หลวงปู่จันทาพบเปรตเลี้ยงควายผู้ที่ไม่สามารถรับการอุทิศบุญกุศลได้

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 25 ตุลาคม 2007.

แท็ก: แก้ไข
  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    [​IMG]
    เปรตเลี้ยงควาย
    พอออกพรรษาแล้วก็ออกเดินทางไป จ.สกลนคร ขึ้นถ้ำขามแล้วก็ไปภูเหล็ก จากนั้นก็ไปหนองคาย ต่างคนต่างไปแล้ว กับพระอาจารย์อ่ำ แยกทางกันแล้ว
    จากนั้น ก็พบกับพระอาจารย์บุญพิน พระจ่อย แล้วก็พากันไปวิเวก ขึ้นถ้ำขามแล้วก็ลง จากนั้นมาวิเวกที่ บ้านดงเชียงเครือ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นบ้านพระอาจารย์บุญพิน
    ไปนั่งภาวนาอยู่ในป่าช้า คืนนั้นราว ๕ ทุ่ม จิตสงบ ฝูงเทพบุตรเทพยดาจำนวนมาก มาจากสถานที่ต่าง ๆ มาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ เสร็จแล้วก็เทศน์อบรมว่า
    “โย จะ ปุคคะโล บุคคลทั้งหลาย เมื่อมาเกิดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ นาค ครุฑ อินทร์ พรหม ก็ดี จงมาชำระตนเอาสิ่งที่มัวหมองออกจากดวงจิต คือ กิเลส โลภ โกรธ หลง นั้นอย่าให้ฉาบทาจิต จะทำให้เป็นทุกข์เร่าร้อนอาทรใจ เป็นที่หลั่งไหลแห่งบาปทั้งหลายทั้งปง เป็นช่องทางให้บาปเกิดขึ้น แล้วฉาบทาจิตใจ ให้ทำความชั่วช้าลามก ด้วยกาย วาจา ใจ นั่นแหละ จงยึดมั่นถือมั่นปราชญ์ทั้ง ๓ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ มาฝังไว้ที่จิต เมื่อจิตอยู่กับปราชญ์ สัมพันธมิตรแนบชิดดีแล้ว ปราชญ์จะบันดาลจิตใจให้มี หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อผลความชั่ว เมตตาธรรม เมตตาตนและบุคคลผู้อื่น กรุณาธรรม สงสารตนและบุคคลอื่น มุทิตาธรรม พลอยยินดีในเมื่อบุคคลผู้อื่นได้ดี อุเบกขาธรรม วางเฉย”
    “สุกกัง ธัมมัง ภาเวนะ ปัณฑิโต บัณฑิตชาตินักปราชญ์ ผู้มีธรรมอันขาวฝังที่ใจแล้ว จะมีแต่ธรรมอันขาวเกิดขึ้น คือ บุญกุศลล้วน ๆ ได้ชื่อว่าเป็นผู้สะสมบุญกุศลใส่ตนไว้ทุกเมื่อ ได้ชื่อว่าเป็นผู้เจริญธรรม ตัดกระแสวัฏฏะทุกข์ให้ออกจากดวงจิตได้ ตัดกระแสทางไปอบาย ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ขอให้ตั้งใจรักษาไว้ให้ดี”
    เสร็จแล้วเขาก็ลากลับไป เมื่อเทพบุตรเทพยดาทั้งหลายกลับไปหมดแล้ว ยังเหลือเปรตตกค้างอยู่ตนหนึ่ง ยืนสะพายถุงย่ามใบหนึ่ง มีผ้าแพรผืนหนึ่งเคียนเอว มีมีดเล่มหนึ่งกับเชือกเก่าคร่ำคร่า ท่าทางเหมือนคนเลี้ยงควาย จึงถามว่า
    “ทำไมไม่กลับบ้านกับเขา ?”
    เขาก็บอกว่า “จะไปเลี้ยงควาย”
    ไม่นาน เปรตตนนั้น ก็ล้วงมือลงไปในย่าม เอาห่อข้าวขึ้นมา พอเปิดออก เห็นมีราขึ้นเต็มห่อข้าวนั้น ถามว่า
    “ทำไมข้าวถึงขึ้นรา ?”
    เขาก็ตอบว่า “ของตัวมีอย่างไรก็กินอย่างนั้น”
    เห็นเช่นนั้นแล้วก็สลดใจ นั่นแหละ ไม่ทำสิ่งใดไว้ ก็ไม่มีอย่างนั้น พอรุ่งเช้า ไปบิณฑบาต จึงได้ถามโยมว่า
    “โยม...เมื่อคืนนี้ อาตมานั่งภาวนาอยู่มีฝูงเทวดาทั้งหลายมาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ และฟังธรรมะ เสร็จแล้วก็กลับไป แต่มีเปรตตนหนึ่ง เป็นคนเลี้ยงควาย รูปร่างไม่สูงไม่ต่ำ พอดี ๆ ถือมีดเล่มหนึ่ง ถุงย่ามใบหนึ่ง เสื้อฟ้าเก่า ๆ ขาด ๆ โยมเคยรู้จักไหม ?”
    “อ๋อ...เขาคือนายหล้า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์นั้น วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา ไม่มี นักปราชญ์ป่าวร้องเชิญชวนว่า ท่านเอ๊ย...เราจะได้ประสบพบปะเนื้อนาบุญของโลก คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ละกัป แต่ละกัลป์นั้นก็เป็นของยาก เมื่อเราได้มาประสบพบปะแล้ว ก็เป็นลาภอย่างยิ่ง อย่าเพิ่งติดกิจธุรการงานใดเลย เพราะติดแล้ว ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรหรอก มาบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา ตามพระสงฆ์องค์เจ้ากันเถิด นั่นแหละ เขาก็ไม่ยินดี อยู่กันสองคนกับน้องสาว เลี้ยงวัวเลี้ยงควายไปตามประสา พอตายแล้ววัวควายก็ตกเป็นของคนอื่นไปหมดเสียสิ้น”
    “นั่นแหละ โยม...เดี๋ยวนี้เขาเป็นเปรตแล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาเสีย”
    ทำบุญอุทิศให้เขาอยู่อย่างนั้น ๒๘ วัน พอถึงวันที่ ๒๘ นั่งภาวนาจิตสงบ แล้วก็พูดกับเทวดาว่า “มาเด๊อ...วันนี้ เพราะพรุ่งนี้จะไปภูเหล็กแล้ว” นั่นแหละ เขาก็มารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ จากนั้น ก็เทศน์ให้ฟัง เสร็จแล้วก็กำหนดถามว่า
    “โยม...นายหล้า เขาพ้นจากกำเนิดเป็นเปรตหรือยัง และเขาได้รับส่วนบุญบ้างไหม ?”
    “ไม่ได้รับหรอกท่าน”
    “เพราะเหตุใดจึงได้รับ ?”
    “เพราะใจของเขานั้นปิดหมด”
    “อะไรปิด?”
    “กิเลสวัฏฏ์ - กรรมวัฏฏ์ - วิปากวัฏฏ์ นั่นแหละคือกระแสของวัฏฏสงสาร ปิดบังดวงจิตไว้ ดวงจิตนั้นมืดมิด ไม่มีสติปัญญา นั่นแหละ เพราะไม่ได้สะสมไว้ซึ่ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทาน ศีล ภาวนา ตั้งแต่ชาติที่เป็นมนุษย์ ฉะนั้น ถึงจะอุทิศส่วนบุญให้ก็ไม่เข้า เปรียบเหมือนกับหม้อที่คว่ำอยู่ เราเทน้ำลงไป มันก็ไม่เข้า น้ำมันก็ไหลผ่านไป อันนี้ฉันใด ใจที่ไม่มีแร่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ฝังที่ใจ และศีลธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีในหัวใจ มีแต่ความโลภ โกรธ หลง และความชั่วช้าครอบงำจิตใจ มีกระแสของอบายอยู่เต็มหัวใจ ฉะนั้น อุทิศให้เท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมรับ เปรียบเสมือนกับวิทยุที่เครื่องมันเสียแล้ว ถึงเขาจะปล่อยคลื่นเสียงมาจากอุดรธานี ขอนแก่น หรือ กรุงเทพฯ มันก็ไม่เข้า เพราะเครื่องมันเสียแล้ว อันนี้ฉันใด ใจของบุคคลและสัตว์ เมื่อเสียแล้วก็เป็นอย่างนั้น”
    นั่นแหละ วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่มี ได้ชื่อว่า ทำตนเป็นเปรตแน่นอน ไม่ต้องสงสัยหรอก อย่าถือว่ามีลาภยศสรรเสริญสุขน้อยใหญ่ ถึงจะเป็นผู้นำของชาติก็ตาม ประมุขของชาติก็ตามที ทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อไม่มีพระไตรสรณคมน์ ศีล ๕ ศีล ๘ และศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วละก็ ผิดหวังทั้งนั้นแหละ ท่านเอ๊ย... เมื่อตายลงไปเป็นเปรตในวัฏฏสงสาร แสนทุกข์ยากลำบาก ไม่มีวันที่จะพ้นทุกข์ไปได้แน่นอน นั่นแหละ อย่าเพิ่งสงสัยเสียเลย เห็นอย่างนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย
    ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเปรตอยู่นะ ถามพระอาจารย์บุญพินแล้ว ท่านก็ว่ายังเป็นเปรตอยู่ ห่วงหน้าพะวงหลัง ได้ยินเสียงนกร้อง ก็วิ่งหน้าวิ่งหลัง เป็นบ้าอย่างนั้น นั่นแหละ นิสัยเคยเป็นมาอย่างไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้น
    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-hist-index-page.htm
     
  2. ว.อริยะ

    ว.อริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +346
    อนุโมทนาสาธุครับ..กรรมอันเป็นบาปปิดบังดวงตาสัตว์ผู้อาภัพในภพชาติที่กำเนิด..ทำให้ไม่สามารถมองเห็นกรรมอันดีชึ่งเป็นบุญเป็นกุศล...จำต้องรับบาปรับกรรมที่ตนได้กระทำมาจนกว่าจะหมดสิ้น..จากนั้นพึ่งได้มีโอกาศเห็นความสว่างคือกุศลกรรมอ้นดีที่ได้กระทำไว้..
     

แชร์หน้านี้

Loading...