เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๗๓ : หลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัส

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 ตุลาคม 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,527
    ค่าพลัง:
    +26,366
    73.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๗๓ : หลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัสฯ

    “หลวงพ่อ” เคยกล่าวว่า คนเรามักคาดไปต่าง ๆ นานา ว่าพระดีควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ กลายเป็นคนกิเลสท่วมหัว แต่ไปกำหนดคุณสมบัติพระอริยเจ้า เลยไม่ต้องพบพระดีกันทั้งชาติ “มันเดินชนพระอรหันต์ตายไปหลายองค์แล้ว...” “หลวงพ่อ” ปรารภ...

    เช่นเดียวกับหลวงปู่อ่ำ (พระราชกวี) วัดโสมนัสวรวิหาร ท่านเป็นพระดีที่ไม่ยอมแสดงออก จนหลวงพ่อต้องเปิดเผยให้ทราบ พวกเราจึงได้ไปกราบไหว้ทำบุญกับท่าน หลวงพ่อบอกว่า “องค์นี้คือช้างปาลิไลยกะ จะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สุดท้ายของกัปป์นี้...”

    บรรดาพระภิกษุจากวัดท่าซุง พากันไปกราบสนทนาธรรมกับหลวงปู่ แล้วพากันกล่าวขานถึงความเป็นยอดปราชญ์ของท่าน อาตมาก็เพียงรับฟังไว้ เนื่องจากโอกาสที่จะไปกราบขอความรู้จากท่านยังมาไม่ถึง เพราะทำตัวเป็นคนไม่มีเวลาว่างเสียที ทั้งที่จะไปจริง ๆ ก็สามารถปลีกตัวได้...

    วันหนึ่งอาตมาลงมากรุงเทพฯ เพื่อสวดมนต์-ฉันเพล ที่บ้านของโส่ย (จันทกานต์ ตรีอุดมสิน) ในวาระทำบุญเปิดร้านใหม่ รับข้าวของที่เขาถวายมามากมาย ซึ่งอาตมายึดตามแบบของ “หลวงพ่อ” เสมอมาคือ ของเกิดขึ้นที่ไหนก็ทิ้งไว้ที่นั่น...

    แต่นี่มันเป็นบ้านไม่ใช่วัด แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ...? พอดีนึกขึ้นมาได้ว่าที่นี่ห่างจากวัดโสมนัสฯ ไม่ไกล เลยให้เสี่ยล้ง (สุเมธ ตรีอุดมสิน) ขับรถขนของไปส่ง มีพี่มุกดา (คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) กับหัวหน้าชาติชาย (ปัจจุบันคือพระชาติชาย สุธมฺมธนปาโล) ขอตามไปกราบหลวงปู่ด้วย จะได้ช่วยกันแบกของไปถวายท่าน...

    ทันทีที่เปิดกุฏิออกมารับ ประโยคแรกที่หลวงปู่ทักอาตมา ทำเอาพี่มุกดากับหัวหน้าชาติชายงงเป็นไก่ตาแตก คือ “เป็นอย่างไรบ้างเพื่อน...ไปถึงไหนแล้ว...?” แต่อาตมาเข้าใจดี กราบเรียนท่านว่า “ไม่ไหวครับหลวงปู่ กระผมเลิกแล้วครับ...” หลวงปู่ยิ้มแบบให้กำลังใจ พลางกล่าวว่า “น่าเสียดายนะ...”

    ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น...? ก็หลวงปู่เป็นพระโพธิสัตว์ จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้ายกัปป์นี้ อาตมาเองก็เคยปรารถนาเช่นนี้มาก่อน แต่ว่าหมดกำลังใจที่จะทำต่อ ขอลาจากความปรารถนานั้นแล้ว บรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหมด ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมสร้างบารมีมาด้วยกันทั้งสิ้น หลวงปู่เห็นหน้าจึงทักเช่นนั้น...

    หลังจากถวายสิ่งของกับหลวงปู่แล้ว อาตมาขอให้หลวงปู่เทศน์เรื่องสังโยชน์ ๑๐ เรียกว่าลองของกันซึ่ง ๆ หน้าเลย...! หลวงปู่บอกว่า “นั่นเป็นเรื่องที่พระอริยเจ้าท่านพูดกัน ฌานโลกีย์อย่างคุณ อย่างผมพูดไปก็ผิด...”

    ในที่สุดเมื่อเสียไม่ได้ หลวงปู่ก็เทศน์วนอยู่แค่สังโยชน์ ๕ เป็นการเปิดให้ดูก้นหีบว่ามีอยู่แค่นี้เอง พออาตมาถามถึงเรื่องนรก-สวรรค์-พรหม-นิพพาน หลวงปู่นิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ผมเกรงว่าจะอวดอุตริมนุสสธรรม...”

    “ไม่ใช่การปรารภเพื่อลาภผลนี่ครับหลวงปู่...” เท่านั้นเอง เรื่องราวก็พรั่งพรูออกจากปากหลวงปู่ ตั้งแต่ครั้งเรียนบาลีอยู่ อ่านเรื่องช้างปาลิไลยกะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าจากไป ก็อาลัยรักจนอกแตกตาย...

    “อ่านถึงตรงนี้ทีไรมันจับอกจับใจ ถึงแก่ร้องไห้ทุกที...” แต่ตอนนั้น หลวงปู่ยังไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะนั่งดูตะวันตกดินอยู่ สภาพจิตทรงฌานอัตโนมัติ กายทิพย์หลุดจากร่าง ตรงไปเฝ้าสมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย...

    สมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัยตรัสเล่าให้ทราบ ว่าหลวงปู่คือช้างปาลิไลยกะ เคยปรารถนาพุทธภูมิมาพร้อมกันสมัยองค์สมเด็จพระพุทธสิริมิตรสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่หลวงปู่ประเดิมความเป็นพระโพธิสัตว์ชาติแรกได้เยี่ยมมากคือ ตกนรก...!

    เวียนตายเวียนเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ชาติที่สำคัญคือ เกิดมาเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรไทย ซึ่งหลวงปู่ยืนยันหนักแน่นว่า อักษรไทยมีมาก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และคนไทยอยู่ในสุวรรณภูมินี้มาแต่ดั้งเดิม ไม่ใช่อพยพมาจากภูเขาอัลไต...

    ชาตินี้ความจริงไม่ใช่วาระที่หลวงปู่จะมาเกิด เป็นคิวของพระศรีอาริย์ฯ แต่งานสำคัญคือ ต้องมารวบรวมประวัติการเกิดอักษรไทย พระศรีอาริย์ฯ ท่านเห็นว่าหลวงปู่เป็นคนต้นคิดเอง ก็สมควรจะมาเกิดเพื่อทำงานนี้ซะเอง...

    หลวงปู่จึงต้องลัดคิวลงมาทำหน้าที่นี้ และบัดนี้ได้รวบรวมประวัติหนังสือไทย และพระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิไว้เรียบร้อยแล้ว “ตอนนี้ยังหาคนยอมรับได้ยาก ต้องให้ผมตายไปแล้วนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นเขาเชื่อแต่จอร์จ เซเดย์...”

    ท่านขนเอาตำรับตำราอักษรโบราณต่าง ๆ ตลอดจนกระเบื้องดินเผาจารอักษร ที่ขุดได้จากเมืองเก่าราชบุรี (เมืองโบราณคูบัว) มาให้ดู เป็นที่น่าอัศจรรย์มากที่ตัวอักษรไม่ว่าชาติใดภาษาใด ตลอดถึงอักษรในกระเบื้องจาร...

    พอหลวงปู่ชี้เท่านั้น ทั้งอาตมา พี่มุกดา และหัวหน้าชาติชาย ต่างก็เห็นว่ามันคืออักษรไทยปัจจุบันนี้เอง สามารถอ่านได้ทุกคำ แต่เมื่อหลวงปู่ยกนิ้วขึ้น ทุกคนก็เห็นเป็นตัวยึกยืออะไรก็ไม่รู้ อ่านไม่ออกสักคำ...!

    “ผู้คิดดัดแปลงอักษรให้แก่ชนชาติอื่น ๆ นั้นเก่งมาก ทั้งที่มีรากฐานไปจากอักษรไทยแท้ ๆ แต่ดูจากสายตาทั่วไปแล้วจะไม่เห็นเค้าเลย...” ฮั่นแน่...ชมตัวเองก็เป็นเหมือนกันนะครับหลวงปู่...ฮิ...ฮิ...

    กว่าสามชั่วโมงที่หลวงปู่เมตตาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง จนกระทั่งขอตัวกราบลา และกราบขอขมาที่ล่วงเกินหลวงปู่ ท่านเมตตากล่าวว่า “คุณถามเพราะใฝ่รู้ ไม่ถือว่าเป็นการล่วงเกินอะไรหรอก...”

    หลังจากกราบลาแล้ว ทั้งที่หลวงปู่กำชับว่า ให้ไปหาอีกทันทีที่มีโอกาส แต่อาตมาก็ทำตัวเป็นคนไม่มีเวลา จนกระทั่งหลวงปู่มรณภาพ แต่ผลงานของหลวงปู่ก็ยังอยู่นะครับ หัวหน้าชาติชายตัวขี้สงสัย โดนหลวงปู่ต้อนเข้าวัดไปเลย บวชซะแล้วครับ...!

    ๓๐ กันยายน ๒๕๓๕
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...