สุขภาพดีต้องบริหาร 4 มิติ กาย กรรม จิต พลัง

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 6 กรกฎาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    การศึกษาเพื่อทำความเข้าใจร่างกายและชีวิตของมนุษย์มีมานานนับพันปี ด้วยศาสตร์ของแพทย์ทางเลือกหลายแขนง ที่อาจมีวิธีการแตกต่าง แต่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเพื่อสุขภาพที่ดี มีดุลยภาพในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงเป็นโชคดีของเราที่มีโอกาสเรียนรู้แนวทางหลากหลายที่เราสามารถเลือกได้ ว่า วิธีใดเหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของเรามากที่สุด

    การ บริหารสุขภาพ 4 มิติ เป็นแนวคิดและการปฏิบัติตามแนวแพทย์ทางเลือกอีกวิธีหนึ่ง ที่น่าสนใจ เพราะเป็นการดูแลสุขภาพแนวพุทธ ตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า สุขภาพจะดีต้องขึ้นกับ 4 อย่าง คือ กาย กรรม จิต และพลังงาน

    ในมิติทั้ง 4 นี้ กายถือเป็นหลักใหญ่ ฉบับนี้จึงขอเสนอเรื่องของร่างกายเป็นอันดับแรกค่ะ
    นักธรรมชาติบำบัดกล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์กินเนื้อ อย่างเสือ ฟันของมนุษย์มีกรามเป็นส่วนใหญ่เพื่อใช้บดเคี้ยว ในขณะที่ฟันของเสือเป็นฟัน เขี้ยวสำหรับฉีกกัด

    น้ำย่อยของคนมีปริมาณน้อยและเจือจางกว่าเสือ 20 เท่า พอกินเนื้อจึงย่อยลำบาก เพราะน้ำย่อยไม่มากและเข้มข้นเพียงพอ พืชผักจะใช้เวลาย่อยในร่างกายคนเรา 17-24 ชั่วโมง แต่เนื้อสัตว์จะใช้เวลาย่อยถึง 3 วัน อีกทั้งลำไส้เล็กของคนยาวมากถึง 12 เท่าของช่วงตัว เนื้อสัตว์จึงค้างอยู่ในร่างกายนานจนเกิดการบูดเน่าหมักหมมทำให้เกิดโรคภัย ไข้เจ็บ

    อาหารการกินในปัจจุบันมีการปรุงแต่งโครงสร้างพันธุกรรมเยอะมาก สัตว์เชิงพาณิชย์รวมทั้งพืชผักนอกฤดูกาลทั้งหลายได้รับการเร่งในอัตราสูง อย่างน่ากลัว เช่น สมัยก่อน เราปล่อยให้ไก่เติบโตในธรรมชาติจนถึงอายุที่เหมาะสมจึงนำมาเป็นอาหาร แต่ปัจจุบัน ไก่เลี้ยง ในระบบเศรษฐกิจ มีอายุเพียง 30 วันก็กินได้ เพราะมีการใช้สารเร่งฮอร์โมนและการเจริญเติบโต สารเหล่านี้สะสมอยู่ในเนื้อสัตว์

    นอกจากนี้ สัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ยังเกิดความเครียด ความกลัว ทำให้ร่างกายของสัตว์เหล่านั้นหลั่งสารอะดรีนาลีน และฮอร์โมนแย่ๆ อีกกว่า 30 ชนิดออกมา สารต่างๆ ทั้งหมดที่ตกค้างในเนื้อก็ส่งผ่านมาถึงคนกิน

    ตามความเชื่อของแพทย์ทางเลือกจึงมองว่าอาหารเหล่านี้มีผลต่อร่างกายเป็น อย่างยิ่งค่ะ สารแปลกปลอมที่สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนเราเจ็บไข้ได้ป่วยกันมากขึ้น เป็นมะเร็งกันมากขึ้น

    ถ้า เป็นไปได้ เราควรให้ร่างกายได้รับอาหารจากธรรมชาติให้มากที่สุด ทั้งพืชผัก ผลไม้ ธัญพืช ส่วนเนื้อสัตว์ก็ควรลดลง ปลาเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่ายที่สุด แต่ก็ควรเลือกปลาที่เติบโต ตามธรรมชาติ มากกว่าปลาที่เลี้ยงด้วยหัวอาหารเร่งโต

    แม้แต่นมวัว นักธรรมชาติบำบัดก็ลงความเห็นว่าก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้สารเร่งฮอร์โมนในวัวและสารเร่งน้ำนม เพื่อให้รีดได้ปริมาณมากขึ้นในแต่ละ วัน การดื่มนมวัวที่มีสารแปลกปลอมจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กมีอาการสมาธิ สั้น

    หลายท่านอาจต้องการดื่มนมเพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมไปสร้างกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุนโดยเฉพาะผู้หญิงวัยทอง การดูแลสุขภาพแบบแพทย์ทางเลือกแนะนำว่า อาหารพื้นบ้านของไทยเรานั้นอุดมไปด้วยแคลเซียมที่สูงกว่านมวัว และมีมากมายให้เรากิน แทนนมได้ และอร่อยด้วย เช่น ปลาร้า กุ้งแห้ง กะปิ ปลาเล็กปลาน้อย งาดำคั่ว ใบชะพลู ถั่วแดงหลวง ฝักมะขามสด ยอดแค กระเฉด สะเดา คะน้า เต้าหู้อ่อน ถั่วเหลือง เป็นต้น

    การ รักษาสุขภาพในมิติของร่างกาย มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจ นั่นคือเรื่องความสัมพันธ์ของเวลากับอวัยวะ การแพทย์ตะวันออกถือว่ามีการไหลเวียนของพลังชีวิต (ปราณ) ผ่านอวัยวะหลักๆ ของร่างกาย 12 อวัยวะในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง เรียกว่า “นาฬิกาชีวิต”

    เวลา 03.00-05.00 น. เป็นเวลาที่ปอดทำงาน เราต้องตื่นมาสูดอากาศ ออกกำลังกายตามถนัด เพื่อให้ปอดแข็งแรง ผิวพรรณดี

    เวลา 05.00-07.00 น. เวลาของลำใส้ใหญ่ ต้องขับถ่ายให้เป็นนิสัย ถ้าไม่ขับถ่ายทำให้ร่างกายจะมีปัญหา วิธีช่วยคือตื่นนอนให้ดื่มน้ำครึ่งลิตร ถ้าธาตุแข็งให้บีบน้ำมะนาวในน้ำดื่ม ด้วย เพื่อช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น

    เวลา 07.00-09.00 น. เป็นเวลาของกระเพาะอาหาร ต้องกินอาหารมื้อเช้า ซึ่งเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน เพื่อช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายและสมอง การไม่กินอาหารเช้าทำให้กระเพาะอ่อนแอ ปวดเข่า สมองไม่ดี หน้าแก่กว่าวัย

    เวลา 09.00-11.00 น. เวลาของม้าม ที่มีหน้าที่ควบคุมน้ำเหลืองและภูมิคุ้มกัน ถ้าม้ามบกพร่องจะมีปัญหา เกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคต่างๆ

    เวลา 11.00-13.00 น. หัวใจทำงานหนัก ต้องหลีกเลี่ยงความเครียด และการใช้ความคิด หนักๆ

    เวลา 13.00-15.00 น. เวลาของลำไส้เล็กที่มีหน้าดูดซึมอาหารเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ควรงดการกินอาหารเพื่อให้ลำไส้เล็กทำงานเต็มที่

    เวลา 15.00-17.00 น. เวลาของกระเพาะปัสสาวะที่เกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศ เป็นช่วงที่ควรให้ร่างกายได้ระบายเหงื่อออก และไม่ควรอั้นปัสสาวะบ่อยๆ

    เวลา 17.00-19.00 น. ช่วงเวลาของไต ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอน

    เวลา 19.00-21.00 น. ช่วงของเยื่อหุ้มหัวใจ ควรทำสมาธิสวดมนต์ไหว้พระ ทำจิตให้สงบ

    เวลา 21.00-23.00 น. ห้ามอาบน้ำ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ระบบความร้อนในร่างกายทำงาน การอาบน้ำเหมือนเอาน้ำไปดับไฟ ทำให้ร่างกายทำงานสะดุด

    เวลา 23.00-01.00 น. เวลาของถุงน้ำดี ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอนเพื่อป้องกันถุงน้ำดีข้น

    เวลา 01.00-03.00 น. เวลาของตับที่มีหน้าที่กรองสารพิษในร่างกาย ต้องนอนหลับให้สนิท เพื่อให้ตับทำงาน ไม่ควรกินอาหารเพราะตับจะทำงานหนักและเสื่อมเร็ว ใครนอนหลับได้ดีในเวลานี้เป็นประจำ หน้าตาจะสดชื่นอ่อนกว่าวัยค่ะ

    ปัจจุบันร่างกายของเราถูกทำร้ายด้วยโภชนาการที่ผิด นอกจากอุดมด้วยเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีไขมันสูงอีกด้วย โดยเฉพาะอาหารทอดน้ำมัน เช่น ปาท่องโก๋ หมูทอด ไก่ทอด ไข่ดาว ผัดไทย ผัดซีอิ๊ว ฯลฯ ไขมันจะไปจับเคลือบผนังลำไส้เล็ก ทำให้น้ำกับสารอาหารดูดซึมไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ยาก ผลที่ตามมาคือ
    ถุงน้ำดีข้น ส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ นอนไม่อิ่ม ตื่นกลางคืน ปวดหัวข้างเดียว เกิดนิ่วในถุงน้ำดีหรือนิ่วในกรวยไต
    ไตทำงานหนัก เพราะน้ำและอาหารในลำไส้ไม่สามารถดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็ก ทุกอย่างจึงมา ลงที่ไต
    หัวใจทำงานหนักขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจโต เส้นเลือดตีบ ลิ้นหัวใจรั่ว
    เลือดไปเลี้ยงสมองน้อย โดยเฉพาะสมองส่วนหน้า ที่ควบคุมตา หู จมูก ปาก ฟัน คอ ทำให้เกิดอาการตาพร่า ปวดหัวข้างเดียว มึนศีรษะ หูอื้อ จามบ่อยๆ เกิดภูมิแพ้ เสียวฟัน สมองส่วนกลางขาดเลือด จะทำให้ความจำลดลง เป็นโรคอัลไซเมอร์ สมองส่วนหลังที่ควบคุม แขนขามือเท้า เมื่อมีเลือดน้อยก็ทำให้เกิดอาการชาตามมือเท้า แขนขาอ่อนแรง เกิดอาการอัมพฤกษ์อัมพาต

    จะเห็นได้ว่า การกินอาหารไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความผิดปกติที่อวัยวะสำคัญ และลุกลาม ต่อเนื่องทั้งระบบ เพราะฉะนั้น พื้นฐานของการบริหารกายให้ดีตามพระไตรปิฏก สิ่งแรกคือการเลือกกินอาหารที่ดีค่ะ

    การบริหารเพื่อสุขภาพดีให้ครบทั้ง 4 มิติ ยังไม่จบ ฉบับหน้าจะมีวิธีการบริหารอวัยวะภายในและสมองด้วยนิ้วมือ อย่าลืมติดตามต่อให้ได้นะคะ

    (หมาย เหตุ : เรียบเรียงจากการบรรยายของ อาจารย์ณิชาพัฒน์ ธาดาธนากร ในงานอุทยานอนุรักษ์สุขภาพ ครั้งที่ 23 ณ บ้านเจ้าพระยา จัดโดยโครงการผู้จัดการสุขภาพ)

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 83 ต.ค. 50 โดยพรนภัส)
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ท่านผู้อ่านที่ติดตามธรรมลีลาอย่างใกล้ชิด คงจำ ได้ว่า ฉบับที่แล้วกล่าวถึงการบริหารสุขภาพ 4 มิติ อันเป็นการดูแลสุขภาพแนวพุทธ ตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า สุขภาพจะดีต้องขึ้นกับ 4 อย่าง คือ กาย กรรม จิต และพลังงาน

    เรื่องของกายเป็นเรื่องใหญ่ ฉบับที่แล้วจึงว่าไว้ด้วยเรื่องของนาฬิกาชีวิต หมายถึงช่วงเวลาต่างๆ ระหว่างวัน (24 ชั่วโมง) ที่สัมพันธ์กับการไหลเวียนของปราณ (พลังชีวิต) และเกี่ยวข้องกับการทำงานของอวัยวะต่างๆ ใน ร่างกาย ซึ่งหากเราปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับช่วงเวลาเหล่านั้น เช่น เวลาที่ควรนอนหลับ ก็ต้องนอนหลับให้สนิท เวลาที่ร่างกายต้องการอาหาร ก็ควรได้กิน เวลาใดควรขับถ่าย ก็ฝึกขับถ่ายให้สม่ำเสมอ จะช่วยรักษาสมดุลแห่ง สุขภาพ รวมถึงโภชนาการที่ดี ที่เน้นอาหารจากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงอาหารแปลกปลอม สารพิษ และสารปรุงแต่ง ต่างๆ ช่วยป้องกันความผิดปกติของร่างกายและโรคภัยอันตรายได้

    ฉบับนี้ขอเน้นเรื่องการบริหารกายที่ช่วยให้อวัยวะภายในและสมองแข็งแรงค่ะ

    ศาสตร์ของแพทย์ทางเลือกมีการแนะนำวิธีออกกำลังกายมากมายหลายวิธี ที่เราควรศึกษาและเลือกใช้ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพร่างกาย อายุ เวลา สถานที่ และความสะดวกของแต่ละคน ซึ่งไม่จำเป็นต้อง ใช้วิธีเดียวกันเสมอไป ร่างกายของบางคนอาจจะเหมาะกับวิธีการหนึ่ง แต่บางคนที่ใช้วิธีเดียวกันนั้น อาจจะได้ รับประโยชน์น้อยกว่าก็เป็นได้

    การบริหารกายที่เราคุ้นเคยกันโดยทั่วไป มักจะเห็น เป็นรูปธรรมว่าเป็นการสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น ต้นแขน ต้นขา น่อง หน้าท้อง แต่มีการบริหารกายวิธีหนึ่งที่แพทย์ทางเลือกกล่าวว่า เป็น การบริหารอวัยวะภายในผ่านนิ้วมือ

    นิ้วมือเป็นอวัยวะภายนอกที่สัมพันธ์กับอวัยวะภายในของร่างกายอย่างมหัศจรรย์ นิ้วก้อยมีเส้นลมปราณ ที่มาจากไต กระเพาะปัสสาวะและมดลูก นิ้วนางสัมพันธ์กับตับและถุงน้ำดี นิ้วกลางคือหัวใจและลำไส้เล็ก นิ้วชี้ เป็นม้ามและกระเพาะอาหาร นิ้วหัวแม่มือคือปอดและลำไส้ใหญ่


    วิธีบริหารอวัยวะภายในด้วยนิ้วมือ เป็นวิธีง่ายๆ อีกหนึ่งวิธีที่เราสามารถทำที่ไหน เมื่อไรก็ได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อาจจะลำบากในการออกกำลังกายวิธีอื่นๆ

    วิธีแรก เป็นการกดนิ้วลงบนแขน เริ่มมือไหนก็ได้ค่ะ เช่น เริ่มด้วยมือขวา ให้ยกแขนซ้ายขึ้น ไม่ต้องสูงกว่าระดับไหล่เพราะจะเมื่อย ใช้นิ้วมือขวาทีละนิ้ว แนบลงไปบนท้องแขนซ้าย ต่ำกว่าข้อพับแขน (บริเวณข้อศอก) เล็กน้อย ให้นิ้วแนบกับเนื้อแขนจนสนิทตั้งแต่โคนนิ้วถึง ปลายนิ้ว แล้วออกแรงกดนิ้วเข้ากับท้องแขนจนรู้สึกเจ็บ กดนิ่งสักครู่หนึ่งแล้วปล่อย

    เริ่มด้วยนิ้วชี้เป็นนิ้วแรกนะคะ ต่อด้วยนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย จากนั้นเปลี่ยนข้าง ใช้นิ้วมือซ้ายกดแขนขวา บ้าง เริ่มด้วยนิ้วชี้เช่นกัน ตามด้วยนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย

    ขอย้ำว่า ต้องออกแรงกดนิ้วทั้งนิ้วนะคะ ไม่ใช่ใช้แค่ ปลายนิ้วในลักษณะจิ้มกดลงไป อย่างนั้นจะไม่ถูกต้องค่ะ

    เมื่อทำครบทั้งสองมือ รวม 8 นิ้วแล้ว ก็มาถึงการบริหารนิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วโป้งค่ะ ยกมือทั้งสองขึ้นในระดับที่สบายๆ กำมือหลวมๆ แต่ชูนิ้วโป้งขึ้น (ในลักษณะเหมือนกับชูนิ้วโป้งชมใครว่าเยี่ยมจริงๆ นั่นแหละค่ะ) จากนั้นก็หมุนนิ้วโป้งพร้อมกันทั้งสองข้าง เริ่มจากหมุนเข้า หาตัวสัก 10 รอบ จากนั้นก็หมุนนิ้วออกจากตัวอีก 10 รอบ

    การบริหารอวัยวะภายในด้วยนิ้วมือนี้ ลองทำแล้วจะรู้ว่าง่ายมาก สามารถทำได้ตลอดเวลาที่สะดวกค่ะ เป็นวิธีหนึ่งที่แพทย์ทางเลือกบอกว่าถ้าทำเป็นประจำ จะช่วย เสริมให้อวัยวะภายในที่เส้นลมปราณเชื่อมโยงกับนิ้วมือนั้นแข็งแรง

    อวัยวะสำคัญอีกส่วนหนึ่งคือสมอง อาจจะสำคัญที่ สุดก็ว่าได้ เพราะเป็นกองบัญชาการควบคุมการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกาย แพทย์ทางเลือกจึงแนะนำการ บริหารสมองอย่างง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยนิ้วมือเช่นกัน

    ก่อนอื่น ท่านต้องจดจำตัวเลขเหล่านี้ก่อนค่ะ 2 1 3 4 3 1 2

    วิธีบริหารคือ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาในระดับที่สบายๆ กางนิ้วออก กางแบบปกติ ไม่ต้องกางเต็มที่จน นิ้วเหยียดเกร็ง ทำพร้อมกันทั้งสองมือนะคะ

    เริ่มต้นด้วยการใช้นิ้วชี้แตะนิ้วหัวแม่มือ ออกแรงกด เล็กน้อย แล้วปล่อย กดแล้วปล่อย ทำ 2 ครั้ง
    จากนั้น เปลี่ยนเป็นนิ้วกลางแตะกับนิ้วหัวแม่มือ ออกแรงกดเล็กน้อย กดแล้วปล่อย ทำ 1 ครั้ง
    ต่อไป ใช้นิ้วนาง แตะกับนิ้วหัวแม่มือ ออกแรงกดเล็กน้อย กดแล้วปล่อย ทำ 3 ครั้ง
    เปลี่ยนเป็นนิ้วก้อย แตะกับนิ้วหัวแม่มือ ออกแรงกด เล็กน้อย กดแล้วปล่อย ทำ 4 ครั้ง
    ย้อนกลับมาที่นิ้วนาง แตะกับนิ้วหัวแม่มือ ออกแรงกดเล็กน้อย กดแล้วปล่อย ทำ 3 ครั้ง
    ต่อไป ใช้นิ้วกลาง แตะกับนิ้วหัวแม่มือ ออกแรงกด เล็กน้อย กดแล้วปล่อย ทำ 1 ครั้ง
    สุดท้าย ใช้นิ้วชี้ แตะกับนิ้วหัวแม่มือ ออกแรงกดเล็กน้อย กดแล้วปล่อย ทำ 2 ครั้ง

    เป็นการจบการบริหารสมองด้วยนิ้ว นับเป็น 1 รอบค่ะ เป็นวิธีที่ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น คุณ สามารถทำวันละกี่รอบก็ได้ ตามแต่สะดวก เวลาที่มือว่าง จากกิจกรรมอื่นๆ หรือในเวลาที่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนระหว่างเวลาทำงาน อาจจะกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวขึ้นด้วย วิธีบริหารนี้ แทนการดื่มชาหรือกาแฟ

    สรุปว่าการดูแลร่างกายมีหลักง่ายๆ ว่า กินให้ดี และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยากเลย ถ้ามีความตั้งใจ และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ท่านอาจจะผสมผสานกับวิธีการอื่นๆ ในแนวสุขภาพทางเลือก ที่เหมาะสมกับตัวท่านเอง

    จากเรื่องกาย ต่อไปจะเป็นการบริหารสุขภาพในมิติ ของกรรม หรือการกระทำ ที่สัมพันธ์กับเรื่องของจิต ติดตามฉบับหน้าให้ได้นะคะ

    (หมาย เหตุ : เรียบเรียงจากการบรรยายของ อาจารย์ณิชาพัฒน์ ธาดาธนากร ในงานอุทยานอนุรักษ์สุขภาพ ครั้งที่ 23 ณ บ้านเจ้าพระยา จัดโดยโครงการผู้จัดการสุขภาพ)

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 84 พ.ย 50 โดยพรนภัส)
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    การบริหารสุขภาพแนวพุทธ ตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า สุขภาพดีต้องขึ้นอยู่กับ 4 มิติ ได้แก่ กาย กรรม จิต และพลัง นั้น ท่านผู้อ่านได้เรียนรู้แนวทางการดูแลตนเองในมิติที่ 1 คือ กาย ด้วยการกินที่ดี และการ บริหาร เพื่อให้กลไกการทำงานของกายเป็นไปโดยปกติแล้ว ฉบับนี้ต้องติดตามอีก 3 มิติ คือ กรรม จิต และพลัง ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกค่ะ

    กรรม ในที่นี้หมายถึงการกระทำในอดีต ที่มีผลถึงปัจจุบัน ในทางพุทธศาสนากล่าวว่า “สัตว์โลกล้วนมีกรรม เป็นของตน” ไม่ว่าจะถือกำเนิดในฐานะใดก็ตาม หากศึกษาพุทธประวัติจะพบว่า แม้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดหลายภพหลายชาติ และมีการใช้กรรม ที่กระทำในภพที่ผ่านมา ก่อนจะถึงชาติสุดท้ายที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    แพทย์แผนจีนเชื่อว่า กรรมเป็นเรื่องสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเรา ความเจ็บป่วย โชคร้าย อุบัติเหตุ และเรื่องที่ไม่คาดคิด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกรรม เชื่อกันว่าการรักษาโรคใดๆก็ตาม จะชนกับเจ้ากรรมนาย เวรของแต่ละคน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกรรมที่เคย ทำไว้ ต้องทำการแก้ไขอย่างที่เรียกว่า “แก้กรรม” ให้บรรเทา เบาบางลง ซึ่งทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ ใส่บาตร ทำสังฆทาน และปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น แต่วิธีที่เชื่อว่า ดีที่สุด คือการปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน การวิปัสนากรรมฐานช่วยให้จิตใจนิ่งสงบ เมื่อจิตสงบ จะไม่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่หงุดหงิดอารมณ์เสีย น้อยใจ เสียใจ หรือเคร่งเครียดวิตกกังวล จิตที่นิ่งสงบเปิดโอกาสให้เราทำความเข้าใจผู้อื่น และเข้าใจตนเอง เข้าใจสภาวะแวดล้อม มีเมตตา รู้จักให้อภัย และอยู่ได้อย่างมีความสุข

    อีกวิธีหนึ่งคือการฝึกสติ เพื่อเปลี่ยนแปลงตนเอง มี ข้อสังเกตประการหนึ่งในอาการของคนที่ไม่เคยฝึกสติ คือ เดินเร็ว พูดเร็ว โต้ตอบเร็วอย่างขาดความยั้งคิด และมักโต้เถียง ด้วยอารมณ์หรือทะเลาะวิวาท ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ซึ่งมักจะแก้ไม่ได้ หรือไม่ถูกต้อง คนที่ตั้งสติได้ก่อน จะแก้ปัญหาได้ ถือเป็นบุญประการหนึ่ง

    จิตที่ดี สามารถแก้ปัญหาสุขภาพได้ ตรงข้ามกับจิตที่ไม่นิ่ง เกิดความเครียดได้ง่าย และความเครียดส่งผลให้เกิด สารพัดโรค เช่น โรคไมเกรน โรคกระเพาะอาหาร โรคความ ดันโลหิตสูง

    สภาวะจิตที่ไม่นิ่ง ส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย แพทย์ทางเลือกแยกไว้ 5 อย่างดังนี้
    - คนที่ตกใจง่าย ขี้กังวล จะมีผลกระทบต่อไตและกระเพาะปัสสาวะ สังเกตง่ายๆ บางคนกลัวจนปัสสาวะราด
    - คนที่โมโหง่าย โกรธ หงุดหงิด อารมณ์เสีย มีผลต่อ ตับ ถุงน้ำดี เพราะร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีนมากเกินไป
    - คนที่ตื่นเต้นง่าย มีผลต่อหัวใจ แพทย์จึงมักสั่งห้ามมิให้คนที่เป็นโรคหัวใจต้องกระทบกระเทือนด้วยเรื่อง ตื่นเต้นต่างๆ
    - คนช่างวิตกกังวล เครียด มีผลต่อม้ามและกระเพาะ
    อาหาร ทำให้เกิดโรคมะเร็ง
    - คนที่มีอารมณ์อ่อนไหว กระทบกระเทือนใจง่าย เสียใจง่าย ร้องไห้ง่าย จะส่งผลถึงปอดและลำไส้ใหญ่ ดังจะเห็นได้ว่า บางคนเสียใจจนเป็นลม


    มิติสุดท้ายคือ พลัง หรือพลังงาน พลังชีวิต ที่จะช่วยหนุนเสริมมิติทั้ง 3
    ในพระไตรปิฎกเรียกพลังชีวิตว่า “อุตุ” พลังในร่างกายเรียกว่า “อัฌฆัตอุตุ” พลังนอกร่างกายเรียกว่า “พหิทธะอุตุ” การที่เราจะสร้างสุขภาพที่ดี เราต้องดึงพลังนอกร่างกาย เข้ามา เพื่อให้เรามีพลังเพิ่มมากขึ้น

    คนทั่วไปมีระดับพลังในร่างกายไม่แตกต่างกันมากนัก คือประมาณ 0.7 เก๊าส (gauss -หน่วยวัดพลังงานแม่เหล็ก) แต่คนที่เจ็บป่วย ไม่ว่าทางกายหรือจิตใจ พลังจะลดลง หากเรารู้วิธีฝึกพลัง เพื่อเพิ่มปริมาณพลังงานในร่างกายให้สูงขึ้น จะช่วยให้เราสามารถมีสัมผัสที่เร็ว สุขภาพกายและจิตดีขึ้น ถ้าป่วยก็จะฟื้นตัวได้เร็ว เป็นการพึ่งตนเองขั้นพื้นฐานประการหนึ่ง

    วิธีฝึกเพื่อเพิ่มพลังขั้นพื้นฐาน ทำได้โดยการนั่งตัวตรง หลังตรง ขาทั้งสองเหยียดตรงไปข้างหน้า มือทั้งสองวางหงายไว้บนหน้าตัก แล้วเดินลมปราณด้วยการสูดลมหายใจ เข้าช้าๆ จนท้องพอง ใช้ลิ้นแตะเพดานปากบนแล้วขมิบก้น (ทวารหนัก) เพื่อให้พลังงานในร่างกายเชื่อมกันทั้งระบบ ให้นึกว่ามีแสงสีขาวเข้ามาที่กลางศีรษะและกลางฝ่ามือทั้ง สองข้าง จนกระทั่งตัวของเราเป็นสีขาวไปจนถึงเท้า จากนั้น หายใจออกจนหมด

    ฝึกวันละ 20 ครั้งเป็นอย่างน้อย โดยก่อนฝึกทุกครั้ง ให้ตั้งสมาธิด้วยการไหว้ หนึ่งคือพระรัตนตรัย สองคือบิดามารดา สามคือครูบาอาจารย์ สี่คือเทวดาที่รักษาตัวเรา และห้า คือสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั่วทั้งอนันตจักรวาล

    พลังงานเป็นสิ่งที่สูญหายไปได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่ สภาวะแวดล้อมที่มีคนพลังงานต่ำ เช่น คนที่มีความเครียด หรือคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย เราจึงควรฝึกทุกวันเพื่อรักษาและเพิ่มพูนระดับพลังงานในร่างกาย

    นอกจากรักษาพลังงานและเพิ่มพลังงานแล้ว เรายังสามารถใช้พลังงานในการดูแลตัวเอง ด้วยการอธิษฐานจิตแล้วทำสมาธิที่ 2 ตำแหน่งในร่างกาย คือบริเวณกลางหน้าอก (หัวใจ) และกึ่งกลางหน้าผาก ระหว่างคิ้ว
    วิธีการอธิษฐานจิตเพื่อใช้พลังงานดูแลตนเอง ทำได้โดยวิธีต่อไปนี้

    นั่งตัวตรง หลังตรง เหยียดขาตรงไปข้างหน้า หลับตา ตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้ข้าพเจ้ามีร่างกายแข็งแรง สมองสดชื่น แจ่มใส จิตใจเบิกบาน กล่าวในใจซ้ำ 3 ครั้ง แล้วทำสมาธิเพ่งที่กลางหัวใจและกลางหน้าผาก ประมาณ 3 นาที

    นอกจากนี้ เรายังสามารถส่งพลังงานให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย โดยอธิษฐานจิตและเพ่งสมาธิที่ 2 ตำแหน่งของตนเอง จากนั้นให้นึกถึงใบหน้าของผู้ที่เราต้องการเผื่อแผ่พลัง เช่น นึกถึงใบหน้าของลูก ใบหน้าของญาติที่กำลังป่วย หรือใบหน้า บุคคลที่เราปรารถนาดี แล้วส่งพลังไปที่จุดกึ่งกลางหน้าผาก ของบุคคลนั้น

    มีข้อควรจำว่า พลังที่ส่งต่อให้ผู้อื่น ต้องเป็นการอธิษฐานจิตในทางที่ดีเท่านั้น และที่สำคัญ เมื่อเราฝึกเพิ่ม พลังงานให้กับตนเองแล้ว เราต้องแบ่งให้คนอื่นๆ ในภาษา ทางพุทธคือการแผ่เมตตานั่นเอง

    อย่างไรก็ตาม การอธิษฐานเพื่อเพิ่มพลังงานไม่ได้ทำแล้วสำเร็จในทันที การฝึกฝนทุกอย่างต้องได้มาด้วยความเพียร การฝึกเพื่อเพิ่มพลังงานต้องปฏิบัติทุกวัน ควบคู่ไปกับการดูแลร่างกาย จิตใจ และการกระทำที่ดีงาม เพื่อให้สุขภาพดีทั้ง 4 มิติ

    (หมาย เหตุ : เรียบเรียงจากการบรรยายของ อาจารย์ณิชาพัฒน์ ธาดาธนากร ในงานอุทยานอนุรักษ์สุขภาพ ครั้งที่ 23 ณ บ้านเจ้าพระยา จัดโดยโครงการผู้จัดการสุขภาพ)

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 85 ธ.ค. 50 โดยพรนภัส)
     
  4. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้
    ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


     
  5. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    อนุโมทนาด้วยค่ะ...
    เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากค่ะ

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...