ปายาสิสูตร

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 16 มกราคม 2010.

  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    พระไตรปิฎกภาษาไทย
    มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    พระสุตตันตปิฎก
    ทีฆนิกาย มหาวรรค
    เรื่อง
    ปายาสิสูต


    ที่มาของชื่อ

    ปายาสิสูตร แปลว่า พระสูตรว่าด้วยเจ้าปายาสิ ชื่อนี้ตั้งตามชื่อบุคคลในเนื้อหาของพระสูตร


    ที่มาของพระสูตร

    พระสูตรนี้ ท่านพระกุมารกัสสปะแสดงแก่เจ้าปายาสิ ผู้ครองเมืองเสตัพยนคร ขณะแวะพักอยู่ที่ป่าม้สีเสียดทางทิศเหนือของเสตัพยนคร แคว้นโกศล เพื่อทำลายมิจฉาทิฏฐิ หรือความเห็นผิดของเจ้าปายาสิ


    รูปแบบของพระสูตร

    รูปแบบของปายาสิสูตรเป็นบรรยายโวหารแบบโต้วาทะ มีอุปมาอุปไมยประกอบ


    ใจความสำคัญของพระสูตร

    เจ้าปายาสิผู้ครอบเสตัพยนครจำนวนมากกำลังเดินออกจากเมืองเพื่อไปนมัสการท่านพระกุมารกัสสปะที่ป่าไม้สีเสียด เพราะมีกิตติศัพท์ว่าท่านเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม มีปัญญา เป็นพหูสูต พูดจาไพเราะ ปฏิภาณดี และเป็นพระอรหันต์ จึงเสด็จไปด้วยเพื่อจะได้โต้วาทะทำลายความเห็นที่ตรงกันข้ามกับพระองค์

    ครั้นเสด็จไปถึงที่พักของท่านพระกุมารกัสสปะ ทรงประกาศความเห็นที่เป็นนัตถิกวาทะขึ้นว่า พระองค์มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ (สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้น เช่นเทวดา) ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและกรรมที่ทำชั่วไม่มี

    พระเถระจึงใช้ปฏิภาณซักถามย้อนถามและตอบโต้ด้วยอุปมาอุปไมยเป็นจำนวนมาก จนสามารถทำลายความเห็นผิดของเจ้าปายาสิได้สำเร็จ เจ้าปายาสิทรงยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา

    การซักถามตอบโต้มีใจความสำคัญดังนี้

    ๑. อุปมาด้วยดวงจันทร์ดวงอาทิตย์

    พระเถระ : ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์มีในโลกนี้หรือโลกอื่น เป็นเทพหรือเป็นมนุษย์

    เจ้าปายาสิ : มีในโลกอื่น ไม่ใช่โลกนี้ เป็นเทพ ไม่ใช่มนุษย์

    พระเถระ : แสดงว่า โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากของกรรมที่ทำดีและกรรมที่ทำชั่วมี

    เจ้าปายาสิ : ไม่มี เพราะเคยสั่งให้ญาติมิตรผู้ทำกรรมชั่วที่กำลังจะตายว่า ถ้าไ้ด้ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต หรือนรกจริง ตามที่สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวไว้ ขอให้กลับมาบอกด้วย และญาติมิตรเหล่านั้นมิได้กลับมาบอกเลย นี้แสดงว่าโลกอื่นไม่มี

    ๒. อุปมาด้วยโจร

    พระเถระ: โจรที่ทำความผิด ครั้นถูกจับได้และถูกตัดสินใ้ห้ประหารชีวิต เขาขอร้องให้เพชฌาตปล่อยตัวเขาไปก่อน เมื่อบอกลาญาติมิตรแล้วจะกลับมาให้ประหารชีวิต เพชฌาตจะผ่อนผันให้โจรตามคำขอร้องหรือไม่

    เจ้าปายาสิ : ไม่ควรผ่อนผัน ต้องตัดศีรษะโจรนั้นขณะขอผ่อนผันนั่นเอง

    พระเถระ : โจรซึ่งเป็นมนุษย์ยังไม่ได้รับการผ่อนผันจากเพชฌาตซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น นายนิรยบาลจะผ่อนผันให้ญาติมิตรของพระองค์กลับมาบอกลาก่อนหรือ นี้ก็แสดงว่าโลกอื่นมี...

    เจ้าปายาสิ : ถึงกระนั้น โยมก็ยังเห็นว่า โลกอื่นไม่มี เพราะเคยสั่งให้ญาิติมิตรผู้ทำกรรมดี ที่กำลังจะตายว่า ถ้าได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์จริงตามที่สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวไว้ ก็ขอให้กลับมาบอกบ้าง แต่ไม่มีผู้ใดกลับมาบอกเลย นี้แสดงว่า โลกอื่นไม่มี...

    ๓. อุปมาด้วยบุรุษในหลุมอุจจาระ

    พระเถระ : บุรุษที่ตกลงไปในหลุมอุจจาระจนมิดศีรษะ เมื่อได้รับการช่วยเหลือให้ขึ้นมาได้ และได้รับการชำระล้างให้สะอาด ชะโลมด้วยน้ำมัน ลูบไล้ด้วยแป้ง ถึง ๓ ครั้ง โกนผมและหนวด สวมพวงมาลัยอย่างดี ให้นุ่งห่มผ้าราคาแพง ให้อยู่ในปราสาทบำรุงบำเรอด้วยกามคุณ ๕ บุรุษนั้นยังต้องการจะกลับไปดำลงในหลุมอุจจาระอีกหรือไม่

    เจ้าปายาสิ : ไม่แน่นอน เพราะหลุมอุจจาระไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น น่ารังเกียจ น่าเกลียด

    พระเถระ : ผู้ไปเกิดเป็นเทพ ย่อมรู้สึกว่าโลกมนุษย์ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจ น่าเกลียด เช่นเดียวกัน นี้แสดงว่าโลกอื่นมี...

    เจ้าปายาิสิ : ถึงกระนั้น โยมก็ยังเห็นว่าโลกอื่นไม่มี... เพราะเคยสั่งให้ญาติร่วมสายโลหิตผู้รักษาศีล ๕ ที่กำลังจะตายว่า ถ้าได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จริง ตามที่สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวไว้ ขอให้กลับมาบอกหรือส่งข่าวให้ทราบบ้าง แต่เขาไม่กลับมาบอกหรือส่งข่าวให้ทราบเลยน นี้แสดงว่าโลกอื่นไม่มี...

    ๔. อุปมาด้วยเทพชั้นดาวดึงส์

    พระเถระ : ขอให้นึกเทียบปีของมนุษย์กับปีของเทพชั้นดาวดึงส์ ว่าต่างกันอย่างไร คือ ๑๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับ ๑ ราตรี (๑ วัน ๑ คืน) ของเทพชั้นดาวดึงส์ ๓๐ ราตรีทิพย์นั้นเป็น ๑ เดือนทิพย์ ๑๒ เดือนทิพย์ เป็น ๑ ปีทิพย์ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์เป็นอายุขัยของพวกเทพชั้นดาวดึงส์ โดยนัยนี้ ถ้าญาติร่วมสายโลกหิตของพระองค์คิดว่า "ขอให้เราเอิบอิ่มพรั่งพร้อมไ้ด้รับการบำรุงบำเรอด้วยกามคุณ ๕ ที่เป็นทิพย์สัก ๒-๓ วันก่อน จึงค่อยไปทูลเจ้าปายาสิว่า โลกอื่นมีจริง ..." เขาจะกลับมาพบพระองค์หรือ

    เจ้าปายาสิ : คงไม่พบ เพราะโยมคงตายไปแล้ แต่โยมไม่เชื่อว่า เทพชั้นตาวดึงส์ มีอายุยืนเช่นนี้

    ๕. อุปมาด้วยคนตาบอดแต่กำเนิด

    พระเถระ: คนตาบอดแต่กำเนิดไม่อาจเห็นรูปสีดำและรูปสีแดง เป็นต้น ไม่อาจเห็นรูปที่เรียบและรูปที่ขรุขระ ไม่อาจเห็นดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ถ้าเขาพูดว่ารูปนั้นๆ ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ไม่มี คนที่เห็นรูปนั้นๆ ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ก็ไม่มี ผู้พูดเช่นนี้ชื่อว่า พูดถูกต้องหรือไม่

    เจ้าปายาสิ : ไม่ถูกต้องแน่นอน เพราะรูปนั้นๆ มีดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์มีคนที่เห็นสิ่งเหล่านี้ก็มี

    พระเถระ : พระองค์ก็เป็นเช่นคนตาบอดแต่กำเนิดนั่นแหละ เพราะโลกอื่นมิใช่จะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ผู้มีตาทิพย์เท่านั้นจึงเห็นได้

    เจ้าปายาสิ : ถึงกระนั้น โยมก็ยังเห็นว่าโลกอื่นไม่มี... เพราะเห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมอยากมีชีวิต ไม่อยากตาย ทั้งๆ ที่รักความสุข เกลียดความทุกข์ โยมจึงคิดว่า ถ้าสมณพราหมณ์พวกนี้รู้ว่า เมื่อตายไปแล้ว คุณความดีจะปรากฏพวกเขาคงฆ่าตัวตายเพื่อให้ได้คุณความดีนั้นแน่นอน นี้แสดงว่าโลกอื่นไม่มี


    ๖. อุปมาด้วยสตรีมีครรภ์

    พระเถระ : เรื่องเคยมีมาว่า พราหมณ์คนหนึ่งมีภริยา ๒ คน คนที่ ๑ มีลูกชายอายุได้ ๑๐-๑๒ ปี คนที่ ๒ กำลังมีครรภ์แก่ เมื่อพราหมณ์นั้นถึงแก่กรรม ลูกชายของพราหมณ์ถือกรรมสิทธิ์เข้าครอบครองทรัพย์มรดกทั้งหมดของบิดา ภริยาคนที่ ๒ ขอให้ลูกเลี้ยงรอไปก่อนจนกว่านางจะคลอดลูก เพราะ้ถ้าเด็กในครรภ์เป็นชายจะได้ส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกครึ่งหนึ่ง แต่ลูกเลี้ยงไม่ยอมรอ นางจึงผ่าท้องเพื่อดูว่าเด็กในครรภ์เป็นชายหรือหญิง ในที่สุดนางต้องสูญเสียทั้งชีวิตตัวเอง ชีวิตลูกและทรัพย์สมบัติ เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาในการแสวงหาทรัพย์ สมณพราหมณ์ผู้ฉลาด เป็นบัณฑิต จึงไม่ยอมฆ่าตัวตายเพื่อหวังคุณความดีในโลกอื่น แต่อยากมีชีวิตอยู่เพื่อทำำประโยชน์แก่คนหมู่มาก ก็ได้บุญมาก นี้แสดงว่าโลกอื่นมี...

    เจ้าปายาสิ : ถึงกระนั้น โยมก็ยังเห็นว่า โลกอื่นไม่มี... เพราะเคยสั่งราชบุรุษให้จับโจรผู้ทำความผิดมาใส่ลงในหม้อแล้ให้ปิดฝาหม้อ รัดด้วยหนังสด พอกด้วยดินเหนียวจนหนา เสร็จแล้วให้ยกขึ้นตั้งบนเตาติดไฟเผา เพื่อจะดูชีวะ ( วิญญาณ) ของโจร เมื่อคะเนว่า โจรนั้นตายแล้ว จึงสั่งให้ยกหม้อลงมาเปิดดู ปรากฎว่าไม่พบชีวะของโจรนั้นเลย นี้แสดงว่าโลกอื่นไม่มี...


    ๗. อุปมาด้วยคนหลับฝัน

    พระเถระ: เมื่อพระองค์บรรทมหลับกลางวันและทรงสุบินเห็นสิ่งต่างๆ เช่นเห็นสวนอันรื่นรมย์คนที่เฝ้าปรนนิับัติพระองค์อยู่ได้เห็นชีวะของพระองค์เข้า - ออก จากพระกายของพระองค์หรือไม่

    เจ้าปายาสิ : ไม่เห็น

    พระเถระ : พระองค์ยังมีพระชนม์อยู่แท้ๆ คนที่เฝ้าปรนนิบัติพระองค์ยังมองไม่เห็นชีวะของพระองค์ที่เข้า - ออกได้เลย ไฉนพระองค์จะทรงเห็นชีวะของคนตายได้เล่า นี้แสดงว่าโลกอื่นมี....

    เจ้าปายาสิ : ถึงกระนั้น โยมก็ยังเห็นว่า โลกอื่นไม่มี... เพราะเคยสั่งราชบุรุษให้นำโจรผู้ทำความผิดมาชั่งน้ำหนักก่อนแล้วใช้เชือกรัดจนตาย แล้วให้ชั่งอีกครั้ง ปรากฏว่าน้ำหนักก่อนตายเบากว่าน้ำหนักหลังตาย ร่างกายก่อนตายอ่อนนุ่มปรับตัวได้ง่าย แต่ร่างกายหลังตายหนักกว่า แข็งกระด้าง ปรับตัวได้ยากกว่า นี้แสดงว่าโลกอืนไม่มี...

    อ่านต่อ ๘ อุปมาด้วยก้อนเหล็กร้อน

     
  2. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ๘. อุปมาด้วยก้อนเหล็กร้อน

    พระเถระ : ก้อนเหล็กเดียวกัน เมื่อชั่งขณะที่เผามีไฟลุกโพลง กับชั่งขณะเย็นสนิท ขณะไหนจะมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนกว่า และปรับตัวได้ง่ายกว่า

    เจ้าปายาสิ : ก้อนเหล็กขณะมีไฟมีลมติดไฟลุกโพลงอยู่จะมีน้ำหนักเบากว่าอ่อนกว่า และปรับตัวได้ง่ายกว่า

    พระเถระ : ร่างกายก็เหมือนกัน ขณะยังมีชีิวิตมีไออุ่นและมีวิญญาณ จะมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนนุ่มกว่าและปรับตัวได้ง่ายกว่า พระดำรัสของพระองค์แสดงว่าโลกอื่นมี..

    เจ้าปายาสิ : ถึงกระนั้น โยมก็ยังเห็นว่า โลกอื่นไม่มี... เพราะเคยสั่งราชบุรุษให้จับโจรผู้ทำความผิดมาลงโทษประหารชีวิต โดยมิให้ผิวหนัง เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกได้รับการกระทบกระเทือน และเมื่อโจรนั้นใกล้ตาย ให้จับโจรให้นอนหงายบ้าง ให้นอนคว่ำบ้าง ให้นอนตะแคงบ้าง จับพยุงให้นั่งบ้าง กดศีรษะลงบ้าง ใช้ฝ่ามือทุบบ้าง ใช้สิ่งอื่นๆ ทุบบ้าง ลากไปมาบ้าง เพื่อให้เห็นชีวะของโจรนั้น ก็ไม่เห็นเลยทั้งๆ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็มีอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่รับรู้อะไรเลย นี้แสดงว่า โลกอื่นไม่มี....

    ๙. อุปมาด้วยการเป่าสังข์

    พระเถระ : คนเป่าสังข์คนหนึ่งนำสังข์ไปหมู่บ้านแถวปัจจันตชนบท (บ้านนอก) ยืนเป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง แล้ววางสังข์ลงบนพื้นดิน ชาวบ้านได้ยินเสียงสังข์แก้แตกตื่นมามุงดู ถามคนเป่าสังข์ว่า เสียงอะไรไพเราะดี คนเป่าสังข์บอกว่า "เสียงสังข์" แล้วชี้ไปที่สังข์ พวกเขาหยิบสังข์ให้หงายขึ้นแล้วพูดว่า "พูดสิพ่อสังข์" เมื่อสังข์ไม่ส่งเสียงก็จับให้คว่ำหน้าลง จับให้ตะแคงขวา ตะแคงซ้าย ยกให้สูงขึ้น วางให้ต่ำลง ใช้ฝ่ามือเคาะ ใช้สิ่งอื่นเคาะ ลากไปมา พร้อมกับสั่งให้สังข์ส่งเสียง สังข์ก็ไม่ส่งเสียง คนเป่าสังข์คิดว่าชาวบ้านปัจจันตชนบทนี้โง่จริง จึงจับสังข์ขึ้นเป่า ๓ ครั้ง และถือสังข์เดินจากไป ชาวปัจจันตชนบทจึงพูดกันว่า สังข์นี้เมื่อมีคนมีความพยายามและมีลมจึงส่งเสียง ถ้าไม่มีคนไม่มีความพยายาม ไม่มีลม ก็ไม่ส่งเสียง ข้อนี้ฉันใด ร่างกายคนก็ฉันนั้น เมื่อมีชีวิต มีไออุ่นและมีวิญญาณ จึงเคลื่อนไหวได้ รับรู้สิ่งต่างๆ ได้ ถ้าไม่มีชีวิตไม่มีไออุ่น ไม่มีวิญญาณก็เคลื่อนไหวไม่ได้ รับรู้อะไรไม่ได้ ถึงจะมีตา หู จมูก ลิ้น กายเหมือนกัน นี้แสดงว่าโลกอื่นมี....

    เจ้าปายาสิ : ถึงกระนั้น โยมก็ยังเห็นว่า โลกอื่นไม่มี... เพราะเคยสั่งราชบุรุษให้จับโจรผู้กระทำความผิดมาลงโทษประหารชีวิต โดยเชือดหนังเพื่อหาชีวะของเขาก็ไม่เห็น จึงให้เถือหนัง ให้แล่เนื้อ ให้ตัดเอ็น ให้ตัดกระดูก ให้ตัดเยื่อในกระดูก ก็หาพบชีวะของเขาไม่ นี้แสดงว่าโลกอื่นไม่มี...

    ๑๐. อุปมาด้วยชฏิลบูชาไฟ

    พระเถระ : ชฏิลบูชาไฟคนหนึ่งก่อนจะจากอาศรมไปทำธุระข้างนอกได้สั่งเด็กที่นำมาเลี้ยงไว้จนมีอายุ ๑๐-๑๒ ปีว่า "จงบูชาไฟ อย่าให้ไฟดับ ถ้าไฟดับ นี้มีด นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าจงก่อบูชาไฟ" เมื่อชฏิลไปได้ไม่นาน ไฟได้ดับลง เพราะเด็กมัวแต่เล่นเพลินอยู่ เมื่อนึกได้จึงเข้ามาดู เห็นไฟดับก็จัดการตามชฏิลสั่ง คือนำไม้สีไฟมาถาก ก็ไม่ได้ไฟ จึงผ่าไม้เป็น ๒ ซีก ๔ ซีก จนถึง ๒๐ ซีก ก็ไม่ได้ไฟ จากนั้นจึงสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปโขลกในครก จนเป็นผงแล้วโปรยในที่มีลมแรง คิดว่าจะได้ไฟ ก็ไม่ได้้อีก พอดีชฎิลกลับมา เมื่อทราบเืรื่องจึงคิดว่า เด็กคนนี้โง่จริง หาไฟไม่ถูกวิธี จึงไม่ได้ไฟ แล้วแสดงวิธีหาไฟที่ถูกวิธีให้ดู ข้อนี้ฉันใด พระองค์ก็ทรงหาโลกอื่นไม่ถูกวิธีฉันนั้น ขอให้สละทิฏฐิชั่ว นั้นเสียเถิด

    เจ้าปายาสิ : โยมสละไม่ได้ เพราะใครๆ ก็รู้จักโยมว่ามีวาทะอย่างนี้ ทิฏฐิอย่างนี้

    พระเถระจึงนำอุปมามาเปรียบเทียบอีก ๔ อุปมาเพื่อให้เจ้าปายาสิทรงสละทิฏฐิชั่ว คือ
    ๑. อุปมาด้วยนายกองเกวียน ๒ คน
    ๒. อุปมาด้วยคนทูนห่ออุจจาระ
    ๓. อุปมาด้วยนักเลงสกา
    ๔. อุปมาด้วยคนหอบเปลือกป่าน
    ในที่สุด เจ้าปายาสิทรงรับสารภาพว่า พระองค์ทรงพอพระทัยตั้งแต่อุปมาข้อแรกแล้ว แต่ทรงประสงค์จะฟังปฏิภาณของท่านพระกุมารกัสสปะต่อไป จึงทำเป็นไม่พอพระทัย แล้วได้ทรงแสดงตนเป็นพุทธมามกะขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

    นอกจากนี้ยังทรงขอให้ท่านพระกุมารกัสสปะอธิบายวิธีทำยัญวิธีเพื่อประโยชน์สุขแก่พระองค์ตลอดกาลนาน

    พระเถระได้ถวายคำแนะนำวิธีบูชายัญตามแบบพุทธว่า ยํที่ไม่ต้องฆ่าสัตว์ไม่ต้องทำให้สัตว์เดือดร้อนและผู้รับยัญต้องดำเนินชีวิตตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นยัญที่มีผลมาก เหมือนชาวนาหว่านเมล็ดพันธุ์พืชที่ดีมีลักษณะสสมบูรณ์ลงในนาที่ดีก็ย่อมมีผลมาก

    เจ้าปายาสิทรงเลื่อมใสน้อมนำไปปฏิบัติคือทรงเริ่มให้ทานโดยแต่งตั้งให้อุตตรมาณพเป็นผู้จัดการ เมื่อสิ้นชีพิตักษัย ก็ไปเกิดในวิมานว่างชื่อเสรีสกวิมานในชั้นจาตุมหาราช เพราะทรงให้ทานโดยไม่เคารพ คือมิได้ให้ด้วยตนเอง ส่วนอุตตรมาณพซึ่งทำหน้าที่จัดการถวายทานตามหน้าที่ด้วย ให้ทานด้วยของตัวเองด้วย ตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    เมื่อท่านพระควัมปติไปเยี่ยมที่เสรีสกวิมาน ปายาสิเทพบุตรได้ขอให้พระเถระเทศน์สอนพุทธบริษัทให้ทำทานด้วยความเคารพ อย่าทำเหมือนเจ้าปายาสิ

    ข้อสังเกต

    ในพระสูตรนี้ มีข้อที่น่าสังเกตหลายประการ ขอเสนอเพื่อพิจารณาประดับสติปัญญาเพียงบางประการ ดังนี้

    ๑. คำว่า เจ้าปายาสิ แปลจากคำบาลีว่า ปายาสิ ราชญฺโญ ที่ไม่แปลว่าพระเจ้าปายาสิ เพราะเป็นเพียงเจ้าผู้ครองนคร คือเสตัพยนคร ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมอบให้ครอบครองมิได้รับมูรธาภิเษกเป็นพระราชา (อนภิสิตฺตราชา - ที.ม. อ.๔๐๖/๔๒๔) เสพตัพนครก็ยังขึ้นกับแคว้นโกศล

    ๒. เหตุการณ์ที่ปรากฎในปายาสิสูตรนั้น ท่านพระธรรมปาละผู้รจนาคัมภีร์อรรถกถาวิมานวัตถุ บันทึกไว้ว่า เกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพานประมาณ ๕ ปี เป็นอย่างน้อย คือหลังจากได้มีการสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว (Pali Text society, Dialogues of the Buddha II, 1989.P.347X

    ๓. ข้อความในพระสูตรนี้มีความสัมพันธ์กับเสรีสกวิมาน ในวิมานวัตถุ (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖) ซึ่งท่านพระธรรมปาละบันทึกไว้ในคัมภีร์อรรถกถาของท่าน (ขุ.วิ.อ.๑๒๘๑/๔๑๓) ว่าพระธรรมสังคาหกาจารย์ได้ยกเสรีสกวิมานขึ้นสู่การพิจารณาในการสังคายนาครั้งที่ ๒ ณ กรุงเวสาลี โดยมีท่านพระยสกากัณฑกบุตรเป็นประธาน มีพระอรหันต์เข้าประชุมจำนวน ๗๐๐ รูป มีพระเจ้ากาลาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภกแม้ไม่ได้ระบุไว้ว่า พระธรรมสังคาหกาจารย์ได้นำพระสูตรนี้ขึ้นสู่การสังคายนาครั้งนั้นก็อนุมานได้ว่า ได้นำพระสูตรนี้ขึ้นสู่การสังคายนาครั้งนั้นแน่นอน เพราะท่านกล่าวถึงพระสูตรนี้ไว้ในตอนต้นด้วย

    ๔. เนื้อความสำคัญของพระสูตรนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับมิจฉาทิฏฐิของเจ้าปายาสิผู้นับถือลัทธินัตถิกวาทะว่า ไม่มีโลกอื่นหรือโลกหน้า ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด คือคนเราเกิดหนเดียว ตายแล้วสูญ ไม่มีผลบุญผลกรรมที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ไปเกิดในชาติหน้าภพหน้า ฉะนั้นจึงถือว่าการให้ทานหรือยัญทั้งหลายไม่มีผลใดๆ ทั้งหมด นี้ตรงกับทรรศนะทางวัตถุนิยม (materialism) ของปรัชญาตะวันตกและตรงกับปรัชญาจารวากของอินเดียว ท่านพระกุมารกัสสปะสามารถถอนมิจฉาทิฏฐินี้ได้ ทำให้เจ้าปายาสิตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ทรงบริจาคทานตามขั้นตอน คือ จากของเลวจนถึงของดี แต่เพราะมิได้บริจาคด้วยพระองค์เอง จึงส่งผลให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นต่ำสุด คือชั้นจาตุมหาราช เป็นบริวารของท้าวเวสวัณ (ดูเสรีสกวิมานประกอบว่าท่านมีหน้าที่อย่างไร)

    ๕. ความเด่นของพระสูตรนี้อยู่ที่ วาทศิลป์ หรือ ปฏิภาณ ของท่านพระกุมารกัสสปะ คือท่านใช้ปฏิภาณอันเฉียบแหลมฉับไว ยกอุปมาโวหารมาหักล้างวาทะของเจ้าปายาสิ จนยอมจำนนหมดปัญญาโต้ตอบ

    มีผู้สันนิษฐานไว้ว่า พระสูตรนี้เป็นต้นฉบับของ คัมภีร์มิลินทปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องถาม - ตอบระหว่างพระยามิลินทร์กับพระนาคเสน พระยามิลินทร์มีเชื้อสายมาจากกรีก จึงมีหลักปรัชญากรีกที่เป็นวัตถุนิยมแบบเดียวกับเจ้าปายาสิ ท่านพระนาคเสนก็สามารถหักล้างได้เช่นเดียวกับท่านพระกุมารกัสสปะ โปรดอ่านเปรียบเทียบดูแล้วจะทราบว่าข้อสันนิษฐานนี้ถูกหรือไม่




     
  3. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ว่าด้วยเจ้าปายาสิ

    [๔๐๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

    สมัยหนึ่ง ท่านกุมารกัสสปะกำลังจาริกอยู่ในแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ถึงเมืองเสตัพยะของชาวโกศล พักอยู่ ณ ป่าไม้สีเสียดทางทิศเหนือเมืองเสตัพยะ สมัยนั้น เจ้าปายาสิปกครองเมืองเสตัพยะ ซึ่งมีประชากรและสัตว์เลี้ยงมากมาย มีพืชพันธ์ธัญญาหาร และน้ำ หญ้าอุดมสมบูรณ์ มีพระราชทรัพย์ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นพรหมไทย
    พรหมไทย ในที่นี้หมายถึงการให้อันประเสริฐ คือ สิ่งที่พระราชทานแล้ว จัไม่ยึดกลับคืนมาอีก

    เรื่องเจ้าปายาสิ

    [๔๐๗] สมัยนั้น เจ้าปายาสิมีความเห็นชั่วเช่นนี้เกิดขึ้นว่า
    "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"
    (โอปปาติกสัตว์ หมายถึงสัตว์ที่เกิดและเติบโตเต็มที่ทันที และเมื่อจุติ (ตาย) ก็หายวับไปไม่ทิ้งซากศพไว้ เช่น เทวดาและสัตว์นรก)
    พราหมณ์และคหบดีชาวเมืองเสตัพยะได้ฟังข่าวว่า "ท่านสมณกุมารกัสสปะ ผู้เป็นสาวกของพระสมณโคดมกำลังจาริกอยู่ในแคว้นโกศลพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ถึงเมืองเสตัพยะโดยลำดับ กำลังพักอยู่ ณ ป่าไม้สีเสียดทางทิศเหนือเมืองเสตัพยะ ท่านสมณกุมารกัสสปะนั้น มีชื่อเสียงดีงามขจรไปอย่างนี้ว่า "เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม มีปัญญา เป็นพหูสูต กล่าวถ้อยคำไพเราะ ปฏิภาณดี เป็นผู้เจริญและเป็นพระอรหันต์ การได้เห็นพระอรหันต์เช่นนั้นเป็นการดีแท้" จากนั้น พราหมณ์และคหบดีชาวเมืองเสตัพยะออกจากเมืองเสตัพยะ เดินรวมกันเป็นหมุ่เป็นคณะมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือสู่ป่าไม้สีเสียด

    [๔๐๘] ขณะนั้น เจ้าปายาสิทรงพักผ่อนกลางวันอยู่ ณ ปราสาทชั้นบนทรงเห็นพราหมณ์และคหบดีชาวเมืองเสตัพยะ ซึ่งออกจากเมืองเสตัพยะเดินรวมกันเป็นหมู่เป็นคณะมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือสู่ป่าไม้้สีเสยด จึงทรงเรียกมหาดเล็กมาตรัสถามว่า "มหาดเล็ก เหตุใด พราหมณ์และคหบดีชาวเมืองเสตัพยะจึงออกจากเมืองเสตัพยะเดินรวมกันเป็นหมู่เป็นคณะมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือสู่ป่าไม้สีเสียด"

    มหาดเล็กทูลตอบว่า "ฝ่าพระบาท ท่านสมณกุมารกัสสปะ ผู้เป็นสาวกของพระสมณโคดมกำลังจาริกอยู่ในแคว้นโกศลพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ถึงเมืองเสตัพยะโดยลำดับ พักอยู่ ณ ป่าไม้สีเสียดทางทิเศเหนือเมืองเสตัพยะ ท่านสมณกุมารกัสสปะนั้น มีชื่อเสียงดีงามขจรไปอย่างนี้ว่า "เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม มีปัญญา เป็นพหูสูต กล่าวถ้อยคำไพเราะ ปฏิภาณดี เป็นผู้เจริญและเป็นพระอรหันต์ พราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นจักเข้าไปหาท่านสมณกุมารกัสสปะรูปนั้น"

    เจ้าปายาสิรับสั่งว่า "มหาดเล็ก ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเข้าไปหาพราหมณ์และคหบดีชาวเมืองเสตัพยะถึงที่อยู่ บอกกับพราหมณ์และคหบดีชาวเืมืองเสตัพยะอย่างนี้ว่า "ท่านทั้งหลาย เจ้าปายาสิรับสั่งว่า "ให้พวกท่านรอ เจ้าปายาสิจะเสด็จไปหาท่านสมณกุมารกัสสปะด้วย" ครั้งก่อน ท่านสมณกุมารกัสสปะชี้แจงให้พราหมณ์และคหบดีชาวเืมืองเสตัพยะผู้โง่ ไม่ฉลาดได้รู้ว่า แม้เพราะเหตุนี้้ โลกอื่นมีโอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี มหาดเล็ก แท้จริง โลกอื่นไม่มี โอปปาติกะสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ดีดีและทำชั่วไม่มี"

    มหาดเล็ดทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว เข้าไปหาพราหมณ์และคหบดีชาวเมืองเสตัพยะถึงที่อยู่ ได้กล่าวกับพราหมณ์และคหบดีชาวเมืองเสตัพยะ ดังนี้ว่า
    "ท่านทั้งหลาย เจ้าปายาสิรับสสั่งว่า ให้พวกท่านรอ เจ้าปายาสิจะเสด็จเข้าไปหาท่านสมณกุมารกัสสปะด้วย"

    [๔๐๙] ลำดับนั้น เจ้าปายาสิแวดล้อมด้วยพราหมณ์และคหบดีชาวเมืองเสตัพยะ เสด็จเข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะถึงที่อยู่ ณ ป่าไม้สีเสียด ได้ทรงสนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควร ฝ่ายพราหมณ์และคหบดีชาวเมืองเสตัพยะ บางพวกกราบท่านพระกุมารกัสสปะแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร บางพวกสนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระถึงถึงกันกับท่านพระกุมารกัสสปะแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกประนมมือไปทางที่ท่านพระกุมารกุสสปะอยู่แล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกประกาศชื่อและตระกูลแล้วนั่ง ณ ที่สมควร บางพวกนั่งนิ่งเฉย ณ ที่สมควร

    นัตถิวาทะ

    ความเห็นว่าไม่มี

    [๔๑๐] ลำดับนั้น เจ้าปายาสิครั้นประทับอยู่ ณ ที่สมควรแล้วจึงตรัสกับท่านพระกุมารกัสสปะดังนี้ว่า "ท่านกัสสปะ โยมมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"

    ท่านพระกุมารกัสสปะถวายพระพรว่า "บพิตร อาตมภาพ ไม่เคยเห็น หรือได้ยินบุคคลผู้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ ทำไมพระองค์จึงตรัสอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"

    อุปมาด้วยดวงจันทร์และดวงอาทิตย์

    [๔๑๑] บพิตร ถ้าอย่างนั้น อาตมภาพขอถวายพระพรถามพระองค์ในเรื่องนี้ โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย พระองค์เข้าพระทัยเรื่องนั้นว่าอย่างไร คือ "ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มีในโลกนี้หรือโลกอื่น เป็นเทพหรือเป็นมนุษย์"

    "ท่านกัสสปะ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มีในโลกอื่น มิใช่มีในโลกนี้ เป็นเทพมิใช่เป็นมนุษย์"
    " บพิตร ด้วยเหตุแห่งพระดำรัสของพระองค์นี้แล จึงแสดงอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี"


    [๔๑๒] "ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมก็ยังคงเชื่อในเรื่องนี้อยู่ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"

    "บพิตร เหตุที่ทำให้พระองค์ทรงเข้าพระทัยอย่างนี้ว่า "แ้ม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ"

    "ท่านกัสสปะ เหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" มีอยู่"

    "บพิตร อุปมาด้วยอะไร"

    ท่านกัสสปะ มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของโยมในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตพยาบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิด) ต่อมาพวกเขาป่วย ได้รับทุกขเวทนา เป็นไข้หนัก เมื่อโยมรู้ว่า "เวลานี้พวกเขยังไม่หายป่วย" จึงเข้าไปเยี่ยมแล้วสั่งอย่างนี้ว่า "ท่านทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ไบุคคลผู้ฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของเขาไม่ได้ให้ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา มีจิตพยาบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิ หลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต (หรือ) นรก " พวกท่านเป็นผุ้ฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา มีจิตพยาบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าหากคำของสมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นจริง พวกท่านหลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต (หรือ)นรกจริง ก็ขอให้กลับมาบอกเราบ้างว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมีโอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี" พวกท่านเท่านั้นพอเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของเรา สิ่งที่พวกท่านเห็นก็เช่นเดียวกับสิ่งที่เราเห็นเอง" คนเหล่าน้นรับคำของโยมแล้ว แต่ไม่กลับมาบอก ไม่ส่งข่าวมาบอก ท่านกัสสปะ นี้แลเป็นเหตุทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"
     
  4. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยโจร


    [๔๑๓] "บพิตร ถ้าอย่างนั้นอาตมภาพขอถวายพระพรถามพระองค์ในเรื่องนี้ โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย พระองค์เข้าพระทัยเรื่องนั้นว่าอย่างไร พวกราชบุรุษของพระองค์ในโลกนี้จับโจรผู้่ก่อกรรมชั่วมาแสดงแก่พระองค์ว่า ฝ่าพระบาท นี้เป็นโจรผู้ก่อกรรมชั่วต่อพระองค์ พระองค์โปรดลงพระอาชญาแก่โจรนี้ตามพระประสงค์เถิด" ถ้าพระองค์จะพึงรับสั่งอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงใช้เชือกเหนียวมัดบุรุษนี้ เอาแขนไพล่หลังอย่างแน่นหนาแล้วโกนศีรษะ นำตระเวณจากถนนหนึ่งไปสู่ถนนหนึ่ง จากสี่แยกหนึ่งไปสู่สี่แยกหนึ่ง พร้อมกับแกว่งบัณเฑาะ์ว์เสียดัง น่ากลัวนำออกทางประตูด้านทิศใต้ตัดศีรษะที่ตะแลงแกงทางทิศใต้แห่งเมือง ราชบุรุษทูลรับสนองพระดรัสแล้วใช้เชือกเหนียวมัดบุรุษนั้นเอาแขนไพล่หลังอย่างแน่นหนาแล้วโกนศีรษะนำตระเวณจากถนนหนึ่งไปสู่ถนนหนึ่ง จากสี่แยกหนึ่งไปสู่สี่แยกหนึ่ง พร้อมกับแกว่งบัณเฑาะว์เสียงดังน่ากลัว นำออกไปทางประตูด้านทิศใต้แล้วให้นั่งที่ตะแลงแกงทางทิศใต้แห่งเมือง โจรจะได้รรับการผ่อนผันจากเพชฌาตตามคำขอที่ว่า "ขอให้ท่านเพชฌฆาตโปรดรอจนกว่ข้าพเจ้าจะได้แจ้งแก่มิตรอำมาตย์ หรือญาติสาโลหิตในบ้านโน้นหรือนิคมโน้น แล้วจะกลับมา" กระั้นั้นหรือ หรือว่า เพชฌฆาตจะพึงตัดศีรษะโจรผู้กำลังอ้อนวอนอยู่เล่า"

    "ท่านกัสสปะ โจรไม่ควรได้รับการผ่อนผันจากเพชฌฆาตตามคำขอที่ว่า "ขอให้ท่านเพชฌฆาตโปรดรอจนกว่าข้าพเจ้าจะได้ไปแจ้งแก่มิตรอำมาตย์ หรือญาติสาโลหิตในบ้านโน้นหรือนิคมโน้นแล้วจะกลับมา ที่แท้ เพชฌฆาตพึงตัดศีรษะโจรผู้กำลังอ้อนวอนอยู่นั่นแหละ"

    "บพิตร โจรนั้นเป็นมนุษย์ยังไม่ได้รับการผ่อนผันจากเพชฌฆาตที่เป็นมนุษย์ตามคำขอที่ว่า ขอให้ท่านเพชฌฆาตโปรดรอจนกว่าข้าพเจ้าจะได้ไปแจ้งแก่มิตรอำมาตย์หรือญาติสาโลหิตในบ้านโน้นหรือนิคมโน้นแล้วจะกลับมา มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของพระองค์เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา มีจิตพยาบาทเป็นมิจฉาทิฏฐิ หลังจากตายแล้วไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต (หรือ) นรก จะได้รับผ่อนผันจากนายนิรยบาลตามคำขอที่ว่า "ขอให้นายนิรยบาลโปรดรอจนกว่าข้าพเจ้าจะได้ไปแจ้งแก่เจ้าปายาสิว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี หรือ บพิตร ด้วยเหตุแห่งพระดำรัสของพระองค์นี้แลจึงแสดงอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี"

    [๔๑๔] "ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมก็ยังคงเชื่อในเรื่องนี้อยู่ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"

    "บพิตร เหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไ่ม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ"

    "ท่านกัสสปะ เหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มีโอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" มีอยู่"

    "บพิตร อุปมาด้วยอะไร"

    "ท่านกัสสปะ มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของโยมในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตไม่พยาบาท เป็นสัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) ต่อมาพวกเขาป่วย ได้รับทุกขเวทนาเป็นไข้หนัก เมื่อโยมรู้ว่า เวลานี้ พวกเขายังไม่หายป่วย จึงเข้าไปเยี่ยมแล้วสั่งอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายมีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า บุคคลผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา มีจิตไม่พยาบาท เป็นสัมมาทิฏฐิ หลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ พวกท่านเป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา มีจิตไม่พยาบาท เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าหากคำของพราหมณ์พวกนั้นเป็นจริง พวกท่านหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ถ้าพวกท่านหลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์จริง ก็ขอให้กลับมาบอกกับเราบ้างว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี พวกท่านเท่านั้นพอเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของเา สิ่งที่พวกท่านเห็นก็เช่นเดียวกับสิ่งที่เราเห็นเอง คนเหล่านั้นรับคำของโยมแล้ว แต่ไม่กลับมาบอก ไม่ส่งข่าวมาบอกท่านกัสสปะ นี้แลเป็นเหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มีโอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"
     
  5. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยบุรุษในหลุมอุจจาระ

    [๔๑๕] "บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับคนฉลาดบางพวกในโลกนี้ เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เปรียบเหมือนบุรุษจมลงในหลุมอุจจาระมิดศีรษะ เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าพระองค์จะพึงรับสั่งราชบุรุษว่า "พวกท่านจงช่วยกันยกบุรุษนั้นขึ้นจากหลุมอุจจาระ" พวกราชบุรุษทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พึงช่วยกันยกบุรุษนั้นขึ้นมาจากหลุมอุจจาระ ถ้าพระองค์จะพึงรับสั่งอีกว่า "พวกท่านจงเอาซี่ไม้ไผ่ขูดอุจจาระออกจากร่างกายของบุรุษนั้นให้หมด" พวกราชบุรุษทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พึงเอาซวี่ไม้ไผ่ขูดอุจจาระออกจากร่างกายของบุรุษนั้นให้หมด ถ้าพระองค์จะพึงรับสั่งอีกว่า "พวกท่านจงเอาดินสีเหลืองขัดสีร่างกายของบุรุษนั้นสัก ๓ ครั้ง ถ้าพระองค์จะพึงรับสั่งอีกว่า "พวกท่านจงเอาน้ำมันชโลมบุรุษนั้นแล้วลูบไล้ด้วยจุรณ (ในที่นี้หมายถึงเครื่องหอมที่เป็นผงละเอียดอาจทำเป็นก้อนเก็บไว้ใช้ได้ทุกเวลา) อย่างดีให้ผุดผ่องสัก ๓ ครั้ง" พวกราชบุรุษพึงเอาน้ำมันชโลมบุรุษนั้นและลูบได้ด้วยจุรณอย่างดีให้ผุดผ่อง ๓ ครั้ง ถ้าพระองค์จะพึงรับสั่งอีกว่า "พวกท่านจงตัดผมและโกนหนวดบุรุษนั้น" พวกราชบุรุษพึงตัดผมและโกนหนวดของบุรุษนั้น ถ้าพระองค์จะพึงรับสั่งอีกว่า "พวกท่านจงนำพวงดอกไม้เครื่องลูบไล้และผ้าราคาแพงไปให้บุรุษนั้น" พวกราชบุรุษพึงนำพวงดอกไม้ เครื่องลูบไล้ และผ้าราคาแพงไปให้บุรุษนั้น ถ้าพระองค์จะพึงรับสั่งอีกว่า "พวกท่านจงเชิญบุรุษนั้นขึ้นปราสาทบำรุงบำเรอด้วยกามคุณ ๕ " พวกราชบุุรุษพึงเชิญบุรุษนั้นขึ้นปราสาทบำเรอด้วยกามคุณ ๕

    บพิตร พระองค์เข้าพระทัยเรื่องนั้นว่าอย่างไร บุรุษนั้น อาบน้ำ ลูบไล้ดีแล้ว ตัดผมและโกนหนวดอย่างดี สวมพวงดอกไม้และเครื่องประดับแล้ว นุ่งผ้าขาวอยู่ปราสาทชั้นดี เอิบอิ่ม พรั่งพร้อม ได้รับการบำเรอด้วยกามคุณ ๕ ยังต้องการจะดำลงไปในหลุมอุจจาระนั้นอีกหรือ

    "ไม่เป็นเช่นนั้น ท่านกัสสปะ"

    "เพราะเหตุไร จึงไม่เป็นเช่นนั้น"

    "ท่านกัสสปะ เพราะหลุมอุจจาระไม่สะอาด คือพึงเป็นสิ่งทั้งไม่สะอาด ทั้งนับว่าไม่สะอาด ทั้งมีกลิ่นเหม็น ทั้งนับว่ามีกลิ่นเหม็น ทั้งน่ารังเกียจ ทั้งนับว่าน่ารังเกียจ ทั้งน่าเกลียด ทั้งนับว่าน่าเกลียด"

    "บพิตร มนุษย์ก็เช่นเดียวกันนั่นแหละ คือสำหรับพวกเทพ พวกมนุษย์ เป็นผู้ไม่สะอาด ทั้งนับว่าไม่สะอาด เป็นผู้มีกลิ่นเหม็น ทั้งนับว่ามีกลิ่นเหม็น เป็นผู้น่ารังเกียจ ทั้งนับว่าน่ารังเกียจ เป็นผู้น่าเกลียด ทั้งนับว่าน่าเกลียด กลิ่นมนุษย์ย่อมฟุ้งไปในหมู่เทพตลอด ๑๐๐ โยชน์ ก็ (ถ้า) มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของพระองค์ผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา มีจิตไม่พยาบาท เป็นสัมมาทิฏฐิ พวกเขาหลังจากตายแล้วก็ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ แล้วจะกลับมาทูลพระองค์่ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มีผล วิบาก แห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี" หรือบพิตร ด้วยเหตุแห่งพระดำรัสของพระองค์แม้นี้แล จึงแสดงอย่างนี้ว่า " แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี"


    [๔๑๖] ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมก็ยังคงเชื่อในเรื่องนี้อยู่ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"

    "บพิตร เหตุที่ทำให้พระองค์ทรงเข้าพระทัยอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" มีอยู่หรือ"

    "ท่านกัสสปะ เหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" มีอยู่"

    "บพิตร อุปมาด้วยอะไร"

    "ท่านกัสสปะ มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของโยมในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุรา และเมรัยเป็นเหตุแห่งความประมาท ต่อมา พวกเขาป่วย ได้รับทุกขเวทนา เป็นไข้หนัก เมื่อโยมรู้ว่า "เวลานี้พวกเขายังไม่หายป่วย" จึงเข้าไปเยี่ยมแล้วสั่งอย่างนี้ว่า "ท่านทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า "บุคคลผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท หลังจากตายไปแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์อยู่ร่วมกับเทพชั้นดาวดึงส์ " ท่านทั้งหลาย เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท ถ้าหากคำของสมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นจริง พวกท่านหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์อยุ๋ร่วมกับเทพชั้นดาวดึงส์ ถ้าพวกท่านหลังจากตายแล้วได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์จริงก็ขอให้กลับมาบอกเราบ้าง "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี" พวกท่่่่านเท่านั้นพอเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของเรา สิ่งที่พวกท่านเห็ฯก็เช่นเดียวกับสิ่งที่เราเห็นเอง" คนเหล่านั้นรับคำของโยมแล้ว แต่ไม่กลับมาบอก ไม่ส่งข่าวมาบอก ท่านกัสสปะ นี้แลเป็นเหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"
     
  6. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยเทพชั้นดาวดึงส์

    [๔๑๗] "บพิตร ถ้าอย่างนั้น อาตมาภาพขอถวายพระพรถามพระองค์ในเรื่องนี้ โปรดตรัสตอบที่พอพระทัย ๑๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับคืนและวันหนึ่งของพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ๓๐ ราตรี โดยราตรีนั้นเป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือน โดยเืดือนนั้น เป็น ๑ ปี ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของพวกเทพชั้นดาวดึงส์ มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของพระองค์ผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท หลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์ หากพวกเขาคิดอย่างนี้ว่า " รอเวลาให้พวกเราเอิบอิ่ม พรั่งพร้อม ได้รับการบำเรอด้วยกามคุณ ๕ ที่เป็นทิพย์สัก ๒-๓ วันก่อน จึงค่อยไปกราบทูลเจ้าปายาสิว่า "แม้เพราะเหตุนี้โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี" พวกเขาพึงกลับมาทราบทูลพระองค์ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี" หรือบพิตร"

    "ไม่เป็นเช่นนั้น ท่านกัสสปะ ที่จริง พวกเราคงตายไปนานแล้ว แต่ใครเล่าบอกท่านกัสสปะว่า "พวกเทพชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่า พวกเทพชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้" พวกเราไม่เชื่อท่านกัสสปะว่า "พวกเทพชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือว่า พวกเทพชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้"
     
  7. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยคนตาบอดแต่กำเนิด

    [๔๑๘] บพิตร เปรียบเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิดไม่อาจเห็นรูปสีดำและรูปสีขาว ไม่อาจเห็นรูปสีเขียว ไม่อาจเห็นรูปสีเหลือง ไม่อาจเห็นรูปสีแดง ไม่อาจเห็นรูปสีแดงฝาง ไม่อาจเห็นรูปที่เรียบและรูปที่ขรุขระ ไม่อาจเป็นรูปดวงดาว ไม่อาจเห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เขาจะพึงพูดอย่างนี้ว่า
    รูปสีดำและรูปสีขาวไม่มี คนที่เห็นรูปสีดำและรูปสีขาวก็ไม่มี
    รูปสีเขียวไม่มี คนที่เห็นรูปสีเขียวก็ไม่มี
    รูปสีเหลืองไม่มี คนที่เห็นรูปสีเหลืองก็ไม่มี
    รูปสีแดงไม่มี คนที่เห็นรูปสีแดงก็ไม่มี
    รูปสีแดงฝางไม่มี คนที่เห็นรูปสีแดงฝางก็ไม่มี
    รูปที่เรียบและรูปที่ขรุขระไม่มี คนที่เห็นรูปที่เรียบและรูปที่ขรุขระก็ไม่มี
    รูปดวงดาวไม่มี คนที่เห็นรูปดวงดาวก็ไม่มี
    ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ไม่มี คนที่เห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ไม่มี

    บพิตร คนนั้นเมื่อจะพูดว่า "เราไม่รู้สิ่งนั้น ไม่เห็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นจึงไม่มี" ชื่อว่าพูดถูกหรือไม่

    "ไม่ถูก ท่านกัสสปะ เพราะ
    รูปสีดำและรูปสีขาวมี คนที่เห็นรูปสีดำและรูปสีขาวก็มี
    รูปสีเขียวมี คนที่เห็นรูปสีเขียวก็มี
    รูปสีเหลืองมี คนที่เห็นรูปสีเหลืองก็มี
    รูปสีแดงมี คนที่เห็นรูปสีแดงก็มี
    รูปสีแดงฝางมี คนที่เห็นรูปสีแดงฝางก็มี
    รูปที่เรียบและรูปที่ขรุขระมี คนที่เห็นรูปที่เรียบและรูปที่ขรุขระก็มี
    รูปดวงดาวมี คนที่เห็นรูปดวงดาวก็มี
    ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มี คนที่เห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็มี
    ท่านกัสสปะ คนนั้นเมื่อจะพูดว่า "เราไม่รู้สิ่งนั้น ไม่เห็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นจึงไม่มี" ชื่อว่าพูดไม่ถูก

    บพิตร พระองค์ก็เช่นเดียวกัน กับคนที่ตาบอดแต่กำเนิดนั่นแหละ ที่ตรัสกับอาตมภาพอย่างนี้ว่า "ก็ใคร่เล่า บอกท่านกัสสปะว่า " พวกเทพชั้นดาวดึงส์มี" หรือว่า "พวกเทพชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนเท่านี้" พวกเราไม่เชื่อท่านกัสสปะว่า "พวกเทพชั้นดาวดึงส์มี" หรือว่า "พวกเทพชั้นดาวดึงส์มีอายุืยืนเท่านี้" บพิตร คนจะเห็นโลกอื่นได้ด้วยตาเนื้อดังที่พระองค์ทรงเข้าพระทัยไม่ได้ สมณพราหมณ์ผู้อยู่ในเสนาสนะอันสงัดในป่าใหญ่ ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ทำตาทิพย์ให้บริสุทธิ์อยู่ย่อมเห็นโลกนี้โลกอื่น ตลอดถึงเหล่าโอปปาติกสัตว์ได้ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เกินกว่าตาของมนุษย์ คนไม่อาจจะเห็นโลกอื่นได้ด้วยตาเนื้อดังที่พระองค์ทรงเข้าพระทัย บพิตร ด้วยเหตุแห่งพระดำรัสของพระองค์แม้นี้แล จึงแสดงอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี"

    [๔๑๙] ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมก็ยังคงเชื่อในเรื่องนีอ้ยู่ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"

    บพิตร เหตุที่ทำให้พระองค์ทรงเข้าพระทัยอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" มีอยู่หรือ

    ท่านกัสสปะ เหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" มีอยู่

    บพิตร อุปมาด้วยอะไร

    ท่านกัสสปะ โดยมเห็นสมณพราหมณ์ในโลกนี้ ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม อยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตาย รักความสุข เกลียดความทุกข์ จึงคิดอย่างนี้ว่า "ถ้าท่านสมณพรามหณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้พึงรู้อย่างนี้ว่า "เมื่อพวกเราตายจากโลกนี้แล้ว คุณความดีจะปรากฎ" ท่านเหล่านี้คงดื่มยาพิษ ใช้ศัตราฆ่าตัวตาย ผูกคอตาย หรือกระโดยเหวตาย แต่เพราะท่านเหล่านั้นไม่ทราบอย่างนี้ว่า "เมื่อพวกเราตายจากโลกนี้แล้ว คุณความดีจะปรากฏ" ฉะนั้น ท่านเหล่านั้นจึงอยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตาย รักความสุข เกลียดความทุกข์ ท่านกัสสปะ นี้แลเป็นเหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ ทำดีและทำชั่วไม่มี"
     
  8. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยสตรีมีครรภ์

    [๔๒๐] บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับคนฉลาดบางพวกในโลกนี้เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เรื่องเคยมีมานานแล้ว พราหมณ์คนหนึ่งมีภรรยา ๒ คน บุตรของภรรยาคนหนึ่งมีอายุ ๑๐ ปี หรือ ๑๒ ปี ภรรยาอีกคนหนึ่ง มีครรภ์ใกล้จะคลอด ต่อมาพราหมณ์เสียชีวิตลง ชายหนุ่มพูดกับแม่เลี้ยงดันี้ว่า "คุณแม่ ทรัพย์ ธัญชาติ เงินหรือทอง ทั้งหมดล้วนเป็นของฉัน แม่ไม่มีส่วนแบ่งในทรัพย์สมบัตินี้ โปรดมอบมรดกของพ่อแก่ฉัน"

    เมื่อชายหนุ่มกล่าวอย่างนี้ นางพราหมณีนั้นกล่าวกับชายหนุ่มนั้น ดังนี้ว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าจงรอจนกว่าแม่จะคลอด ถ้าเด็กที่เกิดมาเป็นชาย เขาจะได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง ถ้าเด็กที่เกิดมาเป็นหญิง เขาจะเป็นผู้รับใช้ของเจ้า"

    แม้ครั้งที่ ๒ ชายหนุ่มก็พูดกับแม่เลี้ยงอีกว่า "คุณแม่ ทรัพย์ ธัญชาติ เงินหรือทอง ทั้งหมดล้วนเป็นของฉัน แม่ไม่มีส่วนแบ่งในทรัพย์สมบัตินี้ โปรดมอบมรดกของพ่อแก่ฉัน" แม้ครั้งที่ ๒ นางพราหมณีก็กล่าวกับชายหนุ่มนั้นอีกว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าจงรอกว่าแม่จะคลอด ถ้าเด็กที่เกิดมาเป็นชาย เขาจะได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง ถ้าเด็กที่เกิดมาเป็นหญิง เขาจะเป็นผู้รับใช้ของเจ้า"

    แม้ครั้งที่ ๓ ชายหนุ่มก็พูดกับแม่เลี้ยงอีกว่า "คุณแม่ ทรัพย์ ธัญชาติ เงินหรือทอง ทั้งหมดล้วนเป็นของฉัน แม่ไม่มีส่วนแบ่งในทรัพยฺ์สมบัตินี้ โปรดมอบมรดกของพ่อแก่ฉััน"

    ลำดับนั้น นางพราหมณีถือมีดเข้าไปในห้องแล้วแหวะท้องด้วยคิดว่า "เราอยากรู้ว่าลูกในครรภ์เป็นชายหรือเป็นหญิง" ได้ทำลายตนเอง ชีวิตลูกในครรภ์ และทรัพย์สมบัติ (ที่จะพึงได้) จนพินาศ บพิตร นางพราหมณีผู้โง่ ไม่ฉลาด เมื่อแสวงหามรดกโดยวิธีที่ไม่แยบคาย ได้ถึงความพินาศไปแล้ว ฉันใด พระองค์ผู้โง่ ไม่ฉลาด เมื่อแสวงหาโลกอื่นโดยวิธีที่ไ่ม่แยบคายจักถึงความพินาศ ฉันใด

    บพิตร สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ไม่เหมือนนางพราหมณีผู้โง่ ไม่ฉลาด เมื่อแสวงหามรดกโดยวิธีที่ไม่แยบคายได้ถึงความพินาศแล้ว คือ เขาไม่เร่งอายุที่ยังไม่สิ้นให้สิ้นไป แต่รอให้อายุสิ้นไปเอง เพราะว่าชีวิตของสมณพราหมณ์ผู้ฉลาด มีศีล มีกัลยาณธรรม เป็นชีวิตที่มีประโยชน์ สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ดำรงชีวิตอยู่นานเพียงใด ก็ย่อมประสบบุญมาก และปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่คนหมู่มาก เพื่อสุขแก่คนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เพียงนั้น บพิตร ด้วยเหตุแห่งพระดำรัสของพระองค์แม้นี้แล จึงแสดงอย่างนี้ว่ "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี"

    [๔๒๑] ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมก็ยังคงเชื่อในเรื่องนี้อยู่ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"

    "บพิตร เหตุที่ทำให้พระองค์ทรงเข้าพระทัยอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ"

    ท่านกัสสปะ เหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี มีอยู่"

    บพิตร อุปมาด้วยอะไร

    ท่านกัสสปะ พวกราชบุรุษของโยมในโลกนี้ จับโจรผู้ก่อกรรมชั่วมาแสดงแก่โยมว่า "ฝ่าพระบาท นี้เป็นโจรผู้ก่อกรรมชั่วต่อพระองค์ พระองค์โปรดลงพระอาญาแก่โจรนี้ตามพระประสงค์เถิด" โยมสั่งพวกราชบุรุษอย่างนี้ว่่า "ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงจับบุรุษนี้ใส่หม้อทั้งเป็นแล้วปิดปากหม้อ รัดด้วยหนังสด พอกด้วยดินเหนียวให้หนา ยกขึ้นตั้งเตาแล้วติดไฟ " พวกราชบุรุษรับคำของโยมแล้วจึงจับบุรุษนั้นใส่หม้อทั้งเป็นแล้วปิดปาหม้อ รัดด้วยหนังสด พอกด้วยดินเหนียวให้หนา ยกขึ้นตั้งเตาแล้วติดไฟ เมื่อโยมรู้ว่า "บุรุษนั้นเสียชีวิตแล้ว" จึงให้ยกหม้อนั้นลง กะเทาดินเหนียวออกแล้วค่อยๆ เปิดปากหม้อ ตรวจดูว่า "บางทีพวกเราจะได้เห็นชีวะ (วิญญาณ)ของบุรุษนั้นออกมาบ้าง" แต่พวกเราไม่เห็นชีวะของเขาออกมาเลย ท่านกัสสปะ นี้แลเป็นเหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"
     
  9. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยคนหลับฝัน


    [๔๒๒] บพิตร ถ้าอย่างนั้น อาตมภาพขอถวายพระพรถามพระองค์ในเรื่องนี้ โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย พระองค์ทรงเคยบรรทมกลางวัน ทรงสุบิืนเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์ พื้นที่อันน่ารื่นรมย์และสระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์บ้างไหม

    ท่านกัสสปะ โยมเคยหลับกลางวัน ฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์ พื้นที่อันน่ารื่นรมย์ และสระโบกขรณีบ้างไหม

    ในขณะที่ทรงสุบินนั้น มีหญิงค่อม หญิงเตี้ย นางภูษามาลาหรือเด็กสาวคอยดูแลพระองค์อยู่หรือ

    ท่านกัสสปะ ในขณะที่ฝันนั้น มีหญิงค่อ หญิงเตี้ย นางภูษามาลาหรือเด็กสาวคอยดูแลโยมอยู่

    หญิงเหล่านั้นเห็นชีวขะพระองค์เข้า - ออกอยู่หรือไ่ม่

    ท่านกัสสปะ หญิงเหล่านั้นไม่เห็นชีวะของโยมเข้า - ออกอยู่เลย

    บพิตรหญิงเหล่านั้นมีชีวิตอยู่แท้ๆ ยังไม่เห็นชีวะเข้า - ออกของพระองค์ผู้ยังทรงพระชนม์อยุ่ พระองค์จะทรงเห็นชีวะเข้า - ออก ของคนผู้สิ้นชีวิตไปแล้วได้อย่างไรเล่า บพิตร ด้วยเหตุแห่งพระดำรัสของพระองค์แม้นี้แล จึงแสดงอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี"

    [๔๒๓] ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมก็ยังคงเชื่อในเรื่องนี้อยู่ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"

    บพิตร เหตุที่ทำให้พระองค์ทรงเข้าพระทัยอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี มีอยู่หรือ"

    ท่านกัสสปะ เหตุที่ทำให้โยมเช้าใจอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี มีอยู่

    บพิตร อุปมาด้วยอะไร

    ท่านกัสสปะ พวกราชบุรุษของโยมในโลกนี้จับโจรผู้ก่อกรรมชั่วมาแสดงแก่โยมว่า "ฝ่าพระบาท นี้เป็นโจรผู้ก่อกรรมชั่วต่อพระองค์ พระองค์โปรดลงพระอาชญาแก่โจนี้ตามพระประสงค์เถิด โยมสั่งพวกราชบุรุษอย่างนี้ว่า "ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเอาตาชั่งมาชั่งบุรุษนี้ทั้งเป็นแล้ว ใช้เชือกมัดให้ขาดใจตาย เอาตาชั่งชั่งอีกครั้งหนึ่ง พวกราชบุรุษรับคำของโยมแล้วจึงเอาตาชั่งไปชั่งบุรุษนั้นทั้งเป็นแล้ว ใช้เชือกมัดให้ขาดใจตาย เอาตาชั่งชั่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อบุรุษนั้นยังมีชีวิตอยู่ ร่างกายนี้มีน้ำหนักเบาอ่อนนุ่ม และปรับตัวได้ยากกว่า แต่เมื่อบุรุษน้นสิ้นชีวิตแล้ว ร่างกายมีน้ำหนักมาก แข็งกระด้าง และปรับตัวได้ยากกว่า ท่านกัสสปะ นี้แลเเป็นเหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"

    อุปมาด้วยก้อนเหล็กร้อน

    [๔๒๔] บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับคนฉลาดบางพวกในโลกนี้ เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เปรียบเหมือนคนเอาตาชั่งขั่งก้อนเหล็กที่เผาไว้ตลอดวัน ติดไฟลุกโพลง ต่อมาใช้ตาชั่งชั่งก้อนเหล็กนั้นขณะเย็นสนิท เมื่อก้อนเหล็กนั้นจะมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนกว่า และตัดง่ายกว่า คือเมื่อติดไฟลุกโพลงอยู่หรือว่าเมื่อเย็นสนิทแล้ว

    ท่านกัสสปะ เมื่อก้อนเหล็กนั้นมีไฟ มีลม ติดไฟลุกโพลงอยู่จะมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนกว่า และตัดได้ง่ายกว่า แต่เมื่อก้อนเหล็กนั้นไม่มีไฟ ไม่มีลม เย็นสนิทจะมีน้ำหนักมากกว่า แข็งกระด้างกว่าและตัดได้ยากกว่า

    บพิตร เช่นเดียวกันนั่นแหละ เมื่อร่างกายนี้ยังมีอายุ มีไออุ่น และมีวิญญาณจะมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนนุ่มกว่า และปรับตัวได้ง่ายกว่า แต่เมื่อร่างกายนี้ไม่มีอายุไม่มีไออุ่น และไม่มีวิญญาณ จะมีน้ำหนักมากกว่า แข็งกระด้างกว่า และปรับตัวได้ยากกว่ บพิตร ด้วยเหตุแห่งพระดำัรัสของพระองค์แม้นี้แล จึงแสดงอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี

    [๔๒๕] ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมก็ยังคงเชื่อในเรื่องนี้อยู่ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี

    บพิตร เหตุที่ทำให้พระองค์ทรงเข้าพระทัยอย่างนี้ว่ แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชัี่วไม่มี มีอยู่หรือ

    ท่านกัสสปะ เหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี มีอยู่

    บพิตร อุปมาด้วยอะไร

    ท่านกัสสปะ พวกราชบุรุษของโยมในโลกนี้ จับโจรผู้ก่อกรรมชั่วมาแสดงแก่โยมว่า ฝ่าพระบาท นี้เป็นโจรผู้ก่อกรรมชั่วต่อพระองค์ พระองค์โปรดลงพระราชอาชญาแก่โจรนี้ ตามพระประสงค์เถิด โดยสั่งพวกราชบุรุษอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงฆ่าบุรุษนี้ อย่าให้ผิว หนัง เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกช้ำ บางทีพวกเราจะได้เห็นชีวะของบุรูษนั้นออกมาบ้าง พวกราชบุรุษรับคำของโยมแล้วจึงฆ่าบุรุษนั้น ไม่มี ผิว หนัง เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกช้ำ เมื่อบุรุษนั้นใกล้ตาย โยมสั่งว่า พวกท่านจงผลักให้เขานอนหงาย บางที่พวกเราจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง เมื่อราชบุรุษผลักให้เขานอนหงาย พวกเราก้ไม่ได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย โยมจึงสั่งอีกว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงพลิกให้เขานอนคว่ำ.." "... ให้เขานอนตะแคงข้างหนึ่ง .." " ... ให้นอนตะแคงอีกข้างหนีึ่ง ..." "... จงพยุงให้ลุกขึ้น .." "...จับศีรษะกดลง..." "... ใช้ฝ่ามือทุบ..." "....ใช้ก้อนดินทุบ..." "... ใช้ท่อนไม้ทุบ..." "... ใช้ศัตราทุบ ..." "... ลากมาลากไป ลากไปลากมา บางทีพวกเราจะได้เห็นชีวะของบุรูษนั้นออกมาบ้าง พวกราชบุรุษลากบุรุษนั้นมาลากบุรุษนั้นไป ลากไปลากมา พวกเราก็ไม่เห็นชีวะของเขาเลย ตาของเขาก็เหมือนเดิม รูปก็รูปเดิมๆ แต่ตานั้นไม่รับรู้รูปนั้น หูของเขาก็หูเดิม เสียงก็เสียงเดิมๆ แต่หูนั้นไม่รับรู้เสียงนั้น จมูกของเขาก็จมูกเดิม กลิ่นก็กลิ่นเดิมๆ แต่จมูกนั้นไม่รับรู้กลิ่นนั้น ลิ้นของเขาก็ลิ้นเดิม รสก็รสเดิมๆ แต่ลิ้นนั้นไม่รับรู้รสนั้น กายของเขาก็กายเดิม โผฏฐัพพะก็โผฏฐัพพะเดิมๆ แต่กายนั้นไม่รู้รู้โผฏฐัพพะนั้น ท่านกัสสปะ นี้แลเป็นเหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ "โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2010
  10. พยานปากเอก

    พยานปากเอก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +61
    ขออนุโมทนาสาธุครับ
    บริษัท จีโอ แอดเวอร์ไทส์ซิ่ง จำกัด เป็นบริษัทผลิตที่เริ่มต้นจากการผลิตรายการโทรทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เคเบิ้ลทีวีท้องถิ่น ซึ่งให้บริการ ในพื้นที่ จ.ชลบุรี ,กาญจนบุรี และกรุงเทพฯ หลากหลายรายการ อาทิ ข่าวท้องถิ่น,รายการวาไรตี้,รายการสนทนา,รายการเด็ก ฯลฯ สร้างสรรค์งานกราฟิกดีไซด์ เพื่อการพิมพ์ทุกชนิดอาทิ งานพิมพ์หนังสือ โปสเตอร์ แผ่นพับ และ สื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ทั้ง INDOOR&OUTDOORและอีกมากมายและหลากหลายชมข้อมูลทาง http://www.jeoadvertising.com
    http://palungjit.org/.209/เปิดตัวเวบออกาไนซ์ยินดีรับใช้ทุกทุกๆท่านทุกๆหน่วยงาน[.209/FONT]
     
  11. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยการเป่าสังข์

    [๔๒๖] บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับ คนฉลาดบางพวกในโลกนี้ เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เรื่องเคยมีมาแล้ว คนเป่าสังข์คนหนึ่งนำสังข์ไปยังปจจันตชนบท เข้าไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งยืนอยู่กลางหมู่บ้านเป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง วางสังข์ไว้ที่พื้นดินแล้วนั่ง ณ ที่สมควร

    ลำดับนั้น ชาวปัจจันตชนบทแตกตื่นว่า "ท่านทั้งหลาย นั้นเสียงใครกัน น่าพอใจ น่ารักใคร่ น่่าหลงใหล น่าติดใจ ไพเราะอย่างนี้" จึงพากันล้อมคนเป่าสังข์ ถามว่า "พ่อคุณ นั่นเสียงใครกัน น่าพอใจ น่ารักใคร่ น่าหลงใหล น่าติดใจ ไพเราะอย่างนี้"

    คนเป่าสังข์ตอบว่า "ท่านทั้งหลาย นี้เป็นเีสียงสังข์ น่าพอใจ น่ารักใคร่ น่าหลงใหล น่าติดใจ ไพเราะอย่างนี้"

    ชาวปัจจันตชนบทเหล่านั้นจับสังข์นั้นให้หงายขึ้นแล้วสั่งว่า "พูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์" สังข์นั้นก็ไม่ส่งเสียง พวกเขาจับสังข์ให้คว่ำหน้าลง... จับสังข์ให้ตะแคงข้างหนึ่ง... จับสังข์ให้ตะแคงอีกข้างหนึ่ง.. ยกสังข์ให้สูงขึ้น... วางสังข์ให้ต่ำลง...ใช้ฝ่ามือเคาะ... ใช้ก้อนดินเคาะ... ใช้ท่อนไม้เคาะ... ใช้ศัสตราเคาะ...ลากมาลากไป ...ลากไปลากมา แล้วสั่งว่า "พูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์" สังข์นั้นก็ไม่ส่งเสียง

    คนเป่าสังข์ได้มีความคิดดังนี้ว่า "ชาวปัจจันตชนบทเหล่านี้ช่างโง่เขลาจริง ไฉนจึงแสวงหาเสียงสังข์โดยไม่ถูกวิธีอย่างนี้เล่า" ขณะที่ชาวปัจจันตชนบทเหล่านั้นกำลังมุงดูอยู่ เขาจึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่า ๓ ครั้ง แล้วถือสังข์เดินไป

    ชาวปัจจันตชนบทเหล่านั้นพูดกันว่า "ท่านทั้งหลาย เมื่อสังข์นี้มีคน มีความพยายาม แลมีลมจึงส่งเสียงได้ เมื่อสังข์นี้ไม่มีคน ไม่มีความพยายามและไม่มีลมก็ส่งเสียงไม่ได้"

    บพิตร เช่นเดียวกันนั่นแหละ เมื่อกายนี้ยังมีอายุ มีไออุ่นและมีวิญญาณ จึงก้าวไปได้ ถอยกลับได้ ยืนได้ นั่งได้ นอนได้ เห็นรูปทางตาได้ ฟังเสียงทางหูได้ ดมกลิ่นทางจมูกได้ ลิ้มรสทางลิ้นได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกายได้ รู้ธรรมารมณ์ทางใจได้แต่เมื่อกายนี้ไม่มีอายุ ไม่มีไออุ่น และไม่มีวิญญาณ กายนี้จึงก้าวไปได้ ถอยกลับไม่ได้ ยืนไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนไม่ได้ เห็นรูปทางตาไม่ได้ ฟังเสียงทางหูไม่ได้ ดมกลิ่นทางจมูกไม่ได้ ลิ้มรสทางลิ้นไม่ได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกายไม่ได้ หรือรู้ธรรมารมณ์ทางใจไม่ได้ บพิตร ด้วยเหตุแห่งพระดำรัสของพระองค์แม้นี้แล จึงแสดงอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นมี โอปปาติกสัตว์มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วมี"

    ภาณวารที่ ๑ จบ

    [๔๒๗] ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมก็ยังคงเชื่อในเรื่องนี้อยู่ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"

    บพิตร เหตุที่ทำให้พระองค์ทรงเข้าพระทัยอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" มีอยู่หรือ

    ท่านกัสสปะ เหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี มีอยู่

    บพิตร อุปมาด้วยอะไร

    ท่านกัสสปะ พวกราชบุรุษของโยมในโลกนี้ จับโจรผู้ก่อกรรมชั่วมาแสดงแก่โยมว่า "ฝ่าพระบาท นี้เป็นโจรผู้ก่อกรรมชั่วต่อพระองค์ พระองค์โปรดลงพระอาชญาแก่โจรนี้ตามพระประสงค์เถิด" โยมสั่งพวกราชบุรุษอย่างนี้ว่า "ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเชือดผิวของบุรุษนี้ บางทีพวกเราจะได้เห็นชีวะของเขาบ้าง" พวกเขาจึงเชือดผิวของบุรุษนั้น พวกเราก็ไม่ได้เห็นชีวะของเขาเลย โยมจึงสั่งอีกว่า "ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงเถือหนัง..."..."...แล่เนื้อ..."..."... ตัดกระดูก..."..."...ตัดเยื่อในกระดูกของเขา บางทีพวกเราจะได้เห็นชีวะของเขาบ้าง พวกเขาตัดเยื่อในกระดูกของบุรุษนั้น พวกเราก็ไม่ได้เห็นชีวะของเขาเลย ท่านกัสสปะ นี้แลเป็นเหตุที่ทำให้โยมเข้าใจอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี"



     
  12. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยชฎิลผู้บูชาไฟ

    [๔๒๘] บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับ คนฉลาดบางพวกในโลกนี้ เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เรื่องเคยมีมาแล้ว มีชฎิลผู้บูชาไฟคนหนึ่งอาศัยอยู่ในกุฎีใบไม้ ณ ชายป่า เวลานั้น หมู่เกวียนหมุ่หนึ่งพักอยู่ในที่ใกล้อาศรมของชฎิลนั้น ๑ คืนแล้วจากไป ต่อมาชฎิลผู้บูชาไฟมีความคิดดังนี้ว่า "ทางที่ดี เราควรเข้าไปในสถานที่ที่หมู่เกวียนพำนัก พบเด็กอ่อนถูกทิ้งนอนหงายอยู่ที่นั้น คิดว่า การที่เราผู้เป็นมนุษย์มาพบเด็ก แล้วจะปล่อยให้เด็กเสียชีวิตไปก็ไม่เหมาะ ทางที่ดี เราควรพาเขาไปอาศรมแล้วชุบเลี้ยงให้เจริญเติบโต" จึงพาเด็กนั้นไปชุบเลี้ยงจนเจริญเติบโต เมื่อเด็กนั้นอายุได้ ๑๐ ปี หรือ ๑๒ ปี ชฎิลบูชาไฟคนนั้นมีธุระอย่างหนึ่งในเมืองจึงสั่งเด็กนั้นว่า "ลูก พ่อจะไปในเมือง ชาวพึงบูชาไฟอย่าให้ไฟดับ ถ้าไฟดับ นี้มีด นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าพึงก่อไฟบูชา" เมื่อสั่งเด็กแล้วได้ไปในเมือง ขณะที่เด็กกำลังเล่นอยู่ไฟเกิดดับ เด็กนึกขึ้นได้ว่า "พ่อสั่งเราไว้ว่า เจ้าพึงบูชาไฟ อย่าให้ไฟดับ ถ้าไฟดับ นี้มี นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าพึงก่อไฟบูชา" ทางที่ดี เราควรก่อไฟบูชา จึงเอามีดถากไม้สีไฟด้วยเข้าใจว่า "บางทีจะได้ไฟบ้าง" แต่ไม่ได้ไฟเลย จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซึก ... ๓ ซีก...๔ ซีก...๕ ซีก ...๑๐ ซีก...๒๐ ซีก ... แล้วสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ ครั้นสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็นำมาโขลกในครก ครั้นโขลกในครกแล้ววก็โปรยในที่มีลมแรงด้วยเข้าใจว่า "บางทีจะได้ไฟบ้าง" แต่เขาก็ไม่ได้ไฟเลย

    ต่อมา ชฎิลผู้บูชาไฟทำธุระในเมืองเสร็จแล้ว จึงกลับมาอาศรมของตน ได้ถามเด็กนั้นว่า "ลูกเอ๋ย ไฟของเจ้าไม่ดับบ้างหรือ"

    เด็กนั้นตอบว่า "พ่อครับ ผมมัวเล่นอยู่ตรงนี้ ไฟก็ดับเสีย" พอนึกขึ้นได้ว่า พ่อสั่งไว้ว่า "เจ้าพึงบูชาไฟ อย่าให้ไฟดับ ถ้าไฟดับ นี้มีด นี้ฟืน นี้ไม้สีไฟ เจ้าพึงก่อไฟบูชา" ทางที่ดี เราควรก่อไฟบูชา ผมจึงเอามีดถากไม้สีไฟด้วยคิดว่า บางทีจะได้ไฟบ้าง แต่ไม่ได้ไฟเลย จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก... ๓ ซีก.. ๔ซีก...๕ ซีก.. ๑๐ ซีก...๒๐ ซีก...แล้วสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ ครั้นสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็นำมาโขลกในครก ครั้นโขลกในครกแล้วก็โปรยในที่มีลมแรงด้วยเข้าใจว่า บางทีจะได้ไฟบ้าง แต่ไม่ได้ไฟเลย

    ลำดับนั้น ชฎิลผู้บูชาไฟคนนั้นมีความคิดดังนี้ว่า "เด็กคนนี้ช่างโง่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย หาไฟโดยไม่ถูกวิธีจะได้อย่างไรเล่า" เมื่อเด็กนั้นกำลังดูอยู่ จึงหยิบไม้สีไฟมาสีให้เกิดไฟแล้วบอกกับเด็กนั้นดังนี้ว่า "ลูกเอ๋ย เขาติดไฟกันอย่างนี้ ไม่เหมือนเจ้าที่โง่ไม่่ฉลาดหาไฟโดยไม่ถูกวิธี"

    บพิตร พระองค์ก็เช่นเดียวกันทรงโง่เขลา ไม่ฉลาดนั่นแหละ แสวงหาโลกหน้าโดยไม่ถูกวิธี พระองค์โปรดสละทิฎฐิชั่วนั้นเถิด ปล่อยวางทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ทิฏฐิชั่วเช่นนั้นอย่าให้เกิดมีแก่พระองค์เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ ตลอดกาลนานเลย"

    [๔๒๙] ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมไม่อาจจะละทิฏฐิชั่วนี้ได้ พระเจ้าปเสนทิโกศลหรือพระราชานอกอาณาจักร ทรงรู้จักโยมอย่างนี้ว่า "เจ้าปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" หากโยมสละทิฏฐิชั่วนี้ จะมีคนว่าโยมได้ว่า "เจ้าปายาสินี้ช่างโง่ ไม่ฉลาด ยึดถือแต่สิ่งผิดๆ โยมจะถือทิฏฐินั้นต่อไปเพราะความโกรธ เพราะความลบหลู่ เพราะความแข่งดี"


     
  13. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยนายกองเกวียน ๒ คน

    [๔๓๐] บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับ คนฉลาดบางพวกในโลกนี้ เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพ่อค้าเกวียนหมู่ใหย่มีกเวียนประมาณ ๑,๐๐๐ เล่ม เดินทางจากแคว้นทางทิศตะวันออกไปยังแคว้นทางทิศตะวันตก ขณะเมื่อเดินทางไป หญ้า ฟืน น้ำ ใบไม้สดได้หมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว ในหมู่เกวียนนั้นมีนายกองเกวียน ๒ คน คุมเกวียนคนละ ๕๐๐ เล่ม นายกองเกวียนทั้ง ๒ คนนั้นได้ปรึกษากันว่า "กองเกวียนนี้เป็นหมู่ใหญ่ มีเกวียน ๑,๐๐๐ เล่ม เวลาที่พวกเราเดินทางรวมกันไป หญ้า ฟืน น้ำ ใบไม้สดหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว ทางที่ดีพวกเราควรแยกกองเกวียนี้ออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ แยกเป็นกลุ่มละ ๕๐๐ เล่ม" จึงตกลงแยกกันเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มละ ๕๐๐ เล่ม นายกองเกวียนกองหนึ่งบรรทุกหญ้า ฟืนและน้ำเป็นอันมากขับเกวียนล่วงหน้าไปก่อน เืมื่อไปได้ ๒-๓ วัน ได้พบบุรุษผิวดำนัยน์ตาแดงสะพายแล่งธนู ทัดดอกโกมุท มีผ้าและผมเปียกปอน ขับรถคันงามมีล้อเปื้อนตามสวนทางมา จึงถามว่า "ท่านมาจากไหน"
    บุรุษนั้นตอบว่า "เรามาจากที่โน้น"

    นายกองเกวียนถามว่า "ท่านจะไปไหน"

    บุรุษนั้นตอบว่า "เราจะไปที่โน้น"

    นายกองเกวียนถามว่า "หนทางกันดารข้างหน้ามีฝนตกมากใช่ไหม"

    บุรุษนั้นตอบว่า "ใช่ครับ หนทางกันดารข้างหน้ามีฝนตกมาก หนทางมีน้ำชุ่มฉ่ำ มีหญ้า ฟืนและน้ำมากมาย พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืนและน้ำเก่าเสียเถิด เกวียนเบาท่านจะเดินทางได้เร็วขึ้น วัวก็ไม่ต้องลำบาก"

    ลำดับนั้น นายกองเกวียนเรียกพวกขับเกวียนมาบอกว่า "บุรุษนี้บอกว่า หนทางกันดารข้างหน้ามีฝนตกมาก หนทางมีน้ำชุ่มฉำ่ มีหญ้า ฟืน และน้ำมากมาย พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน และน้ำเก่าเสียเถิด เกวียนเบาท่านจะเดินทางได้เร็วขึ้น วัวก็ไม่ต้องลำบาก พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืนและน้ำเก่า จงขับเกวียนเบาไปเถิด"

    พวกคนขับเกวียนรับคำของนายกองเกวียนแล้วทิ้งหญ้า ฟืน และน้ำเก่า ขับเกวียนเบาไป แต่ก็มิได้พบเห็นหญ้า ฟืน และน้ำแม้ใที่พักกองเกวียนแห่งแรก แห่งที่ ๒ แห่งที่ ๓ แห่งที่ ๔ แห่งที่ ๕ แห่งที่ ๖ แห่งที่ ๗ ก็ไม่พบ จึงถึงความวอดวายด้วยกัน มนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในกอเกวียนนั้นถูกอมนุษย์คือยักษืจับกินเสียทั้งหมดเหลือแต่กระดูก

    ต่อมา เมื่อนายกองเกวียนคณะที่ ๒ รู้สึกว่า เวลานี้กองเกวียนคณะแรกได้ออกเดินทงไปนานแล้ว จึงบรรทุกหญ้า ฟืนและน้ำเป็นอันากแล้วขับเกวียนไป เมื่อไปได้ ๒-๓ วัน ได้พบบุรุษผิวดำนัยน์ตาแดงสะพายแล่งธนู ทัดดอกโกมุท มีผ้าและผมเปียกปอน ขับรถคันงามมีล้อเปื้อนตมสวนทางมา จึงถามว่า "ท่านมาจากไหน"

    บุรุษนั้นตอบว่า "เรามาจากที่โน้น"

    นายกองเกวียนถามว่า "ท่านจะไปไหน"

    บุรุษนั้นตอบว่า "เราจะไปที่โน้น"

    นายกองเกวียนถามว่า "หนทางกันดารข้างหน้ามีฝนตกมากใช่ไหม"

    บุรุษนั้นตอบว่า "ใช่ครับ หนทางกันดารข้างหน้ามีฝนตกมาก หนทางมีน้ำชุ่มน้ำ มีหญ้า ฟืนและน้ำมากมาย พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืนและน้ำเก่าเสียเถิด เกวียนเบาท่านจะเดินทางได้เร็วขึ้น วัวก็ไม่ต้องลำบาก"

    ลำดับนั้น นายกองเกวียนเรียกพวกขับเกวียนมาบอกว่า "บุรุษนี้บอกว่า หนทางกันดารข้างหน้ามีฝนตกมาก หนทางมีน้ำชุ่มฉ่ำ มีหญ้า ฟืน และน้ำมากมาย พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืนและน้ำเก่าเสียเถิด เกวียนเบาท่านจะเดินทางได้เร็วขึ้น วัวก็ไม่ต้องลำบาก ท่านทั้งหลาย บุรุษผู้นี้ไม่ใช่มิตรหรือญาติสาโลหิตของพวกเรา พวกเราจะเชื่อเขาได้อย่างไร พวกท่านไม่ควรทิ้งหญ้า ฟืนและน้ำเก่า จงขับกองเกวียนไปพร้อมกับสิ่งของตามที่นำมาเถิด พวกเราจะไม่ทิ้งของเก่า

    พวกขับเกวียนรับคำของนายกองเกวียนแล้ว ขับเกวียนไปพร้อมกับสิ่งของตามที่นำมา พวกเขาไม่พบเห็นหญ้า ฟืน หรือน้ำในที่พักกองเกวียนแห่งแรก แห่งที่ ๒ แห่งที่ ๒ แห่งที่ ๔ แห่งที่ ๕ แห่งที่ ๖ แห่งที่ ๗ ก็ไม่พบเลย เห็นแต่กองเกวียน)คณะแรก)ที่ถึงความวอดวาย และเห็นมนุษาย์และสัตว์เลี้ยงในกองเกวียนนั้น ซึ่งถูกอมนุษย์คือยักษ์จับกินเสียทั้งหมดเหลือแต่กระดูก

    ลำดับนั้น นายกองเกวียนจึงเรียกพวกขับเกวียนมาบอกว่า "นี้คือหมู่เกวียน (คณะแรก) นั้นได้ถึงความวอดวาย ทั้งนี้เพราะนายกองเกวียนผู้นำเป็นคนโง่เขลา ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงทิ้งสิ่งของที่มีประโยชน์น้อยในกองเกวียนของเราแล้ว จงขนเอาสิ่งที่มีประโยชน์มากในกองเกวียนนี้ไป

    พวกขับเกวียนรับคำของนายกองเกวียนแล้ว สิงของที่มีประโยชน์น้อยในเกวียนของตน ขนเอาสิ่งของที่มีประโยชน์มากในหมู่เกวียนนั้น เดินทางข้ามทางกันดารไปได้โดยสวัสดิภาพ ทั้งนี้เพราะนายกองเกวียนผู้นำเป็นคนฉลาด

    บพิตร พระองค์ทรงโ่ง่เขลา ไม่ฉลาด ทรงแสวงหาโลกอื่นโดยไม่ถูกวิธี จะถึงความพินาศ ก็เช่นเดียวกับนายกองเกวียนคนแรกนั้นแหละ พวกคนที่เข้าใจว่าทิฏฐิของพระองค์ควรฟัง ควรเชื่อถือเหล่านั้น ก็จะถึงความพินาศเหมือนกัน ฉะนั้นพระองค์โปรดละทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ปล่อยวางทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ทิฏฐิชั่วเช่นนั้น อย่าได้เกิดมีแก่พระองค์เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานเลย

    [๔๓๑] ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้น ก็จริง แต่โยมไม่อาจละทิฏฐิชั่วนี้ได้ พระเจ้าปเสนทิโกศลหรือพระราชานอกอาณาจักรทรงรู้จักโยมอย่างนี้ว่า เจ้าปายาสิทรงมีวาทะอย่างนี้ ทรงมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" หากโยมสละทิฏฐิชั่วนี้ จะมีคนว่าโยมได้ว่า "เจ้าปายาสินี้ช่างโง่เขลา ไม่ฉลาด ยึดถือแต่สิ่งผิดๆ โยมจะถือทิฏฐินั้นต่อไป เพราะความโกรธ เพราะความลบหลู่ เพราะความแข่งดี"
     
  14. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยคนทูนห่ออุจจาระ

    [๔๓๒] บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมาภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับ คนฉลาดบางพวกในโลกนี้ เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เรื่องเคยมีมาแล้ว มีบุรุษผู้เลี้ยงสุกรคนหนึ่งออกจากหมู่บ้านของตนไปยังหมู่บ้านอื่น เห็นอุจจาระแห้งจำนวนมากที่เขาทิ้งไว้ในบ้านนั้น จึงมีความคิดดังนี้ว่า "อุจจาระแห้งมากมายที่เขาทิ้งนี้เป็นอาหารของสุกรของเรา ทางที่ดี เราควรนำอุจจาระแห้งไปจากนี้" จึงปูผ้าห่มลงแล้วโกยเอาอุจจาระแห้งจำนวนมาก ผูกเป็นห่อทูนเดินไปในระหว่างทาง เขาถูกฝนห่าใหญ่นอกฤดูกาล ตกรดเปรอะเปื้อนไปด้วยอุจจาระ ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเล็บ (เท้า) ทูนเอาห่ออุจจาระที่ล้นไหลเดินไป

    ชาวบ้านเห็นเขาจึงถามว่า "ท่านบ้าหรือเปล่า เสียจริตหรือเปล่า ทำไมจึงเปรอะเปื้อนด้วยอุจจาระตั้งแต่ศีรษะจดปลายเล็บ ทูนห่ออุจจาระที่ล้นไหลอยู่เล่า"

    บุรุษนั้นตอบว่า "พวกท่านต่างหากที่บ้า พวกท่านต่างหากที่เสียจริต ความจริงอุจจาระเป็นอาหารของสุกรของเรา"

    บพิตร พระองค์ก็เช่นเดียวกับบุรุษผู้ทูนห่ออุจจาระเดินไปนั่นแหละ พระองค์โปรดละทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ปล่อยวางทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ทิฏฐิชั่วเช่นนั้นอย่าได้เกิดมีแก่พระองค์เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ ตลอดกาลนานเลย

    [๔๓๓] ท่านกัสสปะพูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมไม่อาจละทิฏฐิชั่วนี้ได้ พระเจ้าปเสนทิโกศลหรือพระราชนอกอาณาจักรรู้จักโยมอย่างนี้ว่า เจ้าปายาสิทรงมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่ แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี หากโยมละทิฏฐิชั่วนี้จะมีคนว่าโยมได้ว่า เจ้าปายาสินี้ช่างโง่เขลาไม่ฉลาด ยึดถือแต่สิ่งผิดๆ โยมจะถือทิฏฐินั้นต่อไป เพราะความโกรธ เพราะความลบหลู่ เพราะความแข่งดี

    อุปมาด้วยนักเลงสกา

    [๔๓๔] บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมาภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับ คนฉลาดบางคนในโลกนี้ เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เรื่องเคยมีมาแล้ว มีนักเลงสกา ๒ คนกำลังเล่นสกา คนหนึ่งกลืนเบี้ยที่จะทำให้แพ้ลูกแล้ว ลูกเล่า อีกคนหนึ่งเห็นเช่นนั้นจึงพูดว่า เพื่อนเอ๋ย ท่านชนะอยู่ฝ่ายเดียว จงคืนลูกสกาแก่เราบ้าง เราจะเซ่นบูชา นักเลงสกาคนนั้นรับคำแล้วมอบลูกสกาคืน ต่อมานักเลงสกาคนที่ ๒ เอายาพิษทาลูกสกาแล้วบอกว่า มาเถิด เพื่อน เราจักเล่นสกากันต่อ นักเลงสกาคนแรกรับคำแล้ว

    แม้ครั้งที่ ๒ นักเลงสกาทั้ง ๒ ก็เล่นสกากันต่อ แม้ครั้งที่ ๒ นักเลงสกาคนแรกก็ยังกลืนเบี้ยที่จะทำให้แพ้ลูกแล้วลูกเล่า นักเลงสกาคนที่ ๒ เห็นนักเลงคนแรกกลืนเบี้ยที่จะทำให้แพ้ลูกแล้วลูกเล่า แม้ครั้งที่ ๒ จึงได้พูดกับนักเลงสกาดังนี้ว่า

    คนกลืนลูกสกาเคลือบยาพิษ
    อย่างแรงกล้าก็ยังไม่รู้ตัว
    เฮ้ย เจ้านักเลงชั่ว เจ้าจงกลืนเข้าไป
    พิษร้ายแรงจักออกฤทธิ์แก่เจ้าภายหลัง

    บพิตร พระองค์ก็เช่นเดียวกับนักเลงสกานั่นแหละ โปรดสละทิฏฐิชั่วน้นเถิด ปล่อยวางทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ทิฏฐิชั่วเช่นนั้นอย่าได้เกิดมีแก่พระองค์เพื่อไม่เกื้อกูลตลอดกาลนานเลย

    [๔๓๕] ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมไม่อาจสละทิฏฐิชั่วนี้ได้ พระเจ้าปเสนทิโกศลหรือพระราชานอกอาณาจักรรู้จักโยมอย่างนี้ว่า "เจ้าปายาสิมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี หากโยมละทิฏฐิชั่วนี้ จะมีคนว่าโยมได้ว่า เจ้าปายาสินี้ช่างโง่เขลา ไม่ฉลาด ยึดถือแต่สิ่งผิดๆ โยมจะยึดถือทิฏฐินั้นต่อไป เพราะความโกรธ เพราะความลบหลู่ เพราะความแข่งดี"


     
  15. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    อุปมาด้วยคนหอบเปลือกป่าน

    [๔๓๖] ท่านพระกัสสปะถวายพระพรว่า "บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับ คนฉลาดบางพวกในโลกนี้ เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เรื่องเคยมีมาแล้ว ณ เมืองแห่งหนึ่ง สหายผู้หนึ่งเรียกสหายมาบอกว่า มาเถิด เพื่อน เราจะเข้าไปยังเมืองนั้น บบางทีจะได้ทรัพย์ในเมืองนั้นบ้าง สหายคนที่ ๒ รับคำของเพื่อนแล้ว พากันเข้าไปยังชนบทถึงถนนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นเปลือกป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายในที่นั้น สหายคนแรกบอกสหายคนที่ ๒ ว่า "เพื่อนเอ๋ย เขาทิ้งเปลือกป่านไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงผูกเปลือกป่านไป ๑ มัด เราจะผูกอีก ๑ มัด เรา ๒ คนจะช่วยกันขนเปลือกป่านไป" สหายคนที่ ๒ รับคำแล้วผูกเปลือกป่าน ๑ มัดแล้ว ต่างช่วยกันหอบเปลือกป่านเข้าไปยังถนนในหมู่บ้านอีกสายหนึ่ง ไ้ด้เห็นด้ายป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายในที่นั้น สหายคนแรกจึงบอกสหายอีกคนหนึ่งว่า "เพื่อนเอ๋ย เราจะปรารถนาเปลือกป่านไปเพื่ออะไร นี่ด้านป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด เราก็จะทิ้งเหมือนกัน เรามาช่วยกันนำมัดด้ายป่านไปเถิืด" สหายคนที่ ๒ ตอบว่า "เพื่อนเอ๋ย เราหอบมัดเปลือกป่านนี้มาตั้งไกล อีกทั้งมัดไว้เรียบร้อยดีแล้ว เราจะไม่ทิ้งล่ะ ท่านจงทราบเถิด"

    ลำดับนั้น สหายคนแรกทิ้งมัดเปลือกป่านแล้วนำมัดด้ายป่าน

    สหายทั้งสองพากันเข้าไปยังถนนในหมู่บ้านอีกสายหนึ่ง ได้เห็นผ้าป่านที่เขาทิ้งไว้มากมายในที่นั้น สหายคนแรกจึงบอกสหายอีกคนหนึ่งว่า "เราจะปรารถนาเปลือกป่านและด้ายป่านไปเพื่ออะไร นี้ผ้าป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสีย เราก็จะทิ้งมัดด้ายป่านเหมือนกัน พวกเรามาช่วยกันนำมัดผ้าป่านไปเถิด" สหายคนที่ ๒ ตอบว่า "เพื่อนเอ๋ย
    เราหอบมัดเปลือกป่านมาตั้งไกล อีกทั้งมัดไว้เรียบร้อยดีแล้ว เราจะไม่ทิ้งละ ท่านจงทราบเถิด"

    ลำดับนั้น สหายคนแรกทิ้งมัดด้ายป่านแล้วนำมัดผ้าป่านไป

    สหายทั้งสองพากันเข้าไปยังถนนในหมู่บ้านอีกสายหนึ่ง ไ้ด้เห็นเปลือกไม้โขมะที่เขาทิ้งไว้มากมาย ฯลฯ ด้ายเปลือกไม้โขมะที่เขาทิ้งไว้มากมาย ฯลฯ ผ้าเปลือกไม้โขมะ ที่เขาทิ้งไว้มากมายฯลฯ ลูกผ้ายที่เขาทิ้งไว้มากมาย ฯลฯ ด้ายฝ้ายที่เขาทิ้งไว้มากมาย ฯลฯ ผ้าฝ้ายที่เขาทิ้งไว้มากมาย ฯลฯ เหล็กที่เขาทิ้งไว้มากมาย ฯลฯ โลหะ (โลหะในที่นี้หมายถึงทองแดง) ที่เขาทิ้งไว้มากมาย ฯลฯ ดีบุกที่เขาทิ้งไว้มากมาย ฯลฯ สำริดที่เขาทิ้งไว้มากมาย ฯลฯ เงินที่เขาทิ้งไว้มากมาย ฯลฯ ทองที่เขาทิ้งไว้มากมายในที่นั้น สหายคนแรกจึงบอกสหายอีกคนหนึ่งว่า "เพื่อนเอ๋ย เราจะปรารถนาเปลือกป่าน ด้านป่าน ผ้าป่าน เปลือกไม้เขมะ ด้ายเปลือกไม้เโขมะ ผ้าเปลือกไม้โขมะ ลูกฝ้าย ด้ายฝ้าย ผ้าฝ้าย เหล็ก โลหะ ดีบุกก สำริด หรือเงินไปเพื่ออะไรกัน นี้ทองที่เขาทิ้งไว้มากมาย ท่านจงทิ้งมัดเปลือกป่านเสียเถิด เราก็จะทิ้งห่อเงินเหมือนกัน พวกเรามาช่วยกันนำห่อทองไปเถิด" สหายคนที่ ๒ ตอบว่า "เพื่อนเอ๋ย เราหอบมัดเปลือกป่านนี้มาตั้งไกล อีกทั้งมัดไว้เรียบร้อยดีแล้ว เราจะไม่ทิ้งละ ท่านจงทราบเถิด"

    ลำดับนั้น สหายคนแรกทิ้งห่อเงินแล้วนำห่อทองไป

    สหายทั้งสองพากันเข้าไปยังหมู่บ้านของตนๆ ในบรรดาสหายทั้ง ๒ คนนั้น คนที่หอบมัดเปลื่อกป่านไป ไม่ได้รับความชื่นชมยินดีจากมารดาบิดา ไม่ได้รับความชื่นชมยินดีจากบุตรภรรยา ไม่ได้รับความชื่นชมยินดีจากมิตรอำมาตย์ อีกทั้งไม่ได้รับความสุขโสมนัสที่เกิดจากการหอบเปลือกป่านนั้น ส่วนสหายอีกคนหนึ่งที่นำห่อทองไป ได้รับความชื่นชมยินดีจากมารดาบิดา ได้รับความชื่นชมยินดีจากบุตรภรรยา ได้รับความชื่นชมยินดีจากมิตรอำมาตย์ อีกทั้งได้รับความสุโสมนัสที่เกิดจากการนำห่อทองนั้น

    บพิตร พระองค์ก็เช่นเดียวกันกับบุรุษผู้ขนมัดเปลือกป่านไม่เกื้อกูลนั่นแหละ พระองค์โปรดสละทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ปล่อยวางทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ทิฏฐิชั่วเช่นนั้นอย่าได้มีแก่พระองค์เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานเลย"




     
  16. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    เจ้าปายาสิทรงรับสรณคมน์

    [๔๓๗] เจ้าปายาสิตรัสว่า "เพียงอุปมาโวหารข้อแรกของท่านกัสสปะเท่านั้น โยมก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว แต่อยากจะฟังปฏิภาณในการตอบปัญหาที่วิจิตรเหล่านี้ จึงทำทีโต้แย้งท่านกัสสปะไปเท่านั้นเอง ภาษิตของท่านกัสสปะชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ภาษิตของท่านกัสสปะชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ท่านกัสสปะประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทางหรือตามประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า "คนมีตาดีจักเห็นรูปได้" โยมขอถึงพระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านกัสสปะโปรดจำโยมว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นจนตลอดชีวิต โยมปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านกัสสปะโปรดชี้แจงวิธีบูชามหายัญอันเป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่โยมตลอดกาลนานเถิด"

    ว่าด้วยยัญพิธี

    [๔๓๘] ท่านพระกุมารกัสสปะถวายพระพรว่า "บพิตร ยัญที่มีการฆ่าโค ๑ ยัญที่มีการฆ่าแพะ แกะ ๑ ยัญที่มีการฆ่าไก่ สุกร ๑ ยัญที่ทำให้สัตว์ต่างๆ ได้รับความเดือดร้อน ๑ และผู้รับ (ยัญ) ก็เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ มีมิจฉาสังกัปปะ มีมิจฉาวาจา มีมิจฉากัมมันตะ มีมิจฉาอาชีวะ มีมิจฉาวายามะ มีมิจฉาสติ มีมิจฉาสมาธิ เช่นนี้ ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ไม่มีความแพร่หลายมาก เปรียบเหมือนชาววนาถือเมล็ดพืชและไถไปป่าแล้วหว่านเมล็ดพืชที่หัก เน่า ถูกลมแดดแผดเผาแล้ว ลีบ ยังไม่สุกดีลงในนาไร่ที่ไม่ดี มีพื้นที่ไม่เหมาะไม่แผ้งถางตอและหนามให้หมดไป ทั้งฝนก็ไม่ตกตามฤดูกาล เมล็ดพืชเหล่านั้นจะเจริญงอกงามไพบูลย์ หรือชาวนาจะได้รับผลอันไพบูลย์หรือ"

    เจ้าปายาสิตรัสตอบว่า "ไม่เป็นอย่างนั้นเลย ท่านกัสสปะ"

    ท่านพระกุมารกัสสปะถวายพระพรว่า "บพิตร ยัญที่มีการฆ่าโค ๑ ยัญที่มีการฆ่าแพะ แกะ ๑ ยัญที่มีการฆ่าไก่ สุกร ๑ ยัญที่ทำให้สัตว์ต่างๆ ได้รับความเดือดร้อน ๑ และผู้รับ (ยัญ) ก็เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ มีมิจฉาสังกัปปะ มีมิจฉาวาจา มีมิจฉากัมมันตะ มีมิจฉาอาชีวะ มีมิจฉาวายามะ มีมิจฉาสติ มีมิจฉาสมาธิเช่นนี้ ย่อมไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองมากไม่มีความแพร่หลายมาก ส่วนยัญที่ไม่มีการฆ่าโค ๑ ยัญที่ไม่มีการฆ่าแพะ แกะ ๑ บัญที่ไม่มีการฆ่าไก่ สุกร ๑ ยัญที่ไม่ทำให้สัตว์ต่างๆ ได้รับความเดือดร้อน ๑ และผู้รับก็เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาวาจา มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาอาชีวะ มีสัมมาวายามะ มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิเช่นนี้ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มากมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความแพร่หลายมาก เปรียบเหมือนชาวนาถือเมล็ดพืชและไถไปป่าแล้วหว่านเมล็ดพืชที่ไม่หัก ไม่เน่า ไม่ถูกลมแดดแผดเผา มีเมล็ดสุกดีลงในนาไร่ที่ดีมีพื้นที่เหมาะ แผ้วถางตอและหนามให้หมดไป ทั้งฝนก็ตกตามฤดูกาลพืชเหล่านั้นจะเจริญงอกงามไพบูลย์ หรือชาวนาจะได้รับผลอันไพบูลย์หรือ"

    เจ้าปายาสิตรัสตอบว่า "เป็นอย่างนั้น ท่านกัสสปะ"

    ท่านพระกุมารกัสสปะถวายพระพรว่า "ยัญที่ไม่มีการฆ่าโค ๑ ยัญที่ไม่มีการฆ่าแพะ แกะ ๑ ยัญที่ไม่มีการฆ่าไก่ สุกร ๑ ยัญที่ไม่ทำให้สัตว์ต่างๆ ได้รับความเดือดร้อน ๑ และผู้รับก็เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาวาจา มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาวายามะ มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิเช่นนี้ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความเจริญรุ่งเรืองมากมีความแพร่หลายมาก"


     
  17. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    เรื่องอุตตรมาณพ

    [๔๓๙] ต่อมา เจ้าปายาสิทรงเริ่มให้ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพกและพวกยากจก แต่ในทานนั้นท้าวเธอประทานโภชนะเห็นปานนี้ คือปลายข้าวมีน้ำผักดองเป็นกับ ได้ประทานผ้าเนื้อหยาบมีชายขอดเป็นปมๆ ในการให้ทานนั้น มีอุตตรมาณพเป็นเจ้าหน้าที่

    อุตตรมาณพให้ทานแล้วอุทิศอย่างนี้ว่า "ด้วยผลทานนี้ ข้าพเจ้าขออยู่ร่วมกับเจ้าปายาสิในโลกนี้เท่านั้น อย่าได้อยู่ร่วมกันอีกในโลกหน้าเลย"

    เจ้า ปายาสิทรงสดับว่า "ทราบว่า อุตตรมาณพให้ทานแล้วอุทิศอย่างนี้ว่า ด้วยผลทานนี้ ข้าพเจ้าขออยู่ร่วมกับเจ้าปายาสิในโลกนี้เท่านั้น อย่าได้อยู่ร่วมกันอีกในโลกหน้าเลย ต่อมา พระองค์จึงรับสั่งให้เรียกอุตตรมาณพมาตรัสถามว่า "พ่ออุตตระ เธอให้ทานแล้วอุทิศอย่างนี้ว่า "ด้วยผลทานนี้ ข้าพเจ้าขออยู่ร่วมกับเจ้าปายาสิในโลกนี้เท่านั้น อย่าได้อยู่ร่วมกันอีกในโลกหน้าเลย" จริงหรือ"

    อุตตรมาณพกราบทูลว่า "จริงอย่างนั้น กระหม่อม"

    เจ้า ปายาสิตรัสถามว่า "พ่ออุตตระ ก็เพราะเหตุใด เธอให้ทานแล้วจึงอุทิศอย่งนี้ว่า "ด้วยผลทานนี้ ฯลฯ อย่าได้อยู่ร่วมกันอีกในโลกหน้าเลย" พวกเราต้องการบุญ หวังผลทานจริงๆ มิใช่หรือ"

    อุตตรมาณพกราบทูลว่า "ในทานของพระองค์ยังมีการประทานโชนะเห็นปานนี้ คือปลายข้าวมีน้ำผักดองเป็นกับ ซึ่งพระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะถูกต้องแม้ด้วยพระบาท ไฉนจะเสวยเล่า อนึ่ง ผ้าก็เนื้อหยาบมีชายขอดเป็นปมๆ ซึ่งพระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะถูกต้องแม้ด้วยพระบาท ไฉนจะทรงนุ่งห่มเล่า พระองค์ทรงเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของพวกข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์จะชักจูงผู้ซึ่งเป็นที่รักเป็นที่พอใจไป ด้วยสิ่งที่ไม่น่าพอใจได้อย่างไรเล่า"

    เจ้าปายาสิตรัสว่า "พ่ออุตตระ ถ้าอย่างนั้น เธอจงจัดเตรียมโภชนะชนิดเดียวกับที่เราบริโภค จงจัดเตรียมผ้าชนิดเดียวกับที่เรานุ่งห่ม"

    อุตตรมาณพทูลรับสนองพระ ดำรัสแล้ว จัดเตรียมโภชนะชนิดเดียวกับที่เจ้าปายาสิเสวย และจัดเตรียมผ้าชนิดเดียวกับที่เจ้าปายาสิทรงนุ่งห่ม"

    อุตตรมาณพทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว จัดเตรียมโภชนะชนิดเดียวกับที่เจ้าปายาสิเสวย และจัดเตรียมผ้าชนิดเดียวกับที่เจ้าปาาสิทรงนุ่งห่ม

    [๔๔๐] ต่อมา เพราะเหตุที่เจ้าปายาสิทรงให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ทรงให้ทานด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ ทรงให้ทานโดยความไม่นอบน้อม แต่ทรงให้ทานอย่างโยนทิ้ง หลังจากถึงชีพิตักษัยแล้ว จึงเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นจาตุมหาราช (เข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นจาตุมหาราช ในที่นี้หมายถึงไปเกิดเป็นบริวารของท้าวเวสวัณมหาราช) คือ ได้วิมานว่างเปล่าชื่อเสรีสกวิมาน ส่วนอุตตรมาณพผู้เป็นเจ้าหน้าที่ในการให้ทานของเจ้าปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของเอง ให้ทานโดยความนอบน้อม ไม่ใช่ให้ทานอย่างโยนทิ้ง หลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์

    ปายาสิเทพบุตร

    [๔๔๑] สมัยต่อมา ท่านควัมปติไปพักกลางวัน ณ เสรีสกวิมานที่ว่างเปล่าอยู่เนืองๆ ลำดับนั้น ปายาสิเทพบุตรเข้าไปหาท่านพระควัมปติถึงที่อยู่ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร ท่านพระควัมปติถามปายสิเทพบุตรว่า "ท่านเป็นใคร"

    ปายาสิเทพบุตรตอบว่า "ข้าพเจ้าคือเจ้าปายาสิ ขอรับ"

    ท่า นพระควัมปติถามว่า "ท่านเป็นผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" จริงหรือ

    ปายาสิเทพบุตรตอบ ว่า "จริงขอรับ ข้าพเจ้าเคยมีทิฏฐิอย่างนั้นว่า "แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี" แต่พระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสปะได้ชี้นำให้ข้าพเจ้าออกจากทิฏฐิชั่วนั้นแล้ว"

    ท่านพระควัมปติถามว่า "ก็อุตตรมาณพผู้เป็นเจ้าหน้าที่ในการให้ทานของท่านไปเกิดที่ไหน"

    ปา ยาสิเทพบุตรตอบว่า "อุตตรมาณพผู้เป็นเจ้าหน้าที่ในการให้ทานของข้าพเจ้าให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานโดยความนอบน้อม ไม่ใช่ให้ทานอย่างโยนทิ้ง หลังจากตายแล้ว ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ส่วนข้าพเจ้าให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานโดยความไม่นอบน้อม ให้ทานอย่างโยนทิ้ง หลังจากตายแล้วเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นจาตุมหาราช คือ ได้วิมานว่างเปล่าชื่อเสรีสกวิมาน ท่านควัมปติขอรบ ขอท่านจงไปมนุษยโลกประกาศอย่างนี้ว่า "ท่านทั้งหลายจงให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือตนเอง ให้ทานโดยความนอบน้อม อย่ให้ทานอย่างโยนทิ้ง เจ้าปายาสิทรงให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ทรงให้ทานด้วยมือของพระองค์ ทรงให้ทานโดยความไม่น้อบน้อม ทรงให้ทานอย่างโยนทิ้ง หลังจากถึงชีพตักษัยแล้วได้เข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นจาตุ มหาราช คือได้วิมานว่างเปล่าชื่อ เสรีสกวิมาน ส่วนอุตตรมาณพผู้เป็นเจ้าหน้าที่ในการให้ทานของเจ้าปายาสินั้นให้ทานโดย เคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานโดยความนอบน้อม ไม่ใช่ให้ทานอย่างโยนทิ้ง หลังจากตายแล้วไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์"

    ต่อมา เมื่อท่านพระควัมปติกลับมาสู่มนุษยโลกแล้วได้ประกาศอย่างนี้ว่า

    ท่าน ทั้งหลาย จงให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานโดยความนอบน้อม อย่าให้ทานอย่างโยนทิ้ง เจ้าปายาสิทรงให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ทรงให้ทานด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ ทรงให้ทานโดยไม่นอบน้อม ทรงให้ทานอย่างโยนทิ้ง หลังจากชีพิตักษัยแล้วเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นจาตุมมหาราช คือได้วิมานว่างเปล่าชื่อเสรีสกวิมาน ส่วนอุตตรมาณพผู้เป็นเจ้าหน้าที่ในการให้ทานของเจ้าปายาสิให้ทานโดยความ เคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานโดยความนอบน้อม ไม่ใช่ให้ทานอย่างโยนทิ้ง หลังจากตายแล้วไปเกิดนสุคติโลกสวรรค์ ได้อยู่ร่วมกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์

    ปายาสิสูตรที่ ๑๐ จบ
     
  18. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอเชิญร่วมอบรมวิปัสสนากัมมัฏฐาน

    ณ วัดสมานสังฆวิเวก

    ๑๙๗ หมู่ ๖ บ้านโนนก่อ ตำบลหนองแวง อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร

    เนื่องในวันมาฆบูชา
    วันศุกร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ - วันจันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓



    กำหนดการ

    วันศุกร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

    ๐๙.๐๐ น. เปิดรับลงทะเบียนผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
    ตั้งกองผ้าป่าสามัคคีเพื่อสร้างศาลาและลานปฏิบัติธรรม ณ วัดสมานสังฆวิเวก (วัดป่าช้าบ้านโนนก่อ)
    ๑๘.๐๐ น. บวชเนกขัมมะ (บวชชีพราหมณ์)
    ๑๙.๐๐ น. สมาทานพระกัมมัฏฐาน เจริญจิตตภาวนา ฟังธรรมเทศนา

    วันเสาร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
    ปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน เจริญจิตตภาวนา ทำสมาธิ
    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

    ๗.๐๐ น. ร่วมทำบุญตักบาตรคณะสงฆ์ตำบลหนองแวง
    ปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน เจริญจิตตภาวนา ทำสมาธิ

    วันจันทร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓

    ๐๙.๐๐ น. ทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสร้างศาลาและลานปฏิบัติธรรมประจำตำบลหนองแวง อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร


     
  19. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอเชิญร่วมถวาย

    พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย
    มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    ณ วัดพระธาตุพนม
    จังหวัดนครพนม


    วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓
    ประมาณเวลา ๑๑.๐๐ น.

    เพื่อถวายวัดตังต่อไปนี้



    ๑. วัดชัยรัตนะรังศรี
    เมืองไกสอน พมวิหาน แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว
    ๒. วัดโพธิ์ชัย
    บ้านนาวใต้ เมืองไชยบุรี แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว
    ๓. วัดชัยยะมุงคุณไชยาราม
    บ้านบังเยาะ เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว
    ๔. วิทยาลัยสงฆ์จำปาสัก
    เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว
    ๕. โรงเรียนมัธยมสงฆ์
    วัดท่าหิน เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว
    ๖. โรงเรียนมัธยมสงฆ์
    วัดปากช่อง เมืองสองคอน แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว
    ๗. วัดอุดมไชยาราม
    บ้านพูพอน เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว
     

แชร์หน้านี้

Loading...