พระจูฬปันถก เอตทัคคะในทาง ผู้มีมโนยิทธิ (มีฤทธิ์ทางใจ)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ishakti, 11 มิถุนายน 2009.

  1. ishakti

    ishakti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +135
    พระจูฬปันถก พระปัญญาทึบผู้แตกฉาน

    สิบล่อหั่น ชีวิตพิสดาร

    เสฐียรพงษ์ วรรณปก /ราชบัณฑิต



    คุณสมบัติของท่าน ฟังดูขัดแย้งกัน คนปัญญาทึบทำไมจึงมีปัญญาแตกฉาน ไม่ขัดแย้งครับ ปัญญาทึบมาก่อนแต่ภายหลังเป็นผู้ฉลาดมีปัญญาแตกฉานครับ



    ท่านเป็นบุตรของธิดาธนเศรษฐีแห่งเมืองราชคฤห์ มารดาท่านเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูล จึงอยู่ในความกวดขันดูแลของพ่อแม่อย่างเคร่งครัด มิให้มีโอกาสคบกับบุรุษใดๆ เพื่อป้องกันความเสื่อมเสียอันจักเกิดแก่วงศ์ตระกูล แต่การเข้มงวดเช่นนั้นกลับกลายเป็นผลร้ายในภายหลัง หญิงสาวได้มีจิตปฏิพัทธ์แอบได้เสียกับคนใช้ในตระกูล เมื่อกลัวพ่อแม่รู้ความเข้าภายหลังจะลงโทษจึงชวนสามีหนีไปอยู่ที่อื่น อยู่กันตามประสายาจกในชนบท

    พักหนึ่ง นางก็ตั้งครรภ์ เมื่อจวนคลอดก็นึกถึงพ่อแม่ เกรงว่า คลอดลูกออกมาแล้วจะไม่ปลอดภัยและลำบาก จึงชวนสามีกลับบ้าน แต่สามีเกรงภัยจะมาถึงตัวจึงไม่ยินยอม นางฉวยโอกาสที่สามีไม่อยู่บ้านหนีกลับบ้าน

    สามีตามมาทันระหว่างทาง พากลับยังที่อยู่ของตน บังเอิญนางคลอดบุตรระหว่างทางบุตรน้อยจึงได้นามว่า "ปันถก" (แปลว่า ผู้คลอดระหว่างทาง)

    ต่อมาเมื่อตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง ก็เกิดเรื่องทำนองเดียวกัน บุตรก็คลอดระหว่างทางเช่นกับคนพี่ และได้ตั้งชื่อว่า "ปันถก" เหมือนกัน เพื่อให้เรียกไม่สับสน คนโตจึงมีชื่อว่า "มหาปันถก" (ปันถกคนโต) คนน้องได้ชื่อว่า "จูฬปันถก" (ปันถกคนเล็ก)

    ต่อมาสองสามีภรรยา นำมหาปันถกและจูฬปันถกไปฝากให้ตาและยายเลี้ยงเพราะทั้งสองไม่กล้ากลับไปสู้หน้าพ่อแม่ จึงไปมีชีวิตอยู่ตามยถากรรม ข้างฝ่ายมหาปันถกเกิดศรัทธาในพระศาสนา ขออนุญาตคุณตาไปบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่ออายุครบบวชก็ได้รับอุปสมบทจากพระพุทธองค์ บำเพ็ญสมณธรรมด้วยความพากเพียร ไม่ช้าไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมปฏิสัมภิทา (ความแตกฉานในธรรม) ท่านได้รับ "เอตทัคคะ" (ตำแหน่งความเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่น) ในทางมีความฉลาดในปัญญาวิวัฏฏะ (คือฉลาดเชี่ยวชาญในวิปัสสนา) นี้เป็นเรื่องของพระผู้พี่

    ส่วนเรื่องราวของพระผู้น้องก็มีว่าเมื่อพระมหาปันถกได้บรรลุธรรม มีความแตกฉานแล้ว ก็นึกถึงน้องชาย จึงไปขออนุญาตโยมตาเอาน้องชายมาบวชอยู่ด้วย จูฬปันถกน้องชายท่าน มีคุณสมบัติไม่เหมือนกับพี่ชายคือ เป็นคนมีปัญญาทึบ หัวช้า ท่องจำอะไรไม่ค่อยได้

    บวชมาแล้วก็ไม่สามารถท่องบ่นสาธยายอะไรได้ กระทั่ง " คาถา" (คือโศลก) ๔ บาท ใช้เวลาตั้ง ๓-๔ เดือน ก็ยังจำไม่ได้ คาถานั้นมีความว่า

    ปทฺมํ ยถา โกกนทํ สุคนฺธํ

    ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ

    องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ

    ตปนฺตมาทิจฺจมิวมนฺตลิกฺเข



    ดอกบัวโกกนท มีกลิ่นหอม

    บานแต่เช้า

    มีกลิ่นอบอวลฉันใด

    เธอจงดู พระอังคีรสเจ้า

    (พระพุทธเจ้า) ผู้รุ่งโรจน์

    ดุจพระอาทิตย์สว่างกลางหาวฉันนั้น

    ท่านพยายามท่องอยู่ตั้ง ๔ เดือนก็จำไม่ได้ พระมหาปันถกผู้พี่ชาย จึงออกปากขับไล่ ด้วยเกรงว่าน้องชายที่ปัญญาทึบทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จูฬปันถกถูกขับไล่ออกจากวัด ไม่รู้จะไปที่ไหน จึงได้แต่ยืนร้องไห้อยู่นอกพระอาราม

    ในระยะเวลานั้น หมอชีวกโกมารภัจจ์ ไปหาพระมหาปันถก ในฐานะที่ท่านเป็น "ภัตตุทเทสก์" (ผู้จัดพระไปกิจนิมนต์) ขอนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด อันมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตน ท่านก็จัดการให้ตามประสงค์ โดยเว้นจูฬปันถกน้องชายท่านไว้

    เมื่อได้เวลา หมอชีวกให้คนยกภัตตาหารเข้าไปถวายพระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ชีวก ยังมีพระภิกษุอยู่ในวัดมิใช่หรือ"

    พระมหาปันถกกราบทูลว่า "พระภิกษุมาด้วยกันหมดแล้ว พระเจ้าข้า ไม่มีอีกแล้ว"

    พระพุทธองค์ยังคงถามย้ำอยู่เช่นเดิม หมอชีวกจึงให้คนไปที่วัด เขากลับมารายงานว่า ที่วัดมีพระเต็มไปหมด พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่าให้ถามว่า รูปไหนชื่อจูฬปันถก เขาไปแล้วกลับมารายงานว่า ทุกรูปต่างก็บอกว่าตนชื่อจูฬปันถก พระองค์จึงตรัสบอกว่าสังเกตดูรูปไหนอ้าปากตอบก่อนให้จับแขนรูปนั้นทันที

    เขาไปอีกครั้ง ทำตามพระพุทธองค์ตรัสบอก พระรูปอื่นจำนวนมากหายวับไปกับตา เหลือแต่ท่านจูฬปันถกรูปเดียวและท่านก็ได้ตามไปยังคฤหาสน์หมอชีวก โกมารภัจจ์ในวันนั้น

    ถามว่าท่านจูฬปันถก ยืนร้องไห้อยู่ก่อนหน้านี้ ทำไมตอน (ที่กล่าวถึง) นี้จึงกลายเป็นพระผู้มีอิทธิฤทธิ์มากมายปานนั้น คำตอบก็คือ ขณะที่ท่านยืนร้องไห้อยู่นั้น พระพุทธเจ้าเสด็จมา ทรงซักถามปัญหาของท่านแล้วช่วยเหลือท่านด้วยพระมหากรุณา

    คือให้ท่านนั่งลง เอามือลูบผ้าขาวพร้อมบริกรรมว่า "รโชหรณํ" (อ่านว่า "ระโชหะระนัง" แปลว่า ผ้าเช็ดธุลี) ติดต่อกันท่านนั่งลูบผ้าขาวพลาง บริกรรมไปพลาง (คือท่องเบาๆ) ว่า "รโชหรณํๆๆๆ"

    เมื่อระยะเวลาผ่านไป จิตของท่านก็เป็นสมาธิ ลืมโลกภายนอกหมด เมื่อผ้าขาวหมองคล้ำเพราะเหงื่อมือปรากฏให้เห็น ก็ได้ความคิดเปรียบเทียบว่า ผ้าที่ขาวสะอาดเมื่อกี้นี้ บัดนี้กลับเศร้าหมอง เพราะเหงื่อมือฉันใด จิตคนเราเดิมสะอาดอยู่แล้ว เมื่อราคะ โทสะ โมหะ มาครอบงำ ย่อมกลายเป็นจิตที่เศร้าหมองฉันนั้น

    พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ เข้าสู่ทางวิปัสสนา ไม่ช้าไม่นาน ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมอภิญญา (ความสามารถพิเศษเหนือสามัญวิสัย) เพราะเหตุนี้แล เมื่อคนของหมอชีวกไปในวัด ท่านจึงนิรมิตร่างกายให้มีเป็นร้อยเป็นพันอยู่เต็มวัด จนเขาวิ่งหน้าตาตื่นไปรายงานหมอชีวก

    เรื่องพระจูฬปันถก ให้แง่คิดอย่างดีสำหรับครู ครูที่ไม่รู้นิสัย อุปนิสัย และอธิมุติ (ผมแปลว่าความถนัด) ของศิษย์ ย่อมสอนศิษย์ไม่สำเร็จผล ครูจะต้องเรียนรู้จุดเด่นจุดด้อยของศิษย์และมีเทคนิควิธีสอนที่เหมาะกับผู้เรียน การสอนจึงจะสัมฤทธิผล

    พระพี่ชายไม่รู้จักน้องชายดี จึงสอนน้องชายไม่ถูกทาง คนหัวไม่ดี เกณฑ์ให้ท่องหนังสือ ย่อมยากจะท่องได้

    แต่พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีอื่น ไม่ให้ท่านท่อง คือทรงให้ท่านลูบผ้าขาว ซึ่งก็คือทรงบอกวิธีปฏิบัติกรรมฐานนั้นเอง เพียงแต่ไม่ตรัสบอกโดยตรงเท่านั้น เมื่อไม่ต้องท่องให้ทำเฉยๆ ท่านจูฬปันถกก็มีกำลังใจ เชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น หลังจากปฏิบัติตามพระพุทธองค์แล้ว ก็เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในที่สุด ดังกล่าวแล้ว

    พระจูฬปันถกได้รับเอตทัคคะในทาง ผู้มีมโนยิทธิ (มีฤทธิ์ทางใจ) เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนา เมื่อถึงเวลาก็นิพพานไปตามอายุขัย

    หน้า 31


    ˹ѧ
     
  2. ประตูสู่ทางสว่าง

    ประตูสู่ทางสว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +1,173
    ผ้าที่ขาวสะอาดเมื่อกี้นี้ บัดนี้กลับเศร้าหมอง เพราะเหงื่อมือฉันใด จิตคนเราเดิมสะอาดอยู่แล้ว เมื่อราคะ โทสะ โมหะ มาครอบงำ ย่อมกลายเป็นจิตที่เศร้าหมองฉันนั้น
    อนุโมทนา ครับ
     
  3. Pleiadi

    Pleiadi สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2004
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +8
    โมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...