ระลอกคลื่น บังน้ำใส

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 29 กันยายน 2009.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    [​IMG]


    สาระธรรมบรรยาย พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส
    เรื่อง“ระลอกคลื่น บังน้ำใส”
    วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒
    ณ ห้องปฏิบัติธรรม ชั้น ๔ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ

    ขออนุโมทนาบุญกับยุวพุทธิกสมาคมฯ ที่ได้จัดให้มีการบรรยายธรรม
    อบรมธรรมกันอย่างสม่ำเสมอยาวนาน นับเป็นองค์กรที่ทำประโยชน์ด้านพระ
    พุทธศาสนาในประเทศไทยมาอย่างชัดเจน จนมีศักยภาพ ญาติโยมนำลูก
    ศิษย์ลูกหาหรือลูกหลานทั้งหลายมาอบรมกัน ในการปูพื้นฐานในการอบรม
    ชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงผู้อาวุโสรุ่นต่างๆ หลวงพ่อเห็นประโยชน์อย่าง
    ยิ่ง ที่ทางยุวพุทธิกสมาคมฯ ได้ปฏิบัติกันมาตลอดจนถึงยุคของความร่วม
    สมัย ที่มีพวกเราเป็นปัญญาชนมามากขึ้น เข้าใจหลักการดำเนินชีวิตมากขึ้น
    เป็นผู้นำให้แก่เด็กรุ่นหลังๆ ที่เดินตามกันมา

    สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในขุมทรัพย์แห่งพระพุทธศาสนาที่ตกทอดมากว่าสองพัน
    ห้าร้อยกว่าปี ที่เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีค่าและจำเป็นที่สุดก็คือ
    เรื่องของการเจริญสติกับชีวิตประจำวัน เมื่อเราสามารถใช้ขุมทรัพย์แห่ง
    ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ท่านอุตส่าห์เก็บสะสมองค์ความรู้หาความรู้ ถูก
    รักษาสืบทอดกันมาจากพุทธบริษัท ๔ คือพวกเรานี่แหละอุบาสก อุบาสิกา
    พระสงฆ์หรือสามเณรชีก็แล้วแต่ ช่วยกันเก็บรักษาคำสอนแบบนี้ ตอนที่
    พระองค์จะทรงปรินิพพานนะ ไม่ได้ทรงฝากพระศาสนาไว้กับใครเลย ไม่ได้
    ฝากไว้กับพระรูปไหนด้วยหรือโยมคนไหน แต่ฝากไว้กับพระธรรมว่า ถ้า
    หากเห็นพระธรรมคำสั่งสอนนี้มีประโยชน์ ก็ช่วยกันรักษาสืบเอาไว้แล้วกัน
    พวกเราลองคิดดูให้ดีซิ ชีวิตของเราเองที่ผ่านมาช่วงหนึ่ง ล้มลุกคลุกคลาน
    เจออุปสรรคปัญหา พอมาพบคำสอนแล้วรู้สึกว่า เราได้พบแสงสว่าง เรามี
    ทางออก หรือเราพบหนทางแห่งความสุข โยมที่ตระหนักซาบซึ้งในพระธรรม
    คำสั่งสอนและตระหนักถึงการให้คนรุ่นหลังได้ใช้ เพราะว่าเมล็ดพันธุ์นี้หาก
    สูญหายไปตามกาลเวลา มันน่าเสียดายนะ เราได้มีความสุขความซาบซึ้งต่อ
    พระธรรมคำสั่งสอน

    เวลาเรากราบพระ เราก็จะกราบด้วยความอ่อนน้อมน้อมตน ถ้าเราไม่มีพระ
    ธรรมคำสั่งสอนนี้แก้ปัญหาในชีวิต ชีวิตจะวังเวงว้าเหว่ขนาดไหน จะหา
    ทางออกจากทุกข์ไม่เป็น การเจริญสติในชีวิตประจำวันนี้สามารถใช้ได้ในทุก
    ขณะ ทุกนาทีในอิริยาบถของชีวิตตั้งแต่ตื่นนอนมาเลยนะ ตั้งแต่เบื้องต้น ลืม
    ตาปั๊ปเราจะเห็นอะไรก่อน เราจะเห็นความรู้สึกร่องรอยของความฝันของเมื่อ
    คืนที่ตกค้าง เบาๆ เบลอๆ เหม่อๆ เผลอๆ ไปนิดหน่อย พอลืมตาขึ้นนะ รู้สึก
    ตัวขึ้นมาเลยนะโยมของขวัญชิ้นแรกนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า เวลาใดก็ตามที่
    คิดดี ทำดี ขึ้นชื่อว่าดีชื่อว่ามงคลดี ชื่อว่าเช้าดี ชื่อว่าอรุณดี ความดีงามทั้ง
    หลายก็ได้หลั่งไหลเข้ามาเป็นของขวัญบรรณาการ ในทั้งวันนั้นเลย ถ้าโยม
    ตื่นมาถ้าขวัญของการเจริญสติ หรือมีสติตั้งแต่ตื่นนอน ของขวัญอันมีค่าจะ
    หลั่งไหลเข้ามา ดูให้ดีนะตื่นนอนเสร็จรู้สึกถึงร่องรอยแห่งความคิด ถ้าเรา
    เบลอๆ มัวๆ เราตั้งศีรษะขึ้น เปลี่ยนอิริยาบถเขาเรียกอิริยาบถใหญ่ ขยับตัว
    อยู่อิริยาบถนั่งปั๊ป ยืนขึ้นตั้งศีรษะขึ้นรับพลังของธรรมชาติ ตื่นเช้าขึ้นมาโยม
    เห็นความคิดทำงาน รู้เท่าทันอาการที่จิตคิดถ้าคิดไม่ดี มีผลเป็นอารมณ์ไม่ดี
    จะเอาไปทำอะไร วันนั้นก็จะเป็นวันไม่ดี ถ้าอย่างนั้นวันที่ดีเราเลือกได้ไหม
    เลือกได้นะโยมจากการที่มีความรู้สึกตัวขึ้นมา พอความคิดไม่ดีหายไป สติก็
    จะเติมกุศลเข้าไปแทนที่ กุศลมีลักษณะเป็นโสมนัสเวทนา คือมีความสุข
    เบาๆ มีอุเบกขาเวทนา ของขวัญแห่งเช้ารุ่งอรุณแห่งชีวิตนี้ คิดดี อารมณ์ดี
    เป็นเช้าที่ดี เป็นอรุณที่ดี โยมก้าวเท้าออกไปเห็นไหมรู้สึกตัวที่เท้า พอถึงพื้น
    รู้สึกตัว กดสวิตซ์ปุ๊บขึ้นมาเลย เกิดความรู้สึกตัวนะโยม สวิตซ์มีมาก
    มายมหาศาลในร่างกาย ไม่ใช่ว่าไปตกอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ดูให้ดีนะ ความรู้สึกตัว
    เมื่อกี้หลวงพ่อพูดถึงว่าจุดสัมผัสเหมือนการกดสวิตซ์เหมือนหยดน้ำกระทบ
    ผิวมหาสมุทร หยดน้ำหยดนั้นจะหายไปไหน เป็นหนึ่งเดียวกับมหาสมุทรใช่
    ไหม หาไม่เจอนะ เห็นไหมโยมเวลาแตะปั๊ปมันจะรู้สึกถึงองค์รวม ถ้าถาม
    ต่อ หยดน้ำหยดนั้นที่กระทบผิวมหาสมุทรแล้วเป็นหนึ่งเดียวกับมหาสมุทร
    ต้องกระทบกับทิศไหนของมหาสมุทร ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกหรือทิศ
    ตะวันตก ทิศไหน... ทิศไหนก็ได้ใช่ไหมโยม ตรงไหนก็ได้ตรงเท้ากระทบ
    พื้น ตรงกระพริบตา ตรงขยับแขน ขยับมือแปรงสีฟัน เห็นไหมโยมแม้แต่ตรง
    ขับถ่าย ใช่ไหมถ้าเรารู้สึกถึงที่ตั้งความรู้สึกนะโยม เรียกว่าอาศัยเป็นที่ตั้ง
    แห่งความรู้ เช้ามาเนี่ยเรามีผู้บริหารชีวิตจิตใจ คือมีตัวรู้เข้ามาตั้งมั่นอยู่แล้ว
    ทุกวันนี้เห็นไหมเราไม่รู้จักวิธีที่จะให้ตัวรู้เข้ามาอยู่ ถ้าตัวรู้ไม่เข้ามาอยู่นะโยม
    เหมือนบ้านช่องประตูเปิดอยู่ไม่มีบอดี้การ์ด ไม่มียามคอยอารักขาอะไรๆก็
    เข้ามาได้ แต่ถ้ามีสติเป็นที่ตั้งแห่งรู้ สติมีหน้าที่อารักขาจิตเหมือนบอดี้การ์ด
    เหมือนมียามพิเศษคอยดูแลหัวใจเรา พอคิดไม่ดีปั๊ปก็ไม่ให้เข้ามานะโยม
    สติมีหน้าที่ปิดกั้นยับยั้งอกุศลด้วย เห็นไหมตั้งแต่ตื่นเช้ามาเลยเจริญสติด้วย
    ความรู้สึกตัว อาศัยอิริยาบถย่อยหรืออิริยาบถใหญ่ รู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน
    กายในใจ เป็นที่ตั้งแห่งรู้ เพื่อไม่เป็นที่อาศัยของตัวไม่รู้ หรือตัวตัณหา หรือ
    ทิฐิที่จะนำปัญหามาให้

    เช้าๆ ตื่นมาอารมณ์ดี คิดว่าหน้าตาในกระจกจะเป็นหน้าไหน หน้าเบลอ หน้า
    เหม่อ หรือหน้าที่ตื่นสว่างไสว ถ้าเห็นหน้าเหม่อหน้าเบลอแสดงว่าขาดสตินะ
    ถ้ามีสติไม่มีเบลอ ไม่เหม่อ ไม่เผลอ ดูกระจกก็รู้แล้วว่าเช่านี้เป็นเช้าแห่ง
    ฤกษ์งามยามดีของเราหรือเปล่า ถ้าหน้าตาเหม่อๆ เบลอๆ เผลอๆ จะเปิดช่อง
    ให้ความทุกข์เข้ามา ถ้าเห็นแล้วไม่เอาเปลี่ยนหน้าทันทีนะ ความรู้สึกหน้า
    เปลี่ยนไหม...จริงไหม จะเห็นยากอะไรล่ะ ถ้าสิ่งนั้นมีประโยชน์ จะเอาความ
    เศร้าหมองไปทำไม โยมเลือกได้นะ ชีวิตเราไม่ใช่เกิดมาจากกรรมเก่าเท่า
    นั้นนะโยม อย่างยุงมากัดนี้เป็นกรรมเก่าไหม หรือตบยุงเป็นกรรมเก่าไหม
    พระเจ้าสั่งหรือเปล่า หรือว่าโชคชะตาหรือว่าสติปัญญาในการตัดสินใจว่าควร
    หรือไม่ควร จริงไหม ในปัจจุบันสำคัญกว่านะ ตื่นเช้ามาไม่ใช่ว่ากรรมเก่าทำ
    ให้เราต้องหน้าเหม่อ แล้วยอมรับเป็นคนหน้าเหม่อๆ ทุกชาติ เบลอๆ เอ๋อๆ
    หรือว่าเราเลือกได้ วันนี้เห็นแล้วไม่เอา ไม่งั้นองค์คุลีมารจะบรรลุมรรคผล
    นิพพานเป็นพระอรหันต์ได้ไงในชาตินี้ ฆ่าคนเป็นพันคนเพราะจิตมันคนละ
    ดวงกัน ดวงที่ประมาทพลาดพลั้งขาดสติ ไปทำลายร้ายผู้อื่นเป็นจิตอีกดวง
    หนึ่ง จิตในปัจจุบันไม่ได้มีมลทินปนเปื้อนอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเผลอไปคิดถึง
    เรื่องนั้นต่างหากความทุกข์ตัวใหม่ถึงเกิดขึ้น เราก็ฉลาดกับปัจจุบัน ที่ได้รับ
    คำสอนที่ถูกต้องแล้ว เราก็ใช้คำสอนที่ถูกต้องกับจิตดวงใหม่ ตั้งแต่ตื่นเช้า
    มาเลย ดูหน้าในกระจกนะถ้าหน้าเบลอๆ ไม่ใช่หน้าเรานะ ต้องสวยๆ ถึงจะ
    เป็นของเรา เลือกได้นะ เลือกได้ มีรอยยิ้มบางๆ ขึ้นตั้งแต่ยามรุ่งอรุณ แย้ม
    ริมฝีปากเป็นรอยยิ้มบางๆ เหมือนเกสรดอกไม้ที่บานสะพรั่ง คำพูดออกมาก็
    ต้องเป็นสิ่งที่ดี เวลาอารมณ์ดีจะพูดดีไหม อารมณ์ไม่ดีก็พูดไม่ดี ไม่ใช่เป็น
    โชคชะตาหรือกรรมเก่า ปัจจุบันต่างหากที่เลือกได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
    ศาสนาของท่านหรือคำสอนของท่าน ถ้าไม่สามารถช่วยคนในปัจจุบันได้ คำ
    สอนนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่เพราะคำสอนของท่าน สามารถช่วยให้
    คนพ้นจากทุกข์ ออกจากทุกข์ได้ในปัจจุบัน ถึงได้มีคุณค่ามหาศาล หรือช่วย
    คนที่เอาขาข้างหนึ่ง แหย่ไปในอบายภูมิ ให้หลุดพ้นออกมาได้ จึงมี
    ประโยชน์จริงไหม มันไปอบายภูมิตอนไหนล่ะ ไปตอนเผลอคิดไม่ใช่เหรอ
    เผลอคิดไม่ดีรู้สึกไหม เหมือนเอาขาข้างหนึ่งแหย่ไปในความร้อน และความ
    ร้อนก็พุ่งอุณหภูมิเข้ามาสู่หัวใจ และถ้ารู้สึกตัวชักออกมา จิตออกมาจาก
    ความคิดนั้น ก็หายไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าไปดับความโกรธนะ แต่ถ้าไม่
    สร้างเหตุแห่งความโกรธขึ้น คือไม่เอาฟืนไปใส่ มันจะมีไฟร้อนได้อย่างไร
    เราไม่ได้ดับความโกรธ ถ้าเราหยุดเหตุแห่งความโกรธมันก็หายเห็นไหม...มี
    สติขึ้นมามันรู้จักวิธีแล้ว อารักขาจิตเป็นแล้ว จิตมันปกติอยู่ก่อนความโกรธ
    ทำให้ปัญญาดับ ใครอยากเรียนหนังสือเก่งบ้าง ใครอยากเป็นคนฉลาดบ้าง
    อย่าทำให้ปัญญาดับสิ ปัญญาดับได้ ๓ วิธี

    วิธีที่หนึ่ง เวลาโกรธมีคนมาถามเลขง่ายๆ จะตอบได้ไหม หรือคนมาถามหนทาง คนมา
    ถามเรื่องราวอะไร เธอตอบได้ไหม ไม่ได้หรอก ปัญญามันดับไปแล้ว มันกำลังหมกมุ่นไป
    อยู่กับความไม่พอใจ ความมืดมันก็เข้ามาครอบงำจิตใจ แสงสว่างก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่
    ถ้าจุดแสงสว่างขึ้นมาล่ะ ความมืดก็หายไปเป็นปลิดทิ้งเหมือนกัน สติกับปัญญาเป็นแสง
    สว่างเห็นไหม อันที่หนึ่ง ปัญญาดับเกิดจากความโกรธ เวลาโกรธจิตมันตกลงไหม
    คุณภาพมันตกต่ำลง เวลาที่อารมณ์ดี เคยเห็นไหมอารมณ์ดีจิตใจมันจะคล่องแคล่ว ว่อง
    ไวปราดเปรียว กระชับกระเฉง สมองกับจิตใจ จิตใจที่มีคุณภาพจะต้องคล่องแคล่วว่องไว
    ปราดเปรียวแม่นยำและลึกล้ำ ว่องไวว่าตัวอะไรเกิดขึ้นในใจ กุศลหรืออกุศลใช่ไหม มันเข้า
    มาเมื่อไหร่ ไม่ใช่ปล่อยให้ความโกรธมาครอบงำ ตั้งชั่วโมงไม่รู้ จิตใจเศร้าหมองไปตั้ง
    นานแล้วก็ไม่รู้แม่นยำ ว่านี่ตัวอะไรใช่ไหม ตัวอะไรตัวกุศลหรืออกุศล ตัวดีหรือตัวชั่วอย่าง
    นี้ แล้วดูต่อว่าถ้าตัวนี้เกิดขึ้นตัวอะไรจะตามมา อย่างเช่นเผลอคิดเรื่องไม่ดีของคนอื่น หรือ
    คิดไม่ดีว่าเขาว่าเราอะไรจะตามมา ความโกรธก็ตามมาซิ มีมาก่อนไหม ไม่มี เสียงเขาว่า
    เรานั้นดับไปแล้ว ถ้าเอากลับมาคิดอีกพันเที่ยว เจ็บอีกพันเที่ยว นี่โง่หรือฉลาด ใครทำ
    ความไม่รู้นะไม่ใช่เรานะ ต้องรู้จักที่มาของทุกข์นะ ไม่ใช่เขาทำและไม่ใช่เราทำ ความไม่รู้
    เผลอคิดต่างหากล่ะที่ทำ ถ้ามีสติเห็นจิตคิด ไม่เอามาเป็นเราคิดนะ เชื่อไหม ถ้าตัวรู้เห็นจิต
    คิดแล้วไม่เอามัน จะเศร้าหมองไปได้อย่างไร ปัญญาจะดับได้อย่างไร

    อันที่สองที่ทำให้ปัญญาดับ เคยเห็นเขาถูกสิบแปดมงกุฎหลอกไหม สังเกตว่าไม่น่าถูก
    หลอกเลย ถูกหลอกเพราะอะไร ตอนนั้นกำลังโลภไง ลืมมองเห็นความเป็นจริงไปหมดเลย
    ใช่ไหม มาคิดแต่จะได้อย่างเดียวนี่ ลืมเห็นโทษ ลืมเห็นภัย เห็นผลเสียที่ตามมาจริงไหม
    โยม สังเกตไหม เวลาโลภปัญญาจะดับดูใจเราให้ดีนะ อย่าไปโลภ ถึงจะทำงาน ทำด้วย
    ฉันทะ(ความพอใจ) ส่วนผลพลอยได้ของการทำงานด้วยฉันทะด้วยความพึงพอใจ แล้ว
    ได้อะไร คือความสุข ผลพลอยได้ของความสุขคืออะไร คืองานที่ดี ผลพลอยได้ของงาน
    ที่ดีคืออะไร... งานที่ดีที่มีคุณภาพมีคนต้องการงานแบบนั้นไหม เงินเป็นแค่ผลพลอยได้
    ของงานที่ดีนะโยม เงินไม่ใช่เป้าหมายปลายทางสุดท้าย ความสุขต่างหากคือเป้าหมาย
    ปลายทาง แต่ถ้าโยมทำงานด้วยความสุข เงินกลายเป็นผลพลอยได้ จะรู้สึกว่าเป็นแค่ของ
    แถม หรือเป็นแค่ของขวัญที่ตามมาเท่านั้นเอง มันไม่ได้สำคัญอะไรมากมายเลย ก็มีความ
    สุขอยู่แล้วนี่ แต่ไม่ใช่ว่าทำงานอีกสิบปีถึงจะมีความสุข อย่างนี้ฉลาดหรือไม่ฉลาด ไม่
    ฉลาดนะโยม ทำงานอย่างมีความสุข ทำงานด้วยความพอใจ ด้วยความตั้งใจ ด้วยความ
    ซาบซึ้งในสิ่งที่เราทำ ถ้าโยมทำด้วยความพึงพอใจตัวเองไม่มีความโลภ ยังมีฉันทะ แต่ไม่
    มีตัณหาในผล มีฉันทะในเหตุแต่ไม่มีตัณหาในผล นี่เป็นเสน่ห์ของชีวิตนะ สาวๆ ต้องหัด
    บริหารเสน่ห์ไว้บ้างนะ ด้วยการมีสตินะ หลวงพ่อกำลังบอกข้อที่สองนะ อันที่หนึ่งที่ปัญญา
    ดับเกิดจากโทสะหรือความโกรธ อันที่สองเกิดจากความโลภ แต่ถ้ามีฉันทะปัญญาไม่ดับ
    หรอก มันจะสว่างไสว เจียระไนปรากฏการณ์ด้วยสติ ฉันทะกับสิ่งที่ทำแม้แต่การล้างจาน
    ล้างห้องน้ำ กวาดบ้าน ล้างรถ รดน้ำต้นไม้ หรือการที่จะเอื้ออาทรหยิบของให้คนทำอะไรก็
    แล้วแต่ทำด้วยความสุขนะโยม ของขวัญจะหลั่งไหลตามมามากมาย

    ข้อที่สาม ความคิดจะเบียดเบียนทำให้ปัญญาดับ คิดที่จะให้ง่ายกว่าไหม คิดจะให้มีความ
    สุขแล้ว เอาลองคิดใหม่ คิดจะเบียดเบียนหลอกลวงคนนี้สักหน่อย สลับซับซ้อนไหม
    เหนื่อยไหม เป็นภาระทางใจเรียกว่าปัญญาดับ แล้วก็ไม่มีความสุขจริงด้วย จำไว้นะสามข้อ
    นะ งั้นวางใจให้ถูกวิธี

    ต่อเรื่องสติของยามรุ่งอรุณ เห็นไหมตื่นเช้ามาอย่าทำให้ปัญญาดับด้วยสามตัวนี้นะ ปัญหา
    มีที่ไหนบ้างไม่มีปัญหา ไหนช่วยยกมือบอกหลวงพ่อซิ ถ้าความเปลี่ยนแปลงเป็นปัญหามีที่
    ไหนบ้างไม่มีปัญหา มีที่ไหนบ้างที่ไม่เปลี่ยนแปลงในโลกนี้ จริงไหมโยม... ความเปลี่ยน
    แปลงเป็นปัญหาจริงหรือ อย่าไปกลัวความเปลี่ยนแปลงนะ ความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่
    ปัญหา ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา ความเปลี่ยนแปลงนี้ดีหรือชั่ว ไม่ดีไม่ชั่วนะ
    โยมเพียงว่าเราจะปฏิบัติถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างถูกวิธีได้อย่างไรต่างหาก ถ้าปฏิบัติ
    อย่างถูกวิธี จะไม่นำความทุกข์มาสู่ใจนะ การที่มีสติในรุ่งอรุณนะโยมเมื่อเราตั้งสติเราจะ
    พบกับความเปลี่ยนแปลงรอบตัวเรา เราสามารถเจียระไนความเปลี่ยนแปลงนั้นให้เป็น
    ปัญญา โดยจะไม่สร้างอกุศลใหม่ขึ้นมา ไม่สร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมา เห็นไหมโยมว่ามันมี
    คุณค่ามากขนาดไหน แม้กระทั่งความเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน ในท่ามกลางอุปสรรคที่
    ไม่คาดคิด แต่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาถ้าเราไม่มีเครื่องมือที่มีศักยภาพคือสติ อย่า
    ไปโทษสิ่งแวดล้อมภายนอกนะ ให้เราพัฒนาเครื่องมือที่มีศักยภาพภายในขึ้นมา คือตัวสติ
    นั่นแหละกับชีวิตประจำวัน ถ้าตื่นเช้ามาบริหารสติ สติเข้มแข็งขึ้นทุกวัน ถ้าเผลอให้รู้ว่า
    เผลอ ตัวรู้จะเริ่มเกิดขึ้น ถ้าเผลอแล้วรู้ว่าเผลอบ่อยๆ ตัวรู้จะทำงานถี่ๆ นึกออกไหม หรือ
    เท้ากระทบพื้นรู้สึกอย่างนี้ รู้บ่อยๆ อย่างนี้ตัวรู้จะทำงานถี่ขึ้น เมื่อเราทำงานบ่อยๆ ตัวรู้ก็
    เข้มแข็งขึ้น ศักยภาพนี้ถ้าไม่ใช้มันเหมือนจะสูญหายไป ความรู้สึกก็มีอยู่ ตัวรู้ก็มีอยู่ แต่ไม่
    ค่อยได้ไปสนใจ บริหารตัวรู้ขึ้นมาจะพบหนทางปลอดภัย หรือคิดว่าเขาว่าเรา มีเขาอยู่นี่
    จริงหรือ หรือแค่ความคิด ถ้าคิดกลับอันนั้นคือสังขารกลุ่มหนึ่ง นี่ก็สังขารกลุ่มหนึ่ง ถ้าโยม
    เห็นเป็นไปตามความเป็นจริงแบบนี้ ตัวปัญญาจะเกิดเข้มแข็งขึ้น ตัวปัญญาจะเกิดอิสรภาพ
    จะทุกข์ มันก็อยู่ตรงหน้านี่เอง แต่ถ้าไม่รู้เข้าไปในเนื้อหา แล้วไปสร้างสัญลักษณ์เข้ามา
    อย่างจริงจัง ยึดถือกับสัญลักษณ์นำความทุกข์มาให้นะ รู้จักสัญลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นมา
    ไหม เรียกว่าสังขารนิมิต ความคิดที่สร้างสิ่งประดิษฐ์สัญลักษณ์ขึ้นมา ไม่ใช่ของจริงโยม
    เห็นไหมคำว่าเขาว่าเราก็เหมือนกัน ไม่ใช่ของจริง เป็นแค่สัญลักษณ์ เรียกว่าสัญญา
    วิปลาส ถ้าไปเอาจริงเอาจัง หาเรื่องเจ็บตัว ถ้าโยมฉลาดมีปัญญา ออกมาจากโลกของ
    สัญลักษณ์ ความทุกข์มันจะมาครอบงำอย่างไร ตัวรู้มาบริหารจะเริ่มฉลาดขึ้น แกร่งกล้า
    ขึ้น เข้มแข็งขึ้นอยู่ภายใน กล้ามเนื้อของสติเข้มแข็ง กล้ามเนื้อของปัญญาเข้มแข็ง มัน
    เรียกใช้ได้ทันท่วงทีไหม เวลาต้องการให้ทำงาน เมื่อเริ่มต้นบริหารกล้ามเนื้อของสติ เช้า
    มารู้สึกตัว จิตคิดเห็น เริ่มทำงานแล้วโยม เริ่มสังเกตขบวนการภายใน ปัญญาทั้งหลายที่ทำ
    มามันเกิดจากงานวิจัย งานวิจัยที่ดีจะต้องมีข้อมูลที่ดีก่อน ยิ่งข้อมูลที่ถูกต้องมีมากเท่า
    ไหร่ งานวิจัยยิ่งมีความแจ่มชัด ชัดเจนมากเท่านั้น สตินี้แหละเป็นการเก็บข้อมูล มันจึงมี
    ชื่อว่า กายานุปัสสนา นุแปลว่าตาม ปัสสนาแปลว่าดู มันเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างหนึ่ง เวท
    นานุปัสสนา ตามดูว่าสุขเวทนาที่เราอยากได้ ทุกขเวทนาที่เราเกลียดชังมันทำงานอย่าง
    ไร ถ้าเข้าใจเหตุปัจจัยของมัน จะแก้ปัญหาถูกวิธีไหม แล้วจะได้รับผลลัพธ์อย่างถูกวิธีไหม
    แต่ถ้าไม่เข้าใจต้นทางของมันไม่ทำงานวิจัยเสียก่อน ได้แต่ไปโทษว่าเพราะคนนู้นทำให้
    เราทุกข์ เพราะคนนั่นทำให้เราล้มเหลว โทษคนนี้ทำให้เราผิดพลาดใช่หรือ เห็นไหมโยม
    ถ้ากลับมาทำงานวิจัยจะพบความจริงเลยว่าทุกข์จากตรงไหนกันแน่ ใช่คนอื่นทำไหม...ไม่
    ใช่ เราทำหรือเปล่าก็ไม่ใช่ จะพบความจริงนะ ถ้าไม่คิดเรื่องไม่ดีจะทุกข์ไปได้อย่างไร ถ้า
    ไม่เก็บเอาความไม่ดีของคนอื่นมาคิด จิตใจจะมัวหมองไปได้อย่างไร ในเมื่อจิตใจมัน
    สะอาดหมดจดอยู่ก่อน สติมันอารักขาจิตนะ จิตมันปกติอยู่ก่อนแต่พอหูกระทบเสียงไปเอา
    ความไม่ชอบไว้ในใจ ใจถึงขุ่นมัว แต่ถ้าฉลาดรถขยะมันวิ่งผ่านมา จะต้องคว้าไว้ในใจ
    ไหม หรือควรปล่อยไปตามวิถีทางของมัน เห็นไหมสติอารักขาไว้กับความฉลาดนะ ทุกวัน
    จะต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่ถ้ามีบอดี้การ์ดดูแลหัวใจอยู่อย่างนี้ จะปลอดภัยนะ สติ
    เนี่ยเหมือนกับบอดี้การ์ด มันคอยดูแลจิต ตอนเสียงกระทบหู ถ้าความไม่ชอบเกิดขึ้น ที่
    บรรดาอสรพิษร้ายเป็นสิบแปดมงกุฎเป็นความเศร้าหมองไม่เอา ใจก็ปกติ แต่บอดี้การ์ดที่
    ดี คือสตินะ แต่บอดี้การ์ดที่ดีสติที่ดีมี ๔ คุณลักษณะ

    ๑.ถ้าเรามียามคอยเฝ้าดูแลหัวใจเรา หรือเฝ้าดูแลบ้านช่องเรา ยามคนนั้นควรจะเหม่อไหม
    ยามควรใจลอยไหม ยามควรเผลอไหม เห็นไหมสติที่ดีนะโยมคือความไม่ล่องลอย ความ
    ไม่เผลอ ความไม่เหม่อเป็นลักษณะ ถ้าเผลอตอนตายไปอบายภูมินะ คนเหม่อ คนลอย
    ไม่คุ้มค่ากันเลย ยามที่ดีเขาไม่เหม่อไม่เผลอ ควรจะนั่งเฝ้าอยู่ที่ประตูบ้านเรา ไม่อยู่เฝ้า
    ดูแลบ้านจะเป็นยามที่ดีได้อย่างไร ยามที่ดีจะต้องมีที่ตั้ง คอยสอดส่องดูแลการทำงาน
    ของกายและใจ โดยผ่านประตูทั้ง ๖ ว่ามันจะเข้ามาช่องไหนบ้าง ตาเห็นรูปได้ดี ควรคว้า
    เข้ามาไหม ไม่เอา หูได้ยินเสียงเขาทะเลาะกันควรจะยื่นหูไปฟังเขาไหม ไม่เอาโยม ก็ใจ
    เราปกติอยู่นี่ และคำสั่งสอนที่ดี เรื่องราวที่ดีที่มากมายที่มีอยู่ในโลกนี้นะโยม ที่นักปราชญ์
    ค้นคว้ามาได้นี่ น่าจะเอามาบันทึก มาเจียระไน เอามาเป็นอริยทรัพย์ภายในไหม ทำเป็น
    สวนดอกไม้แห่งสติปัญญาไม่ดีกว่าหรือ หรือทำเป็นกองขยะเก็บความชั่วของคนอื่นมาจำ
    เอาไว้ เก็บของคนอื่นมาคิด ให้เจ็บตัวทำไม

    ๒.สติมีหน้าที่ มีที่ตั้งอยู่ที่กายและใจ คอยสอดส่องดูแลการทำงานของกายและใจ เช้าๆ
    ตื่นมาโยมมีสติเลยอกุศลไม่เข้ามา วันนั้นจะเป็นวันดีนะ เพราะว่าอะไร คิดดี อารมณ์ดี
    หน้าตาก็มีความสุข พูดก็ดี เวลาพูดดีคนจะรักใคร่ไหม ถ้าทำดีคนจะให้ความเชื่อถือ คนก็
    อยากร่วมงานด้วย ใครก็อยากคบหา มันเต็มไปด้วยความน่าไว้วางใจไง คบกับคนที่ดีมีแต่
    รอยยิ้ม มีความสุขไหม หรือโยมอยากจะคบกับคนที่หน้าเบลอๆ เหม่อๆ เผลอๆ มีแต่ขุม
    ทรัพย์แห่งทุกข์เต็มไปหมด อันไหนน่าคบกว่า ง่ายๆ เลยโยมไม่ใช่สิ่งอภินิหารมหัศจรรย์
    อะไรเลย มันอยู่ต่อหน้าต่อตาเราเลย ขุมทรัพย์แห่งความรู้ ตื่นเช้ามานะเราเริ่มเจริญสติได้
    แล้วในชีวิตประจำวันได้ทุกขณะ ก้าวเท้าออกจากบ้านมีแต่รอยยิ้ม มองเห็นเกาะกลางถนน
    มีคนตัดต้นไม้แต่งต้นไม้ รู้สึกไหมว่าเขาก็มีคุณค่าในสังคม ต่างคนต่างทำในหน้าที่ เลี้ยว
    ไปทางซ้ายเห็นคนกวาดถนนนะ ก้มหน้าก้มตากวาดขะมักเขม้น ทำให้หนทางสะอาดไม่มี
    ฝุ่นบุหรี่ ใบไม้ช่วยให้ออกซิเจนกับเรา ต่างคนต่างทำหน้าที่ รู้สึกไหมว่ามันมีของขวัญอยู่
    รอบตัว เราอาจจะมองข้ามไป ต้นไม้เล็กๆ ก็ผลิแย้มดอกออกมานะโยม คนนั่งสมาธิตั้งแต่
    ยามค่ำคืน เพื่อจะบรรณาการดอกไม้ให้ยามเช้าแห่งรุ่งอรุณ มีละอองเกษรปลิวตามสาย
    ลม ถ้าโยมมองโลกอย่างนี้นะ ของขวัญแห่งความสุขนี้มีมากมาย ไม่ใช่ว่าจะรีบๆ ไปทำ
    งาน พอไปถึงหน้าตึกก็มีสวนหย่อมนะ เขาไม่เคยดู รีบๆ เข้าไปขึ้นลิฟต์ ว่ามันจะมาเมื่อ
    ไหร่นะคอยลุ้นๆ อยู่อย่างนี้แต่ถ้าดูจิตนะโยม ใช้เวลาเท่ากันนะแต่ความสุขที่ได้รับมันท่วม
    ท้มมหาศาลกว่า รู้สึกคุ้มค่ามากเลยนะกับการที่มีมนุษย์สมบัติ กับการที่ได้เกิดมาเป็น
    มนุษย์ เรามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ด้วยกัน ได้แบ่งปันการเรียนรู้ ทรัพยากรแห่งแสงแดด
    ร่วมกัน แบ่งปันลมหายใจร่วมกัน น้ำฝนตกลงมาแล้วเรามาแบ่งกันดีไหม หลวงพ่อว่าสัจจะ
    ธรรมมีความงดงามในตัวมันเอง เราไม่เสแสร้งสร้างเรื่อง แต่มันอยู่ต่อหน้าต่อตาเราที่เป็น
    มหาภาคหรือยูนิตี้ใหญ่นี้ อยู่ต่อหน้าต่อตาเราตลอดเวลา แต่ไอ้ความเป็นยูนิค ที่สร้าง
    บุคลิกภาพเฉพาะตัวขึ้นมา มันก็พ้นจากความเป็นยูนิตี้หรอกโยม ไม่จริงเหรอเราใช้แสง
    ตะวันที่เดียวกัน ใช้ลมหายใจที่เดียวกัน สายน้ำที่เดียวกัน อยู่ผืนแผ่นดินที่เดียวกัน อยู่ห้อง
    โถงจักรวาลอันเดียวกัน เป็นปริศนาที่แชร์กันตลอดเวลานะ ถ้ามองอย่างนี้นะ โยมจะไม่
    ยึดติดไอ้ความรู้สึกที่ต้องเบียดเบียนกัน ใช้ศักยภาพที่สร้างสรรค์ที่ถูกวิธี แล้วสิ่งที่เราใฝ่ฝัน
    ว่าเราจะได้ อาจจะไม่ไกลเกินเอื้อม สวนดอกไม้หรือสวนผลไม้ มันมากพอที่จะแบ่งปันกัน
    อยู่แล้ว แต่เราคิดว่ากอบโกยไว้คนเดียวในสวนผลไม้อันนี้ต่างหากโยม แล้วคิดว่าคนอื่นจะ
    เป็นอุปสรรคเป็นศัตรู เป็นคู่แข่ง ความทุกข์ก็เลยตามเข้ามา จริงๆ แล้วความแบ่งปันมัน
    มากล้นเพียงพอมากมายมหาศาล

    การเจริญสติในชีวิตประจำวัน มองโลกทรรศน์ตามความเป็นจริง จะเกิดตัวจริยธรรมและ
    คุณธรรมตามมา จะเกิดหิริโอตัปปะ ความกลัวต่อผลของความชั่วตามมา พระพุทธเจ้าจึง
    ตรัสว่า เมื่อไหร่ที่สติสัมปชัญญะมีอยู่ หิริโอตัปปะมีอยู่สมบูรณ์ การที่เราไปสั่งให้คนมีความ
    ละอายใจ โดยที่ไม่สอดเจริญสติให้เขาลงไปนะโยมไม่มีทาง การอบรมค่ายจริยธรรม
    คุณธรรมของเรา โดยสั่งให้คนทำความดีอย่าทำความชั่วไม่เพียงพอ ทุกคนไม่มีใครอยาก
    ทำความชั่วหรอก เพียงว่าเขาอ่อนแอบางครั้ง เวลาที่เจออำนาจใฝ่ต่ำกระตุ้นต่อมความ
    โลภนี่ ไม่มีสติเพียงพอที่จะรักษาว่าทำอย่างนั้นไปจิตก็เศร้าหมอง ไม่มีคนชั่วนะมีแต่คน
    อ่อนแอ ไม่มีคนเลวนะโยมมีแต่ความไม่รู้ แต่ถ้าตัวรู้เข้ามาตัวแลเห็นจิตใจ เห็นไหมหลวง
    พ่อบอกว่าสติปัฏฐาน ๔ เนี่ย ในกาย เวทนา จิต ธรรม สักแต่ว่าอาศัยเป็นที่ตั้งแห่งรู้ ถ้าตัวรู้
    มาดูแลจิตใจโยม มันทำความชั่วไม่ได้ ถ้าความชั่วไม่ทำอกุศลไม่ทำ ความสุขมันก็อยู่ต่อ
    หน้าต่อตาเรา เห็นไหมของขวัญในชีวิตไม่ได้ไกลเกินเอื้อมเลย ที่เราคว้าหาความสุขนี่
    เพียงแค่หยุดเหตุของอกุศลเท่านั้นเอง ความสุขก็เผยตัวออกมา เพราะจิตมันปกติสุขแท้
    อยู่ก่อนแล้วนะโยม ความไม่สะอาดมาทีหลัง อย่างแก้วน้ำอย่างนี้มันว่างอยู่ก่อนหรือเปล่า
    ก่อนจะใส่น้ำลงไป เราเลือกอีกต่างหากว่าเราจะใส่น้ำอะไรลงไป จะใส่น้ำขาว เย็นๆ ใสๆ
    หรือจะใส่น้ำที่ขุ่นมัวหรือใส่สีชมพูหรือใส่สีเหลือง หรือสีแดง มีมาก่อนไหมหัวใจของเรา
    แล้วเลือกใส่สีอะไร อยู่กับชีวิตประจำวันเราตลอดเวลา เห็นไหมอยู่ต่อหน้าต่อตาไม่ได้จาก
    ไปไหนไม่ได้กลับมานะ สันติสุขที่มีอยู่ตลอดเวลามันถูกบดบัง ด้วยเนื้อหาของความปรุง
    แต่ง วันนี้เลยตั้งชื่อว่า ระลอกคลื่น บังน้ำใส ภายใต้ของระลอกคลื่น รูปทรงของระลอก
    คลื่นนี้ มันยังมีความใสของน้ำอยู่ภายในไหม...มีโยม ภายใต้เปลือกของความคิดปรุง
    แต่ง โยมไม่เห็นเหรอเวลาคิดอะไร ข้างในมันก็มีความว่างเปล่า เนื้อหาเป็นเพียงแค่ขอบ
    ขีดเส้นปรุงสร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง มันอยู่ที่ไหนล่ะความคิด ดูดีๆ สิ มันแฝงตัวเองอยู่ใน
    ความว่าง ด้วยเปลือกของเนื้อหา แต่เนื้อหาภายในของมันไม่มีตัวตนอะไรนะ ความคิด
    ของอยู่ที่ไหนเอามาให้ดูได้ไหม เป็นแค่ของเกิดดับชั่วคราว เวลาคิดเอาอะไรมาคิดเอา
    สัญญามาผสมกับเวทนา ถ้าสัญญานั้นวิปลาสล่ะ อาจจะไม่จริงนะโยม เช่นว่า เขาว่าเรา
    อย่างนี้ จำว่าเขาว่าเรา เขาจริงๆ หรือโยม หรือไม่ใช่เขาหรือเป็นแค่ธาตุ ๔ กลุ่มๆ หนึ่ง
    หรือเป็นสังขารความคิดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ตัวตนเลย ธาตุ ๔ เป็นตัวตนหรือโยม เวลาคน
    ตายเขาบอกว่าอันนี้ไม่มีชีวิต ก็แสดงว่าร่างกายก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตสิโยม หรือความคิดเป็นสิ่ง
    มีชีวิตล่ะ เป็นแค่ความคิดนะ ความจำล่ะเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นแค่หน่วยความจำนะโยมถ้ารู้จัก
    แบบนี้นะ เวลาเอาความจำมาคิดก็รู้จักว่านี่สัญญาขันธ์โยม ใจจะเป็นกลางต่อสัญญาตัว
    นั้น แต่ถ้าสัญญาตัวนั้นผูกผันเป็นวิปลาสไปแล้ว มันคาดเคลื่อนไปแล้ว โดยใส่ทัศนคติ ใส่
    ทิฐิ และใส่ตัณหาลงไปอีก ใส่มานะ สัญญาตัวนั้นตั่งหากโยม มันจะเป็นสัญญาที่ปรุงสำเร็จ
    รูป เหมือนเด็กๆ เห็นข้าว ข้าวออกมาจากหม้อหุงข้าว ใช่หรอ ข้าวมาจากท้องไร่ท้องนา
    มาจากธาตุสี่ เราก็เช่นเดียวกัน ความจำมันคาดเคลื่อนไปหมด มันถูกปรุงสำเร็จรูปไง พอ
    เข้าใจไหม แต่เราเห็นความจำเดิมแท้โยม มันเป็นเพียงแค่ความจำในรูปนะ และก็ไม่ใช่
    สัตว์ตัวตนด้วย พอมาคิด มันก็มาคิดตามความเป็นจริง แต่ถ้าจำผิดมันจะคิดผิด ถ้าคิดผิด
    มันจะต้องทุกข์ ปฏิบัติต่อกฎธรรมชาติอย่างผิดวิธีนี่ ผลคือต้องรับความเป็นทุกข์สิ ถ้าโยม
    ปฏิบัติตามกฎธรรมชาติอย่างถูกวิธี จะไม่ทุกข์นะ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า โดยย่อ อุปาทาน
    ขันธ์๕ เป็นทุกข์ ใช้มันไม่เป็น สัญญาขันธ์ปรากฏ ก็ไม่รู้สัญญาขันธ์ เขาไม่ยึดเอาจริงเอา
    จัง สัญญาขันธ์ไปผันเป็นสัญญาและขันธ์ นึกออกไหม เวลาคิดถึงคน คนหนึ่ง เราเอา
    สัญญามาต่อด้วยเส้นใยของทัศนคติต่อเข้าไป บวกเข้าและมันก็เป็นเรื่องของความคิด นั้น
    ความคิดถึง ถึงไม่ได้มีตัวตนไงโยม เวลาเราสวดมนต์เห็นไหม สังขารแปลว่าการประสม
    ความคิดนี่คือสังขาร คือการประสมระหว่างความจำกับเวทนา อย่างคิดถึงคนที่เรารัก มัน
    จำสิ่งที่เขาทำดีด้วย พูดดีด้วย มอบสิ่งที่เป็นความสุขให้ จำในสิ่งที่เป็นคนคนหนึ่งที่เป็นรูป
    ขันธ์ กับเวทนาขันธ์ และบวกกันกลายเป็นความคิด เรียกว่า คิดถึง คิดถึงและก็มีความสุข
    ก็คิดถึงเรื่องที่ดีนี่ ส่วนสัญญาขันธ์ อีกอันหนึ่ง จำไว้ว่า สิ่งนี้เวลาเขาพูดมา ทำให้เกิด
    ทุกขเวทนา พอคิดแล้วก็ไม่สบายใจ ถ้าฉลาดมองรหัสของชีวิตออก องค์ประกอบ
    ประกอบด้วยขันธ์๕ แบบนี้โยม ใช้มันอย่างถูกวิธีมันจะนำทุกข์มาให้ได้อย่างไร แต่ถ้าใช้
    มันไม่เป็น เห็นไหม จะนำเอาความทุกข์ใจมาให้ การที่มีสติในชีวิตประจำวันนี้ โยม
    สามารถที่จะใช้ศักยภาพของขันธ์๕กับปรากฏการณ์สิ่งของที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลาอย่าง
    ถูกวิธี มีใครไหมที่ไม่มีขันธ์๕ ทุกคนมีเหมือนกัน มีร่างกายเหมือนกัน มีการรับรู้ทางตา
    ทางหูเหมือนกัน มีใครหนีผัสสะพ้นไหม ไม่มีใครหนีพ้น ทุกวันก็ได้ยินเสียงใหม่ ต้องเห็น
    ภาพใหม่ๆ มันก็เอาความจำเรามาคิด

    หลวงพ่อกำลังเปรียบเทียบอย่างนี้นะ ขันธ์๕ มีองค์ประกอบอยู่ ๕ อย่าง
    ๑.มีร่างกายและก็ต้องมีอายตนะต่างๆ ตามช่องเอาไว้สื่อสารกับโลกภายนอก
    มีตาไว้เห็น มีหูไว้รับเสียง เพื่อที่จะได้จัดทิศทางในการดำเนินชีวิตไงว่า
    จะไปทางทิศไหน จะไปกินอะไร และก็จำได้ว่าร้านนี้อร่อย ร้านนี้ไม่อร่อย คนคนนี้มี
    โทษ คนคนนี้มีคุณ เห็นไหมเพื่อเอาใช้ดำเนินชีวิตต่างหาก เรียกว่า มีกาย มีรู้แล้ว และก็มี
    การรับรู้ วิญญาณ รับรู้และก็มีความรู้สึก ร้านนี้อร่อย เรียกว่าจำเอาไว้ เรียกว่าสัญญา
    สัญญากันเอาไว้นะ บางทีกันลืมเขียนสัญญากันเอาไว้นะ ดีไหม เห็นไหมโยม สัญญาแปล
    ว่าบันทึกความจำ เกิดจากการรับรู้ และก็จำเอาไว้และก็ดึงออกมาคิดต่อ ใช่ไหมโยมเรียก
    ว่าสังขาร ๕ ตัว มีทุกวันนะโยม แต่จะปฏิบัติกับมันอย่างไร ถ้าอยู่ๆ ไปเก็บเอาสัญญา
    วิปลาส จำคาดเคลื่อนและ ไปหาเรื่องไร้สาระ เรื่องความชั่วมาจำ เรื่องความชั่วมาคิด
    ฉลาดหรือเปล่า ถ้ามีปัญญานะโยม ในศาสนาพุทธเป้าหมายชีวิต คือตัวปัญญา ที่พาคน
    พ้นออกจากทุกข์ มันจะปฏิบัติกับขันธ์๕ อย่างถูกวิธี ใช่ไหมโยม ต้องไปพึ่งเทพเจ้าที่ไหน
    ไหม ต้องไปอ้อนวอนขอความช่วงเหลือจากต้นไม้ไหม ต้องไปไหว้ภูเขา ดิน ฟ้า อากาศ
    ให้ช่วยไหม หรือสามารถจะดูแลตัวเองได้ จากการที่มีปัญญา และใช้ขันธ์๕อย่างถูกวิธี
    ด้วยการมีสติ กับชีวิตปะจำวันนะโยม สตินี่แหละ ที่เข้าไปเห็นการทำงานของขันธ์๕
    ตั้งแต่ กาย เวทนา จิตที่คิดหรือทำ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการทำงานของขันธ์๕
    อันที่ ๒. บทอริยะบับพะ เป็นการทำงานของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หูกระทบเสียง มีสติ
    รักษาจิต ความโกรธไม่ได้มีมาก่อน ความชั่วไม่ได้มีมาก่อน ถ้าไม่เอาความไม่ชอบ มันจะ
    โกรธได้อย่างไร ความพยาบาทก็ไม่ได้มีมาก่อนนะ แต่ถ้าหูกระทบเสียงแล้วขาดสติ โยม
    เอาความไม่ชอบเก็บไว้ในใจ เรียกว่า ปฏิคะนุใส หรือ ปฏิคะสังโยชน์ ใครอยากออกจาก
    สังโยชน์นะโยม ไม่เห็นยากอะไรเลย สังโยชน์ ไม่ได้มีมาก่อน มีตอนที่หูกระทบเสียงแล้ว
    ไม่ชอบ สังโยชน์ แปลว่าเครื่องร้อยรัด ปฎิคะแปลว่าความไม่พอใจ หรือความหงุดหงิด
    ความรำคาญใจ เอาข้อร้อยรัดเข้าไปในใจ ก็ไม่ได้มีมาก่อนนะ ใจก็จะถูกร้อยรัดไปด้วย
    ความไม่ชอบ หรือไปนั่งสมาธิล่ะ มันก็ฟูขึ้นสิ กลายเป็นพยาบาทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์
    เป็นนิวรณ์ธรรมอยู่ในหมวด ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานถ้าโยมมีสติ มีนิวรณ์ธรรม มันจะ
    เล่นงานเราได้อย่างไร พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า เวลาที่มีสติระลึกรู้ นิวรณ์ธรรมเกิดขึ้นเรารู้
    เกิดจากอะไรก็รู้ เกิดตอนที่ขาดสติ เอาหูกระทบเสียงเก็บความไม่ชอบมาไว้ในใจ จะดับไป
    เพราะเหตุอะไรก็รู้ เพราะหยุดคิดถึงมัน ผลมันก็หายสิโยม และจะไม่กลับไปอีก เพราะเหตุ
    อะไร คืองวดหน้าเราระวังแล้ว หูรับเสียง ไม่เอาความไม่ชอบไว้ในใจ พยาบาทมาจาก
    ไหนทีนี่ และจิตที่ปราศจากอกุศลจะเป็นอย่างไร ไกลเกินเอื้อมไหม หรือสามารถอยู่ต่อ
    หน้าต่อตา ด้วยการเจริญสิต บริหารสติจนมีกำลังเข้มแข็ง ว่องไวปราดเปรียว โดยมี
    คุณภาพอย่างนี้ และใช่ได้ทันท่วงทีอย่างนี้ โยมเห็นไหมว่าแค่ร่องรอยของรุ่งอรุณเล็กๆ
    ของการเจริญสิต ประสานกับชีวิตประจำวัน เราก็จะพอเห็นลำแสงทอง แห่งสว่างไสว ที่จะ
    สาดส่องในชีวิตเราเบื้องหน้า



    สติปัฏฐาน ๔ ยังมีของขวัญมากมายที่มีเครื่องบรรณาการรองรับอยู่ข้างหน้า

    ๑. ถ้าเรามีสติรักษาจิตอยู่ จิตคิดไม่ดีไม่เอา อันดับ ๑ เลยของขวัญที่เราได้รับคือ ดับ
    ความทุกข์ใจ ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ กับชีวิตประจำวัน อย่างนี้นะ

    อันที่ ๑ ดับความทุกข์ใจ ทุกข์ใจ เกิดจากตอนเผลอคิด ถ้าไม่คิดเรื่องไม่ดี จะมีได้อย่างไร
    ที่ทำงานวิจัยนะ คิดอย่างนี้ ผลเป็นอย่างนี้ ถ้าคิดเรื่องไม่ดี จะทุกข์ใจ จิตหรือสติ มันจำ
    สภาวะได้ คิดอย่างนี้ผลเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เอาโยม สติจะเข้ามาแทนที่เอง สติ มีองค์
    ประกอบ ๔ อย่าง ทวนอีกครั้ง ๑. มีความไม่ล่องลอยเป็นลักษณะ นึกถึงบอร์ดี้กาดไปนะ
    บอร์ดี้กาดจะต้องไม่เหมอไม่เผลอ อันที่ ๒ ตั้งอยู่ที่กายและใจ ดุแลกายและใจ ดูการทำ
    งานของกายและใจ เรียกว่ารู้กายรู้ใจ อันที่ ๓ มีผลรับคือ คอยอารักขาจิต เพราะจิตปกติ
    อยู่ก่อน อันที่ ๔ เดอะบอดี้การ์ดหรือยามที่ดีนี่ จะต้องรู้จักว่าอันไหนเป็นสิบแปดมงกุฎ อัน
    ไหนเป็นโจร อันไหนเป็นผู้ร้าย จะต้องไม่ถูกมันหลอกลวง เรียกว่าจำสภาวะได้ หรือรู้จัก
    สภาวะต่างๆเหล่านั้นว่า ถ้าคิดอย่างนี้ ผลเป็นความโกรธ คิดอย่างนี้ ผลเป็นความเสียใจ
    คิดอย่างนี้ ผลเป็นความร้องไห้ จะคิดทำไม ร้องไห้ก็ทำให้สุขภาพจิตแย่ สุขภาพกาย ก็
    แย่ ปัญญาก็ดับ

    ข้อที่ ๒ ดับความร้องไห้ รำพึง รำพัน พอร้องไห้จะต้องเผลอคิดเรื่องที่สูญเสีย แล้วไปนั่ง
    คิดทำอะไรล่ะ ไม่ใช้ศักยภาพที่มันสดใส และรอรับของขวัญใหม่กับชีวิตไม่ดีกว่าหรือโยม
    ดีกว่าเป็นคนที่หมองเศร้า ซึมเศร้า มีใครบ้างอยากคบคนซึมเศร้า มีใครบ้างที่อยากเข้า
    ใกล้ คนที่มีหน้าตาแจ่มใส มีรอยยิ้มแห่งความสุข มีเรื่องราวแห่งความสุข แย้มออกจากริม
    ฝีปาก คุยกับคนคนนี้มีแต่เรื่องดีดีมาเล่าให้ฟัง คุยกับคนคนนี้ มีแต่เรื่องปัญหามีแต่เอาเรื่อง
    เลวๆของคนอื่นมาเล่าให้ฟัง อยากคุยไหม มีแต่เรื่องตัดท้อ ต่อว่า โทษโชคชะตา รู้สึกและ
    จิตใจก็ตกต่ำไปด้วย เราก็มีปัญหาของเรา พอเหมาะพอควรอยู่แล้ว จริงไหมโยม

    ข้อ ๓ สตินอกจากดับความทุกข์ใจ ดับความร้องไห้รำพึงแล้ว ไปทำให้เกิดความบริสุทธิ์
    ของกาย ไปทำชั่วก็ไม่ได้ พูดชั่วก็ไม่ได้ ทำให้เกิดความรู้สึกของใจ

    ข้อที่ ๔ ของการที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ ของชีวิตประจำวัน ยังทำให้เข้าถึงอริยมรรคอีกโยม
    เข้าถึงได้อย่างไร ถ้าโยมรู้สึกว่า มืออยู่นี่ รู้สึกดูนะว่ามืออยู่ที่ไหน เท้าอยู่ที่ไหน ลองรู้สึกดู
    สิ ก้นกระทบพื้น รู้สึกดูสิ การทรงตัวรู้สึกดูสิ ว่าอยู่ตรงนี้ เห็นไหมโยม
    อันที่ ๑. อกุศลใหม่ทำงานไม่ได้ เกิดสัมมาวายามะตามมาแล้ว ความเพียรชอบ
    ไม่ต้องไปเพียรนาน ยืนนาน นั่งนาน เพียรที่เกินสติ ทำให้เกิดกุศลใหม่ ปิดกั้นอกุศลใหม่
    ไม่ให้ทำงาน นั่งอยู่ที่นี่ รู้สึกมืออยู่นี่ เท้าอยู่ที่นี่ ผิวกายกระทบอากาศอยู่นี่ มีใครไปคิดเรื่อง
    ในอดีตที่เศร้าหมองได้ไหม ไม่ได้โยม

    อันที่ ๒ ของสัมมาวัยมะ มันทำร้ายอกุศลเก่าไม่ให้ทำงาน ถ้ากลับไปคิดถึงเรื่องราวเก่า
    เอากลับมาคิดใหม่เป็นสัญญาตัวใหม่ เป็นสังขารตัวใหม่ และเกิดทุกข์เวทนาตัวใหม่นะ
    โยม คนละตัวกับของเก่านะ มันมีขันธ์คนละเวลา คนละตัวกันนะโยม อันนี้ไม่ฉลาดในการ
    ใช้ขันธ์ อยู่ๆก็เอาขันธ์ไปหอบหิ้วเอาสัญญาเก่าๆมากลายเป็นสัญญาตัวใหม่ และก็กลาย
    เป็นสังขารตัวใหม่ เป็นความทุกขเวทนาตัวใหม่อย่างนี้ ไม่ใช่ความเพียรที่ฉลาดเลย เป็น
    ความเพียรที่ไร้สาระ ไปขนเอาขยะเก่าๆ ในตู้เย็นเอามาเคี้ยว เอามาดม เอามากิน แล้วก็
    แบ่งคนอื่นกินด้วยนะ เอาเรื่องเศร้าหมองไปแบ่งกัน เอาเรื่องความทุกข์ความชั่วไปแบ่งกัน
    อย่างนี้ ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาล่ะ ความเพียรตัวนี้ถึงทำลายอกุศลเก่า โดยการปิดโอกาส
    ไม่ให้มันไปคิดเรื่องเก่าๆที่เศร้าหมอง ชีวิตก็ไม่ใช่โศก อนาตกรรมนะ ของขวัญของกาล
    เวลาชิ้นใหม่ที่เบ่งบานอยู่ต่อหน้าต่อตา ทำให้เกิดกุศลผลิแย้มขึ้น มีความสุขเบาๆ มีใจเป็น
    กลางๆ นุ่มนวลอ่อนโยน เห็นไหมโยม และเกิดความเจริญงอกงามของกุศล ในข้องที่๔
    และทำให้เกิดสัมมาสมาธิตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้เกิดสัมมาทิฐิของรูปและนาม กาย ใจ
    ตรงปัจจุบันด้วย เกิดสัมมาสังกัปปะดำริชอบ มีใครดำริจะเบียดเบียนไหมตอนนี้ มีใครดำริ
    พยาบาทไหม มีใครที่จะดำริไปเอาของของคนอื่นไหม ไม่มีนะ ถ้ามีสติอยู่นะโยม เห็น
    ไหม สัมมาสังขตะก็เกิด สัมมาวาจาภายใน ตอนนี้มีใครนินทาหลวงพ่อภายในใจไหม มีก็
    ขอขมาก่อนนะ ก่อนจะจากกัน ไม่มีใช่ไหม เห็นไหม เพราะว่ามีสติไงโยม ถ้าทำอย่างนี้
    แปลว่าขาดสติอยู่แล้ว สัมมากัมมันตะภายในก็ชอบนะ การประพฤติภายในก็ชอบ สัมมา
    อาชีวะการงานปัจจุบันก็ชอบนะโยม เห็นไหม ทำให้เกิดอริยมรรค และทำให้เข้าถึงปรินิ
    พาน เพียงแค่การเจริญสติปัฏฐาน ๔ รางวัลนะโยม มีของขวัญบรรณาการตลอดเส้นทาง
    ง่ายๆของการที่ดับทุกข์ ดับความร้องไห้ มีความสุขของกายและใจ เข้าถึงอริยมรรคของ
    ปลายทาง จะเห็นความเป็นจริง เห็นความบริสุทธิ์ผุดผ่องของจิตที่ไม่ปนเปื้อน ของความ
    ปรุงแต่งจอมปลอม พระนิพพานมีชื่อว่า วิสังขาร คือการที่ไม่ได้ปนเปื้อนของการปรุงแต่ง
    ที่ไม่ใช่ของจริง มันเข้าไปประจักษ์ความจริงอยู่ต่อหน้าหน้าต่อตาที่เป็นสันติสุข มีสันติ
    ลักษณะ เป็นผลพลอยได้ที่ตามมา

    พวกเราลองกลับไปฝึกการเจริญสติกับชีวิตประจำวันดู ถ้ามีเวลาอื่นๆ
    ก็ใช้รูปแบบเป็นตัวช่วย เพื่อเพิ่มกำลัง ท่าที่มาตรฐาน ขึ้นมา อย่างเช่นก่อน
    นอน หรือตอนเช้า อาจจะนั่งเจริญสติ ดูลมหายใจเรียกว่า อานาปานสติ หรือเจริญกายานุ
    สติ หรือจะดูพองยุบอะไรก็ได้ เพื่อได้บริหารตัวรู้บ่อยๆ ส่วนระหว่างชีวิตประจำวัน เดี๋ยวเรา
    ลุกขึ้น กราบพระ ขยับตัว เราก็รู้สึกสิ ถึงอิริยาบถย่อยที่เคลื่อนไหว อิริยาบถย่อยเป็นการ
    ปฏิบัติที่คลาสสิกมาก เพราะมันมีอยู่ตลอดเวลา มันจะหายไปไหนล่ะ เราอาศัยเป็นที่ตั้ง
    แห่งรู้นะโยม จิตก็ตื่นมาจากโลกของความหลง หรืออกุศล คนที่ตื่นเป็นชีวิตที่อัศจรรย์
    มาก เป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่จะแพร่รัศมีและประกายแห่งความสดใส และความเบ่งบาน
    ไปยังคนรอบๆข้าง ในทุกก้าวย่างที่ชีวิตเราเคลื่อนที่ผ่านไป อยู่ในบ้านเราก็เป็นทูต
    สันติภาพ สันติสุข อยู่ในบ้าน อยู่ในชุมชน อยู่ในที่ทำงาน โยมต้องการของขวัญแบบนี้
    ไหม ในโลกนี้ แล้วทำไมไม่เป็นเองล่ะ เป็นของขวัญเองเลยสิ ขออนุโมทนากับทุกท่าน
    ความสุขเป็นเหตุใกล้ของสมาธิ ไม่ใช่ความโลภที่อยากสงบนิ่ง แต่ความสุขต่างหากเป็น
    เหตุใกล้แห่งสมาธิ ความสุขตัวนี้ที่เกิดจากสติ ที่จิตเป็นกุศล รู้สึกนะวันนี้เรามาฟังธรรมะ
    ได้รับของขวัญที่มีค่าอันเป็นกุศล รู้สึกเหมือนมีรอยยิ้มบางๆ แพร่ซานในชีวิตของเรา ใครที่
    เคยดูท้องพองยุบ เป็นการเคลื่อนไหวแบบโปร่งๆ เบาๆ มีธาตุลมที่ไหลเข้าไหลออก เป็น
    การตามดูกายในกายนะ กายในกาย ทั้งภายใน และภายนอก ความไหวตัวของท้องที่พอง
    ยุบ เกิดจากธาตุลมที่ไหลเข้ามา และก็ไหลออกไป หากธาตุลมภายนอกไม่ใช่สัตว์ ตัวตน
    ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่เราไม่ใช่เขา ธาตุลมที่ไหลเข้ามาภายใน ทำให้ท้องพองยุบนี้จะเป็นสัตว์
    ตัวตน บุคคลเหล่าเขาไปได้อย่างไร ท้องพองยุบก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ มีนามธรรมอีกตัว
    หนึ่งไปรู้เข้า

    ชีวิตมีองค์ประกอบอยู่ ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งคือรูปธรรม รูปธรรมนี้มันไม่ดีไม่ชั่ว
    เรียกว่าอัพยากตธรรม เป็นกลางๆ รู้สึกด้วยตนเองไม่ได้ มีนามธรรมที่เข้าไปเบียดอยู่ช่อง
    ว่างเล็กๆ เต็มไปหมดในทั่วร่างกายที่เข้าไปรับรู้ เราสมมุติชื่อเรียกว่าจิตมันไม่ได้รับรู้เฉยๆ
    สังเกตไหม มันยังสามารถรู้สึกได้ด้วย ที่เรียกว่าจิตหรือ วิญญาณอันแรกนี้คือการรับรู้ทาง
    กาย มันยังสามารถรู้สึกได้ด้วยเรียกว่าเวทนา รู้สึกไหม มีความรู้สึก มีความสุขเบาๆ ความ
    สุขอันนี้เกิดจากเหตุอะไร เหตุเพราะอกุศลไม่ทำงาน กุศลมันเบิกบานและผลิแย้มอยู่
    และมีรัศมีภาพเป็นความสุข เอิบอิ่ม ชุ่มช่ำ ชุ่มชื่นขึ้นมา ความสุขนี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
    เราเขา เป็นเวทนาขันธ์ ซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัย เห็นไหม มันทำงานร่วมกันนะ ไหนลองรู้สึกกับ
    เวทนาดูสิ สังเกตเข้าไปที่ความรู้สึกดู จะเห็นมันโปร่งๆ เบาๆ นะ ไม่ได้มีขอบเขต ไม่ได้มีที่
    ตั้งอะไร เป็นแค่ความรู้สึก ความรู้สึกนี้จริงๆแล้วเขาไม่มีชื่อนะ ชื่อที่เรียกว่าสุข หรือเฉยๆ
    หรือทุกข์ก็แล้วแต่ เรียกว่าบัญญัติ ตัวมันเป็นสภาวธรรมที่ว่างจากชื่อ ว่างจากเจ้าของ ไม่
    ใช่ความสุขของเรานะ คำว่าของเรา เป็นคำที่จิตคิดขึ้นมาจากบัญญัติ จากความเคยชิน
    เห็นอาการของจิตที่ตั้งมั่น หรือจิตที่เผลอคิด รู้การทำงานของจิตสิ จิตตั้งมั่นไหม จิตไม่
    ตั้งมั่นก็รู้นะ ถ้ารู้ว่าไม่ตั้งมั่น มันจะกลับมาตั้งมั่นเอง จิตหลงก็รู้ว่าจิตหลงนะ ถ้ารู้ว่าหลงมัน
    จะหยุดการทำงานของความหลง มันจะตั้งมั่นกลายเป็นผู้รู้ขึ้นมาแทน เห็นจิตคิดไหม ถ้า
    เห็นจิตคิด ไม่ใช่เราคิด จิตจะกลับมาตั้งมั่นอีกเช่นเดียวกัน นั่นความคิดก็แสดงถึงความ
    เกิดดับให้ดู ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงแต่ละขณะ ก็แสดงความเกิดดับให้ดู ทั้งรูปและนามมี
    ความเกิดดับทีละขณะอย่างเสมอภาคกัน นี่เราพลิกมาเป็นธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็น
    การเห็นธรรมในธรรม เห็นสภาวธรรม ว่ามีลักษณะของความเกิดดับ อย่าไปหนีมันนะ อย่า
    ไปกลัวเผชิญหน้ามันตรงๆ ความซื่อตรงเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐ ของจิต เราอยากได้ผู้
    บริหารจิตใจ ของร่างกายเราที่มีความซื่อตรงไหม เราก็ต้องซื่อตรงต่อสภาวธรรม มีความ
    เป็นกลางไหม เราต้องการผู้รู้บริหารแผ่นดินประเทศ หัวใจของเรามีความเป็นกลางไหม ถ้า
    มี มันก็มีอยู่ต่อหน้าอยู่แล้ว ถ้าเป็นกลางจะเห็นลักษณะไหน ลักษณะแห่งความเกิดดับ ไม่
    ว่าความคิดที่ไม่มี มันก็มี มีแล้วก็หายไป แปลว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้มีมาก่อน มีขึ้นชั่วขณะ ทรง
    ตัวอยู่กับที่ไม่ได้ มันก็สลายไป แปลว่ามันเกิดดับอยู่กับความว่าง เรียกว่าวิปัสสนา เป็นการ
    เห็นความวิเศษ วิ คือ วิเศษ ปัสสนา คือการเห็น การเห็นแห่งการวิเศษ คือการเห็นแห่ง
    ความเป็นจริง ว่าสภาวะธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจิตคิด หรือเวทนา หรือร่างกาย มีความเกิดดับ
    สืบต่อกันอยู่ สิ่งที่เกิดดับได้แสดงความมันไม่มีตัวตนถาวรโยม เกิดดับอยู่บนความว่าง ไม่
    มีแล้วก็มี มีแล้วก็หายไป มีชื่อว่า สุญญตะวิโมก มันเกิดดับอยู่บนความว่าง ไม่มีเจ้าของที่
    ถาวร ไม่มีตัวตนที่ถาวร มันจะลากความเห็นผิด ว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งที่มีตัวตนถาวร เรียก
    ว่า สักกายะทิฐิ มีความเหตุถูก ตามที่เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาของความเกิดดับ ความรู้สึกนึก
    คิดต่างๆ เป็นแค่การปรากฏแค่ชั่วคราว เกิดและก็ดับไปเช่นเดียวกัน ถ้ามองมุมนี้จะเห็นว่า
    สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกว่านิมิต ความคิดก็เป็นสังขารนิมิต ความรู้สึกก็เป็นแค่สังขารของสังขาร
    นิมิต ถ้าไม่ยึดถือสิ่งเหล่านี้ ถ้าเห็นว่ามันเกิดและก็ดับได้ ไม่ยึดถือกับมัน จะหลุดพ้นออก
    มาทันทีนะ ชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์ หลุดพ้นจากการยึดถือในสัญลักษณ์ที่ใช้ร่วมกัน ที่ใช้กัน
    สมมุติกันเท่านั้นเอง จิตจะเป็นอิสรภาพ เป็นแค่สังขารชั่วคราว เกิดและก็ดับไปตามเหตุ
    ปัจจัยของมัน เห็นว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้มีอะไรทรงตัวอยู่กับที่ได้เลย ตั้งอยู่และก็สลายไป ไม่มี
    แล้วก็มีขึ้น มีขึ้นแล้วก็สลายไป ทรงตัวอยู่กับที่ไม่ได้แบบนี้ ถ้าไม่ยึดถือ ถือมั่นนะโยม จะ
    เห็นลักษณะที่แท้จริงของมั่น มีชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ เห็นความทรงตัวอยู่กับที่ไม่ได้
    ของมัน อนิมิตตวิโมกข์ เป็นการเห็นอนิจจัง อัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นการเห็นทุกขลักษณะ
    ลักษณะที่ทรงตัวอยู่กับที่ไม่ได้ เป็นทุกขสัจจะ ส่วน สุญญตวิโมก เห็นความเป็นอนัตตา ว่า
    ไม่ได้มีตัวตนถาวร ไม่ได้มีเจ้าของอะไร การเห็นความจริง เห็นไหม รสชาติของใจ กลับมา
    สันติสุขขึ้น ไม่ได้เพียงชิมรสชาติของสันติสุขบางๆ ขุมทรัพย์แห่งความสุขที่ไม่ต้องอาศัย
    เหยื่อ ไม่ต้องอาศัยอามิส เป็นอิสรภาพจากเหยื่อ สามารถพบได้ตรงปัจจุบัน ขณะนี้ ไม่ได้
    จากไปและก็ไม่ได้กลับมา ที่ไม่เห็นเพราะอะไร เพราะความปรุงแต่งมันมาบังอยู่ เหมือน
    ระลองคลื่น มันมาบังความใสสะอาดภายในของสายน้ำ ความใสของสายน้ำที่ว่างจากเจ้า
    ของ ว่างจากตัวตน ก็อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ปรากฏการณ์ต่างๆของความเปลี่ยนแปลง
    เมื่อเราเข้าไปสนใจความเปลี่ยนแปลง มันไม่มีอะไรมาบัง เราเข้าไปประจักษ์เนื้อแท้เนื้อใน
    ของมัน ความสุขที่ดั่งเดิมก็อยู่อย่างนั้น อยู่แล้ว เรารองดื่มด่ำกับสันติสุขให้เต็มที สังเกตซิ
    ถ้าไม่เพ่งจุดใดจุดหนึ่งโยมจะเห็นองค์รวมที่มีความโปร่งเบา เพราะมวลธาตุเองมันมีช่อง
    ว่าง ที่ต่อเนื่องกับช่องว่างทั้งจักรวาล ถ้าเรารู้สึกตรงความโปร่งเบา จะเห็นกระแสบางๆ ที่
    ลอยผ่านความว่าง ไม่ได้มีตัวตนอะไร เป็นแค่สนามพลังบางๆที่ไหลเชื่อมทั้งจักรวาลอย่าง
    นี้ เราลิ้มรสชาติของความจริง เล็กๆน้อยๆ ซึ่งอยู่ต่อหน้าต่อตา ไม่ว่าอริยาบทไหน ที่ไหน
    เวลาไหนก็แล้วแต่ เราก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ คำว่าปฏิบัติธรรม บัติ แปลว่า สิ่งที่เกิดขึ้น
    เฉพาะหน้า ตรงปัจจุบันขณะ ปฏิ แปลว่า การเข้าไปสังเกต การเข้าไปประจักษ์ความจริงที่
    เกิดขึ้นจนปัจจุบัน ธรรมะ คือ สภาวธรรมของรูปธรรม กับนามธรรม กายและใจ คือสถาน
    ปฏิบัติธรรมเคลื่อนที่ ปฏิบัติได้ที่หน ทุกสถานที่ ปฏิบัติเวลาไหน ได้ทุกเวลา ผลลัพธ์เป็น
    อย่างไร การเห็นความจริง รสชาติที่ได้รับเป็นอย่างไร คือสันติสุขที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้จากไป
    และไม่ได้กลับมา และขอให้พวกเราทำความเข้าใจ และนำวิธีนี้ ไปใช้ทุกขณะกับการ
    ดำเนินชีวิตในปัจจุบัน อย่างมีศักยภาพ อย่างสง่างาม ในทุกก้าวย่างของชีวิตของเรา ไม่
    ว่าจะเคลื่อนที่ไปที่ไหน ถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว สิ่งที่ดีงามทั้งหลายก็จะปรากฏอยู่ต่อ
    หน้า ความดีงามทั้งหลายก็จะโอบกอดและหลั่งไหลเข้ามาอยู่แล้ว เพียงแต่เราตอนรับ
    ปรากฏการณ์แห่งความเป็นจริงอย่างถูกวิธีเท่านั้นเอง ไม่มีร่องรอยของอกุศลที่ปนเปื้อน
    ใครที่มีความสุขและปรารถนาที่จะแบ่งปันความสุขนี้ ไปยังผู้ที่เรารัก ไปยังผู้ที่เรามีพระคุณ
    ด้วยความซาบซึ้งอันใด ก็นึกถึงเอาในใจ จิตใจระดับนี้ เป็นจิตใจที่มีคุณภาพสูงมาก ถ้าเรา
    ใช้จิตใจชนิดนี้ ประพฤติกับชีวิต ถึงจะทำการงานใด ความประพฤติการงานนั้นก็จะมี
    คุณภาพสูง สามารถเจียรนัยปรากฏการณ์ ด้วยสติปัญญาให้ผ่านไปได้ อย่างสว่างไสว
    หรือสามารถเจียระไนปัญหา ในความเปลี่ยนแปลงรอบๆตัว ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดให้ผ่าน
    ไปได้อย่างมีศักยภาพที่จะไม่ก่อปัญหาใหม่ แต่สามารถคลี่คลายปัญหาไปได้อย่างหมด
    จด อย่างถูกวิธี ตามหลักของความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ให้เราจำสภาวะนี้ให้ได้ ตื่นเช้ามาใน
    ชีวิตของเรา ถ้าเช้าใดตื่นมาในจิตใจที่สว่างไสว ชื่อว่าเช้าดี อรุณดี ฤกษ์ดีของชีวิต

    จบการบรรยายธรรม พระอาจารย์เริ่มสอนนั่งวิปัสสนากรรมฐาน

    ที่มา ลานธรรมจักร • แสดงกระทู้ - พระอ.อำนาจ โอภาโส สอนกรรมฐาน เรื่อง "ระลอกคลื่น บังน้ำใส"
     
  2. อิ๋วจ้า

    อิ๋วจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2009
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +215
    อนุโมทนาด้วยค่ะ..ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่นำมาให้อ่านค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...