วิธีแก้จิตวิปลาส ปุจฉา-วิสัชนาธรรม โดย หลวงปู่หลวง กตปุญโญ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 1 มิถุนายน 2009.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ณ สำนักสงฆ์คีรีสุบรรพต อำเภอเมือง จ.ลำปาง

    ศิษย์ : หนูไปกราบหลวงตาแตงอ่อน อยู่ดีๆ ท่านก็พูดเรื่องจิตวิปลาสค่ะ หนูยังไม่ได้เล่าอะไรเลยค่ะ หนูตกใจเลยค่ะ แสดงว่าหลวงปู่ท่านรู้

    หลวงปู่ : รู้ก่ะ

    ศิษย์ : แล้วหนูหายหรือยังคะหลวงปู่ ตอนนี้หนูนั่งภาวนาได้ไหมคะ

    หลวงปู่ : ได้

    ศิษย์ : ได้เหรอคะ กลัวว่ามันจะกลับมาอีกน่ะค่ะ หลวงปู่

    หลวงปู่ : ภาวนาเผาเจ้าของเลย นั่งภาวนาเผาเจ้าของเลย

    ศิษย์ : นั่งเผาเจ้าของ นั่งอย่างไรคะหลวงปู่

    หลวงปู่ : นั่งกำหนดตาย ก็เผาเลย ก่อกองไฟเผาเลย

    ศิษย์ : คือให้กำหนดว่าไฟเผาเหรอคะ

    หลวงปู่ : กำหนดตายก่อน ตายแล้วก็กำหนดก่อกองไฟ เผาเป็นขี้เถ้าไปเลย ให้หมดเลย

    ศิษย์ : อ๋อ มีพี่คนนึ่งเขาไปนั่งภาวนาที่ภูทอก แล้วเขาเห็นตัวเองไฟลุกท่วมเลย เผาตัวเอง

    หลวงปู่ : อืม ภาวนาเผาเจ้าของ เผากิเลสนั่นแหละ มันมีตนมีตัวก็ติดอยู่นั่นแหละ เผามันเลย

    ศิษย์ : หลวงปู่น่ะ เมตตาพวกหนูมากหนูทราบ หลวงปู่เมตตาอยากให้พวกหนูมีปัญญา พ้นทุกข์ หนูรู้ทุกอย่างค่ะ แต่หนูโง่ หนูไปไม่ได้

    หลวงปู่ : ท่านเปรียบอย่างนี้ ท่านเปรียบเหมือนว่า เราเปรียบเหมือนป่า ป่าหนามด้วย ป่าหนามน่ะต้องฟัน ฟันป่านั่นลงไปแล้ว ก็ยังไปไม่ได้ เอาไฟเผา ไปได้สบาย

    ศิษย์ : อ๋อ คือมันติดอยู่ในรูปร่างกายอยู่ใช่ไหมคะ

    หลวงปู่ : นั่นแหละ ติดร้อยเปอร์เซ็นต์นั่นแหละ

    ศิษย์ : แล้วถ้าเราไปนั่งกำหนด ไปนั่งคิดอย่างนี้ มันได้หรือคะหลวงปู่ หรือว่ามันจะเกิด จะเห็นเองหรือคะ นั่งแล้วมันเห็นตัวเองเผาหรือว่าต้องไปนั่งกำหนดคะ

    หลวงปู่ : กำหนดเผา นึกเอาเลยแหละ

    ศิษย์ : นึกเอาเลยหรือคะ

    หลวงปู่ : วิปัสสนึกนั่นแหละ

    ศิษย์ : แล้วมันจะสงบหรือคะ หลวงปู่

    หลวงปู่ : สงบไม่สงบก็ช่าง เผามันเลย มันสงบอยู่ในตัวนั่นแหละ ปัญญาอยู่ในตัว สมาธิอยู่ในตัวนั่นแหละ มันก็เผาเท่านั้นแล้ว ท่านอาจารย์มั่นท่านเคยขึ้นเทศน์ เผามันเลยบ่ให้มีตัวรู้ มันมีอำนาจน่ะ ท่านเปรียบเหมือนว่า เราเปรียบเหมือนป่า ป่าหนามน่ะ หนามทำอย่างไรจึงจะไปได้ มันต้องฟัน ฟันลง ฟันลง ฟันลง ก็ยังเดินไม่ได้ ติดหนามปักอีก ไฟเผาล่ะบัดนี้ เผาลง โอ๊ย ไปได้สบายล่ะบัดนี้

    ศิษย์ : คือถ้าเราเผาแล้ว เราก็ไม่ยึดติดในร่างกาย มันก็ไม่มีความยึดติดอะไรแล้วใช่ไหมคะ

    หลวงปู่ : โอ๊ย ไม่ติดแล้ว เมื่อไม่มีกาย มันก็ไม่มีเป็นอะไรแล้ว

    ศิษย์ : มันก็ไม่ยึดเขา ยึดเรา ใช่ไหนคะ หลวงปู่

    หลวงปู่ : โอ๊ย ไม่มีหรอก สุดท้ายอันเดียวกันนั่นแหละ เพศหญิง เพศชาย ไม่มีแล้ว หายหมด

    ศิษย์ : ความผูกพันนี่มันตัดได้เหรอค่ะ หลวงปู่

    หลวงปู่ : ได้ทำไมจะไม่ได้ ไม่ได้ก็ไม่เข้านิพพาน พระพุทธเจ้าเข้านิพพานไม่ได้ เฉพาะพระพุทธเจ้าอย่างเดียวก็สองล้านห้าแสนแปดหมื่น สี่พันห้าร้อยเก้าสิบแล้ว สาวกก็ไม่รู้กี่พันล้าน ถ้าเพิ่นบ่ตัดได้ จะเข้านิพพานได้เหรอ ต้องตัดตลอด เผาเท่านั้นแล้ว กำหนดมรณะสติ กำหนดตายเลย ตายแล้ว กำหนดหาฟืนมากองขึ้น ยกศพเจ้าของเผาเลย เผาเป็นขี้เถ้าแล้วก็หมดล่ะ เมื่อเผาเป็นขี้เถ้าแล้ว ก็ที่เขาสมมติว่า นางหยังๆ บ่มีนางแล้ว มันเป็นขี้เถ้าเข้าแล้ว ไม่มีล่ะ มันไม่มีที่ยึดที่ไหนล่ะ

    ศิษย์ : ไม่มีตัวตนเลย ใช่ไหมคะหลวงปู่

    หลวงปู่ : อืม ไม่มีตัวตนแล้ว หมดล่ะ มีตัวตนมันถึงได้ทุกข์ ภาวนาเผามัน ก็เหมือนเชื้อโรคน่ะ ถ้ามันยังมีตนมีตัว ก็ติดอยู่นั่นแหล่ะ ลองเผามันเป็นขี้เถ้าสิ เชื้อโรคก็ไม่มีแล้ว สิ่งใดเหมือนกัน ท่านว่า บ่เคยภาวนาเผาเจ้าของเสียทีเหรอ หา... ยังบ่เคยภาวนาเผาเจ้าของเหรอ

    ศิษย์ : ยังไม่เคยค่ะ

    หลวงปู่ : โอ๊ย ยังไม่เคย มันก็ทุกข์อยู่นั่นแหละ

    ศิษย์ : ทำไม่เป็นค่ะ ก็หลวงปู่เพิ่งบอกเนี่ยค่ะ

    หลวงปู่ : (หัวเราะ)

    ศิษย์ : มันยากน่ะค่ะหลวงปู่ มันรู้ว่าถ้าเกิดทำได้ มันก็จะไม่ทุกข์อย่างนี้น่ะค่ะ แต่ว่ามันเหมือนไม่ยอมไปน่ะค่ะ

    หลวงปู่ : ถ้ามันเผาแล้ว มันก็จะไปล่ะ จ้างให้มันอยู่มันก็ไม่อยู่ล่ะ เช่น ยกตัวอย่างเช่นว่า ถ้าบ้านของเรา ใครมาเผาน่ะ เราจะอยู่ไหม

    ศิษย์ : ไม่อยู่ค่ะ

    หลวงปู่ : นั่น เปรียบเหมือนกันนั้นแหละ มันมีบ้าน มีเรือน มันยังอาศัยอยู่ เผามันเป็นขี้เถ้า มันก็ไม่อยู่แล้ว เปิดหนีแล้ว จ้างให้มันอยู่มันก็ไม่อยู่ล่ะ ใช้วิปัสสนึกแหละ หลวงปู่มั่นท่านก็สอน

    ศิษย์ : ใช้วิปัสสนึกเหรอค่ะ

    เออ วิปัสสนามันจะเกิดน่ะ

    ศิษย์ : เดี๋ยวหนูจะลองทำดูน่ะคะ

    หลวงปู่ : เออ วิปัสสนึกไม่มี วิปัสสนาก็ไม่มีแล้ว

    ศิษย์ : ค่ะ แล้วตอนที่ทำนี่จะต้องให้จิตสงบก่อนใช่ไหมคะ หลวงปู่

    หลวงปู่ : กำหนดตายเลย จิตสงบไม่สงบ กำหนดตายเลย สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง ถ้ามันถึงตาย ก็สงบเองนั่นแหละ เพราะมันไม่ตาย มันก็ดิ้นอยู่นั่นแหละ ที่มันดิ้นก็เพราะมันไม่ตาย เหมือนคนดิ้นไปดิ้นมา เดี๋ยวก็ไปหาหลวงปู่นั่นหลวงปู่นี่ หาอาจารย์นั่นอาจารย์นี่ อยู่นั่นแหละ

    ศิษย์ : หาที่พึ่งค่ะหลวงปู่

    หลวงปู่ : นั่นน่ะก้า

    ศิษย์ : หาวิธีปฏิบัติ เหนื่อยนะคะ หลวงปู่ท่านก็เมตตาอบรมคะ

    หลวงปู่ : ครูบาอาจารย์ท่านดีทั้งนั้นแหละ เมตตาสงสาร ลูกศิษย์ลูกหา ศรัทธาญาติโยมทุกคนนั่นแหละ ไม่ว่าอาจารย์ไหนล่ะ ก็ทำตามรอยพระพุทธเจ้าน่ะ

    แหล่งที่มา : http://members.thai.net/varanyo/pooluang.asp


    สมมุติปิดบังวิมุตติ
    ปุจฉา-วิสัชนาธรรม โดย หลวงปู่หลวง กตปุญโญ
    สำนักสงฆ์คีรีสุบรรพต อำเภอเมือง จ.ลำปาง

    ศิษย์ : หลวงปู่เจ้าขา เวลาทำสมาธิ จุดที่มันจะลงนี่ มันอยู่ตรงกลางอก หรือเจ้าคะหลวงปู่

    หลวงปู่ : อืม กลางอก

    ศิษย์ : กำหนดลงไปตรงกลางอกเลย หรือเจ้าคะ

    หลวงปู่ : อือ กำหนดรู้อยู่นี่ รู้ตรงนี้ รู้หน้าอก เพ่ง...รู้อยู่นั่นแหละ

    ศิษย์ : ตรงกลางหรือตรงหัวใจเจ้าคะหลวงปู่

    หลวงปู่ : ตรงไหนก็ได้ ใจก็ได้ กลางก็ได้ กลางหน้าอก กินก็เป็นทุกข์ บ่ได้กินก็เป็นทุกข์ กินแล้วบ่ถ่ายก็เป็นทุกข์ ถ่ายแล้วบ่ได้กินก็เป็นทุกข์

    ศิษย์ : ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นน่ะเหรอเจ้าคะหลวงปู่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่ทุกข์ทั้งนั้นหรือเจ้าคะ

    หลวงปู่ : นั่นแหล่ะ ทุกข์ใหม่เกิดขึ้นอีก

    ศิษย์ : อย่างนี้ สุข มันก็ไม่ใช่สิเจ้าคะหลวงปู่

    หลวงปู่ : บ่ใช่ดอก คือว่า ระหว่างทุกข์นั้นมันดับนั่นน่ะหาสุขน่ะ ที่จริงมันก็ไม่ใช่สุขหรอก คือทุกข์นั้นมันดับไปคราวหนึ่งเข้าใจว่ามันมีความสุขคราวเดียว ทุกข์ใหม่เกิดขึ้นอีก

    ศิษย์ : แต่คนหลงหรือเจ้าคะหลวงปู่ คนไม่รู้หรือเจ้าคะ

    หลวงปู่ : คนไม่รู้ เพราะอวิชชามันครอบงำ จิตมันไปยินดี เพลินในกิเลสกาม มันก็เลยบ่เห็นทุกข์ หาว่าเป็นสุข ต้องรู้ตัวนั้น ละตัวนั้นก่อน มันจึงจะเห็นน่ะ
    ในหลวงเทศน์ กัณฑ์เทศน์ในหลวง เทศน์เมื่อกี้นี้ เพิ้นว่ายังไง ในหลวงว่าอย่างไร

    ศิษย์ : ลูกไม่ได้ฟังเลยเจ้าคะ ลูกกำหนดลมหายใจอย่างเดียว

    หลวงปู่ : ในหลวงว่า... คนไทยเรา อย่าไปถือว่า พวกนั้น บ้านนั้น จังหวัดนั้น พวกนั้น พวกนี้ ให้ถือว่า พวกเดียวกัน พี่น้องกัน บ่ใช่ภาคเหนือ บ่ใช่ภาคใต้ ให้เป็นพี่น้องเดียวกันหมด เสมอกัน อย่างเดียวกัน พี่น้องด้วยกันหมด

    ศิษย์ : แท้จริงก็เป็นธาตุสี่หมดเลยนะเจ้าคะหลวงปู่

    หลวงปู่ : อืม เหมือนกันแหล่ะ มันบ่ได้พิจารณา ความยึด ความถือของโลกน่ะ ติดสมมุติล่ะ ติดสมมุติแล้วก็หลงสมมุติ

    ศิษย์ : แล้วทำอย่างไร จึงจะลอกสมมุตินี่ได้ล่ะเจ้าคะหลวงปู่

    หลวงปู่ : ทำลายล่ะ ทำลายสมมุติ

    ศิษย์ : ทำลายอย่างไรเจ้าคะหลวงปู่

    หลวงปู่ : มันสมมุติว่าตา ก็เจาะตาออก

    ศิษย์ : ควักตาออกหรือเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ : อืม สมมุติว่าหูก็ตัดหูออก นี่คือทำลายสมมุติ
    เขาเรียกว่าแยก แยกธาตุ
    แยกธาตุ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม พิจารณาออกเป็นธาตุ ทำลายสมมุติแยกออก ธาตุดินมีอะไร ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อาการ ๓๒ น่ะ แยกออกไป ผมมาจากไหน ผมก็มาจากธาตุดิน ไปไหนอีก ปล่อยลงดินอีก มาจากธาตุดินกลับลงสู่ดินอีก พระพุทธเจ้าว่า เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ท่านว่า พิจารณาธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่อัตตา เขาเรียกว่าแยก ทำลายตรงไหนว่าตาก็เจาะตาออก ตรงไหนว่าหู ก็ตัดหูออก กำหนดเอาพุทโธน่ะทำงาน มีหนังก็ลอกหนังออก เอาเนื้อออก มาถึงร่างกระดูกละบัดนี้ ถึงร่างกระดูก ภาวนาจับร่างกระดูกน่ะ สมาธิมั่น ... พิจารณาจับร่างกระดูกจนจิตมั่นคงน่ะ พิจารณาไป พิจารณาร่างกระดูกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเป็นท่อน กระจัดกระจายไป บ่มีตนมีตัวอนัตตาล่ะบัดนี้ พิจารณาบ่มีตัวตน... นึก...วิปัสสนึกน่ะ ใช้วิปัสสนึกน่ะ นึก... พิจารณากลับไปกลับมา ทำงาน ถ้าพิจารณาอยู่มันก็สงบล่ะ มันอยู่นิ่งก็ตาม ไม่นิ่งก็ตาม แต่มันทำงานอยู่ นั่นแปลว่าเป็นสมาธิอยู่ในตัว ปัญญาอยู่ในตัว ดีกว่ามันนิ่งเฉยๆ บ่มีทำงาน นิ่งเฉยๆ ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ประโยชน์ ถ้าพิจารณา มันนิ่งอยู่ในกายพิจารณาร่างกาย รู้อยู่นี่ละ จิตบ่ฟุ้งซ่านไปที่อื่นน่ะ มีประโยชน์มาก นิ่งอยู่เฉยๆ ได้ประโยชน์น้อยเดียว ครูบาอาจารย์ท่านว่า จิตไปนิ่งอยู่เฉยๆ สามชั่วโมงน่ะ จิตมารู้พิจารณา ร่างกายสังขารห้านาทีมีประโยชน์มากกว่า มันจะได้ทำลายสมมุติ จิตมันหลงสมมุติ นั่นแหละ ติดสมมุติ...ทำลายสมมุติ... สมมุติปิดบังวิมุตติ เมื่อทำลายแล้ว พิจารณาแล้วก็เป็นวิมุตติ จิตหลุดพ้น ปล่อยวางได้
    สมมุติปิด บังวิมุตติ
    งามบังผี ดีบังจริง
    งามปิดบังผี ดีปิดบังจริง
    รักชังปิดบัง หนทางไปสวรรค์ นิพพาน

    พระพุทธเจ้าท่านว่า "อวิชชาก็หมายถึง สมมุตินั่นแหล่ะ" พอพิจารณาละสมมุติแล้วก็เป็นวิชชา พิจารณาตายน่ะ ถ้าไม่เห็นตายก็ปล่อยวางไม่ได้ พิจารณาตาย บ่เห็นตาย มันประมาทเพราะบ่เห็นตาย ถ้าเห็นตายแล้วบ่ประมาทล่ะ จิตมันบ่สงบก็เพราะบ่เห็นตาย ถ้ามันเห็นตาย มันก็สงบ ถึงจุดมุ่งหมายล่ะ ไล่ขันธ์ ๕ แหล่ะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณก็บ่เที่ยงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สัญญาก็เหมือนกัน สังขาร วิญญาณ ไล่อยู่นั่นแหละ จนมันคล่องแคล่วชำนาญ พิจารณาลงสู่ความตาย มันบ่ ลงตาย จิตมันไม่สงบน่ะ ไม่มีที่ยึดน่ะ ปล่อยวางได้ ต้องใช้สัญญาก่อนล่ะ ใช้สมมุติ อาศัยวิมุตติ เห็นวิมุตติ รู้วิมุตติ พิจารณาทำลายสมมุตินั่นล่ะ
    ทำลายสมมุติ ทำลายสมมุติ ทำลายสมมุติ ละสมมุติก็คือรู้นั่นแหละ พิจารณาสมมุติไปเรื่อยๆ แต่ว่าส่วนมาก มันไปสุข สงบ แล้วก็บ่ได้พิจารณา ติดอยู่ในสุขน่ะ ปัญญามันบ่เกิด ถ้าสงบ... นิ่งแล้วก็พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แตกตายร่างกาย รู้เห็นแจ้ง
    "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

    แหล่งที่มา : http://members.thai.net/varanyo/pooluang.asp

    โดย rin
     

แชร์หน้านี้

Loading...