หลวงปู่เทียน จิตฺตสุโก วัดศรีคุณเมือง

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 16 มกราคม 2009.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    [​IMG]


    หลวงปู่เทียน จิตฺตสุโก วัดศรีคุณเมือง จังหวัดเลย

    ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

    หลวงพ่อเกิดที่บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2454 ตรงกับวันอังคารเดือนสิบ ปีกุน ขึ้น 13 ค่ำ บิดาของท่านชื่อจีน มารดาชื่อโสม นามสกุลอินทผิว

    หลวงพ่อมีนามจริงว่าพันธ์ อินทผิว เหตุที่ท่านเป็นที่รู้จักในนามหลวงพ่อเทียน ก็เนื่องจากท้องถิ่นของท่านนิยมเรียกชื่อกันตามชื่อของลูกคนหัวปี บุตรชายคนแรกของหลวงพ่อชื่อเทียน ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านจึงเรียกท่านว่าพ่อเทียน ภรรยาของท่านชื่อหอม ก็ได้รับการเรียกขานว่าแม่เทียนหอมเช่นเดียวกัน

    ปฐมวัย หลวงพ่อมีชีวิตในวันเด็กเช่นเดียวกับเด็กชาวบ้านในท้องถิ่นชนบทห่างไกลความเจริญทั่วไป ตื่นเช้าท่านก็ออกไปช่วยพ่อแม่ทำนา เลี้ยวัว เลี้ยงควาย ตกเย็นก็ไล่ต้อนควายกลับบ้าน ท่านเล่าท่านไม่เคยได้มีโอกเาสเรียนหนังสือในโรงเรียน เนื่องจากในท้องถิ่นของท่านยังไม่มีโรงเรียน ถัาจะเรียนก็ต้องเดินทางไปเรียนในท้องถิ่นที่เจริญกว่า ในสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวก และโรงเรียนอยู่ห่างไกลจากบ้านท่านมาก

    บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อหลวงพ่ออายุได้ราว 10 ขวบ หลวงน้าของท่านซึ่งไปเรียนหนังสือมาจากจังหวัดอุบลราชธานี ได้มาขอกับบิดามารดาของท่านให้ท่านบวชเป็นเณรคอยรับใช้หลวงน้าก่อนที่หลวงพ่อจะบรรพชาเป็นสามเณร หลวงพ่อไปวัดที่หลวงน้าอยู่เป็นประจำทุกเช้าเย็น วัดที่หลวงน้าจำพรรษาอยู่นั้นชื่อว่าวัดภูหรือวัดบรรพตคีรีอยู่ไม่ห่างจากบ้านหลวงพ่อ ตอนเช้าหลวงพ่อต้องนำอาหารและดอกไม้ไปกราบหลวงน้าแล้วจึงไปนา ตอนเย็นหลังจากตักน้ำที่คลองน้ำแล้วท่านก็จะไปวัด

    ขณะที่บวชเป็นเณรอยู่กับหลวงน้า หลวงน้าสอนหลวงพ่อให้ท่องนะโม ตัสสะ ทำวัตรเช้า วัตรเย็น อาราธนาศีล อาราธนาธรรม ดูฤกษ์ยามทำกรรมฐาน เดินจงกรม หลวงพ่อได้เรียนอักษรลาวหรือไทยน้อย และอักษรธรรม ซึ่งเขียนบนใบลานกับหลวงน้า สำหรับการเรียนการสอนเป็นแบบปากเปล่า ไม่มีการเขียน ใช้วิธีจดจำ เวลากลางคืนหลังจากเลิกเรียนหนังสือแล้ว หลวงน้าจะพาหลวงพ่อเดินจงกรม หลวงน้าเป็นพระที่ขยันปฏิบัติ บางครั้งท่านก็ลุกขึ้นเดินจงกรมในเวลาดึกส่วนหลวงพ่อเดินจงกรมห่างจากหลวงน้า 4-5 วา สำหรับการฝึกกรรมฐาน หลวงน้าให้หลวงพ่อนั่งขัดสมาธิเพชรหลับตาแล้วภาวนา หายใจเข้าให้ว่า "พุท" หายใจออกให้ว่า "โธ"
    หลวงพ่อเป็นสามเณรอยู่กับหลวงน้าเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ได้เรียนมนต์คาถาจากหลวงน้าพอสมควร เนื่องจากขณะที่หลวงน้าไปเรียนมูลกัจจายน์ที่จังหวัดอุบลราชธานี ท่านได้เรียนเวทมนต์คาถาอาคมของเขมรด้วย เช่น คาถาใส่หนังบังควัน วัวธนูดูหน้าน้อย ซึ่งเป็นอาคมไล่ผี เมื่อหลวงพ่อลาสิกขาบทแล้วท่านยังรู้สึกเสียดายช่วงเวลาที่บวชอยู่กับหลวงน้าด้วยในขณะนั้นท่านอยากมีความรู้ทางไสยศาสตร์อยากมีหูทิพย์ ตาทิพย์ เหาะได้ หายตัวได้ ย่อแผ่นดินได้ มีคาถาอาคม ฟันไม่เข้ายิงไม่ออกเหมือนกับหลวงน้า ในสมัยนั้นท้องถิ่นที่หลวงพ่ออาศัยยังมความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจกันอยู่มาก ลูกผู้ชายต้องมีเวทมนต์ ไว้รักษาตัวเองและคุ้มครองรักษาคนในครอบครัวรวมทั้งญาติพี่น้อง หลวงน้าจึงได้เมตตาอบรมสั่งสอนหลวงพ่ออย่างเข้มงวดกวดขัน เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์เมื่อสึกออกมาแล้วเป็นผู้ครองเรือน

    อุปสมบทครั้งแรก เมื่ออายุครบบวช หลวงพ่อได้มาบวชอยู่กับหลวงน้าอีกครั้งโดยมีพระครูวิชิตธรรมาจารย์ เจ้าคณะอำเภอเชียงคาน เป็นอุปัชฌาย์ ท่านได้ฝึกวิชาต่างๆ กับหลวงน้าเช่นเดิม คือฝึกกรรมฐานและเรียนเวทมนต์ถาคาต่างๆ ท่านเล่าว่าไม่มีวิชาอะไรเพิ่มขึ้น แต่ทำตามที่สอนไว้ให้เจริญขึ้น นอกจากนั้นเดินธุดงค์ ซึ่งเป็นการทำตามประเพณียังไม่เข้าใจว่าธุดงค์หมายถึงอะไรการธุดงค์ที่หลวงพ่อทำในขณะนั้นคือไปอยู่ตามป่าช้า ตามสวนใกล้ๆ บ้านคน หรือตามกระต๊อบปลายนาไม่ห่างจากบ้านคนมากนักเพื่อให้ออกบิณฑบาตได้โดยไม่ลำบากจนเกินไป

    การครองเรือน
    หลวงพ่อบวชเป็นพระอยู่ได้ 6 เดือน จึงลาสิกขาบท มารดาของท่านได้จัดการให้ท่านมีครอบครัวเมื่ออายุราว 22 ปี ภรรยาของท่านชื่อหอม เป็นญาติกับท่าน มารดาของภรรยาท่านเป็นน้องของบิดาของท่าน ซึ่งท่านเรียกว่าแม่อา ทั้งท่านและภรรยาต่างก็กำพร้าบิดามาตั้งแต่เด็ก ท่านอยู่กับภรรยามานานยังไม่มีบุตร จึงได้นำบุตรของพี่สายภรรยาท่าน ซึ่งแยกทางกับพี่เขยมาเลี้ยง ต่อมาท่านจึงมีบุตรชาย 3 คน ชื่อเนียม เทียน และเตรียม เมื่อมีบุตรคนแรกชื่อเนียมใครๆ จึงเรียกท่านว่าพ่อเนียม ตามประเพณีนิยมของคนในท้องถิ่นที่เรียกชื่อกันตามชื่อลูกคนหัวปี ต่อมาบุตรคนแรกของหลวงพ่อที่ชื่อเนียม ถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้เพียง 5 ปี ท่านจึงได้รับการเรียกขานตามชื่อลูกค้นที่สองตราบเท่าทุกวันนี้ บุตรคนที่สองของท่านถึงแก่กรรมก่อนที่ท่านจะมรณภาพราว 2 ปีเศษ

    เวทย์มนต์คาถา หลวงพ่อเล่าว่าช่วงระยะที่หลวงพ่อครองเพศฆราวาสอยู่นั้น ท่านได้ใช้เวทย์มนต์คาถาที่ร่ำเรียนมาจากหลวงน้าอยู่เนืองๆ สมัยนั้นยังเชื่อเรื่องผีสางกันอยู่มาก บางครั้งเพื่อนบ้านก็มาขอให้ท่านไปเป็นหมอมนต์ ไล่ผีให้คนเจ็บไข้ได้ป่วย สำหรับในครอบครัวท่านก็เป็นผู้คุ้มครองคนในบ้านและญาติพี่น้องที่เข้ามาให้คุ้มครอง ซึ่งเรียกว่ามาเข้าของรักษา

    หลวงพ่อเล่าว่าในขณะนั้นท่านยังพอใจคาถาอาคม เวทย์มนต์ต่างๆ อยู่ อยากมีฤทธิ์เดชอิทธิปาฏิหาริย์ หายตัว ดำดิน มุดน้ำ เหาะได้เหมือนนก ทั้งนี้เนื่องจากท่านได้รับอิทธิพลจากนิทานใบลานหลายเรื่อง อาทิ การะเกด สินชัย สุริวงศ์ แตงอ่อน ลิ้นทอง เป็นต้น

    ท่านได้พยายามแสวงหาวิชาอาคมเรื่อยมา เมื่อเรียนกับหลวงน้าจนหมดสิ้นแล้วท่านก็แสวงหาครูบาอาจารย์อื่นๆ ต่อไป หลังจากหลวงน้ามรณภาพแล้ว ท่านได้ข่าวว่ามีอาจารย์ที่เก่งกว่าหลวงน้าอยู่ที่เมืองลาวชื่อยาคูบุญมาดอนพุง ยาคูท่านนี้เลี้ยงนกยูงไว้ ท่านทำปลอกใส่ขานกยูงแล้วปล่อยไป ฝรั่งเอาปืนมายิงก็ยิ่งไม่ออก หลวงพ่อจึงไปอยู่กับยาคูบุญมาพรรษาหนึ่ง หลวงพ่อเล่าว่าท่านได้ความรู้หรือจะเรียกว่าความโง่จากยาคูบุญมาหลายเรื่องอันได้แก่ เวทย์มนต์คาถาอยู่ยงคงกระพันต่างๆ ที่หลวงพ่อจำได้คือ "โอม ธุลีๆ คอกูมีแผ่นทองกั้นพร้า หน้าผากกูแกร่งปานหิน ตีนกูแกร่งปานเหล็ก ขนแข้งกูเท่าหนามคา ขนขากูเท่าขนเม่น กูจัดเต้นไปร้อยโยชน์พันวา พญามนต์ทั้งหลายจงมาบังกั้นตนกู" เมื่อหลวงพ่อไปปฏิบัติธรรมะ จนรู้ธรรมะแล้ว หลวงพ่อจึงเข้าใจว่าคอหลวงพ่อไม่มีแผ่นเหล็กแผ่นทอง หน้าผากหลวงพ่อชนโน่นชนนี่ก็ต้องแตก เท้าหลวงพ่อก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเหล็ก ถ้าเดินไปตามถนนหนทางเหยียบขวดเหยียบแก้วก็ต้องบาด เหยียบหนามก็ต้องตำ ท่านว่าคนโง่สอนคนฉลาดไม่ได้ คนฉลาดสอนคนฉลาดหรือสอนคนโง่ให้ฉลาดได้

    อุปนิสัยในเรื่องการทำบุญ หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อเป็นนักแสวงหาบุญตั้งแต่อายุยังน้อย และได้เป็นผู้นำชาวบ้านทำบุญเสมอมา ในขณะนั้นท่านเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีคนเคารพนับถืออยู่มาก ท่านเองอายุอยู่ในราว 27-28 ปี ท่านได้ชักชวนญาติพี่น้องเพื่อนบ้านในการทำบุญ แม้แต่ผู้ที่ได้ทำกรรมหนักถึงขั้นอนันตริยกรรม ท่านก็ได้หาโอกาสให้ได้ร่วมทำบุญด้วย

    อาชีพ หลังจากสิกขาบทแล้วหลวงพ่อได้ยึดอาชีพทำนา ทำสวนและค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ซึ่วหลวงพ่อได้เริ่มทำมาตั้งแต่สึกจากสามเณรแล้ว ต่อมาจึงมีเรือกระแซง 7 ลำ ค้าขายขึ้นล่องระหว่างหนองคายและเชียงคาน การค้าขายได้ผลดีขึ้นเรื่อยๆ หลวงพ่อเล่าว่าบิดาของท่านชำนาญในการเดินเรือค้าขายแต่ก็ได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ท่านยังเป็นเด็ก ภายหลังมีการตั้งกรมเกษตรขึ้น และมีการสั่งห้ามขนย้ายสินค้าเกษตรกรรมบางชนิด หลวงพ่อจึงได้ไปค้าขายอยู่ที่เมืองลาว แต่ครอบครัวของท่านยังอยู่เมืองไทย ท่านได้ทำการค้าฝ้ายมีกำไรงดงาม ได้ขายเรือกระแซงและซื้อเรือกลไฟทำการค้าขึ้นาล่องตามลำแม่น้ำโขง หลวงพ่อเล่าว่าแม้ท่านจะประสบผลสำเร็จในการค้าขายเป็นอย่างดี แต่ท่านก็ไม่มีความสุข แม้เวลาจะนอนก็มีแต่ทุกข์คิดถึงเรื่องเงินทองและสินค้าที่จะซื้อจะขาย

    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

    หลวงพ่อเล่าว่าก่อนที่ท่านจะออกมาปฏิบัติธรรมจนได้รู้ธรรมะตามวิธีของท่าน ท่านได้ทำกรรมฐานมาพอสมควร แต่กรรมฐานก็ไม่ช่วยให้หลวงพ่อหมดทุกข์ได้ มีผู้กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ก่อนที่หลวงพ่อจะออกมาปฏิบัติธรรมนั้นท่านมีความทุกข์อย่างไร หลวงพ่อเล่าว่าครั้งหนึ่งคนที่เมืองลาวมาขอให้นำกฐินไปทองที่เมืองลาว ในครั้งนั้นมีการทำกฐินถึง 5 กอง เนื่องจากมีหลายบ้านขอร่วมทอดกฐินด้วย และในการนำกองกฐินจะต้องมีมหรสพ เช่น หมอลำ ภาพยนต์ให้คนชม หลวงพ่อได้ตกลงกับภรรยาไว้ว่า การใช้จ่ายต่างๆ และการจัดหาอาหารให้แขกยกให้เป็นหน้าที่ของภรรยาท่าน ส่วนท่านจะรับอุโบสถศีลและรับแขกทางไกล ครั้นเวลาเช้าภรรยาของท่านถามท่านว่าจะต้องจ่ายเงินค่าหมอลำเท่าไร ท่านรู้สึกโกรธมาก ท่านเล่าว่า "มันหนักจนลุกแทบไม่ได้ มันตำเข้าในใจ" แต่ท่านข่มอารมณ์ไว้ มิได้แสดงให้ภรรยาของท่านทราบ กลับตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่าเป็นหน้าที่ของภรรยาท่าน แต่ความโกรธนั้นยังอยู่ในใจของท่านหลังจากนำกฐินไปถวายที่ฝั่งลาว และกลับมารับประทานข้าวมื้อเย็นพร้อมกับภรรยาและบุตรทั้งสอง ท่านได้กล่าวเปรยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้าว่า "คนไม่รู้จักเคารพนับถือก็อย่างนี้แหละ" ท่านกล่าวซ้ำหลายครั้งจนภรรยาของท่านรู้สึกสะดุดใจ เมื่อภรรยาของท่านพาบุตรทั้งสองไปนอนแล้วจึงถามว่าท่านโกรธที่ถามเรื่องค่าหมอลำใช่หรือไม่ เมื่อท่านตอบว่าใช่ ภรรยาของท่านจึงพูดว่าสามีภรรยาถามกันเรื่องการจับจ่ายใช้สอยถือว่าผิดด้วยหรือ หลวงพ่อเล่าว่าท่านเห็นด้วยกับคำพูดของภรรยา ท่านรู้ว่าท่านผิดมีมานะทิฐิอยากจะเอาชนะ ภรรยาของท่านพูดว่า "เจ้าไม่พอใจ ละสิ โอ ! ข้อยบ่รู้จักเจ้าไม่พอใจก็นั่งหน้าตาดีอยู่นี่นะ โอ ! เจ้าตกนรกแล้ว"

    หลวงพ่อเห็นจริงตามคำพูดของภรรยาท่าน คำพูดนี้กระทบใจท่านมากจนท่านถือว่าภรรยาของท่านเป็นครูท่าน มีบุญคุณต่อท่านที่สุด แต่ก่อนท่านไม่เข้าใจว่าความโกรธนี้เป็นความทุกข์หนักเหมือนตกนรก ภรรยาของท่านเองก็ไม่เข้าใจ แต่พูดไปตามอารมณ์ "เจ้าตกนรกแล้วแม้ทำกฐิน ก็บ่ได้บุญดอกเจ้า"

    หลวงพ่อท่านเล่าว่าท่านเองก็เข้าใจว่าท่านคงจะไม่ได้บุญเพราะท่านหนักใจอยู่ทั้งวันเมื่อภรรยาท่านพูดว่าท่านเช่นนี้ทำให้ท่านสบายใจขึ้น ออกจากความคิดแบบนั้นได้ แต่ยังไม่รู้จักวิธีที่จะออกจากความคิด ท่านคิดในใจว่าหากท่านยังเอาชนะความทุกข์แบบนี้ไม่ได้ ก็จะไม่เลิกละในการปฏิบัติธรรม

    หลวงพ่อคิดถึงเรื่องนี้อยู่เป็นเวลาปลายปี ท่านพยายามทำการซื้อขายให้น้อยลง ในที่สุดท่านตัดสินใจว่าจะไม่ทำมาหากินอีกต่อไป ท่านจึงได้สะสางบัญชีและเงินที่ตกค้างอยู่กับผู้ที่ค้าขายอยู่กับท่านให้เป็นที่เรียบร้อย หลวงพ่อเล่าว่าเมื่อท่านจะทำอะไรท่านต้องคิดเตรียมไว้นานๆ ไม่ใช่ปุบปับทำ กว่าท่านจะจัดการเรื่องเงินทองต่างๆ เรียบร้อยก็เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี

    ในคราวที่หลวงพ่อกลับจากปากลายหรือล้านช้าง ซึ่งเป็นระยะที่หลวงพ่อจะเลิกทำการค้าขายแล้วนั้น หลวงพ่อได้มาพบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งบวชเป็นพระอยู่ชื่อพระมหาศรีจันทร์ ได้เปรียญ 5 ประโยค อายุอ่อนกว่าหลวงพ่อราว 2-3 ปี พระมหาศรีจันทร์ได้เคยเดินทางขึ้นล่องระหว่างเชียงคานและหนองคายกับเรือกลไฟของหลวงพ่อ และได้ธุดงค์ไปตามถ้ำ ตามป่าช้า ท่านอยู่ที่ตำบลพันพร้าว ซึ่งเป็นอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดนองคายในปัจจุบันหลวงพ่อได้เคยอุปัฏฐานถวายจังหัน ถวายเพลแก่ท่าน เมื่อท่านเดินทางขึ้นล่องไปกับเรือกลไฟของหลวงพ่อ

    เมื่อได้พบกันที่หนองคายครั้งหลังนี้ หลวงพ่อได้คุยกับพระมหาศรีจันทร์ เรื่องการทำกรรมฐานตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้า หลวงพ่อได้ถามปัญหาพระมหาศรีจันทร์หลายเรื่องในที่สุดพระมหาศรีจันทร์ท่านก็บอกหลวงพ่อว่าเรื่องวิปัสสนากรรมฐานนั้น หากจะถามเท่าไรก็ไม่มีวันจบสิ้น ผู้ใดอยากรู้ต้องลงมือปฏิบัติเอง

    หลวงพ่อท่านได้ครุ่นคิดเรื่องการปฏิบัติที่พระมหาศรีจันทร์กล่าวกับท่านอยู่เป็นเวลากว่า 3 ปี เวลานั้นท่านยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ยังคงแสวงหาอาจารย์ต่อไป

    การตัดสินใจออกไปปฏิบัติธรรม หลวงพ่อเล่าว่าเมื่อหลวงพ่ออายุได้ 40 กว่าปี ท่านเลิกทำการค้าขายโดยเด็ดขาด ไม่มีงานการอะไรต้องทำ ท่านจึงเฝ้าแต่ครุ่นคิดไม่หยุดหย่อนว่าคนเราเกิดมาแล้วก็ตาย ไม่เห็นมีอะไรไปด้วย คนรวยก็ตาย คนจนก็ตายไม่เห็นมีอะไร มีแต่บาปกับบุญ ในที่สุดท่านจึงตัดสินใจออกปฏิบัติธรรม เพื่อหาทางพ้นทุกข์ให้ได้

    ท่านได้บอกความตั้งใจของท่านกับภรรยา ภรรยาของท่านจึงได้จัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้ท่านไม่ได้บอกภรรยาของท่านว่าจะไปอยู่ที่ใดและจะไปนานเท่าไรเพียงแต่บอกว่า หากท่านไม่ตายเสียท่านก็จะกลับมาอีก

    การปฏิบัติธรรมและการรู้ธรรม หลวงพ่อปฏิบัติธรรมด้วยความตั้งใจและทำจริงๆ ปฏิบัติลงไปที่ใจ เนื่องจากหลวงพ่อเป็นผู้แสวงหาและปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง และเป็นระยะเวลานานพอสมควร การเจริญสติและการศึกษาธรรมะของหลวงพ่อเป็นการศึกษาจากการปฏิบัติและประสบการณ์ของหลวงพ่อเองเป็นส่วนใหญ่ เวลาที่หลวงพ่อรู้จักธรรมะให้ว่าพริบตาเดียวก็ได้ หรือว่าจะอึดใจเดียวก็ได้ ในขณะนั้นหลวงพ่อรู้เรื่องรูปเรื่องนาม รู้รูปธรรม นามธรรม รู้รูปโรค นามโรค รูปโรค นามโรค มี 2 อย่าง หลวงพ่อสะดุดใจ เมื่อหลวงพ่อรู้จักรูปโรค นามโรค โรคทางจิตใจดีแล้ว หลวงพ่อก็รู้จักทุกขัง อนิจจัง อนัตตา รู้จริงๆ ไม่ใช่รู้กับตำรา รู้โดยญาณความรู้หรือว่าสัญญาความหมายรู้จำได้

    หลวงพ่อรู้จักสมมติ เมื่อรู้สมมติ หลวงพ่อก็เลยรู้จักศาสนาไม่ใช่ศาสนาอย่างที่เราเคยถือมา รู้จักศาสนาเข้ามา ศาสนาแปลว่า คำสั่งสอนของท่านผู้รู้ ใครมีความรู้เรื่องอะไรต้องสอน สอนให้เราไหว้ผี สอนเรื่องฤกษ์งามยามดี สอนอะไร คำสอนของผู้รู้ทั้งนั้น สอนให้ตาเรานี้ให้ดู สอนให้หูเรานี่ให้ฟัง สอนตัวเรานี้แหละ เรียกว่าตัวคนเป็นศาสนา หลวงพ่อเข้าใจตัวทุกคนนั้นแหละเป็นตัวศาสนา ดังนั้นไปฆ่าคน ไปตีคนไปหลอกลวงคนนั้น แปลว่าไปหลอกลวงสาสนา เป็นบาป หลวงพ่อเข้าใจอย่างนั้น พุทธศาสนาคือตัวรู้นี่แหละ ตัวสติ ตัวปัญญา ตัวสมาธิ จะว่าตัวอะไรก็รู้แหละ พลิกมือขึ้นกู้รู้ความรู้สึกนั้นแหละเป็นตัวพุทธศาสนา พุทธะจึงแปลว่าผู้รู้ แต่มันไม่ใช่รู้เฉพาะเท่านี้ มันรู้ให้แตกฉานจริงๆ ไม่ใช่แตกฉานนับเม็ดหิน เม็ดทราย ไม่ใช่อย่างนั้น คือแตกฉานใจตัวเอง รู้ทุกข์ รู้สุข รู้วิธีทำให้ทุกข์เกิด รู้วิธีทำให้ทุกข์หมด หลวงพ่อจึงว่าพุทธศาสนาแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม

    หลวงพ่ออุปสมบทครั้งที่สอง หลวงพ่อปฏิบัติและรู้ธรรมตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส หลวงพ่อบวชเป็นพระครั้งที่สองเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 ที่วัดศรีคุณเมือง ตำบลชุมฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีพระครูวิชิตธรรมาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการชุนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสุบรรณ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ขณะนั้นหลวงพ่อมีอายุได้ 48 ปี

    เมื่อบวชเป็นพระแล้ว หลวงพ่อได้ทำหน้าที่ของท่านคือสอนธรรมะให้ทั้งพระสงฆ์และญาติโยมท่านเล่าว่าท่านสอนไปทุกที่ไม่จำกัดว่าอยู่ในวัดหรือกุฏิ แม้แต่คนเดินอยู่บนถนนถ้าถามท่านๆ ก็แนะนำให้หรือบางครั้งหรือบางครั้งท่านก็ยังเคยเป็นผู้ถามนำขึ้นก่อนก็มี ท่านมักจะถามผู้ที่ได้พบปะสนทนากับท่านว่าเขาผู้นั้นมีความทุกข์เดือดร้อนอะไรบ้าง ถือศาสนาพุทธมากี่ปีแล้ว และความทุกข์ลดน้อยลงไปบ้างหรือไม่ หรือยังคงมีความทุกข์อยู่ตามเดิม เพราะหากยังมีความทุกข์อยู่ตามเดิม แสดงว่ายังไม่เข้าใจหลักพุทธศาสนาเพียงเข้าใจหลักศีลธรรม ศาสนาศีลธรรม ไม่ใช่เป็นพุทธศาสนา เพราะศาสนาพุทธสอนให้คนมีปัญญา กำจัดเหตุแห่งทุกข์ลงได้

    ครั้งหนึ่งที่ศูนย์เซนในประเทศสิงคโปร์ มีผู้เรียนถามหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ในที่ประชุมว่าท่านรู้ธรรมะถึงที่สุดหรือไม่ หรือยังมีธรรมที่จะต้องปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุถึงอีกหลวงพ่อได้ตอบว่า

    "สิ่งที่สูงที่สุดนั้น ย่อมไม่มีอะไรที่จะสูงยิ่งไปกว่าอีก สีที่ดำที่สุดนั้นไม่มีอะไรที่ดำไปกว่าอีก สีที่แดงที่สุดนั้นย่อมไม่มีอะไรที่จะแดงยิ่งไปกว่าอีก" คำตอบของท่านทำให้ที่ประชุมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ทุดคนต่างก็รูสึกพอใจในคำตอบนั้น

    นับเป็นเวลากว่า 30 ปีที่หลวงพ่อได้มานะบากบั่นอบรมสั่งสอนธรรมะแก่เพื่อมนุษย์โดยมิได้เห็นแก่ความเหนื่อยยากและอุปสรรคใดๆ ปฏิปทาข้อนี้ของท่านย่อมเป็นที่ซาบซึ้งใจแก่บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นอย่างดี

    หลวงพ่อเริ่มมีอาการอาพาธด้วยโรคมะเร็งมาตั้งแต่ต้นปี 2525 โดยท่านมีอาการอาพาธปวดท้องอยู่เนืองๆ ในระหว่างที่ท่านโปรดลูกศิษย์ที่ประเทศสิงคโปร์ครั้งแรก เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525 นั้น ท่านมีอาการอาพาธปวดท้องอย่างรุนแรง จนถึงกับต้องลงนอนเหยียดยาวกับพื้นทันทีที่ท่านกลับเข้ามาในที่พัก หลังจากที่ท่านเดินจงกรมบนถนนหน้าบ้านพักท่านจำเป็นต้องเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลที่สิงคโปร์ ถึงกระนั้นท่านก็ยังคงเมตตาสั่งสอนชาวสิงคโปร์ผู้สนใจในการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด และในคราวที่ท่านรับนิมนต์ไปโปรดลูกศิษย์ชาวสิงคโปร์ครั้งที่สองเมื่อเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น อาการของโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ปรากฏขึ้นอย่างเฉียบพลัน ท่านจำเป็นต้องเดินทางกลับเพื่อเข้ารับการผ่าตัดโดยทันทีตามคำแนะนำของคณะแพทย์ชาวสิงคโปร์

    หลวงพ่อได้รับการผ่าตัดครั้งแรกที่โรงพยาบาลศิริราช หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีท่านจึงได้รับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลสมิติเวช จากการผ่าตัดครั้งที่สองนี้แพทย์พบว่า โรคมะเร็งได้ลุกลามไปมากแล้ว แม้กระนั้นหลวงพ่อท่านก็มิได้เคยแสดงให้เห็นถึงทุกขเวทนาแต่อย่างใด

    เมื่อต้นปี 2529 ท่านจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดอีกครั้ง เนื่องจากแพทย์ตรวจพบว่ามีโรคมะเร็งเกิดขึ้นอีกที่ลำไส้ หลังจากนั้นท่านก็ยังคงได้รับการตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอจากคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลสมิติเวช

    แม้ว่าท่านจะอาพาธด้วยโรคที่มีความรุนแรงถึงชีวิต และก่อให้เกิดวิบากของสังขารซึ่งดูเหมือนว่าจะหนักหนาเกิกว่าจะกล่าวสำหรับคนทั่วไป แต่หลวงพ่อยังคงดำเนินชีวิตของท่านด้วยความปกติ ปกติทั้งกายและใจ ท่านยังคงทำหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้ได้รู้ธรรมมากที่สุดเท่าที่ท่านสมารถจะทำได้ การเผยแพร่ธรรมในระยะหลังนี้จึงเป็นไปอย่างกว้างขวาง

    แม้ว่าในช่วงปีสุดท้ายนี้สุขภาพของหลวงพ่อจะทรุดโทรมลงอย่างน่าเป็นห่วง แต่ท่านก็ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจของท่านในการปรับปรุงเกาะพุทธธรรม ทับมิ่งขวัญให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่จะก่อประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ปฏิบัติ พรรษาสุดท้ายท่านจึงได้ไปจำพรรษาอยู่ที่นับมิ่งขวัญ จังหวัดเลย แม้ว่าท่านจำเป็นต้องเดินทางมากรุงเทพฯ ถึงเดือนละ 2-3 ครั้ง เพื่อรับการตรวจรักษาตามที่แพทย์แนะนำ ท่านสู้ทนตรากตรำด้วยเมตตาธรรมหวังจะสร้างเกาะพุทธธรรมให้เป็นที่ผลิตผู้รู้ธรรมะออกไปอบรมสั่งสอนเพื่อนมนุษย์ ท่านเคยพูดว่าต่อไปภายหน้าเกาะพุทธธรรมนี้จะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ไม่แพ้ที่ใด

    ปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2531 หลวงพ่ออาพาธด้วยโรคนิวมอเนียต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดเลย และกลางเดือนสิงหาคม ขณะที่เดินทางกลับจากจังหวัดเลย หลวงพ่อถูกฝน ต่อมามีไข้สูงและอ่อนเพลียลง แพทย์ตรวจพบว่า หลวงพ่ออาพาธด้วยโรคปอดบวมจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ขณะเดียวกันอาการของโรคมะเร็งได้กำเริบหนักขึ้น สุขภาพของหลวงพ่อทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วเป็นที่วิตกห่วยใยแก่บรรดาศิษยานุศิษย์ แม้ว่าจะทราบดีว่าสภาวะจิตของท่านนั้นอยู่เหนือวิบากทั้งปวงของสังขารแล้วก็ตามที วันหนึ่งศิษย์ที่เฝ้ารักษาพยาบาลได้กราบเรียนถามท่านว่า "หลวงพ่อมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ไม่มีทุกข์ ใช่ไหม ขอรับ" ท่านยิ้มและตอบว่า "ใช่"

    วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2531 หลวงพ่อออกจากโรงพยาบาลและกลับมาพำนักที่วัดสนามในวันที่ 6 กันยายน ท่านปรารภว่าจะกลับไปจังหวัดเลย บรรดาศิษย์ได้กราบเรียนทักท้วงว่าหากท่านเดินทางไปจังหวัดเลยในขณะนั้น ท่านก็จะต้องเดินทางกลับมากรุงเทพฯ อีก ในวันที่ 13 กันยายน เพื่อรับการตรวจร่างกายตามที่แพทย์นัด แต่หลวงพ่อกล่าวว่าท่านจะไม่กลับมาอีก และในวันที่ 7 กันยายน หลวงพ่อได้มอบหมายให้พระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเป็นผู้พยาบาลท่าน ติดต่อให้ศิษย์ที่ใกล้ชิดจองตั๋วเครื่องบินไปจังหวัดเลยเที่ยวบินวันที่ 9 กันยายน โดยท่านให้จองตั๋วเที่ยวไปเท่านั้น เพราะท่านจะไม่กลับมาอีก ทั้งนี้ท่านกำชับมิให้บอกผู้ใด ต่อมาเมื่อญาติโยมและบรรดาศิษย์ได้รับทราบข่าวว่าหลวงพ่อจะเดินทางกลับจังหวัดเลย ต่อพากันกราบเรียนขอร้องมิให้ท่านเดินทางไปจังหวัดเลยท่านกล่าวว่า "โรครักษาได้ แต่ชีวิตรักษาไม่ได้"

    วันที่ 9 กันยายน หลวงพ่อเดินทางกลับจังหวัดเลยโดยมีศิษย์ที่เป็นพระภิกษุและที่เป็นฆราวาสกลุ่มหนึ่งเดินทางไปส่งท่าน ในขณะนั้นอาการของหลวงพ่อทรุดหนักจนเป็นที่น่าวิตกว่าร่างกายของท่านอาจจะไม่สามารถทนต่อความกระบทกระเทือนจากการเดินทางได้ เมื่อเดินทางถึงทับมิ่งขวัญ จังหวัดเลย หลวงพ่อปฏิเสธที่จะฉันยาทุกชนิด แม้ว่าหลวงพ่อจะมีวิบากของสังขารหนักหนาปานใด ท่านก็ยังเมตตาแสดงธรรมโปรดญาติโยมและศิษย์ที่มาเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2531 เวลา 18.15 น. หลวงพ่อได้ละสังขารอย่างสงบ ณ ศาลามุงแฝกของเกาะพุทธธรรม ทับมิ่งขวัญ สถานที่ปฏิบัติธรรมที่หลวงพ่อได้ทุ่มแรงกายแรงใจในช่วงสุดท้ายของชีวิต

    ธรรมโอวาท

    ธรรมโอวาท ของหลวงพ่อเป็นคำกล่าวหรือคำพูดง่ายๆ แต่มีความหมายอย่างลึกซึ้งสำหรับผู้รู้ ผู้เข้าใจด้วยสติปัญญา และการประพฤติปฏิบัติธรรม หลวงพ่อกล่าวว่าคนฟังธรรมะมี 3 ประเภทประเภทที่หนึ่ง ฟังแล้วเข้าใจส่งเสริมสนับสนุน ช่วยท่าน ประเภทที่สองฟังแล้วกลายเป็นฝ่ายตรงกันข้าม หาวิธีกลั่นแกล้ง ขัดขวาง ประเภทที่สามฟังแล้วก็แล้วไป ไม่มีความสนใจแต่ประการใดพวกนี้ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของหลวงพ่อก็สงสัยหลวงพ่อว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ เช่น หลังจากที่หลวงพ่อเปิดอบรมวิปัสสนาอยู่ระยะหนึ่ง ก็เริ่มมีผู้กล่าวหาว่าหลวงพ่อเป็นคอมมิวนิสต์ เนื่องจากคำสอนของหลวงพ่อขัดแย้งกับสิ่งที่คนเหล่านั้นประพฤติปฏิบัติอยู่หลวงพ่อสอนให้เลิกละธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งแท้จริงแล้วมิได้เกื้อกูลต่อการสร้างบุญสร้างกุศลแต่อย่างใด เช่น การฆ่าวัว ฆ่าควาย หรือ การเลี้ยงสุกร เครื่องดองของเมา การเล่นการพนันในงานบุญ ท่านกล่าวว่าการกระทำดังกล่าวไม่ใช่บุญแต่เป็นบาป ผู้ที่ไม่เข้าใจจึงกล่าวหาว่าท่านลบล้างขนบธรรมเนียมประเพณี หลวงพ่อเล่าว่าบางคนไม่เข้าใจเรื่องการทำบุญ คนประเภทนั้นเมื่อไม่รู้จักบุญ ก็ย่อมเอาบุญไม่ได้ หรือทำบุญแต่อาจกลายเป็นบาปไปได้

    ธรรมโอวาท มักปรากฏในการเทศนาธรรมของหลวงพ่อ หรือมีผู้สนใจธรรมะไปซักถามและสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ ปัจจุบันสามารถหาฟังการเทศนาธรรมของหลวงพ่อจากเทปธรรมะที่มีผู้บันทึกเสียงเอาไว้ และสามารถหาอ่านหนังสือธรรมะของหลวงพ่อ ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมและญาติธรรมได้ดำเนินการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มอยู่ประมาณไม่ต่ำกว่า 43 เล่ม เช่น วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อเอาไปประยุกต์ใช้กับการงานทุกอย่างวิธีปฏิบัติธรรมทางลัด การเจริญสติสว่างที่กลางใจ ความรู้สึกตัว ธรรมะแท้ต้องรู้อย่างเดียวกัน พลิกโลกเหนือความคิด การประจักษ์แจ้งสัจจะ รู้อย่างไม่รู้ รู้อย่างผู้รู้ ความหลุดพ้น เป็นต้น

    ธรรมโอวาท ที่ฟังแล้วเรียบง่าย มักไม่ปะปนไปด้วยสำนวนโวหาร เช่น

    "การปฏิบัติธรรมะ นั้นวิธีใด ก็ดี ถ้ามันทำประโยชน์ให้กับเรา หมดข้อข้องแวะ แต่ขอให้หมดจริงๆ ต้องปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อหลอกตัวเอง ต้องปฏิบัติจริงๆ คนจริงย่อมรู้ของจริง"

    "คนโง่ สอนคนฉลาดไม่ได้ คนฉลาดสอนคนฉลาดหรือคนโง่ได้"

    "การถวายหมากพลู บุหรี่ เป็นเรื่องพอกพูนความชั่วให้พระมีความผิด เรียกว่าเอากิเลสไปให้พระ เราอยากละกิเลสแต่เราไม่รู้จักกิเลส"

    "ความรู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบุญ ความไม่รู้เป็นรากเหง้าของบาป"

    "ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่นนั้น เรียกว่า ความสงบ"

    "การแสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี แสวงหาตัวเรานี้ ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอนี่แหละจะรู้จะเห็น" ฯลฯ

    ปัจฉิมบท

    จากประวัติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ทำให้ทราบว่าหลวงพ่อได้แสวงหาและปฏิบัติธรรมตั้งแต่บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งในขณะนั้นมีอายุได้ราว 10 ขวบ และขณะเป็นฆราวาสก็สนใจการทำบุญและแสวงหาธรรมะมาโดยตลอด จากคำนำในหนังสือ ปกติ : หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และสิ่งที่ฝากไว้ ซึ่งกลุ่มเทียนสว่างธรรมได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "...นับเป็นประวัติชีวิตที่เรียบง่ายไม่มีสิ่งใดบ่งชี้ถึงความมหัศจรรย์หรืออำนาจเร้นลับเกินมนุษย์ธรรมดา ไม่มีความพิสดาร หรืออิทธิปาฏิหาริย์ใดใดอันจะเป็นเครื่องโน้มน้าวให้ติดตามต่อไปจนถึงสาระสำคัญที่สุดคือแก่นแท้ของธรรมะ เพราะสำหรับหลวงพ่อแล้วสิ่งนั้นเป็นเหตุให้บุคคลใช้เวลาในการเดินทางไปสู่ความหลุดพ้นยาวนานเกินความจำเป็น ด้วยอาจจะพลัดหลงหรือติดอยู่ในความมหัศจรรย์ของเปลือกของกระพี้นั้น หลวงพ่อท่านจึงมุ่งเน้นให้เข้าใจในหลักปฏิบัติและให้ทุ่มเทความเพียรในการปฏิบัติซึ่งถือเป็นภาระกิจที่มนุษย์ทุกคนพึงกระทำให้แก่ชีวิตของตน... "

    "บุคลิกภาพ อุปนิสัย และปฏิปทาของหลวงพ่อน่าเคารพเลื่อมใส มีความปกติกายปกติใจอย่างเห็นได้ชัด เรียบง่ายและมีความเกรงใจผู้อื่นอยู่เป็นนิจ มีความกตัญญูต่อบุคคลที่ได้เคยช่วยเหลือเกื้อกูลท่าน ท่านมีความระลึกถึงและหาโอกาสตอบลแทนความดีของบุคคลเหล่านั้นอยู่เสมอ หลวงพ่อมีความอ่อนโยนและเกรงใจผู้อื่น แต่ท่านก็มีความมั่นคงและเด็ดขาด" นี่เป็นคำกล่าว ของผู้ที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดประพฤติปฏิบัติธรรม และอุปัฏฐากหลวงพ่อ
    http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=1246
     
  2. Ugood

    Ugood ธรรมชาติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +490
    อนุโมทนา ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ___________
    ธรรมะคือธรรมชาติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...