พระอรหันต์ผ้าขี้ริ้ว โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 16 พฤษภาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]

    วันนี้เราก็มาคุยกันเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ขอให้ชื่อเรื่องว่า“พระอรหันต์ผ้าขี้ริ้ว” แต่ว่าไม่ใช่พระอรหันต์ขี้ริ้วนะ อรหันต์ไม่มีขี้ริ้ว แต่ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เพราะผ้าขี้ริ้วเป็นสำคัญ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เรื่องนี้ ในท้องเรื่องของท่านมีนามว่า พระนังคลกูฏเถระ (พระนังคะละกูฏเถระ) อาตมาอยากจะเรียกว่าพระไถ แต่ไถอันนี้ไม่ใช่ไถเงินไถทอง เป็น พระคันไถ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เนื้อความมีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในที่พระเชตวันมหาวิหาร สมเด็จพระพิชิตมารทรงปรารถกับ พระนังคลกูฏเถระ ธรรมเทศนานี้ว่า “อัตตนา โจทยัตตานัง”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    นี่ที่อาตมาเตือนท่านไว้เสมอว่า คำนี้ จงจำไว้ใส่ใจ คนเราถ้าเตือนตนเองได้เมื่อไรดีเมื่อนั้น ถ้าลืมตัวเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น ยิ่งลืมมากเท่าไรเลวมากเท่านั้น บางทีบางคนที่ฟังมาก ๆ ก็เลยเมา เป็นเสือกระดาษ เสือเสียง และความรู้ที่ได้สดับฟังไปและที่อ่านไปก็ไปคุยโวโอ้อวดกะชาวบ้านว่าเป็นผู้วิเศษ นั่นแหละเป็นความเลว<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    จำเรื่องเถรใบลานเปล่าได้ไหม เถรใบลานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประณามว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก แต่ว่าจิตของท่านนั้นไม่ได้ตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงประณามว่า<o:p></o:p>
    “ท่านใบลานเปล่า”<o:p></o:p>
    “ท่านใบลานเปล่ามาแล้วรึ”<o:p></o:p>
    “ท่านใบลานเปล่านั่งอยู่ตรงนี้รึ”<o:p></o:p>
    “ท่านใบลานเปล่าไปแล้วรึ”<o:p></o:p>
    ถ้าหากว่าเป็นสมัยนี้จะหาว่าเสียดสีเยาะเย้ยใช้ไหม ทำดีก็ว่า ทำชั่วก็ว่า เอ๊ะ ความจริงทำดีไม่มีใครเขาด่า แต่อาตมาเองอาตมาขี้เกียจว่าใคร นาน ๆ ก็จะงัดขึ้นมาตามเครื่องขยายเสียงสักที อันนี้อย่างนี้ก็เป็นการเตือนยับยั้งกันไว้ อ่านเรื่องราวของท่านนี่เผอิญไปเจอบาลีบทนี้เข้าพอดี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บาลีว่า ดังได้สดับมา บุรุษผู้เข็ญใจคนหนึ่ง ทำการรับจ้างของบรรดาประชาชนเหล่าอื่นเลี้ยงชีพ ภิกษุรูปหนึ่งเห็นเขานุ่งผ้าท่อนเก่า ๆ มันขาดแล้วขาดอีก แบกไถ “นังคละ” เดินมา เช้าแบกออก บ่ายแบกเข้า แบกกันอยู่อย่างนั้นแหละ ก็เป็นลูกจ้างเขานี่<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พระจึงกล่าวว่า“นี่พ่อคุณ เธอจะบวชเสียไม่ได้หรือ ถ้าบวชเธอคิดว่าดีกว่านี้ หรือว่าไม่บวช รับจ้างเขาอยู่อย่างนี้เป็นของดี”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    มนุษย์ผู้เข็ญใจคนนั้นฟังพระว่าก็ชื่นใจ จึงได้กล่าวว่า พระคุณเจ้าขอรับ แล้วคนจนอย่างผมนี่ใครเขาจะให้ผมบวช ผมบวชได้หรือขอรับ”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พระองค์นั้นก็บอกว่า “ถ้าหากเธอจะบวช ฉันก็จะบวชให้”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    มนุษย์ผู้เข็ญใจจึงกล่าวว่า “ดีแล้วขอรับ ถ้าอย่างนั้นก็จะบวช ขอพระคุณท่านโปรดให้กระผมบวชเถิดขอรับ”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านกล่าวว่า ลำดับนั้นพระเถระนำเข้าไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร ให้อาบน้ำแล้วด้วยมือของตน พักไว้ที่โรง แล้วให้บวช<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เป็นอันว่าสมัยนั้นเป็นพระให้บวชด้วย ติสรณคมนูปสัมปทา คือสมาทานไตรสรณคมน์ทั้งสามประการใช้ได้ ให้เขาเก็บไถพร้อมกับผ้าท่อนเก่าที่เขานุ่ง ให้เก็บไว้ที่กิ่งไม้ใกล้เขตแดนแห่งโรงนั้น<o:p></o:p>
    ในเวลาอุปสมบท เธอได้นามว่า “นังคลกูฏเถระ” แหม..ชื่อเพราะนะ เอาคันไถเข้าไปใส่ไว้ด้วย เป็นพระไถ อาตมาให้นามว่า “พระอรหันต์ผ้าขี้ริ้ว”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พระนังคลกูฏเถระนั้น อาศัยลาภสักการะที่เกิดขึ้นเพื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อาศัยเลี้ยงชีพอยู่ หมายความว่า ในที่นั้นลาภสักการะมันจะเข้ามาได้ก็อาศัยความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อย่างกับที่ที่พระอยู่เหมือนกัน จะสร้างสักกี่หลังพร้อม ๆ กัน ขึ้นคราวละ 10 หลัง 10 หลังเศษเป็นเงินนับเป็นล้าน ๆ เราก็ทำกันได้ นี่ไม่ใช่ความดีของเรา เป็นความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พวกเรานำมาประพฤติปฏิบัติ อย่านึกว่าเป็นความดีของเราเลย ถ้านึกว่าเป็นความดีของเรา ท่านก็จะไปอยู่กับพระเทวทัต<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ที่เรามีที่กินที่อาศัย มีผ้าใช้มียารักษาโรค มีอาหารกิน มีเวลาประพฤติปฏิบัติ ได้สดับฟังความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ก็เพราะว่าเป็นบุญบารมีของพระพุทธเจ้า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ที่เรากำลังนั่งกินนั่งนอนอยู่ในเวลานี้ ถ้าใครทำตนเป็นคนน่าบัดสีอกตัญญูไม่รู้คุณองค์สมเด็จพระมหามุนีนั้นเลวเต็มที<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านกล่าวว่า เมื่อเขาได้อาหารอยู่มาก มีลาภสักการะเกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยความดีของพระพุทธเจ้า ต่อมาเมื่อไม่สามารถที่จะบรรเทาได้ ไอ้ความกระสันมันเกิดขึ้น ความกระสันความคึกมันเกิดขึ้น เพราะอาหารดี ลาภดีพอ ไม่สามารถจะทนความกระสันได้ ไม่สามารถจะบรรเทาได้ จึงตกลงใจว่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บัดนี้ เราจะไม่ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ต่อไปแน่ เพราะอะไร ก็เพราะว่าผ้า
    กาสาวพัสตร์ที่ได้มาจากศรัทธาของบุคคลอื่น เราจะไปละ จะสึกดีกว่า อย่าไปติดดีกว่า ได้มามันไม่แน่นัก อยู่ดีกินดี เขาก็คิดว่าจิตกำเริบทะนงตนว่าเป็นผู้วิเศษ หลงระเริงตนว่าเป็นผู้วิเศษ องค์นี้ตอนต้นนะ อย่าไปด่าท่านนะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พวกเราก็จำไว้เชียวนะ ไอ้อยู่ดีกินดีอย่านึกว่าเป็นผู้วิเศษ“อัตตนา โจทยัตตานัง” จงเตือนตนด้วยตนเอง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อ่านเรื่องของท่านต่อไป<o:p></o:p>
    ท่านบอกว่าคิดอย่างนี้แล้วก็ไปโคนไม้ ไปดูผ้าผืนที่มันขาดรุ่งริ่ง ๆ เก่าแสนเก่า ดูผ้าสบงที่นุ่ง แหม...มันเท่กว่าตั้งเยอะ จึงได้ให้โอวาทแก่ตนเองว่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    “เจ้าผู้ไม่มีหิริ (ผู้ไม่มีหิริคือ ความไม่ละอาย) เจ้าหมดความละอายเสียแล้วหรือ เจ้าอยากจะนุ่งผ้าขี้ริ้วผืนนี้หรือ สึกไปทำการรับจ้างเลี้ยงชีพอย่างนี้หรือ เจ้าลืมความชั่วที่ตัวสะสมมาแล้ว ทำไมเจ้าจึงทำอย่างนี้”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เมื่อท่านให้โอวาทแก่ตนเองอยู่อย่างนี้นั่นแหละ จึงถึงความเป็นธรรมดา ในบาลีบอกจิตขึ้นถึงธรรมชาติเบา ไม่ใช่ธรรมดานะ ธรรมชาติเบาก็หมายถึง ความกระสัน แล้วทานก็กลับ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    โดยกาลล่วงไป 2-3 วัน ก็กระสันเข้ามาอีก “กระสัน” หมายถึง “อยากจะสึก” มันมีแรงนี่ กินดีอยู่ดี จึงสอนตนเองเหมือนอย่างนั้น<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ตอนเย็นก็ย่องไปที่โคนไม้ ดูผ้าขาดผืนนั้นสอนตนเองว่า “ไอ้เจ้าเองที่จะมานุ่งผ้าขาดเป็นขี้ข้าเขาต่อไปอย่างนั้นหรือ”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    สอนพอใจของท่านสบาย ท่านก็ตัดใจได้อีก ก็เลิกไม่สึกแล้ว กลับมาใหม่ ในเวลากระสันขึ้นมาเมื่อไรท่านก็ไปที่นั่น ให้โอวาทแก่ตนเองทำนองนั้นเสมอ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    แต่ความจริงก่อนที่ท่านจะให้โอวาทแก่ตนเอง ท่านจะดูภาพพิจารณา ดูผ้าเก่าผืนนั้นที่เราทรงชีพอยู่ อาศัยผ้าผืนนี้นุ่งอยู่ทั้งปีทั้งเดือนทั้งวัน จะผลัดอาบน้ำก็ไม่มี เวลานี้มาบวชในพระพุทธศาสนา มีศักดิ์ศรีดี ใครเขาไปก็ลา มาเขาก็ไหว้เคารพนบนอบ เมื่อสมัยที่ตนเป็นฆราวาส มีแต่คนเขาโขกเขาสับเพราะความจน นี่อาศัยความจนของตนเอง คนเขาดูถูกดูแคลน วันนี้ เป็นคนใหญ่คนโต เป็นพระแล้ว ไม่ว่าใครเขามาก็ไหว้กัน เคารพนับถือ เอ็งจะทะนงตนไปทำไม ถ้าจะสึกไปก็กลายเป็นขี้ข้าของชาวบ้านเขาต่อไป<o:p></o:p>
    เจ้าอย่าสึกเลยไอ้หนู ว่าแล้วท่านก็กลับมา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านกล่าวว่า ครั้งนั้นบรรดาภิกษุท้งหลาย เห็นท่านไปอยู่ที่นั้นเนือง ๆ จึงถามว่า<o:p></o:p>
    “ท่านนังคลกูฏเถระ เหตุใดท่านจึงไปที่นั่นบ่อย ๆ “<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านตอบว่า “ผมไปยังสำนักอาจารย์ขอรับ” ท่านกล่าวดังนี้แล้ว ต่อมาอีก
    2-3 วัน ท่านก็บรรลุอรหัตผล<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เห็นไหม...นี่เขาฟังอะไร แค่ไปดูผ้าเท่านั้น ก็ได้บรรลุอรหัตผล<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บรรดาภิกษุทั้งหลายเมื่อจะทำการล้อเล่นกับท่าน จึงกล่าวว่า “ท่านนังคละ ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทางที่เที่ยวไปของท่านเป็นปะหนึ่งหารอยไม่ได้ ชรอยท่านจะยังไม่ได้ไปยังสำนักอาจารย์ของท่านกระมัง”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    นี่พระล้อนะ ว่าทางที่เดินไปบ่อย ๆ เวลานี้ไม่มีรอยเดิน น่ากลัวจะลืมอาจารย์เสียแล้ว<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ฝ่ายพระเถระจึงกล่าวว่า “ไม่ขอรับ เมื่อกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องยังมีอยู่ ผมได้ไปแล้ว แต่บัดนี้เครื่องเกี่ยวข้องไม่มีผมตัดเสียแล้วเพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ต้องไปหาอาจารย์”<o:p></o:p>
    เอาละซิ อีตอนนี้ถ้าเป็นเวลานี้เป็นยังไง ก็โจทพระองค์นี้ว่าอวดอุตตริมนุส
    ธรรมว่าเป็นพระอรหันต์<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บรรดาพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ฟังคำนั้นแล้วก็เข้าใจว่า ภิกษุรูปนี้พูดไม่จริง พยากรณ์ตนเป็นพระอรหันต์ ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลเรื่องความนั้นต่อองค์พระประทีปแก้ว โดนฟ้อง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย นังคละบุตรเราเตือนตนด้วยตนเองนั่นแหละ แล้วจึงถึงที่สุดแห่งกิจของบรรพชิต”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ดังนั้นแล้ว เมื่อจะทรงแสดงพระธรรม ได้ทรงภาษิตนี้ว่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เธอจงเตือนตนด้วยตนเอง พิจารณาดูตนของตนด้วยตน ตนนั่นแหละเป็นคติของตน เพราะฉะนั้น เธอจงสงวนตนให้เหมือนอย่างพ่อค้าม้าสงวนม้าตัวประเสริฐเช่นนั้น”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    แหม...อ่านแล้วรู้สึกว่าหนักใจ ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสอย่างนี้ แต่ว่าอ่านเรื่องของพระอรหันต์คันไถ ซึ่งมีอาจรย์เป็นผ้าขี้ริ้ว ท่านทั้งหลายมีความรู้สึกเป็นอย่างไร นี่คำเตือนของท่านองค์นั้นเป็นยังไง ท่านไปเจอะผ้าขี้ริ้วนี่ พวกพระก็นึกดู ว่าเราก่อนที่จะเข้ามาบวชหรือบรรพชาในพระพุทธศาสนา ศักดิ์ศรีอย่างนี้เคยมีแก่เราบ้างหรือเปล่า คนเสมอกันก็ดี คนแก่คนเฒ่าก็ดี เจอะหน้าเราเขาก็ยกมือไหว้ เมื่อสมัยเป็นฆราวาสเป็นอย่างนี้บ้างไหม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เวลานี้เรามีอย่างนี้เป็นปกติ สมัยเป็นฆราวาสเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า หาไม่ได้ซินะ ที่เขาไหว้น่ะ เขาไหว้ด้วยอะไร เขาไหว้เราเพราะเราทรงผ้ากาสาวพัสตร์ อันนี้เป็นธงชัยของพระอรหันต์ แต่ว่าเราบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นฆราวาสไม่มีใครเขาไหว้ ก็จงเตือนใจไว้เสมอ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    “อัตตนา โจทยัตตานัง” ว่านี่เราเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์มีอะไรบ้างที่จะต้องปฏิบัติ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    1. อธีศีลสิกขา มีศีลบริสุทธิ์ยิ่งกว่าฆราวาส<o:p></o:p>
    2. อธิจิตสิกขา มีฌานสมาบัติประจำใจ<o:p></o:p>
    3. อธิปัญญาสิกขา มีปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริงของขันธ์ 5 ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มันไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านกล่าวต่อไปว่า“ตนเองน่นแหละเป็นที่พึ่งของตน”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    จริง ข้อนี้ ไอ้เรื่องความดีความชั่ว นึกดีนึกชั่วนี่ ใครก็ช่วยไม่ได้นอกจากเราเอง ท่านกล่าวต่อไปว่า “ตนนั่นแหละเป็นคติของตน” คติ แปลว่าที่ไป จะไปไหนมันอยู่ที่ใจของตน คำว่า ตน ในที่นี้คือ ใจ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เพราะฉะนั้น จงสงวนตนไว้เหมือนพ่อค้าสงวนม้าตัวประเสริฐ คำว่าสงวนตน หมายความว่า สงวนใจให้อยู่ในขอบเขตของความดี คือ<o:p></o:p>
    1. มีศีลบริสุทธิ์<o:p></o:p>
    2. มีสมาธิตั้งมั่น<o:p></o:p>
    3. มีวิปัสสนาญาณตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ก็คือทำลายสังโยชน์ 10 ประการ ให้พินาศไปจากจิต <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อย่างนี้ชื่อว่า ท่านทั้งหลายเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร เป็นลูกพระพุทธเจ้าแน่<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    สำหรับการแนะนำกันก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    (คัดลอกจากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 127 เดือนกันยายน 2534)<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    (จากหนังสือธรรมสัญจร เล่ม 4)<o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2009
  2. sean2738

    sean2738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2008
    โพสต์:
    797
    ค่าพลัง:
    +1,754
    สร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก 10 วา
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=65729


    ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ "สมเด็จองค์ปฐม" ก้บวัดธรรมยาน

    http://palungjit.org/showthread.php?t=119095
    <!-- google_ad_section_end -->
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>เวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม เป็นอย่างสูง ครับ<O:p</O:p
     
  4. sean2738

    sean2738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2008
    โพสต์:
    797
    ค่าพลัง:
    +1,754
    สร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก 10 วา
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=65729


    ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ "สมเด็จองค์ปฐม" ก้บวัดธรรมยาน

    http://palungjit.org/showthread.php?t=119095
    <!-- google_ad_section_end -->
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>เวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. sean2738

    sean2738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2008
    โพสต์:
    797
    ค่าพลัง:
    +1,754
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า การบูชาพระองค์ แม้ทรงปรินิพพานไปแล้ว มีอานิสงส์ไม่ต่างจากการบูชาเมื่อพระองค์ทรงพระชนมชีพอยู่ ดังนั้น การที่เราบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ก็เปรียบเสมือนการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเองครับ เพราะเป็นสื่อแทนให้ระลึกนึกถึงองค์พระพุทธเจ้า

    ยังมีเรื่องกล่าวในพระไตรปิฎกอีกว่า หากวันใดที่พุทธศาสนาต้องสูญสิ้นไปจากโลกจริงๆ (ทั้งคำสอน ผู้ปฏิบัติ ผู้เห้นผลการปฏิบัติ อันตรธานหมด) ในวันสุดท้าย พระบรมสารีริกธาตุที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกทั้งหมด จะลอยมารวมกัน เป็นองค์พระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วเทศน์โปรดเทวดาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปรินิพพานขั้นที่ 3 ที่เรียกว่า ธาตุนิพพาน ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...