐานจิตว่า ถ้าเราไม่สามารถเสาะหาครูบาอาจารย์ที่เราลงใจให้จะสึกแน่นอน สุดท้ายก็พิจารณาคิดถึงคำพูดของ พระอาจารย์ธีรโชติ จึงลองเดินทางไปกราบท่านที่ จ.สุราษฯ สุดท้าย เจอของจริง ต้องยอมรับว่า ลงใจได้เลย คือ ยอมท่านเลย ของแท้แน่นอน เราก็มั่นใจ ที่สำคัญ ปลายเดือนมิถุนายน 2555 ท่านจะยอมเปิดตัวเพื่อสงเคราะห์ เราท่านทั้งหลาย ที่รู้ๆคือ จะได้ เห็นพระธาตุ คือ ฟันของท่านที่หลุดออกมาแล้วกลายเป็นพระธาตุ แต่ธรรมะจากท่านเราฟังแล้วรู้สึก และสัมผัสได้เลยว่า ถูกต้อง เป้าหมายตรงกับปริยัติ ที่เราเรียนมาเลย แต่ในส่วนของการปฏิบัติ ไม่มีเขียนไว้ตามคัมภีร์แน่นอน ต้องสัมผัสด้วยตัวเองเน๊าะ เรียกว่า "ปัจจัตตังเวทิตัพโภวิญญูหิ" แปลว่า วิญญูชนพึงรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น นี่แหละที่ว่าตรงเป๊ะเลย
    เริ่มจากชาติภูมิของท่าน (หมายเหตุ เป็นการเล่าแบบสดๆนะแล้วช่วยกันบันทึกเอาไว้แล้วมาพิมพ์เป็นหนังสือ หายยากนะ ที่ครูบาอาจารย์จะยอมเปิดตัวขนนาดนี้ คือ ไม่ยอมเล่าเรื่องตัวเองให้ลูกศิษย์ฟังหมด โดยเฉพาะประวัติ กับ อารมณ์การปฏิบัติของท่าน )
    ฉันปีนี้อายุเข้า ๗๓ ปี ( พ.ศ. ๒๕๕๔ ) ตั้งแต่เกิดมานี่ โอ้ ! ชีวิต ถ้าลำดับเหมือนสวรรค์เคยขึ้นนรกเคยลง บ้านเกิดเมืองนอนเกิดที่บ้านหอคอย ตำบลคอทราย อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี บ้านเกิดอยู่ห่างค่ายบางระจันประมาณ ๒ กิโลเมตร เป็นลูกชาวนา โยมพ่อชื่อผิว สิงห์คลาน โยมแม่ชื่อกลี่ สิงห์คลาน นามสกุลสิงห์คลานนี่ขอพูดหน่อยหนึ่งมันพลิกไปพลิกมา บางคนก็สิงห์คลาน บางคนก็สิงโตคลาน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอันนี้ค่อยพูดทีหลัง เรื่องนามสกุลนี่เกี่ยวกับทางใต้เหมือนกันffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    โยมพ่อโยมแม่มีลูกทั้งหมด ๗ คน คนโตชื่อนางผ่อน สิงห์คลาน เดี๋ยวนี้มาบวชชีอยู่ด้วย คนที่ ๒ หลวงตาพัก สันตมโน บวชอยู่ที่ถ้ำเพชร คนที่ ๓ นายควร สิงห์คลาน อายุ ๕๐ ปี นอนหลับใหลตาย เป็นคนดีของครอบครัวมากที่สุดคน ๆนี้ คนที่ ๔ นางพาน สิงห์คลาน เดี๋ยวนี้ก็ตามมาบวชชีด้วยอีก คนที่ ๕ คือฉันนี่แหละ คนที่ ๖ นางอ่อน สิงห์คลาน เดี๋ยวนี้ตายแล้ว อายุ ๕๒ ปีก็ตาย คนสุดท้องนางสังเวียน สิงห์คลาน เดี๋ยวนี้อยู่กรุงเทพ ฯ<O:p></O:p>
    เรื่องแปลกวัยเด็ก<O:p></O:p>
    ฉันเกิดเมื่อวันพุธที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ มีเรื่องแปลกอยู่ขอแทรกไว้เลย พี่สาวคนโตคือแม่ชีผ่อนเป็นพี่เลี้ยง สมัยก่อนเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ไม่มี เกิดมาได้ ๓ ปี เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๕ คนอายุ ๗๐ – ๘๐ สมัยนี้เขาจะรู้กันทุกคน ปีนั้นน้ำท่วมบ้านถึงเอวผู้ใหญ่ ซึ่งทุกปีไม่ท่วม พี่สาวเล่าว่า ฉันอายุ ๓ ขวบคลานไปคลานมาอยู่บนบ้านก็ตกลงไปน้ำ พี่สาวรีบวิ่งลงไปคว้า แต่เป็นเรื่องแปลกมาก ปรากฏว่าฉันที่ตกลงไปในน้ำกลับนั่งขัดสมาธิแต้อยู่ใต้น้ำ ไม่ดิ้นไม่อะไร ตอนนั้นเราก็ไม่สนใจอะไรนะ แกพูดมาจนเราโต เดี๋ยวนี้เรารู้เลยว่าเป็นอะไร ตกน้ำลงไปนั่งขัดสมาธิแต้ไม่เป็นอะไร นั่นเป็นชีวิตที่แปลกตอนสมัยเป็นเด็ก<O:p></O:p>
    เล่าเรียนเขียนอ่าน<O:p></O:p>
    พออายุเข้าเรียน สมัยนั้นมีแค่ ป. ๔ มันเป็นเด็กที่แปลก ทำอะไรแปลก ๆกว่าเด็กด้วยกัน ความรับผิดชอบสูง เมื่อได้รับมอบหมายแล้วทำเต็มที่ เรียนชั้น ป.๑ เป็นเด็กบ้านนอก ไม่ใช่ว่าฉลาดมันโง่ ๆเซ่อ ๆ พอมาถึง ป.๒ มีจิตขึ้นมามันแปลก ๆอยู่นะ เห็นเด็กที่ยังไม่เข้าใจจะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้เขา คอยดูแลเขา พอเรารู้จักก็คอยช่วยเหลือ<O:p></O:p>
    การเรียนก็ดีขึ้น สอบได้ที่ ๑ ที่ ๒ ทำอะไรจะทำจริง เรื่องเงินเรื่องทองซื้อสมุดดินสอชอบหาเอาเอง ชอบค้าขายตั้งแต่เด็ก ไปขายของโยมแม่ให้นั่งหัวเรือ คนเดียวก็ไปขายหาเงิน ค้าขายมันไม่อาย เวลาจัดงานโรงเรียนก็เอาของไปขาย<O:p></O:p>
    ประธานนักเรียน<O:p></O:p>
    ในโรงเรียนอาจารย์ก็ยกย่องชมเชยหน้าแถวเป็นแบบอย่างสิ่งที่เราทำอยู่บ่อย ๆ จน ป.๔ มีการเลือกประธานนักเรียน มีการสมัครกัน สมัยก่อนโรงเรียนมันน้อย ๗ หมู่บ้านมาเรียนโรงเรียนเดียวกัน การสมัครประธานใหม่ฉันไม่สมัคร แต่อาจารย์ใหญ่ถามว่าใครอยากให้ฉันเป็นประธานนักเรียนบ้าง ปรากฏว่านักเรียนยกมือพรึบทั้งโรงเรียน ฉันก็งงอยู่เลยลุกขึ้นพูดว่าผมไม่เป็นหรอกครับ แต่อาจารย์ใหญ่บอกว่า<O:p></O:p>

    2<O:p></O:p>

    เขาเห็นเราสมควรก็ต้องรับสิ ฉันก็เลยต้องรับเป็นประธานนักเรียน สมัยก่อนมีอำนาจมากนะ รองจากครูแหละ มีอำนาจที่จะลงโทษนักเรียนได้ แต่ฉันเองไม่ได้เห่อเหิมอะไรมีแต่การช่วยเหลือกัน เด็กคนไหนมีปัญหาฉันก็ช่วย<O:p></O:p>
    นิสัยและความรับผิดชอบ<O:p></O:p>
    นิสัยชอบช่วยคนเป็นตั้งแต่เด็ก ๆ เห็นใครทุกข์ก็เข้าไปช่วย มันเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่จะถูกทุกอย่าง บทที่ผิดก็มีเหมือนกัน<O:p></O:p>
    โยมพ่อแม่มีลูกมากถึง ๗ คน ตอนอยู่ ป.๒ โรงเรียนปิด ๑ เดือน น้าให้มาอยู่ด้วยให้ช่วยเลี้ยงควายให้แล้วจะให้ชุดนักเรียนชุดหนึ่ง พอมาถึงแกก็สั่งเลยนะหน้าที่ของฉันตื่นตี ๔ ให้ตักน้ำจากแม่น้ำน้อยซึ่งใสสะอาดในช่วงนั้นใส่โอ่งกินโอ่งอาบโอ่งล้างเท้าและรดน้ำพลู ๑๐ ค้าง ฉันก็รับปากและปฏิบัติอย่างเรียบร้อยทุกวันตลอด ๑ เดือนโดยไม่ต้องตักเตือน พอครบเดือนน้าก็ซื้อชุดนักเรียนให้ ๑ ชุดตามสัญญา<O:p></O:p>
    ประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๐ พอขึ้น ป. ๔ ชาวบ้านก็พูดบ่อย ๆเลยว่าฉันเป็นคนผ่าเหล่ามาเกิด ทำอะไรทำจริง ได้ไปอยู่กับอา อาก็สั่งแบบนั้นอีกเหมือนกัน ตักน้ำใส่โอ่งกินโอ่งอาบโอ่งล้างเท้า รดพลู ก็ทำเรียบร้อย การเรียนก็สอบได้ที่ ๑<O:p></O:p>
    ชีวิตในวัยประถม พอจบปุ๊บอาจารย์ใหญ่ชื่ออาจารย์เฉียบ มาหนุนกับโยมพ่อโยมแม่ว่าให้เรียนต่อ ถ้าไม่เรียนต่อเสียดายมากเด็กหัวดีมาก เราก็ไม่กระตือรือร้นอะไร ให้เรียนเราก็เรียน โยมพ่อโยมแม่จะให้เรียนมัธยมที่อำเภอซึ่งไกลจากหมู่บ้าน แต่อาจารย์ใหญ่บอกว่าไม่เป็นไรให้อยู่บ้านท่าน เพราะบ้านท่านอยู่ใกล้อำเภอ ท้ายที่สุดก็ไปฝากเรียบร้อย<O:p></O:p>
    บวชเณรเรียนนักธรรม<O:p></O:p>
    ต่อมาญาติอีกคนมาพูดว่าเรียนต่อมันใช้เงินมากนะ ยิ่งเรียนสูงยิ่งใช้มาก จะส่งไหวรึ ? บวชเณรดีกว่าบวชที่วัดท่าข้าม จังหวัดสิงห์บุรี เรียนนักธรรมแล้วไปเรียนต่อมัธยม ไม่เปลืองเงิน โยมพ่อพลิกโยมแม่พลิกตัดจิตตัดใจไม่ให้ไปเรียนทางโลกล่ะ ให้บวชเณร อาจารย์ใหญ่เสียดายมากเลยนะ<O:p></O:p>
    ตอนนั้นเป็นเด็กเราก็ไม่ขัด ตกลงก็จะบวชเณร ไปอยู่วัดก่อนบวชใช้เวลา ๓ เดือน ท่องหนังสือ ท่องหมดเลยตั้งแต่บทต้นจนถึงบทปลาย ก็ได้บวชแล้วเรียนนักธรรมตรี สมัยก่อนนักธรรมเข้มงวดมีค่ามากนะ นักธรรมโทนี่พอจบปุ๊บเป็นตำรวจทหารไม่ต้องสอบ<O:p></O:p>
    ปีแรกสอบนักธรรมตรีได้ ปีที่ ๒ สอบนักธรรมโท สอบกัน ๑๕ รูป เราได้รูปเดียว เขายกย่องเชิดชูมากนะ นิมนต์ไปเทศน์ แต่เทศน์อ่านหนังสืออ่านใบลาน นิมนต์ไปตามบ้าน<O:p></O:p>
    ไปเรียนกรุงเทพ ฯ<O:p></O:p>
    ต่อมาเห็นรุ่นพี่ไปเรียนกรุงเทพ ฯ ก็เลยบอกหลวงพ่อว่าอยากไปเรียนกรุงเทพ ฯ<O:p></O:p>
    หลวงพ่อก็ให้ไป ได้ไปอยู่วัดวิเศษการ หลังโรงพยาบาลศิริราช คนใต้อยู่เยอะนะ ก็เรียนอยู่ที่นั่น ตอนเรียนนักธรรมโทนั้นนะ มีเรียนเรื่องพระอริยะสงฆ์ อาจารย์รูปหนึ่งท่านนักธรรมเอก ตอนนี้สึกไปมีเมียและตายแล้ว ตอนนั้นเราอายุ ๑๔ ต่อ ๑๕ ท่านบอกว่าสมัยนี้อริยะสงฆ์ไม่มีหรอก มีแต่สมมุติสงฆ์ที่บวชเพื่อรักษาศาสนากันไว้ อาจารย์รูปนี้เราไม่เคยด่าว่าให้เข้าใจผิด ท่านคงไม่รู้<O:p></O:p>

    3 <O:p></O:p>

    ที่วัดวิเศษการ ท่านพระครูเจ้าอาวาสเป็นพระกรรมฐานพระภาวนา มีเณรบางรูปภาวนา แต่เราไม่สนใจเอาแต่เรียนอย่างเดียว เรียนที่วัดมหาธาตุ ฯ บางครั้งไปเรียนที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ครูบาอาจารย์เมตตามาก ชอบออกความเห็นอะไรอย่างนี้นะ<O:p></O:p>
    สึกหาลาเพศ<O:p></O:p>
    พอบวชเณรมาทั้งหมด ๕ พรรษา ก็บวชพระอีกพรรษาหนึ่ง นี่เราลัด ๆนะไม่ต้องละเอียดมาก ก็เป็น ๖ พรรษาทั้งพระ พอเป็นหนุ่มก็คิดว่าจะบวชไปทำไมหนอ ก็คนหนุ่มวัยหนุ่ม ท้ายที่สุดก็สึก ก็น่าเสียดาย ถ้าจบปริญญาตรีวัดมหาธาตุ ฯก็เป็นนายร้อยนะ ปริญญาตรีสมัยก่อนมีค่ามาก<O:p></O:p>
    พอสึกปุ๊บก็จะเป็นตำรวจเพราะเห็นพี่เขยเป็นตำรวจ ก็บอกโยมแม่ว่าผมจะเป็นตำรวจ ท่านก็ว่ามึงจะหากินกับลูกปืนเร๊อะ อ้ายเราก็เลยถอดใจ นักธรรมโทรุ่นก่อนถ้าเป็นตำรวจก็พันโทพันเอกนะ นักธรรมโทสมัยก่อนเขาเทียบให้ ม.๖ สมัยนี้ไม่ได้แล้ว<O:p></O:p>
    ย้ายครอบครัวไปนครสวรรค์<O:p></O:p>
    ต่อมาโยมพ่อโยมแม่ย้ายครอบครัวจากสิงห์บุรี ขายนาไปอยู่ตาคลี แล้วย้ายไปชุมแสง นครสวรรค์ หาที่ทำกินใหม่ บางคนก็ว่าบวชนานทำงานไม่เป็น มันไม่จริง เราทำงานกระจุยเลย เกิดมาคำว่าตกงานไม่มีในตัวเรา แล้วไม่เลือกงานด้วย งานนั้นจะให้เงินมากเงินน้อย ขอให้เป็นงานสุจริตไม่เลือก มันเป็นธรรมชาติคือเป็นคนขยันทำงาน ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มยังไม่แต่งงาน มีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงชักนำให้ไปสู่ขอลูกหลานนับสิบราย<O:p></O:p>
    ความขยันมันเป็นเสน่ห์ แล้วเราไม่รังเกียจงาน สมัยก่อนการเลื่อยไม้ใช้คนเลื่อยเลื่อยไปเลื่อยมา เราเห็นคนเลื่อยไม้อยู่ก็ขอเข้าไปเลื่อยบ้าง มันเป็นของมันเอง ญาติหรือไม่ใช่ญาติ มีอะไรช่วยได้จะช่วยทันที ถ้าใครมาขอร้องแล้วช่วยเขาไม่ได้จะเป็นทุกข์ ถ้าช่วยได้จะช่วยเหลือ มันเป็นนิสัยแบบนั้น นั่นเป็นการใช้ชีวิตวัยหนุ่ม เราก็ทำงานช่วยโยมพ่อโยมแม่<O:p></O:p>
    สมัยก่อนที่อยู่นครสวรรค์ ไปซื้อที่ทำนาบัว ที่แยกครอบครัวก็แยกไป ที่ยังอยู่ ๕ชีวิต มีโยมพ่อโยมแม่ ตัวเราและน้องสาว ๒ คน พี่ ๆเขาแต่งงานก็แยกย้ายกันไป อยู่กัน ๕ คน ฉันทำงานคนเดียวค่าข้าวสารพอแล้ว ยังเหลือด้วยซ้ำ ความรับผิดชอบสูง ทำเต็มที่ในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย หาได้เท่าไรให้โยมพ่อโยมแม่ เก็บไว้วันละ ๕ บาทเฉพาะตัว มันเป็นธรรมชาติมันเป็นของมันเอง<O:p></O:p>
    แต่งงาน<O:p></O:p>
    พออายุ ๒๔ ปี ก็แต่งงาน ได้แต่งงานกับแม่ยุพิน ตระกูลเขามีลูก ๕ คน เป็นคนมีฐานะ เขาเป็นลูกสาวคนเล็ก มีที่ดิน ๒๐๐ กว่าไร่ที่นครสวรรค์ เขาตัดสินใจแต่งงานกับเราก็เพราะความขยันนั่นแหละ<O:p></O:p>
    คนภาคกลางกับคนภาคใต้มีนิสัยใกล้เคียงกัน คือมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก<O:p></O:p>
    เชื่อมั่นแบบข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในตองอู ส่วนใหญ่คนภาคใต้กับคนภาคกลางจะเป็นอย่างนั้น เป็นคนจริงนะ คนจริงนั้นดีอยู่ แต่เราเป็นคนเชื่อมั่นเรียกว่าทิฐิมานะสูงไปด้วย คือไม่ลงใครง่าย ๆ ไม่เอาก็ไม่เอาเลย ถ้าถูกก็ถูกแรง ถ้าผิดก็ผิดแรง ใคร ๆเขาว่าแต่งงานก็สบายแล้ว หนูตกถังข้าวสารว่างั้นเถอะ ลูกสาวคนเล็กคนเดียวมีที่ดิน ๒๐๐ กว่าไร่<O:p></O:p>

    4<O:p></O:p>

    ขัดข้องหมองใจ ออกไปสู้ชีวิต<O:p></O:p>
    แต่งงานอยู่ได้เพียงปีกว่า แม่ยายพูดอะไรกระทบใจหน่อยก็ฮึดเลย สมัยนั้นเรารับว่าเราก็ไม่ใช่ถูกนะ มีความเชื่อมั่นตนเองสูง ไม่ถูกใจ ความคิดไม่ละเอียด<O:p></O:p>
    ที่จริงพูดได้เลยว่าตอนที่เราแต่งงาน ก็ไม่ได้แต่งเพราะความมีฐานะของเขา เราเลือกของเราเอง ไม่ใช่เลือกเพราะรูปสมบัติทรัพย์สมบัติ แต่เลือกเพราะคุณสมบัติที่เป็นกุลสตรีที่ถูกใจเรา ก็เลยได้แต่งงานกัน<O:p></O:p>
    พอแม่ยายพูดทำนองดูถูกดูแคลน ก็ฮึดไม่สนใจเลย ออก ๆเลยพาภรรยาออกจากบ้านไปเลย มันเกิดการโต้เถียงกัน ท้ายที่สุดเราก็ออกมา ออกมามีเงินติดตัวแค่๘๐๐ บาท ก็เยอะเหมือนกันสมัยนั้น ทองคำบาทละ ๔๐๐ ซื้อหม้อข้าวหม้อแกง และเรืออีกลำหนึ่ง มีเงินเหลืออยู่ ๑๐๐ บาท มาอาศัยโยมพ่อโยมแม่อยู่ก่อน อยู่ใกล้บึงบอระเพ็ด ก็ทำมาหากินกัน <O:p></O:p>
    โยมภรรยาเขาก็ขยันสุด ๆ ในหมู่บ้านเขา ๆก็ดังเรื่องความขยัน ในหมู่บ้านเรา ๆก็ดังเรื่องความขยัน<O:p></O:p>
    ทำงาน ๕ ปี ซื้อที่ดินได้ ๘๕ ไร่<O:p></O:p>
    ความขยันอย่างเดียวมันไม่ได้ ต้องใช้ปัญญาด้วย ตอนที่เราออกมาที่ดินตารางวาเดียวก็ไม่มี ก็ไปหาใบบัวดอกบัวรากบัวธรรมชาติไปขายเพื่อซื้อข้าวสาร ตั้งต้นชีวิตใหม่ โยมภรรยานั่งอยู่หัวเรือเราอยู่ท้ายเรือ เราจำคำพูดนี้ได้เลยว่า<O:p></O:p>
    ถ้าเรามีที่ดินสัก ๒๐ ไร่ มีเงินสักหมื่น เราคงมีความสุขมากหนอ ”<O:p></O:p>
    เราคิดว่ารวยแล้วคงพ้นทุกข์ เราบวชมา ๖ พรรษา เรียนนักธรรมโท นักธรรมเอกเรียนแต่สอบตกแล้วก็สึก เราเข้าใจว่ารวยแล้วจะสุข ไม่มีทุกข์ ก็เข้าใจอย่างนั้น<O:p></O:p>
    เราก็ขยันน่าดู ใช้เวลาเพียง ๕ ปีเต็ม ๆ เรามีที่ดินด้วยลำแข้งของเรา ๘๕ ไร่ ปีหนึ่งได้เงินจากการทำเกษตร ๒๐,๐๐๐ – ๓๐,๐๐๐ บาททุกปี ทองคำบาทละ ๔๐๐ ในหมู่นั้นเราดีขึ้นมาจนคนเขาอิจฉา เรียกว่าไม่น้อยหน้าคนแถวนั้น ที่เขาตั้งตัวมา ๔๐ – ๕๐ ปี<O:p></O:p>
    มีเพื่อนคนหนึ่งมายืมเงินก็ให้ไปโดยไม่คิดดอกเบี้ย จะเป็นลักษณะนั้น ก็ทำกินมาทุกปี ในที่สุดแล้วเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันไปเป็นลูกน้อง ก็ซื้อที่ดินให้ฟรี ๆ ๓๐ ไร่ เพื่อนทุกข์ก็ช่วย เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ราคาเป็นล้านแล้วนะ ก็ทำกินมา ๔ – ๕ ปี ได้ปีละ ๒๐,๐๐๐ – ๓๐,๐๐๐ บาท<O:p></O:p>
    เริ่มค้าขาย<O:p></O:p>
    จากนั้นออกค้าขายหาบเร่ พอมีความทุกข์ขึ้นมา อะไรไม่ถูกใจก็ทุกข์ มานั่งคิดอะไรวะเมื่อก่อนคิดว่าเรามีที่ดิน ๒๐ ไร่ มีเงินสักหมื่นก็สุข แต่นี่เรามีที่ดินเกือบ ๑๐๐ ไร่ มีเงินได้ปีละหลายหมื่นก็ยังทุกข์อยู่ <O:p></O:p>
    พอดีมีญาติเป็นป่าไม้อยู่โคราชก็ไปเยี่ยม พอไปถึงเขาเล่าว่าดอกบัวขายดีที่โคราช อ้ายเรามีนิสัยชอบก็เลยสนใจ กลับไปนครสวรรค์บึงบอระเพ็ดดอกบัวเยอะ ก็ไปซื้อดอกบัวบูชาพระขึ้นรถไฟไปขายที่โคราชก็ขายดี แต่ขายดีเฉพาะวันพระ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    5<O:p></O:p>

    ต่อมาร้านดอกไม้ในโคราชติดต่อให้เราส่งให้ เราก็ซื้อส่งไปให้ ถ้าเป็นวันพระก็กำไรประมาณพันกว่าบาท พันกว่าบาทสมัยนั้นเยอะนะ แต่ก็แย่ได้เฉพาะวันพระ วันธรรมดาไม่ได้<O:p></O:p>
    แต่ถ้าเรามีธรรมะนะ คำพูดเพียง ๒ คำก็ตั้งตัวได้ ตั้งตัวได้อย่างไรเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง<O:p></O:p>
    ข้อคิดจากเจ๊<O:p></O:p>
    ขากลับจากไปขายดอกบัวที่โคราช นั่งรถบัสมา มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนเชื้อจีนก็นั่งคุยกัน ถามว่าไปทำไมที่โคราช เราก็บอกว่าไปส่งดอกไม้ดอกบัวบูชาพระ บางครั้งก็มีฝักบัวไปขายบ้าง ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าขายของสดกำไรดี แต่ถ้าเหลือก็จะเสียจะเน่า ขาดทุนก็ต้องยอมขาย สู้ค้าของแห้งไม่ได้ <O:p></O:p>
    เจ๊ไปส่งปลาร้า เมื่อก่อนก็เคยค้าของสดเหมือนกัน ค้าของแห้งดีกว่าสบายดี เวลาของมันลงเก็บไว้ก็ได้ เจ๊ไปส่งปลาร้าที่โคราชเก็บเงินครั้งละหลายหมื่น สามีเจ๊เป็นนายร้อยก็ยังมาขอเงินเจ๊ใช้เลย เมื่อจากกันก็มานั่งคิดดู เออจริงว่ะดอกบัวนี่ซื้อมาร้อยละ ๕ ไปขายร้อยละ ๒๕ กำไรท่วมท้นเลย แต่พอเหลือก็ต้องทิ้ง ก็เลยคิดถึงคำพูดของเจ๊พยายามหาของแห้ง<O:p></O:p>
    ปักหลักที่กุมวาปี อุดรธานี<O:p></O:p>
    เราทำการเกษตรก็ได้ปีละ ๒๐,๐๐๐ – ๓๐,๐๐๐ บาท มันก็ไม่มากไปกว่านี้ ปีไหนฝนฟ้าอากาศดีก็ได้ผลผลิตดี แต่ถ้าปีไหนฝนฟ้าอากาศไม่อำนวยก็ได้ผลผลิตน้อย จึงเลยเปลี่ยนช่องทางไปค้าขายดีกว่า เอาที่ดิน ๖๕ ไร่ให้เพื่อนเช่าเพียงปีละ ๓,๐๐๐ บาท มีหนองใหญ่อยู่ ๒ หนอง หน้าแล้งวิดหนองเดียวก็คุ้ม นามี ๒๐ ไร่ก็ให้ญาติเช่า ก็ให้เช่าหมดเลยแล้วไปอยู่โคราชปีกว่าเพื่อค้าขาย ก็ล้มลุกคลุกคลานเพราะไปบุกเบิก เขาบอกว่าบ้านไผ่ขอนแก่นดี เศรษฐกิจดีมีสินค้าดี ก็ไปอยู่ขอนแก่นปีกว่า ก็เริ่มดีขึ้นเอาของไปส่งโคราชบ้างกรุงเทพ ฯบ้าง<O:p></O:p>
    ต่อมามีคนบอกว่าที่กุมวาปี อุดรธานี เศรษฐกิจดีไปดูแล้วดีจริง ก็เลยย้ายจากขอนแก่นไปกุมวาปี ไปค้าขายก็ค่อย ๆดีขึ้นเรื่อย ๆ<O:p></O:p>
    จากเงินหมื่นเป็นเงินแสน จากสมุนไพรเกสรดอกบัวก็ไปค้าขายไข่เป็ด ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง ปอ เป็นพ่อค้าใหญ่เลยทีนี้ ซื้อเป็นคันรถสิบล้อ รายได้ก็ดีวันหนึ่งเป็นพัน แต่ไม่รู้จักความสุข<O:p></O:p>
    รายได้ดี แต่ยังมีทุกข์<O:p></O:p>
    การทำบุญก็ทำ แต่ชีวิตพลิกผันตอนไปอยู่อุดรธานี รายได้ดีมากก็เลยซื้อห้องแถว รายได้ดีก็มีเพื่อนเยอะ เพื่อนข้าราชการบ้าง พ่อค้า อาเสี่ย สังสรรค์เฮฮาสนุกสนาน งานสังคมก็ช่วยเต็มที่ ในอำเภอยอมรับเรา แต่บุญแท้การปฏิบัติธรรมเราไม่รู้จัก เคยบวชมา ๖ พรรษานึกว่าตัวเองเก่ง พูดภาษาธรรมะปริยัติเราก็พอรู้ แต่พอทุกข์ขึ้นมาได้เงินเป็นพันๆก็ใช่ว่าจะสุขเสมอไป มีปัญหาเรื่องคนงานเรื่องการค้ามันก็ทุกข์ ไม่ถูกใจมันก็ทุกข์ เลยนึกถึงคำเดิมอยู่ตลอดเวลาว่าถ้ามีเรือสักลำมีที่ดินสัก ๒๐ ไร่ มีเงินสักหมื่นเราคงมีความสุข แต่นี่เรามีเงินเป็นแสนก็ยังทุกข์อยู่ <O:p></O:p>
    ทำไมหนอจึงไม่พ้นทุกข์เสียที มันอะไรกันหนอ คือเราหาทางพ้นทุกข์เหมือนกันแต่หาไม่เจอ ฉันว่าคนส่วนใหญ่คิดว่ารวยแล้วจะสุข มันไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร บวชมา ๕ – ๖ <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>

    6<O:p></O:p>

    พรรษารู้แต่สุขของโลก เรื่องบุญบารมีไม่รู้ ไม่ถูกใจมันก็ทุกข์ไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร ก็ทำกินต่อไปขยันต่อไป แต่เวลาทุกข์ขึ้นมาเอาอีกแล้วจะหาทางออกอย่างไร<O:p></O:p>
    เซ็งชีวิต<O:p></O:p>
    จนอายุ ๔๐ ฉันเริ่มเซ็งชีวิต เบื่อหน่ายคนเอาเปรียบกันจัง เรานี่ทุ่มเทเอาหมู่เอาเพื่อน เริ่มเบื่อหน่าย คนเราชอบเอาเปรียบกัน ใครจะทุกข์ก็ช่างมันขอให้เราได้ รถเฉี่ยวนิดหน่อยค่าเสียหาย ๓๐๐ เรียก ๓,๐๐๐ ดูแล้วน่าเบื่อหน่าย แต่หาทางออกไม่เจอเริ่มเซ็งชีวิต<O:p></O:p>
    พอไปอยู่กุมวาปีย่างเข้าปีที่ ๑๔ เราชนะใจลูกค้า นั่งดูเฉย ๆสินค้าไหลเข้ามาเอง ไม่ว่าจะเป็นปอ ข้าวเปลือก ไข่เป็ดก็ตามแต่ เราไม่ต้องไปซื้อหามันไหลเข้ามาเอง จนแต่ละวันแทบจะไม่มีเวลากินข้าว เหนื่อยทีนี้เริ่มเซ็ง เป็นคนไฟอ่อนไฟไม่แรง ความอยากจะรวยอยากเป็นเศรษฐีมันอ่อนมันเซ็งชีวิต เท่าไร ๆก็ยังทุกข์อยู่นั่น เท่าไร ๆก็ไม่สุขจริงสักที หาทางออกไม่ได้ ความเป็นคนไวไฟกลับเฉื่อย <O:p></O:p>
    มีลูกด้วยกัน ๕ คน ลูกก็้เรียนหนังสืออยู่ ก็เรื่อย ๆเฉื่อย ๆมาจนอายุ ๔๕ ที่อีสานรู้จักคนมาก ไปอยู่อีสานตั้งแต่อายุ ๓๐ กว่า<O:p></O:p>
    ตอนนั้นได้เปิดร้านอาหารด้วย โยมภรรยาเปิดร้านอาหาร เราค้าพืชไร่แยกกันต่างคนต่างมีลูกน้อง มันเซ็งขึ้นมาจนอายุ ๔๕ ร้อนในจิตในใจโดยไม่รู้สาเหตุ มันนอนไม่หลับวุ่นวายในจิตในใจ ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุอะไร เร่าร้อนในใจกระวนกระวายบอกไม่ถูกเลย<O:p></O:p>
    โยมภรรยาขายอาหารอยู่ วันหนึ่งเราเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องโยมภรรยาทักว่าทำไมเดินไปเดินมาอยู่เรื่อย ก็บอกไปว่าผมไม่สบายใจมันเร่าร้อนใจบอกไม่ถูก เขาถามว่ามีเรื่องอะไรกับใครหรือ? ก็บอกว่าเปล่าไม่มีเรื่องอะไรกับใคร ไม่มีสาเหตุผมไม่สบายใจ ขายเถอะขายให้หมดแล้วไปอยู่ภาคใต้กัน ผมเบื่อแล้วอีสาน ก็พูดไปอย่างนี้พูดด้วยอารมณ์เบื่อ ๆ โยมภรรยาว่าการที่เราไปอยู่ที่อื่นกว่าจะสร้างชื่อเสียงให้คนยอมรับก็ใช้เวลาเป็นปี เราอยู่ที่นี่ลูกค้ารู้จักเราหมดแล้วเขาเชื่อถือเราแล้ววัน ๆเขาก็เอาสินค้ามาให้ พอเขาพูดเสร็จเราก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมาเหมือนเดิมถึงตีหนึ่งตีสองทุกคืน<O:p></O:p>
    อายุ ๔๕ บวชเณรอีกครั้ง<O:p></O:p>
    ไม่สบายใจเป็นอย่างนี้มา ๑๕ วัน ก็บอกโยมภรรยาว่าไม่ขายก็ไม่ต้องขาย ขอให้ผมบวชเณรเถอะ โยมภรรยาว่าจะบวชก็บวชเถอะ<O:p></O:p>
    พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ไปวัด ไปหาเจ้าคณะอำเภอเล่าปัญหาชีวิตให้ท่านฟัง ท่านก็บอกว่าดีนะมีทุกข์ก็เข้ามาวัดไม่ไปที่อื่น ก็ได้บวชเณรอีกครั้งตอนอายุ ๔๕ เมื่อบวชเณรแล้วแต่ใจก็ยังวุ่นวายก็ไปเอาหนังสือมาอ่าน เหมือนบุญเก่าส่งมาหนังสือที่อ่านเป็นหนังสือสอนภาวนา<O:p></O:p>
    เริ่มต้นภาวนา<O:p></O:p>
    ปกติฉันเป็นคนเชื่ออะไรยากมาก พระเหนียว ของขลัง คาถาอาคมนี่ไม่เชื่อ ครูบาอาจารย์หรือโยมบางคนเมตตาให้พระเก่า ๆ มาก็ให้ต่อ ไม่เชื่อว่าพระจะเหนียว คาถาอาคมไม่เชื่อหรอก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เรามาพิสูจน์ทีหลังก็มีจริงแหละนะ เมื่อได้อ่านหนังสือสอนภาวนาก็พิจารณาดูจะจริงไหมหนอ ?<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>

    7<O:p></O:p>

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี แต่ความสงบตอนนั้นเรารู้ไม่ถึงขั้น ที่จริงพระพุทธเจ้าตรัสถ้าสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี จิตเป็นสมาธิก็สงบล่ะ แต่ถ้าสงบจากกิเลสกับสงบสุขล่ะตอนนั้นเราไม่เข้าใจ แต่เข้าใจเพียงว่าสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี เป็นหนังสือสอนสมาธิ<O:p></O:p>
    เราพิสูจน์มาเยอะแล้ว ผีก็พิสูจน์มาแล้ว คาถาอาคมก็พิสูจน์แล้ว คาถาของพระพุทธเจ้าเราจะพิสูจน์ ก็เอาหนังสือเล่มนั้นเป็นอาจารย์ วิธีภาวนาเป็นอย่างไรเราก็อ่าน ๆแล้วมานั่ง ๆ แล้วปวดขาก็หยุดมาอ่านต่อ แล้วมานั่งเมื่อยแล้วก็กลับมาอ่าน เป็นเช่นนี้จนตีสองจึงได้นอน<O:p></O:p>
    สงบเย็นเป็นครั้งแรก<O:p></O:p>
    ตื่นเช้าออกไปบิณฑบาต กลับมาฉันเสร็จก็เอาหนังสือเข้าโบสถ์นั่งสมาธิอย่างนี้อยู่ ๑๒ วัน บวช ๑๕ วันอาการเร่าร้อนกระวนกระวายใจก็หายไป รู้สึกเป็นปกติ รู้สึกศรัทธา ใจเราเย็น รู้สึกสบายใจ<O:p></O:p>
    คิดจะบวชไม่สึกแต่ลูกกำลังเรียนอยู่ คิดดูแล้วถ้าไม่สึกจะเป็นการตัดช่องน้อยแต่พอตัว แม่เขาคนเดียวจะเลี้ยงรอดหรือ ? จะส่งลูกเรียนจบหรือ? ในที่สุดก็ตัดสินใจสึก <O:p></O:p>
    เมื่อสึกออกมาแล้วก็สนใจในธรรมปฏิบัติมากขึ้น ไปวัดขอหนังสือครูบาอาจารย์เอามาอ่านเอามาพิจารณาดู ก็แยกไม่ออกหรอกระหว่างฤทธิ์กับบุญฤทธิ์ อ่านประวัติครูบาอาจารย์ก็สนใจ หนังสือธรรมะอ่านพวกฤทธิ์บุญฤทธิ์อ่านจนหมดตู้<O:p></O:p>
    ภาวนาสม่ำเสมอ แม้จิตไม่สงบ<O:p></O:p>
    ที่จริงไม่คิดจะบวชหรอก ชีวิตมันพลิกผัน ฉันเป็นคนที่ทำอะไรแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำอะไรทำจริงเหมือนคนใต้ ปฏิบัติเรื่อยมาภาวนาเรื่อยมาจนอายุ ๔๕ วันพระก็ไปวัดนะแต่ไม่ได้ไปเป็นประจำ จิตไม่เคยเป็นสมาธิจิตไม่สงบแต่ก็ยังไม่ละความพยายามในการพิสูจน์<O:p></O:p>
    ทีนี้ก็มานั่งรำพึงหน้าพระพุทธรูปในห้อง ฉันมักจะเอาไปสอนลองจำให้ดี นะลองเอาหลักจากการปฏิบัติมาสอนญาติโยม มันมีแง่มีมุมสอนญาติโยมจากตัวเอง ท้ายที่สุดมานั่งรำพึงทำไมเราภาวนามา ๑ ปีจิตเรายังไม่สงบจิตไม่เป็นสมาธิตามหนังสือเขาว่าเป็นสมาธิแล้วมีความสงบความเย็น เราไม่เคยเป็นปีหนึ่งทำไมไม่เป็น เรามานั่งคิดอยู่คนเดียวจิตก็กดมากการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นการทวนกระแส มันฝืน เราเคยนั่งสบายมานั่งเรียบร้อย เราเคยตบยุงมาไม่ตบยุง<O:p></O:p>
    ฝืนกิเลส<O:p></O:p>
    การปฏิบัติมันต้องฝืน คนเราไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ไม่เคยภาวนามานั่งภาวนา โดยมากพอค่ำก็ดูโทรทัศน์แล้วมุดหัวนอนเลย พระบางทีก็ไม่กราบ จะพายเรือทวนน้ำไม่เหมือนพายเรือตามน้ำ ตามจิตตามใจตามกิเลสมันง่าย ถ้านั่งภาวนามันต้องฝืน ถ้าตามใจกิเลสนอนเลย ยิ่งมาคิดดูเรามาปฏิบัติเหมือนพายเรือทวนน้ำ สมมุติพายเรือทวนน้ำ ๑ เดือนถึงที่หมาย แต่พายไป ๑ วันวางพายหยุดเสียแล้ว น้ำก็ไหลเรือก็ไหลกลับมาที่เก่า<O:p></O:p>
    พอวันดีคืนดีพายอีกแล้ว หรือถ้าพาย ๓ วันหยุด มันก็ลอยกลับที่เก่าอีก การปฏิบัติเหมือนพายเรือทวนน้ำ การปฏิบัติบางครั้งวันนี้เหนื่อยวันนี้งานมากก็ไม่ภาวนา วันนี้อารมณ์ไม่ดีก็ไม่ภาวนาอย่างนี้ <O:p></O:p>

    8<O:p></O:p>

    ภาวนามั่งไม่ภาวนามั่งเหมือนพายเรือแล้วหยุด พิจารณาดูเหมือนเด็กเล่นขายของ ทำเล่น ๆพอเบื่อเลิก มันก็ถอยมาอีก พอปฏิบัติสักเดือนก็ไม่เป็นสมาธิ เลยพิจารณาตัวเองไม่เห็นจริงสักที<O:p></O:p>
    อธิษฐานจิต<O:p></O:p>
    กราบพระพุทธรูปอธิษฐานจิต นับแต่นี้เป็นต้นไปข้าพเจ้าจะเจริญภาวนาทุกคืนก่อนนอน อันนี้เราตั้งจิตเองไม่มีใครมาบังคับ ปฏิบัติเรื่อยมา ๆไม่มีเว้น ตั้งสัจจะภาวนาไม่นานนักสัก ๑๐ นาที ๒๐ นาทีทำมาเรื่อย ๆ บางครั้งนะไปงานกลับมาตีหนึ่งตีสองก็กราบพระ ๓ ครั้งมานั่งภาวนาพุทโธ ๆสัก ๕ นาทีแล้วเข้านอนไม่เสียสัจจะ ทีนี้ก็ทำเรื่อยมา ๒ เดือน ๓ เดือนมันสบายขึ้นอารมณ์มันหนักแน่นขึ้น<O:p></O:p>
    เมื่อก่อนใครทำอะไรไม่ถูกใจก็จะตวาดจะดุ มันเย็นลง โยมภรรยาและลูกพูดอะไรมากระทบก็ไม่ดุ ก็ปฏิบัติเรื่อยมาแล้วขยันขึ้น เปรียบเทียบเหมือนเราปลูกต้นไม้มา ๕ ปีแล้วได้กินลูก มังคุด ๕ ปีมันไม่มีลูกแต่มีร่มแล้ว มันมีความสบายขึ้นในใจ เช้ามืดก็ภาวนาหัวค่ำก็ภาวนา<O:p></O:p>
    ๗ เดือนจิตเป็นสมาธิ<O:p></O:p>
    ปฏิบัติสม่ำเสมอมา ๗ เดือนจิตเข้าสู่ความสงบเป็นสมาธิครั้งแรก ตอนนั้นเราไม่รู้มารู้ตอนหลังเราเข้าไปถึงอัปปนาสมาธิครั้งแรก กายมันไม่มีใจก็อุทานอู๊ย!สุขอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ เราเกิดมาจนอายุป่านนี้แล้วสุขอัศจรรย์อย่างนี้เราเพิ่งค้นพบในชีวิต พระอรหันต์ยังมีอยู่ในโลกหรือนี่ จิตมันพูดอยู่ข้างใน เพราะเราเชื่ออาจารย์รูปนั้นมาแต่ต้นว่าพระอรหันต์ไม่มี กี่ปีจากอายุ ๑๔ จนถึง ๔๖ เสียเวลาไปกี่ปีแล้วล่ะ? เหมือนตัวจะลอยขึ้นอากาศอธิบายให้คนที่มีสมาธิเขาจะรู้มันเป็นนิพพานน้อย ขณิกสมาธิแป๊บเดียวเสียงเพลงมาก็ได้ยินเสียงดังมาก็ได้ยิน แต่อัปปนาสมาธิเสียงเพลงเสียงอะไรไม่ได้ยิน พวกนี้จะอยู่ลึกคือมันไม่มีอะไรกระทบได้เลย อันนี้ไม่ต้องอยากได้หรอกมันจะเป็นก็เป็นพลังจิตเยอะ<O:p></O:p>
    ท้ายที่สุดจิตก็เป็นอัศจรรย์ครั้งแรกของเรา เพราะเราไม่เคยพบมาก่อน พอถอนจิตออกมาแล้วเดินไปตลาดตอนเช้าเราเป็นคนไปจ่ายตลาด ตัวมันเบา<O:p></O:p>
    ชีวิตพลิกผัน<O:p></O:p>
    ตั้งแต่นั้นชีวิตพลิกผันเลย จากเป็นพ่อค้าระดับอำเภอฉันดังมากช่วยงานช่วยสังคมเท่าไรเท่ากัน เลี้ยงหมู่เพื่อนเลี้ยงตำรวจทั้งโรงพักเท่าไรเท่ากันครั้งหนึ่งหมดเป็นหมื่น ๆ แต่บุญนะใส่ซองร้อยสองร้อยใจจะขาด ถ้ามีเกียรติมีหน้าจะเอา<O:p></O:p>
    ฉันพูดได้เลยในช่วงอายุ ๓๐ – ๔๐ หลงจัดดีจัดหลงโลก เขายกย่องเป็นเสี่ย เป็นเถ้าแก่ งานไหนงานนั้นสังสรรค์เฮฮา แต่เป็นคนไม่ชอบเอาเปรียบ ชอบช่วยเหลือสังคม ทำบุญมากจะหมดแต่เลี้ยงเพื่อนไม่กลัว<O:p></O:p>
    เมื่อมานั่งภาวนาชีวิตพลิกผันเลย เข้าวัดถี่ขึ้นเมื่อก่อนเข้าแต่ช่วงเทศกาลสำคัญ เช่นปีใหม่ สงกรานต์ พอใส่บาตรเสร็จกลับมาก็เลี้ยงสังสรรค์เฮฮากันเต็มที่ ทำบุญมาแล้วก็เฮฮาเหมือนเดิมกินเหล้าเหมือนเดิม<O:p></O:p>
    เข้าวัดปฏิบัติธรรม<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    9<O:p></O:p>

    เมื่อได้ภาวนาแล้วก็ไปวัดบ้างวันพระถือศีลอุโบสถ ปีแรกยังบริหารงานไม่ลงตัว แต่ปีต่อมาไปวัดถี่ขึ้นๆ ช่วงเข้าพรรษาก็เข้าวัดถือศีล ที่อีสานวันพระบางครั้งมีคนเข้าวัดถือศีลเป็นร้อย แต่ที่ภาคใต้ไม่ค่อยเห็น ตอนนั้นอายุ ๔๖ ก็นั่งภาวนาตลอดจิตมีสมาธิ <O:p></O:p>
    ไปวัดแต่แยกไม่ออกพระกรรมฐานหรือไม่ใช่กรรมฐาน ไม่รู้จริงๆว่าพระแบบไหนเป็นอย่างไร ไปวัดมหานิกายไม่ใช่วัดที่ปฏิบัติ ไม่ใช่วัดมหานิกายไม่ดีวัดมหานิกายที่เป็นวัดปฏิบัติมีเยอะแยะ แต่วัดที่ไปไม่ใช่วัดปฏิบัติเป็นวัดในอำเภอคนไปวัดเยอะการก่อสร้างเจริญรุ่งเรืองมาก เราเข้าวัดก็เน้นสวด เช่นสวดอิติปิโส ๑๐๘ จบ เมื่อสวดจบแล้วก็มานั่งคุยกันปฏิบัติเช่นนี้ตลอดพรรษา<O:p></O:p>
    พอออกพรรษาก็เซ็งไม่มีพระนำปฏิบัติ มีโยมที่นั่งภาวนาไม่ถึง ๑๐ คน ถามปัญหาแนวปฏิบัติพระก็ตอบไม่ได้ เราพึ่งไม่ได้ทำให้เราเบื่อหน่าย เน้นเงินเน้นชื่อเสียง ก็คิดว่าไม่มีพระซึ่งเป็นที่พึ่งของเราเลยหนอ เราจะไปทางไหนหนอ?<O:p></O:p>
    พบพระกรรมฐานหนุ่ม<O:p></O:p>
    มีอดีตผู้ใหญ่คนหนึ่งได้พูดคุยกับแก ก็แนะนำให้ไปหาพระรูปหนึ่ง เดี๋ยวนี้ ๓๐ กว่าพรรษาเคยมาที่วัดเคียนพิง ๒ ครั้งแล้ว ตอนนั้นเป็นพระหนุ่ม ๒ พรรษาก็เข้าไปกราบท่าน ซื้อของไปถวายท่านบ้างก็ได้คุยกัน สิ่งที่เราสงสัยก็ได้รับคำตอบ ก็เลยตัดสินใจไปทำบุญที่วัดนี้ <O:p></O:p>
    วัดนี้เป็นวัดป่าตอนที่เข้าไปที่ดินวัดมีอยู่ ๖ ไร่ติดกับป่าช้าที่ฝังศพ มีกุฏิหลังหนึ่งโกโรโกโสจะพังมิพังแหล่ ห้องน้ำมีอยู่ ๒ ห้องหลังคามุงด้วยหญ้าคาข้างฝาปิดด้วยใบไม้ เข้าไปก็ถูกใจเพราะพระท่านภาวนาอยู่ ท่านเป็นพระหนุ่มสายพ่อแม่ครูอาจารย์ เราเข้าไปก็ภาวนาเรื่อยมาปฏิบัติเรื่อยมา <O:p></O:p>
    พรรษาที่ ๒ เข้าไปรักษาศีล ๘ มันเกิดพลังจิตนั่งตรงไหนก็สงบ นั่งรถไฟก็สงบนั่งรถเมล์ก็สงบ ติดสงบติดสมาธิ ตอนนั้นครูบาอาจารย์เทศน์ก็ไม่อยากฟัง อยากจะนั่งภาวนา คิดอย่างเดียวมันสงบสบาย จิตสงบไม่คิด ติดสมาธิ<O:p></O:p>
    กลัวนรก<O:p></O:p>
    ในที่สุดพอปีที่ ๑๑ จิตสงบมันรู้สวรรค์นรกเรื่องจริงนี่หว่า กลัวนรกมากตอนอยู่นครสวรรค์ยังไม่ได้แต่งงาน นาบัวปลามันเยอะ หาปลาขายทำลายชีวิตโดยเฉพาะปลานับประมาณไม่ได้ ฆ่าสัตว์มาเยอะปลามากที่สุดนกก็มีบ้าง กลัวบาปกลัวมาก ๆ นั่งรำพึงอยู่หน้าหิ้งพระ <O:p></O:p>
    14<O:p></O:p>
    พอมีปัญหาก็นั่งคิดแก้ไขว่าจะเอาอย่างไร? เราทำบาปมาเยอะจะทำอย่างไร? มันก็ผุดขึ้นมาเราฆ่าเขาในชาตินี้พอเจออีกชาติเขาก็ฆ่าเราอีก เราก็แค้นอีกจองเวรกันอยู่นั่นแหละ เราฆ่าเขาตายไปแล้วจะทำให้เขาฟื้นก็ทำไม่ได้จะทำอย่างไรดี? <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ขออโหสิกรรม<O:p></O:p>
    มันผุดขึ้นมา เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร คิดตกลงใจก็กราบพระที่เราเคยภาวนาแล้วอธิษฐานจิตว่า ข้าพเจ้าเคยทำสิ่งที่ไม่ดี ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะทำแต่สิ่งดี ๆข้าพเจ้าจะไม่ทำบาป ๕ ข้อคือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มเครื่องดองของเมา ข้าพเจ้าขอบำเพ็ญบุญอุทิศให้แก่สัตว์ทุกตัวที่ข้าพเจ้าฆ่าหรือทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำไปโดยโง่เขลาเบาปัญญา <O:p></O:p>
    ข้าพเจ้าทำผิดไปขออโหสิกรรมด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบุญบารมีอุทิศส่วนกุศล ถ้าท่านมีความทุกข์ให้พ้นจากทุกข์ ถ้าท่านไปอยู่ที่สุขให้สุขยิ่ง ๆขึ้นไป ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด แต่ถ้าท่านไม่อโหสิกรรมให้ข้าพเจ้า ๆ ก็ยินดีรับกรรม เมื่ออธิษฐานจิตจบแล้วก็กราบพระ ความวิตกกังวลก็หายไปตั้งแต่บัดนั้น ไม่กลัวนรกแล้ว<O:p></O:p>
    ศีล ๕ มันรักษายากนะโยม มันต้องเด็ดเดี่ยวต้องจริง ถ้าไม่จริงไม่ได้ รักษายากกว่าศีล ๘ ยากยิ่งกว่าศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ มีคนช่วยรักษาช่วยดูแล แต่ศีล ๕ ต้องรักษาด้วยตัวเองไม่มีใครช่วย ใจต้องเด็ดเดี่ยวจริงจังถึงจะรักษาได้เต็มที่ ถ้ารักษาได้เต็มที่นี่ศีล ๕ อัศจรรย์เหลือเกิน ถ้าไม่ตั้งใจมารมันเยอะ ใจไม่เด็ดเดี่ยวจริงไปไม่รอด <O:p></O:p>
    มารคืออะไร มารคือวิบากกรรมที่เราทำมาก่อนหรือสมัยที่เรายังไม่ปฏิบัติธรรมก็ตามแต่ เราปฏิบัติธรรมเพื่อให้หลุดจากบ่วงมารบ่วงกรรมเขาจะมาแกล้ง เธอทำแล้วมีความสุขเธออย่าทำเลย ถ้าเด็ดเดี่ยวจริง ๆก็จะผ่านชนะมารได้<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    15<O:p></O:p>
    เรื่องขำ ๆ<O:p></O:p>
    มีเรื่องขำ ๆเมื่อก่อนปฏิบัติธรรมฉันชอบน้ำพริกแมงดามาก ๆ เคยจับแมงดาขายเอาไฟฟ้าจับ เมื่อก่อนนี้เขาว่าบ้าแต่ตอนนี้สว่างพรืดไปหมดเอาไฟฟ้าล่อ เคยเป็นพ่อค้าแมงดาพอเห็นปั๊บบอกได้เลยว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย <O:p></O:p>
    คืนนั้นหลังจากอธิษฐานจิตแล้วรุ่งเช้าไปตลาดเห็นแมงดาเขาจับมาขาย ๒ กะละมังเลย ก็ลองจับดูแล้ววางไม่เอานะ ก็ไปซื้อกับข้าวอื่นเสร็จเดินมาทางนั้น มองแมงดาแล้วยิ้มเราเจตนางดเว้น ถ้าไม่เจตนาอย่างน้อย ๕ ตัว<O:p></O:p>
    วางแผนออกบวช<O:p></O:p>
    ต่อมายกกิจการให้ลูกสาว ที่ยกให้เพราะวางแผนอยากออกบวชแต่ก่อนไม่มีอยู่ในหัวใจ ที่เชื่อว่าพ้นทุกข์มันไม่ใช่ ก็เลยวางแผนแล้วยกกิจการให้ลูก เราลอยตัวเป็นที่ปรึกษา วันพระก็ไปวัดแต่มีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง <O:p></O:p>
    วันนั้นวันพระเราไปวัดมีคนภาวนาอยู่ ๒๐ กว่าคน พอทำวัตรเสร็จก็ภาวนาแล้วบอกกับอาจารย์ว่าเมื่อก่อนนี้ผมภาวนาหาเงินได้มากกว่านี้แต่เงินไม่เหลือ ตอนนี้มาปฏิบัติธรรมเงินผมเหลือทันตาเห็นเลย ที่มันเหลือเป็นเพราะอะไร<O:p></O:p>
    เมื่อก่อนทำบุญสัก ๒๐ บาท ๑๐๐ บาทใจจะขาด มาปฏิบัติธรรมทำบุญเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่าพันห้าบางครั้งเป็นหมื่นก็มี เมื่อก่อนทำบุญน้อย ๆแต่เลี้ยงเพื่อนเยอะ ตอนที่ค้าขายอยู่บางวันงานยุ่งไม่ได้กินข้าวกลางวัน พอเย็นก็นั่งร้านสั่งอาหารมากินสั่งเบียร์มาดื่ม พอเห็นเพื่อนมาก็เรียกให้มาร่วมวง วัน ๆก็หมดไปไม่ใช่น้อย เป็นอย่างนี้แทบทุกวัน<O:p></O:p>
    ละบาป บำเพ็ญบุญ<O:p></O:p>
    งานสังคมงานบุญเราก็ทำ แต่บุญจริง ๆเราไม่เข้าใจ เมื่อมาปฏิบัติธรรมชีวิตพลิกผันเลิกเหล้าเลิกเบียร์เด็ดขาด ถ้าไม่พยายามมันเลิกไม่ได้ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้พยายามละบาปบำเพ็ญบุญ พยายามละสิ่งที่ไม่ดีทำในสิ่งที่ดี ให้มันเกิดเองมันไม่เกิดแต่ต้องพยายาม เราต้องใช้ปัญญา เมื่อก่อนเราไม่ได้คิดว่าเลิกเหล้าแล้วได้อะไร ถ้ามีปัญญาก็คิดได้<O:p></O:p>
    เมื่อก่อนไปส่งของที่อุดรฯสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง พอส่งของเสร็จก็เข้าร้านเบียร์ดื่มเบียร์สักขวดสองขวดค่อยกลับ แต่พอคิดจะเลิกเมื่อส่งของเสร็จก็คิดว่าจะไม่ดื่ม ตัดสินใจไม่ดื่มก็ชนะแล้ว ใช้ความพยายามอยู่ ๑ เดือนก็เลิกได้เด็ดขาด<O:p></O:p>
    16<O:p></O:p>
    เมื่อมาปฏิบัติ รักษาศีล ๕ บริสุทธิ์พลังจิตยิ่งมาก เรื่องฤทธิ์เดชไม่สนใจรู้ด้วยปัญญาว่าไม่ใช่ ฤทธิ์มันมีเป็นของแถม วันหนึ่งฉันแต่งขาวยอมรับว่าบ้าขาวอยู่พักหนึ่ง พอไปวัดถือศีล ๕ บริสุทธิ์สวมเสื้อขาวกางเกงขาวเข็มขัดขาว วันหนึ่งลูกเขยซื้อเรือแข่งมาจากหนองคายก็พาคนงานมาซ้อมพายเรือแข่ง<O:p></O:p>
    วันนั้นเป็นวันออกพรรษา คนไปวัดเยอะมีการแข่งเรือกินเหล้าเฮฮา ฉันตั้งใจจะหนีไปนอนวัด ลูกเขยร้องบอกพ่อ ๆเจิมเรือให้หน่อย ก็เจิมให้โดยตั้งจิตอธิษฐานพุทโธ ธัมโม สังโฆ ด้วยบารมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์และบารมีที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรม ขอให้เรือลำนี้ชนะเลิศด้วยเถิด เท่านั้นเองเสร็จแล้วก็ไปวัด ปรากฏว่าถึงวันแข่งก็ชนะเลิศจริง พลังนี้มันแปลกมีจริง<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ละบาป บำเพ็ญบุญ<O:p></O:p>
    งานสังคมงานบุญเราก็ทำ แต่บุญจริง ๆเราไม่เข้าใจ เมื่อมาปฏิบัติธรรมชีวิตพลิกผันเลิกเหล้าเลิกเบียร์เด็ดขาด ถ้าไม่พยายามมันเลิกไม่ได้ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้พยายามละบาปบำเพ็ญบุญ พยายามละสิ่งที่ไม่ดีทำในสิ่งที่ดี ให้มันเกิดเองมันไม่เกิดแต่ต้องพยายาม เราต้องใช้ปัญญา เมื่อก่อนเราไม่ได้คิดว่าเลิกเหล้าแล้วได้อะไร ถ้ามีปัญญาก็คิดได้ เมื่อก่อนไปส่งของที่อุดรฯสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง พอส่งของเสร็จก็เข้าร้านเบียร์ดื่มเบียร์สักขวดสองขวดค่อยกลับ แต่พอคิดจะเลิกเมื่อส่งของเสร็จก็คิดว่าจะไม่ดื่ม ตัดสินใจไม่ดื่มก็ชนะแล้ว ใช้ความพยายามอยู่ ๑ เดือนก็เลิกได้เด็ดขาด<O:p></O:p>
    เมื่อมาปฏิบัติ รักษาศีล ๕ บริสุทธิ์พลังจิตยิ่งมาก เรื่องฤทธิ์เดชไม่สนใจรู้ด้วยปัญญาว่าไม่ใช่ ฤทธิ์มันมีเป็นของแถม วันหนึ่งฉันแต่งขาวยอมรับว่าบ้าขาวอยู่พักหนึ่ง พอไปวัดถือศีล ๕ บริสุทธิ์สวมเสื้อขาวกางเกงขาวเข็มขัดขาว วันหนึ่งลูกเขยซื้อเรือแข่งมาจากหนองคายก็พาคนงานมาซ้อมพายเรือแข่ง<O:p></O:p>
    วันนั้นเป็นวันออกพรรษา คนไปวัดเยอะมีการแข่งเรือกินเหล้าเฮฮา ฉันตั้งใจจะหนีไปนอนวัด ลูกเขยร้องบอกพ่อ ๆเจิมเรือให้หน่อย ก็เจิมให้โดยตั้งจิตอธิษฐานพุทโธ ธัมโม สังโฆ ด้วยบารมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์และบารมีที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรม ขอให้เรือลำนี้ชนะเลิศด้วยเถิด เท่านั้นเองเสร็จแล้วก็ไปวัด ปรากฏว่าถึงวันแข่งก็ชนะเลิศจริง พลังนี้มันแปลกมีจริง<O:p></O:p>
    ประธานอบรมธรรม<O:p></O:p>
    17<O:p></O:p>
    ตอนนั้นเข้าวัดจิตใจมีสมาธิ ก็อยากให้คนอื่นได้ด้วย อยากให้คนอื่นปฏิบัติด้วย ก็เลยเสนออาจารย์ให้จัดอบรมธรรมทุกวันเสาร์ต้นเดือน ๆละครั้ง อยากให้ทุกคนมีความสงบมีสมาธิบ้าง อาจารย์บอกว่าดีเหมือนกันโยมพรเป็นผู้เสนอก็ให้โยมพรเป็นประธานก่อน<O:p></O:p>
    ตอนนั้นที่วัดมีห้องน้ำ ๒ ห้องโกโรโกโส ศาลาพื้นดินมุงหญ้าคา อาจารย์ก็ให้ฉันเป็นประธาน พอวันเสาร์บ่าย ๒ โมงก็เริ่มเลยสัก ๒ ชั่วโมงก็เลิก นิมนต์ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติมาสอน ฉันก็พิมพ์โรเนียวไปแจกหมู่เพื่อนบ้างลูกค้าบ้างที่ชอบเรื่องวัด ครั้งแรกมีคนไป ๕๐ กว่าคน ไม่มีการเรี่ยไรแต่บางคนก็ทำบุญเป็นค่าพาหนะครูบาอาจารย์บ้าง เป็นค่าอาหารเลี้ยงผู้ที่ปฏิบัติบ้าง หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่คำพอง หลวงพ่อสนั่น พระอรหันต์นะพระอรหันต์มาหลายรูป บางรูปมาเสร็จแล้วก็กลับหลวงพ่อสนั่นอยู่ค้างคืน<O:p></O:p>
    ชั่วโมงแรกจะให้โยมพูดชั่วโมงต่อไปให้พระเน้นที่ภาวนา ปีแรกร้อยกว่าปีต่อมาสองร้อยกว่าทุกเดือน เหมือนจัดงานทอดผ้าป่าคนที่มามีทั้งวัยรุ่น พ่อค้าข้าราชการ ชาวบ้าน<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผู้นำพัฒนาวัด<O:p></O:p>
    ฉันเอาไฟฟ้าเข้าวัดใช้เงิน สี่หมื่นกว่าจากเงินที่ผู้มาปฏิบัติร่วมกันทำบุญ ต่อมาคนกรุงเทพ ฯไปแล้วเกิดศรัทธาสร้างพระพุทธรูปสูง ๗ ศอก หน้าตักกว้าง ๕ ศอก หล่อที่นั่นเลย ต่อมาสร้างโบสถ์ ๓ ชั้น ๑๖ ล้าน อยู่วัดมา ๑๒ ปีก็คิดจะบวชแต่ไม่ได้บวชที่วัดนั้น<O:p></O:p>
    ตอนวางแผนออกบวชไปวัดบ่อย ๆลูกก็เรียนหนังสืออยู่ คนก็ว่าพ่อพรไปวัดทุกวันทำไมไม่บวชเสียล่ะ? ก็บอกว่าบวชไม่ได้หรอกลูกยังเรียนหนังสืออยู่ จนลูกเรียนจบทำงานหมดก็ยังบวชไม่ได้ ใจห่วงโยมภรรยา อยู่บ้านครึ่งหนึ่งอยู่วัดครึ่งหนึ่ง<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ใจพร้อมบวช<O:p></O:p>
    จนกระทั่งจิตใจพร้อม มานั่งคิดว่าสุขทุกข์เกิดที่ไหน ทุกข์เกิดที่ใจแต่ใจไม่ใช่เป็นตัวทุกข์และไม่ใช่ตัวสุข มันจรมาพัก สุขจรมาสุขตั้งอยู่แล้วจรไป ทุกข์จรมาทุกข์ตั้งอยู่แล้วจรไป จรมาจรไปอยู่อย่างนั้น ผ่านทางตาหูจมูกลิ้นมโนสัญญา จิตปรุงแต่งถูกใจก็สุขไม่ถูกใจก็ทุกข์<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    18<O:p></O:p>
    เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรู้ว่าเราพร้อมแล้วใจพร้อมแล้ว จึงบอกโยมภรรยาว่าผมพร้อมจะบวชแล้วนะ เขาก็ว่าจะบวชก็บวชสิ เราก็ว่าถ้าไม่บวชจะอายุสั้น เขาถามว่าทำไมล่ะ? ก็บอกว่าเหมือนสร้างโบสถ์ได้ครึ่งหลัง <O:p></O:p>
    ใครเขาให้พรว่าให้ไปสวรรค์ก็ไม่ต้องการ มีคนถามว่าทำไมไม่ต้องการไป ตอบว่าไปสวรรค์แล้วกลับมาเกิด ฉันไม่ต้องการกลับมาเกิดอีก<O:p></O:p>
    นิพพิทาญาณ<O:p></O:p>
    จิตอย่างนี้ปัญญาอย่างนี้มันเกิดมาตั้งแต่ยังไม่ได้บวช เรียกว่านิพพิทาญาณเป็นโลกุตตระเรียกง่าย ๆว่ากลัวการเกิดว่าอย่างนั้นเถอะ เราอยู่ในคุกมันทุกข์ ไม่อยากอยู่ในคุกแล้ว ใครอยากอยู่ในคุกบ้างไม่มีใช่ไหม? จิตมันไม่อยากเกิดเพราะเราอยู่ในคุกเข้าใจไหม? ตราบใดที่เรายังวนอยู่ใน ๓ โลกธาตุ คุกก็มีหลายชั้น ๆดีชั้นเลว สวรรค์ก็ดีหน่อยต่อมาลงชั้นเลวอีกล่ะ<O:p></O:p>
    กายกับจิตก็แยกออก ถ้าเราแยกจิตออกจากกายได้กายจะร้อนจะหนาวจะเจ็บก็ไม่เป็นทุกข์ ก็ขอเงินโยมภรรยาออกธุดงค์ไปบุรีรัมย์ สุรินทร์ โคราช กาฬสินธุ์ สกลนคร ค่ำไหนนอนนั่นไปกับพระธุดงค์กินข้าวมื้อเดียว ขึ้นเขาหกล้มถลอกปอกเปิด <O:p></O:p>
    แต่ได้อธิษฐานจิตว่าไปเจอครูบาอาจารย์ที่ไหนที่ถูกใจเราจะบวชที่นั่น วัดที่เราปฏิบัติอยู่ก็ดีนะครูบาอาจารย์ก็ดี แต่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่เราลงใจว่าสูงสุด<O:p></O:p>
    พบครูบาอาจารย์ที่ชนะใจ<O:p></O:p>
    ในที่สุดเหมือนบุญเก่าหนุน พอไปๆกับพระรูปหนึ่งนัดเจอกับพระอีกรูปหนึ่งแต่ท่านไม่ไปตามนัด เลยนึกถึงหลวงพ่อสนั่นซึ่งเคยนิมนต์ท่านไปอบรมภาวนา จึงเข้าไปกราบท่าน ๆจำได้ หลวงพ่อท่านมีพลังจิตสูงมาก เดี๋ยวนี้ท่านละเสียแล้ว เขาเรียกว่าญาณหยั่งรู้ญาณฤทธิ์นะท่านมีมาก ถ้าฉันอยู่ที่นี่ท่านอยู่สกลนครท่านกำหนดจิตจะรู้เลยว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ ผิดถูกท่านรู้หมดล่ะแต่ต้องกำหนดจิต ใครไม่กล้าโกหกท่านหรอกฤทธิ์ท่านเยอะแต่ไม่ค่อยแสดง<O:p></O:p>
    19<O:p></O:p>
    พอเราคิดว่าจะถามอะไรท่านตอบก่อนเลย ฉันตั้งใจจะบวชไม่สึกแต่กำลังจิตเราไม่พออยากหาวัดที่สงบ ท่านว่าวัดนี้ก็สงบนะบวชได้ก็สึกได้ บวชได้หมู่เพื่อนเยอะแยะจะกลัวอะไร เราไม่ได้ถามท่านก็ตอบหมด ฉันก็ว่าหลวงพ่อผมบวชได้ไหม? ท่านถามทำไมบวชไม่ได้ละอายุเท่าไร? ก็ตอบว่าห้าสิบแปดครับท่าน <O:p></O:p>
    ท่านก็ร้องว่า ฮ้า !มาบวชด้วยกันบารมีเก่ากำลังส่ง บวชสองปีเทศน์ได้เลย ฉันก็บอกหลวงพ่อผมไม่ได้เตรียมอะไรมา ขอถวายตัวเป็นนาคและขออนุญาตกลับบ้านที่กุมวาปีก่อน<O:p></O:p>
    เรื่องแปลกก่อนบวช<O:p></O:p>
    เมื่อกลับบ้านที่กุมวาปี อุดรธานี เรื่องแปลก ๆมีเยอะ ฉันรู้ว่าพลังแห่งการรักษาศีล ๕ พลังแห่งการภาวนามีเยอะ ของอัศจรรย์มีเยอะ เอาสักเรื่องหนึ่งตอนที่เป็นนาคแล้ว ฉันไปอยู่อีสาน ๓๐ ปี โยมพ่อโยมแม่อยู่นครสวรรค์ส่งเงินไปให้เป็นประจำ บางครั้งไปด้วยตนเอง<O:p></O:p>
    เมื่อตั้งใจจะบวชตลอดชีวิตก็ไปกราบโยมพ่อโยมแม่ ไปกราบเลยนะเพราะเชื่อพระพุทธเจ้าว่าพ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก และถือโอกาสลาญาติพี่น้องเพราะคิดว่าเมื่อบวชแล้วต้องเร่งความเพียรคงหาโอกาสไปเยี่ยมได้ยาก ก็ไปกำแพงเพชร สิงห์บุรี พอไปถึงนครสวรรค์ก่อน เช้าขึ้นมารถที่ต่อจากนครสวรรค์จะไปสิงห์บุรีซึ่งมาจากพิษณุโลก มันต้องมี ๖ โมงเช้าถึงจะมา แต่ในใจเราอยากถึงสิงห์บุรีเช้าๆ ก็เสี่ยงดวงถือกระเป๋าไปรอที่หน้าตลาดเล็กๆ เผื่อมีรถอะไรไปได้บ้าง <O:p></O:p>
    ขณะที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้างถนนตอนตีสี่ก็มีรถสองแถวมาจอดข้างหน้าแล้วเปิดประตูรับบอกว่าจะไปนครสวรรค์ ขณะที่นั่งรถไประยะทางประมาณ ๓๐ กิโลเมตร มีคนรออยู่ข้างทาง เราก็แปลกใจถามโชเฟอร์ว่าคนที่อยู่ข้างทำไมคุณไม่รับล่ะ? เขาก็บอกว่าผมไม่ใช่รถสายนี้เป็นรถสายอื่น เมื่อกี้ไม่รู้ผมจอดได้อย่างไร? เราไม่ได้โบกมือสักหน่อยเราก็พอรู้นะ พอถึง บขส.ก็ให้เงินเขา ๒๐ บาทแล้วไปลาญาติที่สิงห์บุรี<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    20<O:p></O:p>
    เมื่อลาญาติที่สิงห์บุรีเสร็จก็จะไปลาพี่สาวชื่อผ่อนอยู่กำแพงเพชร นั่งรอรถจากกรุงเทพฯจะไปกำแพงเพชรมันต้องไปต่อที่นครสวรรค์ แต่รถที่มาจอดกลายเป็นรถลำปางเลยได้นั่งรถรวดเดียวถึงกำแพงเพชรสะดวกมาก ก็ลาพี่สาวบอกว่าผมบวชครั้งนี้แล้วจะไม่หันกลับมานุ่งกางเกงอีก พี่สาวก็ว่าอย่าพูดไปเดี๋ยวสึกออกมาจะอายเขานะ ก็เลยบอกพี่สาวว่าถึงผมนุ่งกางเกงแต่จิตเป็นพระนะ<O:p></O:p>
    ลาพี่สาวแล้วเข้าไปในเมืองกำแพงเพชรพี่สาวอยู่ชานเมือง เข้าไปธุระเสร็จก็กลับบ้านพี่สาวอีกครั้งหนึ่งพบพี่สาวกับพี่เขย ๆ ซึ่งรู้จักฉันตั้งแต่ฉันอายุ ๑๘ ปี แกปรารภว่าอ้ายพรมันเป็นคนแปลก มันทำอะไรลงได้ตัดสินใจทำคำว่าไม่สำเร็จไม่มี มันแปลกมันทำอะไรสำเร็จหมด แต่สำเร็จแล้วมันก็ทิ้ง<O:p></O:p>
    ความเข้าใจผิด<O:p></O:p>
    ฉันจะอธิบายให้ฟัง ฉันเข้าใจผิดตั้งแต่เป็นเณร ฉันเข้าใจว่าทำนี้ได้แล้วจะพ้นทุกข์ พอได้มาแล้วมันยังไม่พ้นทุกข์ พอขยับไปอีกให้ดีกว่าเก่าก็ยังไม่พ้นทุกข์อีก มันหาตัวรวย ๆอยูที่ใจ ถ้าใครโลภมากก็จนมากโลภน้อยก็จนน้อยหมดโลภหมดจน <O:p></O:p>
    ความขยันกับตัวโลภคนละตัวกัน ถ้าขยันแล้วรวยมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำบุญสร้างบารมีอันนี้มิใช่โลภ แต่ถ้าขยันแล้วตระหนี่ถี่เหนียวเอาแต่ได้ใครเดือดร้อนช่างมัน อันนี้เรียกว่าโลภหนัก<O:p></O:p>
    คนทุกคนมีโลภโกรธหลงเหมือนกัน แต่มีมากน้อยต่างกัน คนมีมากเห็นแก่ตัวมากไม่เอาเงินมาสร้างบุญบารมี ที่จริงฉันดิ้นรนหาทางพ้นทุกข์แต่มี <O:p></O:p>
    มิจฉาทิฏฐิ ว่ารวยพ้นทุกข์<O:p></O:p>
    รวยดีแต่อย่าหลงรวย คนรวยชอบหลงรวย คนปล้นคนโกงอันนี้เรียกว่าโลภมาก รวยทุกข์รวยร้อนรวยไม่ได้สร้างบุญบารมีรวยแล้วดีไม่ดีพาไปลงนรก ใครขัดผลประโยชน์ไปฆ่าไปทำลายเขา ๆจับได้ก็ติดคุกอีก เงินทองเจ้าของแท้ ๆปัญญาธรรมไม่มี<O:p></O:p>
    21<O:p></O:p>
    ลาพี่สาวแล้วก็ไปนครสวรรค์จะไปลาน้องสาวคนเล็ก ตอนนี้อยู่กรุงเทพฯเมื่อก่อนอยู่นครสวรรค์ ถ้าไปสายจะไม่เจอเขาไปไร่ซึ่งอยู่ไกลไปลำบาก ไปถึงแต่เช้าตรู่มันเป็นบ้านนอก พอลงรถปุ๊บสามล้อจอดคอย น้องสาวก็ว่าคุณนี่โชคดีจริงนะ ธรรมดากว่ารถจะมารับก็ ๘ โมงเช้าโน่นแหละ เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ทาน ศีล ภาวนา<O:p></O:p>
    ฉันขอแทรกไว้ตรงนี้เลย อยากหล่ออยากรวยอยากสวยอยากพ้นทุกข์ ข้อที่หนึ่งให้ทำทานให้เป็น เจตนาบริสุทธ์ ทรัพย์บริสุทธิ์ ข้อที่สองศีล ๕บริสุทธิ์หรือเปล่า ถ้ายังไม่แข็งจริงอาทิตย์ละหนก็ยังดี ต่อไปรักษาศีลบริสุทธิ์จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ข้อที่สามภาวนาใน ๒๔ ชั่วโมงรักษาใจสัก ๑ ครั้ง<O:p></O:p>
    อันนี้เป้าหมายจริง ๆเพื่อพ้นทุกข์ แต่หล่อรวยสวยดีทำอะไรขึ้นนะ ฉันไม่อยากเน้น ร้านค้าหรือกิจการอะไรก็แล้วแต่ถ้ารักษาศีล ๕ บริสุทธิ์จะเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าไปเน้นตรงนี้จะผิดเป็นมิจฉาสมาธิภาวนาแล้วขายของดี <O:p></O:p>
    ทีนี้คำว่าสวยคือราศี เมื่อใจสบายราศีมันออกหน้าออกตาไม่มีวิตกกังวล ถามว่าหมดทุกข์ไหม ไม่หมดหรอก แต่มันเย็นมันมีร่มคือธรรมะคุ้มครอง ศีลคุ้มครองจิตใจดีมองคนในแง่ดีมากขึ้นมีเมตตามากขึ้นใจสบาย บางคนใบหน้าผ่องดูหน้าแล้วก็รู้ใจเป็นอย่างไร<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    จุดหมายการบวช<O:p></O:p>
    เมื่อก่อนไม่เคยถามจิตให้ชัดเจน แต่เมื่อมาเป็นนาคแล้วนั่งภาวนาก็ถามจิต เราถามจิตได้ มันหาปัญหามาจากเราเอง เรานั่งภาวนาเราปวดขาถามจิตได้นะ เราหยุดพุทโธแล้วกำหนดถามว่ามันปวดที่ขาหรือปวดที่ใจกันแน่ ? ใจบอกว่าไม่ปวดมันปวดที่ขา อ้าว!แล้วใจมันปวดทำไมใจมันทุกข์ทำไมเมื่อมันปวดที่ขา เราแยกออกระหว่างจิตกับขา<O:p></O:p>
    เรานั่งกำหนดจิตว่าจะบวชเพื่ออะไร? บวชเพื่อหาเงินหรือ? จิตก็อธิบายไม่ได้บวชเพื่อหาเงินหรอก เราเป็นพระผู้เฒ่าไม่ได้เป็นเจ้าคุณสมเด็จ ไม่ได้เป็นเจ้าคณะอำเภอเจ้าคณะจังหวัด ใครเขาจะนิมนต์ไปสวดไปเทศน์เดือนละกี่ครั้ง ? ถ้าคิดจะหาเงินไม่ต้องบวชหรอก เราค้าขายก็หาเงินได้อยู่แล้ววันหนึ่งเป็นพันก็หาได้ นี่ถามข้อที่หนึ่ง <O:p></O:p>
    22<O:p></O:p>
    ข้อที่สองถามอีกอยากหาชื่อเสียงหรืออยากเด่นอยากดังหรือ? จิตก็อธิบายเราบวชแล้วจะเอาชื่อเสียงมาจากไหน เราไม่ได้เป็นพระนักเทศน์ฤทธิ์เดชคาถาอาคมเราไม่มี ถ้าจะบวชเอาชื่อเสียงไม่ต้องบวช เราอยู่ในอำเภอชื่อเสียงเรากระฉ่อนแล้ว ถ้าจะเอาชื่อเสียงช่วยงานสังคมยังไวกว่าไปบวช <O:p></O:p>
    ก็ถามอีกงั้นบวชเพื่อความสบายหรือ? ถ้าไม่บวชเราก็สบายอยู่แล้วจะไปวัดนอนวัดสามวันเจ็ดวันลูกก็ไม่ว่า อยู่บ้านนั่งอ่านหนังสือนอนดูโทรทัศน์ลูกก็ไม่ว่า ถ้าจะบวชเพื่อความสบายไม่ต้องบวชหรอก <O:p></O:p>
    งั้นถามจิตต่อ จะบวชเพื่ออะไร? จิตก็ตอบบวชเพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อไปสู่ความพ้นทุกข์<O:p></O:p>
    ลาโยมภรรยา ลูกและคนงาน<O:p></O:p>
    เมื่อได้คำตอบชัดเจนแล้วก็ตั้งใจจะถวายตัวเป็นนาค วันนั้นเป็นวันสงกรานต์ลูกๆมาอยู่พร้อมหน้าเพื่อรดน้ำพ่อแม่ขอพรซึ่งทำกันทุกปี เมื่อลูก ๆ และคนงานมาอยู่พร้อมในวันนั้นไม่ต่ำกว่า ๔๐ คน บางคนก็ซื้อสิ่งของให้พ่อแม่ <O:p></O:p>
    จึงถือโอกาสพูดลาลูกลาคนงานว่า พ่อช่วยลูกได้แค่นี้นะ ต่อแต่นี้ไปพ่อจะช่วยตัวเองบ้าง ให้ดูแลพระอีกองค์ที่บ้านคือแม่ของลูก แล้วก็ให้ขยันทำมาหากินคนไหนรวยก็ดีใจด้วยนะ คนไหนจนให้พยายามขยัน ให้ช่วยเหลือกันมีความรักสามัคคีกัน คนไหนปฏิบัติตามจะมีความเจริญคนไหนไม่เชื่อมีความทุกข์ความยาก พ่อไม่เอาไปทุกข์ด้วยนะ <O:p></O:p>
    พ่อตั้งใจไปบวชครั้งนี้ จะไม่กลับมานุ่งกางเกงอีกแล้ว ถ้าคิดถึงพ่อไปหาพ่อไปเยี่ยมได้นะ ไม่ต้องห่วงว่าพ่อจะลำบาก พ่อมีบาตรใบเดียวไม่อดตายหรอกอยู่ได้ แล้วอย่าไปหาพ่อเพื่อขอหวยพ่อไม่ได้บวชเพื่อเอาหวย พอพูดไปลูกๆก็ร้องไห้กัน โยมภรรยาก็ร้องไห้ คนงานก็ร้องไห้กันหมด ไม่ได้ร้องไห้เพราะเศร้าหรอก มันปีติ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    บวชจริง<O:p></O:p>
    เมื่อลาเสร็จแล้วก็ไปอยู่วัดที่สกลนคร ครอบครัวอยู่กุมวาปี อุดรธานี มันก็ไกลกัน ๑๐๐ กว่ากิโลเมตร เป็นนาคเพียงประมาณ ๑๐ กว่าวันหลวงพ่ออาจารย์วัชระท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอบวชให้เลย เดี๋ยวนี้ท่านละละสังขารแล้ว วันบวชตรงกับวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ฉันอายุ ๕๘ ปี หลวงพ่อยอเราว่าเก่ง หนังสือก็ใช้ได้ ความจำก็ใช้ได้ตั้งแต่เด็กแล้ว<O:p></O:p>
    ปกติแล้วตอนที่ไปนอนวัดถือศีล ๘ ฉันไม่เคยนอนก่อนเที่ยงคืน ฉันจะเดินจงกรมบ้าง นั่งภาวนาบ้าง ทำความเพียรมาตลอด สติมันจะตื่นมันไม่ง่วงความมุ่งมั่นมันมีอยู่ในจิต<O:p></O:p>
    23<O:p></O:p>
    ปฏิบัติจริง<O:p></O:p>
    พอบวชปุ๊บฉันพูดได้เลย ไม่น่าเชื่อใน ๑ คืน ๑ วันฉันจะนอนเกิน ๓ ชั่วโมงมีน้อยมาก จนอาจารย์เสถียรซึ่งตอนนี้เป็นเจ้าอาวาสท่านพูดว่าหลวงตาบวชด้วยศรัทธาจริง ๆหนอ มีคนเขาห่วงกลัวจะตายมันจะผอมนอนน้อยฉันน้อย มันมีแต่ความเพียรส่วนในจิตสบายไม่ได้ทุกข์ทรมาน มันเพียรของมันเอง บางคนเขาห้ามนะแต่มันขยันของมันเอง <O:p></O:p>
    ยิ่งปฏิบัติยิ่งอิ่มยิ่งเอิบ กายทรุดนะ ตีสองเป็นส่วนใหญ่บางคืนไม่นอนเลยนะ นั่ง ยืน เดินกลับไปกลับมา มันทำด้วยใจที่ทุ่มเทปฏิบัติอย่างทุ่มเท<O:p></O:p>
    หายปวดฟัน<O:p></O:p>
    หนึ่งพรรษาผ่านไปมันมีเรื่องแปลกอีก เปิดสักหน่อยก็ได้ก่อนจะบวชถอนฟันออกหมดนะ เหลืออยู่ซี่เดียวซี่กลาง ตอนก่อนบวชกินข้าวแล้วโดนของแข็งมันปวดจี๊ดขึ้นสมองเลย ต้องเลิกกินก่อนอิ่มอยู่บ่อย ๆ แต่แปลกพอมาบวชแล้วมันหายไม่ปวดอีกเลย<O:p></O:p>
    หนึ่งปีผ่านไปโดยความเพียรสุด ๆ บางคืนถึงตีสอง พิจารณาร่างกายอสุภกรรมฐาน ซี่โครง กระดูก พอหลับตาปั๊บดูไส้ดูพุงก็ได้เป็นกรรมฐาน แต่ต้องกำหนดจิตนะ จิตมันมีอุคคหนิมิตขึ้นมาให้เราเห็นเลย ก็เลยเพียรมา ๆ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ปรึกษาหลวงพ่อ<O:p></O:p>
    เคยถามหลวงพ่อครั้งหนึ่งพิจารณาขันธ์ ๕ ถามใครไม่รู้เลยไปถามหลวงพ่อว่าผมพิจารณาขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูป เวทนา จิตก็พิจารณา หลวงพ่อฟังแล้วก็ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิบ้าง มิจฉาทิฏฐิบ้างมีทั้งถูกและผิด ท่านสอนแล้วถามว่าเข้าใจไหม? ก็ตอบว่าเข้าใจครับ ต่อแต่นี้เร่งทานให้มากนะแต่พรรษาเดียวคงไม่ตรัสรู้น่ะ แล้วท่านก็หัวเราะ<O:p></O:p>
    เร่งทานคืออะไร? คือมันไปขยายปัญญา คือไปทำอะไรก็พิจารณาปัญญา อ่านหนังสือก็พิจารณาแต่กำลังกลับอ่อน คือมันไม่สมดุลกันน่ะ ก็รู้ตัวเพราะปกติเป็นคนชอบอ่านหนังสือ <O:p></O:p>
    24<O:p></O:p>
    เมื่ออ่านจบแล้วพิจารณาด้วยปัญญาก็เข้าใจ ๆแต่จิตมันไม่ยอม ความจริงกำลังมันไม่พอมันไม่ได้ผิดแต่เข้าใจไม่ใช่รู้ละ ถ้ารู้เข้าใจมันรับไม่ได้ แต่ถ้ารู้แล้วเข้าใจผิด รู้เข้าใจกับรู้จริงไม่ใช่นะ รู้เข้าใจกับรู้จริงคนละตัวกันนะ ถ้ารู้เข้าใจมันง่ายนะ แต่รู้จริงจิตละจิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในกายเป็นภาวนามยปัญญา ผิดไม่ได้ผิดหรอกแต่เข้าใจว่ารู้จริงแล้วเป็นความรู้ระดับกลางที่สามารถพูดได้เทศน์ได้ มันไม่ใช่รู้แจ้งรู้จริงรู้จนปล่อยวาง ตอนนี้ต้องมาพึ่งกำลัง ทีนี้หลวงพ่อบอกว่าต่อแต่นี้ไปให้เร่งทานให้มาก ก็หมายความว่าต่อไปนี้ฉันจะสร้างตัวเอง หนังสือจะไม่จับไม่อ่านหนังสือ ฉันเดินนั่งเดินเอาความสงบอย่างเดียว นับ ๑ ถึง ๒,๐๐๐ พุทโธ ๑ พุทโธ ๒ จนปิ๊งสติมั่นคง<O:p></O:p>
    อุคคหนิมิต<O:p></O:p>
    สองสัปดาห์ผ่านไปจนจิตเป็นสมาธิค่อยพิจารณา ยกกายมาพิจารณาว่ากายเรามีอะไรบ้าง มีตับ มีไต มีไส้ มีปอด ถลกหนังดูมันเห็นเหมือนใส่แว่นตาเป็นอุคคหนิมิต ให้เห็นเป็นภาพด้วยตาเนื้อจนหน้าเบ้หน้าบูดเหม็นคาวขึ้นมาเลย อันนี้เรียกว่าจิตยอมรับความจริง <O:p></O:p>
    จิตเข้าใจกับจิตรู้ความจริงมันคนละตอนกัน พอรู้เข้าใจมันไม่ละแต่พอรู้จริงมันจะละ รู้ว่าโกรธเป็นทุกข์ พอโกรธแล้วไปด่าเขาทำไมๆ จึงอภัยให้เขาไม่ได้ ถ้ารู้จริงเอาออกเลยพอจิตรู้จริงมันรู้โทษ กายเป็นของมีประโยชน์ชั่วคราวขณะมีลมหายใจ ปัญญารู้ว่าเราต้องดูแล กายเราต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา กายเรานี้เปลี่ยนไปเรื่อยจนกระทั่งถึงวันดับ ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ถึงรักษาอย่างดีที่สุดก็จะดับ รักษาดีต้องใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าทำประโยชน์จริง ๆ ถ้าเราเป็นชาวพุทธคือมาบำเพ็ญปฏิบัติให้พ้นทุกข์<O:p></O:p>
    การหากินเป็นธรรมชาติที่เราต้องทำอยู่แล้ว แต่ถ้าเราหาอยู่หากินอย่างเดียวมันใช่ความสุขหรือหนีทุกข์พ้นแล้วหรือ? พระพุทธเจ้าหนีทุกข์พ้นแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์หนีทุกข์พ้นแล้ว ทำไมเราไม่เดินตามรอยพระพุทธองค์ เดินไปทางอื่น เราต้องมาพิจารณากัน<O:p></O:p>
    ธรรมะยังใหม่แจ๋วยังเอี่ยมอยู่ เหมือนทางสายเอเชียไปกรุงเทพฯ ใครจะไปกรุงเทพฯขับให้ตรงทางสิ มัวแต่หลงอยู่ กำลังทานไม่พอเป็นเสียอย่างนั้น<O:p></O:p>
    25<O:p></O:p>
    พระไตรลักษณ์<O:p></O:p>
    ในที่สุดเมื่อปฏิบัติเร่งความเพียรอยู่ ๑ ปี พอออกพรรษาก็ขออนุญาตหลวงพ่อไปเที่ยว เป็นพระที่ชอบเที่ยวแต่เที่ยวก็ภาวนาไปเราจะไม่เว้นไม่ว่าไปอยู่ที่ไหน ไปวัดไหนหาที่สงบก็หลบไปภาวนา วัดไหนมีงานมากก็ไป วัดไหนดีก็จำไว้ วัดไหนไม่ดีก็ไม่เคยไปติเตียนเขา<O:p></O:p>
    ออกท่องเที่ยวบำเพ็ญเรื่อยมา ทีนี้พอมาช่วงออกพรรษา คำว่าจิตยอมรับพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดดับ ๆไม่ง่ายนะ แต่ความเข้าใจมันง่ายนะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรกตอนใหม่ ๆ ในโลกนี้มีแต่ของไม่เที่ยง กรุงศรีอยุธยา ๔๐๐ กว่าปี เป็นพระราชวังมา พระมหากษัตริย์ ๓๐ กว่าพระองค์ ก็ยังร้าง ความเข้าใจเป็นอย่างนั้น แต่การที่จิตยอมรับกับไปยึดยอมรับเกิดดับตามความเป็นจริงไม่ง่ายนะ พอออกพรรษามารู้คำนี้ได้อย่างไร?<O:p></O:p>
    วัดหินร้อยก้อน<O:p></O:p>
    พอออกพรรษาเขาก็ชวนไปวัดหินร้อยก้อน ที่จริงวัดหินร้อยก้อนก็วัดหลวงตามหาบัวนั่นแหละ เข้าไปวัดนั้นความจริงจะไปหาหลวงปู่พรหมา โยมชวนไปก็ไปตั้งใจจะอยู่ ๓ วัน มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นอีกไปที่ไหนก็มีที่นั่น พอไปถึงภูเขาก็ชอบเขาเรียกภูพานน้อย ห่างจากหมู่บ้าน ๑๐ กิโลเมตร สะดวก น้ำพร้อม แต่ตอนที่ไปอยู่ยังไม่พร้อม เป็นวัดใหม่เข้าไปเห็นธรรมชาติมีลานหินใหญ่ฉันชอบก็บอกกับโยมที่ไปส่งว่า ๗ วันค่อยมารับ <O:p></O:p>
    เดินจงกรมตั้งแต่ ๔ โมงถึง ๒ ทุ่ม เดินไปเดิมนมามันไม่เมื่อยมันมีกำลัง กำลังจิตมันมีขึ้น<O:p></O:p>
    เรื่องแปลกหน้าถ้ำ<O:p></O:p>
    ภาวนาอยู่ตรงนั้น ๓ วัน มีพระรูปหนึ่งชื่อหลวงพ่อเลิศพรรษาสูสีกับเราแต่อายุน้อยกว่า ท่านพักอยู่ที่ถ้ำมาบอกกับเราว่าจะไปหนองคายให้ไปพักที่ถ้ำแทนท่านที่นั่นเหมาะกว่านี้อีก ก็ไปดูกับท่านนั่งคุยกับท่านที่หน้าถ้ำมีก้อนหินอยู่ มีเรื่องแปลก คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืดเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม เอ๊ะ!ทำไมมันสว่าง เดือนมืดแต่สว่างเหมือนคนฉายไฟมาจากบนฟ้าเป็นวงกว้างนะ หลวงพ่อเลิศก้มลงดูไม่มีเงาก็พูดว่ามันแปลกนะ ๆ เราถึงจะรู้บ้างก็ไม่พูดอะไร <O:p></O:p>
    ฉันเลยเร่งความเพียรใหญ่ ความเพียรของฉันสุด ๆของสุด ๆนะ มันฮึกเหิมมันเป็นเอง อาจารย์สุนทรพูดได้เลยว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เคยมาที่วัดเคียนพิง ๒ ครั้งนิมนต์ฉันถึง ๓ ครั้งว่าหลวงตามาอยู่ที่นี่เถอะ ๆ ท่านนิมนต์เพราะอะไรเราไม่รู้หรอกแต่นิมนต์ถึง ๓ ครั้ง ก็บอกท่านว่าผมตั้งใจว่าจะอยู่กับหลวงพ่อสนั่น ๒ พรรษา ท่านก็ว่างั้นพรรษาหน้ามาอยู่ด้วยกันก็เลยรับปากท่าน<O:p></O:p>
    26<O:p></O:p>
    ชอบสถานที่ตรงนั้น ทีนี้พอภาวนาเดินจงกรมรู้สึกว่าพลังมันมีมากกำลังจิตมีมาก ปัญญาที่พิจารณาอะไรรู้สึกสว่างไสวดี เมื่อถึงกำหนด โยมมารับก็ไม่กลับขอต่ออีกอาทิตย์หนึ่ง<O:p></O:p>
    พอใกล้ ๒ อาทิตย์มานั่งพิจารณาก็รู้สึกซาบซึ้ง มันมีความสบาย โอ้ !พ่อแม่ครูอาจารย์มาสร้างวัดไว้เหมาะเหลือเกิน บำเพ็ญภาวนามีความสุขความร่มเย็นเหลือเกิน เทวดาอารักษ์ไว้เหมาะสมเป็นวัดไม่ได้เป็นอย่างอื่น เราจะภาวนาบูชาคุณพ่อแม่ครูอาจารย์และเทวดา<O:p></O:p>
    อดอาหาร บำเพ็ญภาวนา<O:p></O:p>
    ตั้งใจว่าจะอดอาหาร ๓ วัน แต่เข้าใจผิดถึงกำหนดมาซะอดได้ ๒ วัน เดินไปเดินมาเดินไปเดินมาพอเมื่อยนักก็นั่งพัก พอหายเมื่อยก็เดินต่อไม่ได้พักนอนแม้แต่นิดเดียว กระทั่งค่ำคือเดิน ๆนั่ง ๆจนค่อนแจ้งก็อดอาหารไม่ลงฉัน ก็เดินไปเดินมาพอบ่ายต้องไปฉันน้ำร้อนกาแฟ ที่นั่นเคร่งครัดมากน้ำปานะก็ไม่มี ฉันกาแฟใส่น้ำตาลอย่างเดียวแก้วหนึ่ง มีอาการจะเป็นลมมันไม่ไหว จึงบอกเณรให้ไปถอนตะไคร้สัก ๑๐ ต้น ต้มตะไคร้ฉันน้ำตะไคร้ขับลม เราจะเดินให้ได้ชั่วโมงนะแล้วพักภาวนา ก็เดินพอได้ชั่วโมงมานั่ง จนกระทั่งดึกแค่ไหนไม่รู้หลับไป<O:p></O:p>
    รุ่งขึ้นก็ภาวนาต่อ คราวนี้ไม่เดินแล้วมันไม่ไหว นั่งพิจารณาร่างกายในการเกิดดับ ฟังให้ดีนะพิจารณา ๑๓ ปีแล้วนะ ตั้งแต่ยังไม่บวชเมื่อบวชแล้วพิจารณาอีก ๑ ปีได้ความไม่เที่ยง เราก็พิจารณามาแต่ไหนแต่ไร พิจารณามาก็เยอะ พูดให้เขาฟังก็เยอะ ความเกิดความดับไม่เที่ยง<O:p></O:p>
    สัประยุทธ์<O:p></O:p>
    นที่สุดมาพิจารณาของเที่ยง ในร่างกายมีของเที่ยงไหมทั้งรูปทั้งนาม ที่เป็นอมตะทั้งสุขทั้งทุกข์ทั้งความดีความไม่ดีค้นไปหมด ทีนี้ฉันมีหลักอยู่ว่าพิจารณาจบฉันจะหยุดนิ่ง คำว่ามรรคสมังคีคือถ้าสติสมาธิปัญญารวมเป็นเนื้อเดียวกันเพื่อบรรลุธรรมว่างั้นเถอะ บางคนพิจารณาเสร็จจะถอนเลยแต่ฉันไม่ถอน พอหยุดพิจารณาธรรมแล้วนิ่งก่อน เมื่อพิจารณากายจบแล้วเข้าสู่ความสงบเลย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    27<O:p></O:p>
    ตั้งแต่ตีสี่ถึงบ่ายสี่โมงมันเงียบสงบในถ้ำนะ ก็พิจารณาต่อจน ละเอียดจนจบกระบวนการแล้วหยุด พอหยุดปุ๊บมันเกิดความรู้สึกที่ว่าสัประยุทธ์นะ มันวุบขึ้นในจิต ปกติมันลงจิตที่ว่าเกิดดับคือยอมรับมันวุบขึ้นมาฉันเรียกว่าสัประยุทธ์ ถ้ารวมใหญ่มันอย่างหนึ่ง เข้าใจมันไม่ยอมรับ พอสัประยุทธ์ปุ๊บมันเบาขึ้นมาในจิตในใจ พอเสร็จแล้วมันเหมือนอะไรหลุดจากเราไป อย่าเข้าใจว่าตรัสรู้ไม่ใช่นะ มันหลุดจากเราไปใจมันเบาขึ้นมาเลยพอลงว่าไม่เที่ยงมันเบาหวิวในใจนะ<O:p></O:p>
    สงสารตัวเอง<O:p></O:p>
    ภาพนิมิตเห็นดอกบัวแย้มอยู่ในน้ำ พอภาพนิมิตหายไปนั่งรำพึงดูมันเบาสบาย เดินไปเดินมาพิจารณาดู เดินลงมาเจอไม้ขอน สงสารตัวเองย้อนอดีตที่เราสู้ชีวิตมานะ เราเดิมพันด้วยชีวิตใช้ความขยันหมั่นเพียรแลก อันตรายแค่ไหนเราก็สู้ ดงคอมมิวนิสต์ก็เคยไปนอนด้วยเพื่อจะหาเงินนะ หากินในที่เสี่ยงก็ต้องทำเพราะอยากรวย<O:p></O:p>
    โธ่เอ๊ย!เรา ในบึงที่เก็บบัวไปเหยียบเอารอยจระเข้ใหญ่นะ รับจ้างเขาเอาควายข้ามบึงบอระเพ็ด บางครั้งอยู่ในป่าคนเดียวเจอโขลงช้างป่า มันเสี่ยงตายมาหลายครั้งเพราะอยากรวย นอนกะดินกินกะทรายทั้งๆที่มีที่ดินที่นครสวรรค์เกือบร้อยไร่ก็เพราะความอยากรวยนั่นแหละ โธ่เอ๊ย ! ความหลงสงสารตัวเองทุ่มเทเพราะความอยากรวย สงสารตัวเองอยากรวยมันไม่ผิด แต่เพราะอยากรวยแล้วตายตอนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมจะคุ้มค่าอะไร?<O:p></O:p>
    พอไปฉันน้ำร้อน ปลงสังเวชสลดใจไปมองคนอื่นสงสารเหมือนกัน มันก็เหมือนเราเมื่อก่อน ไม่ได้เกี่ยวข้องนะ อุ๊ย ! ไม่มีเวลาพักผ่อนไม่มีเวลาไปวัด เหมือนเดินอยู่ในป่าเห็นไม้แก่นนอนอยู่ เกิดมาเป็นต้นไม้อายุเท่าไรหนอเป็นร้อยปีตายไปเสียก่อน นับประสาอะไรกับตัวเรามีแต่เนื้อกับหนัง จะอยู่ได้อีกสักกี่ปี พอหายจากอาการสังเวชสลดใจเบามากเลย<O:p></O:p>
    จิตยอมรับการเปลี่ยนแปลง<O:p></O:p>
    เมื่อนั่งพิจารณาดูก็ว่าเมื่อเกิดสัประยุทธ์ จิตยอมรับการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ละได้นะแต่ยอมรับความไม่เที่ยง โอ้ ! จิตดวงนี้หนอถ้าหากคนใจร้อนอยากบรรลุไว ๆก็หลงตัวเองว่าพ้นแล้วใช่แล้ว ลูกศิษย์หลายรูปเป็นแบบนี้ มันต้องละเอียดลออมากนะ อาการอย่างนี้ถ้ามีอะไรมากระทบแป๊บหนึ่งมันหายไป ร้อนนะแต่ไม่แช่เข้าใจไหม กระทบพอรู้อาการมันไม่แช่<O:p></O:p>
    แต่ครูบาอาจารย์ พระอรหันต์ไม่กระทบเลยนะเข้าไปกระทบไม่ได้ เข้าไปแทรกเข้าไปซึมไม่ได้ อ้ายตัวนี้ซึมได้แต่มันซึมแป๊บเดียว พอสติมามันออกเลยความไม่พอใจต่าง ๆพอเข้ามาออกเลย แต่พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านหลุดแล้วเข้าไปไม่ได้เลยละอุปาทานทั้งหมดเลย<O:p></O:p>
    28<O:p></O:p>
    พอเกิดอาการอย่างนี้ฉันก็ไม่เล่าให้ใครฟัง ตอนนี้ก็เปิดบ้างพอสมควร ปกติแล้วไม่เปิดกลัวว่าเป็นการอวดตัวเอง โม้อย่างนี้นะ เมื่อตอนครองเรือนอยู่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อเยอะแยะเลย ต้องระวัง ๆบารมีเราก็ยังไม่มากพอ พูดไปก็ดาบสองคมเหมือนกันนะ<O:p></O:p>
    พรรษาที่ ๒<O:p></O:p>
    พอดีพอครบกำหนดโยมก็มารับกลับอำเภอกุมวาปี พอใกล้เข้าพรรษาก็ไปสกลนครไปอยู่กับหลวงพ่อสนั่นเป็นพรรษาที่ ๒ <O:p></O:p>
    ไปอยู่ก็ยิ่งลุยหนักเข้าไปอีกบางคืนก็ไม่นอน แต่จิตใจเบิกบานนะ อยู่ที่นั่นพระบางรูปเข้าใจก็มีที่ไม่เข้าก็มี บางรูปก็มีความเพียรบ้างไม่มีความเพียรบ้างเป็นธรรมดา<O:p></O:p>
    เข้าพรรษาที่ ๒ นี่ฉันทุ่มเทแลกเป็นแลกตายเลย มันขยันจนเป็นธรรมชาติเป็นอัตโนมัติขึ้นมาเลย หลวงพ่ออาจารย์สนั่นเรียกฉัน ๕ ครั้ง ฉันนั่งอยู่ท้าย ๆพรรษาน้อย ครั้งแรกพอทำวัตรเสร็จท่านถามว่าหลวงพ่อไทยมาหรือเปล่า ท่านเรียกฉันว่าหลวงพ่อไทยเพราะเป็นคนภาคกลาง ก็ตอบว่ามาครับ ท่านก็พูดต่อว่าหลวงพ่อนะ อวิชชา ปัจยา สังขารา ไม่เกินวิสัยนะ พิจารณาดี ๆ อวิชชา ปัจยา สังขารา<O:p></O:p>
    ครั้งหนึ่งในโบสถ์ลงปาฏิโมกข์เสร็จ ท่านนั่งห่างจากฉันประมาณเมตรหนึ่ง ท่านก็ว่าบวชนานก็บรรลุได้บวชใหม่ก็บรรลุได้ ครั้งพุทธกาล ๗ วันโกนหัวเสร็จบรรลุทันทีก็ยังมี ท่านมองหน้าเราแล้วก็ยิ้ม เราก็ไม่รู้อะไรหรอก<O:p></O:p>
    อีกวันหนึ่งท่านขึ้นธรรมาสน์เป็นวันพระคนมาวัดเยอะ แล้วท่านก็ถามอีกหลวงพ่อไทยมาหรือเปล่า ๆ พอบอกว่ามาครับ ท่านเทศน์ใช้เครื่องขยายเสียงนะ ท่านก็เทศน์ไปเรื่อย ๆ พอตอนจะจบท่านเทศน์ว่าอาจารย์กลางคืน อาจารย์กลางวัน อาจารย์ฝนแล้ง อาจารย์ฝนชุก อาจารย์มืด อาจารย์สว่าง อาจารย์ร้อน อาจารย์เย็น แหมอาจารย์ทั้งนั้น ท่านเทศน์สรุปว่าพระพุทธเจ้าถามปัญจวัคคีย์ ถามโกณฑัญญะว่าโกณฑัญญะตาเที่ยงไหม? ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า หูเที่ยงไหม? ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า ผมเที่ยงไหม? ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า ฟันเที่ยงไหม? ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า ของไม่ฉเที่ยงยึดไว้เป็นทุกข์ไหม? เป็นทุกข์พระเจ้าข้า ท่านตะโกนดัง ๆ ว่าโกณฑัญญะตรัสรู้เลย ฉันไม่รู้อะไรนั่งฟังเฉย ๆ<O:p></O:p>
    29<O:p></O:p>
    เร่งความเพียรสุด ๆ<O:p></O:p>
    ฉันยิ่งเร่งความเพียรหนักขึ้น วันนั้นวันที่ ๕ สิงหาคม ตอนเย็นก็นั่งภาวนาอยู่ ขันธ์ ๕ มาจากไหน เกิดดับ ๆอยู่ พิจารณาการเกิดดับ กามตัณหาภวตัณหา วิภวตัณหา รูปมันไม่เที่ยงจิตเรายอมรับแล้ว เสียงก็ไม่เที่ยง กลิ่นก็ไม่เที่ยง รสสัมผัสกามคุณ ๕ ที่คนและสัตว์ติดอยู่ เพราะมันติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ชอบติดในรสกามคุณ ๕ <O:p></O:p>
    พระโสดาปัตติผลแม้ละกายได้แล้ว จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในกายแล้วเชื่อกรรมร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ลูบคลำศีลแล้วมีศีลโดยเจตนาแล้ว ตรงนี้ยังละกามคุณ ๕ ไม่ได้ ละรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่ได้ ละได้แต่กายเท่านั้น แต่จิตยังติดยังชอบยังละไม่ได้ยังหลงใหลอยู่ <O:p></O:p>
    ทีนี้เมือจิตยอมรับพระไตรลักษณ์การเกิดดับ เมื่อเทียบกับอนาคามิผลแล้วกิเลสมันบางเฉียบ แต่มันยังมียังละไม่ได้ เวลาโกรธเหมือนกันจะเข้าแว๊บ ๆแล้วออก มันรู้ถึงจะออกมันค้นหารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เหมือนเป่าลูกโป่ง เป่าแล้วก็แตก ๆ แตกแล้วเป่าใหม่มันก็ได้มาเสียไปอยู่นั่นแหละไม่มีแก่นสารอะไร แต่ทำไมสุขเราชอบได้มาก็เสียไป ทุกข์เราไม่ชอบได้มาก็เสียไป เราติดตรงไหนสงสัยตรงไหน ทำไมจึงไปไม่รอดเราไม่หมดสงสัย<O:p></O:p>
    คราวนี้ไม่ยอมนอน อาหารจะฉัน ๓ มื้อใน ๑ อาทิตย์ ที่ไม่ฉันมันมีดีหลายอย่างคือ ๑ จิตสบายกายสบาย ๒ ไม่เป็นภาระ จะเร่งความเพียรได้เต็มที่ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องขบฉัน ตอนนั้นอดได้ ๒ วัน คืนวันที่ ๒ ฉันไม่ได้นอน ฉันอธิษฐานจิตว่าจะไม่นอนจะพิจารณาทั้งวันทั้งคืน ลมมันเสียดท้องประมาณตี ๒ กว่า ๆ ท้องมันร้องจ๊อกๆ<O:p></O:p>
    ตอนนั้นฉันถอดร่างเดินเหลือแต่กระดูก ฉันเดิน ๕ ชั่วโมงแล้วนั่ง จิตไปนึกถึงผี ห้องน้ำฉันทำด้วยโลงศพกระดานโลงศพสีดำ พอนึกได้อย่างนั้นมันมาเลยเป็นภาพนิมิตนะ มึงเป็นผีตายกูเป็นผีเป็นก็เลยยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    30<O:p></O:p>
    แลกเป็นแลกตาย<O:p></O:p>
    เข้าไปนั่งในกุฏิ มันแน่นท้องมากปวดเข้าหัวใจเลยนะ หัวทิ่มเลยนะเจ็บสุด ๆ ก็คิดว่าตาย ๆ จนกระทั่งสักพักหนึ่งค่อย ๆดีขึ้น เลยมานั่งรำพึงว่าถ้าเราตายพระก็ไม่เห็น เณรก็ไม่เห็น ลูก ๆก็ไม่เห็น เราตายคนเดียวเลยนะนี่ พรุ่งนี้เราจะอดอาหารอีกวันมันยิ่งผอมลง ๆ จะฉันอาหารมั๊ยพรุ่งนี้? ความจริงสัจจะเรายังอีกวัน <O:p></O:p>
    ก็นั่งพิจารณาธรรมะมาด้วยพลัง พ่อแม่ครูอาจารย์แม้แต่พระพุทธองค์ก็ได้มาด้วยแลกเป็นแลกตาย เราปฏิบัติเพื่อขัดเกลาจิตใจ เราจะปฏิบัติตามถ้าจะตายให้มันตายไปเลยยินดีตาย พรุ่งนี้เราจะไม่ฉัน<O:p></O:p>
    เอายาลมชงแล้วฉันเสร็จจึงภาวนาต่อไป สักประเดี๋ยวก็เข้าสู่ความสงบมันสบ๊ายสบาย รุ่งขึ้นแทนที่จะมีอาการอิดโรยเปล่าเลยมันกลับสบายทั้งวันทั้งคืนอีก วันถัดไปก็ฉันปกติ<O:p></O:p>
    พอหลังจากนั้นจะมีนิมิตบอกมาตลอดอะไรเป็นอะไร มันจะมีในตัวตั้งแต่เด็ก ๆมาแล้ว ย้อนมานี่เรื่องถ้ำมรกตฉันเห็นมาสองครั้งตอนอยู่อุดรฯ มันเป็นภาพนิมิตมันไม่ใช่ธรรมะหรอก อันนี้หยุดไว้ก่อนก็ได้<O:p></O:p>
    อดีตเป็นบทเรียน<O:p></O:p>
    ย้อนไปอดีตตอนที่รักษาศีล ๕ ศีล ๘ อยู่ทุกวันพระ ไม่เว้นเลยไปนอนวัด มีอยู่ ๒ ครั้งใน ๓ ปีกว่าที่ไม่ได้ไปวัด ลูกให้ไปส่งของกรุงเทพฯงานเขายุ่ง เราเลยไปตรงกับวันพระ ฉันไปส่งของกรุงเทพฯฉันวิรัติศีล ๘ รับเงินหลายหมื่นแต่กินข้าวมื้อเดียว ที่โน่นพระก็มื้อเดียวโยมก็มื้อเดียว ก็ยังขำเมื่อก่อนปฏิบัติธรรมกินไปตลอดทางทั้งไปกลับ<O:p></O:p>
    เมื่อปฏิบัติ ๓ ปีกว่า ลูกสาวคนโตเดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ที่โน่น เขาเป็นคนคิดก้าวไกลแต่ปัญญาน้อยกว่าพี่น้องทุกคน อยากให้ลูกตั้งตัวได้เป็นหลัก ลูกคนอื่นเราดูแล้วพอจะมีปัญญาสร้างอนาคตของเขาได้ ลูกสาวคนโตหนุนเท่าไรก็หนุนไม่ขึ้นเหมือนเป็นวิบากกรรมทั้ง ๆทุ่มเทมา ๓ ปี ฉันกลับไปทำนาอยู่ปีกว่าเกือบ ๒ ปีกลับร่วงลงไปเลย แต่งงานแล้วมีหลานแล้ว เราช่วยลูกอีกสักครั้งให้ลูกตั้งตัวได้ ก็มาวางแผนจะทำบัวฝักแต่ขายเม็ดแห้งนะ ที่นครสวรรค์เขาทำกันเยอะ ไปอยู่อุดรฯมีที่ทำนาบัวได้อยู่ เมื่อลูกตั้งตัวได้เราจะบวชโดยไม่กังวล ก็บอกลูกสาวลูกเขยว่าพ่อจะเป็นคนออกทุนและช่วยวางแผนทำงานให้ เมื่อหักทุนได้เท่าไรแล้วกำไรแบ่งกัน ฉันกะจะทำให้ได้เงินล้านก็ทุ่มเทเลย <O:p></O:p>
    31<O:p></O:p>
    คราวนี้วันพระที่เราเคยไปวัดก็ไม่ได้ไป ที่เป็นร้อยไร่เมื่อเตรียมดินเสร็จแล้วฉันไปเอาพันธุ์บัวจากพิจิตรมาจ้างเขาปลูกดูแลอย่างดี ที่ ๑ตารางวามีบัว ๒๕ ดอก ฉันกะได้เงินล้านแน่ ๆ สมัยนั้น ๑๒ กิโลกรัม ๒๗๐ บาท<O:p></O:p>
    พอดอกกำลังออกสวยงามในเดือนมีนาคม ฝนลูกเห็บลงดอกบัวเละตุ้มเป๊ะหมด ก็ค่อย ๆดูแลต่อไปจนฟื้นขึ้นมาได้เก็บดอกบัวขายอาทิตย์เดียวได้ ๒๗,๐๐๐ บาท อีกอาทิตย์เดียวน้ำป่ามาท่วมหมด คนมันจะไม่ได้นะโดน ๒ ตั้ง จากที่กะว่าได้เงินล้านกลับได้ ๑๓๐,๐๐๐ บาท หักทุนออกแบ่งกับลูกคนละ ๓๐,๐๐๐ บาท<O:p></O:p>
    ถลำลึก<O:p></O:p>
    พอมาปีสองฉันกับวัดไม่ต้องพูดถึงเลย หนูเริ่มกินบัวเพลี้ยกินบัวก็ใช้ยาฉีดถ้าไม่ฉีดเพลี้ยกินหมด ศีล ๕ ไปแล้ว จะเล่าให้ฟังเป็นบทเรียนความผิดพลาดแล้วคืนมาได้อย่างไร? คนมาหาปลาในนาบัวฉันโกรธเลย ความโกรธของฉันไม่ใช่มันจะหมดไป <O:p></O:p>
    ฉันยังจำคำพูดของฉันได้ว่า อยู่กับคนเลวมันต้องเลวเหมือนกันซิวะ เมื่อก่อนฉันไม่ว่า ไปหากำนันมาจับไปปรับ ๖๐๐ บาท แบ่ง ๓๐๐ บาทถวายวัด อีก ๓๐๐ บาทไปซื้อเหล้ามากินเหล้าอีก รักษาศีล ๕ มา ๓ ปีมากินเหล้าอีก พอกินเหล้าหมู่เพื่อนก็มา ๆจัดปีใหม่ เราเคยมีศีล ๕ กลับมาเละเทะมันน่าอายจัง<O:p></O:p>
    สมาธิล่ม<O:p></O:p>
    ติดตามต่อนะ
     
  2. หลวงพี่โทน

    หลวงพี่โทน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +57
    อนุญาตให้เผยแพร่ได้ แต่ ไม่ใช่การหาเงินเข้าตัวนะ
    เดี่ยวหลวงตารู้ละก็งานเข้า เราตายแน่เลย
    ขอให้มีความสุขนะ แล้ววันหน้าจะลงเพิ่มอีกจนจบ กลัวไม่มีใครอ่านเหมือนกัน และ อ่านแล้ว ไม่เชื่อ ยิ่งน่ากลัวกว่าอีก ......
     
  3. ถาวโร(ถา-วะ-โร)

    ถาวโร(ถา-วะ-โร) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +672
    นมัสการหลวงพี่ครับ

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา ผมพร้อมด้วยญาติธรรมได้ไปออกโรงทานที่งานทอดผ้าป่า

    สำนักสงฆ์ถ้ำเพชร หลวงตาพรท่านมาเป็นประธาน ไม่ทราบว่าหลวงพี่มาด้วยไหมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2012
  4. ทารา

    ทารา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +78
    นมัสการหลวงพี่คะ ได้ไปกราบนมัสการหลวงตาพรที่วัดป่าเคียนพิงค์
    และได้ไปออกโรงทานที่วัดป่าเคียนพิงค์และสำนักสงฆ์ถ้ำเพชรมา2-3ครั้งแล้ว
    คะ เมื่อวัที่ 19 กพ 55ก็ได้ไปกับคุณถาวโรคะ
     
  5. ทารา

    ทารา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +78
    นมัสการหลวงพี่คะ ได้ไปกราบนมัสการหลวงตาพรที่วัดป่าเคียนพิงค์
    และได้ไปออกโรงทานที่วัดป่าเคียนพิงค์และสำนักสงฆ์ถ้ำเพชรมา2-3ครั้งแล้ว
    คะ เมื่อวัที่ 19 กพ 55ก็ได้ไปกับคุณถาวโรคะ
     
  6. โสภณ1399

    โสภณ1399 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +2
    สาธุๆๆครับ ที่ได้อ่านอย่างละเอียด เคยได้ฟังจากหลวงตามาบางตอน
     
  7. joolong

    joolong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +283
    อ่านแล้วได้อะไรเยอะเลย ช่วยลงให้จบนะครับ
     
  8. หลวงพี่โทน

    หลวงพี่โทน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +57
    ประวัติ หลวงตาพร ตอนจบ

    ประวัติ หลวงตาพร ตอนจบ
    ก่อนอื่น ขออนุโมทนาสาธุ กับทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่าน ถ้าเกิดความเข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ก็ขอยกความดีความงามทั้งหมดถวายองค์หลวงตาพรนะ รวมถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกท่านทุกองค์ด้วย
    ตอบคุณ ถาวโรนะ หลวงพี่ไม่ได้อยู่ด้วยในงานหรอก เพราะยังเป็นพระบ้านอยู่ไม่ได้ใกล้ชิดท่านมาก แต่ท่านก็เมตตาหลวงพี่มากทีเดียว เคยไปกราบท่านที่สุราษ ๒ ครั้ง ที่ตาก ๑ ครั้ง เท่านั้นเอง แต่ที่เอามาลงเพราะเห็นว่าเราสะดวกกว่าลูกศิษย์ของท่านก็เลยเอามาลงเท่านั้นเอง
    สนองคุณ จูโล่ง เอามาลงให้จบเลยนะ

    สาธุสดชื่น
    ธรรมะเพื่อชีวิต
    ต่อจากครั้งก่อน
    สมาธิล่ม<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เมื่อฉันนั่งภาวนาเหมือนนั่งในกองไฟน่ะ พอหยุดภาวนาก็หาย คือสมาธิ ฉันละลายไปหมดแล้ว เสื่อมไปหมด มันทุกข์มากมันร้อนไม่เอาแล้วเรา บอกลูกว่านาบัวพ่อไม่เอา พ่อเลิกยกให้ลูกคนเดียว ก็กลับไปบ้าน ไปวัดก็ร้อนรีบกลับอายเขา เคยปฏิบัติตัวดีมีศีล ๕ เป็นผู้นำ แล้วสมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย<o:p></o:p>
    นั่งแล้วนั่งไม่ได้มันร้อนข้างใน เหมือนหลวงตามหาบัวท่านบอกว่าอาการเป็นอย่างนี้ท่านร้องไห้เลย ท่านเป็นตอนเป็นพระ ท่านเป็นอยู่เดือนเดียวก็หาย แต่ฉันเป็นตอนเป็นฆราวาสสมาธิเสื่อมหมดแล้ว มันไม่เหลือหลอฉันนั่งแล้วเหมือนไฟเผา แต่ถ้าออกไปทำโน่นทำนี่ไม่เป็นไร<o:p></o:p>
    ทีนี้มันมีโต๊ะบิลเลียดอยู่หน้าห้องฉัน ฉันร้อนจัด งานก็ไม่ได้ทำฉันยกกิจการให้ลูกหมดแล้ว ฉันลอยตัวไปวัดก็อายเขา พลังจิตหมดไป ฉันก็แทงบิลเลียดกับคนหนุ่มคนแก่ก๊อกแก๊ก ๆ เหล้าเบียร์ก็กินทุกวัน มันทุกข์สุดประมาณ อุ๊ย ! เราจะทำอย่างไรกับชีวิตเรา ไปวัดเองก็ไม่มีพลังจะไป ฉันจะทำอย่างไรหนอ ?<o:p></o:p>
    บวชเพื่อต้องการสมาธิคืน<o:p></o:p>
    ฉันจะเอาคืน ฉันอยากได้ความร่มเย็นคืน ฉันอยากได้สมาธิคืน นั่งก็ร้อนๆ <o:p></o:p>
    จะทำอย่างไรทุกข์ทรมานอยู่เกือบ ๒ ปี เขาประกาศบวชถวายสมเด็จย่าที่กรุงเทพฯ ในจิตก็คิดว่าเราสมัครดีไหมหนอ แต่ลูกและโยมภรรยาคงไม่อนุญาตเลยนิ่งไว้<o:p></o:p>
    พอดีวันหนึ่งโยมภรรยามาพูดว่าที่กุมวาปีเขาจะมีการบวชถวายสมเด็จย่ากัน ไปบวชสิ ฉันถามว่าที่ไหน โยมภรรยาว่าที่อำเภอเขาก็รับ ตื่นเช้ามาฉันรีบไปสมัครทันที ก็ได้บวช ๑๕ วัน สมเด็จย่าเรามีความเคารพอยู่ แต่ใจจริง ๆต้องการเอาสมาธิคืนมาให้ได้<o:p></o:p>
    พอฉันภัตตาหารเสร็จฉันก็นั่งภาวนาเดินจงกรมเลยนะ ช่วงนั้นเดือนมีนาคมอากาศร้อนน่าดู ฉันเดินเหงื่อท่วมตัวนะ เดินๆ นั่ง ๆฉันไม่นอน กลางคืนก็ถึงตีสอง กลางวันก็ทั้งวันฉันหวังเอาสมาธิคืน ๑๒ วันฉันหมดแรงเลยอ่อนปวกเปียก ๆแทบจะตายนะ ที่สุด ...ก็ได้สมาธิคืน นั่งรำพึงว่า ๑๒ วันแล้ว จะตายแล้วสมาธิก็ยังไม่ได้คืน จะเอาอย่างไรมันก็ไม่สงบเสียที ตอนนี้จะสงบไม่สงบก็ช่างหัวมันเถอะ เดี๋ยวเราจะลาออกจากกรรมการวัดไม่ผูกพัน โบสถ์จะเสร็จไม่เสร็จเดี๋ยวลูกหลานจัดการเอง วัดเราก็ไม่เอา กรรมการเราก็ไม่เอา บอกลาครูบาอาจารย์ วัดไหนเราก็ไปนอน <o:p></o:p>
    23<o:p></o:p>
    ปล่อยวางไม่สงบก็ไม่สงบไม่สนใจ ปล่อยวางแล้วนั่งใหม่ ๑๐ นาทีก็สงบแปลกมั๊ย? อยากสงบแทบตาย ช่างหัวมันปล่อยวางรู้ทันทีจิตสงบแต่เกือบตาย ปีติมันก็เกิด ๆปีติเกิดความสงบขึ้น<o:p></o:p>
    ปฏิภาคนิมิต<o:p></o:p>
    ตอนเย็นไปฉันน้ำร้อนที่ศาลา ก็กราบหลวงพ่อบอกว่าผมได้สมาธิกลับคืนแล้ว พอกลับมาใกล้โพล้เพล้นั่งแป๊บเดียวก็สงบ คราวนี้เอาล่ะ ๓ ปีกว่ามาแล้วนะ ฉันไม่ได้เดินปัญญาได้แต่สงบไม่ได้พิจารณาธรรม พูดแต่ไม่ได้พิจารณา ละกายพิจารณารู้กายตามความเป็นจริง เอาแต่สงบ ๆทีนี้รักษาสมาธิไว้ไม่ได้เพราะขาดปัญญา ๆเราอ่อน <o:p></o:p>
    พอค่ำจิตสงบก็ถามจิตเลย สุขเกิดตรงไหนทุกข์มาได้อย่างไร โกรธอย่างไร อารมณ์มันพิจารณา เขาบอกอยู่ในจิตหมด พิจารณาใคร่ครวญกระทั่งเคลิ้ม ๆเอนลงนอนก็ภาวนาพุทโธ ๆแล้วก็หลับ นิมิตออกจิตออกจากร่างเดินไป ๆ ถือกระเป๋าไป เดินไปได้ระยะหนึ่งแล้วในจิตพูดกูหลง พอเจอสะพานก็พูดว่ากูหลงพอพูดจบภาพก็ตัดไปเลยเห็นโยมภรรยานั่งอยู่ร้องไห้รำพันสะอึกสะอื้น คู่ทุกข์คู่ยากลำบากลำบนมาด้วยกัน ตัดช่องน้อยเฉพาะตัวหนีไปไม่สงสารไม่เมตตาเลย จิตมันสงสารมากกลับไปหาสงสารเขาจะไปอุ้มเขาเหมือนเด็กน้อย <o:p></o:p>
    ภาพมันตัดปั๊บไปนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิห่างกันประมาณ ๓๐ วาแต่ไม่ใช่เป็นพระนะ ได้ยินเสียงเรียกพี่พร ๆมานี่ อ้ายเราก็นั่งภาวนาอยู่ลุกขึ้นจะไปหาเขาคว้าดาบเล่มหนึ่งเหน็บอยู่ข้างฝา กว้างประมาณ ๒ นิ้ว ยาวประมาณวาหนึ่ง ได้ยินเสียงพี่พรมานี่ ๆ เราก็จับดาบหมุนซ้ายหมุนขวาแล้วก็ลอยขึ้นแล้วตกใจตื่น ร้องโอ๊ะ! ๆก็ใจเสียนิด ๆ สะดุ้งตอนลอยขึ้นอากาศ เขาเรียกปฏิภาคนิมิตนาน ๆเล่าให้ฟังที<o:p></o:p>
    เราได้อะไรนะที่นิมิตแบบนี้ อ๋อบทแรกที่เราเดินทางเหนื่อยแสนเหนื่อยที่เดินทางมาแสนไกล หลงกูหลงพิโธ่เอ๋ย! นับแต่เราเกิดมานี่อายุเรานี้ ๕๗ ปีแล้ว หลงมาจนเกินค่อนคนแล้ว หลงทางเกิดมามีแต่ความหลง ราคะ โทสะ โมหะก็มาจากหลง อายุ ๕๗ แล้วก็ยังหลงอยู่<o:p></o:p>
    พิจารณาข้อติดขัด<o:p></o:p>
    หลังจากที่ฉันปฏิบัติแลกเป็นแลกตาย ตอนหัวทิ่มลงแล้วไม่หายใจ พอฉันยาแล้วรุ่งขึ้นก็มีกำลังขึ้น จากนั้นทุกวันทุกคืนจิตมันหมุนติ้ว ๆค้นคว้าว่าเราติดตรงไหนเราคาตรงไหนเราหลงตรงไหน กายเราก็รู้แล้วเราเข้าใจความจริงของกายมันเกิดแล้วก็ดับ เรารู้ความจริงของสุขมันเกิดแล้วก็ดับ เรารู้ความจริงของทุกข์มันเกิดแล้วก็ดับ <o:p></o:p>
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ เรารู้ความจริงเรายึดมั่นถือมั่น เราติดตรงไหนเราคาตรงไหน มันจะหมุนติ้วตรวจทีละชิ้นตรวจกายก่อน เรารู้กายว่าไม่ติดในกาย ตรวจดูสุข ๆมันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป แม้แต่จิตมันไม่เที่ยงเกิดแล้วก็ดับ ในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราตรวจดูหมุนติ้วอยู่นี่ วนไปวนมาทั้งวันทั้งคืน นอกจากคุยกับหมู่คณะแล้ว ทุกขณะมันหมุนอยู่ในขันธ์ ๕ ว่าเราติดตรงไหนเราคาตรงไหนเราหลงตรงไหน พอจบก็นั่งพักจิตถอนจิตเป็นอย่างนั้นเป็นวันเป็นคืน กิริยาเราจะเปลี่ยนไปไม่รู้ตัว ความเพียรมันมาจากไหนไม่รู้ คืนกะวันเราเคยนอนไม่เกิน <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    24<o:p></o:p>
    ๓ ชั่วโมงเดี๋ยวนี้เหลือชั่วโมงเดียว ไม่หลับไม่ได้ทุกข์อะไรจิตจะตื่นตลอดเวลา เผลอตัวหลับไปสักชั่วโมง พอตื่นขึ้นมาจิตก็ใสแจ๋วไม่ง่วงไม่อะไร<o:p></o:p>
    เกิดอัศจรรย์<o:p></o:p>
    ในที่สุดก็บำเพ็ญเพียรเร่งมา ๆจนถึงวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ตอนบ่าย ๆเราก็ขึ้นต้นเหมือนเดิม พิจารณาเริ่มต้นด้วยกาย หมุนไปทุกสิ่งทุกอย่างจนละเอียดเป็นชั่วโมง ๆ พอจบแล้วก็ทำความสงบ <o:p></o:p>
    ในช่วงที่ทำความสงบไปไม่ถึง ๑๐ นาทีมันก็วุบ เขาเรียกว่ารวมวุบลงมา แล้วตัวผู้รู้ก็รู้ว่า อ๋อ ! จุดนี้เองเหรอจุดนี้ที่ไม่เที่ยง พอรู้ว่าไม่เที่ยงก็ละจุดนั้น ตัวที่เชื่อมโยงทั้งหมดมันก็พังทลายไปเดี๋ยวนั้น จิตก็อัศจรรย์มากเลย เราไม่นึกไม่ฝันว่าชาตินี้เราได้เห็นจุดนี้ เราไม่นึกไม่ฝันเราเพียรมาเราเร่งมา จุดนี้เองเหรอที่เป็นจุดต้นขั้วของมัน เหตุของมันเหตุของทุกข์อยู่ตรงนี้เอง พอรู้ก็ละจุดเชื่อมโยง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมันก็พลอยละไปด้วย <o:p></o:p>
    ตอนที่เราค้นคว้าก็เหมือนเราหักก้านบัวเราคิดว่ามันขาด แต่มันยังเหลือไม่เห็น หลังจากนั้นมันเกิดอัศจรรย์มันเบา ความอัศจรรย์อันนั้นมันอธิบายไม่ถูก ไม่รู้จะบอกอย่างไร<o:p></o:p>
    รำพึง<o:p></o:p>
    นั่งรำพึงอยู่ร่วมชั่วโมง ก็ลุกไปวิหารหลวงพ่ออาจารย์สนั่นซึ่งมีรูปพ่อแม่ครูแม่อาจารย์ ๒๑ รูป มีหลวงปู่มั่นเป็นต้น พอเข้าไปถึงก็กราบพระพุทธรูปก่อนแล้วกราบรูปหลวงปู่มั่น กราบรูปพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกรูป<o:p></o:p>
    แล้วนั่งรำพึงว่าเราไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเราจะพบจุดนี้ในชาตินี้ แล้วเราจะบอกใครได้จะสอนใครได้ เราบวชมาแค่ ๒ พรรษาแต่ความจริงเราปฏิบัติมา ๑๓ ปี เราธุดงค์ในปีที่ ๑๓ เราไม่ติดในกายแล้ว แต่นั่นแหละเราบวชมาแค่ ๒ พรรษารวมแล้ว ๑๕ ปี เราไม่บวชเราก็ภาวนาวิสัยเราก็ภาวนาสุด ๆ ไปนอนวัดก็นอนหลังเที่ยงคืน เราทุ่มเทมาตั้งแต่ยังไม่บวช แต่มาบวชได้เพียง ๒ พรรษา สิ่งที่เรารู้เราจะไปบอกใครเขาเชื่อ เราจะเว้นไว้สัก ๑๐ ปีค่อยไปบอกให้คนอื่นรู้จะดีไหม เราก็พิจารณาแต่ถ้าเราตายเสียก่อนละ มันก็ทิ้งไปแทนที่จะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ก็คิดว่า ๕ พรรษาเราจะพูดความจริง เราจะเก็บไว้ก่อนไม่บอกใคร พอคิดอย่างนั้นปุ๊บมันเหลืออีกอย่างมันยังไม่หมด เป็นเสียงขึ้นมาในจิต เราก็เชื่อก็ค้นอีกไปอีกระดับ มันหมุนอีกแล้วจิตก็บอกว่าเหลืออีกระดับก็ค้นอีก<o:p></o:p>
    จากวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ไปถึงวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ตอนเย็นประมาณ ๔ โมงเย็น เดินก็ค้นนั่งก็ค้นประมาณ ๔ โมงเย็นก็ผุดขึ้นมา อ๋อ ! นี่เองเหรอจุดนี้เองเหรอ จุดนั้นคือใจนั่นแหละก็คือจิตนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สว่างโล่งเบาสบาย<o:p></o:p>
    ความเพียรก็ผ่อนเลย ภัตตาหารก็มาฉันไม่อดเลย มั่นใจในสิ่งที่รู้นั้นเรามั่นใจ แต่ตั้งใจว่าจะไม่บอกใครแม้แต่หลวงพ่ออาจารย์สนั่น เราก็ยังไม่บอกเราจะเก็บความรู้นี้ไว้ก่อนตั้งใจว่า ๕ พรรษาจึงจะเผย<o:p></o:p>
    ครูบาอาจารย์หยั่งรู้<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    25<o:p></o:p>
    พอดีมีโอกาสไปกราบหลวงพ่อไม่รู้ว่ามีธุระอะไร จะลาไปอุดรฯหรือเปล่าจำไม่ได้ ตั้งใจจะไปกราบท่านแต่จะไม่เล่าถวาย แต่หลวงพ่อมีญาณหยั่งรู้สูงมากเรายอมรับท่าน ท่านนั่งเก้าอี้เอน ๆอยู่ พอกราบปุ๊บท่านชี้แล้วร้องว่า ฮ้า ! หลวงตาได้แล้วนี่ ออกทางกายผมก็รู้ ออกทางตาผมก็รู้ ท่านว่าอย่างนั้น ความตั้งใจที่จะไม่เล่าถวายเลยพูดไปคำแรกว่า หลวงพ่อจิตไม่ใช่ของเราหนอ ท่านก็ว่า ก็ไม่ใช่นะซิ ก็เลยเล่าถวายแต่จะไม่พูดในที่นี้ พูดไม่ได้พูดไปจะเป็นโทษ <o:p></o:p>
    จึงเล่าถวายท่านโดยละเอียดยิบ มันโยงยังไง มันเชื่อมยังไง มันเกาะยังไง เหตุอย่างไร ถ้าเราดับเหตุได้ปลายเหตุก็ดับไปหมด จุดที่เกิดครั้งแรกวันที่ ๕ สิงหาคม ท่านเลยพูดดัง ๆ ว่า ฮ้า ! ละอ้ายนี่ได้แล้วไปคุยอวดคนได้เลย อ้ายนี่คือจุดของมัน จุดที่ ๑ จุดที่ ๒ ใจก็สักแต่ว่าใจนั่นแหละ<o:p></o:p>
    ตั้งแต่นั้นมาก็ผ่อน ความเพียรก็ลดไปเลย พระที่มาคุยด้วยเคยให้คุยถึง ๒ ทุ่ม ตอนนี้ ๕ ทุ่มเที่ยงคืนก็ไม่เป็นไร แต่ไม่เผยนะกับพระเราไม่เผย ๆไปก็มีโทษ ไม่มีใครเขาเชื่อก็สบาย ๆกวาดลานวัด ความเพียรก็ลดเลยไม่ได้นั่งภาวนา ไม่ได้เดินจงกรม ความเบาสบายมีตลอดเวลา<o:p></o:p>
    ๘ เดือนท่องปาฏิโมกข์ได้<o:p></o:p>
    กระทั่งไม่มีอะไรจะทำก็เอาหนังสือปาฏิโมกข์มาท่อง ๆ เล่น ๆ ไม่นึกว่าจะได้หรอก ไม่รู้จะทำอะไร สวดมนต์เราก็ได้ทุกข้ออยู่แล้ว เหลือแต่ปาฏิโมกข์ก็ท่องเล่น ๆไปอย่างนั้นแหละ ท่องไปถึงสังฆาทิเสส หลวงพ่ออาจารย์สนั่นก็ว่าหลวงตาอยู่ว่างๆ เอาปาฏิโมกข์มาท่องบ้างนะ ท่านรู้ว่าเราว่างแล้ว ไม่มีงานจะทำแล้วในเรื่องความเพียรนะ ตอนนั้นท่องเล่น ๆ อยู่ ก็เลยบอกว่ากำลังท่องอยู่ครับ ท่านก็ว่าเออนั่นแหละ เมื่อก่อนหน้านี้ไปกราบท่าน ๆ ก็ไล่ให้ไปเร่งความเพียรเร่งภาวนา ตอนนี้ท่านไม่ว่าอย่างนั้นท่านว่าอยู่ว่าง ๆก็ท่องปาฏิโมกข์นะ ก็รับปากครับ<o:p></o:p>
    พอลงศาลา เราด้วยความเคารพท่านสุด ๆ ท่านสั่งซ้ายก็ไปซ้าย ท่านสั่งขวาก็ไปขวา ก็ตั้งปณิธานว่าเราจะท่องปาฏิโมกข์ หนังสืออื่นเราจะไม่จับเลยถ้าไม่จบปาฏิโมกข์ เราจะท่องแต่ปาฏิโมกข์ ตั้งแต่นั้นก็ท่องปาฏิโมกข์ตั้งแต่หัวค่ำยันตี ๒ ไปบิณฑบาตก็ปาฏิโมกข์ ขึ้นรถเมล์ก็ปาฏิโมกข์ เอาปาฏิโมกข์ไปด้วยเลย ในที่สุด ๘ เดือนเราก็ได้ปาฏิโมกข์ (จำพรรษาวัดหินร้อยก้อน ๒ พรรษา)<o:p></o:p>
    พอออกพรรษาที่ ๒ ก็กราบลาหลวงพ่อไปวัดหินร้อยก้อนเป็นวัดหลวงตามหาบัว เมื่อไปอยู่วัดหินร้อยก้อนก็มีปัญหาเหมือนกันว่าจะปิดความลับที่เรารู้ แต่มีพระที่มีปัญหาในจิตแก้ไม่ตกจะสึก เลยพูดให้ฟัง ๔ รูปก็ไม่ได้สึก แต่ไม่ได้ขอร้องไม่ให้สึกนะ พูดเหตุผลให้ฟัง <o:p></o:p>
    พระก็มารุ่มร่ำ ๆ เราก็พูดความจริงให้ฟังในพรรษาแรก พอพรรษาที่ ๒ ก็เอาอีก ก่อนออกพรรษาพระที่โจมตีเรา ๗ รูป หัวหน้าโดนไฟไหม้กุฏิแสนกว่าบาท สมาธิเสื่อมไปหมด แล้วแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละวัด สมาธิเสื่อมไปเลย ๒ รูป อีกรูปเดี๋ยวนี้เป็นบ้าไปเลย เพราะกรรมอะไรเราไม่รู้ เราไม่เคยไปแช่งใคร อีกรูปเราช่วยคืนสมาธิได้เดี๋ยวนี้อยู่เมืองกาญจน์ มาขอโทษเราช่วยได้ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร พระมาเล่าให้ฟังก็สงสารเมตตาไม่รู้จะทำอย่างไร อยู่วัดหินร้อยก้อนได้ ๒ พรรษา รวมแล้ว ๔ พรรษา รำพึงว่าจะถึง ๕ พรรษาแล้วนี่ที่เราจะพูดความจริง ก็เลยพิจารณาว่าเราจะอยู่ที่ไหนนะ จะอยู่กับครูบา-<o:p></o:p>
    26<o:p></o:p>
    อาจารย์ท่านก็ประเสริฐเลิศเลออยู่แล้ว อาจารย์สุนทรเจ้าอาวาสวัดหินร้อยก้อนท่านก็เป็นพระที่ใสสะอาดอยู่แล้ว เราก็กวาดลานวัดทำไม้กวาดถวายวัดบ้าง อยู่อย่างนี้มันก็สบายนะ แต่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้างนะสิ่งเรารู้<o:p></o:p>
    ออกจากอ้อมอกครูบาอาจารย์<o:p></o:p>
    เราพิจารณาแล้วเราควรจะออกจากอ้อมอกครูบาอาจารย์ ออกไปท่องเที่ยวเสียที ก็มาพิจารณาอีสานเราจะอยู่มั๊ยนั่งกำหนดจิตพิจารณา อีสานไม่น่าห่วงเลยอีสานเป็นแดนอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์ประเสริฐเลิศเลอระดับประเทศมีมากมายก่ายกอง พระอริยสงฆ์มีทุกตำบลคงไม่ผิด เราไม่อยู่อีสาน<o:p></o:p>
    ภาคเหนือล่ะ พิจารณาไปภาคเหนือ ๆมันหนาวคงจะไม่ไปอยู่ภาคเหนือ<o:p></o:p>
    แต่จะไปท่องเที่ยวได้อยู่ มาพิจารณาภาคกลาง เราเกิดบางระจัน สิงห์บุรี มันไม่มีป่ามีแต่สวนมะม่วงเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังบ้านเขา พิจารณาดูทางจันทบุรี ตราดก็น่าสนใจเหมือนกันนะ<o:p></o:p>
    ท้ายที่สุดพรรษาที่ ๕ เราจะไม่ไปไหน เราจะไปเพชรบุรี แก่งกระจาน จะออกจากครูบาอาจารย์ไปอยู่แก่งกระจาน เพชรบุรี รูปเดียวก็จะอยู่ก่อนครบพรรษา ๕<o:p></o:p>
    ภาคใต้ไม่ได้คิดแม้แต่นิดเดียว ก็เลยนั่งกำหนดจิตอธิษฐานจิตเราจะท่องเที่ยวไปที่ไหนชนะจิตเรา ๆจะอยู่ที่นั่น พอออกพรรษาก็เดินทางไปเพชรบุรีกับพระ ๒ รูป พบปลัดซึ่งเป็นญาติกัน ปลัดบอกว่าวันเสาร์ผมจะพาไปแก่ง กระจาน เราก็นั่งในป่ามะม่วงกับพระ ๒ รูป<o:p></o:p>
    ไปสุราษฎร์ฯด้วยเหตุบังเอิญ<o:p></o:p>
    พอดีหลวงพ่อที่ไปด้วยกันเป็นคนชัยภูมิ แต่มีลูกสาวมาได้สามีที่บางโก อำเภอพนม จังหวัด สุราษฎร์ธานี ท่านก็ชวนว่าไปเที่ยวสุราษฎร์ ฯมั๊ย? ไปเยี่ยมลูกสาวผมไปเที่ยวสัก ๓ คืน เราอยู่เพชรบุรีก็เข้าท่าเหมือนกัน ภาคใต้เราไม่เคยไปเลย<o:p></o:p>
    ในที่สุดก็มาสุราษฎร์ ฯ มาถึงที่จะสร้างวัดนี่ ไปบิณฑบาตวันแรกคนที่จะใส่บาตรก็ตะโกนว่าทำกับข้าวไม่ทันเลย ใส่ข้าวเปล่า ๆได้ไหม? เราก็ฉงนเหมือนกันบอกว่าใส่ได้ เขาก็มาใส่เมื่อใส่เสร็จแล้วก็ไม่กราบไม่อะไรทั้งสิ้น เมื่อใส่รูปแรกเสร็จแล้วเขาก็ถามใส่รูปเดียวเหรอ? เราก็บอกว่าใส่ ๒ รูปสิ ฉันหัวเราะแต่ใจร่วงเลย รู้ว่าคน ๆนี้ไม่เคยใส่บาตรก็เลยสงสารเขา<o:p></o:p>
    ช่วยหลวงพ่อสร้างวัดเคียนพิง<o:p></o:p>
    ฉันเลยยุหลวงพ่อที่พามาว่าสร้างวัดซิผมจะช่วย ตอนแรกคิดจะช่วยสักเดือนหนึ่ง แต่กลัวว่าจะไม่เป็นรูปเป็นร่างก็เลยตัดสินใจว่าจะช่วยสักปีหนึ่ง พอช่วยได้ปีหนึ่งมันหนักมากเพราะตรงนี้ไม่เคยมีวัดมาก่อน ความไม่เข้าใจกันเพราะรูปแบบวัดปฏิบัติไม่เคยมีให้เขาเห็น เคยเห็นแต่วัดทั่วๆ ไป รูปแบบพระกรรมฐานไม่เคยเห็น <o:p></o:p>
    เขาอยากให้ตามใจเขา ๆอยากให้มีมหรสพในวัด กินเหล้าในวัดเราไม่ยอม ความไม่เข้าใจมันมีมาก เลยตัดสินใจว่าจะอยู่ช่วยหลวงพ่อสัก ๓ ปี จะให้เป็นวัดให้ได้<o:p></o:p>
    หลวงพ่อกลับ ตัดสินใจสร้างวัดต่อ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    27<o:p></o:p>
    แต่พอออกพรรษาหลวงพ่อกลับไปเลย เอาละซิเราอยู่รูปเดียว เมื่อก่อนอยู่ ๔ รูป เสื่อผืนหมอนใบไม่รู้จักใครเลยทั้งโยมทั้งพระ ฟังภาษาใต้ก็ไม่ออก เมื่อท่านกลับไปแล้วเหลือเรารูปเดียว <o:p></o:p>
    เราก็พิจารณาว่าจะอยู่หรือไป กระทั่งพิจารณาว่าเราอายุป่านนี้แล้วจะท่องเที่ยวไปไหน สงสารเขาวัดไม่มี ก็ตัดสินใจว่าเราจะสร้างวัดนี้เป็นวัดสุดท้ายของชีวิต จะไม่ไปไหนก็อธิษฐานจิตว่าจะอยู่ <o:p></o:p>
    หนักมาก<o:p></o:p>
    ถามว่าหนักมั๊ย? ก็หนักมาตลอด ความไม่เข้าใจกัน แต่ในเมื่อเรามีเป้าหมายในการเผยแพร่ธรรมะ เรามองเห็นในนิมิตถึง ๓ ครั้ง ก่อนบวช ๒ ครั้ง บวชแล้ว ๑ ครั้ง เรามาเห็นแล้วจำได้ว่าตรงนี้อะไรเป็นอะไรในอนาคต แต่บอกใครเขาไม่เชื่อ มันหนักมาก <o:p></o:p>
    เรามองไปในอนาคตว่าแดนใต้น่าเผยแพร่มาก อากาศดีธรรมชาติดี เราอยู่มา ๕ – ๖ ปีก็เริ่มเข้าใจจิตใจประเพณีของคนใต้ ก็เหมือนคนภาคกลาง จะเป็นคนจริงทำอะไรทำจริง มีเหตุผลแต่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก มีทิฏฐิมานะแต่เขาเคารพเหตุผล ถ้าเราน้อมจิตเขาให้เป็นสัมมาทิฏฐิได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขาต่อครอบครัวเขาต่อสังคมอย่างมหาศาล เพราะเขาเป็นคนจริง<o:p></o:p>
    อย่างฉันนี่แหละไปเทศน์ที่วัดป่าบ้านค้อของหลวงพ่อทูล ที่อุดรธานี เอาเรื่องคนใต้ไปเทศน์ลักษณะนี้แหละ ว่าคนใต้เป็นคนมีเหตุผลเป็นคนดี แต่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก การเชื่อเขาเชื่อยากแต่เชื่อด้วยเหตุผล<o:p></o:p>
    ปรารถนาให้แดนใต้เป็นแดนอริยสงฆ์<o:p></o:p>
    ในที่สุดมาถึงบัดนี้ปีนี้ก็ ๑๐ ปีเต็มแล้ว เดี๋ยวนี้ความเข้าใจเพิ่มพูนขึ้น ญาติโยมก็เข้าใจเจตนาของฉันมากขึ้น ฉันมาอยู่ใต้เพื่อประโยชน์ของพุทธศาสนาเพื่อชาวพุทธเท่านั้น ถ้าจะหวังความเด่นความดังไม่มาอยู่หรอกตรงนี้แต่ในอนาคตบั้นปลายเป็นร้อยๆปีข้างหน้าจะรุ่งเรืองมาก เราก็ทุ่มเททำไปเพื่อประโยชน์ของศาสนา ธรรมะยังใหม่เอี่ยมอีกตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีโน่น<o:p></o:p>
    ฉันปรารถนานะไม่ใช่ทำคนเดียว ปรารถนาจะให้แดนใต้เป็นแดนอริยสงฆ์อีกครั้ง ก่อนจะหมดอายุพระพุทธศาสนา และเชื่อมั่นว่าเป็นได้เพราะ ๑๐ ปีกว่านิดหน่อยนี่ เดี๋ยวนี้พระปฏิบัติลงมาเพิ่มขึ้น อย่างวัดเคียนพิงคนรู้จักเพิ่มขึ้น เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ชาวใต้ที่เป็นมนุษย์ถือศีล ๕ บริสุทธิ์ ปฏิบัติธรรมจิตเป็นสมาธิบางคนดวงตาเห็นธรรมมีเป็นร้อย ๆแล้วก็ค่อย ๆเพิ่มขึ้น <o:p></o:p>
    หนุ่มชาวใต้ก็บวชมาไม่กี่พรรษา มาอยู่ที่นี่ ๑๐ พรรษาเพิ่งบวชในพรรษาที่ ๗ ,๘ ,๙ ,๑๐ นี่พรรษาที่ ๑๑ ก็ไม่เว้น ต่อไปเยาวชนหนุ่มชาวใต้จะบวชมากขึ้น ครูบาอาจารย์ทางใต้ก็จะเพิ่มมากขึ้น วัดจะขยายเองเป็นธรรมชาติ<o:p></o:p>
    อย่างหลวงปู่เนตรที่อ่าวลึก ฉันจะให้แกะรูปท่านเป็นหินเหมือนกัน ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่เทสก์ เป็นพระที่พูดได้เลยว่าท่านละเมื่อไรกระดูกเป็นพระธาตุนะ ทางใต้ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงยังลงมาน้อย ต่อไปก็จะมากขึ้น ๆ ทางภาคกลางก็ลงมา ท่าชนะก็มีมาบ้างก็เริ่ม ๆ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    28<o:p></o:p>
    เป้าหมายการสร้างวัด<o:p></o:p>
    วัดเคียนพิงถือเป็นวัดต้น เดี๋ยวนี้ขยายไปจังหวัดตรังที่หนึ่งก็รับไว้ ทางถ้ำเพชรเลยในคริสต์ไปอีกที่หนึ่ง ทางอื่นยังรับไม่ได้พระเรายังน้อยอยู่ แต่พยายามสร้างฐานที่เคียนพิงให้แน่นที่สุด ฐานวัดนอกเป็นวัตถุเป็นหินเป็นอะไรนี่คือเป็นพยานด้านวัตถุ วัดในวัดจิตวัดใจเราเน้นธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมเป็นไปเพื่อความหมดทุกข์ เราเน้นไปแนวนี้ แนวอื่นของคนอื่นเขาก็เน้นไป แต่ฉันเน้นธรรมเป็นเครื่องดับทุกข์โดยแท้ ไม่มีอย่างอื่นเป็นเป้าหมาย<o:p></o:p>
    เป้าหมายในการสร้างบุญบารมี เป้าหมายสูงสุดคือหมดทุกข์ดับทุกข์นั่นแหละ มันยังไปได้อยู่เส้นทางยังใหม่ยังสะอาด เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรง ธรรมะก็เหมือนพระพุทธเจ้ายังมีพระชนมชีพนั่นแหละ เราวัดได้เราพิสูจน์ได้ ฉันก็อยากให้ญาติโยมลูกศิษย์ทุกคนเข้าใจเจตนาของฉัน<o:p></o:p>
    วัดนี้ไม่ไม่ใช่วัดของฉัน มันเป็นวัดของคนทุกคน ของชาวพุทธทุกคน แต่ถ้าใครมาบำเพ็ญมาปฏิบัติก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัตินั่นแหละ ก็เราเน้นไปในแนวนี้ ฤทธิ์นั้นมีจริงแต่ฤทธิ์ไม่ใช่ธรรมะ ๆ เป็นเรื่องดับทุกข์โดยแท้ หล่อรวยสวยสุขฤทธิ์เดชเป็นของแถมทั้งนั้น สายหลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ท่านไม่เน้นฤทธิ์ ท่านเน้นธรรม ฤทธิ์เป็นองค์ประกอบไปเฉย ๆ เป้าหมายจริง ๆคือธรรมแท้<o:p></o:p>
    ฉะนั้น จึงอยากเผยอยากให้เข้าใจเจตนารมณ์ของฉัน พาญาติโยมบำเพ็ญธรรมเพื่อประโยชน์ของศาสนา ประโยชน์ของทุกคนที่ปฏิบัติธรรมนั่นแหละ คุณค่าของธรรมยังวิเศษอยู่ ถ้าคนไหนว่าศาสนาเสื่อมแสดงว่าคนพูดนั่นแหละไม่เข้าใจธรรมยังไม่ปฏิบัติธรรม ถ้าคนไหนปฏิบัติธรรมในระดับหนึ่ง จะรู้เลยว่าศาสนาของเรายังไม่เสื่อม ยังใหม่เอี่ยม ยังเป็นยาวิเศษอยู่ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นยาที่ดับทุกข์<o:p></o:p>
    ในด้านวัตถุเมื่อก่อนนี้ก็ทำพอได้อยู่ได้อาศัย แต่ฉันมาคิดดูว่าในสายปฏิบัติหลวงปู่มั่นนี่ยังมีน้อย ฉันเลยดำริมา ๕ ปีว่า เอ๊ะ ! เราจะทำอย่างไรให้เป็นพยานหลักฐานเป็นความหมายตามแนวทางฉันคิดตั้งใจทำ เรามาพาญาติโยมมาสร้างวัดเคียนพิงนี้ขึ้น เพื่อเผยแพร่ธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าในแนวทางของหลวงปู่มั่น เรา่จะทำอย่างไรดีหนอ? ก็เลยคิดจะทำประตูทำกำแพงเอาให้มันทน เคยมีประสบการณ์และเห็นในนิมิตด้วย เคยไปเที่ยวพนมรุ้งไปเที่ยวพิมายมา จะเอาหินมาทำประตูจะได้ไหมหนอ ศึกษามา ๔ – ๕ ปี<o:p></o:p>
    ก็เลยตกลงใจว่าเราจะทำประตูเป็นหิน เอาหินทรายที่สร้างพนมรุ้งมาทำ จะวางรูปแบบอย่างไร ก็คิดพิจารณาสถาปนึก เสากลางเราจะทำให้ใหญ่หน่อยเราจะแกะเป็นพระพุทธรูปคือพระพุทธเจ้า เจ้าของศาสนา แกะธรรมจักรเอาไปเทินไว้หัวเสา นั่นคือธรรมะของพระพุทธเจ้า <o:p></o:p>
    เสาริมซ้ายขวาแกะเป็นพระสงฆ์แบกกลดสะพายบาตร แล้วมีกวางอยู่ข้างบน ความหมายคือการสร้างวัดเคียนพิงเพื่อเผยแพร่ธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าในแนวทางของหลวงปู่มั่นเพื่อโปรดสัตว์โลก สัตว์โลกก็คือคนนั่นแหละ โปรดสัตว์เดรัจฉานมันไม่ได้<o:p></o:p>
    ทีนี้เมื่อทำประตูแล้ว เราก็จะทำรูปเหมือนเอาหินทรายมาแกะ ก็เลยพิจารณาจะแกะรูปครูบาอาจารย์ คือ หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว หลวงพ่อสนั่น อาจารย์ของฉัน หลวงปู่เนตร หลวงพ่อทูล หลวง-<o:p></o:p>
    29<o:p></o:p>
    พ่อพระราชไพศาลมุนี เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งเมตตาต่อฉันมาก หลวงตาพัก พี่ชาย และฉัน เขาแค่นให้แกะก็เลยผสมไปด้วย รวม ๙ องค์ แล้วจะทำแท่นหินขึ้น<o:p></o:p>
    ต่อไปก็จะสร้างเป็นมณฑปกว้าง ๖ เมตร สูง ๑๘ เมตร เป็นหินทั้งหมดเพื่อเป็นพยานต่อไป ๒๐๐ ปี ๓๐๐ ปี ๕๐๐ ปี คนมาวัดเคียนพิงก็จะรู้โดยธรรมชาติว่าวัดนี้อยู่ในสายหลวงปู่มั่น นี่เป็นพยานด้านวัตถุ<o:p></o:p>
    อาคารอบรมธรรม<o:p></o:p>
    เมื่อฉันยังไม่บวชเคยเป็นประธานอบรมธรรม อบรมนักศึกษา ประชาชน เยาวชน คือเป็นผู้นำอยู่ ทีนี้เราก็ดำริมาแต่ต้นแต่ยังไม่พร้อม มาถึงเดี๋ยวนี้ ๑๐ ปีนี่ เมื่อ ๙ ปีเราก็เริ่มมีนักเรียนนักศึกษามาอบรม บางทีก็ ๑๐๐ กว่าคนบ้างไม่ถึงบ้าง เราไม่พร้อมเท่าไรแต่ทำไปได้ เอาวิทยากรมาอบรมคุณธรรมจริยธรรม ศีล สมาธิ อบรมทั้งผู้สูงอายุ เยาวชน นักศึกษา ก็ทำมาเรื่อย ๆ แต่ศาลายังเล็กอยู่ รับได้ไม่มาก อย่างมากก็ ๑๒๐ คน <o:p></o:p>
    เรารอที่อยู่เขายังไม่โค่นยางพารา ตั้งใจว่าถ้าได้ที่เมื่อไรเราจะทำอาคารอบรมธรรมเมื่อนั้นให้จุคนได้หลายร้อยคน ที่ตรงนั้นมีความสงบมาก จะเน้นไปที่อบรมประชาชน นักศึกษาให้รู้คุณค่าของธรรมได้ปฏิบัติธรรม<o:p></o:p>
    เดี๋ยวนี้ก็เริ่มทำแล้วแต่ยังไม่เต็มที่ เพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวยนัก พ.ศ. ๒๕๕๔ จะแกะรูป ๙ องค์เสร็จแล้วจะสมโภชปีหน้า จะจัดงานใหญ่พอสมควร<o:p></o:p>
    พัฒนาภูมรกต<o:p></o:p>
    ต่อไปก็จะพัฒนาภูมรกตที่เคยเห็นในนิมิต เดี๋ยวนี้ก็สร้างกุฏิเป็นถ้ำทำเป็นถ้ำเทียม แล้วจะทำต่อไปถึงภูมรกต ในถ้ำมรกตจะพัฒนาเป็นที่ภาวนาจะพัฒนาบันไดขึ้นไป ทุกถ้ำที่อยู่จะพัฒนาเป็นถ้ำจำลองทั้งหมด<o:p></o:p>
    จะสร้างวัดนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมโดยแท้ ทั้งโยม ทั้งพระ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เราจะแบ่งส่วนแบ่งโซน ต่อไปก็จะเป็นไปตามที่ได้วางโปรแกรมไว้ ในความคิดในนิมิตที่เห็นจะเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งในอนาคต แต่ต้องใช้เวลาขึ้นอยู่กับทุนทรัพย์ปัจจัย ฉันเองก็แปลกอยู่เป็นพระขอไม่เป็น ขอแล้วอายไม่กล้าขอ จะทำอะไรก็ทำอาศัยญาติโยมที่เข้าใจมองออกก็ร่วมก็ทำไปได้อยู่ ทำไปก็ไม่หนักใจอะไรทำไปเป็นขั้นเป็นตอน<o:p></o:p>
    ทำบุญเป็นไม่จนรับประกันได้เลย ทำทานก็ทานเป็น ศีลก็ศีลเป็น ภาวนาเป็น รับประกันไม่จนมีแต่จะรวย ใครอยากหล่ออยากรวยอยากสวยอยากสุขอยากพ้นทุกข์ไม่ยากหรอก ทำทานให้เป็น รักษาศีลให้เป็น ภาวนาให้เป็น หล่อรวยสวยสุขมันจะเป็นของแถม<o:p></o:p>
    เมื่อสองวันมานี้มีรถแบ๊คโฮมาตักดินให้วัด บอกชื่อเจ้าของได้เลยชื่อโยมสด รู้จักกันในปีแรกมีรถหกล้อเก่า ๆ อยู่คันหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้เฉพาะรถแบ๊คโฮบ้าง สิบล้อบ้าง รถเกรดบ้างสักสิบล้านมั๊ง แกพูดเองว่าใครใกล้หลวงตา อ้ายที่เจริญก็เจริญเลยที่ทรุดก็ทรุดเลย เขาพูดว่าที่พุ่งขึ้นไปเพราะทำตามหลวงตา <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    30<o:p></o:p>
    อ้ายที่ทรุดเพราะเขามาใส่หลวงตา เขามาตักดินให้จะไม่คิดสตางค์แต่เราให้ค่าน้ำมันไป ๒,๐๐๐ บาท บางครั้งเขามาทำถวายบางครั้งก็เอาเงินเป็นธรรมดา<o:p></o:p>
    จะให้ฉันไปขอโน่นขอนี่มาสร้างวัด ปีนี้เข้า ๑๑ ปีแล้วเคยขอแค่ ๒ ครั้งอย่างทำประตูนี่ทำให้เห็น ถ้าใครเห็นดีเห็นงามว่าแนวทางนี้มันใช่ ก็เป็นของทุกคนนั่นแหละใช้ปัญญาเอา<o:p></o:p>
    สาขาแรก ถ้ำภูเขาล้อม<o:p></o:p>
    สำหรับสาขาที่ตรังนั่นนะ คือมาอยู่ที่นี่พรรษาที่ ๔ โอ้ ! พรรษาแรกโยมเข้ามาน้อยมาก พรรษา ๑ – ๔ กิจนิมนต์ปีละ ๓ – ๔ ครั้งมีน้อยมาก น้ำตาลทีละกิโลไม่มีอะไรเลย มีกุฏิเป็นขนำนั่นนะ<o:p></o:p>
    เมื่อก่อนมีแม่ของเณรที่วัดชื่อโยมลีอยู่ที่ตรัง ลูกเขาไปบวชชีอยู่ที่อุดร ฯได้ทราบข่าวจากครูบาอาจารย์ว่าฉันมาอยู่ทางใต้ เขาก็ตามหาโดยรู้ข่าวจากพระทางโน้นแหละ เขาตามหาอยู่ ๔ เดือนกระทั่งรู้จากพระรูปหนึ่งแกก็มาหา เขาบอกว่าตามหาหลวงตามา ๔ เดือนแล้ว เขาก็เลยจองกฐินชาวใต้<o:p></o:p>
    พอดีที่ตรังมีพระลูกศิษย์หลวงพ่อทูลวัดป่าบ้านค้อมาสร้างที่พักสงฆ์ ๒ ปีแล้วก็กลับไม่อยู่ต่อ พอท่านกลับไปแล้วผู้นำสร้างก็เป็นคนตรังนั่นแหละ เป็นนายหัวพาสร้างแต่พระกลับไปแล้วก็ร้าง มีพระมาอยู่บ้างไม่อยู่บ้างก็ร้างมาเรื่อย <o:p></o:p>
    ฉันไปเที่ยวตรังที่อำเภอห้วยยอด เราไปดูถ้ำซึ่งเขาเป็นผู้นำสร้างไม่ยกให้ใคร เขาเน้นการทรงเจ้าทรงเทวดามากกว่า เราก็เคยไปพักภาวนาบ้างเคยไปบรรยายธรรมบ้าง โยมลีบอกว่าที่นี่มันหนัก แต่เราว่าไม่หนักนะถ้ามีโอกาส ก็พูดไปอย่างนั้น ส่งพระไปภาวนาบ้างร้างบ้าง เรากะว่าไม่มีสิทธิ์อะไร<o:p></o:p>
    เทพบอกว่าหลวงตาสอนธรรมถูกต้อง<o:p></o:p>
    จนมาเมื่อ ๔ ปีที่แล้ว พ.ศ. ๒๕๕๑ พอดีไปตรัง โยมลีพาไปบ้านนายหัว คนที่นำสร้างที่นั่น ก็ไปนั่งมีพระอยู่ ๗ รูป นายหัวแกมากราบแล้วมองหน้าฉัน ไม่เคยรู้จักกันนะ มองหน้านิ่งแล้วเข้าไปในห้องพระเอาพระพุทธรูปมาถวายองค์หนึ่ง องค์ไม่ใหญ่หรอก แล้วมานั่งอีกมองเฉยไม่พูด เข้าไปในห้องพระเอาพระพุทธรูปมาถวายอีกองค์หนึ่ง ก็ยังมองหน้าอีกไม่พูดอะไร ครั้งที่ ๓ ไปเอามาถวายอีกองค์ พระที่นั่งอยู่ก็งงหมดเลย <o:p></o:p>
    เขาเป็นร่างทรงเทพอยู่นะ เขาพูดว่าเทพบอกผมว่าหลวงตาสอนธรรมไม่ผิด สอนธรรมถูกต้อง ให้เอาพระมาถวายหลวงตา ผมเลยเอามาถวาย แกพูดอย่างนั้นเราไม่รู้ว่าเทพไม่เทพ พระรูปที่เคยมาอยู่สร้างที่นั่นแล้วกลับอุดรฯ วันนั้นกลับมาก็ไปกับฉันนั่นแหละ ก็ทักฉันก่อนแทนที่จะทักพระรูปนั้น พอเสร็จแล้วก็ คุยกันเรื่องอื่นพอสมควรแล้วกลับ <o:p></o:p>
    เทพให้ถวายถ้ำ<o:p></o:p>
    ถ้ำนั้นเรียกว่าถ้ำภูเขาล้อม เป็นถ้ำใหญ่มากปูกระเบื้องแล้ว ภาวนาได้สบายแล้วล่ะ แต่ถือว่าเป็นอำนาจสิทธิ์ของเขา ๆเป็นนายหัวผู้นำสร้าง<o:p></o:p>
    เมื่อกลับมาสักพักหนึ่ง เขาโทร.มาบอกว่าหลวงตา ๆ เทพบอกผมอีกแล้วว่าหลวงตาเป็นญาติผมเมื่อชาติปางก่อน ให้ถวายถ้ำหลวงตาซะ หลวงตาจะรับมั๊ย? ฉันก็ตอบว่าของฟรีหลวงตาไม่รับได้อย่างไร? ถ้าโยมถวายฉันก็รับ เขาพูดว่างั้นพรุ่งนี้ผมจะถวายหลวงตา<o:p></o:p>
    31<o:p></o:p>
    พอเช้าขึ้นมา เขาก็มาประมาณ ๖๐ คนทั้งอาเสี่ยเถ้าแก่ผู้ใหญ่บ้านในห้วยยอดก็เป็นบริวารเขาทั้งนั้น เขามาถวายถ้ำฉันก็รับ พอถวายแล้วเขาก็ขาดเลยไม่มายุ่งเกี่ยวไม่มารบกวนเลยนะ เมื่อก่อนเขามาทรงเจ้าทรงเทพบนศาลาใน ฉันก็รับปากกับผู้ใหญ่บ้านว่าตลอดชีวิตของฉันที่ยังมีลมหายใจอยู่จะไม่ยอมให้ขาดพระ สักอาทิตย์อาจเป็นไปได้ แต่ในพรรษาจะไม่มีคำว่าขาด เขารับแค่นั้นก็พอใจแล้ว<o:p></o:p>
    ตอนนี้ก็หลายปีมาแล้วไม่เคยขาดพระ แล้วยังบอกผู้ใหญ่บ้านว่าถ้าพระมาจะเป็นธรรมยุติหรือมหานิกายถ้าท่านมาอยู่มาพักก็ให้พักได้ แต่ขอร้องท่านนะอย่ามาให้หวยอย่ามาดูหมอ อย่ามาทำ แต่ถ้ากินเหล้าแล้วไล่ออกเลยนะ รับปากแล้วก็มา เหมือนบุญช่วยพระก็มาหาฉัน ๔ รูปก็ให้ไปอยู่ ๔ ปีมานี้ไม่เคยขาดเลยนะ บางปี ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ปีนี้ ๒ รูป ไม่เป็นไรเรารักษาไว้ก่อนพอพระมากขึ้นเราค่อยขยายเพิ่มขึ้น เด็กท้องที่เขาเข้าหาธรรมะดีที่โน่นนะเด็กวัยรุ่นนะ คิดว่าอีก ๔ – ๕ ปีไม่ขาดหรอกพระ พอเด็กรุ่นหลังมีอายุครบบวช พ่อแม่มีความศรัทธา ลูกก็ชินกับวัด นี่ก็เด็กตรัง ๒ คนมาอยู่มาช่วยทำกุฏิ<o:p></o:p>
    ที่นั่นเป็นภูเขาที่เชิงเขาเมื่อก่อนเขาจะขาย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ขายถ้าขายเราอยากได้สัก ๖ ไร่ ก็รออยู่ไม่เป็นไรใช้เป็นที่ภาวนาไปก่อนได้ อยู่ได้ ๕ รูปไม่แน่นแต่ยังสร้างวัดไม่ได้ไม่มีรัศมีเป็นตีนเขา มีนิด ๆ หน่อย ๆ รอจังหวะขอให้ขายอย่างเดียว ฉันก็ไปเยี่ยมบ่อย ทำไปหลายแสนแล้ว เมื่อก่อนเขาอยู่มา ๘ ปี ฉันรับมา ๔ ปี ไม่ล้มแล้วละ<o:p></o:p>
    สาขา ๒ ถ้ำเพชร<o:p></o:p>
    สำหรับที่ถ้ำเพชรเป็นอย่างนี้ ก่อนนี้มีพระรูปหนึ่งอยู่กับฉันนี่แหละ แต่ก่อนไม่เป็นพระหรอกเป็นคนมาอาศัยภาวนา ตอนหลังมาบวชแต่ตอนไปไม่ลา ๓ ครั้งเราไม่ให้อยู่เลย มาเราก็ไม่ให้อยู่ หายไปปีหนึ่งจึงกลับมากราบเมื่อก่อนไม่เคารพ ตอนนี้ยอมแล้วละมาบอกว่าไปได้ที่สำหรับภาวนาที่คลองชะอุ่นโน่นให้ไปดู เป็นที่สงวน ๔๐๐ ไร่ เมื่อได้ไปดูเห็นว่าเข้าท่า ให้พระพุทธรูปไปองค์หนึ่งราคาเป็นหมื่น ชาวบ้านก็แห่เอารถมารับ<o:p></o:p>
    พอจะพัฒนาเขาก็บอกว่าสร้างวัดได้แต่โค่นต้นไม้ไม่ได้ แล้วเราจะสร้างได้อย่างไรเราก็เอะใจ แต่หลวงพี่หลวงตาพักไปเห็นถ้ำเพชรชอบใจ เราก็ห่วงพี่ชายอายุ ๘๐ กว่าแล้ว ท่านมีใจสุด ๆ แล้วท่านบอกว่าจะไปอยู่ถ้ำเพชร เราก็ว่าเอาเราก็ไม่อยากให้ท่านไป พลังจิตของท่านเราไม่ห่วงแล้ว ท่านก็ไปอยู่เราก็ไปหนุนน้อย ๆ ชาวบ้านเขาไม่คุ้นกับวัดป่าอาศัยว่าลูกศิษย์ทางเคียนพิงแข็งจากกรุงเทพฯบ้าง ปุ๊บปั๊บ ๆปีแรกหมดไปหลายแสน ชาวบ้านเห็นดีเห็นงามเลยเอาบ้าง แต่ก็ยังครึ่ง ๆ กลาง ๆ ตอนนี้ก็พรรษาที่ ๓ แล้วชาวบ้านยังไม่ตื่นเท่าที่ควร<o:p></o:p>
    อาศัยแรงนอก<o:p></o:p>
    พอดีผู้ว่าฯมาวันนั้น เขาถวายถ้ำเพชรหลวงพี่ ฉันก็ไปเขาพูดว่าพระมา ๖ เดือนก็ไป ๑ ปีก็ไป ๒ ปีก็ไปไม่อยากจะสร้างแล้ว ฉันก็พูดต่อหน้าผู้ว่าฯว่าเมื่อฉันรับแล้วเป็นอันเดียวกับเคียนพิงแล้ว ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่จะไม่ยอมให้ขาดพระ จะพัฒนาขึ้น ก็พูดเหมือนที่ตรังนั่นแหละ เขาก็รับฟังเฉย ๆตอนนั้นเขาก็ยังไม่เชื่อนัก มาปีนี้เมื่อไม่กี่วันมานี่เขาจัดทอดผ้าป่า รู้สึกว่ากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกอบต.มาร่วม เขาก็ว่าพระอื่นมา ๖ เดือนไป ๑ ปีไป แต่หลวงพี่อยู่มา ๓ ปีแล้วเชื่อมั่นว่าอยู่จริง ตอนนี้เขา<o:p></o:p>
    32<o:p></o:p>
    เริ่มหนุนแล้ว หลวงพี่อยู่รูปเดียว แต่มีแม่ชีพี่สาวและแม่ชีจากกรุงเทพฯไปอยู่ด้วย ชาวบ้านเขาก็มาดูแลดีอยู่และไม่ไกลเกินไปเราก็รักษาไว้ถ้าหลวงพี่ยังมีชีวิตอยู่ บางครั้งก็มีพระมาภาวนาบ้าง อนาคตข้างหน้าจะพัฒนาได้ ตอนนี้ซื้อที่เพิ่มขึ้นมา ๒ ไร่เป็นลานขึ้นมาจากภูเขาจากถ้ำก็แพงเหมือนกัน ญาติโยมลูกศิษย์ลูกหาช่วยกัน แพงก็ไม่เป็นไรขอให้ขายเถอะ ร่วมแรงร่วมใจช่วยอยู่ต้องใช้เวลา เรื่องทิ้งไม่ทิ้งหรอกอย่างไรก็รุ่งเรือง <o:p></o:p>
    ฉันมั่นใจแต่ต้องใช้เวลาไม่เกิน ๑๐ ปีน่าทั้ง ๒ ที่นะ อันนี้ก็ขึ้นมาแล้วเราเพียงอย่าให้ร้างเป็นเด็ดขาด ต้องรักษาไว้ ๒ รูป ๓ รูป รูปเดียวก็ต้องอยู่ไป เดี๋ยวพระก็จะมีเพิ่มมากขึ้นเอง<o:p></o:p>
    บวชทั้งครอบครัวทั้ง ๆที่ไม่ได้ชวน<o:p></o:p>
    เรื่องการบวชทั้งครอบครัวนี้ก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ลูกชายพี่ชายบวชพระ พี่สาวและโยมภรรยามาบวชชี ไม่ได้ชวนเขานะคือตอนแรกที่เราปฏิบัติธรรมมา เมื่อก่อนเราก็ห่วงโยมภรรยาไม่ใช่ห่วงเรื่องอะไร แต่ห่วงว่าจะไม่สนใจในธรรม<o:p></o:p>
    หลังจากปฏิบัติธรรมมาระดับหนึ่งเมื่อรู้ว่านรกสวรรค์มีจริงแล้ว เราก็ห่วงโยมภรรยาห่วงพี่ห่วงน้อง เราก็ไปสอนธรรมชี้แนะให้รักษาศีลให้ปฏิบัติธรรมกันที่จริงก็ไม่ค่อยจะเอากันหรอก อาศัยความเป็นพี่น้องก็เพียรบอกเพียรสอนแต่ไม่เคยชวนบวช แม้แต่โยมภรรยาเองก็เพียรสอนเพียรบอกมา ๗ ปีถึงได้ตามเรา มาตอนแกภาวนามากขึ้น รักษาศีล ๕ มา ๑๐ ปี โยมภรรยาจึงได้ขอบวช เราไม่เคยชวนบวช<o:p></o:p>
    พี่สาวใหญ่อยู่กำแพงเพชรเราก็ไปสอน พอห่างหน่อยก็ลงอีกแล้วแต่ก็เพียรสอน ก็ค่อยขยับเข้ามาแล้วขอเข้ามาอยู่วัดด้วย ภาวนารักษาศีลก็ขอบวช พี่สาวขอบวชพี่ชายขอบวช แม้หลวงตาพักเองท่านชี้หน้าเราว่าท่านกิเลสหนากว่าเราอีก ท่านดุเราท่านสอนเราสอนไปสอนมาไม่เคยชวนบวช สอนเพียงแต่ให้ปฏิบัติธรรม แต่พอถึงจุดบวชก็ขอบวชของเขาเองไม่เคยขอร้อง<o:p></o:p>
    หมู่เพื่อนในอุดร ฯนะตามมาบวชเยอะ ไม่เคยชวนบวช แล้วเดี๋ยวนี้ฉันเป็นพระนี่ใครจะบวช ลูกศิษย์นะห้ามเลยนะว่าอย่าเพิ่ง ๆ รู้เลยว่าถ้าขืนบวชเดี๋ยวสึก คือไม่ยุให้ใครบวชไม่ชวนให้ใครบวช แต่ชวนให้ปฏิบัติธรรมคือไม่จำเป็นต้องบวชนี่ เป็นฆราวาสปฏิบัติธรรมมีจิตเหมือนอริยะสงฆ์ได้ <o:p></o:p>
    บางคนมาบวชคิดไม่ละเอียด มีครูคนหนึ่งอยู่ที่ขอนแก่น ตอนนั้นฉันเป็นนาคช่วยงานหลวงพ่ออาจารย์สนั่นนั่นแหละ ก็ถามว่าคุณมาอย่างไร ก็บอกว่าผมมาเป็นนาคผมจะบวช เขาก็ว่าคุณบวชก่อนปีหน้าผมจะลาออกจากครูมาบวช พอเราบวชได้ ๒ พรรษาแกก็บวชจริง ๆ พอบวชได้ ๒ พรรษามาเจอกันก็ถามฉันว่าทำไมก่อนบวชผมภาวนาดีจัง แต่ตอนบวชภาวนาไม่ดี เรารู้ทันทีก็บอกว่าเมื่อก่อนบวชกายอยู่บ้านแต่จิตมันอยู่วัด พอบวชแล้วกายมันอยู่วัดแต่จิตมันอยู่บ้าน มันก็ภาวนาไม่ดีนะสิ จิตยังไม่พร้อมคือศรัทธาพุ่งแต่คิดไม่ละเอียดไม่รอบคอบ <o:p></o:p>
    เราพร้อมหรือยัง ลูกเราเป็นอย่างไร เมียเราเป็นอย่างไร สมบัติเป็นอย่างไร สางให้สะอาดหรือยัง ฉันนี่ ๑๓ ปีนะจึงได้บวชเพราะกลัวจะสึก มันติดตรงไหน มันคาตรงไหน ห่วงตรงไหน สมบัติยกให้<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    33<o:p></o:p>
    ลูกไม่เหลือตั้งแต่อายุ ๔๘ นะแต่มาบวชเมื่อ ๕๘ นะ พอพร้อมจะบวชใจมันเต็มร้อยเลย ใครจะเอาเงินมาให้เป็นร้อยล้านก็ไม่อยู่แล้ว มันพร้อม<o:p></o:p>
    ส่วนลูกชายคนสุดท้อง ท่านเพชรก็พาภาวนาตั้งแต่อยู่ ป.๔ พอไปวัดก็ไปด้วย พอเข้ามัธยมเข้ามหาวิทยาลัยก็ห่างไปหน่อย เมื่อเรียนจบก็ไปสอบเข้าทำงานที่โรงน้ำตาล สอบเสร็จก็บวช พอออกพรรษาเขาก็โทร.มาบอกว่าให้ไปทำงานโรงงานน้ำตาลที่อำเภอภูเขียวจังหวัดชัยภูมิ เงินเดือนขั้นต้น ๑๕,๐๐๐ บาท สูงสุดถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท สวัสดิการดีบ้านพักฟรีหมด พี่ชายทำอยู่ตอนแรกได้ ๘,๐๐๐ บาท ตอนนี้ได้ ๘๐,๐๐๐ บาทแล้ววุฒิมันน้อยกว่าน้อง ทีนี้พอท่านได้รับโทรศัพท์ท่านก็นิ่ง ฉันก็ว่าจะอยู่ก็อยู่จะสึกก็สึกหลวงพ่อไม่ว่าอะไรนะจะโมทนา แต่หลวงพ่อจะพูดให้คิดสักหน่อย ท่านเห็นพี่ชายไหมเป็นนายพันมีความสุขแค่ไหน พี่สาวเป็นเถ้าแก่มีความสุขแค่ไหน ท่านมาบวชมีความร่มเย็นแค่ไหน ท่านมาบวชหลวงพ่อว่าท่านห่างกองไฟแต่ไอร้อนก็มีอยู่ แต่ถ้าท่านสึกไปก็ไปเข้ากองไฟนั่นแหละให้ท่านพิจารณาเองก็แล้วกัน สึกก็สึกอยู่ก็อยู่แล้วแต่ใจ <o:p></o:p>
    ท่านก็นิ่ง ผ่านไป ๗ วันก็มาบอกว่าหลวงพ่อผมไม่สึกครับ ตอนนี้ก็ ๙ พรรษาแล้ว<o:p></o:p>
    ผู้สนใจจะไปปฏิบัติธรรม<o:p></o:p>
    สำหรับผู้สนใจจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดเคียนพิง ที่จริงวัดเคียนพิงไม่ใช่เคร่งเหมือนอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ ถ้าอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์เต็มร้อยนะ ท่านมีระเบียบวินัยปิ๊ง เรามาอยู่ที่นี่เราก็มาประยุกต์ ความจริงพ่อแม่ครูอาจารย์ทำก็ประเสริฐแล้ว แต่ถ้าเราเอาระเบียบเป๊ะวินัยเต็มร้อยทุกอย่าง เราก็ห่วงว่าทางนี้ยังไม่ชินเขาจะรับไม่ไหว เราก็ยืดหยุ่นลงมา<o:p></o:p>
    ปกติวัดป่าอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ จะพูดให้ฟังว่าร้องเพลงในวัดไม่มีเปิดเพลงทางโลกไม่ได้ คุยไม่ดังไม่โวยวายมหรสพไม่มี จะมาพลอดรักในวัดไม่ได้ หนุ่มสาวจะมาเที่ยวก็เที่ยวได้ แต่จะมาเย้าหยอกกันไม่ได้ไม่ควร เพราะสถานที่นี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เราก็อยากให้ปฏิบัติตัวให้เป็น บางทีมาเที่ยวมีภูเขาสถานที่ร่มรื่นมานั่งจีบกันหยอกกันมันไม่ควร แล้วอย่างหนึ่งเคยเห็นครั้งหนึ่งมันไม่ใช่ถนนเหมือนในกรุงเทพฯ พาแฟนมาเที่ยวแล้วคล้องเอวแฟนมันไม่ควร<o:p></o:p>
    สถานที่ปฏิบัติธรรมเราควรเคารพ ไม่เคร่งเหมือนเคร่งนั่นแหละ เราต้องการความสงบ วัดนี้สร้างขึ้นมาเพื่อการปฏิบัติธรรม พระเณรชีอุบาสกอุบาสิกาไม่เลือก คนรวยคนจนไม่เลือก ความรู้น้อยความรู้มากก็ไม่เลือก แล้วถ้าศรัทธาสนใจจะปฏิบัติธรรมมีทุกข์มา แต่มาด้วยความเคารพมาขอพึ่งคำชี้แจงชี้แนะการแก้ไขยินดีต้อนรับหมด แล้วไม่เลือกว่าจะมากี่คนแต่ไม่ใช่เป็นพันนะ มา ๒ คน ๕ คน ๑๐ คนได้ ถ้าเป็นพันมันไม่มีที่รองรับ ไม่ว่าวันไหนก็มาได้ กรุงเทพฯเขาก็มาบางทีนั่งเครื่องบินมา ๓ คน มีเยอะเขาได้ข่าวแล้วมา มาคนเดียวก็มีบางทีผู้หญิงใจเด็ดขับรถมาเองเลยดีกว่าผู้ชาย บางคนเห็นป้ายก็มาเห็นหนังสือก็มา<o:p></o:p>
    เมื่อ ๒ – ๓ วันมานี่ เขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ศรี มหาวีโร ที่หนองคาย มากับเพื่อนผู้ชายมาส่ง เขาทำธุรกิจอยู่ที่บ้านดอนกับเกาะเต่า พอออกพรรษาแล้วเขาจะไปอยู่วัดหลวงปู่ศรีเป็นเดือน ๆ <o:p></o:p>
    34<o:p></o:p>
    ช่วยงานกฐินช่วยงานของวัด เขาทำธุรกิจส่วนตัวนะแล้วเห็นหนังสือวันเกิดของฉัน เขาบอกว่าตามหนังสือมาดูวัดก่อน หนูอยู่สุราษฎร์ฯ กับเกาะเต่า เทียวไปเทียวมาอยู่ ๒ ที่ ช่วงนี้จังหวะว่างหนูจะมาอาศัยภาวนาเป็นที่ปฏิบัติธรรม มาดูที่ก่อนเป็นอย่างไรมาอยู่จนเย็น เขาจะมาขอสถานที่ภาวนามันก็ได้อยู่แล้ว<o:p></o:p>
    อบรมธรรมทุกบ่ายวันอาทิตย์ปลายเดือน<o:p></o:p>
    เดือนหนึ่งเราจะอบรมธรรมวันอาทิตย์ปลายเดือนของทุกเดือน ใช้เวลาอบรมไม่เกิน ๓ ชั่งโมง เที่ยงวันมารวมตัวกัน บ่ายโมงเริ่มถึงบ่ายสามประมาณ ๒ ชั่วโมงทุกเดือน อันนี้เพื่อกระตุ้น แล้ววันพระเราจะทำวัตร ปกติในพรรษาเราทำวัตรทุกวัน ออกพรรษาเราทำเฉพาะวันพระ ในพรรษาเราต้องดึงพระใหม่แม่ชีใหม่ เราจะทำวัตรเพื่อคนที่ยังไม่เคยภาวนา ตกลงกันไว้อย่างนั้น พระเก่าแม่ชีเก่าเราจะทำเฉพาะวันพระเท่านั้น วันอื่นต่างคนต่างก็ภาวนากันไป แต่ถ้ามีแม่ชีใหม่โยมใหม่เราจะต้องพาทำวัตรสอนเขาในตัว ฉะนั้น วันอาทิตย์ปลายเดือนใครมีเวลาว่างก็มาได้ เดือนละครั้งใช้เวลาไม่มาก พอเรารู้หลักรู้เกณฑ์แล้วไปปฏิบัติเอาที่บ้าน ถ้าเราเข้าใจแล้วปฏิบัติทุกวันเราก็ได้บุญทุกวัน ทั้งทานมหากุศลอภิมหากุศลได้ทุกวัน บุญไม่ใช่อยู่ที่วัดบุญอยู่ทุกที่ แต่ที่เรามาวัดเราจะได้ธรรมชาติที่สงบอย่างหนึ่ง สองเราจะได้เจอหมู่ที่ปฏิบัติเราได้เกร็ดความรู้ ที่สำคัญเราได้ฟังข้อชี้แนะจากครูบาอาจารย์สงสัยอะไรถามได้ <o:p></o:p>
    เรากลับไปบ้านเราก็ปฏิบัติเหมือนอยู่ที่วัดนั่นแหละ ก่อนนอนบ้างเช้ามืดบ้างเราก็ทำสมาธิภาวนา สวดมนต์พอประมาณ เราก็ทำตามหน้าที่ของเรา ๆก็จะได้ทรัพย์ภายนอกทรัพย์ภายในตลอดเวลา ถ้าเราห่างวัดเกินไปนี่กิเลสก็จะตีแตกหมด ไม่ว่าง ๆ เดี๋ยวก็ละเดี๋ยวก็จางไปเลย ที่ว่าเดือนละครั้งเป็นการกระตุ้นแบตเตอรี่ ธรรมะก็มี ทาน ศีล ภาวนา แต่มันได้กระตุ้นจิตใจมีพลังเพิ่มขึ้นในการต่อสู้กับกิเลสต่าง ๆ มาวัดจะค้างคืนก็ได้ผู้หญิงผู้ชายเรามีที่แยกกันอยู่<o:p></o:p>
    ข้อแนะนำสำหรับคนที่ไม่ได้ไปวัด<o:p></o:p>
    ส่วนคนที่ไม่ได้ไปวัดมี ๓ อย่างง่าย ๆ ทาน ศีล ภาวนานั่นละ ถ้าเรามีโอกาสทำทาน ๆจริง ๆไม่ใช่อภัยทาน จะเป็นทานเงินหรือทานสิ่งของก็แล้วแต่ เราควรจะทำทานให้มันถูก <o:p></o:p>
    เจตนาบริสุทธิ์คือทำทานด้วยใจที่สละ ทรัพย์จะเป็นเงินก็เป็นเงินที่ได้มาด้วยบริสุทธิ์ อาหารก็เป็นอาหารบริสุทธิ์ จะไปทุบหัวปลาเชือดคอไก่ใส่บาตรทำบุญอย่างนี้เรียกว่าบาปเป็นบุญ ถ้าเราจะใช้เนื้อสัตว์ก็ไปซื้อเอา เจตนาบริสุทธิ์ ทรัพย์บริสุทธิ์ สงฆ์บริสุทธิ์ สงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมที่เราเคารพก็แล้วกัน ต้องปฏิบัติธรรมพอสมควรจึงอ่านสงฆ์ออก <o:p></o:p>
    บางคนว่าทำบุญที่ไหนวัดไหนก็ได้บุญอันนี้ก็จริง แต่บุญมันอาจไม่เท่ากันนะถ้าเรามีความจำเป็นจะใส่ก็ใส่ก็ได้บุญล่ะ จะทำบุญตรงไหนก็ได้บุญล่ะ แต่ถ้าเรามีปัญญาเราพอจะมองพระให้เป็นเลือกพระให้ออกก็ดีเหมือนกัน พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก อย่างน้อยเป็นพระดีก็แล้วกัน <o:p></o:p>
    ถ้ารู้ว่าพระกินเหล้ายังไปใส่บาตรก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ให้เลือกเอาเองเจตนาบริสุทธิ์ ทรัพย์บริสุทธิ์ สงฆ์บริสุทธิ์<o:p></o:p>
    ศีล ๕ สำคัญมาก<o:p></o:p>
    35<o:p></o:p>
    ศีล ๕ นี่สำคัญนะบอกจริง ๆคนเรานึกไม่ถึง มันรักษาได้ยาก ยิ่งคนอายุ ๖๐ – ๗๐ รักษาง๊ายง่ายถ้าเข้าใจ ศีล ๕ ข้อ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์นี่ คนอายุ ๖๐ – ๗๐ ถ้าไม่ไปหาปลาขายไม่ฆ่าไก่ขาย จะมีก็แต่ยุงกับมดเท่านั้นเองที่ขวางกั้นรักษาศีล ๕ ไม่ได้ ข้อ ๒ ไม่ลักทรัพย์ คนอายุ ๖๐ – ๗๐ หรือไม่ถึง ถ้าไม่มีนิสัยก็ไม่มีปัญหาอะไร ข้อ ๓ ไม่ประพฤติผิดในกาม ภรรยาเขาสามีเขาอายุ ๖๐ – ๗๐ จะยากเย็นอะไรไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวจะไปจีบใครก็ไม่มีคนสนใจ ข้อ ๔ ไม่ด่า โกหก ด่าคนอื่นผิดแต่ถ้าด่าลูกไม่ผิด บิดามารดาเป็นอรหันต์ของลูก ด่าลูกเพื่อให้เป็นคนดีไม่ผิดศีลข้อ ๔ ด่าสามีภรรยาผิด ด่าลูกไม่ผิด เหมือนครูบาอาจารย์ด่าลูกศิษย์เจตนาไม่ใช่ทำลาย เจตนาเพื่อจะช่วย ศีลของกรรมฐานเป็นอย่างนั้น แล้วข้อ ๕ ไม่ดื่มเครื่องดองของเมา เหล้าเบียร์นี่คนที่ไม่กินอยู่แล้วก็ง่าย<o:p></o:p>
    จะมีที่ควรระวัง คือข้อ ๑ ยุงมด กับข้อ ๔ เท่านั้นเอง อีก ๓ ข้อคงไม่มีอะไรใช่มั๊ยล่ะ แล้วเราได้มหากุศลนะ ศีลนั้นไม่จำเป็นต้องรับจากพระหรอก<o:p></o:p>
    เห็นภาพนรกเหมือนเห็นภาพสึนามิ<o:p></o:p>
    ฉันเองภาวนาอยู่ในอำเภอในตลาด พอจิตสงบปิ๊งภาพมาเลย นรกนั่นนะได้เห็นนรก พอถอนจิต โอ้โห ! กลัว ๆมากเลย เราเคยอยู่นครสวรรค์เคยหาปลาฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถ้าเราแก้ไม่ตกต้องตกนรกแน่ นั่งรำพึงอยู่ไม่รู้จะทำอย่างไร <o:p></o:p>
    มันเห็นนรกอย่างไรรู้มั๊ย? เห็นเหมือนเราดูทีวีเห็นซึนามิญี่ปุ่นนั่นแหละเห็นแบบนั้น เราไม่ได้ไปเห็นที่ญี่ปุ่นแต่เราไม่สงสัยว่านั่นเป็นจริงซึนามินั่นนะ พารถไหลลงแม่น้ำลงทะเลตึม ๆ นั่นแหละ ถ้าเรานั่งอยู่ในรถจะเป็นอย่างไร กลัวขนาดไหน เห็นนรกก็เห็นแบบนั้น เห็นเป็นภาพนิมิตแต่ไม่สงสัย ทำอย่างไร ๆนี่ จิตผุดขึ้นมาว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร คำตรัสพระพุทธเจ้าแต่มันผุดขึ้นในจิต<o:p></o:p>
    ศีลวิรัติ<o:p></o:p>
    ฉันพิจารณาแล้วกราบพระพุทธรูป ตั้งจิตอธิษฐานว่าต่อแต่นี้เราจะงดบาปทั้ง ๕ ข้อ ความกลัวนรก ๑ ไม่ฆ่าสัตว์ ๒ ไม่ลักทรัพย์ ๓ ไม่ประพฤติผิดในกาม ๔ ไม่ด่าไม่โกหก ๕ ไม่ดื่มเครื่องดองของเมา <o:p></o:p>
    เราจะขออุทิศส่วนกุศลส่วนนี้ให้แก่สัตว์และคนทั้งหลายที่ข้าพเจ้าทำให้ทุกข์ยากเดือดร้อนโดยความโง่เขลาเบาปัญญาไม่รู้ว่าบาปมีจริง บุญมีจริง นรกสวรรค์มีจริง บัดนี้ข้าพเจ้ารู้แล้ว ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลให้กับท่านๆอยู่ในทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ ท่านอยู่ในที่สุขขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้แก่เราด้วยเถิด แต่ถ้าท่านผู้ใดไม่อโหสิกรรมให้เรา ๆ ก็ยินดีรับกรรมอันนั้น<o:p></o:p>
    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไปฉันก็ร้อยเปอร์เซ็นต์ ๔ เดือนเท่านั้นอัศจรรย์เกิด หมู่เพื่อนถึงกับโยนแก้วเลยล่ะ ให้ดื่มไม่ดื่ม คือต้องจริงขนาดนั้นจึงจะเป็นศีลแท้ ไม่ได้รับจากพระสงฆ์ รักษาศีลครั้งแรกรับจากพระพุทธ เขาเรียกศีลวิรัติ แต่ก่อนไม่รู้หรอกตั้งใจเอาเองมารู้ทีหลัง <o:p></o:p>
    ศีลตั้งใจนี่ศีลแท้เป็นฐานพระอริยสงฆ์ อยู่กันได้นี่ศีล ๕ นี่ วันพระรักษาศีลสักวันซิกราบพระแล้วรักษาศีลเลยก็ได้นี่ ถ้ามาวัดได้ก็ดี แล้วก่อนนอนทำสมาธิแต่สมาธิถ้าไม่มีคนสอนมันยาก มันต้องมีผู้สอน แต่สิ่งนี้มันจะยากอะไรมันไม่ยากหรอกการภาวนา แต่ต้องมีผู้สอนเทคนิคชี้แนะ แต่ถึงขั้นที่จะปฏิบัติภาวนาควรจะไปหาพระที่ท่านสอนภาวนาเป็นปฏิบัติเป็นนั่นแหละ<o:p></o:p>
    36<o:p></o:p>
    ทุกข์มันมีน้อยลง สวรรค์นี่ไม่ต้องรอตายนะ เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ชาวใต้ฉันมีนะที่ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ที่เป็นเทวดามีนะที่เขาอายบาปกลัวบาปไม่กล้าแตะต้องเลย มีให้เห็นเลยมนุษย์มีเยอะไม่ต่ำกว่าร้อยแล้วเดี๋ยวนี้ บางคนดวงตาเห็นธรรมยังไม่หมดกิเลส แต่เขารู้แน่เส้นนี้พ้นแน่อย่างที่ฉันสละครอบครัว เส้นนี้พ้นทุกข์แน่ <o:p></o:p>
    เดี๋ยวนี้คนที่ดวงตาเห็นธรรมยังไม่ได้สละครอบครัวแต่เขาวางแผนแล้วนี่ สวนยางสวนปาล์มเป็นร้อย ๆไร่ ยกให้ลูกให้เมียแล้ว พร้อมเมื่อไรออกเหมือนอย่างที่ฉันเคยคิดนั่นแหละ<o:p></o:p>
    หวนคิดพิจารณาไม่รู้ว่าอยู่มาได้อย่างไร<o:p></o:p>
    เมื่อฉันแรกมาอยู่ที่นี่เหมือนนรกทั้งเป็น ไม่รู้ว่าอยู่ได้ไง ไม่รู้แก้ได้อย่างไร มาถึงบัดนี้ ๑๑ ปีแล้ว มั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มั่นใจว่าอีก ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี<o:p></o:p>
    ธรรมะทางใต้จะเฟื่องฟูขึ้น มั่นใจไม่ใช่พูดส่งเดช มั่นใจหนึ่งว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของจริง สองมั่นใจในชาวใต้ที่เขาปฏิบัติจริง<o:p></o:p>
    เมื่อธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของจริง คนใต้เป็นคนปฏิบัติจริง ทำไมจะไม่เกิดขึ้นโดยหลักธรรมชาติแล้วจะขยายขึ้นเห็นทันตาเลย มันเริ่มจากปีที่แล้วมาปีนี้ที่เห็นชัดเจน เมื่อก่อนขึ้นมาช้า ๆ ปริ่ม ๆหน่อเดียวแม่ชีแช่มนั่นแหละ ปีนี้ยังไม่เต็มที่นะ คือฉันพูดอย่างนี้จะฟังง่ายขึ้น หลังจากงาน ๒๕๕๕ จะง่ายขึ้นเลยให้งานปีหน้าไปก่อน <o:p></o:p>
    คืออยู่ปี ๑ มันหนักปี ๒ ปี ๓ วันออกพรรษาฉันพูดอย่างไร ฉันพูดให้คนเข้าใจง่าย ๆ พอวันออกพรรษาโยมมาทำบุญกว่า ๕๐ คน ศาลายังไม่ได้สร้างนะก่อนให้พรฉันพูดอย่างนี้ โยม วัดเราร่วมสร้างร่วมทำมา ๓ ปีแล้วนะ วัดเคียนพิงนี่ถ้าเปรียบเป็นรถปิคอัพ ปีแรกสตาร์ทไม่ติดเลย ปี ๒ สตาร์ทติดแต่มันไม่แล่น ปี ๓ แล่นแล้วนะ แต่มันเพิ่งออกตัวเขยื้อน ๆ ช่วยกันยื้อช่วยกันดันนะต่อไปมันจะแล่นฉิว เขาก็หัวเราะกัน นี่ฉันพูดให้เข้าใจง่าย แล้วฉันก็รู้อย่างนั้นจริง ๆแล้วมันขยับขึ้นเรื่อย ๆมาค่อย ๆออกตัว<o:p></o:p>
    ใกล้ตายจะดัง ตายแล้วดังมาก<o:p></o:p>
    มาปีนี้ฉันว่าถ้าเปรียบเป็นรถไฟมันออกสถานีแล้วนะ แต่ยังวิ่งกระโดดขึ้นทันต้องวิ่งไว ๆ หน่อย ถ้าเป็นรถก็เหยียบไปแล้ว ๗๐ เปอร์เซ็นต์ หลังจากงาน ๒๕๕๕ คนขึ้นโหนไม่ทัน จะรู้เลยอะไรไปได้แค่ไหนจะไว <o:p></o:p>
    ถ้าฉันใกล้ตายจะไวมากเลย ตายแล้วดังมาก ต้องให้ตายก่อน อันนี้พูดเหมือนกับปีแรก ๆแล้ว เอาก็เอาละเพชรพลอยในวัดเยอะ ตาดีก็ได้ตาร้ายก็เสีย ฉันใกล้ตายจะดัง ตายแล้วดังมาก อันนี้ยังพูดคำนี้อยู่<o:p></o:p>
    แต่มาอยู่นี่ไม่ปรารถนาเลยความดัง เงิน ชื่อเสียง แต่ใครถวายเงินเอาหมดแหละแต่ทำให้หมด ๓ อย่างนี้ไม่มีถ้ามาอยู่ใต้ถ้ามีไม่อยู่แน่ ๑ คือการสร้างชื่อเสียง ๒ ต้องการเงิน ความสบาย ๓ ต้องการความดัง ไม่มาอยู่ ถ้าฉันอยู่ภาคกลางนี่จังหวัดไหนก็ได้ ๕ ปีได้มากกว่านี้อีก เรื่องชื่อเสียงบริวารไม่สนใจ<o:p></o:p>
    ภาคใต้มีพระอรหันต์น้อยมาก<o:p></o:p>
    37<o:p></o:p>
    ที่มาอยู่นี่เป้าหมายของฉันเพื่อเผยแพร่ธรรมของพระพุทธเจ้า สำหรับใจฉันแล้วมันน่าเผยแพร่มาก ทำไมเป็นอย่างนั้นคือถ้าเรารู้ความจริงนี่ เราชาวพุทธรู้มั๊ยเขาว่าภาคอีสานเศรษฐกิจแย่กว่าเขาแย่กว่าจริง ๆ ในด้านรายได้ แต่ภาคอีสานกลับเป็นแดนอริยสงฆ์ พระอรหันต์มากที่สุด คนอ่อนน้อมกับพระมากที่สุด วัดเขาเจริญด้วยวัตถุ วัดบ้านก็คือวัดบ้านแต่เราพูดถึงวัดจริง ๆนั่นนะ เจริญมากทั้งวัดนอกวัดใน <o:p></o:p>
    รองเป็นอันดับ ๒ กลายเป็นภาคเหนือ พระอริยสงฆ์มีมากเป็นอันดับ ๒ รองลงมากลับเป็นภาคกลาง แต่หนักไปทางฤทธิ์ รองลงมาเป็นภาคใต้ มีนะไม่ใช่ไม่มี มีพระอรหันต์ด้วยนะภาคใต้นี่ แต่มีน้อยมาก<o:p></o:p>
    ที่จริงภาคใต้เคยเฟื่องฟูสมัยนครศรีธรรมราชพร้อม ๆ กับพระธาตุพนมนั่นแหละ แต่ในช่วงหลังมานี่เราก็ไม่รู้ประวัติ อ่านแล้วไม่มีเลย ศึกษาแล้วไม่มีเลย อีสานรุ่งเรืองเป็นแดนอริยสงฆ์เพราะหลวงปู่มั่นพูดได้เต็ม ๆเลย เมื่อก่อนหลวงปู่มั่นไม่รู้แดนอีสานเป็นแดนอะไร ลองคิดพิจารณาดูซิ ภาคเหนือเราสมัยสุโขทัยรุ่งเรืองใช่มั๊ย? แต่สมัยพระธาตุพนมศึกษาไม่ได้ ศึกษาไม่ละเอียด แต่สุโขทัยมีพระมหากษัตริย์นิมนต์พระจากศรีลังกามาบรรยายธรรมมาเทศน์แล้วแต่พระอรหันต์พระอริยสงฆ์ยังไม่ปรากฏในการศึกษา<o:p></o:p>
    มาสมัยอยุธยาก็มีหลวงพ่อทวดหลวงพ่อโตใช่มั๊ย แต่พูดไปทางฤทธิ์มากกว่า หลวงพ่อธรรมโชติแห่งค่ายบางระจันไปทางฤทธิ์มากกว่า เรื่องพระอรหันต์มีปรากฏการณ์แท้ ๆ ก็หลวงปูมั่นนี่แหละ ในประวัติศาสตร์ที่เราศึกษามานี่ อย่างหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ก็เน้นทางฤทธิ์มากกว่าที่เราฟังมานะ ท่านก็สร้างบารมีของท่านนั่นล่ะ แต่ออกฤทธิ์มากกว่า<o:p></o:p>
    เห็นกระแส<o:p></o:p>
    เดิมที่ฉันมานี่ฉันรู้ว่าไม่เกิน ๑๐ ปีจะมีสาขา รู้ในจิตก็ได้ ๒ สาขานี่ ต่อไปจะรุ่งเรืองมากแต่ต้องใช้เวลา ฉันก็พูดล่วงหน้า ใช่ ๑๐ ปีเราก็เห็นระดับหนึ่ง อีก ๒๐ ปี เห็นกระแสไม่ใช่เฉพาะเคียนพิงอย่างเดียวแต่จะขยายเพิ่มขึ้นเองนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ทางถ้ำโกบติดอำเภอพนมอยู่ใกล้พังงามาลงอุโบสถร่วมกัน ก็ค่อยซึมเข้ามา ทางเขื่อนก็เริ่มมีมามีพลังร่วม มาจากวัดอโศการาม มาจากหลวงพ่อทูล ก็ลูกหลานเหลนโหลนหลวงปู่มั่นทั้งนั้นแหละ ก็เริ่มขยายมากขึ้น<o:p></o:p>
    แต่ที่จริงขยายมาทางนี้เพื่ออะไร มันไม่ใช่เพื่อเด่นเพื่อดังเพื่อช่วยเพื่อให้นะ แต่เพื่อพาบำเพ็ญความดีบำเพ็ญบุญกุศล พาออกจากทุกข์นั่นล่ะ คนที่พาบางทียังไม่พ้นทุกข์ไม่เป็นไร แต่เส้นทางเดียวกันก็ร่วมเดินร่วมปรึกษากันด้วยเหตุด้วยผลเช่นนี้นะ มันใช่มั๊ยจะพาไปสู่ความพ้นทุกข์ เส้นทางไหนละก็ทาน ศีล ภาวนาที่ถูกต้อง หรือศีล สมาธิ ปัญญาที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิก็ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น<o:p></o:p>
    สร้างวัตถุเพื่อโน้มน้าวการปฏิบัติธรรม<o:p></o:p>
    ส่วนวัตถุการก่อสร้างก็ทำไป ถ้าเราไม่สร้างมันก็ไม่ได้ ใครว่าเน้นวัตถุ เข้าใจฉันผิดถนัดเลย คือวัตถุเราทำเพื่อให้เป็นที่รองรับ วัดเศษสุดคือวัดในโน่น วัดจิตวัดใจโน่น แต่บางทีเราทำอะไรมันก็เล่นจิตวิทยาเหมือนกัน ฉันยอมรับว่าฉันทำจิตวิทยาเหมือนกัน อย่างที่ฉันทำพระเป็นหินประตูเป็นหินก็เป็นจิตวิทยา ทำให้มั่นคงถาวรเป็นจิตวิทยา โน้มน้าวให้คนมาชมเกิดพลังจิตขึ้น เกิดศรัทธา เป็นอุบายให้คน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    38<o:p></o:p>
    มาวัด เมื่อมาแล้วเราต้องมีคำตอบ เราต้องการเผยเแพร่ธรรมของพระพุทธเจ้า ต้องการให้คำตอบเป็นอย่างนั้น <o:p></o:p>
    ถ้าใครสนใจก็เราให้ความคิดแนะนำในแนวทางของหลวงปู่มั่น เป้าหมายเราเป็นอย่างนั้น<o:p></o:p>
    เสียดายสุด ๆ ถ้าเป็นชาวพุทธไม่ได้ปฏิบัติธรรม<o:p></o:p>
    เราไม่มาปฏิบัติธรรมเพื่อหล่อเพื่อรวยเพื่อสวยเพื่อดังไม่ใช่ แต่เรามาปฏิบัติธรรมสร้างบารมีเพื่อหนีทุกข์นั่นแหละ เป้าหมายอยู่โน่น แต่มันยังไม่พ้นทุกข์ยังได้ของแถมเยอะ ของแถมคือหล่อรวยสวยสุขความสบายใจนี่เป็นของแถมนี่มันคุ้มค่า <o:p></o:p>
    น่าเสียดายมาก ๆเลยถ้าพวกเราชาวพุทธไม่ได้ปฏิบัติธรรม รวยจนขนาดไหนถ้าไม่ได้ปฏิบัติมันน่าเสียดายมากเสียดายสุดๆเลย เอาแต่สมบัติภายนอกอย่างเดียวสมบัติภายในไม่เอามันน่าเสียดายไหมละ คุณมีแต่เฉพาะภายนอก ภายในไม่มีนะซิ คนจน ๆ มีแต่ภายในก็ไม่ได้นะจะบอกให้ เจ้าของโรงงานบางทีสู้คนงานไม่ได้นะ อ้ายที่สู้ในวัตถุปัจจุบันใช่มันเหนือกว่าไม่รู้เท่าไร แต่ในทางที่เกิดมาต่อชาตินี่ ตายก็ตายพร้อมกันใครได้เปรียบใคร ยังกะผู้รู้แล้วใช่มั๊ยละ?<o:p></o:p>
    น่าเสียดายสำหรับชาวพุทธเราที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม มันไม่ได้ไปไกลสูงสุดก็ไม่เป็นไร เอาตามอย่างที่มันได้มาเถอะ <o:p></o:p>
    พระอรหันต์จะไม่หมดไปจากโลก<o:p></o:p>
    ทานถูก ศีลถูก ภาวนาถูกไม่ได้ทุกวันแต่ให้ได้อาทิตย์ละวันก็ยังประเสริฐนะ ศีล ๕ ลองถามซิคนอายุ ๕๐ – ๖๐ รับศีลมาเป็นร้อย ๆ ครั้งนี่ ตรงนี้มันเลยได้แต่ประเพณีหมด แล้วพูดไปไม่สนใจไม่รักษาก็ได้กูมีข้าวกินว่าอย่างนี้ คิดอย่างนั้นมีแยะ เราจะไปปฏิบัติทำอะไรก็สบายอยู่แล้ว รถมีขี่ข้าวมีกินบ้านช่องใหญ่โตสบาย มันเป็นที่จิตพูดอย่างไรก็คิดไม่ออก <o:p></o:p>
    ฉันพิสูจน์ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ามานี่ เมื่อก่อนก็ไม่คิดว่าจะได้บวชพอได้ปฏิบัติก็พิสูจน์แล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังใหม่เอี่ยม อย่าว่าศาสนาเสื่อม ธรรมะคือศาสนา คนใต้ไหว้พระ สวากขาโต ภควา พระธรรมคือศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าตราบใดที่พุทธบริษัทปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงตามธรรมของเราอยู่ พระอรหันต์จะไม่หมดไปจากโลก นี่เป็นของจริง<o:p></o:p>
    เราเกิดมาไม่มีใครอยู่ได้ตายหมด ทรัพย์สมบัติของกายก็หาอยู่ แต่สมบัติของใจ อริยทรัพย์คือทาน ศีล ภาวนา ไฟไม่ไหม้ตายไม่เป็น เราต้องการทรัพย์สมบัติของใจไปพร้อม ๆกับทรัพย์สมบัติของกายด้วย<o:p></o:p>
    เชิญได้ทุกเวลา<o:p></o:p>
    วัดเคียนพิงที่เราสร้างขึ้น เจตนาของฉันเพื่อเผยแพร่ธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า เพื่อพุทธบริษัท จะเป็นพระเณรชีอุบาสกอุบาสิกา ให้เป็นสถานที่ซึ่งใครมีโอกาสมีเวลาก็มาปฏิบัติธรรม เพื่อขัดเกลาจิตใจเพื่อหนีทุกข์ได้ เจตนาฉันเป็นอย่างนั้น <o:p></o:p>
    คือญาติโยมหรือใครก็ตามแต่ ได้อ่านหนังสือแล้ว ถ้าต้องการมาปฏิบัติหรือมีข้อสงสัยมาสนทนาธรรมก็เชิญได้ทุกเวลา ถ้าให้ดีก็โทร.ไปก่อนในหนังสือมีเบอร์โทร.อยู่แล้ว ถ้าไม่โทร.ไปก่อนเสียดาย บาง<o:p></o:p>
    39<o:p></o:p>
    คนอยู่ต่างจังหวัดมาแล้วไม่เจอ ถ้าอยู่ที่วัดยินดีต้อนรับตลอดไม่ว่าเวลาไหน หลับอยู่บอกพระให้มาปลุกก็ได้<o:p></o:p>
    เวลาฉันเหลือไม่มากแล้ว อายุ ๗๓ แล้ว โยมมาเวลาไหนสนทนากันทั้งวันก็ได้ สงสัยไม่เป็นไรคือให้าโอกาสตลอด ใจของฉันก็พยายามเต็มที่ว่าชีวิตที่เหลือนี้ จะทุ่มเทให้พระศาสนาทั้งหมด เพื่อชาวพุทธทั้งหมด จนกว่าจะหมดลมหายใจ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ****************************<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>

    ลิ้งรูปภาพวัดป่าเคียนพิงธรรมเจดีย์
    ͧ
     
  9. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226
    "วัดเคียนพิงที่เราสร้างขึ้น เจตนาของฉันเพื่อเผยแพร่ธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า เพื่อพุทธบริษัท จะเป็นพระเณรชีอุบาสกอุบาสิกา ให้เป็นสถานที่ซึ่งใครมีโอกาสมีเวลาก็มาปฏิบัติธรรม เพื่อขัดเกลาจิตใจเพื่อหนีทุกข์ได้ เจตนาฉันเป็นอย่างนั้น

    คือญาติโยมหรือใครก็ตามแต่ ได้อ่านหนังสือแล้ว ถ้าต้องการมาปฏิบัติหรือมีข้อสงสัยมาสนทนาธรรมก็เชิญได้ทุกเวลา ถ้าให้ดีก็โทร.ไปก่อนในหนังสือมีเบอร์โทร.อยู่แล้ว ถ้าไม่โทร.ไปก่อนเสียดาย บางคนอยู่ต่างจังหวัดมาแล้วไม่เจอ ถ้าอยู่ที่วัดยินดีต้อนรับตลอดไม่ว่าเวลาไหน หลับอยู่บอกพระให้มาปลุกก็ได้

    เวลาฉันเหลือไม่มากแล้ว อายุ ๗๓ แล้ว โยมมาเวลาไหนสนทนากันทั้งวันก็ได้ สงสัยไม่เป็นไรคือให้าโอกาสตลอด ใจของฉันก็พยายามเต็มที่ว่าชีวิตที่เหลือนี้ จะทุ่มเทให้พระศาสนาทั้งหมด เพื่อชาวพุทธทั้งหมด จนกว่าจะหมดลมหายใจ"

    ขออนุโมทนา สาธุ หลวงตาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...