***วัตถุมงคลหลวงพ่อไพบูลย์ วัดอนาลโย ดอยมังกร-ครูบาวงค์ และเกจิอาจารย์ทั่วไทย

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย siwa1968, 24 สิงหาคม 2010.

  1. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    1.ปู่ฤาษีฝังปฐวีธาตุรุ่นแรก หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล
    วัดอนาลโยทิพยาราม ดอยบุษราคัม**ให้บูชา 450 บาท
    2.เศียรปู่ฤาษี ดอยเขาควายบูชา 350 บาท
    *********************************************
    3.เหรียญอัลปาก้า ศาลาฤาษีเขาสามมุกรุ่น1ปี2511 สวย บูชา 350 บาทปิด
    ***************************************************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • GEDC0703.jpg
      GEDC0703.jpg
      ขนาดไฟล์:
      179.4 KB
      เปิดดู:
      68
    • GEDC0704.jpg
      GEDC0704.jpg
      ขนาดไฟล์:
      193 KB
      เปิดดู:
      82
    • DSCF1610.jpg
      DSCF1610.jpg
      ขนาดไฟล์:
      238.8 KB
      เปิดดู:
      68
    • DSCF1611.jpg
      DSCF1611.jpg
      ขนาดไฟล์:
      287.1 KB
      เปิดดู:
      113
    • DSCF1544.JPG
      DSCF1544.JPG
      ขนาดไฟล์:
      264.5 KB
      เปิดดู:
      85
    • DSCF1545.JPG
      DSCF1545.JPG
      ขนาดไฟล์:
      260.8 KB
      เปิดดู:
      79
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2010
  2. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญ 5 รอบสามกษัตรย์หลวงพ่อสมาน วัดป่าศรัทธารวม โคราช ทั้งชุด บูชา 650 บาทปิด
    **********************************************************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF1571.jpg
      DSCF1571.jpg
      ขนาดไฟล์:
      157.1 KB
      เปิดดู:
      104
    • DSCF1572.jpg
      DSCF1572.jpg
      ขนาดไฟล์:
      169.4 KB
      เปิดดู:
      76
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2010
  3. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญยี่สิบห้าศตวรรษ วันอาทิตย์อย่างสวย บูชา 350 บาท
    **************************************************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • GEDC0218.jpg
      GEDC0218.jpg
      ขนาดไฟล์:
      178.7 KB
      เปิดดู:
      47
    • GEDC0219.jpg
      GEDC0219.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187.4 KB
      เปิดดู:
      59
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2010
  4. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    หลวงพ่อวัดปากน้ำ 2 เหรียญ ราคาเดียวบูชา450 บาท
    *********************************************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • GEDC0228.jpg
      GEDC0228.jpg
      ขนาดไฟล์:
      195.8 KB
      เปิดดู:
      57
    • GEDC0229.jpg
      GEDC0229.jpg
      ขนาดไฟล์:
      183.5 KB
      เปิดดู:
      78
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2010
  5. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญเจ้าสัวหลวงพ่อเกษม บูชา 850 บาท
    **********************************************
    พระผงหลวงพ่อเกษม 2 องค์ ๆ ละ 350 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • GEDC0663.jpg
      GEDC0663.jpg
      ขนาดไฟล์:
      168.8 KB
      เปิดดู:
      64
    • GEDC0664.jpg
      GEDC0664.jpg
      ขนาดไฟล์:
      172.5 KB
      เปิดดู:
      48
    • GEDC0705.jpg
      GEDC0705.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194.2 KB
      เปิดดู:
      53
    • GEDC0706.jpg
      GEDC0706.jpg
      ขนาดไฟล์:
      188.5 KB
      เปิดดู:
      61
    • GEDC0707.jpg
      GEDC0707.jpg
      ขนาดไฟล์:
      181.9 KB
      เปิดดู:
      64
    • GEDC0708.jpg
      GEDC0708.jpg
      ขนาดไฟล์:
      190.5 KB
      เปิดดู:
      56
  6. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญหลวงพ่อสิม วัดถ้ำผาป่อง ปี2521 ราคาเดียว2เหรียญ บูชา 450 บาท
    ********************************************************************************
    ธรรมโอวาทหลวงปู่สิม

    ๑. คำว่าจิตได้แก่ ดวงจิต ดวงใจผู้รู้อยู่ ผู้เห็นอยู่ ผู้ได้ยินได้ฟังอยู่ เราฟังเสียง ได้ยินเสียง ใครเป็นผู้รู้อยู่ในตัว ในใจ นั้นแหละมันอยู่ตรงนี้ ให้รวมให้สงบเข้ามาอยู่ตรงนี้ ตรงจิตใจผู้รู้อยู่ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๒. ตาเห็นรูปก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมา ไม่เข้าเรื่อง เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใด ๆ เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๓. การปฏิบัติบูชา ภาวนานี้ เป็นการปฏิบัติภายใน เป็นการเจริญภายใน พุทโธภายใน ให้ใจอยู่ภายใน ไม่ให้จิตใจไปอยู่ภายนอก (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๔. การภาวนาไม่ใช่เป็นของหนักเหมือนแบกไม้หามเสา เป็นของเบาที่สุด นึกภาวนาบทใดข้อใด ก็ให้เข้าถึงจิตถึงใจ จนจิตใจผ่องใสสะอาดตั้งมั่นเที่ยงตรงคงที่อยู่ ภายในจิตใจของตน ใจก็สบาย นั่งก็สบาย นอนก็สบาย ยืนไปมาที่ไหนก็สบายทั้งนั้น ในตัวคนเรานี้เมื่อจิตใจสบายกายก็พลอยสบายไปด้วย อะไร ๆ ทุกอย่างมันก็สบายไปมันแล้วแต่จิตใจ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๕. ทำอย่างไรใจข้าพเจ้าจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขี้เกียจนั่นแหละ อุบายมันอยู่ที่ไหน อุบายมันอยู่ที่ความเพียร ทำอย่างไรข้าพเจ้าจะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคงอย่าไปถอย (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๖. เพียรพยายามฝึกตนเองอยู่ มันจะเหลือ (วิสัย) ผู้มีความเพียรไปไม่ได้ เพราะว่าบนแผ่นดินนี้ ผู้มีความเพียรผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจไม่ว่าจะทำอะไรย่อมสำเร็จได้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๗. สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละออกไป ให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นความร้อน ความร้อนคือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๘. เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มันตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้นภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านก็คลานเอา (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๙. พุทโธในใจ หลงไหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม นั่งก็พุทโธในใจ นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ เดินไปไหนมาไหน ก็พุทโธในใจ กิเลสโลเลละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู โลเลทางจมูก ทางกลิ่น โลเลในอาหารการกิน เลิกละให้หมด (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๑๐. ไม่ต้องไปรอท่าว่าเมื่อถึงวันตายข้าพเจ้าจะภาวนาพุทโธเอาให้ได้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำไว้ก่อน เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้เวลานี้เป็นต้นไป (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๑๑. ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้ ท่านให้นึกให้น้อมให้ได้ว่าทุกลมหายใจเข้าไป ก็เตือนใจของตนให้นึกว่า นี่ถ้าลมหายใจนี้เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกิดติดขัด คนเราก็ตายได้ แม้ลมหายใจออกไปแล้ว เกิดอะไรติดขัดขึ้นมาสูดลมหายใจเข้าไม่ได้คนเราก็ตายได้ (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๑๒. เราทุกคนทุกดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้ ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ อยู่ที่ไหน กายกับใจอยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละเป็นที่ปฏิบัติบูชา อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่วัดก็ภาวนาได้ บวชไม่บวชก็ภาวนาได้ทั้งนั้น (พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์)

    ๑๓. ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็มในขั้นสมถกรรมฐาน พร้อมกับวิปัสสนากรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคน เท่านั้นก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคนก็ไม่ได้มีอะไรติดมา ครั้นเมื่อเราทุกคนตายไปแล้ว แม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่จนกิเลสโลภะ อันมันนอนเนื่องอยู่ให้หมดเสียวันนี้ ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนาจนวันตายโน้น (ธรรมลิขิตจากหลวงปู่)

    ๑๔. การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริง ๆ นั้นต้องปฏิบัติดังนี้ เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา บริกรรมกำหนดลมหายใจจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ให้เห็นตามความเป็นจริง ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย มีทวารทั้ง ๙ เป็นสถานที่ไหลออก ไหลเข้าซึ่งของไม่งาม (ธรรมลิขิตจากหลวงปู่)

    ๑๕. อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบายอยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลสล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น

    ๑๖. วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป มันหมดไปทุกลมหายใจเข้าออก ฉะนั้น ภาวนาดูว่า วันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง

    ๑๗. ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ในใจยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในชาติตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ในบุคคล ความยึดอันนี้แหละที่ยึดให้มีทุกข์ไม่ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่ ก็แก่เรื่อยไป ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ เมื่อจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย

    ๑๘. บทภาวนาบทใดก็ดีทั้งนั้น ถ้าภาวนาได้ทุกลมหายใจ ก็เป็นอุบายธรรมอันดีทั้งนั้น ความตั้งมั่นในสมาธิภาวนาของจิตใจคนเรานั้น ย่อมมีเวลาเจริญขึ้น มีเสื่อมลงเป็นธรรมดา ถ้าเรามารู้เท่าทันว่า การรวมจิตใจเข้าเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เป็นความสงบสุขเยือกเย็นอย่างแท้จริง ก็ให้ทุกคนตั้งใจ ปฏิบัติบูชาภาวนาอย่าได้มีความท้อถอย เมื่อใจไม่ท้อถอยแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เราท้อแท้อ่อนแอได้ เพราะคนเรามีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจทั้งสิ้น

    ๑๙. ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยวาง อย่าเข้าไปยึดถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวของข้า ตัวของเรา เราเป็นนั้นเป็นนี้ ตัวเราของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีแต่หลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งโลก

    ๒๐. ให้ทานข้าวของ วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ แต่ยังไม่ลึกซึ้งให้ทำบุญภายในใจให้เป็นบุญอยู่เสมอ ภาวนาพุทโธ นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน นี่แหละบุญภายใน

    ขอนอบน้อมธรรมะดีๆ จาก หลวงปู่สิม ครับ
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">ประวัติ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง </TD><TD class=buttonheading width="100%" align=right>[​IMG] </TD><TD class=buttonheading width="100%" align=right>[​IMG] </TD><TD class=buttonheading width="100%" align=right>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top>ประวัติ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง
    ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

    ท่านมีนามเดิมว่า สิม วงศ์เข็มมา เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2452 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา เวลาประมาณ 21.00 น. ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดามารดาชื่อ นายสาน - นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 10 คน ท่านเป็นคนที่ 5

    สกุล "วงศ์เข็มมา" เป็นสกุลเก่าแก่สกุลหนึ่งของบ้านบัว ผู้เป็นต้นสกุล คือ ท่านขุนแก้ว และ อิทปัญญา น้องชาย ตัวท่านขุนแก้วก็คือ ปู่ของหลวงปู่สิมนั่นเอง เ เท้าความในคืนที่หลวงปู่เกิด ประมาณเวลา 1 ทุ่ม โยมมารดาของท่านเคลิ้ม หลับไป ก็ได้ฝันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งมีรัศมีกายสุกสว่างเปล่งปลั่งแลดูเย็นตาเย็นใจ อย่างบอกไม่ถูก ลอยลงมาจากท้องฟ้าลงสู่กระต็อบกลางทุ่งนาของนาง ต่อมาเวลาประมาณ 3 ทุ่ม นางสิงห์คำก็ให้กำเนิดเด็กน้อยผิวขาวสะอาด และจากนิมิตที่นางเล่าให้ฟัง นายสานผู้เป็นบิดาจึงได้ตั้งชื่อลูกชายว่า "สิม" ซึ่งภาษาอีสานหมายถึงโบสถ์ อันอาจบ่งบอกถึงความใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาเด็กชายสิมผู้นึ้ ก็ได้ครอง ผ้ากาสาวพัสตร์ บำเพ็ญสมณธรรม ใช้ชีวิตที่ขาวสะอาดหมดจดตลอดชั่วอายุขัยของท่าน เมื่อเริ่มเข้ารุ่นหนุ่ม อายุ 15-16 ปี ท่านมีความสนใจในดนตรีอยู่ไม่น้อย หลวงปู่แว่น ธนปาโล เล่าว่า ตัวท่านเองเป็นหมอลำ ส่วนหลวงปู่สิม เป็นหมอแคน

    สิ่งบันดาลใจให้หลวงปู่สิม อยากออกบวชคือ ความสะดุ้งกลัวต่อความตาย ท่านเล่าว่า "ตั้งแต่ยังเด็กแล้วเมื่อได้เห็น หรือได้ข่าวคนตาย มันให้สะดุ้งใจ ทุกครั้ง กลัวว่าเราจะตายเสียก่อนได้ออกบวช" มรณานุสติได้เกิดขึ้นในใจของท่านอยู่ตลอดเวลา เฝ้าย้ำเตือนให้ท่านไม่ประมาท ในชีวิต ไม่ประมาทในวัยไม่ประมาทในความตาย เป็นเพราะหลวงปู่สิมกำหนด "มรณํ เม ภวิสฺสติ" ของท่าน มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนั่นเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกบวชจวบจนสิ้นอายุขัย ของท่าน หลวงปู่สิมก็ยังใช้อุบายธรรมข้อเดียวกันนี้อบรมลูกศิษย์ลูกหาอยู่เป็นประจำ เรียกว่า หลวงปู่เทศน์ครั้งใด มักจะมี "มรณํ เม ภวิสฺสติ" เป็นสัญญาณเตือนภัย จากพญามัจจุราชให้ลูกศิษย์ลูกหาตื่นตัวอยู่เสมอทุกครั้ง

    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

    เมื่อท่านอายุ 17 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ณ บ้านบัว นั้นเอง ตรงกับวันที่ 8 กรกฎาคม 2469 ตรงกับวัน อาทิตย์ แรม 7 ค่ำ เดือน 8 ปีมะโรง โดยมีพระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาคณะกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินธุดงค์มาจากจังหวัดหนองคาย เพื่อมาเผยแพร่ธรรมปฏิบัติแก่ประชาชน โดยเดินทางมาถึงวัดศรีสงคราม ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม สามเณรสิม จึงได้มีโอกาสเดินทางไปฟังธรรม ทั้งจากพระอาจารย์ใหญ่ คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล สามเณรสิมได้เฝ้าสังเกต ข้อวัตรปฏิบัติของท่านพระอาจาย์มั่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์ มหาปิ่น และได้บังเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์ พระอาจารย์มั่น และได้ขอญัตติใหม่มาเป็นธรรมยุติกนิกาย แต่โดยที่ขณะนั้นยัง ไม่มีโบสถ์ของวัดฝ่ายธรรมยุติในละแวกนั้น การประกอบพิธีกรรมจึงต้องจัดทำที่โบสถ์น้ำ ซึ่งทำจากเรือ 2 ลำ ทำเป็นโป๊ะลอยคู่กัน เอาไม้พื้นปูตรึงเป็นพื้นแต่ไม่มีหลังคา สมมติเอาเป็นโบสถ์ โดยท่านพระอาจารย์มั่นฯ เป็นประธาน และเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม จากนั้นสามเณรสิมได้ติดตามพระอาจารย์มั่นไปอยู่จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

    เมื่อสามเณรสินอายุครบบวช ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 ตรงกับ วันอังคารขึ้น 10 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง โดยมีเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัดขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธาจาโร" จากนั้นท่านก็ได้เดินทางติดตามพระอาจารย์ของท่าน คือ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น วัดป่าบ้านเหล่างานี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า (บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน) ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และ ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสำนักอบรมกรรมฐาน แก่ญาติโยมชาวขอนแก่น

    ท่านพระอาจารย์สิงห์ ได้ออกอุบายสอนลูกศิษย์ของท่านให้ได้พิจารณา อสุภกรรมฐานจากซากศพ โดยพาพระเณรไปขุดศพขึ้นมาพิจารณา หลวงปู่สิมได้เล่า ประสบการณ์ที่ท่านได้อสุภกรรมฐานจากซากศพและว่า "นี่แหละร่างกายนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนให้กำหนดเป็นอสุภกรรมฐาน อย่าไปเห็นว่ารูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย ให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่า กัน"

    "สมมติโลกว่าสวยว่างามสมมติธรรมมันไม่สวยงาม อสุภํ มรณํ ทั้งนั้น ถึงมันจะยังไม่ตาย ตอนเด็กตอนหนุ่มก็เถอะ ไม่นานละ เดี๋ยวมันก็ทยอยตายไปทีละคน สองคน หมดไป สิ้นไป ไม่เหลือ"

    ในชีวิตสมณะของท่าน ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า "โสสานิ กังคะ" คือไปเยี่ยมป่าช้าเป็นธุดงควัตร และที่วัดป่าเหล่างานี้เอง ที่หลวงปู่สิมได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอย่างใกล้ชิดกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเวลานาน 3-4 ปี ทั้งได้มีโอกาสมักคุ้นกับพระกรรมฐานองค์สำคัญๆ หลายองค์ เช่น หลวงปู่เทศก์ เทสฺรํสี, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, ท่านพ่อลี ธมฺมธโร, ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นต้น

    ปี พ.ศ. 2479 (พรรษาที่ 8) เมื่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพระอาจารย์สิงห์ ขนุตยาคโมที่วัดจักราช สมเด็จฯ ท่านได้แลเห็นจริยาวัตรของหลวงปู่สิม ขณะทำหน้าที่อุปัฏฐากรับใช้และเกิดชื่นชอบถูกใจ ถึงกับปรารถนาจะชวนหลวงปู่สิมไปอยู่ด้วย กับท่าน จึงเอ่ยปากขอตัวหลวงปู่สิม กับท่านพระอาจารย์สิงห์ ว่า "พระองค์นี้มีลักษณะเป็นผู้มีบุญบารมี ผมจะขอตัวให้ไปอยู่ด้วยจะขัดข้องหรือเปล่า" ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านก็มิได้ขัดข้อง ด้วยเห็นเป็นวาสนาบารมีของหลวงปู่สิม ที่จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพระเถระผู้ใหญ่เยี่ยงท่านสมเด็จฯ นี้ ทั้งจะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จึงได้ร่วมเดินทางมากับสมเด็จฯ ที่วัดบรมนิวาส มาจำพรรษาและศึกษาพระธรรมวินัย ในสำนักสมเด็จฯ ทำให้หลวงปู่สิม ได้รับความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยมากขึ้น หลวงปู่สิม อยู่รับใช้สมเด็จฯด้วยจริยา ดีเยี่ยม พร้อมกันนั้นหลวงปู่สิม ก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของ พระธุดงค์กรรมฐานให้แก่พระเณรจำนวนมากที่มารับการฝึกฝนอบรมจากหลวงปู่สิม
    ปี พ.ศ. 2480 ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สิม ได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิดตามคำอาราธนา และเมื่อหลวงปู่ปรารภ ที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุติกนิกายขึ้นเป็นวัดแรกในบ้านบัว ญาติโยม จึงต่างสนองตอบ คำปรารภของหลวงปู่สิม อย่างกระตือรือร้นและเต็มอกเต็มใจ โยมอาของท่าน คือนางคำไพ ทุมกิจจะ ได้มีศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงปู่สิม จัดสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2480 สำนักสงฆ์นี้ปัจจุบันได้พัฒนาเป็น "วัดสันติสังฆาราม" พร้อมด้วยวัดและสำนักสงฆ์ สาขา เกิดอีก 9 แห่ง

    สำหรับ วัดสันติสังฆาราม จังหวัดสกลนครนี้ หลวงปู่สิม ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 จนแล้วเสร็จ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาฝังลูกนิมิตในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2523 ในโอกาสเดียวกับงานอายุครบ 71 พรรษา ของหลวงปู่สิม

    หลวงปู่สิม ได้ธุดงค์ไปในหลายจังหวัด อาทิ เช่น วัดป่าสระคงคา อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักสงฆ์หมู่บ้านแม่ดอย (ต่อมาได้พัฒนาเป็นวัด ชื่อว่า วัดป่าอาจารย์มั่น) อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (ณ ที่นี้หลวงปู่สิมได้พบ หลวงปู่มั่นฯ และได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากหลวงปู่มั่น จนการปฏิบัติธรรม ของหลวงปู่สิม ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก) เมื่อแยกจากหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่สิมได้เดินธุดงค์ ไปทางอำเภอสันกำแพง เข้าพักที่ วัดโรงธรรม ซึ่งขณะนั้น ยังเป็นสำนักชั่วคราว ที่วัดโรงธรรมสามัคคีนี้ เคยเป็นสถานที่ที่ครูอาจารย์หลายท่านเคยใช้พักจำพรรษา อาทิ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน และหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นต้น

    หลวงปู่สิม ได้พักจำพรรษาที่วัดโรงธรรมสามัคคี แห่งนี้ ติดต่อกันนานถึงห้าปี คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 ถึงปี พ.ศ. 2487 จึงย้ายไปจำพรรษาที่ ถ้ำผาผัวะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพหลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 ในระหว่างนั้น หลวงปู่สิมได้รับรู้ความคับจิตคับใจของบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย หลวงปู่สิมได้ปลุกปลอบใจของชาวบ้านที่กำลังสิ้นหวังให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้น ด้วยการหยั่งพระ สัทธรรมลงสู่จิตของพวกเขา

    ในระหว่างออกพรรษา หลวงปู่สิม ได้จาริกธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียร ณ สถานที่วิเวกหลายแห่งในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ศิษย์อาวุโสชาวเชียงใหม่ท่านหนึ่งคือ เจ้าชื่น สิโรรส (วัย 96 ปี) โดยในปี พ.ศ. 2488 เจ้าชื่น สิโรรส ได้อพยพครอบครัวหลบภัยสงครามไปอยู่ที่ถ้ำผาผัวะ ขณะที่หลวงปู่สิมธุดงค์ ไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผัวะนี้ ท่านเปรียบเสมือนที่พึ่งอันสูงสุดที่มีความหมายมาก สำหรับคนที่อยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เนื่องจากสงคราม ปลายปี พ.ศ. 2498 เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาใกล้จะยุติ เจ้าชื่น สิโรรส ซึ่งอพยพจากถ้ำผาผัวะ กลับคืน ตัวเมืองเชียงใหม่ ได้กราบอาราธนาหลวงปู่สิม ให้ย้ายเข้ามาพักจำพรรษา ที่ตึกของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กีรติปาล (คิวริเปอร์) ซึ่งอยู่ที่ถนนดอยสุเทพตรงข้าง กับถนนไปสนามบินเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันคือที่ตั้งของ ศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ณ ที่นี้เองที่หลวงปู่สิมพบกับลูกศิษย์ คนแรกที่อุปสมบทที่เชียงใหม่คือ พระมหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันของวัด "สันติธรรม" ซึ่งได้ทำการก่อสร้างขึ้นในภายหลัง ปี พ.ศ. 2490 เมื่อสงครามสงบโดยสิ้นเชิง มีข่าวว่า เจ้าของบ้านคือ แม่เลี้ยง ดอกจันทร์ และลูกหลานที่อพยพหลบภัยสงครามไปจะกลับคืน ถิ่นฐานเดิม หลวงปู่สิม จึงปรารภเรื่องการสร้างวัด คำปรารภในครั้งนั้น เป็นแรงบันดาลใจ ให้คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์ เกิดศรัทธาขึ้นมาอย่างแรงกล้า ที่จะสร้างวัดถวายหลวงปู่สิม ด้วยพลังศรัทธานั้นเอง "วัดสันติธรรม" จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยอาศัยกำลังศรัทธา ของสานุศิษย์

    ปี พ.ศ. 2497 โยมมารดาของหลวงปู่สิม ถึงแก่กรรม หลวงปู่สิม จึงได้เดินทาง จากเชียงใหม่ลงมาที่บ้านบัวอีกครั้งหนึ่ง ครั้นเสร็จงานฌาปนกิจศพโยมมารดาแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ ไปจังหวัดนครพนมทันที เพื่อจำพรรษาที่ภูลังกา

    ช่วงปี พ.ศ. 2498-2403 หลวงปู่สิม ได้กลับไปพักจำพรรษาที่วัดสันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่ แต่ในจิตใจส่วนลึกของท่านนั้น ยังปรารภความสงบวิเวกของป่าเขาและโพรงถ้ำต่างๆ อยู่ จนต้นปี พ.ศ. 2503 ต่อมาได้มีพระลูกศิษย์ของหลวงปู่ ไปพบ ถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ที่ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่สิม จึงย้ายไปอยู่ภาวนาที่ถ้ำปากเปียงบ่อยครั้ง ด้วยเป็นที่สงบสงัดร่มรื่น ต่อมาในฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2503 ลุงติ๊บ คนบ้านถ้ำ ได้เป็นคนนำทาง พาหลวงปู่ปีนป่ายภูเขาขึ้นไปตามซอกเล็กๆ เพื่อหาถ้ำที่กว้างและอยู่สูง ตามคำปรารภของหลวงปู่สิม ที่ว่า "กิเลสจะได้เข้าหายาก" จนกระทั่งได้พบถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นถ้ำที่ท่านคิดว่าจะเป็นบ้านสุดท้ายในการบำเพ็ญภาวนาในชีวติของท่าน หลวงปู่สิม ได้ พักค้างคืนบนถ้ำผาปล่องหนึ่งคืน แล้วก็ลงไปพักที่ถ้ำปากเปียงต่อ ต่อจากนั้นท่านก็ได้แวะเวียนไปพักที่ถ้ำผาปล่องอีกเสมอ

    ในปี พ.ศ. 2504 ท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร (ท่านเจ้าคุณวิสุทธิธรรม รังสี) เจ้าอาวาส วัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัด สมุทรปราการ ซึ่งเป็นศิษย์ในสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เช่นกัน ได้ถึงแก่มรณภาพ ทางคณะสงฆ์จึงลงมติขอให้หลวงปู่รับตำแหน่งรักษาการ เจ้าอาวาส หลวงปู่จึงได้ช่วยอยู่ดูแลวัดอโศการาม ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาส จนกระทั่งปี พ.ศ. 2508 และในปี พ.ศ. 2509 หลวงปู่ได้รับการขอร้องจาก ท่านเจ้าคุณนิโรธธรรมรังษี ให้หลวงปู่ช่วยรับตำแหน่งรักษาการ เจ้าอาวาส วัดป่าสุทธาวาส หลวงปู่สิม จึงจำใจต้องรับเป็นเจ้าอาวาส ให้วัดป่าสุทธาวาสอยู่ 1 พรรษา โดยที่ใจจริงของท่านนั้นเบื่อหน่าย คิดอยากแต่จะออกธุดงค์อยู่เรื่อยไป

    ในระหว่าง พ.ศ. 2506-2509 หลวงปู่สิม ได้มีปัญหาอาพาธด้วยโรคไตมาตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2510 ด้วยปัญหาสุขภาพของหลวงปู่สิม หลวงปู่สิม จึงได้ตัดสินใจวาง ภารกิจต่างๆ โดยลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัดที่ท่านดูแลอยู่ จากนั้น ท่านก็มาจำพรรษา ณ ถ้ำผาปล่องตลอดมา

    ในปี พ.ศ. 2518 หลวงปู่สิม ได้เดินทางไปสังเวชนียสถานที่อินเดียและได้เดินทางไปอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2523 นอกจากนี้แล้วหลวงปู่สิม ยังได้มีโอกาส เดินทางไปที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตลอดถึงทวีปยุโรป และอเมริกาอีกด้วย

    หลวงปู่สิม ท่านมีความขยันและตั้งใจมั่นตั้งแต่เด็กดังเช่น พระอาจารย์ศรีทอง (พระอุปัชฌาย์ เมื่อครั้งเป็นมหานิกาย) ได้เล่าว่า ครั้งเมื่อทางวัดมีการขุดสระ สามเณรสิมก็ไปช่วยขุดและขุดจนกระทั่งใครต่อใครเขาทิ้งงานไปหมด เนื่องจากขุดลงไปลึกถึงสิบเอ็ดสิบสองวาแล้ว ก็ยังไม่มีน้ำ เมื่ออุปัชฌาย์ถามว่า "จะขุดไปถึงไหนกัน" สามเณรสิมตอบว่า "ขุดไปจนสุดแผ่นดินนั่นแหละ" ปฏิปทาของหลวงปู่สิม ที่แสดงถึงความมีเมตตาอย่างล้นเหลือต่อลูกศิษย์ ได้แสดงให้เห็นอยู่เนืองๆ หลวงปู่สิม ปกครองพระเณรลูกวัดของท่านอย่างอบอุ่น ใกล้ชิดเหมือนพ่อดูแลลูกๆ ภาพในอดีตที่ประทับใจลูกศิษย์ (คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์) ภาพหนึ่งก็คือ เวลาที่พระเณรอาพาธ หลวงปู่สิม จะนั่งเฝ้าไข้อย่างสงบ ไม่ยอมห่างจนกระทั่ง ผู้ป่วยอาการดีขึ้น ครั้งหนึ่งเณรน้อยนอนซมด้วยโรคพยาธิตัวเหลืองซูบซีดผอม เพราะฉัน อาหารไม่ได้เลย "แม่ไล" ได้เอายาถ่ายพยาธิมาถวาย เณรน้อยก็ฉันไม่ได้ อาเจียนออกมา ทำให้แม่ไลโมโหมากจะบังคับให้ฉันให้ได้ แต่หลวงปู่สิม ซึ่งนั่งเฝ้า อยู่อย่างใจเย็นได้ปลอบประโลมเณรน้อยของท่านขึ้นว่า "วันพรุ่งนี้เถอะเน้อ ไปบิณฑบาตได้กล้วยก่อน จะเอายาใส่ในกล้วยให้เณรน้อยฉัน" งานพัฒนาชุมชนที่นับว่าเป็นงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง ของหลวงปู่สิม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียงร่วมแรงร่วมใจกัน ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส และผลงานก็ได้ก่อประโยชน์เป็นเอนกอนันต์ แก่ชาวบ้านเกษตรกร ก็คือ งานสร้างฝายน้ำล้น ลำน้ำอูน ที่ท่าวังหิน ซึ่งก็คือบริเวณ สำนักสงฆ์เวฬุวันสันติวรญาณ ในปัจจุบัน โดยในปี พ.ศ. 2521 ภายหลังจำพรรษา ที่วัดสันติสังฆาราม หลวงปู่สิม ก็ได้รับอาราธนาจากชาวบ้านทั้ง 4 ตำบล ใน 2 เขตอำเภอ ให้มาเป็นประธานในการสร้างฝายน้ำล้นกั้นลำน้ำอูน งานสร้างฝายน้ำล้นชิ้นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของหลวงปู่สิม เด่นชัดมาก ในเรื่องความเป็นผู้เอาใจใส่ และรับผิดชอบในภารกิจ เมื่อที่ประชุมปรึกษาหารือกันว่าเห็นควรจะเริ่มงานกันวันใหม่ หลวงปู่สิม ก็ว่าให้เริ่มงานกันวันนี้เลย

    หลวงปู่สิม เป็นผู้มีความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง อดทน พูดจริง ทำจริง ถือสัจจะมั่นคง เป็นผู้ไม่มากโวหาร ทุกวันหลวงปู่จะพาเริ่มงานตั้งแต่ตี 4 ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นพอ 10 โมงเช้า จึงพักฉันอาหาร หลังอาหารแล้วก็เริ่มทำงานกันต่อจนมืดค่ำ พอถึงเวลา 1 ทุ่ม หลวงปู่ก็จะพาสวดมนต์และฟังเทศน์ เสร็จแล้ว ก็เริ่มท้ิงหินลงในคอกไม้ที่สร้างไว้ ตลอดแนวฝาย กว่าจะได้จำวัดก็ 4 ทุ่ม หรือบางวัน งานจะติดพันจนถึงตีหนึ่งตีสอง เป็นดังนี้ตลอดระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่ เดือนมกราคม จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 จนฝายน้ำล้นสร้างสำเร็จ หลวงปู่สิม จึงกลับไปจำพรรษาที่ถ้ำผาปล่อง

    หลวงปู่สิม ได้รับสมณศักดิ์ "พระครูสันติวรญาณ" ในวันที่ 5 ธันวาคม 2502 และได้รับพัดยศโดยเลื่อนจากสมณศักดิ์ที่ "พระครูสันติวรญาณ" เป็น "พระญาณสิทธาจารย์" ในวันที่ 12 สิงหาคม 2535 และในคืนวันที่ 13 สิงหาคม 2535 พระเณรพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกา ได้พร้อมใจกันเจริญพระพุทธมนต์ ฉลองสมณศักดิ์ถวายหลวงปู่ ที่ถ้ำผาปล่อง หลังจากเจริญพระพุทธมนต์หลวงปู่ได้พาพระเณรและญาติโยมนั่งภาวนา ต่อจนถึงเวลาประมาณ 21.30 น. แล้วท่านก็นั่งพักดู บริเวณ ภายในถ้ำอีกประมาณ 20 นาที คล้ายกับจะเป็นการอำลา จนถึงเวลา 22.00 น. ท่านจึงกลับเข้ากุฏิที่พักด้านหลังภายในถ้ำผาปล่อง และได้มรณภาพในเวลาประมาณ ตีสาม สิริรวมอายุของหลวงปู่ 82 ปี 9 เดือน 19 วัน อายุพรรษา 63 พรรษา

    ปัจฉิมบท

    หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร เกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ให้กับตนเอง และใช้ชีวิตที่เหลือในการเกื้อกูลมหาชนอย่างแท้จริง หลวงปู่สิม พร่ำสอนเสมอๆ มิให้ ตั้งตนในทางที่ประมาท ทั้งความประมาทในชีวิต ความประมาทในวัย และความ ประมาทในความตาย

    หลวงปู่สิม เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการปฏิบัติภาวนาว่า เป็นหนทางอัน สูงสุดที่จะทำให้คนพ้นทุกข์ ดังคำสอนตอนหนึ่งว่า

    "ทางพระสอนให้ละชั่วทำความดี แต่ก็ไม่ให้ติดอยู่ในความดี ให้บำเพ็ญจิตให้ยิ่งขึ้นจนถึงไม่ติดดีติดชั่วจึงจะพ้นจากโลกนี้ไปได้ เพราะแม้คุณความดีจะส่งผลให้เป็นสุขไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นเทพ อินทร์ พรหม ก็ตาม แต่เมื่อกำลังของกุศลกรรมความดีนั้นๆ หมดลง ก็ย่อมต้อง กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ทางพระจึงมุ่งสอนให้มุ่งภาวนา ทำจิตให้รวม ระวังตั้งมั่น ทำจิตให้มีปัญญารู้ความเป็นจริงด้วยตนเอง จนถอดถอนอุปทานความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ ออกเสียจึงจะเป็นไปเพื่อความสิ้นภพสิ้นชาติ หมดทุกข์หมดยากโดยแท้จริง"

    หลวงปู่สิม ได้ทำหน้าที่ครูอาจารย์ไว้โดยสมบูรณ์ยิ่งแล้ว ทั้งด้านเทศนาธรรม และด้วยการประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีงาม หลวงปู่สิม เป็นผู้มีใจหนักแน่นมั่นคงไม่ หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย ซึ่งพวกเราจักยึดถือปฏิบัติตามได้โดยสนิทใจ หลวงปู่สิม จากไปอย่างผู้ที่พร้อมรับต่อความตายทุกขณะ สมดังที่หลวงปู่สิม ได้พร่ำสอนผู้อื่นเสมอ

    ถ้าท่านได้ไปถ้ำผาปล่อง ท่านจะได้พบรูปหล่อเหมือนองค์หลวงปู่สิม ประดิษฐานอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำองค์ท่าน และ "เจดีย์แห่งความกตัญญู" ที่คณะศิษย์ได้จัดสร้างถวายให้ใช้เป็นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุและเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องอัฐบริขารของ ""
    เหรียญทั้งหมด บูชา 1250 บาท



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2010
  7. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,795
    โอนแล้วครับที่อยู่แจ้งที่ข้อความส่วนตัว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1120110.JPG
      P1120110.JPG
      ขนาดไฟล์:
      48.3 KB
      เปิดดู:
      62
  8. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาพะเยา ชื่อบ/ช ปริศนา บัวเทศ เลขที่ 209-2-51303-6
    วัตถุมงคลหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล
    ******************************************
    วัตถุมงคลของหลวงพ่อหาได้ยากครับ ในวัดไม่มีให้บูชามีแต่ลูกศิษย์
    ลูกหา ในวงการมีน้อยมาก ขอแนะนำว่า ควรสะสมครับ
    **************************************************************************
    เหรียญนกยูงทองยุคแรก พระไพบูลย์ สุมังคโล บูชา 450 บาท มี 4 เหรียญ
    สร้างจากตำนานชาดกเสวยชาติเป็นนกยูงทอง
    *****************************************************************************
    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภภิกษุผู้กระสันอยากจะสึกรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญานกยูงมีสีเหมือนทองรูปร่างสวยงาม มีบริวารแวดล้อมหลายร้อยตัว วันหนึ่งพญานกยูงเห็นรูปร่างตนเองจากน้ำในสระเกรงว่าจะเป็นอันตรายเพราะรูปสมบัติ จึงคิดจะปลีกหนีไปอยู่เพียงลำพังตัวเดียว เมื่อตกกลางคืนฝูงนกยูงหลับหมดแล้วได้แอบบินหนีเข้าป่าหิมพานต์ผ่านภูเขา ๔ ลูก พบสระใหญ่เกิดเองตามธรรมชาติ มีต้นไทรใหญ่ปกคลุมข้างเขาลูกหนึ่งจึงร่อนลงข้างต้นไทรนั้นเข้าไปอาศัยถ้ำแห่งหนึ่งอยู่
    พอรุ่งเช้า พญานกยูงก็ได้บินไปเกาะยอดเขาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสวดมนต์เพื่อขอความคุ้มครองป้องกันตนในเวลากลางวันว่า “อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา ฯลฯ” จบแล้วก็บินร่อนลงไปหากิน ตกเย็นก็จะบินมาจับบนยอดเขาที่เดิมหันหน้าไปทางทิศตะวันตกสวดมนต์เพื่อขอความคุ้มครองป้องกันตนในเวลากลางคืนว่า “อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา ฯลฯ” แล้วก็บินร่อนเข้าถ้ำหลับนอน เป็นอยู่ลักษณะเช่นนี้เป็นประจำ
    อยู่ต่อมาวันหนึ่ง มีนายพรานคนหนึ่งเที่ยวไปในป่าลึกเห็นพญานกยูงทองจับอยู่บนยอดเขานั้นโดยบังเอิญ จึงกำหนดสถานที่ไว้ หลายปีผ่านไปเมื่อเขาใกล้จะตายจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกชายฟังว่า “ลูกเอ๋ย..ในป่าตรงยอดเขาลูกที่๔ โน้น มีนกยูงทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ถ้าพระราชาต้องการ เจ้าจงกราบทูลให้ทรงทราบนะ” สั่งเสียแล้วก็ตายไป
    อยู่ต่อมาพระนางเขมาเทวีมเหสีของพระเจ้าเมืองพาราณสีทรงสุบินในเวลาใกล้รุ่งว่า มีนกยูงทองสวยงามตัวหนึ่งแสดงธรรมแก่พระนางเสร็จแล้วก็บินไป พระนางเห็นนกยูงทองกำลังจะบินไปรับสั่งให้คนช่วยกันจับมันไว้ ขณะกำลังตรัสอยู่นั่นเองก็ทรงตื่นเสียก่อน เมื่อทราบว่าเป็นความฝัน ก็ดำริจะให้สืบดูว่าในโลกนี้มีนกยูงทองอยู่จริงหรือเล่า ถ้าจะทูลพระราชาว่าเป็นความฝันพระองค์ก็จะไม่ใส่พระทัย จึงทรงบรรทมทำทีเป็นแพ้ครรภ์อยู่
    พระราชาเมื่อทราบว่าพระมเหสีแพ้ครรภ์ก็เสด็จเข้าไปหาตรัสถาม เมื่อสดับว่าแพ้ครรภ์อยากจะฟังธรรมจากพญานกยูงทองจึงรับสั่งให้อำมาตย์เข้าเฝ้าและปรึกษาหารือ อำมาตย์กราบทูลว่า “พวกพราหมณ์อาจจะทราบได้ พระเจ้าข้า” จึงมีรับสั่งให้พราหมณ์เข้าเฝ้า พวกพราหมณ์กราบทูลว่า “ขอเดชะ สัตว์ที่มีสีเหมือนทองมีอยู่ในโลก แม้แต่มนุษย์ที่มีสีเหมือนทองก็มีอยู่ โปรดให้ประชุมพวกนายพรานเถิดอาจจะรู้ได้ พระเจ้าข้า”
    พระราชาให้เรียกนายพรานและลูกนายพรานมาประชุมกันแล้วตรัสถามว่า “สูทั้งหลาย มีใครเคยเห็นนกยูงทองบ้างไหม” ลูกชายนายพรานคนนั้นจึงกราบทูลให้ทราบว่า “ขอเดชะ ข้าพระองค์ไม่เคยเห็น แต่บิดาผู้ล่วงลับของข้าพระองค์เคยเห็นได้สั่งไว้ว่ามีนกยูงทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ณ ที่ตรงโน้น พระเจ้าข้า”
    พระราชาทรงพอพระทัยมากประทานทรัพย์เป็นรางวัลแล้วมอบหมายให้เขาไปจับมันมาถวายให้จงได้
    เขามอบทรัพย์ให้ภรรยาแล้วก็เข้าป่าไปเห็นพญานกยูงทองแล้วดักบ่วงภาวนาอยู่ว่า “วันนี้ต้องติด วันนี้ตองติด” พญานกยูงก็ไม่ติดบ่วงสักทีเพราะสวดมนต์ดังกล่าว จนเขาป่วยและตายไป ฝ่ายพระเทวีเมื่อไม่ได้ดังปรารถนา ก็สิ้นพระชนม์เช่นกัน
    พระราชาทรงกริ้วว่า “เพราะอาศัยนกยูงทองตัวนี้เป็นเหตุให้เมียรักของเราต้องสิ้นพระชนม์” จึงผูกเวรพญานกยูงทองให้จารึกไว้ในแผ่นทองว่า “ที่ยอดเขาลูกที่ ๔ ในป่าหิมพานต์มีนกยูงทองตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ใครได้กินเนื้อของมันแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย” แล้วบรรจุไว้ในหีบไม้่แก่นไม่นานพระองค์ก็เสด็จสวรรคตไป
    เมื่อกษัตริย์องค์อื่นขึ้นครองราชย์ได้เปิดหีบไม้่อ่านเจอแล้วก็ส่งนายพรานคนหนึ่งไปจับ นายพรานคนนั้นก็เสียชีวิตที่นั้นเหมือนกันโดยทำนองนี้จนเวลาผ่านไปถึง ๖ รัชกาล นายพราน ๖ คนตายในป่าหิมพานต์นั้น
    ต่อมาถึงนายพรานคนที่ ๗ ในสมัยของพระราชาพระองค์ที่ ๗ ได้เข้าไปซุ้มดักจับพญานกยูงทองเป็นเวลา ๗ ปีผ่านไปก็ยังจับไม่ได้ เมื่อนายพรานทราบว่าที่พญานกยูงทองไม่ติดบ่วง เป็นเพราะอำนาจพระปริตรและพญานกยูงทองประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีนางนกยูงตัวอื่นอยู่ด้วย จึงคิดได้อุบายอย่างหนึ่งไปดักจับนางนกยูงตัวหนี่งได้แล้วนำมาฝึกให้เชื่อง ให้ขันในเวลาดีดนิ้ว ให้ฟ้อนรำในเวลาตบมือ นายพรานพอฝึกนางนกยูงได้เป็นที่พอใจแล้วก็นำนางนกยูงไปป่านั้นด้วย ก่อนจะถึงเวลาพญานกยูงทองจะสวดมนต์ ก็ได้ดีดนิ้วให้นางนกยูงขันขึ้น
    ฝ่ายพญานกยูงทองพอได้ฟังเสียงของนางนกยูงเท่านั้นกิเลสที่ราบเรียบตลอดเวลา ๗๐๐ ปี ก็ฟุ้งขึ้นทันที มีกระวนกระวายด้วยอำนาจกิเลส ไม่สามารถจะสวดมนต์ได้ รับบินถลาลงไปหานางนกยูงนั้น ก้าวขาไปติดบ่วงนายพรานในที่สุด
    นายพรานพอจับพญานกยูงทองได้แล้วก็คิดว่า “นายพรานเสียชีวิตตั้ง ๖ คน เราเองก็เสียเวลาไปตั้ง ๗ ปี ก็ไม่สามารถดักจับมันได้ แต่เช้านี้ พญานกยูงทองกระวนกระวายด้วยอำนาจกิเลสไม่อาจสวดมนต์ได้ มาติดบ่วงแขวนห้อยต่องแต่งเอาหัวลงอยู่ สัตว์ผู้มีศีลถูกเราทำให้ลำบากแล้ว การนำสัตว์เช่นนี้ไปถวายพระราชาไม่ควรเลย เอาเถอะเราจะปล่อยมันไป แต่ถ้าเราจะปรากฏตัวให้เห็น มันก็จะดิ้นรนหนีตาย ทำให้ขาและปีกมีบาดแผล อย่ากระนั้นเลย เราแอบใช้ปลายธนูตัดสายบ่วงจะดีกว่า” คิดแล้วก็แอบอยู่ในพุ่มไม้สอดลูกธนูเตรียมจะยิ่งใส่บ่วง
    ฝ่ายพญานกยูงทอง เหลียวซ้ายแลขวาเห็นนายพรานยืนถือธนูอยู่เข้าใจว่าเขาจะยิงตน จึงพูดอ้อนวอนขอชีวิตว่า “สหายถ้าท่านจับเราเพื่อทรัพย์แล้ว อย่าฆ่าเราเลย จงนำเราไปถวายพระราชา ท่านก็จะได้ทรัพย์มาก” นายพรานพูดตอบว่า “เราเตรียมยิงธนู มิใช่จะฆ่าท่าน แต่จะตัดบ่วงที่เท้าของท่านดอก”
    พญานกยูงทอง “ท่านพยายามดักจับเรานานถึง ๗ ปี สู้อดกลั้นความหิวกระหายทั้งกลางคืนและกลางวัน วันนี้จับได้แล้วทำไมจึงคิดปล่อยเราเสียละ ท่านงดการฆ่าสัตว์หรือให้อภัยสัตว์ทั้งหลายแล้วหรือ”
    นายพราน”พญานกยูง ผู้งดฆ่าสัตว์และให้อภัยสรรพสัตว์ตายไปแล้วจะได้ความสุขอะไร”
    พญานกยูงทอง “ผู้งดเว้นฆ่าสัตว์ และให้อภัยสรรพสัตว์ย่อมได้รับความสรรเสริญในปัจจุบัน และเมื่อตายไปย่อมไปเกิดในสวรรค์”
    นายพราน “สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบอกว่า เทวดาไม่มีผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี ทานอันคนโง่บัญญติไว้ เราเชื่ออย่างนี้จึงได้ฆ่านกทั้งหลาย”
    พญานกยูงทอง “ดวงจันทร์และดวงทิตย์ที่เห็นกันในท้องฟ้า สมณพราหมร์พวกนั้นสอนว่า มีอยู่ในโลกนี้หรือโลกอื่นและจะเป็นเทวดาในมนุษยโลกอย่างไรหรือ”
    นายพราน “ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ที่เห็นกันในท้องฟ้าพวกท่านสอนว่า มีอยู่ในโลกอื่น ไม่มีในโลกนี้และเป็นเทวดาไม่มีในมนุษยโลก”
    พญานกยูงทอง “พวกสมณพราหมณ์เหล่านั้นสอนว่า ผลกรรมดีกรรมชั่วไม่มี ท่านอันคนโง่บัญญัติไว้ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มีอยู่ในเทวโลก ไม่มีในโลกนี้ เป็นเทวดามิใช่เป็นของมนุษย์นับว่าเป็นคำสอนที่เลวทรามมาก เป็นพวกไม่มีเหตุผล”
    นายพราน “จริงอย่างท่านว่า “ไฉนทานจะไม่มีผล ไฉนกรรมดีกรรมชั่วจะไม่มีผล ทานอันคนโง่จะบัญญัติได้อย่างไร พญานกยูงทอง ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร ประพฤติอย่างไร สมาคมอะไรด้วยตบะคุณอะไรจะไม่ไปตกนรก ขอท่านจงบอกด้วย”
    พญานกยูงทอง “มีสมณะพวกหนึ่ง นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดประพฤติเป็นผู้ไม่มีเรือน เที่ยวบิณบาตในเวลาเช้า เว้นเที่ยวในเวลาวิกาล เป็นผู้สงบจากกิเลสแล้วมีอยู่ในโลกนี้ ท่านจงเข้าไปหาสมณะเหล่านั้น ถามปัญหาสงสัยกะท่านเหล่านั้น ถ้าไม่อยากตกนรก” ว่าแล้วก็ขู่นายพรานให้กลัวภัยในนรก
    นายพรานนั้นเป็นผู้มีบารมีบำเพ็ญเต็มแล้ว มีญาณแกล้วเมื่อฟังธรรมกถาจบยืนอยู่ท่าเดิมนั้นแหละ กำหนดสังขารพิจารณาไตรลักษณ์ บรรลุปัจเจกโพธิญาณเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า การบรรลุธรรมของนายพรานและการพ้นจากบ่วงของพญานกยูงทองเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน
    พระปัจเจกพุทธเจ้าระลึกถึงนกที่ตนเองขังไว้เป็นจำนวนมากที่บ้าน จึงทำสัจกิริยาปล่อยนกทั้งหลายให้พ้นจากที่ขังไปแล้วก็เหาะไปอยู่ที่เงื้อมเขานันทมูล ฝ่ายพญานกยูงทองก็หาอาหารและกลับที่อยู่ของตนดังเดิม
    ****นกยุงหลวงพ่อ มีไว้เมตตา เมตตามหาลาภดีนักแล***
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF9027.jpg
      DSCF9027.jpg
      ขนาดไฟล์:
      205.1 KB
      เปิดดู:
      92
    • DSCF9028.jpg
      DSCF9028.jpg
      ขนาดไฟล์:
      205 KB
      เปิดดู:
      71
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2010
  9. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เจ้าแม่โพสพปี2535 บูชา 350 มี 2 เหรียญ
    **************************************************
    พระแม่โพสพ เป็นท่านเทพธิดาที่ได้รับความเคารพนับถือกราบไหว้มาแต่โบราณกาล กล่าวว่าท่านเป็นผู้ที่คุ้มครองดูแลต้นข้าวให้เจริญงอกงาม ให้ผลิตผลอุดมสมบูรณ์
    แม่โพสพ จึงเป็นเทพธิดาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ของชีวิตเหล่าชาวนา เมื่อแรกทำนา จนกระทั่งถึงเวลาไถคราด เก็บเกี่ยวรวงข้าวด้วยเคียวเหล็ก จะต้องประกอบพิธีเซ่นบูชาแม่โพสพทุกระยะไป
    เช่น ก่อนหน้าเวลาฤกษ์แรกนา จะปลูกศาลเพียงตา สูงระดับสายตาคนขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง ที่กำหนดไว้เป็นที่แรกนา ตระเตรียมเครื่องสังเวยบูชา แม่โพสพให้ครบถ้วน พร้อมทั้งกล่าวคำขวัญเป็นถ้อยคำไพเราะ อ้อนวอน พระแม่โพสพให้คุ้มครองรักษาต้นข้าว ขอให้ปีนี้จงทำนาได้ผล ไม่ว่าจะเป็นนาหว่าน นาดำ เพราะแม่โพสพเป็นหญิงขวัญอ่อนง่าย จึงต้องทำพิธีเรียกขวัญเสมอ

    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1590357468802909";/* 160x90, ถูกสร้างขึ้นแล้ว 11/4/08 */google_ad_slot = "9894408913";google_ad_width = 160;google_ad_height = 90;//--></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>**************
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2010
  10. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญหันข้างฉลองอายุ70ปี 2547 พระปัญญาพิศาลเถร บูชา550 บาท
    มี 5 เหรียญ *********************************************************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF9023.jpg
      DSCF9023.jpg
      ขนาดไฟล์:
      179.1 KB
      เปิดดู:
      71
    • DSCF9024.jpg
      DSCF9024.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161 KB
      เปิดดู:
      72
    • DSCF1526_resize.JPG
      DSCF1526_resize.JPG
      ขนาดไฟล์:
      240.2 KB
      เปิดดู:
      65
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2010
  11. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญใหญ่มีห่วงพระปัญญาพิศาลเถรหลังมังกร 2544 ยุคแรกหายาก
    บูชา 550 มี10 เหรียญ คุณนพมาศจอง3เหรียญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2010
  12. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญเล็กพระปัญญาพิศาลเถรหลังมังกร 2544
    ยุคแรกหายากบูชา450 มี 5 เหรียญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF9025.jpg
      DSCF9025.jpg
      ขนาดไฟล์:
      171 KB
      เปิดดู:
      51
    • DSCF9026.jpg
      DSCF9026.jpg
      ขนาดไฟล์:
      163 KB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2010
  13. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญพัดยศปี 2547 บูชา 200
    มี 10 เหรียญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF9033.jpg
      DSCF9033.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187.8 KB
      เปิดดู:
      56
    • DSCF9034.jpg
      DSCF9034.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161.7 KB
      เปิดดู:
      63
  14. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญพัดยศ 2547หน้าทองบูชา 350 บาท
    มี 1 เหรียญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2010
  15. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญ 5 รอบ ปี2537
    บูชา1200 บาท มี 3 เหรียญสวยกว่าในรูป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 141111.jpg
      141111.jpg
      ขนาดไฟล์:
      147.9 KB
      เปิดดู:
      64
    • DSCF9020.jpg
      DSCF9020.jpg
      ขนาดไฟล์:
      131.9 KB
      เปิดดู:
      56
    • DSCF1618.jpg
      DSCF1618.jpg
      ขนาดไฟล์:
      108.8 KB
      เปิดดู:
      80
    • DSCF1619.jpg
      DSCF1619.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136.7 KB
      เปิดดู:
      66
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2010
  16. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญ 5 รอบเล็ก 2537บูชา 450 บาท
    มี 5 เหรียญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF9031.jpg
      DSCF9031.jpg
      ขนาดไฟล์:
      188.9 KB
      เปิดดู:
      63
    • DSCF9032.jpg
      DSCF9032.jpg
      ขนาดไฟล์:
      206.9 KB
      เปิดดู:
      57
  17. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    ปิดตามหาลาภ5รอบปี 2537บูชา 850 บาท
    มี 3 องค์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF9010.jpg
      DSCF9010.jpg
      ขนาดไฟล์:
      171.4 KB
      เปิดดู:
      57
    • DSCF9011.jpg
      DSCF9011.jpg
      ขนาดไฟล์:
      162.2 KB
      เปิดดู:
      57
  18. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญมังกรรุ่นแรก ปี 2528 บูชา 1800
    มี 1 เหรียญ
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาพะเยา ชื่อบ/ช ปริศนา บัวเทศ เลขที่ 209-2-51303-6
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF9014.jpg
      DSCF9014.jpg
      ขนาดไฟล์:
      156.7 KB
      เปิดดู:
      59
    • DSCF9016.jpg
      DSCF9016.jpg
      ขนาดไฟล์:
      173.2 KB
      เปิดดู:
      50
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2010
  19. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    เหรียญ5รอบหลังกว๊านพะเยา 2537
    บูชา 1200 บาท มี 1เหรียญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • GEDC0163.jpg
      GEDC0163.jpg
      ขนาดไฟล์:
      185.4 KB
      เปิดดู:
      42
    • GEDC0164.jpg
      GEDC0164.jpg
      ขนาดไฟล์:
      185 KB
      เปิดดู:
      44
  20. siwa1968

    siwa1968 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +540
    พระผงเจ้าสัว 5 รอบปี2537
    บูชา 850 บาท มี 3 องค์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • GEDC0161.jpg
      GEDC0161.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187 KB
      เปิดดู:
      54
    • GEDC0162.jpg
      GEDC0162.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187.7 KB
      เปิดดู:
      55

แชร์หน้านี้

Loading...