เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๖๕ : ลูกสาวมาหา

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 กันยายน 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    65.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๖๕ : ลูกสาวมาหา

    “ราหุลํ ชาตํ พนฺธนํ ชาตํ” เจ้าชายสิทธัตถะบรมโพธิสัตว์ ทรงเปล่งอุทานออกมาเมื่อทราบว่า พระชายาพิมพาราชเทวีมีพระประสูติกาล เป็นพระโอรสหน่อเนื้อแห่งบรมกษัตริย์ศากยราช...

    “บ่วงได้เกิดขึ้นแล้ว เครื่องผูกพันได้เกิดขึ้นแล้ว” เป็นวาจาที่แสดงถึงความตระหนกอย่างยิ่ง หนทางที่จะออกสู่มหาภิเนษกรมณ์คล้ายดังกับถูกปิดตันลงทันที...

    โบราณกล่าวว่า “ลูกเปรียบประดุจโซ่ทองคล้องใจ” นับว่าเปรียบเทียบได้ลึกซึ้งโดยแท้ มันคล้องใจรัดใจจริง ๆ หากไม่มีปัญญาวุธอันคมกล้า ก็ยากจะตัดให้ขาดได้...

    มีบาลีกล่าวไว้ว่า “ปุตตํ คีเว ภริยํ หตฺเถ ธนํ ปาเท” แปลเป็นใจความว่า “ห่วงลูกผูกคอ ห่วงภรรยา (สามี) ผูกมือ ห่วงทรัพย์สมบัติผูกเท้า” จะกินอะไรแต่ละที พ่อ – แม่ก็ต้องนึกก่อน เจ้าตัวน้อยจะมีกินหรือเปล่า...? ของที่กลืนได้ก็พาลฝืดคอ ต้องเก็บไว้ให้ลูก กลัวลูกจะอด เหมือนถูกรัดคอไว้พาให้กลืนไม่ลง...

    อยู่คนเดียวสบาย ๆ ไปหาสามี – ภรรยามาพาให้ทุกข์ แทนที่จะลำบากคนเดียวก็มีปากมีท้องมาเพิ่ม ต้องทำงานหนักขึ้นเป็นเท่าตัว เหมือนถูกล่ามมือติดอยู่กับงาน...

    มีทองเท่าหนวดกุ้งนอนสะดุ้งจนเรือนไหว ถ้ามากกว่าหนวดกุ้งมิถึงกับเรือนทรุดเลยหรือ ? จะไปไหนก็ไปได้ไม่ไกล ต้องรีบกลับมาดูแลทรัพย์สิน อย่างกับถูกตีตรวนติดไว้ก็ไม่ปาน

    แต่สมเด็จพระบรมพรหมพงศ์โพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีมาเพื่อตรัสรู้ จึงหักห่วงบ่วงมารทั้งหลายออกผนวชค้นหาธรรม จนบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระปัญญาอันปรีชายิ่ง สุดที่สิ่งใดจะมาร้อยรัดได้...

    องค์สมเด็จพ่อทรงมีทุกอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ยิ่งกว่าผู้ใด แต่ก็หาได้ยึดติดไม่ ทรงสละละวางทุกสิ่งเพื่อแสวงหาสัจธรรม ตรากตรำพระวรกายแทบจะสิ้นลมปราณ กว่าจะบรรลุฝั่งแห่งวัฏสงสาร...

    ตัวเราเล่า...? ไม่มีทางเปรียบใด ๆ เลยเป็นอันขาด อีกกี่แสนชาติก็ผูกขาดจองขาด อยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาทตลอดไป ไม่มีอะไรจะละกลับยึดถือไขว่คว้ามาตามแต่ตัณหาจะบัญชาการ...

    หาเหาใส่หัวนะซิ...รับเอาลูกเขามาเป็นภาระ เจ้าประคุณเอ๋ย...ทีนี้ละซึ้งถึงความทุกข์ของพ่อ – แม่ อะไร ๆ แทบจะต้องคิดแทนทำแทนไปซะทุกอย่าง...สมน้ำหน้าตัวเอง...

    มันให้ห่วงใยให้กังวลไปสารพัด ถ้าลูกผู้ชายยังพอจะปล่อยได้วางได้ นี่ทั้งห้าคนเป็นผู้หญิงล้วน ๆ ยิ่งกว่าเอาเนื้อวางไว้ที่จมูกเสือเสียอีก ดูแลรักษาสุดจะยากเย็นเข็ญใจ...

    เผชิญกับปัญหาร้อยแปดพันเก้า หวานสู้อมขมสู้กลืน ฝืนทำหน้าชื่นไป ทำอย่างไรได้...รับเอากระดูกมาแขวนคอแล้ว ก็ต้องทนจนกว่ากระดูกจะผุพังหล่นหายไปเอง...

    ใกล้รุ่งของคืนวันหนึ่ง... ลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) ลูกสาวคนโตที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ ตรงเข้ามาหาด้วยใบหน้าหม่นหมองครองทุกข์ พอเห็นหน้าอาตมาก็โผเข้ากอดในทันที..

    อาตมาสะดุ้งใจ นี่เราตื่นอยู่ กำลังภาวนาด้วย ไม่มีทางที่จะเกิดอุปาทานได้ หรือเป็นนิมิตของมาร...? แต่น้ำหนักตัวและไออุ่นจากร่าง บอกชัด ๆ ว่านี่ของจริง...! ปล่อยให้ลูกเขากอดไป สัมผัสจากใจบอกว่าลูกกำลังทุกข์ใจสาหัส จนต้องบากหน้ามาหาพ่อ...

    เอาเถอะลูกเอ๋ย...พ่ออยู่นี่แล้ว อย่าได้กลัดกลุ้มกังวลไปเลย.... สิบห้านาทีเต็ม ๆ ที่นอนภาวนานิ่งเฉย แต่เหลือบตาดูนาฬิกาปลุกตลอดเวลา เฝ้าคอยว่าเมื่อไรจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ในใจมีแต่ความรักความสงสารสุดหัวใจ...

    ในที่สุด...ร่างที่ชัดเจนว่าเป็นกายเนื้อของมนุษย์ ก็ค่อย ๆ บางลงเรื่อย ๆ จนจางหายไป อาตมาดึงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ ใจยังทรงคำภาวนาอยู่เป็นปกติ คิดหาสาเหตุว่ามาจากอะไร...

    ตัดเรื่องธิดาพญามารไปได้เลย เพราะเชื่อมั่นว่าในอารมณ์ช่วงนั้นมารแทรกไม่ได้เด็ดขาด แล้วทีท่าของลูกที่มาก็เพื่อหาที่พึ่งจริง ๆ เพียงพบหน้าพ่อก็พอใจแล้ว...

    เป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ ลูกเขาส่งกำลังใจทั้งหมดมาหา กายในเลยหลุดมาแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง โดยที่ลูกเองก็คงไม่รู้ตัว แต่บังเอิญพ่อรับสัมผัสได้...

    จะไปยากอะไร...พอพบหน้าก็ถามเอาตรง ๆ ลูกเขาก็ยอมรับว่าช่วงนั้นกลุ้มใจมาก คิดถึงหลวงพ่อใจจะขาด เลยไปหาจนถึงกุฏิ เก่งไม่เบานิลูกเรา...!

    พอมีหนึ่งก็มีสอง ไปได้สักครั้ง ครั้งต่อไปก็ไม่มีปัญหา ยิ่งการเดินทางของกายใน แค่คิดก็ถึงแล้ว ก็ยิ่งสะดวกใหญ่ พบลูกทีไรแปลว่าตัวจริงกำลังร้องไห้ทุกที...!

    ประสบการณ์แบบนี้อาตมาเคยพบมาก่อน ตอนนั้นน้องแสงชัยป่วยเป็นเชื้อราที่ฝ่าเท้าสองข้าง เน่าลามขึ้นมาข้างบน ต้องไปหาหมอจีนเอายามารักษา...

    ยาจีนแสดงผลทางขับเชื้อรุนแรงมาก น้องแสงชัยเจ็บปวดจนร้องโอดโอย อาตมาสงสารน้องจึงนั่งภาวนา ส่งกำลังใจจากวัดไปช่วยเหลือน้องชายที่กรุงเทพฯ...

    พอหายป่วยน้องแสงชัยก็ไปวัด กราบขอบคุณที่อาตมาช่วยร้กษาให้ “เฮ้ย...ข้าไม่เกี่ยว...” “หลวงพี่อย่าปิดผมเลย ผมเห็นหลวงพี่นั่งอยู่ทางปลายเท้าทั้งคืน...!”

    แค่เราคิดเขาก็เห็นเป็นตัวเป็นตนแล้ว ดังนั้น...ที่ลูกปุ๊กใจจดใจจ่ออยากให้พ่อช่วยก็คงเป็นแบบเดียวกัน จิตคงออกไปในลักษณะการใช้มโนมยิทธิแบบเต็มกำลังนั่นเอง...

    ก่อนธุดงค์ไปเมืองลับแลแม่สาน อาตมาบอกกับลูกปลา (ปราณี ขวัญเพ็ญ) ลูกสาวคนกลางว่า “ถ้าสิ้นเดือนไม่ได้ข่าว หนูก็หาพ่อใหม่เลยนะ” เห็นลูกหน้าเสียเลย คงคิดไม่ถึงว่าจะหนักหนาปานนั้น...

    เข้าถึงแม่สาน ตกค่ำกางกลดอยู่เชิงเขาริมห้วย กลางคืนนอนภาวนาอยู่ พอห้าทุ่มกว่าขยับตัวเปลี่ยนท่า รู้สึกว่ามีใครมาอยู่นอกกลดด้านปลายเท้า “ผี...?” คว้าไฟฉายได้ก็ลุกนั่ง อุทิศส่วนกุศลให้แล้วยังมาหลอกกันแบบนี้ก็สวยซิ...!

    เงื้อไฟฉายจะฟาดให้จั๋งหนับ แล้วกลับเปลี่ยนใจขอดูหน้าผีหน่อยน่า...“อ้าว...ลูกปลา หนูมาได้อย่างไร...?” อีหนูขยี้ตาเพราะโดนไฟส่องเข้าเต็มหน้า ตอบเสียงง่วงนอนว่า “หนูเป็นห่วงหลวงพ่อค่ะ...เลยตามมาดู” เกือบตีกบาลลูกตัวเองแล้วมั้ยล่ะ...!

    รายนี้เรียนอยู่ ร.ร.พระสุธรรมยานเถรวิทยา นักเรียนของที่นี่ต้องฝึกมโนมยิทธิได้จึงจะมีสิทธิ์เข้าเรียน ดังนั้นการที่เขาตามมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย...

    ปล่อยเขานอนนอกกลดอยู่อย่างนั้น ประมาณตีหนึ่งครึ่งก็ค่อย ๆ เลือนหายไป แสดงว่าตัวจริงคงหลับ กำลังใจขาดช่วงต่อไม่ติด กายทิพย์จึงกลับร่างเดิม...

    จากที่เล่ามาเป็นที่ยืนยันได้ว่า การถอดจิตไปไหน ๆ เป็นเรื่องกล้วย ๆ ปัจจุบันนี้มีคนทำได้นับแสนคนแล้ว ท่านล่ะ...? พอจะเชื่อเรื่องแบบนี้หรือไม่...?

    ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...