ภูต-สัมภเวสี

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 9 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    [​IMG]


    คนทั่วไปเข้าใจว่า ภูต หมายถึงผี บางทีเรียกรวมกันว่า ภูตผี สัมภเวสี หมายถึงผีที่ร่อนเร่หาที่เกิด โดยคำหลังนี้เชื่อกันว่า เวลาคนตาย " วิญญาณ" ล่องลอยออกจากร่างไปหาที่เกิดใหม่ ขณะยังหาที่เกิดไม่ได้เรียก สัมภเวสี

    ลองมาดูความหมายทางพระพุทธศาสนาดูว่าเหมือนกับที่ชาวบ้านเข้าใจไหม

    ภูต แปลว่า สัตว์ที่เกิดแล้ว เป็นตัวเป็นตนเต็มที่แล้ว

    สัมภเวสี แปลว่า สัตว์แสวงหาที่เกิด

    ภูต กับ สัมภเวสี ต่างกันโดย

    ก. กำหนดเอาสภาวะหรือสภาพจิตเป็นตัวแบ่งแยกความแตกต่าง คือ สภาพจิตของปุถุชนและพระเสขะที่ละกิเลสไม่ได้หมด (ในที่นี้หมายเอาเฉพาะพระโสดาบันและพระสกทาคามี) เป็นสัมภเวสี สภาพจิตของพระอรหันต์ เรียกว่า ภูต

    ข. กำหนดเอาระยะเวลา เป็นตัวแบ่งแยกความแตกต่าง คือขณะสัตว์อยู่ในครรภ์หรือไข่เป็นสัมภเวสี คลอดออกมาจากครรภ์หรือไข่แล้วเป็นภูต

    หรือในจำพวกสัตว์ผุดเกิด (เช่น เทวดา สัตว์นรก) ขณะจิตแรกหรืออิริยาบถแรกที่เกิดขึ้นเรียกสัมภเวสี หลังจากขณะจิตแรกหรือหลังจากเปลี่ยนอิริยาบถเป็นภูต

    ในบทแผ่เมตตาตอนหนึ่งว่า ภูตา วา สัมภเวสี วา สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา แปลว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นภูต หรือสัมภเวสี ขอให้จงมีตนประสบความสุขเถิด

    มิได้หมายความว่าแผ่เมตตาให้ภูตผีหรือวิญญาณเร่ร่อน ตามความเข้าใจของคนทั่วไป หากหมายถึงแผ่ให้ทั้งคนทั้งสัตว์ดังตามความหมายในข้อ ก. และข้อ ข. ข้างต้น

    เฉพาะสัมภเวสีที่แปลว่า "เร่ร่อนหาที่เกิด" มิได้หมายเอา "วิญญาณเร่ร่อน" เพราะแนวคิดเรื่องวิญญาณเร่ร่อน ไม่มีในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเชื่อว่าพอตายลงจิตหรือวิญญาณก็ดับ (ขันธ์ 5=รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณดับหมด) แต่ดับปุ๊บก็เกิดปั๊บในภพใหม่ทันที จะเกิดเป็นอะไรแล้วแต่กรรมที่ทำจะจัดสรรให้เป็นไปเอง

    ไม่มีช่องให้วิญญาณเร่ร่อนไปที่ไหน ส่วน "ผี" ที่คนพบเห็นบางครั้งบางคราวนั้น เป็นสัตว์ (being) ชนิดหนึ่ง

    ทางพระเรียกว่า อสุรกาย



    ข้อมูลจาก : [​IMG]
     
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,020
    ขอบคุณครับ
     
  3. sunzilo

    sunzilo สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณมากครับ
     
  4. ep12

    ep12 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2009
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +4
    ขอบคุณครับ
     
  5. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ขอบคุณค่ะ
     
  6. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    เรื่องที่ ๑๒๓

    นายเสนอ ตายจากคนไปเกิดเป็นสัมภเวสี

    "..คำว่า "สัมภเวสี"ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ผีตายโหง" <O:p></O:p>
    สำหรับผีตายโหงนี้จะถือว่าเป็นสัมภเวสีเสมอไปก็ไม่ได้ เพราะบางรายเมื่อถึงเวลาจะต้องตายแบบนั้นตามกฎของกรรม เมื่อตายแล้วก็ไปรับสุขและรับทุกข์ตามอำนาจกฎของกรรมอย่างนี้ไม่เรียกว่า "สัมภเวสี"ตายจากคนไปเกิดเลย เช่นเกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม หรือไปพระนิพพาน อาการตายแล้วไปพระนิพพานที่ตายแบบตายโหงก็มีมากราย <O:p></O:p>
    อย่างในสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ คนฟังเทศน์จบได้สำเร็จอรหัตผล<O:p></O:p>
    ตามธรรมดาพระองค์ตรัสว่า "เอหิ ภิกขุ" แปลว่า "เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" ผ้าไตรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จะลอยมาในอากาศสวมตัวท่านผู้นั้นพอดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาต้องเคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อนๆ มาแล้ว สมัยนั้นพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นใหม่ๆ นักบวชก็ยังไม่ค่อยมากนัก ดังนั้นร้านขายผ้าไตรจีวรสำหรับพระจึงไม่มีเหมือนสมัยนี้ พระต้องลำบากในการหาผ้าใช้ ต้องไปเก็บผ้าที่เขาทิ้งแล้วมาปะๆ ประกอบกันเข้าจากผืนเล็กมาเป็นผืนใหญ่ แล้วนำมานุ่งห่ม แต่ถ้าฟังเทศน์จบแล้วเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาแล้วว่าผู้นั้นไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เพราะพระองค์ทรงเป็น "สัพพัญญู"แปลว่า "รู้ทั้งหมด"ก็จะตรัสว่า "เมื่อเจ้าปรารถนาจะบวช จงไปหาผ้าไตรจีวรมา ถ้าได้ผ้าไตรจีวรมาแล้วเราจะบวชให้" <O:p></O:p>
    ปรากฏว่าในขณะที่ไปหาผ้าไตรจีวรขณะที่ร่างกายเป็นฆราวาสแต่ใจเป็นพระอรหันต์ ร่างกายที่มีความเลวอยู่มากไม่สามารถจะทรงความเป็นพระอรหันต์ไว้ได้ก็เลยต้องตาย<O:p></O:p>
    ทีนี้ถ้าจะป่วยตายก็ป่วยไม่ทันและก็ตายไม่ทัน ในที่สุดจึงต้องตายเพราะอุบัติเหตุ เช่นวัวขวิดตายบ้าง มีการกระทบกระทั่งอะไรตายบ้าง เป็นต้น <O:p></O:p>
    เรียกว่าการทรงความเป็นพระอรหันต์สำหรับฆราวาสไม่มี คนที่เป็นพระอรหันต์แล้วถ้ายังไม่ได้บวช อย่างช้าวันรุ่นขึ้นก็ตาย ไม่ใช่ ๗ วัน<O:p></O:p>
    สำหรับผู้ที่ตายไปแล้วเรียกกันว่าเป็น "สัมภเวสี" จะตายด้วยกรณีใดๆ ก็ตามแต่ยังไม่ครบอายุขัยที่จะตาย (อายุขัยของคนปัจจุบันอายุ ๗๕ ปี) เมื่อตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไรยังไม่ได้ หมายถึงจะไปลงนรกก็เข้านรกยังไม่ได้ จะไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม ก็ยังเป็นไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาจะไป ก็เลยต้องท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เดินไปเดินมาหิวโซ<O:p></O:p>
    พวกนี้ที่พวกหมอผีชอบเรียกเอาไปเลี้ยง เพราะว่าลำบากมีความหิว เมื่อมีใครมาชวนและนำไปเลี้ยงก็ต้องไป โดยคิดว่าทำงานให้เขาเพียงแค่กินอิ่มก็พอ จะเห็นว่าสภาพความรู้สึกของผีก็เหมือนคน เพราะผีก็คือจิตของคนที่เคลื่อนออกจากร่างกายเนื้อ สภาพความรู้สึกจึงเหมือนกันไม่แตกต่างจากของเดิม<O:p></O:p>
    นายเสนอ ตายจากคนไปเกิดเป็นสัมภเวสี

    ดังตัวอย่างสัมภเวสีที่ไปพบมาเอง สัมภเวสีรายนี้สมัยเป็นมนุษย์มีนามว่า "นายเสนอ" นามสกุลจำไม่ได้แล้ว เป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี ตามปกตินายเสนอเป็นคนดีมาก เรียกว่าคนทั้งตำบลหรือหลายๆ ตำบลใกล้เคียงชอบใจ รักใคร่ เพราะนายเสนอเป็นคนดี ไม่เกเรไม่ใช่เป็นคนอันธพาล ดีในด้านสงเคราะห์ช่วยเหลือ จัดว่าเป็น สังคหวัตถุ นิยมในการสงเคราะห์ ใครจะมีงานมีการที่ไหนนายเสนอก็ไปที่นั่น เจ้าของงานก็ดีใจเพราะช่วยทำงานทุกอย่างถ้าไม่เกินความสามารถ พูดจาก็ดีเป็นที่รักของคนทั่วไป<O:p></O:p>
    วันหนึ่งที่วัดสารี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีงานประจำปี ในงานนั้นพวกนักเลงการพนันไปเล่นการพนันในวัด ก็มีเรื่องกัน นายเสนอก็วิ่งเข้าไปแล้วก็ยกมือไหว้คนนั้นทีไหว้คนนี้ที เรียกเขาว่าพี่ป้าน้าอาบอกว่า "ขอโทษเถอะเป็นงานวัด อย่าให้มีเรื่องเอะอะโวยวายเลย ท่านจะเล่นก็เล่นกันไป ถ้าหากไม่พอใจจะเล่น จะเลิกก็ตามใจไม่ได้ว่าอะไร" ก็พูดดีๆ ปรากฏว่าคนคุมบ่อนเป็นตำรวจ เขาโกรธที่ไปตักเตือนคนในบ่อนของเขา จึงเอาพานท้ายปืนยาวตีหน้าเข้าให้ นายเสนอล้มนอนหงายผลึ่งเกือบจะชัก พอลุกขึ้นมาได้ก็มีโทสะเลยชักมีดแทงตำรวจเข้าให้ ตำรวจก็ยิงปืนเข้าใส่ เลยต่างคนต่างตาย ปรากฏว่าศพของนายเสนอถูกประคับประคองอย่างดี ชาวบ้านทั้งตำบลและตำบลใกล้เคียงต่างจัดงานศพหรูหรา แต่ศพตำรวจไม่มีใครสนใจ เพราะชาวบ้านไม่มีใครแยแสปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้นจนเน่า ปล่อยให้เหี้ยบ้าง ตะกวดบ้าง สุนัขบ้าง ทึ้งกันตามอัธยาศัย เครื่องแบบก็ไม่มีใครถอดให้ นานหลายวันกว่าทางการจะมาเอาไป<O:p></O:p>
    ผีนายเสนอออกอาละวาด

    เมื่อนายเสนอตายแล้ว ก็มาแสดงตัวในฐานะที่เป็นสัมภเวสีให้ปรากฏบ่อยๆ มีหลายคนมารายงานให้ทราบว่า "ผีนายเสนอดุจริงๆ ลูกหลานไปทำงานหลังบ้านมาหลอกอยู่เสมอ" วันหนึ่งมีโอกาสไปที่ตำบลสารี จังหวัดสุพรรณบุรี ขณะคุยกับเจ้าของบ้านอยู่ มีเด็กสาวๆ อายุ ๑๕-๑๖ ปีคนหนึ่งอยู่บ้านติดกัน ออกไปเก็บผักหลังบ้านมาทำอาหาร ประเดี๋ยวเดียวก็วิ่งเข้าบ้านมานอนร้องครวญครางดังมาก และเอามือกุมที่หน้าอก ใครถามว่า "เป็นอะไร" ก็ไม่ตอบ ตามธรรมดาผีที่ตายจะมาเข้าใคร ถ้าเป็นโรคอะไรก็จะแสดงอย่างนั้นให้รู้ หมายความว่าเวลาที่ตาย ทุกขเวทนาครอบงำมากอย่างไหนก็จะแสดงให้ปรากฏอย่างนั้น เช่นคนขาเป๋ตายแล้ว เวลามาเข้าคนก็จะแสดงอาการขาเป๋ หรือก่อนจะตายแขนคอก ตายแล้วก็มาทำท่าแขนคอก แต่ความจริงพอตายแล้วเป็นผี ขาไม่ได้เป๋ แขนไม่ได้คอก<O:p></O:p>
    เด็กสาวคนนี้ร้องครวญคราง พวกผู้ใหญ่จึงไปนิมนต์อาตมามาดู ก็ไปนั่งข้างๆ เด็กคนนั้นแล้วถามว่า "อีหนูเป็นอะไร" ก็ไม่ตอบมองหน้าเฉยๆ แล้วก็ร้อง เห็นนายเสนอนั่งข้างๆ เด็กคนนั้นแล้วเอานิ้วจี้ที่ตรงเด็กบอกว่าปวด ก็คือตรงอกที่เดียวกับที่นายเสนอถูกยิงพอดี ท่านก็เลยพูดดังๆ ว่า "เหนอไปทำอะไรหลาน มีเรื่องอะไรก็ไปคุยกันที่บ้านโน้น อย่ามายุ่งกับเด็กมันเลย ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้นะ" นายเสนอก็ปล่อยมือ เด็กคนนั้นก็หายปวด ลุกขึ้นทำงานได้เป็นปกติ ถามเธอว่า "เป็นอะไร" เธอตอบว่า "ไม่รู้ มันเจ็บทะลุหลัง" ก็เพราะนายเสนอถูกยิงทะลุหลัง แล้วก็เดินมาบ้านหลังที่ท่านพัก<O:p></O:p>
    ถามนายเสนอว่า "เอ็งไปทรมานหลานทำไม" เขาตอบว่า "ไม่ได้ทรมาน ผมแสดงแบบนี้ที่ใครเขาลือกัน มีคนไปฟ้องท่านหลายคนแล้ว ผมก็รู้ เขาหาว่าผมดุร้ายมากเที่ยวหลอกคนนั้นหลอกคนนี้ ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคน ทุกคนที่ผมแสดงให้ปรากฏเป็นคนที่ชอบกันอยู่ก่อนทั้งนั้น รักกันมากเคยช่วยงานเขา และเขาเคยปวารณาว่า มีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกเขาจะทำให้เต็มที่ แต่ทว่าเวลานี้ผมต้องการความช่วยเหลือขอรับ" ถามว่า "เอ็งตายแล้ว เอ็งไปไหน เอ็งไปนรกหรือไปสวรรค์"<O:p></O:p>
    เขาตอบว่า "ไม่ได้ไปนรก ไม่ได้ไปสวรรค์ เวลาเหลืออีก ๔๓ ปีจึงจะไปได้ นับปีมนุษย์ระยะเวลา ๔๓ ปี นี่ผมลำบากมากต้องเดินไปเดินมา ผลบุญใดๆ ที่ทำไว้ก็ยังไม่ปรากฏ ยังกินไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาจะได้รับ ส่วนผลบาปที่ทำไว้ก็ยังไม่ให้ผล เวลานี้ผมต้องเป็นผีเดินไปเดินมาเข้าไปหาคน เพื่อหวังจะให้เขาสงเคราะห์ช่วยเหลือ แต่เขาก็หาว่าผมไปหลอกเขา บางทีเขาก็สาปแช่งเอาบ้าง ความรู้สึกของคนกับผีไม่เหมือนกัน เวลาที่ผมยังไม่ตายเขาก็รักผมมาก ดีกับผมทุกอย่าง ทุกคนปวารณาตัวจะช่วยผมเวลาผมทำงานให้เขาอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย แต่เวลาผมตายไปแล้ว ไม่มีใครสนใจผมเลย"<O:p></O:p>
    ก็เลยบอกว่า "ก็เอ็งเป็นผีนี่เขาก็กลัว เวลาเอ็งไปแสดงตัวให้ปรากฏเอ็งทำอย่างไรบ้าง" เขาตอบว่า "ส่วนใหญ่ไม่ได้หลอก ผีไม่มีเวลาจะหลอกคน เพราะมีความลำบากอยู่แล้ว ผมมาแสดงตัวให้ปรากฏเป็นเงาบ้าง เป็นเสียงบ้าง บางคนก็เห็นชัดหน่อย บางคนก็เห็นไม่ชัด ผมก็ประกาศว่าตัวผมคือนายเสนอ พอบอกได้เท่านั้น ทุกคนพอฟังแล้วก็วิ่งหนี ถ้าอยู่ในบ้านก็นอนคลุมโปงกัน และบางบ้านก็บอกว่า ขอให้ไปที่ชอบๆ เถอะ บางบ้านก็แช่งชักหักกระดูกเลย ผมก็เสียใจไม่มีใครจะช่วยผมจริงๆ" <O:p></O:p>
    ฟังแล้วก็เห็นใจ เพราะทราบจากพระพุทธเจ้าแล้วว่า ผีไม่มีไร่ไม่มีนา ไม่มีการค้าขาย ไม่มีอาชีพใดๆ ถ้าบุญเก่าไม่ส่งผลก็ต้องอาศัยบุญใหม่ที่คนมีชีวิตอยู่ส่งไปให้ และก็ต้องส่งเป็น ถ้าส่งไม่เป็นส่งเท่าไรก็ไม่มีผลก็เลยถามต่อว่า "เอ็งต้องการอะไรล่ะ" นายเสนอก็บอกว่า "เวลานี้ผมลำบากมาก หนาวก็หนาว หิวก็หิว กำลังก็ไม่มี สิ่งที่ผมต้องการก็คือ ต้องการพระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วสักองค์หนึ่ง ผ้าไตรจีวร ๑ ไตร และอาหารอีกชุดหนึ่ง อะไรก็ได้ไม่จำกัด" ถามว่า "จะให้ทำอย่างไร" ตอบว่า "นิมนต์พระมาแล้วถวายเป็นสังฆทาน" ก็ถามต่อว่า "ถ้าทำได้ตามที่บอกมา ผลจะพึงมีกับเอ็งอย่างไร" ตอบว่า<O:p></O:p>
    อานิสงส์ของการถวายสังฆทาน

    ๑) พระพุทธรูปถ้าผมโมทนาแล้วกำลังจะดีมาก ถ้าเป็นเทวดาก็มีศักดิ์ศรีใหญ่ มีรัศมีกายสว่างมาก<O:p></O:p>
    ๒) ผ้าไตรจีวรถ้าโมทนาแล้ว จะมีเครื่องประดับเป็นทิพย์<O:p></O:p>
    ๓) อาหาร ข้าวและนํ้านี้ เมื่อโมทนาแล้วจะมีกำลัง ร่างกายจะมีแรงมากและมีความเบายิ่งขึ้น<O:p></O:p>
    จึงบอกว่า "ตั้งใจจะช่วยอยู่แล้ว เวลาเขาทำบุญให้แล้ว จะให้ทำอย่างไรอีก" ตอบว่า "เมื่อพระรับสังฆทานเสร็จ เวลาอุทิศส่วนกุศล ขอให้คนที่ทำบุญส่งผลเฉพาะให้แก่ผมคนเดียว อย่าให้แก่คนอื่น เพราะพวกสัมภเวสีที่มีความลำบากมีอยู่มาก มีกรรมยังหนักอยู่ เป็นกรรมในระหว่างที่ต้องถูกทรมาน ถ้าเฉลี่ยให้คนอื่นพวกสัมภเวสีก็ไม่ได้รับ แต่ถ้าไม่เฉลี่ยให้แก่คนอื่น พวกสัมภเวสีจะได้รับสมบูรณ์บริบูรณ์ การอุทิศส่วนกุศลต้องว่าเป็นภาษาไทยตรงๆ ให้เฉพาะเจาะจง" <O:p></O:p>
    ก็เลยบอกว่า "ตกลง วันพรุ่งนี้ค่อยมารับนะ" นายเสนอถามว่า "แล้วท่านจะบอกใครเขาทัน" ตอบว่า "บุญนี้ข้าจะทำเอง ไม่ต้องการไปรบกวนคนอื่น แต่จะบอกเขาเหมือนกัน เขาจะให้หรือไม่ให้ก็ช่างเขา ประเดี๋ยวเอ็งกลับไปเข้าเด็กคนนั้นอีกนะ แต่อย่าไปทำให้เขาเจ็บร้องครวญคราง ไปเข้าเฉยๆ เดี๋ยวชาวบ้านเขาสงสารเด็กจะด่าเอา และก็แสดงตัวให้ปรากฏว่าเป็นเอ็ง" ถามว่า "เด็กคนนั้นร้องลิเกเป็นไหม" ตอบว่า "ไม่เป็นขอรับ" จึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นดีแล้ว เอ็งเป็นลิเกอยู่ก่อนมีชื่อเสียงมาก ไปเข้าก็แสดงท่าเป็นเอ็งแล้วก็ร้องลิเกไปด้วย บอกบทเล่าเรื่องราวของเอ็งไปด้วย ทำให้ชาวบ้านเห็นเป็นสนุก" นายเสนอก็รับคำแล้วถามว่า "เมื่อไร" ตอบว่า "ไปเดี๋ยวนี้เลย จะได้พูดให้ชาวบ้านเขาได้รู้เรื่อง"<O:p></O:p>
    ต่อมาชาวบ้านรู้เรื่องนายเสนอจากการร้องลิเกว่าตายเพราะอะไร เวลานี้มีความทุกข์เป็นประการใดบ้าง ไปหาใครบ้าง ใครแช่งด่าบ้างก็บอกชื่อหมด ร้องเพราะเสียด้วย ชาวบ้านฟังแล้วชอบใจ นำมาเล่าให้ฟัง จึงบอกว่า "นายเสนอต้องการอะไรบ้างให้ชาวบ้านฟัง" และบอกนายเสนอว่า "พรุ่งนี้จะถวายสังฆทานให้ตอนในเพล เอ็งมาโมทนานะ เวลาโมทนาแล้วถ้าได้บุญจริงๆ แล้ว เวลากลางคืนเอ็งไปที่บ้านคนที่เขาช่วยร่วมบุญร่วมกุศลในวันพรุ่งนี้ ให้เขาเห็นทุกคนและส่งกลิ่นหอมให้ปรากฏทั้งบ้าน" เขาก็รับคำ<O:p></O:p>
    พอรุ่งขึ้นเช้าก็บอกบุญว่า "ใครจะร่วมบ้าง ร่วมเท่าไรก็ได้หรือใครไม่ร่วมฉันก็ทำคนเดียว เพราะนายเสนอมีความดีกับฉันมาก ช่วยกิจการงานทุกอย่าง เขาไม่เคยรังเกียจ เมื่อบอกแล้วก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจจริงๆ ไม่เคยท้อถอย"<O:p></O:p>
    การอุทิศส่วนกุศล

    ในที่สุดชาวบ้านก็มารวมตัวกัน บอกเขาเวลาบ่ายพอตอนเช้าได้ผ้าไตร ๕ ไตร พระพุทธรูป ๕ องค์ อาหารเต็มบ้านไปหมด ตั้งใจจะนิมนต์พระมาถวายสังฆทานองค์เดียวเป็นผู้แทนสงฆ์ ตอนสายๆ อาหารมาเต็มบ้าน ก็เลยต้องไปนิมนต์พระมาหมดวัด วัดอยู่ไม่ไกลนัก พระมี ๒๒ หรือ ๒๓ องค์ เป็นสังฆทานเต็มที่ ผ้าไตรไม่พอเลยให้คนไปซื้อผ้าสบง ผ้าห่มและผ้าเช็ดตัวมาให้พอกับพระที่เหลือ เวลาที่เขากำลังจัดงานกัน เห็นนายเสนอมาช่วยงาน เวลาเขาจะปัดจะกวาด จะปูเสื่อ จะวางหมอน ก็มาช่วยเขาทำวุ่นไปหมด แต่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น เมื่อถวายสังฆทานพระเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลบอกว่า <O:p></O:p>
    "ผลบุญที่ทำแล้วในวันนี้ มีการบูชาพระรัตนตรัยก็ดี สมาทานศีลก็ดี ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ก็ดี ถวายผ้าไตรจีวรแก่คณะสงฆ์ก็ดี ถวายภัตตาหารก็ดี ผลบุญทั้งหลายนี้ข้าพเจ้าจะพึงมีเพียงใด ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่นายเสนอ ขอนายเสนอจงมาโมทนาและได้รับส่วนกุศลผลความดีเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ บัดนี้เถิด"<O:p></O:p>
    นายเสนอโมทนาแล้วก็ยังไม่ไป นั่งยิ้มหน้าตาสวย ถามว่า "เหนอ เอ็งมารับหรือเปล่า ถ้ามารับก็แสดงอาการให้ปรากฏ ส่งกลิ่นให้ปรากฏแต่ไม่ใช่กลิ่นผีนะ เป็นกลิ่นปกติสมัยนี้ของเอ็ง" พอพูดจบทุกคนได้กลิ่นหอมฟุ้งโดยไม่ต้องสูด หอมจริงๆ ส่งกลิ่นฟุ้งไปหมด หมู่บ้านนั้นทั้งหมู่บ้านมีประมาณ ๑๐ หลังคาเรือน ไกลออกไปกระทั่งหลังบ้านยังได้กลิ่น ทุกคนก็ดีใจ ชักใจกล้าอยากเห็นนายเสนอว่ามีรูปร่างหน้าตาเวลานี้เป็นอย่างไร และขอให้ไปเข้าฝันให้เห็นตอนกลางคืน <O:p></O:p>
    ถามว่า "ทำได้ไหม" เขาตอบว่า "ทุกคนเวลาจะนอน ให้ภาวนาว่า พุทโธ ทำใจสบาย เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจะเห็นง่าย คือให้เห็นในฝันง่าย"<O:p></O:p>
    ก็บอกชาวบ้านทำตามที่นายเสนอบอก ทุกคนอยากเห็นก็ตั้งใจทำตามนั้นกัน <O:p></O:p>
    พอรุ่งเช้าทุกคนมาพูดให้ฟังเหมือนกันว่า "เมื่อคืนผีนายเสนอมาหาและคุยด้วย รูปร่างหน้าตาสวยจริงๆ ไม่เหมือนเก่า เครื่องประดับประดาสวยสดงดงาม" <O:p></O:p>
    แสดงว่า นายเสนอเป็นผีกึ่งเทวดาเข้าให้แล้ว และก็พร้อมที่จะเคลื่อนไปสู่วิมานใดวิมานหนึ่งอันเป็นสมบัติของตน เพราะเคยช่วยสร้างโบสถ์ช่วยสร้างศาลา.."<O:p></O:p>

    เล่าเรื่องโดย:ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2009

แชร์หน้านี้

Loading...