ปรากฏการณ์ฅนตื่นฤาษี

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 23 มิถุนายน 2005.

  1. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ปรากฏการณ์'ฅนตื่นฤาษี'

    ปรากฏการณ์...ฅนตื่นฤาษี



    [​IMG]หลังจาก "คม ชัด ลึก" ได้นำเสนอประวัติและเรื่องราวของ ปู่ฤาษีตาไฟ อคฺคธมฺโม ซึ่งเปิดสำนักให้ความ ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้อยาก ณ บ้านเลขที่ ๖๕ หมู่ ๗ บ้านโคกใบบัว ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ปรากฏว่า มีผู้อ่านจำนวนมากโทรศัพท์สอบถามเข้ามายัง กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" ขณะเดียวกัน ก็มีรายการโทรทัศน์ ๒ รายการ ติดต่อขอรายละเอียดมายังกองบรรณาธิการ เพื่อเดินทางไปถ่ายทำและแข่งกันออกอากาศในสัปดาห์ถัดมา

    หลังจากนั้น ได้มีผู้คนหลั่งไหลเข้าไปกราบไหว้จำนวนมาก นางวาสนา เลิศกระโทก ลูกสาวของปู่ฤาษีตาไฟ ให้ข้อมูลว่า ช่วงแรกๆ ของการนำเสนอข่าว มีคนมากันเป็นพัน จากนั้นก็อยู่ในระดับหลักร้อย มาจากทั่วสารทิศทุกจังหวัดของประเทศไทย ไม่ว่าจะอยู่ใต้สุดหรือเหนือสุด นั่งรถเบนซ์มาก็เยอะ เหมารถตู้มาก็มากมาย เหมารถบัสมาก็มี มากันชนิดที่เรียกว่า ทางเข้าบ้านฝุ่นตลบถึงกับต้องจ้างรถมารดน้ำถนนทุกวัน

    จุดประสงค์ของผู้เดินทางมานั้น ส่วนใหญ่จะมาขอให้ปู่ฤาษีช่วยลงนะหน้าทอง อาบน้ำมนต์ รวมทั้งขอเครื่องรางของขลัง เพื่อเพิ่มสิริมงคลให้กับตัวเอง สำหรับไปประกอบอาชีพค้าขายให้ดีขึ้น

    ด้วยจำนวนคนที่มากันมาก ทำให้ต้องจัดคิวเข้าพบเพื่อความเป็นระเบียบ แต่ก็ยังมีคนใจร้อนอยากขอพบทันที [​IMG]

    ส่วนเงินทำบุญนั้นขึ้นอยู่กับความศรัทธาสุดแล้วแต่ใครให้ โดยยังคงเจตนาเดิมคือ เงินที่ได้มาก็จะไปถวายวัดทำบุญ ทั้งทอดผ้าป่าและถวายกฐิน

    อย่างไรก็ตาม ในวันไหว้ครู หรือครอบครู ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในวันขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๓ และปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ทั้งนี้ "คม ชัด ลึก" ได้เข้าไปร่วมพิธีด้วย โดยพิธีครอบครูปู่ฤาษีตาไฟ เริ่มขึ้นหลังจากถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ เวลา ๐๙.๐๐ น.

    ในวันดังกล่าวได้มีเหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จหลังจากให้ปู่ฤาษีตาไฟลงนะหน้าทองหลายราย ก็มาตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารฟรีแก่ผู้ที่มาร่วมพิธีครอบครู

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขัดต่อสายตาและความรู้สึกของเหล่าบรรดาผู้ศรัทธาไปร่วมงานคือ การสร้างวัตถุมงคลที่เกี่ยวข้องกับปู่ฤาษีตาไฟออกมาจำหน่าย ชนิดเรียกว่ามีให้บูชาครบสูตรของนักสร้างวัตถุมงคลมืออาชีพเลยทีเดียว

    [​IMG]สำหรับวัตถุมงคลที่สร้าง ได้แก่ เศียรพ่อแก่ ลูกอม ตะกรุด รูปแกะสลัก รูปหล่อ ผ้ายันต์ และน้ำมันมนต์ พร้อมกับโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณของวัตถุมงคลทุกชนิด โดยผู้สร้างได้บอกจุดประสงค์ว่า เพื่อนำเงินไปสร้างพระประธาน ของสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งที่ อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งปู่ฤาษีตาไฟรับปากว่า จะเป็นประธานจัดหาทุนให้ แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องการเงินเท่าไรและจำนวนวัตถุมงคลที่สร้างก็ไม่ชัดเจน

    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ปู่ฤาษีตาไฟได้ยืนยันกับ "คม ชัด ลึก" ว่า "ฤาษีแท้ต้องยึดหลักพรหมวิหาร ๔ อย่างเคร่งครัด คือ เมตตา มุทิตา กรุณา อุเบกขา สร้างวัตถุมงคล รวมทั้งรักษาโรคต้องไม่มีการเรียกเงิน ใครจะให้หรือไม่ให้อยู่ที่ความศรัทธาเท่านั้น ฤาษีจริงหรือปลอมมีวิธีง่ายๆ คือ ฤาษีจริงต้องทำวัตถุมงคลแจกฟรี ไม่ทำวัตถุมงคลเพื่อพาณิชย์ ถ้าฤาษีตนใดทำของขาย เรียกเงินจากการประกอบพิธีกรรม ถือว่าไม่ใช่ฤาษีที่แท้จริง เป็นฤาษีเฉพาะกิจ ถือบวชเพื่อหาเงิน ซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่จำนวนมาก"

    เกี่ยวกับเรื่องการสร้างวัตถุมงคลปู่ฤาษีตาไฟออกมาให้เช่าบูชานั้น "คม ชัด ลึก" ได้สอบถามผู้ศรัทธาที่ได้เดินทางไปร่วมงานไหว้ครูต่างให้ความเห็นที่สอดคล้องกันว่า

    [​IMG]"ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้คือ ต้องมีนักสร้างวัตถุมงคลมืออาชีพจากในเมือง มาแสวงหาผลประโยชน์เช่นเดียวกับพระหรือวัดที่มีชื่อเสียง โดยเสนอผลตอบแทนให้ลูกหลานหรือญาติ ซึ่งง่ายกว่าการสร้างวัตถุมงคลให้พระหรือวัดใดวัดหนึ่ง งานครอบครูปีต่อไปต้องมีรุ่น ๒ รุ่น ๓ ตามมาอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่ปู่ฤาษีบอกว่าสร้างแจกฟรี แล้วแต่ศรัทธา ใครจะให้ก็ได้ไม่ให้ก็ได้ ในที่สุดก็จะเป็นไปตามสัจธรรมที่ว่า ครูดีแต่ลูกศิษย์ทำเสีย อีกหน่อยครูก็เสื่อมลูกศิษย์ก็เสีย"

    [​IMG]นอกจากนี้ ยังมีร่างทรง หมอดู และผู้ที่บวชเป็นฤาษี ไปแสวงหาผลประโยชน์จากความศรัทธาปู่ฤาษีตาไฟ กล่าวคือ ผู้ที่บวชเป็นฤาษีจะอ้างว่าเป็นร่างทรงของปู่ฤาษีตาไฟ โดยขึ้นนั่งแทนที่นั่งของปู่ฤาษีตาไฟ แล้วประกอบพิธีแทนปู่ฤาษีตาไฟทันที ขณะที่ฤาษีอีกตนหนึ่งก็ดูหมอพร้อมกับ สะเดาะเคราะห์ให้กับผู้มาร่วมงาน

    ขณะที่หมอดูคนหนึ่ง ซึ่งหลังจากปู่ฤาษีตาไฟเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ได้มาตั้งโต๊ะดูหมอใกล้ๆ กับบ้านของปู่ฤาษี แต่ในวันงานหลังจากปู่ฤาษีครอบครูให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็อุปโลกน์ตัวเองเป็นลูกศิษย์ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิชาจากปู่ฤาษีทันที หลังจากปู่ฤาษีเข้าไปพักในถ้ำก็ขึ้นนั่งแทนพร้อมกับประกอบพิธีกรรมเช่นเดียวกับปู่ฤาษี

    [​IMG]เพื่อความชัดเจนเรื่องดังกล่าว "คม ชัด ลึก" ได้เข้าสัมภาษณ์ปู่ฤาษีตาไฟ หลังจากเสร็จงานครอบครูอีกครั้งหนึ่ง ท่านก็คงยังยืนยันว่า "ไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ใคร เพราะไม่มีใครยึดหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดได้ มีฤาษีบางตนแวะมาเยี่ยม ๒-๓ ครั้ง มาให้ครอบครูให้ จากนั้นก็ไปอ้างเป็นลูกศิษย์ของตน ขออย่าไปเชื่อ ยิ่งไปประกอบพิธีแล้วเรียกเงิน ยิ่งเชื่อไม่ได้ ในส่วนของการสร้างวัตถุมงคลนั้น ตั้งแต่ถือบวชเป็นฤาษียังไม่เคยอนุญาตให้ลูกศิษย์คนใดสร้างวัตถุมงคล ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม"

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" bgColor=#ff9900 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>

    เหตุของ...ฅนตื่นฤาษี

    [​IMG]พระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธฯ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม พระนักเทศน์ชื่อดัง ได้ให้ทัศนะว่า ปรากฏการณ์คนตื่นฤาษีมีด้วยกัน ๒ สาเหตุ คือ ประเทศชาติอยู่ในภาวะขาดพระคณาจารย์ผู้มีอาคมขลัง เนื่องจากขาดการส่งเสริมการศึกษา ด้านพุทธมนต์ พุทธคุณ อักขระเลขยันต์ และวิชาอาคม การสร้างวัตถุมงคลส่วนใหญ่มักสร้างอาศัย คำว่า ย้อนยุค คือกินบุญเก่าของบรรพชน มีการจัดงานพุทธาภิเษกโดยที่เจ้าอาวาสนั้นๆ ไม่มีความรู้เรื่องการสร้างวัตถุมงคลเลย

    ทั้งนี้พระคณาจารย์ต้องมีความรู้รอบตัว ทั้งด้านการศึกษาธรรมะและพุทธมนต์ ต้องศึกษาฝึกฝนจนได้ฌานสมาบัติ ซึ่งเป็นผลของสมาธิระดับสูง การสร้างวัตถุมงคลในระยะหลังนี้ มักสร้างออกมาจากโรงงานเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่อำนวยผลแก่ผู้บูชา นี่คือภาวะขาดพระคณาจารย์อย่างหนัก จึงเป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์คนตื่นฤาษี คนทรงเจ้า ในที่สุดสำนักของฆราวาสก็มาแทนพระคณาจารย์ เมื่อมีการนำเสนอเรื่องราวของฤาษีท่านดังกล่าวผ่านสื่อมวลชน จึงนำมาซึ่งความแตกตื่น สถานการณ์ขาดพระคณาจารย์ในประเทศไทยถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤติ ฤาษีต้องออกมารับแขกจนเป็นลม [​IMG]ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งคือ คนขาดกำลังใจไร้ที่พึ่งพา ขาดความเชื่อมั่นทางอารมณ์ เป็นดัชนีชี้ว่าคนเสื่อมทางวัฒนธรรม กำลังสู่สังคมบริโภครุกรานอย่างหนัก แม้แต่คนที่มีวัตถุบริโภคอันอุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง ยังแสวงหาวัตถุมงคลและผู้มีอาคมขลัง วัตถุมงคลของพระคณาจารย์บางรูปแม้จะแพงมาก ท่านเหล่านั้นก็ลงทุนเช่าบูชา พระคณาจารย์บางรูปอยู่ไกลแสนไกล คนก็ยังดั้นด้นไปกราบไหว้ มากมายจนรับศรัทธาไม่ไหว ถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะรับ การกราบไหว้ ประสิทธิ์ประสาทพรเพื่อเป็นขวัญและ กำลังใจแก่ประชาชน ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ ในส่วนของพระสงฆ์ที่ไปให้ปู่ฤาษีตาไฟครอบครูนั้น พระราชวิจิตรปฏิภาณ มองว่า เป็นการแสดงถึงระดับของพระนั้นอยู่ในระดับล่าง อาศัยสถานการณ์ความโด่งดัง ของฤาษีมาสร้างชื่อเสียงและ เงินทองให้กับตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และไม่สมควรอย่างยิ่ง ยกเว้นแต่ว่าไปขอความรู้เรื่องยันต์คาถา และตำรับยา ถ้านอกเหนือจากนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. vibe

    vibe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    731
    ค่าพลัง:
    +3,146
    มาอ่านครับยาย
     
  3. ธุลีดิน

    ธุลีดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2004
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +156
    อืม....
     
  4. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ไม่เข้าใจ?
     
  5. kung

    kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +770
    ปู่ตัดต่อผิดครับ ต้องอย่างนี้อะ

    พระคณาจารย์บางรูปอยู่ไกลแสนไกล คนก็ยังดั้นด้นไปกราบไหว้ มากมายจนรับศรัทธาไม่ไหว ถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะรับ การกราบไหว้ ประสิทธิ์ประสาทพรเพื่อเป็นขวัญและ กำลังใจแก่ประชาชน ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่

    ในส่วนของพระสงฆ์ที่ไปให้ปู่ฤาษีตาไฟครอบครูนั้น พระราชวิจิตรปฏิภาณ มองว่า เป็นการแสดงถึงระดับของพระนั้นอยู่ในระดับล่าง อาศัยสถานการณ์ความโด่งดัง ของฤาษีมาสร้างชื่อเสียงและ เงินทองให้กับตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และไม่สมควรอย่างยิ่ง ยกเว้นแต่ว่าไปขอความรู้เรื่องยันต์คาถา และตำรับยา ถ้านอกเหนือจากนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

    แต่ผมว่าพระที่ให้ปู่ฤาษีครอบครูให้ก็ไม่เหมาะสมครับ พระรับคำสอนของพระพุทธองค์มาปฏิบัติ ถือว่าเป็นครู่ที่ยอดยิ่ง ทำไมพระจึงต้องไปให้ฤาษีครอบครูอีก พระกล่าวคำว่า พุทธัง,ธัมมัง,สังฆัง สะระนัง คัทฉามิ ระลึก พระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ทำไมต้องไปพึ่งฤาษีอีก
    ถ้าเป็นฆราวาสก็ไปอีกอย่าง
     
  6. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ผมสายตาไม่ค่อยดี ... ผมเข้าใจแล้วครับ (ค่อยสบายใจหน่อย)
    ขอบคุณ คุณkung ครับ
     
  7. ดวงแก้ว

    ดวงแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +259
    คิกๆๆๆ ปู่ลืมแว่น[​IMG]ไว้นี่
     
  8. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    เอ่อ ... คือว่า

    กระผมมีวิธีฝึกกสิณ แบบพระฤาษีครับ
    ฝึกยากมากๆ ... พอจะมีใครสนใจมั๊ย?

    ...
     
  9. ปราณยาม

    ปราณยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,638
    กสินไฟหรือครับคุณปู่ สนๆๆๆครับ
     
  10. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    คงอีกสักพักนึงนะครับ แต่ไม่นานมากนัก ผมพิมพ์ช้ามากๆ
    คุณปราณยาม แวะๆ เข้าไปที่ห้อง "อภิญญา" บ่อยๆนะครับ

    กระทู้เรื่องการฝึกกสิณแบบฤาษี ...ผมจะไปโพสท์ที่นั่นครับ
     
  11. ปราณยาม

    ปราณยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ขอบพระคุณครับ
     
  12. mrboon

    mrboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +412
    ผมเรียนด้วยคนนะปู่ นะ

    เมื่ออาจารย์ ยินดีสอน ผู้เรียนจะตั้งใจเรียนให้มากกว่าที่อาจารย์หวัง
     
  13. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    วุ่นวาย
     
  14. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,763
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    [​IMG]

    [​IMG]

    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD class=smalltext>เรื่องเล่าพระฤาษี



    "พุทธวันทิตวา ข้าพเจ้าของอาราธนาบารมีคุณ พระพุทธคุณนัง ธรรมคุณนัง สังฆคุณนัง วันทิตวา ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีคุณ พระสังฆคุณนัง อีกทั้งคุณพระบิดา พระมารดา พระอนุกรรมวาจา อุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์ อีกทั้งพระฤาษีนารอด พระฤาษีนารายณ์ พระฤาษีตาวัน พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีเกตุ พระฤาษีเนตร พระฤาษีมุชิตวา พระฤาษีมหาพรหมเมศ พระฤาษีสมุหวัน ทั้งพระเพชรฉลูกัน และนักสิทธวิทยา อีกทั้งพระคงคา พระเพลิง พระพาย พระธรณี พระอิศวรผู้เป็นเจ้าฟ้า ขออัญเชิญเสด็จลงมาประสิทธิพระพรชัย ให้แก่พวกข้าพเจ้าในเวลาวันนี้ ข้าพเจ้าขอเชิญเทพดาเจ้าทั้งหลายทั่วพื้นปถพีดล พระฤาษี ๑๐๘ ตน บันดาลดลด้วยสรรพวิทยา พระครูยา พระครูเฒ่า พระครูภักและอักษร สถาพรเป็นกรรมสิทธิ์ ให้แก่พวกข้าพเจ้าในเวลาบัดนี้เถิด

    ข้าพเจ้า ขออาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชิญเสด็จลงมาปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพเจ้าขอเชิญพระพรหมลงมาอยู่บ่าซ้าย ขอเชิญพระนารายณ์มาอยู่บ่าขวา ขอเชิญพระคงคาลงมาเป็นน้ำลาย ขอเชิญพระพายลงมาเป็นลมปาก ขอเชิญพญานาคลงมาเป็นสร้อยสังวาล ข้าพเจ้าขอเชิญพระอังคารมาเป็นด้วยใจ ถ้าแม้นข้าพเจ้าจะไปรักษาไข้แห่งหนึ่งแห่งใด ให้มีชัยชนะแก่โรค ขอจงประสิทธิให้แก่ข้าพเจ้าทุกครั้ง พุทธสังมิ ธรรมสังมิ สังฆสังมิ" (คัดตามต้นฉบับเดิม)

    ที่นำมากล่าวข้างต้นนั้นคือ บทไหว้ครูของเก่า ที่ผมได้จดไว้ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนเตรียมอุดมศ ึกษา เพราะมีกิจต้องเข้าพิธีไหว้ครูกับลุง ซึ่งเป็นหมอแผนโบราณอยู่เป็นประจำทุกปี

    คนไทยเราดูจะคุ้นกับฤาษีอยู่มาก เพราะตามพงศาวดารสมัยโบราณ หรือจดหมายเหตุเก่าๆ มักจะกล่าวถึงฤาษี อย่างเช่นฤาษีวาสุเทพกับฤาษีสุกกทันต์ ผู้สร้างเมืองหริภุญไชย และในคำไหว้ครูที่กล่าวถึงข้างต้น ได้ออกชื่อฤาษีแปลกๆ หลายชื่อ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไปข้างหน้า

    นอกจากนี้ ในวรรณคดีต่างๆ ก็มักจะมีเรื่องของฤาษีแทบทุกเรื่อง เพราะพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินจะต้องไปศึกษาเล่าเ รียนกับฤาษี และฤาษีเป็นเจ้าพิธีการต่างๆ เป็นต้น

    ตำราของวิชาการหลายสาขา เช่น ดนตรี แพทย์ ก็มีเรื่องของฤาษีมาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ดังจะเห็นว่าพวกดนตรีและนาฏศิลป์เคารพบูชาฤาษี แพทย์แผนโบราณก็มีรูปฤาษีไว้บูชา ดังนี้เป็นต้น

    ลักษณะของฤาษีแบบไทยๆ มักจะรู้จักกันในรูปของคนแก่ นุ่งห่ม หนังเสือ โพกศีรษะเป็นยอดขึ้นไป

    ทำไมจึงต้องนุ่งห่มหนังเสือ ลองเดาตอบดูก็เห็นจะเป็นเพราะอยู่ในป่า ไม่มีเสื้อผ้า ก็ใช้หนังสัตว์แทน ส่วนจะได้มาโดยวิธีอย่างไรไม่แจ้ง แต่คงไม่ใช่จากการฆ่าแน่นอน เพราะฤาษีจะต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ถ้ามีคนเอาเนื้อสัตว์มาถวายก็กินได้ ไม่เป็นไร

    ฉะนั้น หนังสัตว์ก็อาจจะเป็นของพวกนายพราน หรือคนที่เคารพนับถือ เอามาถวายก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังอาจจะสงสัยต่อไปอีกว่า ทำไมจึงเลือกเอา หนังเสือ เรื่องนี้ก็ต้องเดาตอบเอาอีกว่า เพราะหนังเสือนุ่มดี

    แต่ฤาษีไทยเราเห็นครองแต่หนังเสือเหลือง สังเกตจากรูปฤาษีส่วนมาก จะระบายสีเป็นอย่างเสือลายเหลืองสลับดำ แต่ฤาษีของบางอาจารย์ปิดทองก็มี

    ชุดเครื่องหนังนี้อ่านตามหนังสือวรรณคดีว่า เป็นชุดออกงาน เช่นเข้าเมืองหรือไปทำพิธีอะไรต่างๆ ก็ใช้ชุดหนัง แต่ถ้าบริกรรมบำเพ็ญตบะอยู่กับอาศรมในป่าก็ใช้ ชุดคากรอง คือนุ่งห่มด้วยต้นหญ้าต้นคา

    ในหนังสือบทละครเรื่องอุณรุท พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ กล่าว ไว้ตอนท้าวไกรสุทรับสั่งให้สังฆการีออกไปนิมนต์ฤาษีน ารอท มาเข้าพิธีอภิเษกสมรสพระอุณรุทกับนางศรีสุดา มีความว่า

    "เมื่อนั้น พระนารอททรงญาณฌานกล้า ได้แจ้งไม่แคลงวิญญา ก็บอกหมู่สิทธาพร้อมกัน ต่างผลัดเปลือกไม้คากรอง ครองหนังเสือสอดจำมขัน กรกุมไม้เท้างกงัน พากันรีบมายังธานี"

    ดังนี้แสดงว่าเวลาอยู่ป่านุ่งเปลือกไม้คากรอง ออกนอกอาศรมเข้าเมือง ก็เปลี่ยนเป็นเครื่องหนัง และที่กล่าวมานี้ที่จะเป็นฤาษีแบบไทยๆ ที่มีระเบียบวัฒนธรรมแล้วหรืออย่างไรไม่ทราบ ฤาษีของอินเดียก็ว่านุ่งห่มสีขาว ทีจะเป็นฤาษีเมื่อบ้านเมืองเจริญแล้ว ดึกดำบรรพ์ก่อนโน้นจะมีนุ่งหนังเสือบ้างกระมัง

    ตามภาพเขียนสมัยโบราณ ถ้ามีภาพป่าหิมพานต์ มีรูปต้นมักกะลีผล จะเห็นพวกวิทยาธรและพวกที่แต่งตัวคล้ายๆ ฤาษีเหาะขึ้น ไปเชยชมสาวมักกะลีผลกันเป็นกลุ่มๆ ความจริงไม่ใช่ฤาษีแท้ เป็น พวกนักสิทธ นี่ว่าตามคติอินเดียที่เขาถือว่า นักสิทธไม่ใช่ฤาษี เป็นแต่ผู้สำเร็จจำพวกหนึ่งเท่านั้น ทำนองเดียวกับพวกวิทยาธรหรือพิทยาธร ในหนังสือวรรณคดีไทยเรียกว่า ฤาสิทธ ก็มี มักเรียกรวมๆ กันว่า ฤาษีฤาสิทธ หรือ ฤาษีสิทธวิทยาธร

    ในวรรณคดีอินเดียกำหนดจำนวนพวกนักสิทธไว้ตายตัว มีจำนวน ๘๘,๐๐๐ ทางไทยเราดูจะนับนักสิทธเป็นฤาษีไปด้วย

    ในเอกสารที่เก่าที่สุดของไทยคือ ไตรภูมิพระร่วง ของ พระญาลิ ไท ก็เรียกฤาสิทธว่าเป็นอย่างเดียวกับฤาษี ดังความตอนหนึ่งว่า



    "ครั้นว่านางสิ้นอายุศม์แล้วจึงลงมาเกิดที่ในดอกบัวหลวงดอก ๑ อัน มีอยู่ในสระๆ หนึ่ง มีอยู่แทบตีนเขาพระหิมวันต์ฯ เมื่อนั้นยังมีฤาษีสิทธองค์ ๑ ธ นั้นอยู่ในป่าพระหิมพานต์ ธ ย่อมลงมาอาบน้ำในสระนั้นทุกวัน ธ เห็นดอกบัวทั้งปวงนั้นบานสิ้นแล้วทุกดอก ๆ แลว่ายังแต่ดอกเดียวนี้บมิบานแล ดุจอยู่ดังนี้บมิบานด้วยทั้งหลายได้ ๗ วัน ฯ พระมหาฤาษีนั้น ธ ก็ดลยมหัศจรรย์นักหนา ธ จึงหันเอาดอกบัวดอกนั้นมา ธ จึงเห็นลูกอ่อนอยู่ในดอกบัวนั้นแล เป็นกุมารีมีพรรณงามดั่งทองเนื้อสุก พระมหาฤาษีนั้น ธ มีใจรักนักหนา จึงเอามาเลี้ยงไว้เป็นพระปิยบุตรบุญธรรม แลฤาษีเอาแม่มือให้ผู้น้อยดูดกินนม แลเป็นน้ำนมไหลออก แต่แม่มือมหาฤาษีนั้นด้วยอำนาจบุญพระฤาษี"

    ดังนี้จะเห็นว่า ใช้คำ ฤาสิทธ ในความหมายเดียวกับ ฤาษี และนิยายทำนองนี้ดูจะแพร่หลายมาก ในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง มีเรื่องฤาษีเก็บเด็ก จากดอกบัวมาเลี้ยงแทรกอยู่เสมอ

    ลักษณะความเป็นอยู่ของฤาษีเท่าที่เราเข้าใจกัน โดยทั่วๆ ไปนั้น ก็ว่ากินเผือกมันเป็นอาหาร เพราะไม่มีการทำไร่ไถนา บางคัมภีร์มีข้อห้ามพวกฤาษีไม่ให้เข้าหมู่บ้าน ไม่ให้ย่างเหยียบเข้าไปในเขตพื้นดิน ที่เขาไถแล้ว แต่ในที่บางแห่งกล่าวว่า ฤาษีนั้นแบ่งออกเป็น ๘ จำพวกด้วยกันคือ

    ๑.สปุตตภริยา คือฤาษีที่รวบรวมทรัพย์ไว้บริโภคเหมือนมีครอบครัว
    ๒.อุญฉาจริยา คือฤาษีที่เที่ยวรวบรวมข้าวเปลือกและถั่วงาเป็นต้นไว ้หุงต้มกิน
    ๓.อนัคคิปักกิกา คือฤาษีที่รับเฉพาะข้าวสารไว้หุงต้มกิน
    ๔.อสามปักกา คือฤาษีที่รับเฉพาะอาหารสำเร็จ (ไม่หุงต้มกินเอง)
    ๕.อัสมุฏฐิกา คือฤาษีที่ใช้ก้อนหินทุบเปลือกไม้บริโภค
    ๖.ทันตวักกลิกา คือฤาษีที่ใช้ฟันแทะเปลือกไม้บริโภค
    ๗.ปวัตตผลโภชนา คือฤาษีที่บริโภคผลไม้
    ๘.ปัณฑุปลาสิก คือฤาษีที่บริโภคผลไม้หรือใบไม้เหลืองที่หล่นเอง

    ในหนังสือ ลัทธิของเพื่อน โดย เสฐียรโกเศศ นาคประทีป ได้กล่าวถึงพวกฤาษีไว้ตอนหนึ่งว่า

    "เกิดมีพวกนักพรตประพฤติเนกขัมม์ขึ้น พวกนี้มักอาศัยอยู่ ในดงเรียกว่า วานปรัสถ์ (ผู้อยู่ป่า) หรือเรียกว่า ฤาษี (ผู้แสวง) ปลูกเป็นกระท่อมไม้หรือมุงกั้นด้วยใบไม้ (บรรณศาลา) เป็นที่อาศัย"

    กระท่อมชนิดนี้ถ้าอยู่รวมกันได้หลายคนเรียกว่า อาศรม พวกฤาษีใช้เปลือกไม้หรือหนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม และขมวดผมมวย ให้เป็นกลุ่มสูงเรียกวา ชฎา อาศัยเลี้ยงชีพด้วยมูลผลาหารของป่า

    ลัทธิที่ประพฤติมีการบำเพ็ญตบะทรมานกายอย่างเคร่งเคร ียด เพียรพยายามทนความหนาวร้อน อดอาหาร และทรมานด้วยวิธีต่างๆ

    ความมุ่งหมายที่บำเพ็ญตบะ ยังคงหวังให้มีฤทธิเดช อย่างความคิดในชั้นเดิมอยู่ แต่ว่าเริ่มจะมุ่งทางธรรมแทรกขึ้นอีกชั้นหนึ่งด้วย กล่าวคือการบำเพ็ญตบะ เป็นทางที่จะซักฟอกวิญญาณให้บริสุทธิ์สะอาด เข้าถึงพรหม และเกิดฤทธิเดชเหนือเทวดามนุษย์

    ในอีกแห่งหนึ่งกล่าวว่า "ผู้ที่อยากเป็นฤาษีเขามีตำราเรียนเรียกว่า คัมภีร์อารัญยกะ แปลว่า เนื่องหรือเกี่ยวกับป่า ชายหนุ่มที่ไปบวชเรียน เป็นฤาษีจะต้องเรียนและปฏิบัติที่มีกำหนดไว้ในคัมภีร ์ อะไรเป็นปัจจัย ให้ต้องประพฤติตนเป็นฤาษี ตอบได้ไม่ยากนักคือ เขาเห็นว่า ความประพฤติของ ชาวกรุงชาวเมืองในมัธยมประเทศสมัยโน้น เลอะเทอะเต็มที มักชอบประพฤติ แต่เรื่องสุรุ่ยสุร่ายเอ้อเฟ้อ อยู่ด้วยกามคุณ ต้องการจะมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ เหมือนบรรพบุรุษครั้งดึกดำบรรพ์ ครั้งไกลโน้นประพฤติกันอยู่ ชะรอยบรรพบุรุษของชาวอริยกะครั้งกระโน้น จะไม่ใช่เป็นคนเพาะปลูก และใช้เปลือกไม้และหนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม เห็นที่จะเอาอย่างบรรพบุรุษ ครั้งดึกดำบรรพ์ ซึ่งยังไม่รู้จักหว่านไถและยังไม่รู้จักทอผ้า คงจะสร้างทับ กระท่อมกันอยู่ในป่า ไว้ผมสูงรกรุงรัง พวกฤาษีจึงได้เอาอย่าง"

    เท่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นคือลักษณะและความเป็นอยู่ข องฤาษีโดยทั่วๆ ไป แต่ยังมีอีกลักษณะหนึ่งซึ่งไม่ได้กล่าวถึง คือ การมีบุตรและภรรยา

    ฤาษีประเภทนี้มีมากจนเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ฤาษีมีเมียได้ ซึ่งจะได้เล่าถึงในประวัติของฤาษีต่างๆ ต่อไปข้างหน้า

    ดังได้กล่าวแล้วว่าฤาษีต้องเพียรบำเพ็ญตบะกันอย่างหน ัก ฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นจึงมีแตกต่างกันไปตามความเพียรพย ายาม ใครปฏิบัติได้มากก็ได้รับการยกย่องให้เป็นฤาษีอันดับ สูง เท่าที่ทราบเขาจัดฤาษีไว้ ๔ ชั้นดังนี้

    ๑.ราชรรษี (เจ้าฤาษี)
    ๒.พราหมณรรษี (พราหมณฤาษี)
    ๓.เทวรรษี (เทพฤาษี)
    ๔.มหรรษี (มหาฤาษี)



    แต่ในบางแห่งก็จัดฤาษีที่สำเร็จตบะไว้เพียง ๓ ชั้นคือ
    ๑.พรหมฤาษี คือผู้มีตบะเลิศ ข่มจิตสงบได้จริง ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งทั้งปวง
    ๒.มหาฤาษี คือเป็นพวกฤาษีชั้นกลาง มีตบะ ข่มกามคุณได้หมดสิ้นแล้ว
    ๓.ราชฤาษี ได้แก่ ฤาษีที่มีตบะฌานสำเร็จเป็นอันดับต้น



    การไต่อันดับไม่ได้ใช้ระบบการสอบ ผู้ที่จะเลื่อนชั้นจะต้องปฏิบัติบำเพ็ญตบะจน ได้ผลตามที่กำหนดไว้ ซึ่งจะต้องใช้ความเพียรพยายามและความอดทนอย่างยิ่งยวด



    ดังได้กล่าวแล้วว่า ฤาษีต้องเพียรบำเพ็ญตบะ กันอย่างหนัก ฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นจึงมี แตกต่างกันไป ตามความเพียรพยายาม ใครปฏิบัติได้มากก็ได้รับการยกย่อง ให้เป็น

    ฤาษีอันดับสูง เท่าที่ทราบเขาจัดฤาษีไว้ ๔ ชั้นดังนี้



    ๑.ราชรรษี (เจ้าฤาษี)
    ๒.พราหมณรรษี (พราหมณฤาษี)
    ๓.เทวรรษี (เทพฤาษี)
    ๔.มหรรษี (มหาฤาษี)

    แต่ในบางแห่งก็จัดฤาษีที่สำเร็จตบะไว้เพียง ๓ ชั้นคือ
    ๑.พรหมฤาษี คือผู้มีตบะเลิศ ข่มจิตสงบได้จริง ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งทั้งปวง
    ๒.มหาฤาษี คือเป็นพวกฤาษีชั้นกลาง มีตบะ ข่มกามคุณได้หมดสิ้นแล้ว
    ๓.ราชฤาษี ได้แก่ ฤาษีที่มีตบะฌานสำเร็จเป็นอันดับต้น

    การไต่อันดับไม่ได้ใช้ระบบการสอบ ผู้ที่จะเลื่อนชั้น จะต้องปฏิบัติบำเพ็ญตบะจนได้ผลตามที่กำหนดไว้ ซึ่งจะต้องใช้ความเพียรพยายามและความอดทนอย่างยิ่งยว ด

    ในคำไหว้ครู ที่ได้ยกมากล่าวในตอนต้น มีชื่อฤาษีที่คุ้นหูคนไทยส่วนมากอยู่ ๓ ตนด้วยกันคือ ฤาษีนารอด ฤาษีตาวัว ฤาษีตาไฟ

    ฤาษีทั้งสามนี้คนระดับชาวบ้านสมัยก่อนรู้จักกันดี มักพูดถึงอยู่เสมอในตำนานพระพิมพ์ ที่ว่า จารึกไว้ในลานเงินก็ได้กล่าวถึงฤาษีตาวัว (งัว) และฤาษีตาไฟไว้เหมือนกัน ดังความว่า

    "ตำบลเมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิไชยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ ว่ายังมีฤาษี ๑๑ ตน ฤาษีเป็นใหญ่ ๓ ตนๆ หนึ่งฤาษีพีลาไลย ตนหนึ่งฤาษีตาไฟ ตนหนึ่งฤาษีตางัว เป็นประธานแก่ฤาษีทั้งหลาย จึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งหลายนี้จะ เอาอันใดให้แก่ พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤาษีทั้ง ๓ จึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า เราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้ฉะ นี้ฉลองพระองค์ จึงทำเป็นเมฆพัตร อุทุมพร เป็นมฤตย์พิศม์ อายุวัฒนะ พระฤาษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวใหญ่น้อย เป็นอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลาย สมณชีพราหมณาจารย์เจ้าไปถ้วน ๕๐๐๐ พรรษา

    พระฤาษีองค์หนึ่งจึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า ท่านจงไปเอาว่าน ทั้งหลายอันมีฤทธิ์ เอามาให้สัก ๑๐๐๐ เก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษ ที่มีกฤษณาเป็นอาทิให้ได้ ๑๐๐๐ ครั้นเสร็จแล้ว ฤาษีจึงป่าวร้องเทวดาทั้งปวง ให้ช่วยกันบดยา ทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่ง ทำเป็นเมฆพัตรสถานหนึ่ง ฤาษีทั้ง ๓ องค์นั้น จึงบังคับฤาษีทั้งปวงให้เอาว่านทำเป็นผง เป็นก้อน ประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวงให้ประสิทธิทุกอัน จึงให้ฤาษีทั้งนั้น เอาเกสรและว่านมาประสมกันดีเป็นพระให้ประสิทธิแล้ว ด้วยเนาวหรคุณประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่ง ถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้ว จึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิด ให้ระลึกถึงคุณพระฤาษีที่ทำไว้นั้นเถิด"

    ดังนี้แสดงว่า แต่กาลก่อนทางภาคพื้นประเทศไทยเราก็มีฤาษีอยู่มาก โดยเฉพาะ ฤาษีตาวัว กับ ฤาษีตาไฟ ติดปากคนมากกว่าฤาษีอื่นๆ และประวัติก็มีมากกว่า เท่าที่ทราบพอจะรวบรวมได้ดังต่อไปนี้

    ฤาษีตาวัว นั้นเดิมทีเป็นสงฆ์ตาบอดทั้งสองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำให้ปรอทแข็งได้ แต่ยังไม่ทันใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ก็เอาไปทำหล่นตกถาน (ส้วมของพระตามวัด) เสีย จะหยิบเอามาก็ไม่ได้ เพราะตามองไม่เห็น เก็บความเงียบไว้ ไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกศิษย์ไปถาน แลเห็นแสงเรืองๆ จมอยู่ใต้ถาน ก็กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟัง หลวงตาดีใจบอกให้ศิษย์พาไป เห็นแสงเรืองตรงไหนให้จับมือจุ่มลงไปตรงนั้น จะเลอะเทอะอย่างไรช่างมัน

    ศิษย์กลั้นใจทำตาม หลวงตาก็ควักเอาปรอทคืนมาได้ จัดแจงล้างน้ำให้สะอาดดีแล้วก็แช่ไว้ในโถน้ำผึ้งที่ท ่านฉัน ไม่เอาติดตัวไปไหนอีก เพราะกลัวจะหล่นหาย

    อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็มารำพึงถึงสังขาร ว่าเราจะมานั่งตาบอดอยู่ทำไม มีของดีของวิเศษอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะลองดู จึงให้ศิษย์ไปหาศพคนตายใหม่ๆ เพื่อจะควักเอาลูกตา แต่ลูกศิษย์หาศพใหม่ๆ ไม่ได้ ไปพบวัวนอนตายอยู่ตัวหนึ่ง เห็นเข้าที่ดีก็เลยควักลูกตาวัวมาแทน

    หลวงตาจึงเอาปรอทที่แช่น้ำผึ้งไว้มาคลึงที่ตา แล้วควักเอาตาเสียออก เอาตาวัวใส่แทน แล้วเอาปรอทคลึงตามหนังตา ไม่ช้าตาทั้งสองข้างก็กลับเห็นดีดังธรรมดา แล้วหลวงตาก็สึกจากพระ เข้าถือเพศเป็นฤาษี จึงได้เรียกกันว่าฤาษีตาวัว มาตั้งแต่นั้น

    ส่วน ฤาษีตาไฟ นั้นยังไม่พบต้นเรื่องว่า ทำไมจึงเรียกว่า ฤาษีตาไฟ ที่ตาของท่านจะแรงร้อนเป็นไฟ แบบตาที่สามของพระอิศวรกระมัง

    อย่างไรก็ตาม ฤาษีทั้งสองนี้เป็นเพื่อนเกลอกัน และได้สร้างกุฎีอยู่ใกล้กันบนเขาใกล้เมืองศรีเทพ ท่านออกจะรักและโปรดมาก มีอะไรก็บอกให้รู้ ไม่ปิดบัง

    วันหนึ่งฤาษีตาไฟได้เล่าให้ศิษย์คนนี้ฟังว่า น้ำในบ่อสองบ่อที่อยู่ใกล้กันนั้นมีฤทธิ์อำนาจไม่เหม ือนกัน น้ำในบ่อหนึ่ง เมื่อใครเอามาอาบก็จะตาย และถ้าเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดก็จะฟื้นขึ้นมาได้อีก

    ศิษย์ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ฤาษีตาไฟจึงบอกว่า จะทดลองให้ดูก็ได้ แต่ต้องให้สัญญาว่า ถ้าตนตายไปแล้ว ต้องเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดให้คืนชีวิตขึ้นใหม่ ศิษย์ก็รับคำ ฤาษีตาไฟจึงเอาน้ำในบ่อตายมาอาบ ฤาษีก็ตาย ฝ่ายศิษย์เห็นเช่นนั้นแทนที่จะทำตามสัญญา กลับวิ่งหนีเข้าเมืองไปเสีย

    กล่าวฝ่ายฤาษีตาวัว ซึ่งเคยไปมาหาสู่ฤาษีตาไฟอยู่เสมอ เมื่อเห็นฤาษีตาไฟหายไปผิดสังเกตเช่นนั้นก็ชักสงสัย จึงออกจากกุฎีมาตา ม เมื่อเดินผ่านบ่อน้ำตายเห็นน้ำในบ่อเดือด ก็รู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว เดินต่อไปอีกก็พบซากศพของฤาษีตาไฟ

    ฤาษีตาวัวจึงตักน้ำอีกบ่อหนึ่งมาราดรด ฤาษีตาไฟก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฤาษีตาวัวฟัง และว่าจะต้องแก้แค้นศิษย์ลูกเจ้าเมือง ตลอดจนประชาชนพลเมืองทั้งหมดอีกด้วย

    ฤาษีตาวัวก็ปลอบว่า อย่าให้มันรุนแรงถึงอย่างนั้นเลย ฤาษีตาไฟก็ไม่เชื่อฟังได้เนรมิตวัวขึ้นตัวหนึ่ง เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวจนเต็ม แล้วปล่อยวัวกายสิทธิ์ให้เดินขู่คำรามด้วยเสียงกึกก้ อง รอบเมืองทั้งกลางวันกลางคืน แต่เข้าเมืองไม่ได้ เพราะทหารรักษาประตูปิดประตูไว้

    พอถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สั่ง ให้เปิดประตูเมือง วัวกายสิทธิ์คอยทีอยู่แล้วก็วิ่งปราดเข้าเมือง ทันทีนั้นท้องวัวก็ระเบิดออก พิษร้ายก็กระจายพุ่งออกมาทำลาย ผู้คนพลเมืองตายหมด เมืองศรีเทพก็เลยร้างมาแต่ครั้งนั้น

    ถ้าว่าตามเรื่องที่เล่ามานี้ ฤาษีตาวัวก็ดูจะใจดีกว่าฤาษีตาไฟ และคงจะเป็นด้วยฤาษีตาวัวเป็นผู้ช่วยให้ฤาษีตาไฟฟื้น คืนชีพขึ้นมานี่เองกระมัง ทางฝ่ายแพทย์แผนโบราณจึงได้ถือเป็นครู ส่วนทางฝ่ายทหารออกจะยกย่องฤาษีตาไฟ ดังมีมนต์บทหนึ่งกล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า "ขอพระศรีสุทัศน์เข้ามาเป็นดวงใจ พระฤาษีตาไฟเข้ามาเป็นดวงตา" ดังนี้

    ส.พลายน้อย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ผมเพิ่งเข้ามาอ่านกระทู้นี้..และเพิ่งเห็นข่าวที่ คม..ชัด..ลึก นำมาลง เลยเกิดความสงสัยใคร่ถามผู้รู้หรือผู้ที่ติดตามข่าวนี้ว่า
    ท่านเป็นปู่ฤาษีตาไฟ จริงหรือเปล่า และประวัติความเป็นมาของท่านเป็นอย่างไรบ้างครับ หากใครมีข้อมูล..ขอความกรุณา
    นำมาถ่ายทอดให้ได้อ่านเป็นความรู้ด้วยนะครับ
     
  16. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    [​IMG] [​IMG]

    จ.นครราชสีมา นอกจากจะมีพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายรูปด้วยกัน เช่น หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ครูบากฤษณะ อินทรวัณโน แห่งสำนักสงฆ์มหาวัน ซึ่งมีลูกศิษย์ล้นหลามทั้งในและต่างประเทศที่ อ.ครบุรี แล้ว ยังมีฤาษีตนหนึ่ง ชื่อ ฤาษีตาไฟ อัคคะ ธรรมโม ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหาให้ความเคารพนับถือ อย่างล้นหลามเช่นกัน

    ปู่ฤาษีตาไฟ อัคคะ ธรรมโม อายุ ๘๑ ปี ได้ครองตนบวชเป็นฤาษีมาเป็นเวลากว่า ๔๐ ปี แล้ว มีวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาศัยอยู่ในถ้ำเป็นอาศรม ถือศีลกินเจ ดำรงชีวิตเหมือนฤาษีในตำนานและวรรณคดี ให้การช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก รักษาผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นโรคเกาต์ โรคเบาหวาน มือชา เท้าชา อัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดแข้ง ปวดขา โดยไม่เรียกร้องค่าใช้จ่ายใดๆ

    ปัจจุบันนี้หากท่านละสังขารไป คงเป็นเรื่องยากที่จะมีโอกาสเห็นฤาษีตัวจริง เพราะท่านได้บอกว่าฤาษีที่บวชมารุ่นเดียวกับท่านได้ละสังขารไปก่อนหมดแล้ว ส่วนที่เห็นปรากฏอยู่ตามสื่อนั้น เป็นฤาษีเฉพาะกิจ ฤาษีเพื่อการพาณิชย์ โดยท่านบอกว่า

    ฤาษีแท้ต้องยึดหลักพรหมวิหาร ๔ อย่างเคร่งครัด คือ เมตตา มุทิตา กรุณา อุเบกขา สร้างวัตถุมงคล หรือรักษาโรคต้องไม่มีการเรียกเงินทอง ใครจะให้หรือไม่ให้อยู่ที่ความศรัทธาเท่านั้น

    สำหรับประวัติของ ปู่ฤาษีตาไฟ อัคคะ ธรรมโม ท่านมีชื่อและนามสกุลจริง คือ นายหลง หัดกะโทก เกิดที่บ้านโคกกระชาย อ.ครบุรี ก่อนบวชเป็นฤาษีได้ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ทำไร่ ทำนา รับจ้าง จากนั้นเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ก็ถูกเกณฑ์เป็นทหาร สังกัดทหารเสนารักษ์ ทำให้มีความรู้เรื่องการรักษาโรคด้วยสมุนไพร เมื่อพ้นจากทหารก็เข้าอยู่ในชุมโจรของ "เสือหล้า" ออกปล้นชาวบ้านใน จ.นครราชสีมาและใกล้เคียง

    ปู่ฤาษีตาไฟ เล่าว่า ตอนที่ออกบวชนั้น มีอายุ ๔๐ ปี ได้เดินทางไปแสวงหาเหล็กไหลกับ อาจารย์ทองคำ สิริกูล อยู่หลายปี ถ้ำต่างๆ ในภาคอีสานไปมาหมดแล้ว จนกระทั่งไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ที่โล้นสามผาสามยอด เขาผาจันได ซึ่งอยู่ในเขตรอยต่อของ จ.เลย กับ จ.อุตรดิตถ์ ถ้ำแห่งนี้ร่ำลือกันว่ามีเหล็กไหล จึงเดินเข้าออกถ้ำนี้ถึง ๓ ครั้ง

    ระหว่างนั้นอาจารย์ทองคำ ถามว่า อยากบวชเป็นฤาษีหรือไม่ ด้วยความเบื่อหน่ายการใช้ชีวิต ขณะเดียวกันก็มีความอยากรู้ จึงตัดสินใจบวช

    การบวชนั้นได้ทำพิธีอัญเชิญวิญญาณฤาษีที่สิงสถิตอยู่ในถ้ำ จากนั้นฤาษีก็ปรากฏกายให้เห็น พร้อมกับถามว่า "เรียกเรามาปรากฏกายทำไม"

    จึงแจ้งความประสงค์ไปว่า "จะขอให้ช่วยทำพิธีบวชฤาษี" โดยใช้เวลาบวชประมาณ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที หลักจากบวชแล้วต้องอาศัยอยู่ในถ้ำ ๓ วัน ๓ คืน

    การปฏิบัติตนของฤาษี คือ ถือศีล ๘ ปฏิบัติอยู่ในมรรค ๘ และยึดหลักพรหมวิหาร ๔ อย่างเคร่งครัด โดยมี นายสาร บ้านเฉลียง เป็นโยมอุปัฏฐากมาตลอดจนกระทั่งเสียชีวิต

    ปู่ฤาษีตาไฟ กล่าวถึงพุทธคุณ ของวัตถุมงคลที่ทำแจกฟรี ซึ่งมีอยู่ ๒ ชนิด คือ ขุนแผน และ รูปเหมือนตนเองว่า เป็นผู้ที่กดพิมพ์เองทุกองค์ ต้องการให้ผู้ใช้เกิด ความเมตตามหานิยม และแคล้วคลาด โดยใช้ว่าน ๑๐๘ ชนิด เป็นมวลสาร ซึ่งได้จากลูกศิษย์ ส่วนจะมอบให้ใครนั้นขึ้นอยู่กับความพอใจ ส่วนตัว ถ้ามาตื๊อขอมากๆ ก็จะนั่งเฉย ไม่ให้ใครเลย นอกจากนี้ ตั้งแต่ถือบวชเป็นฤาษียังไม่เคยอนุญาตให้ลูกศิษย์คนใดสร้างวัตถุมงคล ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

    สำหรับอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้นั้น ปู่ฤาษีตาไฟ บอกว่ามีหลายท่าน ส่วนการถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์คนใดเพื่อสืบทอดวิชา ปู่ฤาษีตาไฟ ยืนยันว่า "ไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ใคร เพราะไม่มีใครยึดหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดได้ มีฤาษีบางตนแวะมาเยี่ยม ๒-๓ ครั้ง มาให้ครอบครูให้ จากนั้นก็ไปอ้างเป็น ลูกศิษย์ของตน ขออย่าไปเชื่อ ยิ่งไปประกอบพิธีแล้วเรียกเงิน ยิ่งเชื่อไม่ได้เลย"

    ปู่ฤาษีตาไฟ ยังพูดถึงจุดประสงค์ที่ลูกศิษย์เดินทางมาหาว่า ส่วนใหญ่มา ขอความช่วยเหลือทุกๆ ด้าน แต่ที่มากหน่อยก็จะมาขอให้ ลงนะหน้าทอง อาบน้ำมนต์ รวมทั้งขอเครื่องรางของขลัง เพื่อเพิ่มสิริมงคลให้กับตัวเอง สำหรับไปประกอบอาชีพค้าขาย ทั้งนี้จะไม่มีการเรียกเงินเลยสักบาทเดียว ขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนไม่น้อยมาขอเลขเด็ด แต่ไม่เคยให้ใครไปเลยสักครั้งเดียว เงินที่ได้นั้นเกิดจากความศรัทธาล้วนๆ และเงินที่ได้มาก็จะไปถวายวัดทำบุญ ทั้งทอดผ้าป่าและถวายกฐิน

    ทั้งนี้ผู้ถือบวชเป็นฤาษียังต้องทำบุญ รวมทั้งยังต้องนับถือพระเหมือนคนทั่วๆ ไปเช่นกัน ฤาษีไม่ใช่ผู้วิเศษมาจากไหน ยังต้องปฏิบัติธรรม บำเพ็ญเพียร เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลส ด้วยเหตุนี้เองปู่ฤาษีตาไฟได้บอกวิธีการสังเกตว่า มีใครอ้างตนเป็นฤาษีว่า

    "ฤาษีจริงหรือปลอมมีวิธีง่ายๆ คือ ฤาษีจริงต้องทำวัตถุมงคลแจกฟรี ไม่ทำวัตถุมงคลเพื่อพาณิชย์ ถ้าฤาษีตนใดทำของขาย เรียกเงินจากการประกอบพิธีกรรม ถือว่าไม่ใช่ฤาษี เป็นฤาษีเฉพาะกิจ ถือบวชเพื่อหาเงิน ซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่จำนวนมาก"

    เมื่อถามถึงชุดที่สวมใส่ซึ่งเป็น ผ้าลายเสือโคร่งนั้น ปู่ฤาษีตาไฟ บอกว่า ใส่ตามชุดที่ฤาษีในอดีต ส่วนชุดหนังเสือแท้ๆ นั้นไม่เคยใส่ เพราะไม่มีใครซื้อมาถวาย มีแต่ลูกศิษย์ซื้อมาให้เพื่อรองนั่งสำหรับปลุกเสกวัตถุมงคลเท่านั้น ส่วนวันไหว้ครูหรือครอบครู ให้ลูกศิษย์ จะจัดขึ้นทุกๆ ปี ในวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ปู่ฤาษีตาไฟ พูดถึงการสร้างวัตถุมงคลไว้อย่างน่าคิดว่า "แม้ว่าทุกคนจะมีพระอยู่ในใจ แต่บางช่วงเวลาเราอาจจะลืม เกจิอาจารย์ยุคโบราณจึงสร้างวัตถุมงคลที่เป็นรูปพระเพื่อกันลืมพระพุทธเจ้า ลืมครูบาอาจารย์ เมื่อใครศรัทธายึดมั่นถือมั่น ปาฏิหาริย์ก็ย่อมเกิดกับผู้นั้น"


    ที่มา http://www.komchadluek.net/column/pra/2005/01/11/03.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2005
  17. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    ขอบคุณครับ ที่นำข้อมูลและประวัติของปู่ฤาษีตาไฟมาให้อ่านกัน
     
  18. หนูมาลี

    หนูมาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2005
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,148
    เคยเจอแล้ว เจอบ่อยด้วย แต่ไม่ใช่ คนนะ

    เป็น ดวงจิต มาหาเรื่อยๆ ตอนจะมีเรื่อง
     
  19. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    หนูมาลี มีความเกี่ยวเนื่องอย่างไรกับท่านครับ ท่านจึงมาหาบ่อยๆ อย่างที่บอกมา
     
  20. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482

แชร์หน้านี้

Loading...